00:00:07 → 00:00:10 สำหรับช่วงนี้ท่านผู้ชมจะได้เรียนรู้
00:00:10 → 00:00:13 ทักษะพื้นฐานในการสื่อสารที่เป็นปัจจัยใน
00:00:13 → 00:00:15 การปรับพฤติกรรมและลดปัญหาการติดเกมใน
00:00:15 → 00:00:18 เด็กเนื้อหาจะเป็นอย่างไรเราไปชมภาพพร้อม
00:00:18 → 00:00:21 กันครับพอพูดถึงทักษะพื้นฐานในการสื่อสาร
00:00:21 → 00:00:24 นะเราก็ต้องพูดถึงเรื่องของการสื่อสาร
00:00:24 → 00:00:28 ก่อนการสื่อสารคืออะไรคะการสื่อสารก็เป็น
00:00:28 → 00:00:32 การที่คนสองคนหรือหลายๆคนพยายามที่จะให้
00:00:33 → 00:00:35 ข้อมูลแลกเปลี่ยนกันพอพูดถึงสื่อสารปุ๊บ
00:00:36 → 00:00:38 นึกถึงอะไรบ้าง
00:00:38 → 00:00:40 การพูดคุยมีอะไรอีก
00:00:40 → 00:00:42 การเขียนได้ไหม
00:00:42 → 00:00:45 มีอะไรอีก
00:00:45 → 00:00:47 การอ่าน
00:00:47 → 00:00:50 ภาษากายมาก
00:00:50 → 00:00:51 แต่ใช่
00:00:51 → 00:00:53 ภาพมีอะไรอีก
00:00:54 → 00:00:58 สัญญาณขวัญอินเดียแดงที่รับสื่อสารใช่ไหม
00:00:58 → 00:01:01 คะเยอะแยะการสื่อสารมีหลายรูปแบบใช่ไหม
00:01:01 → 00:01:03 ถ้าเปิดใน
00:01:03 → 00:01:05 ราชบัณฑิตยสถานเขาจะบอกว่าสื่อเนี่ยมัน
00:01:06 → 00:01:08 คือการติดต่อให้ถึงการเนาะอย่างเช่นสื่อ
00:01:09 → 00:01:09 ความหมาย
00:01:09 → 00:01:13 ใช่ไหมแล้วก็สานเนี่ยก็คือข้อความหรือ
00:01:13 → 00:01:17 ถ้อยคำเรื่องราวเพราะเอามารวมกันกลายเป็น
00:01:17 → 00:01:21 การสื่อสารก็คือการนำเอาถ้อยคำข้อความ
00:01:21 → 00:01:23 หรือว่าหนังสือเนี่ยของฝ่ายหนึ่งไปให้อีก
00:01:24 → 00:01:25 ฝ่ายหนึ่ง
00:01:25 → 00:01:28 สิ่งที่เราเคยสื่อสารกับลูก
00:01:28 → 00:01:29 เนาะ
00:01:29 → 00:01:32 ที่เราเคยได้ยินว่าแก่นสารใช่ไหมคะสื่อ
00:01:32 → 00:01:36 สารกับลูกเนี่ยเราได้สื่อถึงเจตนาเราจริง
00:01:36 → 00:01:41 ๆหรือเปล่าคำพูดเราจริงๆหรือเปล่า
00:01:41 → 00:01:43 น่าคิดไหม
00:01:43 → 00:01:45 เวลาการสื่อสารเนี่ยมันก็ต้องอาศัยทักษะ
00:01:45 → 00:01:47 นะ
00:01:47 → 00:01:50 การพูดปกติใช่มันคือการสื่อสารอย่างหนึ่ง
00:01:50 → 00:01:54 แต่การสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมันต้อง
00:01:54 → 00:01:57 อาศัยทักษะแล้วก็ต้องแบ่งเป็นทักษะการพูด
00:01:57 → 00:01:59 และทักษะการฟัง
00:01:59 → 00:02:01 ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ถ้าเราพูด
00:02:01 → 00:02:04 อย่างเดียวไม่ฟังเป็นยังไง
00:02:04 → 00:02:07 โลกเรายุ่งเหยิงนะ
00:02:07 → 00:02:09 พูดอย่างเดียวไม่มีใครฟังใคร
00:02:09 → 00:02:11 หรือเราฟังอย่างเดียวเราไม่เคยพูดออกไป
00:02:11 → 00:02:13 เลยว่าเรารู้สึกยังไงเราคิดอะไร
00:02:13 → 00:02:14 เป็นยังไง
00:02:14 → 00:02:17 ไม่เข้าใจการนะคะ
00:02:17 → 00:02:20 เพราะฉะนั้นมันต้องผสมผสานกันทั้งสอง
00:02:20 → 00:02:21 อย่างถึงจะเป็นการสื่อสารที่มี
00:02:21 → 00:02:26 ประสิทธิภาพที่นี้อยากให้ดูในใบที่เพิ่ง
