00:00:00 → 00:00:08 ก็
00:00:08 → 00:00:12 สวัสดีครับเรื่องของกินเนี่ยเราต่างก็มี
00:00:12 → 00:00:14 ของที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกันเรื่อง
00:00:14 → 00:00:16 รสนิยมเนี่ยเราไม่สามารถเปรียบเทียบกัน
00:00:16 → 00:00:19 ได้อยู่แล้วแต่ว่าบางทีมันก็แตกต่างกัน
00:00:19 → 00:00:22 สุดขั้วเหมือนกันนะครับอย่างเช่นการกิน
00:00:22 → 00:00:25 บล็อกโคลี่อย่างผมเนี่ยบล็อคเคอรี่คือผัก
00:00:25 → 00:00:28 สุดโปรดของผมเลยผมสามารถกินได้เครื่องจาน
00:00:28 → 00:00:30 แทนบางทีขอเบิ้ล 2 อีกต่างหากล่ะสำหรับ
00:00:30 → 00:00:33 บางคนแค่เอาเข้าปากนิดเดียวก็แทบจะอ้วก
00:00:33 → 00:00:36 ออกมาแล้วทำไมมันเป็นอย่างนั้นเคยมีคน
00:00:36 → 00:00:38 สงสัยว่าเพราะว่าความทรงจำในวัยเด็กของ
00:00:38 → 00:00:40 เราเกือบมันไม่ดีหรือเปล่าพ่อแม่เขาเรา
00:00:40 → 00:00:43 ได้ยัตเจ้าผักเขียวนี้เข้าปากเราเราเลย
00:00:43 → 00:00:46 ตัวขึ้นมาเครียดมันเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้
00:00:46 → 00:00:48 เคยมีคนเอาบล็อคโคลี่ไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก
00:00:48 → 00:00:51 จากนั้นก็ไปเคลือบช็อกโกแลตแอลเอาไปให้คน
00:00:51 → 00:00:54 ที่ไม่ชอบล็อคเตอร์รี่กินผลปรากฏว่าตอน
00:00:54 → 00:00:56 ที่ลิ้นของคนนั้นแต่บล็อคเคอรี่แม้เพียง
00:00:56 → 00:00:59 นิดเดียวเขาก็รู้สึกว่ามันขมมากจนแค่จะ
00:00:59 → 00:01:03 ขายถ้าไม่ทันทั้งที่เขาไม่รู้ว่าในนั้นมี
00:01:03 → 00:01:05 บล๊อคโคลี่อยู่รอสักนิยมของเราไม่เหมือน
00:01:05 → 00:01:08 กันก็จริงนะครับแต่ทำไมมันต่างกันขนาดนี้
00:01:08 → 00:01:11 เวลาเราอะไรเข้าปากปุ่มรับรสของเราก็จะ
00:01:11 → 00:01:14 ตรวจสอบว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไรด้วยการไป
00:01:14 → 00:01:17 จับกับสารเคมีของมันจากนั้นก็ส่งสัญญาณไป
00:01:17 → 00:01:20 ยังสมองที่นี้สมองก็จะบอกเราว่าสิ่งนั้น
00:01:20 → 00:01:23 เป็นยังไงกินได้เลยไม่ได้ถ้ามันกินได้ก็
00:01:23 → 00:01:25 จะบอกว่าอร่อยถ้ากินไม่ได้ก็จะบอกว่าไม่
00:01:25 → 00:01:28 อร่อยให้รีบขายทิ้งแล้วเราก็รู้ว่า
00:01:28 → 00:01:32 บล็อคโคลี่คือผักที่มีประโยชน์แล้วทำไม
00:01:32 → 00:01:34 สมองบางคนถึงวิวัฒนาการมาให้ไม่ชอบมัน
00:01:34 → 00:01:37 ต้องรีบขายมันทิ้งแต่บางคนกลับรู้สึกว่า
