00:00:00 → 00:00:02 This is Thai PBS Podcast viiew
00:00:03 → 00:00:06 the world by the voice.
00:00:06 → 00:00:08 บางครั้งการร้องไห้อาจจะถูกตัดสินว่าเป็น
00:00:08 → 00:00:10 เรื่องของเด็กเป็นเรื่องของผู้หญิงเป็น
00:00:10 → 00:00:11 เรื่องของความอ่อนแอเพราะงั้นถ้าเราเป็น
00:00:11 → 00:00:14 บุรุษเพศเราควรจะปฏิบัติตัวให้สมกับเป็น
00:00:14 → 00:00:16 บุรุษเพศอันนี้อาจจะเป็นเรื่องค่านิยมมัน
00:00:16 → 00:00:18 เลยเป็นคำพูดเชิงอ้อมขึ้นมาที่ไม่ตรงไป
00:00:18 → 00:00:20 ตรงมาว่าถ้าเอ็งมดแต่ร้องไห้เอ็งทำดูแล
00:00:20 → 00:00:22 ใครไม่ได้แต่มันกลายเป็นว่าประโยคมันถูก
00:00:22 → 00:00:24 ผันเป็นว่าลูกผู้ชายห้ามร้องไห้สุขทุกข์
00:00:24 → 00:00:25 เนาะเป็นเรื่องที่มันผ่านเวียนวนมาชั่ว
00:00:26 → 00:00:28 คราวทั้งนั้นแหละจะยาวจะสั้นบางทีขึ้นกับ
00:00:28 → 00:00:30 การทำความเข้าใจปัญหาชีวิตด้วยนะถ้าเรา
00:00:31 → 00:00:32 ไม่ทำความเข้าใจปัญหาชีวิตให้ดีบางทีเรา
00:00:32 → 00:00:34 จะต้องเจอความเศร้าซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ถ้า
00:00:34 → 00:00:36 เกิดเข้าใจว่าอ๋อสาเหตุเหตุต้นเหตุที่ทำ
00:00:36 → 00:00:39 ให้เกิดความเศร้าความทุกข์นี้เกิดจากอะไร
00:00:39 → 00:00:40 แล้วเราเริ่มรู้วิธีตัดนะครับแพทเทิร์น
00:00:40 → 00:00:42 มันจะไม่เกิดซ้ำแล้วเราจะได้ไม่ต้องมา
00:00:42 → 00:00:45 นั่งร้องไห้หรือรู้สึกมานั่งเศร้าร้องไม่
00:00:45 → 00:00:47 ออกอีก
00:00:47 → 00:00:50 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:50 → 00:00:54 การโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:54 → 00:00:58 This is Thai PBS Podcast คุณผู้ฟัง
00:00:58 → 00:00:59 คะเราจะ
00:00:59 → 00:01:03 มาเหลือเหมือนเซาเฮ้ยแต่ว่าร้องไห้ไม่ออก
00:01:03 → 00:01:05 ค่ะคุณผู้ฟังอธิบายไม่ได้พี่มาของความ
00:01:05 → 00:01:08 เศร้ามันอาจจะมาจากหลากหลายเนาะแต่ว่าแต่
00:01:08 → 00:01:11 ละคนก็รับมือแตกต่างกันออกไปนะคะเดี๋คุย
00:01:11 → 00:01:14 กันว่าเศร้าแต่ร้องไม่ออกเนี่ยเอ้ยมันจะ
00:01:14 → 00:01:17 มีผลอะไรมยคุยกับดร.สุวุฒิวงทางสวัสดินะ
00:01:17 → 00:01:20 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะคุณเอิญครับสวัสดี
00:01:21 → 00:01:23 ครับคุณรีสวัสดีครับคุณผู้ฟังอืมาละ
00:01:23 → 00:01:26 เรื่องมันเศร้าแต่เล่าไม่ได้คุยไม่ออก
00:01:26 → 00:01:30 ชีวิตมันตรอมใจเออมันมันเศร้าอ่ะมันมี
00:01:30 → 00:01:33 เรื่องให้เศร้าอ่ะอยากร้องนะเพราะว่าการ
00:01:33 → 00:01:36 ร้องไห้การได้มีน้ำตาออกมามันจะทำให้เรา
00:01:36 → 00:01:40 สบายใจขึ้นจากทฤษฎีที่ฟังกันมานะคะแต่บาง
00:01:40 → 00:01:43 เรื่องมันอลองไม่ออกเลยมันจะต้องเป็น
00:01:43 → 00:01:46 เฉพาะเรื่องที่รุนแรงจนทำให้เราร้องไม่
00:01:46 → 00:01:49 ออกหรือเปล่าหรือมันเป็นจากอะไรทำไมถึง
00:01:49 → 00:01:52 มันเอ้ทำไมมันถึงร้องไม่ออกอ่ะอืจริงๆ
00:01:52 → 00:01:53 เศร้าแต่ร้องไม่ออกเนี่ยมันอาจจะเศร้าคน
00:01:53 → 00:01:56 ละโทนก็ได้เนาะแต่ต้องบอกว่าการที่ร้อง
00:01:56 → 00:01:58 ไม่ออกมันอาจจะเป็นไปได้จากการที่ตัวเรา
00:01:58 → 00:02:02 อยู่ในบริบทที่ไม่สะดวกที่จะร้องเออเช่น
00:02:02 → 00:02:06 เช่นตัวเราจะต้องอยู่ในสังคมอยู่ในแวดวง
00:02:06 → 00:02:08 อยู่ในสถานการณ์ที่แบบเอ่อมีผู้คนมากมาย
00:02:08 → 00:02:12 มีสิ่งที่เราต้องจัดการอ่ะเช่นสมมุติเอ่อ
00:02:12 → 00:02:14 เพิ่งสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปกะทันหัน
00:02:14 → 00:02:18 อือฮึแล้วต้องจัดงานศพต้องแจ้งญาติต้อง
00:02:18 → 00:02:20 ติดต่อวัดหลายๆอย่างหรือแม้กระทั่งติดต่อ
00:02:20 → 00:02:24 เรื่องพินัยกรรมเรื่องมรดกอืโอมันมีมันมี
00:02:24 → 00:02:26 เรื่องที่ต้องบริหารจัดการด้วยความคิดใช้
00:02:26 → 00:02:28 สมองเยอะมากเลยไม่มีเวลาให้ร้องใช่ครับ
00:02:28 → 00:02:30 เพราะมันมีอะไรที่ต้องใส่ใจที่ต้องทำเต็ม
00:02:30 → 00:02:33 หมดเลยอ่ะแล้วมันเลยกลายเป็นว่าการใช้
00:02:33 → 00:02:36 ความคิดการจัดการปัญหาตามหน้างานมันบล็อก
00:02:37 → 00:02:40 ให้เราไม่ต้องไม่ต้องใช้อารมณ์อเพราะการ
00:02:40 → 00:02:41 ใช้อารมณ์จะทำให้เราจัดการสิ่งพวกนั้นไม่
00:02:41 → 00:02:45 ได้เออแต่บางคนก็แบบว่าร้องไห้อย่างหนัก
00:02:45 → 00:02:47 หนุกก็มีเนาะก็มีเพราะคนที่ร้องไห้หนัก
00:02:47 → 00:02:50 หน่วงอาจจะทิ้งงานไว้ก่อนฉันขอฉันขออยู่
00:02:51 → 00:02:53 กับความรู้สึกนี้ก่อนมันกระทบกระเทือนจิต
00:02:53 → 00:02:55 ใจกระทบกระเทือนจิตใจอืใช่ครับเข้าใจได้
00:02:55 → 00:02:58 อันนี้คือคือไม่ได้บอกว่าการร้องเป็นสิ่ง
00:02:58 → 00:03:00 ที่แบบเฮ้ยคุณต้องไปจัดการก่อนนะมันร้อง
00:03:00 → 00:03:03 อะไรตอนนี้มันไม่ใช่นะของแต่ละคนไม่
00:03:03 → 00:03:05 เหมือนกันความรู้สึกที่รับไม่เหมือนกัน
00:03:05 → 00:03:08 บางคนปะทะปั๊บร้องเลยก็มีอือแต่บางคนปะทะ
00:03:08 → 00:03:09 ปั๊บหัวเค้าคิดก่อนว่าแบบจะต้องทำอะไร
00:03:09 → 00:03:11 บ้างก็เลยกลายเป็นว่าเก็บอารมณ์นั้นไว้
00:03:12 → 00:03:14 ก่อนคือเคยเจอในกรณีอันนี้ของตัวเองเนาะ
00:03:14 → 00:03:16 ตอนคุณแม่เสียเมื่อไม่กี่เดือนมาเนี้ย