00:02:26 → 00:02:27 แจกไปนะคะ
00:02:27 → 00:02:30 เคยใช้คำพูดอย่างนี้กับลูกบ้างไหมเดี๋ยว
00:02:30 → 00:02:35 รบกวนคุณรัษฎาภรณ์เนาะอ่านไปด้วยจะได้อิน
00:02:35 → 00:02:37 นะคะ
00:02:37 → 00:02:40 ลองติ๊กดูเนอะในนี้จะมีช่องว่าเคยพูดไม่
00:02:40 → 00:02:44 เคยพูดนะคะลองติ๊กดูแล้วก็พอเสร็จแล้ว
00:02:44 → 00:02:47 เนี่ยลองนับคะแนนตรงที่เคยพูดกันว่าได้
00:02:47 → 00:02:51 สักเท่าไหร่เริ่มเลยค่ะนี่อย่ามาขึ้น
00:02:51 → 00:02:55 เสียงกับแม่นะหยุดเล่นเกมเดี๋ยวนี้นึกออก
00:02:55 → 00:02:58 ไหมลูกนั่นแหละที่ทำให้แม่เขาโกรธดูลูก
00:02:58 → 00:03:03 ข้างบ้านสิเขาขยันเรียนออกใครๆเขาก็บอก
00:03:03 → 00:03:06 ทั้งนั้นว่าลูกเป็นเด็กไม่เอาไหนหัดมี
00:03:06 → 00:03:09 ความลับผิดชอบเสียบ้างโตแล้วนะยังทำตัว
00:03:09 → 00:03:13 เป็นเด็กๆไปได้นี่หนูควรจะทำตัวดีๆนะน้อง
00:03:13 → 00:03:17 จะได้นับถือคุณป้ายังบอกเลยว่าหนูอ่ะควร
00:03:17 → 00:03:21 จะเลิกเล่นเกมได้แล้วก็หนูทำตัวแบบนี้พ่อ
00:03:21 → 00:03:24 แม่ถึงต้องบ่นต้องว่าวันๆไม่เรียนหนังสือ
00:03:24 → 00:03:28 โตขึ้นจะเอาอะไรกินลองนับคะแนนซิในช่อง
00:03:28 → 00:03:32 ที่เคยพูดเรามีกี่ข้อเนี่ย
00:03:32 → 00:03:34 ใครไม่เคยพูดเลย
00:03:34 → 00:03:37 ตอนที่คุณพ่อคุณแม่พูดออกมาเนี่ยคิดอะไร
00:03:37 → 00:03:39 อยู่
00:03:39 → 00:03:43 อย่ามาขึ้นเสียงกับแม่นะ
00:03:43 → 00:03:45 จริงๆอยากให้ลูกเป็นยังไงคะ
00:03:45 → 00:03:50 พูดดีๆใช่หยุดเล่นเกมเดี๋ยวนี้
00:03:50 → 00:03:53 เจตนาคือ
00:03:53 → 00:03:55 อยากให้หยุดเล่น
00:03:55 → 00:03:59 มาทำอย่างอื่นได้แล้วลูกใช่ไหมคะ
00:03:59 → 00:04:02 ลูกนั่นแหละทำให้แม่เขาโกรธ
00:04:02 → 00:04:05 ดูลูกข้างบ้านสิเขาขยันเรียนออกอันนี้นี่
00:04:05 → 00:04:08 จริงๆต้องการจะบอกว่า
00:04:08 → 00:04:11 ขยันหน่อยลูกใช่ไหมคะ
00:04:11 → 00:04:14 แล้วเพราะอะไรเราถึงต้อง
00:04:14 → 00:04:18 เป็นคำพูดแบบอื่นหมดเลยเจตนาอย่าลืมศาล
00:04:18 → 00:04:20 แก่นแท้ใช่ไหม
00:04:20 → 00:04:23 แก่นพวกนี้เจตนาพวกนี้ส่งถึงลูกนะถ้าเรา
00:04:23 → 00:04:25 ใช้คำพูดพวกนี้
00:04:25 → 00:04:28 ไม่รู้ใช่ไหมคะหลายท่านใส่หน้าเพราะ
00:04:28 → 00:04:31 ฉะนั้นศาลเนี่ยในทางจิตวิทยาที่เราบท
00:04:31 → 00:04:33 เรียนกันเนี่ยเราจะมีอยู่ 3 แบบด้วยกันนะ
00:04:33 → 00:04:35 คะขออนุญาตใช้เป็นภาษาอังกฤษเขาจะจำได้
00:04:35 → 00:04:40 ง่ายเนาะมี 3 ลักษณะลักษณะแรก I Message
00:04:40 → 00:04:53 I คืออะไรตัวเราจำเป็นอย่างนี้นะคะ
00:04:53 → 00:05:04 คือฝ่ายตรงข้ามคีย์ all day message
00:05:04 → 00:05:08 แต่จริงๆแล้วสารที่เราจะส่งมันถึงลูกหรือ
00:05:08 → 00:05:10 เปล่าถ้าเราใช้คำพูดพวกนี้เดี๋ยวเรามาดู
00:05:10 → 00:05:14 กันนะคะอย่างถ้าเกิดเป็น iMessage มาดู
00:05:14 → 00:05:15 ตัวอย่างประโยค
