00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:07 Voice โซเชียล Media ครับมันเหมือน
00:00:07 → 00:00:09 อารมณ์ว่าเราอยู่ในบ้านแต่เราเปิดประตู
00:00:09 → 00:00:12 บ้านไม่ได้ล็อกอ่ะพอคนอื่นเห็นว่าใช่แหละ
00:00:12 → 00:00:13 มันเป็นพื้นที่ของเธอแต่เธอไม่ปิดประตู
00:00:13 → 00:00:15 บ้านิฉันก็เลยเดินย่ำเข้าไปเลยเพราะคิด
00:00:15 → 00:00:18 ว่าเจ้าบ้านคงไม่ว่าอะไรพอลงรูปปั๊บเอ้ย
00:00:18 → 00:00:19 เราเข้าไปเม้นต์หน่อยเพราะมันช่องเปิดให้
00:00:19 → 00:00:21 เม้นต์ตลอดเวลานั่นหมายความว่าตัวเรามี
00:00:21 → 00:00:23 สิทธิ์จะเดินเข้าไปในบ้านเขาได้ตลอดเพราะ
00:00:23 → 00:00:26 งั้นถ้าเจ้าบ้านไม่อยากถูกคอมเมนต์เรา
00:00:26 → 00:00:28 จำเป็นจะต้องปิดประตูบ้านมากกว่าปิดประตู
00:00:28 → 00:00:30 บ้านก็คือการบายไม่ให้เห็นเมื่อไม่ถูก
00:00:30 → 00:00:33 เห็นคนก็ไม่รู้จะเม้นอะไรจะเดินไปไหน
00:00:33 → 00:00:34 เพราะเมื่อเราเข้าไปอยู่ในโซเชียลมีเดีย
00:00:35 → 00:00:37 ครับมันคือสถานที่ที่เราสามารถถูกคนเป็น
00:00:37 → 00:00:40 ล้านมองเห็นและเราจะคาดหวังให้คนล้านคน
00:00:40 → 00:00:43 นั้นน่ะคิดแบบเดียวเป็นไปไม่
00:00:43 → 00:00:47 ได้ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟัง
00:00:47 → 00:00:51 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:51 → 00:00:54 This Is Toy PBS podcast เอาล่ะค่ะ
00:00:54 → 00:00:57 คุณผู้ฟังคะวันนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องนะคะ
00:00:57 → 00:00:59 ที่อยากจะพูดคุยกับคุณผู้ฟังค่ะไม่รู้ว่า
00:01:00 → 00:01:02 ใครเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า
00:01:02 → 00:01:05 หรือเจอเอ่อความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ
00:01:05 → 00:01:08 คะเกี่ยวกับเรื่องของการที่เราเนี่ยได้
00:01:08 → 00:01:11 โพสต์ลงในโซเชียลนะคะด้วยความสุขนะจะไป
00:01:11 → 00:01:14 กินไปเที่ยวไปอะไรก็แล้วแต่เนี่ยแต่กลาย
00:01:14 → 00:01:18 เป็นว่าเอ๊ะคนข้างหลังเรานะคะจะเป็นใครก็
00:01:18 → 00:01:20 แล้วแต่เนาะที่มีความสำคัญกับในชีวิตเรา
00:01:20 → 00:01:24 เนี่ยเค้ากับไม่โอเคกับความสุขของเราตรง
00:01:24 → 00:01:26 นี้เดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงษ์ทาสวัสดิ์
00:01:26 → 00:01:28 นักจิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณ
00:01:28 → 00:01:30 เอิ้นครับสวัสดีครับคุณรีสวัสดีครับคุณ
00:01:30 → 00:01:32 ผู้ฟังอันนี้ไม่รู้จะเรียกว่าปรึกษาหรือ
00:01:32 → 00:01:35 ว่าจะเรียกว่ามาคุยกันเถอะในหัวข้อนี้คือ