00:03:16 → 00:03:21 แล้วก็เออร้องไห้พี่สาวบอกว่าคือเหมือน
00:03:21 → 00:03:24 กับแบบไม่ไม่อยากให้เราร้องไห้อ่ะเออเรา
00:03:24 → 00:03:27 ก็เข้าใจแหละว่าการร้องไห้แล้วจะไปโดนอ่ะ
00:03:27 → 00:03:29 ความเชื่อเนาะไปโดนตัวคุณแม่เจะเป็นห่วง
00:03:29 → 00:03:31 นู่นนี่นั่นอะไรเงี้ยแต่แบบเอ้ยเรารู้
00:03:31 → 00:03:36 แล้วแหละแต่แค่แบบอก็มันเศร้าอ่ะอืเออแต่
00:03:36 → 00:03:39 แบบการถูกห้ามร้องไห้ก็เลยจะแบบเอ๊ะมัน
00:03:39 → 00:03:41 ได้ด้วยหรอมันบังคับได้ด้วยเหรอมันเป็น
00:03:41 → 00:03:44 ความรู้สึกของเราอ่ะอครับเออคือคือคนจะ
00:03:44 → 00:03:47 เค้าเรียกว่าตัดสินเนาะตัดสินการร้องไห้
00:03:47 → 00:03:49 ว่าบวกว่าลบไม่เหมือนกันเช่นคนบางคนอาจจะ
00:03:49 → 00:03:52 บอกว่าการร้องไห้ไม่จำเป็นเลยมันคนอ่อนแอ
00:03:52 → 00:03:55 เท่านั้นถึงจะร้องไห้อืหรือร้องไห้ตอนนี้
00:03:55 → 00:03:58 แล้วแม่จะสงบสุขได้ยังไงหรือร้องไห้แบบ
00:03:58 → 00:04:01 นี้เฮ้ยมันดูน่าอายว่าเป็นคนอ่อนแอ
00:04:01 → 00:04:03 อันเนี้ต้องบอกว่าแต่ละคนจะมีการตีความ
00:04:03 → 00:04:05 การตัดสินว่าการร้องไห้คืออะไรไม่เหมือน
00:04:05 → 00:04:08 กันก็ไม่ผิดนะที่เค้าจะคิดแบบนั้นอก็ไม่
00:04:08 → 00:04:10 ผิดแต่เพียงแค่ว่ามันอาจจะไม่ได้เหมาะสม
00:04:10 → 00:04:12 กับบางคนเพราะคนบางคนจำเป็นต้องร้องไห้
00:04:12 → 00:04:15 เพื่อที่จะได้ชำระล้างความรู้สึกเศร้า
00:04:15 → 00:04:18 หรือได้ลดแรงอัดจากความเสียใจอ่าแต่แต่
00:04:18 → 00:04:20 การไม่ร้องกลับจะเป็นการสร้างมลพิษมลภาวะ
00:04:20 → 00:04:23 ในจิตใจที่สะสมไว้มากกว่าอืเหมือนเป็นการ
00:04:23 → 00:04:26 เน่าในอ่ะเหมือนน้ำมันว่ามันเกิดมันเกิด
00:04:26 → 00:04:29 กัดหนองเกิดความอะไรบางอย่างขึ้นมาในจิต
00:04:29 → 00:04:33 ใจเนาะแทนที่มันจะได้เอาออกแล้วจะได้ล้าง
00:04:33 → 00:04:36 ชำระล้างอือมันกลายเป็นว่ามันก็หมกอยู่
00:04:36 → 00:04:38 ข้างในเพราะงั้นเรื่องพวกเนี้ยจะร้องหรือ
00:04:38 → 00:04:42 ไม่ร้องผมว่าขึ้นกับตัวบุคคลคนนั้นว่า
00:04:42 → 00:04:43 เค้ามองว่าวิธีไหนเป็นมิตรกับเหรือเป็น
00:04:44 → 00:04:46 ประโยชน์กับเขามากกว่ากันเราไปตัดสินใคร
00:04:46 → 00:04:48 ไม่ได้นะในเรื่องของความสูญเสียว่าเฮ้ย
00:04:48 → 00:04:51 ทำไมเาไม่ร้องไห้เลยอ่ะเออหรือแบบเฮ้ย
00:04:51 → 00:04:53 ร้องอะไรเยอะแยะอะไรขนาดนั้นมันมันเป็น
00:04:53 → 00:04:56 ความรู้สึกข้างในของแต่ละคนที่ต้องจัดการ
00:04:56 → 00:04:58 ใช่ใช่บางคนบางคนเนี่ยเรื่องหัวมากๆเช่น
00:04:58 → 00:05:01 มองการตายเป็นเรื่องสัจธรรมมองการตายเป็น
00:05:01 → 00:05:04 เรื่องแบบเออเรื่องธรรมดาชีวิตเราก็เออ
00:05:04 → 00:05:06 เราเห็นเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาเ
00:05:06 → 00:05:08 อาจจะไม่ร้องก็ได้เพราะงั้นในเรื่อง
00:05:08 → 00:05:10 ทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตแต่ละคนมันมีไม่
00:05:10 → 00:05:13 เท่ากันค่ะเอ่อหรือแม้กระทั่งการให้ความ
00:05:13 → 00:05:16 สำคัญก็ไม่เท่ากันอเช่นอาจจะแบบสมมุติอ่ะ
00:05:16 → 00:05:19 แม่คนเดียวกันแต่พี่น้อง 2 คนมีความรู้
00:05:19 → 00:05:21 สึกผูกผูกพันหรือรักแม่ไม่เท่ากันอ่าฮะ
00:05:22 → 00:05:23 เพราะงั้นคนผูกพันมากกว่าต้องเสียใจหนัก
00:05:23 → 00:05:25 กว่าเป็นเรื่องธรรมดาอ่าฮะแต่ไอ้คนในฐานะ
00:05:25 → 00:05:27 พี่น้องเหมือนกันเราอาจจะคิดว่าควรรัก
00:05:27 → 00:05:31 เท่ากันสิแต่บางทีเขาอาจจะมองว่าก็แม่ก็
00:05:31 → 00:05:33 ผู้หญิงคนนึงไงอ่ะสมมุตินะบางคนหรืออาจจะ
00:05:33 → 00:05:37 มองว่าเอ่อมันคือสัจธรรมเอาจจะมาสายหัว
00:05:37 → 00:05:40 เลยอืว่าเกิดแก่เจ็บตายหรือบางคนอาจจะ
00:05:40 → 00:05:42 เป็นเรื่องเป็นคนที่ยินดีก็ได้กับการเสีย
00:05:42 → 00:05:45 เอ่อเช่นอันนี้อันนี้ยกตัวอย่างนะครับบาง
00:05:45 → 00:05:48 คนอาจจะดีใจเพราะว่าได้มรดกอกับอย่างที่ 2
00:05:48 → 00:05:51 คือดีใจเพราะแม่ไม่ต้องเป็นทุกข์แล้วจาก
00:05:51 → 00:05:53 ความทรมานเรื่องความเจ็บป่วยเอออันนี้ก็
00:05:53 → 00:05:57 ก็มีโมเมนต์ความรู้สึกแบบนี้นะอืเพราะว่า
00:05:57 → 00:06:00 คือเศร้าอ่ะแต่ในพอพอหลังจากที่งานเสร็จ
00:06:00 → 00:06:04 เรียบร้อยแล้วอ่ะเรารู้สึกว่าอ่าดีใจที่
00:06:04 → 00:06:07 คือเค้าไม่ต้องทรมานทรมานแล้วไม่ต้องแบก
00:06:07 → 00:06:10 สังขารคือผมว่าคนที่ผ่านชีวิตมาเยอะหรือ
00:06:10 → 00:06:12 เห็นชีวิตมาเยอะจะรู้ว่าบางทีการมีชีวิต
00:06:12 → 00:06:15 นี่แหละคือความทุกข์อืมันเหนื่อยไม่ได้
00:06:15 → 00:06:17 บอกว่าเราจะตายหรือไปอยากตายนะแต่เรารู้
00:06:17 → 00:06:19 ว่าการมีชีวิตมันสร้างความเหนื่อยให้เรา
00:06:19 → 00:06:21 แล้วยิ่งถ้าเกิดว่าเาต้องมาทนทุกข์ทรมาน
00:06:21 → 00:06:23 ในการแบบมีสายระยงระยางหรือต้องมีแบบอาจ
00:06:23 → 00:06:26 จะเป็นโรคร้ายเจ็บปวดจากร่างกายเออมันท
00:06:26 → 00:06:30 หรือเอางี้ก็ได้คนสูงอายุมากๆที่แบบพึ่ง
00:06:30 → 00:06:33 ตัวเองไม่ได้แล้วอ่ะแล้วแบบได้แค่รอนรอ
00:06:33 → 00:06:36 แบบเมื่อไหร่จะไปซักทีอย่างเงี้ยฮะโอหคือ
00:06:36 → 00:06:38 มันกลายเป็นว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดจะรู้เลย
00:06:38 → 00:06:41 ว่าเจ้าของร่างก็หนัก