00:01:37 → 00:01:40 มันอร่อยมากเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน
00:01:40 → 00:01:43 ต้องการสารอาหารแบบเดียวกันเราควรจะ
00:01:43 → 00:01:45 วิวัฒนาการมาให้ชอบหรือไม่ชอบอะไรเหมือน
00:01:45 → 00:01:51 กันสิทำไมเราถึงแตกต่างกันขนาดนี้อ่ะ
00:01:51 → 00:02:00 [เพลง]
00:02:00 → 00:02:01 ดูย้อนกลับไปในปี
00:02:01 → 00:02:05 1931 ที่ห้องแล็บของบริษัทดูป้องและมี
00:02:05 → 00:02:07 นักเคมีที่ชื่อว่าอาเธอร์ Fox เขาได้
00:02:07 → 00:02:11 บังเอิญทำสารเคมีที่ชื่อว่าฟิวไทยโอคาร์
00:02:11 → 00:02:14 บาไมด์หรือ PC ระเบิดกระเด็นใส่เพื่อน
00:02:14 → 00:02:17 ร่วมห้องทดลองเพื่อนของเขาบางคนบอกว่า
00:02:17 → 00:02:21 เจ้าสารเคมีนี้มีรสชาติที่ผมมากในขณะที่
00:02:21 → 00:02:24 บางคนบอกว่าพวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยและนี่
00:02:24 → 00:02:27 ก็เป็นเหตุการณ์แรกที่บอกว่ามนุษย์อาจจะ
00:02:27 → 00:02:29 รับรสชาติของสิ่งของต่างๆได้ไม่เหมือนกัน
00:02:29 → 00:02:33 ต่อมาเราก็พบว่ากลุ่มคนที่บอกว่าสาร PC
00:02:33 → 00:02:36 มีรสชาดขมก็คือกลุ่มคนที่สามารถครับรถของ
00:02:36 → 00:02:39 สิ่งของต่างๆดีกว่าคนทั่วไปพวกเขาสามารถ
00:02:39 → 00:02:42 รับรถได้ชัดเจนกว่าและบางครั้งยังสามารถ
00:02:42 → 00:02:45 รับรู้รสชาติในสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่ามัน
00:02:45 → 00:02:49 ไม่มีรสชาติได้อีกด้วยในปี 1990 ดรลินดา
00:02:49 → 00:02:52 บ้านโฮชัดนักจิตวิทยาเชิญทดลองและนัก
00:02:52 → 00:02:55 วิจัยที่ทำงานด้านยืนการรับรู้รสเรียกคน
00:02:55 → 00:02:58 กลุ่มนี้ว่าซุปเปอร์ Tester ซึ่งภาษาไทย
00:02:58 → 00:03:01 บางบทความก็แปลว่าสุดคะนักชิมอาหารหรือ
00:03:01 → 00:03:05 บางบทความก็แปลว่านักชิมความรู้สึกไวและ
00:03:05 → 00:03:09 ในช่วงปี 1960 โลแลน L Fisher ณกิจเภสัช
00:03:09 → 00:03:12 วิทยาได้พบว่ามีสารอีกชนิดหนึ่งที่เรียก
00:03:12 → 00:03:16 ว่าโพผิวไทยโอโอลาซิลหรือพร็อพที่ให้ผล
00:03:16 → 00:03:20 เหมือน ptc แต่มีความผมที่เด่นชัดกว่าถ้า
00:03:20 → 00:03:22 อยากรู้ว่าใครคือซุปเปอร์ Tester เราก็
00:03:22 → 00:03:25 สามารถหากระดาษที่เคลือบพีวีซีหรือที่
00:03:25 → 00:03:28 เรียกว่าพี่ C Test Paper หรือกระดาษ
00:03:28 → 00:03:31 เคลือบ Pop หรือที่เรียกว่าพร้อมเทเปอร์