00:01:35 → 00:01:40 อก็เป็นหัวข้อที่ต้องบอกว่าเออมันก็มีใคร
00:01:40 → 00:01:43 หลายๆคนเจออันนี้ก็ก็มีเพื่อนมาเล่าให้
00:01:43 → 00:01:46 ฟังก็เลยอยากจะแบบได้เอาหัวข้อเนี้ยมาแลก
00:01:46 → 00:01:49 เปลี่ยนความคิดเห็นกับนักจิตวิทยาว่าเค้า
00:01:49 → 00:01:51 มีมุมมองความคิดอย่างไรซึ่งคุณเอิ้นก็คง
00:01:52 → 00:01:54 จะให้แนวคิดได้แหละเนาะอย่างที่บอกไปว่า
00:01:54 → 00:01:58 บางทีการโพสต์ในโซเชียลเนาะก็อจะเป็นดาบ
00:01:58 → 00:02:02 สังคมได้มั้ยไม่แน่ใจอ่าเออโพสต์เรื่อง
00:02:02 → 00:02:06 ของความสุขก็จะมีคนที่มาแบบอืมก็มีความ
00:02:06 → 00:02:10 สุขดีน้อเออแต่ว่าคนที่มาเม้นต่อหรืออะไร
00:02:10 → 00:02:12 ต่อหรืออะไรเงี้ยมันกลับกลายเป็นคนใน
00:02:13 → 00:02:16 ครอบครัวเราอ่ะอือๆที่เขาไม่ได้แบบว่าเออ
00:02:16 → 00:02:20 มีความสุขก็ดีนะเออไปหาความสุขมาไม่ไม่
00:02:20 → 00:02:23 ได้ร่วมยินดีด้วยแต่แบบมาเป็นโมเมนต์แบบ
00:02:23 → 00:02:27 ยินด้วไม่เห็นดูแลฉันบ้างเลยไม่ได้กลับมา
00:02:27 → 00:02:30 มองบ้างเลยว่าอยู่กันแบบนไม่ได้เที่ยวไหน
00:02:30 → 00:02:33 เลยแต่เธอไปเที่ยวอะไรแบบเนี้ยนะคะหรือ
00:02:33 → 00:02:36 แม้กระทั่งในอีกมุมนึงที่อันนี้ก็เพื่อน
00:02:36 → 00:02:39 เล่าให้ฟังนั่นแหละอคือการที่
00:02:39 → 00:02:43 เอ่อเพื่อนของเพื่อนเนี่ยในใน Facebook
00:02:43 → 00:02:46 เนี่ยเาไปพาครอบครัวพาคุณพ่อคุณแม่ไป
00:02:46 → 00:02:48 เที่ยวอะไรอย่าเงี้ยปรากฏว่าคุณแม่ของ
00:02:48 → 00:02:52 เพื่อนไปโพสต์ตัดพ้อน้อยใจว่าลูกตัวเอง
00:02:52 → 00:02:56 อ่ะไม่ทำแบบนี้บ้างเลยไม่มีเวลาให้เพราะ
00:02:56 → 00:02:58 ลูกตัวเองมาเห็นเพราะว่าก็เป็นเพื่อนกัน
00:02:58 → 00:03:03 หมดอ่ะเนาะอก็ก็รู้สึกแย่อืก็แล้วก็แบบ
00:03:03 → 00:03:06 ทำไมถึงต้องเออถ้าเม้นในโพสต์ตัวเองยังพอ
00:03:06 → 00:03:09 เข้าใจอันนี้ไปอๆๆเม้นในโพสต์ของเพื่อน
00:03:10 → 00:03:12 แต่ถามว่าแม่เค้ารู้จักมั้ยรู้จักนะอุ้ยอ
00:03:12 → 00:03:15 รู้เลยว่าว่าอะไรก็เลยแบบว่าอืเดี๋ยวจะ
00:03:15 → 00:03:19 สาวถึงตัวขออนุญาตไม่ให้ฟังตอนนี้ไม่ให้
00:03:19 → 00:03:24 ข้อมูลไม่ให้ข้อมูลเออประมาณเนี้ยอือๆมัน
00:03:24 → 00:03:27 เกิดโมเมนแบบนี้ขึ้นในในในโซเชียลมีเดีย
00:03:27 → 00:03:30 แล้วนะอ่าใช่ครับทีนี้ทีนี้เรื่องพวกนี้
00:03:30 → 00:03:33 ต้องดูก่อนว่าที่ที่คุณแม่เ้าโพสต์เอ่อใน
00:03:33 → 00:03:36 กระตู้คนอื่นใช่มั้ยที่แบบหมายถึงว่าอ
00:03:36 → 00:03:38 เอ่อมีครอบครัวเรากับครอบครัวคนอื่นค่ะ
00:03:38 → 00:03:42 ครอบครัวคนอื่นไปเที่ยวมาแล้วแม่ของเราก็