00:06:41 → 00:06:44 คนที่ดูแลก็ต้องแบบเอาเวลาและพลังงานมาดู
00:06:44 → 00:06:48 แลอ่าดูแลความเป็นอยู่ป้อนอาหารอือเช็ด
00:06:48 → 00:06:52 อ่าเก็บสิ่งปฏิกูลทั้งหลายเงินก็ต้องฟีด
00:06:52 → 00:06:54 เข้ามาอย่างเงี้ยครับโอ้โหจะรู้เลยว่ามัน
00:06:54 → 00:06:56 หนักไปด้วยกันทุกคนเลยอือแต่ก็รู้ว่าเต็ม
00:06:56 → 00:06:59 ใจทำอยู่แล้วแหละแต่แบบแต่พอพอวันนึงที่
00:06:59 → 00:07:03 แบบว่าถึงกาลเวลาในในสังขารของเขาอก็เสีย
00:07:03 → 00:07:07 ใจแต่ว่าอีกมุมนึงคือแบบมันก็โล่งใจนะใช่
00:07:07 → 00:07:09 ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องรู้สึกอย่างเดียวอ่า
00:07:09 → 00:07:11 เราสามารถรู้สึกฝึกทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน
00:07:11 → 00:07:13 ได้เพราะในการรับรู้ของเราอ่ะครับเรามอง
00:07:13 → 00:07:15 ชีวิตเป็นหลายมิติอยู่แล้วอือเราไม่
00:07:15 → 00:07:17 สามารถเลือกรับรู้แค่มิติเดียวได้แต่เรา
00:07:17 → 00:07:20 รับรู้ทุกๆมิติพร้อมๆกันอือเพราะงั้นเรา
00:07:20 → 00:07:22 สามารถอนุญาตให้ตัวเองเศร้าไปพร้อมกับการ
00:07:22 → 00:07:25 ยินดีได้แต่การยินดีไม่ใช่การสะใจนะอ่าฮ
00:07:25 → 00:07:27 โอ้โหสะใจจังเลยที่แบบเสียมันไม่ใช่เซ้น
00:07:27 → 00:07:29 นั้นอันนั้นจะเป็นอีกแบบนึงอันนั้นคือ
00:07:29 → 00:07:33 กลายเป็นความความรู้สึกชอบเสพความแบบการ
00:07:33 → 00:07:35 เสียชีวิตอันนั้นมันมันไม่ใช่แต่ถ้าเป็น
00:07:35 → 00:07:39 ความแบบรู้สึกหายห่วงหายห่วงหรือยินดี
00:07:39 → 00:07:41 ด้วยในแงแง่มุมที่ว่าที่เขาไม่ต้องมาแบก
00:07:41 → 00:07:43 ความหนักของสังขารแล้วอือย่างเงี้ยครับ
00:07:43 → 00:07:46 มันจะไม่ใช่ความแบบสะใจมันจะเป็นโทนความ
00:07:46 → 00:07:51 รู้สึกโปร่งใจความรู้สึกเอ่อเหมือนยินดี
00:07:51 → 00:07:55 กับการได้หลุดพ้นจากความหนักอ่าพอพอนึก
00:07:55 → 00:07:57 ภาพออกเนาะอ่าใช่ครับซึ่งเราไม่จำเป็น
00:07:57 → 00:07:58 ต้องบอกว่าเฮ้ยนั่นคือเราคิดชั่วหรือ
00:07:58 → 00:08:00 เปล่ามันไม่ใช่คนละโทนกันถ้าคิดชั่วคือ
00:08:00 → 00:08:03 แบบสะใจใครสักคนตายโอเคหรือว่าทำให้
00:08:03 → 00:08:06 เ่อเป็นอะไรไปหรืออะไรอย่างเงี้ยคือมัน
00:08:07 → 00:08:09 เป็นโมเมนที่มันเป็นจังหวะที่แบบมันอยู่
00:08:09 → 00:08:11 ในเหตุการณ์เดียวกันนะแต่มันได้ 2
00:08:11 → 00:08:14 โมเมนต์คือไม่ได้เหมือนกับว่าเหตุไม่
00:08:14 → 00:08:16 เศร้านะมันก็เศร้าอยู่แหละมันก็เสียใจ
00:08:16 → 00:08:18 อยู่แหละแต่พอสูญเสียพลัดพรากเออพอหลัง
00:08:18 → 00:08:21 จากจบงานไปแล้วอ่ะบางทีค่อยมาร้องไห้ที่
00:08:21 → 00:08:23 หลังก็มีนะก็มีครับอืมเพราะว่าตอนนั้น
00:08:23 → 00:08:25 เหมือนที่คุณเอิ้นบอกว่ายิ่งถ้าเกิดเขา
00:08:25 → 00:08:28 เป็นคนลูกคนเดียวหรืออะไรที่มีต้องอะไร
00:08:28 → 00:08:31 จัดการหรือเจอเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ที่
00:08:31 → 00:08:33 เขาต้องแบบมันมีอย่างอื่นที่เต้องทำอ่ะ
00:08:33 → 00:08:36 ใช่ครับร้องไม่ได้ใช่ครับมันไม่ใช่จังหวะ
00:08:36 → 00:08:38 ดีที่จะร้องเพราะว่าการร้องมันต้องโฟกัส
00:08:38 → 00:08:40 ก็กับตัวเองสูงเหมือนกันว่าแบบเสียใจแล้ว
00:08:40 → 00:08:43 มันก็เห็นความเสียใจนถึงร้องอืแต่ถ้าเกิด
00:08:43 → 00:08:47 มีอะไรที่มันแบบต้องสนใจมันไม่มีเวลาร้อง
00:08:47 → 00:08:49 ครับมันร้องไม่ทันมันไม่มันไม่มีจุดที่จะ
00:08:49 → 00:08:52 บิให้เราร้องได้เออหรืออย่างบางทีแบบอยู่
00:08:52 → 00:08:56 ในที่ทำงานเงี้ยเนาะโดนเพื่อนหรือเจ้านาย
00:08:56 → 00:08:59 เอ่ออาจจะแบบด่าดุด่าว่ากล่าวอะไรก็แล้ว
00:08:59 → 00:09:02 แต่บางคนอาจจะมีความทนทานในการรับในความ
00:09:02 → 00:09:05 รุนแรงอาจจะต่างกันแล้วรู้สึกว่าอฉันอยาก
00:09:05 → 00:09:08 จะร้องไห้อ่ะแต่ฉันอยู่ที่ทำงานน่ะอืออื
00:09:08 → 00:09:10 มันร้องไม่ได้ใช่ร้องไม่ได้ครับอืมันมีคน
00:09:10 → 00:09:13 ที่เราต้องระวังคนที่เกรงใจเกรงใจว่าร้อง
00:09:13 → 00:09:16 ไปแล้วเบรรยากาศจะเป็นยังไงอือฮึไม่มือ
00:09:16 → 00:09:18 อาชีพมั้ยอะไรเงี้ยครับหลายอย่างหรือแม้
00:09:18 → 00:09:20 กระทั่งการอยากจะร้องแต่ไปหลบอยู่ในห้อง
00:09:20 → 00:09:23 น้ำไปร้องมาแล้วพอพอกลับมาปุ๊บตาแดง
00:09:23 → 00:09:26 เพื่อนถามอีกไม่ได้เอามาถามอะไรอย่างงี้
00:09:26 → 00:09:29 หรือเปล่าเออเนาะอบางทีเป็นความเกรงใจ
00:09:29 → 00:09:31 เนาะแล้วก็อาจจะบางทีอาจจะบอกดูไม่ค่อย
00:09:31 → 00:09:34 งามมั้งจะร้องไห้กลางที่ทำงานอือะไรอย่าง
00:09:34 → 00:09:38 เงี้ยครับก็เกิดขึ้นได้อืมันเล่าหรือว่า
00:09:38 → 00:09:42 บางคนอาจจะรู้สึกแบบคือแบบความการร้องไห้
00:09:42 → 00:09:45 ไม่ได้อาจจะมาจากแค่ความเศร้าความเสียใจ
00:09:45 → 00:09:48 อย่างเดียวนะแต่บางทีโกรธจนแบบโกรธจนอยาก
00:09:48 → 00:09:50 ร้องไห้ก็มีโกรธจนร้องไห้อ่ะมีเหมือนกัน
00:09:50 → 00:09:53 แต่แบบบางทีก็ลองไม่ออกนะแต่แบบมันอยากจะ
00:09:53 → 00:09:55 อบางทีก็ไม่ต้องร้องก็ได้ผมเองก็ไม่ค่อย
00:09:55 → 00:09:58 ร้องไห้นะโกรธก็ไม่ร้องไม่แต่อย่างของผู้
00:09:58 → 00:10:00 ชายอ่ะมันมีคำพูดอยู่เป็นผู้ลูกผู้ชาย
00:10:00 → 00:10:04 ห้ามร้องไห้ออใช่มั้ยครับอันนั้นก็เหมือน