00:03:31 → 00:03:34 มากแต่ลิงดูได้ใครที่รู้สึกผมคนนั้นนั่น
00:03:34 → 00:03:39 แหละคือซุปเปอร์ Tester
00:03:39 → 00:03:42 แล้วก็มีวิธีแล้วตอบอีกวิธีหนึ่งที่เรา
00:03:42 → 00:03:44 สามารถทำเองที่บ้านได้อย่างง่ายนั่นก็คือ
00:03:45 → 00:03:48 การเอาสีผสมอาหารสีฟ้ามาทาลินเพื่อที่จะ
00:03:48 → 00:03:51 ได้เห็นผมลิ้นรูปเห็ดหรือที่เรียกว่าฟัน
00:03:51 → 00:03:55 จีฟอร์มพากิลด์ได้อย่างชัดๆจากนั้นก็เอา
00:03:55 → 00:03:57 กระดาษมาเจาะรูแล้วเอามาทาบที่ลิ้นแล้วไป
00:03:57 → 00:04:00 ถ่ายรูปแล้วไม่รับผมเรียนรูปเหตุการณ์แต่
00:04:00 → 00:04:03 ถ้าเป็นซุปเปอร์ Tester จะมีปุ่มลิ้นรูป
00:04:03 → 00:04:06 เห็ดในวงกลมมากกว่า 35 ปุ่มส่วนคนทั่วไป
00:04:06 → 00:04:09 จะมีประมาณ 15-30 กุมแต่ถ้าต่ำกว่า 10
00:04:09 → 00:04:12 ปุ่มอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพวกนี้จระเข้ได้
00:04:12 → 00:04:15 เลยครับแล้วในผักสีเขียวเข้มอย่างพวกผัก
00:04:15 → 00:04:18 เควผักขมหรือบล็อคเคอรี่ก็จะมีสารที่
00:04:18 → 00:04:22 คล้ายกับพี่ที่ซีหรือป๊อปอยู่ดังนั้นคน
00:04:22 → 00:04:24 ที่เป็นซุปเปอร์ Tester จะรู้สึกว่าพรรค
00:04:24 → 00:04:27 สีเขียวเข้มพวกนี้มีรสชาติที่สยดสยองเป็น
00:04:27 → 00:04:31 อย่างมากแล้วเราก็พบว่าการแปรผันนี้เกิด
00:04:31 → 00:04:35 ขึ้นจากยืนที่เรียกว่า Tester 38 โดยการ
00:04:35 → 00:04:38 แปรผันของยีนนี้ก็จะทำให้คนธรรมดากลาย
00:04:38 → 00:04:41 เป็นซุปเปอร์ Tester ได้ใครที่นับผมรูป
00:04:41 → 00:04:44 เห็ดในดินของเราได้เกิน 35 ปุ่มยินดีด้วย
00:04:44 → 00:04:46 นะครับคุณคือมนุษย์กลายพันธุ์หรือมิว
00:04:46 → 00:04:50 แทนท์และในเมื่อมันเคยอีนยิ่งคือสิ่งที่
00:04:50 → 00:04:53 ธรรมชาติคัดเลือกมาแล้วว่าดีสำหรับเขาพัน
00:04:53 → 00:04:55 เราเราจึงได้รับมันส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ
00:04:55 → 00:04:59 มันจึงน่าสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมธรรมชาติ
00:04:59 → 00:05:01 ถึงไม่อยากให้เรากินว่าพวกนี้เป้าหมายที่
00:05:01 → 00:05:04 สำคัญที่สุดของ DNA หรือผมจะเรียกว่าเป้า
00:05:04 → 00:05:07 หมายเดียวกับมันเลยก็ว่าได้ก็คือการที่ทำ
00:05:07 → 00:05:09 ให้เราอยู่รอดและสืบพันธุ์ให้ได้เราเลยมี
00:05:10 → 00:05:12 แนวคิดว่าทำไมยินนี้ถึงไม่อยากให้เรากิน