00:05:15 → 00:05:18 แม่รู้สึกเสียใจนะที่ไม่รู้เรื่องนี้มา
00:05:18 → 00:05:21 ก่อนลองเล่าให้แม่ฟังซิว่าเรื่องราวเป็น
00:05:21 → 00:05:27 ยังไงรู้สึกยังไงคะเวลาฟังคำพูดพวกนี้
00:05:27 → 00:05:29 เอาความรู้สึกก่อน
00:05:29 → 00:05:33 ที่เราพูดคำนี้นะคะจากนั้นทำให้เด็กเขา
00:05:33 → 00:05:36 รู้สึกว่าเราน่ะมีความรักความห่วงใยเขา
00:05:36 → 00:05:40 อ่ะค่ะประโยคถัดไปนะแม่เป็นห่วงที่ลูก
00:05:40 → 00:05:43 กลับบ้านช้าไม่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
00:05:43 → 00:05:45 ฟังแล้วรู้สึกยังไง
00:05:45 → 00:05:48 เอาสถานการณ์ปกติถ้าลูกกลับบ้านช้าพ่อแม่
00:05:48 → 00:05:50 เป็นไง
00:05:50 → 00:05:55 กระวนกระวายแล้วพอลูกโผล่หน้าไม่เห็นปุ๊บ
00:05:55 → 00:05:57 ทำอะไรมา
00:05:57 → 00:06:00 ห๊ะบ้านช่องไม่รู้จะกลับโทรมาบอกจะเป็นจะ
00:06:00 → 00:06:03 ตายไหมเป็นชุดใช่ไหมคะ
00:06:03 → 00:06:08 เมื่อเทียบกับประโยคนี้
00:06:08 → 00:06:10 นุ่มกว่าใช่ไหมคะ
00:06:10 → 00:06:14 สังเกตอีกอันนึงไม่อยากให้ลูกลองพยายาม
00:06:14 → 00:06:16 อีกครั้งนะ
00:06:16 → 00:06:18 เป็นไงคะ
00:06:18 → 00:06:20 ฟังแล้วรู้สึกยังไง
00:06:20 → 00:06:22 รู้สึกอยากทำตาม
00:06:22 → 00:06:26 สังเกตเพราะอะไรถึงต้องทาสีไว้
00:06:26 → 00:06:29 I Message ใช่ยังไงคะคุณพ่ออยากให้ลูก
00:06:29 → 00:06:33 รู้ว่าเราต้องการจะสื่ออะไรให้เขา
00:06:33 → 00:06:37 ยังไงคะ
00:06:37 → 00:06:41 รับรู้เยี่ยมมากค่ะคุณพ่อไอ Message นะคะ
00:06:42 → 00:06:45 เป็นการสื่อสารที่เราจะบอกว่าเรารู้สึก
00:06:45 → 00:06:50 ยังไงคนพูดเป็นคนรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง
00:06:50 → 00:06:52 จะไม่มีการโทษคนอื่นเห็นไหม
00:06:52 → 00:06:55 ทุกประโยคมันอยู่ว่าเรารู้สึกยังไงเราคิด
00:06:55 → 00:06:58 ยังไงเราบอกออกไปตรงที่สุด
00:06:58 → 00:07:01 แม่รู้สึกเสียใจแม่เป็นห่วงแม่อยากให้ลูก
00:07:01 → 00:07:03 ลองพยายามอีกครั้ง
00:07:03 → 00:07:05 สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากตัวเรา
00:07:06 → 00:07:07 เพราะฉะนั้นก่อนจะพูด I Message ส่งไป
00:07:07 → 00:07:13 ได้เนี่ยเราต้องรู้อะไรก่อน
00:07:13 → 00:07:16 รู้ว่าเราคิดอะไรรู้ว่าเรารู้สึกยังไงใช่
00:07:16 → 00:07:20 ไหมคะความกระวนกระวายลูกรู้สึกได้ไหม
00:07:20 → 00:07:22 ไม่รู้สึก
00:07:22 → 00:07:25 แต่เราเอาลองจับตรงนั้นขึ้นมาเป็นคำพูด
00:07:25 → 00:07:29 เนาะอยากให้ไวตรงนี้กันมากขึ้นนะคะเมื่อ
00:07:29 → 00:07:31 เทียบกับอีก 2 แบบ you Message
00:07:31 → 00:07:34 สถานการณ์เดียวกันเลยนะประโยคแรก
00:07:34 → 00:07:38 ทำไมลูกถึงมาพึ่งมาบอกแม่เอาตอนนี้ฮะ
00:07:38 → 00:07:41 2 ทุ่มแล้วเนี่ยจะให้ไปซื้อของส่งรายงาน
00:07:41 → 00:07:45 พรุ่งนี้ 7 โมงใครไปหาท่านห้างปิดแล้วเคย
00:07:45 → 00:07:47 เจอไหม