00:10:04 → 00:10:06 เป็นการตัดสินที่เราคุยกันตะกี้เนาะว่า
00:10:06 → 00:10:08 เหมือนเหมือนการร้องไห้มันอาจจะเป็น
00:10:08 → 00:10:11 เรื่องแบบอ่อนแอหยุมหยิมเด็กน้อยแต่ถ้า
00:10:11 → 00:10:14 คุณเป็นสุภาพบุรุษเป็นผู้ชายเต็มตัวคุณจะ
00:10:14 → 00:10:16 ต้องไม่ร้องไห้อย่าเงี้ยฮะทำไมแต่นี้อาจ
00:10:16 → 00:10:18 จะเป็นอย่างงี้ก็ได้ครับมันเป็นเรื่องของ
00:10:18 → 00:10:20 ค่านิยมใช้คำนี้ก่อนเป็นเรื่องค่านิยมบาง
00:10:20 → 00:10:23 ครั้งการร้องไห้อาจจะถูกตัดสินว่าเป็น
00:10:23 → 00:10:24 เรื่องของเด็กเป็นเรื่องของผู้หญิงเป็น
00:10:24 → 00:10:27 เรื่องของความอ่อนแอเพราะงั้นถ้าเราเป็น
00:10:27 → 00:10:29 บุรุษเพศเราควรจะปฏิบัติตัวให้สมกับเป็น
00:10:29 → 00:10:32 บุรุษเพศห้ามร้องไห้ต้องแข็งแกร่งเข้ม
00:10:32 → 00:10:35 แข็งอันนี้อาจจะเป็นเรื่องค่านิยมอืกับ
00:10:35 → 00:10:38 อันที่ 2 อันที่ 2 เนี่ยแยกต่างหากนะไม่
00:10:38 → 00:10:40 เกี่ยวกับค่านิยมและเกี่ยวข้องกับความ
00:10:40 → 00:10:43 ดิ้นรนบีบคั้นของชีวิตที่บางทีผู้ชายคน
00:10:43 → 00:10:46 เนี้ยอาจจะต้องเป็นพี่ใหญ่ในบ้านหรือเป็น
00:10:46 → 00:10:48 คนที่ต้องแบกรับอะไรบางอย่างมันเลยเกิดคำ
00:10:48 → 00:10:51 พูดที่บอกว่าเป็นผู้ชายห้ามร้องไห้
00:10:51 → 00:10:53 อันเนี้ยจะไม่ใช่เรื่องค่านิยมแต่เป็นการ
00:10:53 → 00:10:55 พูดเพราะว่าถ้าเอ็งมัวแต่ร้องไห้เอ็งดูแล
00:10:55 → 00:10:58 ใครไม่ได้นะอเพราะงั้นเอ็งอย่าร้องไห้
00:10:58 → 00:11:00 เพราะมันเสียเวลาแล้วมันไม่จำเป็นอันนี้
00:11:00 → 00:11:02 คนอื่นบอกแล้วบอกตัวเองด้วยก็มีอ่าใช่มัน
00:11:02 → 00:11:04 เลยเป็นคำพูดเชิงอ้อมขึ้นมาที่ไม่ตรงไป
00:11:04 → 00:11:06 ตรงมาว่าถ้าเอ็งมดแต่ร้องไห้เอ็งเองทำดู
00:11:06 → 00:11:09 แลใครไม่ได้อืแต่มันกลายเป็นว่าประโยคมัน
00:11:09 → 00:11:11 ถูกผันเป็นว่าลูกผู้ชายห้ามร้องไห้อืมัน
00:11:11 → 00:11:14 เป็นมันเป็นภาษาที่แบบไม่ได้ตรงไปตรงมา
00:11:14 → 00:11:17 แต่อาจจะถูกใช้ด้วยวัตถุประสงค์อย่างนั้น
00:11:17 → 00:11:21 อ่าฮะคือเข้าใจได้นะว่ามันเป็นค่านิยมที่
00:11:21 → 00:11:24 อูได้ยินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจริงๆนะคำ
00:11:25 → 00:11:27 เนี้ยแต่ว่าไม่รู้ว่าสมัยนี้แบบคำนี้มัน
00:11:27 → 00:11:31 ยังมีอยู่มั้ยก็น่าจะมีตามชุมชนต่างๆตอบ
00:11:31 → 00:11:33 ยากผมคิดว่ามันยังมีครับมันยังมีแต่เพียง
00:11:34 → 00:11:35 แค่ว่าประเทศเราหรือโลกเรามันใหญ่เกิน
00:11:35 → 00:11:37 กว่าที่เราจะไปรับรู้ว่ามันซ่อนอยู่ตรง
00:11:37 → 00:11:39 ไหนหรือเราอาจจะไม่ได้สนใจใครแล้วก็ได้
00:11:39 → 00:11:41 ว่าแบบจะร้องไม่ร้องไม่รู้อ่ะไม่ใช่
00:11:41 → 00:11:44 เรื่องของฉันหรืออะไรก็แล้วแต่อะไรเงี้ย
00:11:44 → 00:11:50 เอ่อในอีกมุมนึงคือก็เคยมีผู้เชี่ยวชาญ
00:11:50 → 00:11:54 หลายๆคนที่เค้าบอกว่ารู้สึกไงให้แสดงออก
00:11:54 → 00:11:59 อย่างงั้นอือๆเศร้าก็ร้องไห้ไม่ได้ต้อง
00:11:59 → 00:12:01 มันไม่ได้เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอก็
00:12:01 → 00:12:04 เศร้าก็ร้องไห้ออกมาสิไปเก็บไว้ทำไมคือ
00:12:04 → 00:12:07 เราจะมักจะได้ยินยินคำว่าเฮ้ยจะต้องสรอง
00:12:07 → 00:12:10 นะแข็งแกร่งนะร้องไห้ไม่ได้นะถ้าฉันจะ
00:12:10 → 00:12:13 ร้องฉันจะร้องไห้เฉพาะพ่อกับแม่ฉันในวัน
00:12:13 → 00:12:15 ที่สูญเสียเท่านั้นคนอื่นฉันไม่ร้องหรือ
00:12:15 → 00:12:18 อะไรอย่างเงี้ยก็เลยแบบถ้าฉันไม่ร้องฉัน
00:12:18 → 00:12:21 คือคนสรองแข็งแกร่ง
00:12:21 → 00:12:24 ครับบางทีมันเลยทำให้แบบการใช้ชีวิตหรือ
00:12:24 → 00:12:26 การตอบสนองทางอารมณ์มันซับซ้อนขึ้นเกินไป
00:12:26 → 00:12:30 เนาะอือๆมันอื่นๆกึนๆคือมันแบบเอ๊ะแล้ว
00:12:30 → 00:12:32 มันใช่แล้วมันกลายกลายเป็นการสร้างภาระ
00:12:32 → 00:12:34 ทางจิตใจเพิ่มขึ้นไปอีกจากที่เรามีความ
00:12:35 → 00:12:37 เสียใจอยู่แล้วชุดนึงเนาะมันมีความซับ
00:12:37 → 00:12:39 ซ้อนขึ้นมาอีกว่าเราต้องรับภาระกับการแบบ
00:12:39 → 00:12:42 คิดอีกว่าจะร้องดีไม่ร้องดีเอ๊ะควรไม่ควร
00:12:42 → 00:12:44 กลายเป็น 3-4 งานขึ้นไปแล้วะเออทีนี้ที
00:12:44 → 00:12:46 นี้การสะกดจิตตัวเองขึ้นกับว่าเอ๊ะเรา
00:12:46 → 00:12:48 เห็นอะไรว่ามันจำเป็นนะถึงต้องสะกดจิตตัว
00:12:48 → 00:12:51 เองเพราะว่าปกติคนเราจะไม่นึกทำอะไรที่
00:12:51 → 00:12:54 ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองอ่ะครับการการ
00:12:54 → 00:12:57 ใช้คำว่าสะกดจิตแสดงว่าเราเห็นว่าการสะกด
00:12:57 → 00:13:01 จิตนั้นน่าจะเป็นประโยชน์บางอย่างหญิงที่
00:13:01 → 00:13:04 บอกว่าฉันจะไม่ร้องไห้ใครอีกแล้วนอกจาก
00:13:04 → 00:13:06 พ่อพ่อกับแม่เท่านั้นหรือคนในครอบครัวแค่
00:13:06 → 00:13:09 นั้นอือๆเอ่ออกห่างจากแฟนฉันก็จะไม่ร้อง
00:13:09 → 00:13:13 ไห้จะโดนด่ามาแค่ไหนฉันก็จะไม่ร้องไห้
00:13:13 → 00:13:14 อะไรประมาณเนี้ยมันอาจจะเป็นอย่างงี้ก็
00:13:14 → 00:13:17 ได้ครับเราอาจจะมีตัวตนในอุดมคติ
00:13:17 → 00:13:20 อืเออว่าถ้าเราร้องไห้เราก็จะไม่สอดคล้อง
00:13:20 → 00:13:23 กับตัวตนผู้หญิงสรองเราจะดูทุเรศทุรังทัน
00:13:23 → 00:13:26 ทีเงี้ยคือคืออาจจะแบบว่าหรือหรืออาจจะ