00:05:12 → 00:05:16 ผักอยู่ 2 คำตอบนะครับคำตอบแรกก็คือตัว
00:05:16 → 00:05:19 พืชผักเองก็ต้องการการอยู่รอดพวกมันก็ไม่
00:05:19 → 00:05:22 อยากถูกกินเหมือนกันแต่ว่ามันวิ่งไปไหน
00:05:22 → 00:05:24 ไม่ได้มันเลยต้องปกติตัวด้วยการ
00:05:24 → 00:05:27 วิวัฒนาการตัวเองมาให้ไม่อร่อยให้ไม่น่า
00:05:27 → 00:05:29 กินซึ่งมันก็ทำได้สำเร็จกับสิ่งมีชีวิต
00:05:29 → 00:05:32 ที่มีความสามารถในการรับรสได้สูงซึ่ง
00:05:32 → 00:05:34 ซุปเปอร์ Tester ก็เป็นหนึ่งในนั้นแซม
00:05:34 → 00:05:37 ผลไม้บางชนิดต้องพึ่งพาสัตว์อื่นมากินมัน
00:05:37 → 00:05:40 เพื่อพาเมล็ดจะเจริญงอกงานที่อื่นพวกมัน
00:05:40 → 00:05:43 ก็จะใช้กลยุทธ์ตรงกันข้ามนั่นก็คือทำให้
00:05:43 → 00:05:46 ตัวเองหวานอร่อยน่ากินเพื่อรอให้สักมากิน
00:05:46 → 00:05:50 เยอะๆส่วนคำตอบแบบที่ 2 จะเป็นการมองใน
00:05:50 → 00:05:52 มุมกลับนะครับเพราะว่ามนุษย์ก็ต้องการการ
00:05:52 → 00:05:55 อยู่รอดเช่นกันแล้วมันก็มีพืชผักมากมาย
00:05:55 → 00:05:58 หลายชนิดที่ทั้งกินได้แล้วก็เป็นพิษแล้ว
00:05:58 → 00:06:00 ในบางภูมิประเทศคืบสิ่งที่หลายชนิดมาก
00:06:00 → 00:06:04 เกินไปมากเกินกว่าที่โฮโมเซเปียนสมัยกรใจ
00:06:04 → 00:06:07 แยกแยะและจดจำได้หมดและมันยังมีสัดส่วน
00:06:07 → 00:06:09 พื้นที่เป็นคิดอยู่เป็นจำนวนมากด้วย
00:06:09 → 00:06:12 ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือยอมขาด
00:06:12 → 00:06:15 สารอาหารสักหน่อยแต่ว่าสามารถรอดตายจาก
00:06:15 → 00:06:18 พืชที่มีพิษได้โฮโมเซเปียนตัวไหนที่มียีน
00:06:18 → 00:06:21 Tester 38 ที่แปรผันจะรู้สึกว่าเครื่อง
00:06:21 → 00:06:24 ผักพรุ่งนี้ผมก็จะมีโอกาสรอดชีวิตที่มาก
00:06:24 → 00:06:27 กว่าซึ่งเรื่องนี้ก็สอดคล้องกับผลการ
00:06:27 → 00:06:30 ตำรวจที่บอกว่าคนที่เป็นซุปเปอร์ Tester
00:06:30 → 00:06:32 ส่วนใหญ่จะสืบเชื้อสายมาจากคนที่อาศัย
00:06:32 → 00:06:35 อยู่ในประเทศแถบเส้นศูนย์ศูนย์ในดินใหญ่
00:06:35 → 00:06:37 ที่มีคลื่นพันธุ์หลากหลายชนิดมากกว่า
00:06:37 → 00:06:41 บริเวณอื่นนอกจากผักขมให้ผมแล้วมันยังมี
00:06:41 → 00:06:44 อีกหลายปัจจัยนะครับที่ทำให้เราชอบหรือ
00:06:44 → 00:06:47 ไม่ชอบกินอะไรโดยในปี 2016 มีงานวิจัยของ
00:06:47 → 00:06:50 นะเพื่อจะตัดที่ชื่อว่าเป่าโลแก๊สปารินี่
00:06:50 → 00:06:54 จัดมหาวิทยาลัย sn อิตาลีได้ค้นพบยีนถึง