00:07:47 → 00:07:50 เชื่อว่าหลายบ้านเป็นอย่างนี้นะคะทำไมมา
00:07:50 → 00:07:53 บอกเอาป่านนี้ใช่ไหมเมื่อเทียบกับประโยค
00:07:53 → 00:07:55 ในหน้าที่ผ่านมา
00:07:55 → 00:07:58 คนละเรื่องเลย
00:07:58 → 00:08:01 แต่เจตนาเดียวกันเจตนามันมาจากความเป็น
00:08:01 → 00:08:03 ห่วงของเรา
00:08:03 → 00:08:06 นะคะเจตนาเราไม่ผิดนะ
00:08:06 → 00:08:08 แต่ทักษะตรงนี้
00:08:08 → 00:08:12 เรียนรู้เราลองปรับใช้นะคะอันถัดไปแกงไป
00:08:12 → 00:08:14 เถลไถลที่ไหนมาถึงกลับบ้านช้าขนาดนี้
00:08:14 → 00:08:17 เนี่ยฮะบ้านช่องมีไม่รู้จะกลับหรือไง
00:08:17 → 00:08:20 ประโยชน์ถัดไปเรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมก็ทำ
00:08:20 → 00:08:23 ไม่ได้แต่รู้ไหมว่าไอ้ตัวประธานที่หายไป
00:08:23 → 00:08:25 คืออะไร
00:08:25 → 00:08:29 you คำพูดพวกนี้ทำให้ความรู้สึกมันเป็น
00:08:29 → 00:08:30 ยังไง
00:08:30 → 00:08:32 ลบลบยังไง
00:08:32 → 00:08:37 ไม่มีกำลังใจไม่มีกำลังใจรู้สึกว่าเราไม่
00:08:37 → 00:08:42 มีความสามารถถูกตำหนิเราแย่เราไม่ดีไม่มี
00:08:42 → 00:08:45 คุณค่าใช่แล้วมันจะวนไปเรื่องของการไม่มี
00:08:45 → 00:08:46 คุณค่าในตัวเอง
00:08:46 → 00:08:47 นะ
00:08:47 → 00:08:50 คะคำพูดสังเกตมันคือประธานของประโยคใช่
00:08:50 → 00:08:55 ไหมคำพูดเราพุ่งไปเลยโดนถ้าลองหัวหน้าเรา
00:08:55 → 00:08:58 มาพูดทำไมคุณทำงานไม่ได้เรื่องอย่างนี้
00:08:58 → 00:09:00 รู้สึกไงโอ้โห
00:09:00 → 00:09:04 แย่ละใช่ไหมคะลูกเราก็เหมือนกัน
00:09:04 → 00:09:07 มาอีกประโยคอีกแบบหนึ่งสารอีกแบบหนึ่งนะ
00:09:07 → 00:09:10 คะ
00:09:10 → 00:09:13 ใครๆเขาก็บอกพ่อแม่กันทั้งนั้นแหละ
00:09:13 → 00:09:16 ใครๆเขาอยู่แล้วคุณยายยังบ่นเลยลูกกลับ
00:09:16 → 00:09:19 บ้านดึกแล้วใครๆเขาก็ทำได้กันทั้งนั้นถ้า
00:09:19 → 00:09:21 เราเป็นลูกเจอประโยคพวกนี้ปุ๊บสิ่งแรกที่
00:09:21 → 00:09:24 แว็บขึ้นมาในหัวคือทำไมไม่เอาเขามาเป็น
00:09:24 → 00:09:28 ลูกล่ะความรู้สึกก็คือมันงงๆอ่ะ
00:09:28 → 00:09:30 ไม่รู้ว่าเราต้องการจะสื่ออะไร
00:09:30 → 00:09:32 ความคิดจะถูกบิดแต่อย่างอื่น
00:09:33 → 00:09:37 คุณยายยังบ่นเลยลูกกลับบ้านดึกไปแล้วโทษ
00:09:37 → 00:09:40 คุณยายอีกคุณยายโดนเป็นเป้าแล้วเดี๋ยวลูก
00:09:40 → 00:09:45 ก็ไม่ชอบคุณยายใช่ไหมยายจุกจิกไม่ต้องบ่น
00:09:45 → 00:09:48 กลายเป็นความขัดแย้งขึ้นมาอีก
00:09:48 → 00:09:50 ข้อเสียของประโยคพวกนี้ที่เป็น heaw
00:09:50 → 00:09:53 Message คือลูกไม่รู้นะคะว่าเราต้องการ
00:09:53 → 00:09:56 จะสื่ออะไรแถมมันเป็นการอ้างอย่างอื่นมัน
00:09:57 → 00:09:58 อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งหรืออารมณ์ต่าง
00:09:58 → 00:10:02 ๆตามมาแต่ละอันนะคะลองมาเทียบดูถ้าอย่าง
00:10:02 → 00:10:05 นั้นเนี่ยลักษณะการสื่อสารที่เหมาะสมเรา
00:10:05 → 00:10:07 ควรจะใช้อะไร