00:13:26 → 00:13:28 บุคคลนั้นอาจจะถูกมองว่าเฮ้ยเธอเป็นคน
00:13:28 → 00:13:31 แข็งแกร่งเขาคนนั้นเป็นคนแข็ง
00:13:31 → 00:13:36 แกร่งสามารถที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้นะอื
00:13:36 → 00:13:39 ไม่ร้องไห้หรอกอ่าอันนี้คือเราไปรับไปรับ
00:13:39 → 00:13:41 ประโยชน์จากคนอื่นมาเมองเราอย่างงั้นถูก
00:13:41 → 00:13:44 ป่ะใช่อ่าก็เป็นไปได้ครับเราก็อาจจะแบบมี
00:13:44 → 00:13:46 ภาพตัวตนที่เราถูกเค้าเรียกไถูกนำเสนอจาก
00:13:46 → 00:13:49 คนอื่นอืแล้วเราอยากจะปฏิบัติตัวให้สอด
00:13:49 → 00:13:52 คล้องกับที่คนอื่นรับรู้ค่ะก็เป็นไปได้
00:13:52 → 00:13:53 แต่แต่ทีนี้คำถามคือมันเป็นประโยชน์กับ
00:13:54 → 00:13:56 เราจริงมั้ยอันเนี้ยอันเนี้ยของใครของมัน
00:13:56 → 00:13:59 ะเอาเท่าที่อันเนี้ยคือเป็นภาวะที่ตัวเอง
00:13:59 → 00:14:02 เคยผ่านมาแล้วนะเมื่อก่อนเนี้ยก็อย่างี้
00:14:02 → 00:14:06 แหละคือแบบเอ้ยฉันจะไม่ร้องไห้พอและอเออ
00:14:06 → 00:14:08 บางเรื่องที่เราเจอเรื่องความผิดหวังหรือ
00:14:08 → 00:14:11 อะไรก็แล้วแต่อืฉันแข็งแกร่งละอือรอบนี้
00:14:11 → 00:14:14 ไม่มีทางก็ก็ไม่ได้มีอะไรฉันจะร้องไห้
00:14:14 → 00:14:16 เฉพาะพ่อกับแม่ฉันเท่านั้นหรืออะไรอย่าง
00:14:16 → 00:14:19 เงี้ยอแต่มันสะสมมากๆเข้าไม่รู้ตัวนะคุณ
00:14:19 → 00:14:22 เอิ้ลคุณผู้ฟังมันกลายเป็นเรื่องที่ทำให้
00:14:22 → 00:14:24 เราเนี่ยเหมือนไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึก
00:14:24 → 00:14:29 ของตัวเองว่าเศร้าอยู่นะแต่ฉันไม่ฉัน
00:14:29 → 00:14:32 ปฏิเสธตัวเองว่าตัวเองเศร้าอืฉันอยู่ได้
00:14:32 → 00:14:35 ฉันสามารถทำงานได้ปกติไม่ได้รู้สึกอะไร
00:14:35 → 00:14:38 เลยหรืออะไรอย่างเงี้ยมันก็เก็บไว้ซุกไว้
00:14:38 → 00:14:43 ซุกไว้ซุกไว้ซุกไว้จนวันนึงอ่ะอมันเฮ้ย
00:14:43 → 00:14:47 เรากำลังเป็นอะไรวะเนี่ยอ่าไปฟังรายการ
00:14:47 → 00:14:50 นึงแล้วก็ทำให้เกิดตกตะกอนมาวันนั้นน่ะ
00:14:50 → 00:14:53 เหมือนแบบปลดล็อคเลยอ่ะทุกอย่างที่แบบ
00:14:53 → 00:14:58 เอ้าฉันเป็นแบบนี้หรอในในความที่แบบอเรา
00:14:58 → 00:15:01 ไม่ยอมให้ตัวเองอ่ะอ่อนแอหรือเสียใจอะไร
00:15:01 → 00:15:04 เลยถ้าอยากลองร้องเบอกว่าถ้าอยากร้องก็
00:15:04 → 00:15:09 ร้องไม่ต้องเก็บอือดีใจก็ดีใจอือเออรู้
00:15:09 → 00:15:11 สึกยังไงให้แสดงออกแบบนั้นอะไรประมาณ
00:15:11 → 00:15:15 เนี้ยค่ะด้วยแค่ประโยคแค่เนี้ยโอ้อืปลด
00:15:15 → 00:15:18 ล็อคเลยรู้สึกมันถูกอนุญาตเนาะใช่กลาย
00:15:18 → 00:15:21 เป็นว่าเอ้าก็ไม่ได้มีใครมาห้ามเรานะแต่
00:15:21 → 00:15:24 เราอ่ะดันไปห้ามตัวเองอืใช่ครับเออแล้วก็
00:15:24 → 00:15:26 งงๆสับสนในตัวเองคือมันอันเนี้มันเป็นอ
00:15:26 → 00:15:29 อะไรที่อธิบายไม่ได้จริงๆนะว่าในโมเมนต์
00:15:29 → 00:15:31 นั้นเนี่ยหลายๆครั้งต่อหลายๆครั้งที่เรา
00:15:31 → 00:15:36 แบบไม่ไม่ร้องเลยอ่ะอมันคืออะไรมันตอบตัว
00:15:36 → 00:15:38 เองไม่ได้ครับเออแล้วเราไม่ได้ลงไปสำรวจ
00:15:38 → 00:15:40 มันชัดๆเนาะจริงๆไอ้สิ่งพวกเนี้ยครับมัน
00:15:41 → 00:15:43 ก็เกิดขึ้นมาจากค่านิยมที่เราไปค่อยๆทยอย
00:15:43 → 00:15:46 รับมาอืจากจากการใช้ชีวิตแต่ละวันน่ะบาง
00:15:46 → 00:15:47 ครั้งเราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่อง
00:15:47 → 00:15:50 เรื่องพอเราเสียใจควรร้องไม่ควรร้องเรา
00:15:50 → 00:15:52 อาจจะไม่เคยมีความคิดในการตัดสินมันด้วย
00:15:52 → 00:15:54 ซ้ำอืจนจนกระทั่งเราเริ่มไปรู้จักเพื่อน
00:15:54 → 00:15:56 คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 เริ่มเห็นการ
00:15:56 → 00:15:59 ปฏิบัติตัวในสังคมของคนในสังคมเราอาจจะ
00:15:59 → 00:16:02 ค่อยๆไปรับเอาว่าเฮ้ยเราจะต้องไม่ร้องอือ
00:16:02 → 00:16:05 เพราะเราเห็นแนวคิดแบบนี้แบบนี้ว่าคนร้อง
00:16:05 → 00:16:08 มันคืออ่อนแอมันดูทุเรศทุรังมันดูเหมือน
00:16:08 → 00:16:11 ไปใส่ใจกับคนที่ไม่ควรใส่ใจปาๆอฮเราก็เลย
00:16:11 → 00:16:13 ใช้กฎกติกานั้นมาใช้กับตัวเองอือฮึจนจน
00:16:13 → 00:16:15 นานเกินไปเหมือนที่พี่รีบอกอ่ะครับเราก็
00:16:15 → 00:16:18 เลยค่อยๆค่อยๆลืมว่าจริงๆตัวเราเป็นใคร
00:16:18 → 00:16:20 รู้สึกยังไงแต่เราพยายามจะเป็นใครบางคน
00:16:20 → 00:16:22 ที่ไม่ใช่เราเพื่อแค่ให้สอดคล้องกับสิ่ง
00:16:22 → 00:16:25 ที่เป็นคอนเซปตสังคมที่อยากให้เราเป็น
00:16:25 → 00:16:27 หรือเราคิดว่ามันควรจะเป็นอืเออเพราะ
00:16:27 → 00:16:30 ฉะนั้นเรื่องการอนุญาตให้ตัวเองร้องผมคิด
00:16:30 → 00:16:34 ว่าหมายถึงว่าเสียใจก็ร้องดีใจก็ยิ้มอื
00:16:34 → 00:16:37 จริงๆมันเป็นเบสิคพื้นฐานที่ทุกคนควรจะ
00:16:37 → 00:16:40 ได้รับแต่แน่นอนผมจะพูดให้มันซับซ้อนขึ้น
00:16:40 → 00:16:43 นิดหน่อยเพราะว่าในการใช้ชีวิตจริงอ่ะ
00:16:43 → 00:16:46 ครับมันอาจจะไม่ใช่ทุกโมเมนต์ที่เราควรจะ
00:16:46 → 00:16:48 ร้องไห้อ่าฮะไม่ใช่ทุกโมเมนต์ที่เราดีใจ
00:16:48 → 00:16:51 แล้วยิ้มได้เพราะบางทีสถานการณ์ตรงนั้น
00:16:51 → 00:16:54 อาจจะมีศัตรูเราอยู่พอพอนึกภาพออกมั้ฮะ
00:16:54 → 00:16:56 อือฮึทีเนี้ยผมเลยไม่ได้จะบอกว่าทุกคนไม่
00:16:56 → 00:16:59 ควรแสดงความรู้สึกแต่ผมรู้สึกว่าทุกๆการ