00:06:54 → 00:06:57 15 ยีนที่เกี่ยวข้องกับการชอบอาหารของ
00:06:57 → 00:07:00 มนุษย์ซึ่งยืนเหล่านี้จะกำหนดนิยมออกมา
00:07:00 → 00:07:04 อะไรๆอะไรไม่อร่อยแล้วยืนเป็นสิ่งที่เรา
00:07:04 → 00:07:07 ได้รับการส่งต่อมาจากพ่อแม่ดังนั้นพ่อแม่
00:07:07 → 00:07:10 มีรสนิยมการกินแบบไหนเราก็มีแนวโน้มที่จะ
00:07:10 → 00:07:12 มีรสนิยมการกินแบบเดียวกัน
00:07:12 → 00:07:15 ถ้าใครที่ได้ฟังคลิปก่อนหน้าก็คงพอจะรู้
00:07:15 → 00:07:18 ใช่ไหมครับว่านอกจาก DNA ได้ยินที่กำหนด
00:07:18 → 00:07:20 ตัวตนของเราได้แล้วยังมีกระบวนการเหนือ
00:07:20 → 00:07:23 พันธุกรรมหรือที่เรียกว่าอีพีเจเนติกที่
00:07:23 → 00:07:26 กำหนดตัวตนของเราได้อีกด้วยถ่ายพูดแบบย่อ
00:07:26 → 00:07:30 ๆก็คือปกติแล้วหลังจากเราเกิดมายืนของเรา
00:07:30 → 00:07:32 จะไม่เปลี่ยนแปลงอีกตลอดชีวิตถ้าไม่นับ
00:07:32 → 00:07:35 การไปอาบกัมมันตภาพรังสีมานะครับแต่
00:07:35 → 00:07:38 กระบวนการเหนือพันธุกรรมหรือ EP จัดติก
00:07:38 → 00:07:41 นั้นมันจะไปควบคุมการแสดงออกของยีนต่างๆ
00:07:41 → 00:07:43 ดีเอ็นเอยืนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้
00:07:43 → 00:07:46 ระดับการแสดงออกจะถูกเปลี่ยนแปลงแทนถ้า
00:07:46 → 00:07:49 เปรียบยืนเป็นหลอดไฟเจ้า EP จะติดเนี่ยจะ
00:07:49 → 00:07:52 เป็นตัวควบคุมความสว่างหรือแม้แต่เปิดปิด
00:07:52 → 00:07:56 มันได้เลยทีเดียวแม้ฝาแฝดแท้จะมียืนที่
00:07:56 → 00:07:58 เหมือนกันเป๊ะได้ระดับการแสดงออกของยีน
00:07:58 → 00:08:02 ที่แตกต่างกันก็มีให้สองคนนี้มีนิสัยและ
00:08:02 → 00:08:05 รสนิยมที่แตกต่างกันได้ในปี 2007 เคยมี
00:08:05 → 00:08:07 งานวิจัยที่ให้หนูได้กินเป็นอาหารที่เป็น
00:08:07 → 00:08:11 ไปด้วยน้ำตาลเกลือและไขมันหรือที่เรียก
00:08:11 → 00:08:14 ว่าอาหารขยะในขณะที่มันท้องแล้วเมื่อลูก
00:08:14 → 00:08:17 หนูคลอดออกมามันก็จะสนใจกินแต่อาหารขยะใน
00:08:17 → 00:08:19 ขณะที่ลูกหนูที่เกิดจากแม่ที่ไม่ได้กิน
00:08:19 → 00:08:22 อาหารขยะจะไม่สนใจกินอาหารเหล่านั้นเลย
00:08:22 → 00:08:26 ต่อมาในปี 2014 ก็มีงานวิจัยที่พบว่าหนู
00:08:26 → 00:08:28 ที่เกิดจากแม่ที่กินแต่อาหารขยะระหว่าง
00:08:28 → 00:08:31 ตั้งท้องก็จะเกิดกระบวนการ EP เจเนติกกับ
00:08:31 → 00:08:34 ยินที่ชื่อว่า p o n c ที่ทำหน้าที่