00:10:07 → 00:10:10 I Message ใช่แล้วทีนี้อยากให้ลองกลับ
00:10:10 → 00:10:13 ไปดูในใบความรู้อยากให้วิเคราะห์ว่าคำพูด
00:10:13 → 00:10:17 เหล่านี้เป็นคำพูดประเภทไหนและถ้าจะ
00:10:17 → 00:10:19 เปลี่ยนเป็น iMessage เปลี่ยนยังไง
00:10:19 → 00:10:22 อย่ามาขึ้นเสียงกับแม่นะ you Message
00:10:22 → 00:10:24 เยี่ยมมากค่ะคุณพ่อถ้าเปลี่ยนเป็น
00:10:24 → 00:10:26 iMessage ทำยังไง
00:10:26 → 00:10:30 ก็บอกว่าพูดดีๆก็ได้ลูกไม่ต้องขึ้นเสียง
00:10:30 → 00:10:33 แม่อยากให้ลูกพูดดีๆไม่อยากให้ลูกขึ้น
00:10:33 → 00:10:37 เสียงเยี่ยมมากค่ะคุณแม่ได้ไป 1 คะแนนละ
00:10:37 → 00:10:40 ต่อไปนะต่อไปหยุดเล่นเกมเดี๋ยวนี้เลยนะ
00:10:40 → 00:10:43 อยู่ message
00:10:43 → 00:10:47 ขึ้นต้นที่เราก่อนจะง่ายขึ้นเพราะอยากให้
00:10:47 → 00:10:50 ลูกไปทำอย่างอื่นดีกว่าเล่นเกมมันนานมา
00:10:50 → 00:10:51 แล้ว
00:10:51 → 00:10:54 พออยากให้ลูกทำอย่างอื่นนะเพราะเห็นว่า
00:10:54 → 00:10:58 เล่นเกมนานละต่อไปลูกนั่นแหละทำให้แม่เขา
00:10:58 → 00:11:02 โกรธเป็นอะไรคะ
00:11:02 → 00:11:05 ลองเปลี่ยนเป็น I ซิเริ่มจากตัวเองก่อน
00:11:05 → 00:11:07 ค่ะ
00:11:07 → 00:11:09 แม่คิดว่า
00:11:09 → 00:11:12 แม่รู้สึกว่า
00:11:12 → 00:11:16 ผมคิดว่าข้าพูดว่าพ่อคิดว่าลูกน่าจะ
00:11:16 → 00:11:18 ลองคิดอะไรดีๆหน่อย
00:11:18 → 00:11:20 ก่อนที่จะ
00:11:20 → 00:11:24 ทำนะให้มีสตินิดนึง
00:11:24 → 00:11:26 พ่ออยากให้ลูก
00:11:26 → 00:11:32 ลองคิดทบทวนใหม่นะคะถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
00:11:32 → 00:11:35 คล้ายๆที่คุณพ่อบอกใช่ไหมเราปรับอีกนิด
00:11:35 → 00:11:38 นึงนะคะ
00:11:38 → 00:11:41 สิ่งสำคัญก็คือบางครั้งใน i Message ของ
00:11:41 → 00:11:44 เราจะเผลอมีอยู่ Message ติดมาด้วยด้วย
00:11:44 → 00:11:46 ความเคยชิน
00:11:46 → 00:11:49 คือคำพูดที่พุ่งตรงไปถูกทำให้รู้สึกตำหนิ
00:11:49 → 00:11:52 ใช่ไหมคะแต่ว่าถ้าเกิดเป็น I Message
00:11:52 → 00:11:55 เนี่ยจะเป็นคำพูดที่มาจากเราเราอยากให้
00:11:55 → 00:12:00 เขาทำอะไรเรารู้สึกยังไงเกิดอะไรขึ้นนะคะ
00:12:00 → 00:12:03 เพียงแต่ว่าเราต้องระวังเองเราอยากให้เขา
00:12:03 → 00:12:07 เนี่ยต้องเป็นเขาที่ไม่ใช่เขาถูกตำหนิ
00:12:07 → 00:12:07 อยู่
00:12:07 → 00:12:13 ตรงนี้จะซับซ้อนแล้วก็ยากข้อถัดไปนะดูลูก
00:12:13 → 00:12:16 ข้างบ้านสิเขาขยันเรียนออก
00:12:16 → 00:12:21 Message นะคะเป็นเรื่องของเขาใช่ไหมถ้า
00:12:21 → 00:12:23 เป็นเรา iMessage
00:12:23 → 00:12:25 คุณแม่
00:12:25 → 00:12:29 อยากให้หนูขยันเรียนจังเลยลูก
00:12:29 → 00:12:32 แม่อยากให้หนูขยันเรียนมากขึ้น
00:12:32 → 00:12:36 อยากให้ลูกอ่านหนังสือเยอะขึ้นนะใกล้สอบ
00:12:36 → 00:12:36 แล้ว
00:12:36 → 00:12:41 แม่มาจากแม่นะคะโอเคเยี่ยมมากค่ะ
00:12:41 → 00:12:43 ใครๆเขาก็บอกทั้งนั้นแหละว่าลูกเป็นเด็ก