00:16:59 → 00:17:02 แสดงความรู้สึกควรเลือกจังหวะและบริบทที่
00:17:02 → 00:17:06 เหมาะสมอันนี้อันนี้ถึงจะเป็นเรียกว่า
00:17:06 → 00:17:09 ขั้นของการใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจเราไม่
00:17:09 → 00:17:12 ปิดกั้นตัวเองที่จะเสียใจแล้วร้องไห้อฮ
00:17:12 → 00:17:14 แต่แต่แค่เลือกจังหวะว่าจังหวะนี้อาจจะ
00:17:14 → 00:17:17 ไม่งามหรืออาจจะส่งผลกระทบบางอย่างหรือ
00:17:17 → 00:17:20 จังหวะนี้ดีใจแล้วแบบโอ้โหดีใจออกนอกหน้า
00:17:20 → 00:17:22 เลยในขณะที่อาจจะมีใครบางคนที่แบบโดยพื้น
00:17:22 → 00:17:25 ฐานธรรมชาติเขาเป็นคนขี้อิจฉาคนอื่นพอ
00:17:25 → 00:17:27 เห็นเราดีใจปั๊บยิ้มปั๊บโอทีนี้มันเตรียม
00:17:27 → 00:17:30 ริษยาเราละมันเตรียมมาทำลายเราที
00:17:30 → 00:17:33 เพราะงั้นเรื่องพวกเนี้ยครับเราเลยต้อง
00:17:33 → 00:17:36 ต้องยอมรับในความเป็นเราไปพร้อมกับการ
00:17:36 → 00:17:39 สังเกตการใช้ชีวิตรอบตัวด้วยคู่กันอืแต่
00:17:39 → 00:17:42 ละเลยอะไรเลยไม่ได้ต้องดูทั้งคู่คือไม่
00:17:42 → 00:17:44 ได้หมายว่าเราจะแสดงออกได้แบบตามใจขนาด
00:17:44 → 00:17:47 นั้นแต่ถ้าเกิดว่าอยู่กับตัวเราเองเราถ้า
00:17:47 → 00:17:50 ปลอดภัยทำเลยครับถ้าปลอดภัยทำเลยจะฟัง
00:17:50 → 00:17:52 เพลงเศร้าเพื่อให้เรียกต่อมน้ำตาว่าไป
00:17:53 → 00:17:56 ซีรียส์เศร้าโศกแค่ไหนวะดูไปเลยกวักน้ำตา
00:17:56 → 00:17:58 ออกมาให้ได้ใช่ที่ผมต้องพูดอันนี้กำกับ
00:17:58 → 00:18:01 เพราะว่าผมผมเห็นด้วยกับการที่คนเรารู้
00:18:01 → 00:18:04 สึกยังไงเราได้แสดงออกแต่ขณะเดียวกันน่ะ
00:18:04 → 00:18:06 สมมุตินะเกิดมีคนบอกว่าแล้วถ้าเกิดเราดี
00:18:06 → 00:18:09 ใจให้ดีใจแล้วเราก็แบบไปกระโดดกระโดดต่อ
00:18:09 → 00:18:12 หน้าคนที่แบบกำลังเสียใจแล้วเศร้ามากอ
00:18:12 → 00:18:15 เกิดมันแค้นมีดจิ้มเราอย่างเงี้ยสมมุตินะ
00:18:15 → 00:18:17 เงี้ยก็เป็นไปได้นะใช่ครับเพราะงั้น
00:18:17 → 00:18:19 เรื่องพวกเนี้ยมันเลยต้องพิจารณา 2 อัน
00:18:19 → 00:18:22 นี้ประกอบกันคู่กันแต่ไม่ได้หมายความว่า
00:18:22 → 00:18:25 มัวแต่สนใจคนอื่นจนลืมดีใจกับตัวเองแต่
00:18:25 → 00:18:27 เพียงแค่ว่างั้นเดี๋ยวเราชะลอไว้ก่อนนะ
00:18:27 → 00:18:29 มันยังไม่ใช่การละเทศะที่เหมาะสมไว้ผ่าน
00:18:29 → 00:18:32 นี้ไปปั๊บเราค่อยไปเฮกับพ่อแม่เรากับงาน
00:18:32 → 00:18:34 เลี้ยงที่แบบไม่ต้องมีใครรับรู้อไม่ต้อง
00:18:34 → 00:18:38 ถ่ายรูปอวดเราทำได้ปลอดภัยออืแล้วอย่าง
00:18:38 → 00:18:41 โมเมนต์บางทีคือมันพูดไม่ออกอ่ะเศร้ามัน
00:18:41 → 00:18:46 มันมันระดับไหนมันถึงแบบถึงขั้นกว่าโหมัน
00:18:46 → 00:18:48 พูดไม่ออกเลยอ่ะไม่รู้จะเล่ายังไงหรือว่า
00:18:48 → 00:18:51 จะคือมันเป็นความเศร้าที่อธิบายไม่ได้
00:18:51 → 00:18:53 เข้าใจครับมันอาจจะเป็นอะไรแรงกดที่มัน
00:18:53 → 00:18:56 อัดเป็นก้อนๆไว้จนเราไม่ได้เรียบเรียงมัน
00:18:56 → 00:18:58 ออกมาทีเนี้ยการการเรียกเรียบเรียงจะขึ้น
00:18:58 → 00:19:00 อยู่กับว่าเราจะค่อยๆได้พูดค่อยๆเล่ามั้ย
00:19:00 → 00:19:03 จะแต่แต่ถ้ามีคนฟังจะช่วยได้ดีเพราะการ
00:19:03 → 00:19:06 ที่มีคนฟังอ่ะมันจะเหมือนกับว่าเราจะค่อย
00:19:06 → 00:19:08 ๆเล่าความเป็นไปเป็นมาเพื่อให้อีกฝ่ายรับ
00:19:08 → 00:19:10 รู้ว่ามันอ๋อมันเรียงอย่างงี้อีกฝ่ายอาจ
00:19:10 → 00:19:12 จะช่วยถามก็ได้จนเราค่อยๆเข้าใจว่าอ๋อ
00:19:12 → 00:19:14 เรื่องมันเรียบเรียงมาแบบนี้นะเราถึงเข้า
00:19:14 → 00:19:17 ใจตัวเองอืออืถ้ามีคนฟังได้ก็จะดีครับ
00:19:17 → 00:19:19 หรือบางทีอาจจะถามเ้าก็ได้ว่าถ้าเราเป็น
00:19:19 → 00:19:21 คนฟังอ่ะเนาะเราก็อาจจะถามว่าตอนนี้รู้
00:19:21 → 00:19:26 สึกยังไงอืคือคือเคยเคยเจอหลายๆคนที่เค้า
00:19:26 → 00:19:29 ไม่รู้จะร้องไห้กับใครเหมือนกันนะหรือแบบ
00:19:29 → 00:19:31 ไม่ไม่ได้อยากจะร้องไห้หรืออะไรเงี้ยบาง
00:19:31 → 00:19:33 ทีเราก็ต้องบอกเค้าเหมือนกันเพราะว่าเรา
00:19:33 → 00:19:35 ผ่านเคยผ่านในโมเมนต์แบบนั้นมาแล้วเราจะ
00:19:35 → 00:19:38 เข้าใจอือฮึว่าไม่ควรเก็บเอาไว้อ่ะก็เลย
00:19:38 → 00:19:43 บอกว่าถ้าอยากร้องให้ร้องอืไม่ต้องไปเก็บ
00:19:43 → 00:19:46 ให้มันระบายออกมาใช่เออถ้าปลอดภัยก็ร้อง
00:19:46 → 00:19:50 ใช่เออไม่ต้องแบบว่าไปโอโหไปร้องไห้กับ
00:19:50 → 00:19:54 ใครที่แบบอืมันมีแบบนี้เหมือนกันนะครับผม
00:19:54 → 00:19:56 จะมีลูกค้าบางท่านก็พูดเรื่องพวกนี้แหละ
00:19:56 → 00:19:57 ที่บอกว่ารู้สึกอยากลองร้องไห้แต่ร้องไม่
00:19:57 → 00:20:01 ออกอือฮึแล้วก็เค้าก็นัดเข้ามาปรึกษาที
00:20:01 → 00:20:02 นี้พอคุยเสร็จเนี่ยในระหว่างคุยเค้าไม่
00:20:02 → 00:20:04 ร้องไห้เลยครับแต่เค้าอาจจะมีช่วงแบบร้อง
00:20:04 → 00:20:06 ไห้นิดหน่อยน้ำตารื้อนิดหน่อยแล้วก็เช็ด
00:20:06 → 00:20:10 นิดหน่อยอือฮึอะไรเงี้ยแล้วเาก็เอ่อโอเค
00:20:10 → 00:20:13 คุยเสร็จเสบายใจสบายใจเสร็จปั๊บกลับไปเ
00:20:13 → 00:20:17 ร้องไห้น้ำตาแตกเลยก็มีอืเออเพราะว่าการ
00:20:17 → 00:20:18 อยู่กับนักจิตนะครับบางครั้งมันคือคนแปลก
00:20:18 → 00:20:20 หน้าที่เขาเพิ่งรู้จักอ่าเค้าอาจจะรู้สึก
00:20:20 → 00:20:23 ปลอดภัยรู้สึกสบายใจที่ได้คุยแต่การคุย