00:08:34 → 00:08:37 เกี่ยวกับการควบคุมความอยากอาหารในตัวหนู
00:08:37 → 00:08:40 ซึ่งอยู่ที่เกิดจากแม่ที่กินแต่อ่านขยะจะ
00:08:40 → 00:08:42 ขาดความยับยั้งชั่งใจเรื่องการกินเมื่อ
00:08:42 → 00:08:45 เทียบกับหนูปกติและลักษณะนิสัยนี้ก็จะ
00:08:45 → 00:08:48 เป็นตั้งแต่เกิดจนตายไม่สามารถเปลี่ยน
00:08:48 → 00:08:51 แปลงได้แม้จะพยายามฝึกมันแค่ไหนก็ตาม
00:08:51 → 00:08:55 มีการตั้งข้อสังเกตว่าในธรรมชาติปกติการ
00:08:56 → 00:08:58 ที่แม่หนูจะกินแต่อาหารขยะได้นั้นแปลว่า
00:08:58 → 00:09:01 สิ่งแวดล้อมค่อนข้างขอแรงมีอาหารดีๆให้
00:09:01 → 00:09:04 เลือกน้อยดังนั้นการเป็นหนูที่กินยาก
00:09:04 → 00:09:07 เลือกกินแต่ของดีๆจะทำให้โอกาสรอดชีวิต
00:09:07 → 00:09:10 ค่อนข้างต่ำลูกหนูจึงถูกโปรแกรมในระดับ
00:09:10 → 00:09:13 ยืนตั้งแต่ในท้องแม่ว่าให้กินไม่เลือก
00:09:13 → 00:09:15 อย่าเลือกกินมากนักเห็นอะไรก็ต้องเก็บไว้
00:09:15 → 00:09:20 ก่อนถึงจะมีโอกาสรอดได้มากที่สุดในปี 1995
00:09:20 → 00:09:23 ก็มีงานวิจัยของนักจิตวิยาชีวภาพที่ชื่อ
00:09:23 → 00:09:26 ว่า julie เมร่าที่ได้ทำการทดลองและสรุป
00:09:26 → 00:09:29 ผลสอดคล้องกับเรื่องนี้นะครับ medela ได้
00:09:29 → 00:09:31 ทดลองแบงค์หญิงตั้งครรภ์ออกเป็น 3 กลุ่ม
00:09:31 → 00:09:34 แม่กลุ่มที่ 1 จะดื่มน้ำแครอทตลอดเวลาที่
00:09:34 → 00:09:36 ตั้งครรภ์แม่กลุ่มที่ 2 จะดื่มน้ำแครอท
00:09:36 → 00:09:39 เฉพาะช่วงที่ให้นมลูกและแม่กลุ่มที่ 3
00:09:39 → 00:09:43 คือไม่ดื่มน้ำแครอทเลยผลออกมาก็คือลูกที่
00:09:43 → 00:09:45 เกิดจากแม่กลุ่มที่ 1 และ 2 จะชอบนะรู้
00:09:45 → 00:09:48 สึกอะไรอร่อยๆในตอนดื่มน้ำแครอทแต่ลูกจาก
00:09:48 → 00:09:51 แม่ในกลุ่มอิสานจะทำหน้าบูดเบี้ยวไม่ชอบ
00:09:51 → 00:09:54 เวลาเดินแครอท medela ได้ศึกษาเพิ่มเติม
00:09:54 → 00:09:57 และพบว่าอาหารที่แม่กินเข้าไปจะส่งผลต่อ
00:09:57 → 00:10:00 น้ำคร่ำในครรภ์และน้ำนมของแม่อย่าพึ่งของ
00:10:00 → 00:10:03 เร็วสองอย่างนี้จะส่งข้อมูลสู่รูปธรรมให้
00:10:03 → 00:10:06 เกิดกระบวนการ EP เจเนติกปรับลักษณะนิสัย
00:10:06 → 00:10:09 การกินของลูกได้เด็กที่อยู่ในครรภ์หรือ
00:10:09 → 00:10:12 ว่าเป็นทารกที่กำลังดื่มนมแม่อยู่จะถูก
00:10:12 → 00:10:14 โปรแกรมในระดับยืนเพื่อให้เตรียมพร้อมกับ
00:10:14 → 00:10:17 สิ่งแวดล้อมของโลกภายนอกแม่ที่กินอะไร