00:12:43 → 00:12:47 ไม่เอาไหน
00:12:47 → 00:12:49 จะบอกยังไงดี
00:12:49 → 00:12:51 อันนี้ยากอันนี้ยาก
00:12:51 → 00:12:54 มาถึงก็ลูกไม่เอาไหนเราจะแยกยังไงดีเรา
00:12:54 → 00:12:57 ต้องก่อนอื่นเราต้องแยกอะไรคะ
00:12:57 → 00:13:01 พฤติกรรมกับ
00:13:01 → 00:13:02 ตัวตนใช่ไหม
00:13:02 → 00:13:06 ถ้าอย่างนี้ใครๆเขาก็บอกทั้งนั้นแหละว่า
00:13:06 → 00:13:09 ลูกเป็นเด็กไม่เอาไหนเรากำลังว่าอะไรเขา
00:13:09 → 00:13:11 อยู่
00:13:11 → 00:13:14 ตัวตนเขานะคะเพราะฉะนั้นตรงนี้อาจจะปรับ
00:13:14 → 00:13:17 เนาะเป็นการดูที่พฤติกรรมตรงนั้นว่าเขา
00:13:17 → 00:13:19 ไม่เหมาะตรงไหน
00:13:19 → 00:13:23 แล้วเราก็พูดไปว่าแม่รู้สึกเสียใจนะที่
00:13:23 → 00:13:27 เกิดเรื่องแบบนี้นะคะเราอาจจะช่วยกันหา
00:13:27 → 00:13:31 วิธีแก้ไขสิทำยังไงดีอันถัดไป
00:13:31 → 00:13:35 หัดมีความรับผิดชอบซะบ้างสิอยู่ Message
00:13:35 → 00:13:40 ใช่ไหมไม่มีประธานของประโยคแต่รู้เลยแก
00:13:40 → 00:13:44 หัดรับผิดชอบให้มากๆสิใช่ไหมคะ I Message
00:13:44 → 00:13:47 เราจะเปลี่ยนว่าอยากให้ลูกทำทำหน้าที่ของ
00:13:47 → 00:13:52 ลูกให้ให้ดีก่อนให้เสร็จก่อนแม่อยากให้
00:13:52 → 00:13:56 ลูกนะทำงานที่เราตกลงกันไว้ให้เสร็จใช่
00:13:56 → 00:13:56 ไหมคะ
00:13:57 → 00:14:00 ทำสิ่งที่เราตกลงกันไว้ทำความรับผิดชอบ
00:14:00 → 00:14:03 ตรงนี้ความรับผิดชอบมันคือทำงานที่เรามอบ
00:14:03 → 00:14:07 หมายให้ใช่ไหมคะเพราะฉะนั้นแม่อยากให้
00:14:07 → 00:14:12 ลูกทำนะคะถัดไปก็หนูทำตัวแบบนี้แหละพ่อ
00:14:12 → 00:14:16 แม่ถึงต้องโดนต้องว่าอันนี้เป็นอะไรค่ะมา
00:14:16 → 00:14:19 ใส่แบบไหน you message
00:14:19 → 00:14:21 จะแก้ยังไงดี
00:14:21 → 00:14:24 ลองดูค่ะไม่อยากให้หนูเป็นแบบอย่างที่ดี
00:14:24 → 00:14:29 จะได้มีคนชมหนูแม่อยากให้หนูนะทำสิ่งดีๆ
00:14:29 → 00:14:32 หนูเป็นแบบอย่างเนาะทำเป็นตัวอย่างให้
00:14:32 → 00:14:37 น้องที่คุณแม่พูดมาโอเคละนะคะบางครั้งใน
00:14:37 → 00:14:40 แต่ละคนแต่ละบ้านสไตล์ไม่เหมือนกันจำเป็น
00:14:40 → 00:14:43 นะต้องเป็นคำพูดหวานๆจำเป็นไหมคะไม่
00:14:43 → 00:14:46 จำเป็นสิ่งสำคัญอยู่ที่ไหน
00:14:46 → 00:14:50 เนื้อหาคำพูดของเรากับความรู้สึกมันมากับ
00:14:50 → 00:14:53 เนื้อหาคำพูดใช่ไหมคะอีกอย่างหนึ่งที่ลืม
00:14:53 → 00:15:10 ไม่ได้เลยคือท่าทีของเรา
00:15:10 → 00:15:12 ประโยคนี้แม่เป็นห่วงนะลูกที่ลูกกลับบ้าน
00:15:12 → 00:15:13 ช้า
00:15:13 → 00:15:16 แต่มาด้วยอารมณ์ว่ากระทืบเท้าเป็นนาง
00:15:16 → 00:15:17 ยักษ์มาเลย
00:15:17 → 00:15:20 แม่เป็นห่วงนะลูกทำไม
00:15:20 → 00:15:22 เป็นไง
00:15:22 → 00:15:25 ลูกไม่รู้สึกถึงความเป็นห่วงแน่ๆสิ่งที่
00:15:25 → 00:15:28 แรกที่รู้สึกคือ
00:15:28 → 00:15:31 แม่โกรธแล้ว
00:15:31 → 00:15:33 เพราะฉะนั้นเราบอกอารมณ์ทางลบของเราได้