00:20:23 → 00:20:25 มันก็ใช้ความคิดใช้การเข้าใจการพิจารณา
00:20:25 → 00:20:27 ค่อนข้างเยอะมันก็เลยไม่ได้มีโมเมนต์ที่
00:20:28 → 00:20:30 จะมานั่งร้องไห้อย่างเดียวเออเพราะว่าถ้า
00:20:30 → 00:20:33 เกิดแบบคุยๆร้องไห้เลยอ่ะไม่ได้คุยพอดี
00:20:33 → 00:20:34 ไม่ได้เล่าหมดเวลาใช่แต่บางคนเค้าก็อาจจะ
00:20:34 → 00:20:37 แบบรู้สึกเลือกที่จะยังไม่ร้องอ๋อมี
00:20:37 → 00:20:38 เหมือนกันบางคนเก็พิมพ์เล่าว่าหลังจาก
00:20:38 → 00:20:41 กลับบ้านไปเไปร้องร้องไห้ใหญ่เลยแต่เขา
00:20:41 → 00:20:43 รู้สึกสบายใจอือๆก็มีเหมือนเหมือนไม่ใช่
00:20:43 → 00:20:46 ร้องบอเศร้านะแต่เขาร้องเหมือนคล้ายๆร้อง
00:20:46 → 00:20:49 ทั้งมุมที่เห็นใจตัวเองกับสิ่งที่ผ่านมา
00:20:49 → 00:20:52 ร้องทั้งในมุมที่แบบเหมือนเหมือนผ่านจาก
00:20:52 → 00:20:55 เรื่องนี้ไปได้แล้วดีใจอือฮึหลายๆอย่าง
00:20:55 → 00:20:57 แต่เขาเลยเป็นความรู้สึกปิติ
00:20:57 → 00:20:59 เป็นเป็นทั้งความรู้สึกเห็นใจตัวเองและ
00:20:59 → 00:21:01 ปิติยินดีที่ได้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วย
00:21:01 → 00:21:04 ความเข้าใจอือเออบางคนก็กลับไปร้องไห้ที
00:21:04 → 00:21:06 หลังก็มีครับเออใช่ก็เชื่อว่าน่าจะหลายๆ
00:21:06 → 00:21:09 คนผ่านเพราะผ่านเหตุการณ์ไปอ่ะแล้วพอได้
00:21:09 → 00:21:11 มาอยู่โมเมนต์ที่แบบเฮ้ยมันคนเดียวละ
00:21:11 → 00:21:14 เงียบๆละแต่เริ่มรู้สึกละใช่ครับในความ
00:21:14 → 00:21:17 รู้สึกนั้นก็ไม่ต้องเก็บกดไว้คืออยากร้อง
00:21:17 → 00:21:20 ก็ร้องใช่ครับแล้วพอร้องเสร็จเค้าก็จะหาย
00:21:20 → 00:21:24 เออมันจะดีขึ้นเลยนะคะไม่ได้ให้แบบว่า
00:21:24 → 00:21:26 เอ่อจะต้องวิ่งไปให้ร้องไห้ภัยหรืออะไร
00:21:26 → 00:21:28 เงี้ยบางทีอยู่ในห้องตัวเองอ่ะแล้วร้อง
00:21:28 → 00:21:32 ให้มันแบบสุดอยากจะแบบอร้องแบบฮือเสียง
00:21:32 → 00:21:34 ดังร้องโฮเสียงดังหรืออะไรเงี้ยหรือถ้า
00:21:34 → 00:21:37 กลัวใครได้ยินหมอนมาปิดไว้นิดหน่อยก็ได้
00:21:37 → 00:21:39 อยากร้องร้องไปเลยค่ะอือมันจะสบายใจแล้ว
00:21:39 → 00:21:42 ดีขึ้นใช่ค่ะคนบางคนอาจจะใช้วิธีการเขียน
00:21:42 → 00:21:44 ก็มีนะเแบบไม่อยากเล่าก็ใช้วิธีเขียนก็
00:21:44 → 00:21:46 ได้เหมือนกันอเออระบายออกมาใช่มั้เขียน
00:21:46 → 00:21:49 วาดภาพหรือบางคนอาจจะฟังเพลงที่แบบไปทัช
00:21:49 → 00:21:52 อารมณ์เค้าแล้วบางทีพอทัชปั๊บอาจจะร้อง
00:21:52 → 00:21:55 ได้คือร้องเองไม่ออกบิวไม่ออกให้หนังบิ
00:21:55 → 00:21:57 หนังบิซีรียส์อ่ะประจำเลยอ่ะตอนท้ายอ่ะ
00:21:57 → 00:21:59 พระเอกนางเอกหรืออะไรก็แล้วแต่เนี่ยมันทำ
00:21:59 → 00:22:03 ให้เราแบบอไอ้สิ่งที่เราควรร้องอ่ะเราไป
00:22:03 → 00:22:06 ร้องกับไอ้เรื่องซีรียส์แล้วอ่ะเราก็เออ
00:22:06 → 00:22:08 แต่มันก็ได้ระบายเนาะมันก็จะไม่ได้เศร้า
00:22:08 → 00:22:11 เรื่องที่เราลองไม่ออกตรงนั้นไปอือๆก็
00:22:11 → 00:22:14 เป็นไปได้ใช่ครับอือคือเศร้ากี่ครั้งก็
00:22:14 → 00:22:17 ได้แล้วแต่ใช่เช่าไปเลยครับอือแต่ว่าสุข
00:22:17 → 00:22:19 ทุกข์เนาะเป็นเรื่องที่มันผ่านเวียนวนมา
00:22:19 → 00:22:21 ชั่วคราวทั้งนั้นแหละแต่ว่าชั่วคราวเนี้ย
00:22:21 → 00:22:24 จะยาวจะสั้นบางทีขึ้นกับการทำความเข้าใจ
00:22:24 → 00:22:27 ปัญหาชีวิตด้วยนะถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ
00:22:27 → 00:22:29 ปัญหาชีวิตให้ดีบางทีเราจะต้องเจอความ
00:22:29 → 00:22:31 เศร้าซ้ำแล้วซ้ำอีกอืแต่ถ้าเกิดเข้าใจว่า
00:22:31 → 00:22:33 อ๋อสาเหตุต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเศร้า
00:22:34 → 00:22:36 ความทุกข์นี้เกิดจากอะไรแล้วเราเริ่มรู้
00:22:36 → 00:22:38 วิธีตัดอ่ะครับแพทเทิร์นมันจะไม่เกิดซ้ำ
00:22:38 → 00:22:41 อืเออแล้วเราจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้
00:22:41 → 00:22:43 หรือรู้สึกมานั่งเศร้าร้องไม่ออกอีกแล้ว
00:22:43 → 00:22:46 ก็ถ้าเกิดว่าแบบเศร้าจนมันไม่ได้เศร้า
00:22:46 → 00:22:50 อะไรไปแล้วอ่ะมันเฉยชามันชินไปก็ก็ไม่
00:22:50 → 00:22:53 เป็นไรก็เอาตามที่ตัวเองรู้สึกตามอารมณ์ณ
00:22:53 → 00:22:56 ตอนนั้นอยากย้อนกลับมาเศร้าเมื่อไหร่ค่อย
00:22:56 → 00:22:58 มาเศร้าแต่อย่าเศร้านานจนซึมจนแล้วก็กลาย
00:22:59 → 00:23:02 เป็นซึมเศร้าไปในอนาคตก็ฝากคนที่อยู่ข้าง
00:23:02 → 00:23:05 ๆคนที่เ้าเอาบางทีเไม่ได้ร้องแต่ไม่ได้
00:23:05 → 00:23:06 หมายความว่าเขาไม่เสียใจหรือไม่รู้สึก
00:23:06 → 00:23:09 อะไรเพียงแต่เขาอาจจะอธิบายไม่ได้รู้จะ
00:23:09 → 00:23:12 ร้องตรงไหนที่ปลอดภัยเออพฤติกรรมหรือว่า
00:23:12 → 00:23:15 ดูเอ๊ะมันมีอะไรดูไม่ชอบมาพาลเ้าแบบดูซึม
00:23:15 → 00:23:19 ไปดูอะไรไปอาจจะทำให้เค้าไปถึงถึงขั้นซึม
00:23:19 → 00:23:22 เศร้าได้เนี่ยก็อาจจะต้องเข้าไปพูดคุยอ
00:23:22 → 00:23:25 ช่วยเหลือกันหน่อยตั้งแต่ต้นๆน่าจะดีกว่า
00:23:25 → 00:23:29 นะคะฝากไว้ด้วยครับผมเอาจะช่วยทุกคนที่
00:23:29 → 00:23:33 กำลังเศร้าคุณจะผ่านไปได้ครับไม่ได้บอก
00:23:33 → 00:23:35 ให้ไม่เศร้าแต่ไม่ได้บอกให้สู้เอาเท่าที่
00:23:35 → 00:23:39 ไหวนะคะโอเคขอบคุณคุณเอิ้ลค่ะสวัสดีค่ะ
00:23:39 → 00:23:41 หมดเวลาแล้วค่ะพบกันใหม่ครั้งหน้ากับราย