00:10:17 → 00:10:20 เยอะแสดงว่าสิ่งนั้นกินได้มีประโยชน์และ
00:10:20 → 00:10:23 อุดมสมบูรณ์ลูกที่เกิดจากแม่ที่อยู่ในโรง
00:10:23 → 00:10:25 แครอทถ้าลูกชอบกินแครอทด้วยแล้วก็จะมี
00:10:25 → 00:10:28 โอกาสรอดที่มากกว่าส่วนสิ่งของที่แม่ไม่
00:10:28 → 00:10:31 กินลูกก็จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งแปลก
00:10:31 → 00:10:34 ปลอมไม่น่ากินไม่อร่อยซึ่งมาอาจจะมีพิษก็
00:10:34 → 00:10:36 ได้และนี่ก็เป็นกลไกหรือกลยุทธ์อย่าง
00:10:36 → 00:10:39 หนึ่งในการอัดตัวรอดของมนุษย์นั่นเองครับ
00:10:39 → 00:10:42 และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมบางครั้งเรา
00:10:42 → 00:10:45 เห็นอาหารของคนต่างวัฒนธรรมต่างจังหวัด
00:10:45 → 00:10:48 หรือต่างประเทศมีกลิ่นที่ชวนขนลุกมีรส
00:10:48 → 00:10:51 ชาติที่แย่มากๆจนไม่น่าจะกินได้แต่เขากิน
00:10:51 → 00:10:54 กันได้ทั้งประเทศแขนชอบมากด้วยนั่นก็เป็น
00:10:54 → 00:10:57 เพราะรสนิยมการกินถูกโปรแกรมให้กินสิ่ง
00:10:57 → 00:10:59 เหล่านี้ได้นั่นเองครับและรสนิยมการกิน
00:10:59 → 00:11:02 ที่ที่ต่อจากแม่สู่ลูกนี้ก็จะเป็นสิ่งติด
00:11:02 → 00:11:05 ตัวตลอดชีวิตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ดังนั้นผู้
00:11:05 → 00:11:08 หญิงคนไหนที่กำลังท้องอยู่อย่าลืมเลือก
00:11:08 → 00:11:10 กินอาหารที่มีประโยชน์นะครับและนี่ก็คือ
00:11:10 → 00:11:13 เรื่องราวอย่างย่อของรสนิยมการกินของพวก
00:11:13 → 00:11:15 เรานะครับโดยเนื้อหาทั้งหมดผมก็นำมาจาก
00:11:15 → 00:11:17 การอ่านหนังสือและค้นคว้าทางอินเตอร์เนต
00:11:17 → 00:11:19 ครับเพื่อนคนไหนมีความเห็นเพิ่มเติมอะไร
00:11:19 → 00:11:22 ก็สามารถพูดคุยกันได้ที่คอมเม้นนี้นะครับ
00:11:22 → 00:11:24 แล้วถ้าใครที่ชอบคลิปที่มีเนื้อหาแบบนี้
00:11:24 → 00:11:27 ก็สามารถกดไลค์กด Subscribe เพื่อเป็น
00:11:27 → 00:11:30 กำลังใจให้เราทำคลิปต่อไปและถ้าใครอยาก
00:11:30 → 00:11:32 สนับสนุนช่องก็สามารถกดสมัครสมาชิกที่
00:11:32 → 00:11:34 ด้านล่างนะครับด้วยผมจะขึ้นรายชื่อผู้
00:11:34 → 00:11:37 สนับสนุนวันที่ฉายคลิปแบบนี้นะครับได้ถ้า
00:11:37 → 00:11:40 สุดก่อนจากกันอย่าลืมช่างสงสัยเค้านะครับ
00:11:40 → 00:11:47 สวัสดีครับอ่า
00:11:47 → 00:11:50 โน้ท
00:11:50 → 00:11:55 พ.ย
00:11:55 → 00:11:58 ม.ค