00:15:33 → 00:15:35 ไหมคะ
00:15:35 → 00:15:38 บอกได้ไหมเรารู้สึกโกรธรู้สึกไม่พอใจบอก
00:15:38 → 00:15:39 ได้ไหม
00:15:39 → 00:15:42 ได้ไม่ผิด
00:15:42 → 00:15:46 แต่น้ำเสียงเรานะคะท่าทีของเรา
00:15:46 → 00:15:47 เป็นยังไงคะ
00:15:47 → 00:15:50 เวลาที่เราจะพูดถึงอารมณ์ทางลบใช่ไหมคะ
00:15:50 → 00:15:53 ถ้าเรารู้สึกโกรธถ้ายิ่งเราเม้งแตกตะคอก
00:15:54 → 00:15:57 ใส่ลูกลูกรู้แหละว่าโกรธแต่สื่อสารกัน
00:15:57 → 00:15:58 เข้าใจไหมรู้เรื่องไหม
00:15:59 → 00:16:01 ไม่รู้เรื่องเพราะว่าสิ่งที่เขาจับจ้อง
00:16:01 → 00:16:02 คือ
00:16:02 → 00:16:06 ท่าทางของเราแต่ถ้าเกิดเราพูดด้วยท่าที
00:16:06 → 00:16:08 ที่สงบเช่น
00:16:08 → 00:16:11 แม่โกรธมากเลยนะที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
00:16:11 → 00:16:13 ขึ้น
00:16:13 → 00:16:17 โอเคครั้งนี้เรามาช่วยกันแก้ปัญหาซิว่าจะ
00:16:17 → 00:16:18 ทำยังไงดี
00:16:18 → 00:16:20 เมื่อเทียบกับแม่โกรธมากเลยเนี่ยรอบนี้
00:16:20 → 00:16:24 ทำไมถึงทำอย่างนี้ไม่ได้เรื่องเลย
00:16:24 → 00:16:28 บอกความรู้สึกเหมือนกันเลยแม่โกรธ
00:16:28 → 00:16:31 แต่เป็นไงคะ
00:16:31 → 00:16:33 โกรธใช่คนละท่าทาง
00:16:33 → 00:16:36 ลูกรับอันไหนได้มากกว่ากัน
00:16:36 → 00:16:37 แบบ
00:16:37 → 00:16:40 ที่นี่นิ่งๆใช่ไหมคะเพราะฉะนั้นหลักการใน
00:16:40 → 00:16:42 การที่เราสื่อสาร
00:16:42 → 00:16:45 อะไรที่เป็นเชิงลบที่เราต้องการจะบอกเขา
00:16:45 → 00:16:48 เนี่ยบางครั้งท่าทีเราก็ต้องสงบเหมือนกัน
00:16:48 → 00:16:51 แต่เราบอกความรู้สึกที่แท้จริงของเราลูก
00:16:51 → 00:16:53 ก็จะเรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่เขาแสดงออก
00:16:53 → 00:16:59 สิ่งที่เขาทำตอนนี้เราไม่ชอบเราโกรธ
00:16:59 → 00:17:04 แล้วในเมื่อเราสงบนิ่งใช่ไหมเขารับฟัง
00:17:04 → 00:17:05 เป็นยังไงคะ
00:17:05 → 00:17:07 ใช่มันก็จะเป็นแนวทางที่ดีสัมพันธภาพเรา
00:17:07 → 00:17:08 เสียไหม
00:17:08 → 00:17:11 ไม่เสียใช้แล้วค่ะ
00:17:11 → 00:17:14 พอพูดถึงเรื่องของภาษาท่าทางแล้วเนี่ยตรง
00:17:14 → 00:17:17 นี้อยากจะแชร์ให้ฟังว่าในเรื่องของการ
00:17:17 → 00:17:21 วิจัยมาจริงๆแล้วเนี่ยการสื่อสารด้วยภาษา
00:17:21 → 00:17:24 ท่าทางเนี่ยมีอิทธิพลมากกว่าคำพูดถึง
00:17:24 → 00:17:27 60-70% เลยทีเดียวแล้วเราใช้คำพูดในการ
00:17:27 → 00:17:30 สื่อสารและรับสารเข้าใจสารจากคำพูดนี้
00:17:30 → 00:17:33 เพียงแค่ 30% เท่านั้นเองค่ะ
00:17:33 → 00:17:36 คำพูดกับภาษาทางเมื่อไหร่ที่มันไปด้วยกัน
00:17:36 → 00:17:40 แล้วเนี่ยคนฟังหรือคนรับสารก็จะเข้าใจ
00:17:40 → 00:17:43 แล้วก็อยู่ในเรื่องราวเดียวกันที่เรา
00:17:43 → 00:17:47 ต้องการจะสื่อนั้นมากกว่ามันจะมีเพิ่ม
00:17:47 → 00:17:50 ประสิทธิภาพมากขึ้นแว๊บแรกเรารู้กลับมา