00:23:41 → 00:23:44 การโรงหมอทางไทย PBS พcastนะคะวันนี้ลาไป
00:23:44 → 00:23:46 ก่อนสวัสดีค่ะ
00:23:46 → 00:23:49 This is Thai PBS Podcast Office
00:23:49 → 00:23:51 Syndrome ใช้โรคอย่างที่เราเข้าใจหรือ
00:23:51 → 00:23:53 เปล่าแล้วอาการอะไรบ้างที่เรามักเรียก
00:23:53 → 00:23:57 เหมารวมดร.นายแพทย์จตุพลคงถาวรสกุลแพทย์
00:23:57 → 00:23:59 ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ
00:23:59 → 00:24:02 มาเล่าให้ฟังครับนี่เล่าให้ฟังก่อนออฟฟิศ
00:24:02 → 00:24:05 syrดมเนี่ยนะจริงๆแล้วอ่ะเชื่อมยมีเฉพาะ
00:24:05 → 00:24:07 ในประเทศไทยเท่านั้นมันเดือดร้อนจน
00:24:07 → 00:24:10 กระทั่งถึงแบบโรงพยาบาลใหญ่ๆอ่ะอย่าง
00:24:10 → 00:24:12 ศิริราชอย่างเงี้ยเต้องเขียนตำราออกมาคำ
00:24:12 → 00:24:15 ถามคือOffฟiceSyนrมคืออะไรสรุปอฟิศSyนrม
00:24:15 → 00:24:17 เป็นกล้ามเนื้ออักเสบเป็นหมอรองกระดูกข้อ
00:24:17 → 00:24:20 ทับเส้นประสาทเป็นปอกเส้นเอนอักเสบที่มือ
00:24:20 → 00:24:22 จุดก่อเส้นเอนอักเสบที่ศอกเป็นอะไรกันแน่
00:24:22 → 00:24:25 ลองคิดดูดิเกิดเข้าไปเนี่ยหมอบอกเป็นอฟิศ
00:24:25 → 00:24:28 syrมแล้วกลับบ้านน่ะเรางงเลยนะเอ๊ะอฟิศ
00:24:28 → 00:24:31 syนrมอ๋อเออเราทำงานออฟฟิศsyนrมคือกลุ่ม
00:24:31 → 00:24:34 อาการอ๋อวันนี้คุณเป็นกลุ่มอาการที่เกิด
00:24:34 → 00:24:37 จากการทำงานออฟฟิศมันเป็นโรคที่ไหนล่ะอ
00:24:37 → 00:24:40 มันเป็นสาเหตุต่างหากอืคำว่าอฟิศsyนrมมัน
00:24:40 → 00:24:44 ไม่ใช่วินิจฉัยมันเป็นสาเหตุเพราะออฟฟิศ
00:24:44 → 00:24:46 เนี่ยมันเลยทำให้เขาเป็นโรคแต่ถามว่าเป็น
00:24:46 → 00:24:50 โรคอะไรไม่รู้ถ้าไปดูตามงานวิจัยในประเทศ
00:24:50 → 00:24:54 ไทยเราอ่ะแต่ทีนี้ในความหมายในเซ้น์ของคน
00:24:54 → 00:24:57 ทั่วๆไปอ่ะคำว่าอฟิศsyrมเขาจะหมายถึง
00:24:57 → 00:25:01 อาการปวดคอหรือปวดหลังเรื้อรังเกิดมาจาก
00:25:01 → 00:25:04 การทำงานออฟฟิศแต่ว่าจริงๆในกลุ่มอาการ
00:25:04 → 00:25:06 เนี้ยที่เขาระบุอ่ะนะเจะพูดถึงข้อมือข้อ
00:25:06 → 00:25:10 ศอกเส้นเอ็นทั้งหลายที่เกิดมาจากการนั่ง
00:25:10 → 00:25:13 นานๆในท่าเดิมซ้ำๆทีนี้มันประกอบไปด้วย
00:25:13 → 00:25:15 อะไรบ้างผมว่าเราต้องแบ่งเป็นเรื่องหลัง
00:25:15 → 00:25:20 คอกับศอกแขนมืออ่าศอกแขนมือเนี่ยก็จะเป็น
00:25:20 → 00:25:24 พวกนิ้วล็อคบอกเส้นเอ็นอักเสบเดอกาแวงแง
00:25:24 → 00:25:26 เอ่อโรคจุดก่อเส้นเอักเสบเทนนิเซลโบพวก
00:25:26 → 00:25:28 เนี้ยซึ่งเกิดจากการพิมพ์ความนานๆอันนี้
00:25:28 → 00:25:31 เป็นได้ถ้าเป็นคอหลังเนี่ยก็จะเป็นได้
00:25:31 → 00:25:34 ตั้งแต่กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรังซึ่งเกิด
00:25:34 → 00:25:37 จากการที่เรานั่งท่าเดิมนานๆหรือถ้าปวดคอ
00:25:37 → 00:25:40 เกิน 6 เดือนหรือปีนึงขึ้นไปแล้วปวดซ้ำๆ
00:25:40 → 00:25:42 เป็นด้านเดียวมีร้าวลงแขนพวกนี้ก็อาจจะ
00:25:42 → 00:25:46 เป็นหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทได้หรือ
00:25:46 → 00:25:49 อาจจะเป็นแค่หมอนรองกระดูกคอเสื่อม
00:25:49 → 00:25:52 ปัจจุบันเนี่ยเราพบว่าเด็กเจนซีที่มีอายุ
00:25:52 → 00:25:55 ประมาณ 20-20 28 ปีเนี่ยนะก็เป็นหมอนรอง
00:25:55 → 00:25:57 กระดูกคอเสื่อมกันแล้วเพราะว่าปัญหาคือ
00:25:57 → 00:26:01 เด็กเนี่ยเค้ามีความอดทนในการนั่งอยู่
00:26:01 → 00:26:04 หน้าคอมมากกว่าคนอายุมากกว่ามันก็ทำให้
00:26:04 → 00:26:06 น้ำหนักหรือโหลดเนี่ยมันไปลงที่หมอนรอง
00:26:06 → 00:26:09 กระดูกพอลงหมอนรองกระดูกเยอะปุ๊บเนี่ยไอ้
00:26:09 → 00:26:12 ตัวหมอนรองกระดูกมันก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ
00:26:12 → 00:26:15 คือผมมาพูดเสมอนะคนที่เป็นกล้ามเนื้อ
00:26:15 → 00:26:18 อักเสบคอเนี่ยนะหรือปวดคอมานานๆเกิน 6
00:26:18 → 00:26:21 เดือนเนี่ยถ้าเป็นไปได้นะไปเrayหรือ MRI
00:26:21 → 00:26:24 สักทีนึงถ้าเป็นหมอนรองกระดูกคอรับเส้น
00:26:24 → 00:26:26 ประสาทกินยาแก้อักเสบมันก็ไม่ค่อยหายต้อง
00:26:26 → 00:26:30 กินยาแก้อักเสบของเส้นประสาทแล้วก็กิน
00:26:30 → 00:26:33 วิตามิน B162 พวกเนี้ยจะทำให้อาการปวด
00:26:33 → 00:26:35 ร้าวลงแขนมันดีขึ้นเพราะเส้นประสาทมันยุบ
00:26:35 → 00:26:38 บวมพออาการปวดมันหายปุ๊บอย่าชะล่าใจคน
00:26:38 → 00:26:40 ส่วนใหญ่พอหายปวดทำไงอ้าวหลัล้าเลยทำคอม
00:26:41 → 00:26:43 เหมือนเดิมทุกอย่างเหมือนเดิมใช่มั้แล้ว
00:26:43 → 00:26:45 ก็รู้สึกว่าเฮ้ยไม่เป็นไรมันหายแล้วมัน
00:26:45 → 00:26:48 ไม่หายมันยังอยู่แต่ว่ามันไม่มีอาการ
00:26:48 → 00:26:50 เพราะเส้นประสาทมันไม่บวมมันไม่บวมอ่ะใช่
00:26:50 → 00:26:54 ฉะนั้นเราต้องออกกำลังกาย
00:26:54 → 00:26:55 [เพลง]
00:26:55 → 00:26:59 This is Thai PBS
00:26:59 → 00:27:02 Podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:27:02 → 00:27:04 Podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:27:04 → 00:27:06 www.thaipspodcast.com
00:27:06 → 00:27:09 thapbspodcast.com แอปพลิเคช Thai PBBS
00:27:09 → 00:27:13 Podcast รวมถึงฟังผ่านพcastช่องทางอื่นๆ
00:27:13 → 00:27:17 Spotify YouTube Apple Podcast และ
00:27:17 → 00:27:18 Soundcloud เ้า
00:27:18 → 00:27:22 [เพลง]