00:17:50 → 00:17:53 บ้านปุ๊บเรารู้ไหมว่าจริงๆลูกคิดอะไรอยู่
00:17:53 → 00:17:56 ลูกรู้สึกยังไงอยู่
00:17:56 → 00:17:59 บางทีรู้สึกได้ใช่ไหมคะลูกยังไม่ทันพูด
00:17:59 → 00:18:02 เลยเนี่ยคือการสื่อสารกันละโดยที่เราไม่
00:18:02 → 00:18:05 ต้องพูดเพียงแต่อันนี้เรากำลังพูดถึงการ
00:18:05 → 00:18:07 สื่อสารโดยใช้คำพูดเราก็เลยยกเลิกของ
00:18:07 → 00:18:11 iMessage you Message เข้ามาแต่สิ่ง
00:18:11 → 00:18:14 สำคัญที่คุณครูสนิสาแจ้งไปที่เล่าให้ฟัง
00:18:14 → 00:18:17 แบ่งปันให้ฟังส่วนหนึ่งอีกสำคัญหนึ่งก็
00:18:17 → 00:18:20 คือการสื่อสารด้วยท่าทาง
00:18:20 → 00:18:23 ซึ่งตรงนี้ฝึกการจับสังเกตตรงนี้มันจะ
00:18:23 → 00:18:26 เชื่อมโยงกับเรื่องของการฟังด้วยเพราะ
00:18:26 → 00:18:29 ฉะนั้นอันนี้คือความสำคัญนอกจากการพูดออก
00:18:29 → 00:18:32 ไปอย่างเดียวลองนึกถึงเราอาจจะเคยเห็น
00:18:32 → 00:18:37 เด็กๆบางคนเนาะดูนางร้าย
00:18:37 → 00:18:40 แล้วเวลานางร้ายโกรธเป็นไงคะกระทืบเท้า
00:18:40 → 00:18:44 แว๊ดๆๆๆนางร้ายแบบสมัยก่อน
00:18:44 → 00:18:46 เคยเห็นเด็กเลียนแบบไหมคะ
00:18:46 → 00:18:50 เหมือนกันเราใกล้ชิดกับลูกมากกว่านางร้าย
00:18:50 → 00:18:53 พวกนั้นอีก
00:18:53 → 00:18:55 เราทำอะไรลูกจะจำลองเราออกมา
00:18:55 → 00:18:57 Copy เรามาโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า
00:18:57 → 00:19:01 เขาก็อปปี้เรานะคะเพราะฉะนั้นถ้าเราฝึก
00:19:01 → 00:19:05 การแสดงความโกรธความไม่พอใจความ
00:19:05 → 00:19:09 อารมณ์เชิงลบทั้งหลายเนี่ยอย่างเหมาะสม
00:19:09 → 00:19:11 ลูกเราก็จะ Copy ไปอย่างนั้นแต่ถ้าเกิด
00:19:11 → 00:19:16 เราแสดงออกไปด้วยท่าทางนิ้วๆเป็นไงคะ
00:19:16 → 00:19:19 ลูกก็จะ Copy ไปเรื่อยอารมณ์งิ้วๆแล้ว
00:19:19 → 00:19:20 เป็นยังไง
00:19:20 → 00:19:24 มันก็จะวนพอเราเห็นลูกนิ้วใส่แล้วปุ๊บเรา
00:19:24 → 00:19:25 เป็นไง
00:19:25 → 00:19:29 เราเล่นโขนกลับเลย
00:19:29 → 00:19:30 ใช่ไหมคะ
00:19:30 → 00:19:34 อารมณ์มันจะปะทะกันละเนื้อหามันจะหายไป
00:19:34 → 00:19:36 ไอ้ที่เราพยายามพูดไป Message ทั้งหลาย
00:19:36 → 00:19:38 เนี่ยมันจะกระเจิงมันจะมาเป็นเรื่องของ
00:19:38 → 00:19:42 ท่าทางละเพราะฉะนั้นคนที่ชนะในเกมนี้คือ
00:19:42 → 00:19:45 คนที่ควบคุมอารมณ์จะเห็นได้ว่าการสื่อสาร
00:19:45 → 00:19:48 สำคัญมากในการปรับพฤติกรรมและลดปัญหาการ
00:19:48 → 00:19:52 ติดเกมในเด็กการสื่อสารมี 3 ลักษณะได้แก่
00:19:52 → 00:19:55 iMessage you Message He & Day
00:19:55 → 00:19:58 Message ซึ่งท่านผู้ปกครองควรฝึกการสื่อ
00:19:58 → 00:20:00 สารที่เหมาะสมอย่างสร้างสรรค์และควรเป็น
00:20:00 → 00:20:03 การสื่อสารแบบ iMessage ฝึกเป็นประจำ
00:20:03 → 00:20:05 อย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มทักษะและเพิ่ม
00:20:06 → 00:20:09 ความมั่นใจในการสื่อสารกับบุตรหลาน