00:03:42 → 00:03:44 เลยไปคอมเมนต์ของครอบครัวอีกคนนึงเพราะ
00:03:44 → 00:03:47 ว่าเขาพาไปเที่ยวอ่าก็พาไปเที่ยวทีนี้
00:03:47 → 00:03:49 ครับสิ่งที่เราต้องดูคือเอ้ยเรื่องนี้
00:03:49 → 00:03:51 เป็นข้อเท็จจริงหรือเปล่านั่นคือข้อแรก
00:03:51 → 00:03:54 อือฮึตัวเราเองเฮ้ยอาจจะได้รอาจจะละเลย
00:03:54 → 00:03:55 บางอย่างก็ได้นะเพราะว่าเรื่องนี้ต้องมอง
00:03:55 → 00:03:59 ให้กว้างๆครับว่าตัวเราอาจจะเผลอละเไปก็
00:03:59 → 00:04:02 ได้ว่าเอ้ยเราไม่ได้มีเวลาเราไม่ได้เอ่อ
00:04:02 → 00:04:05 ให้ความใส่ใจกับแม่เราก็ได้แล้วทีนี้พราะ
00:04:05 → 00:04:08 แม่เราไม่มีทางออกไม่รู้จะระบายกับใครบาง
00:04:08 → 00:04:10 ครั้งพอเหมือนกับเขาเห็นภาพคุณแม่พอเห็น
00:04:10 → 00:04:13 ภาพปึ๊บเลยถูกกระตุ้นถึงความรู้สึกน้อยใจ
00:04:13 → 00:04:17 ความรู้สึกแบบไม่ไม่ได้แบบเอ่อถูกใส่ใจพา
00:04:17 → 00:04:20 ไปเที่ยวอะไรเงี้ยครับก็เลยอาจจะแค่พิมพ์
00:04:20 → 00:04:23 แบบตอบสนองตามอารมณ์ซึ่งหน้าเอ่อแค่แค่
00:04:23 → 00:04:25 อยากบอกความรู้สึกเฉยๆแต่อาจจะไม่ได้คิด
00:04:25 → 00:04:28 อะไรมากก็ได้นะแค่แค่อยากพูดความรู้สึก
00:04:28 → 00:04:30 แต่ด้วยความที่อาจจะขาดการยังงคิดบาง
00:04:30 → 00:04:31 อย่างมันก็เลยดูไม่ค่อยเหมาะสมในเรื่อง
00:04:31 → 00:04:34 โซเชียลมีเดียอือ่าสมมุติถ้าเรื่องนี้
00:04:34 → 00:04:36 เป็นข้อเท็จจริงนะครับบางทีจุดเก็เป็น
00:04:36 → 00:04:39 เหมือนสัญญาณที่ตัวเราในฐานะลูกเนี่ยอาจ
00:04:39 → 00:04:41 จะย้อนกลับมาทบทวนว่าเฮ้ยหรือจริงๆเราควร
00:04:41 → 00:04:43 จะแบ่งเวลาเราควรจะแบบได้จัดสรบางอย่าง
00:04:43 → 00:04:46 เพื่อดูแลท่านหรือเปล่าแล้วบางทีพอเราได้
00:04:46 → 00:04:48 จัดสรรดูแลตรงนี้ปึ๊บบางทีความรู้สึกเขา
00:04:48 → 00:04:50 ก็จะดีดีขึ้นอือการตัดเพาะหรือการคล้ายๆ
00:04:50 → 00:04:53 แบบไประบายออกที่อื่นเนี่ยอาจจะหายไปอือ
00:04:53 → 00:04:55 เนาะกับอันที่ 2 ครับบางทีมันไม่ใช่
00:04:55 → 00:04:57 เรื่องของการที่เราไม่ได้ให้นะเราอาจจะ
00:04:57 → 00:05:01 ได้ให้เยอะแล้วพอสมควรอ่าทีนี้เลยต้องมา
00:05:02 → 00:05:04 ดูว่าเอ๊ะแล้วตัวคาแรคเตอร์คุณแม่ของเรา
00:05:04 → 00:05:06 เนี่ยครับเค้าเป็นคนที่อยากได้แล้วอยาก
00:05:06 → 00:05:10 ได้อีกหรือเปล่าอืไม่มีทางพอหรอกจะเอาอีก
00:05:10 → 00:05:12 อย่างเงี้ยฮะพอจะเอาอีกปั๊บหมายความว่า
00:05:12 → 00:05:15 เราทำไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพอแล้วเจะยัง
00:05:15 → 00:05:18 พูดอย่างเงี้ยไปูๆกที่ค่ะอืถ้าเป็นอย่าง
00:05:18 → 00:05:21 นี้แน่นอนครับเราคงรู้สึกเหมือนกับว่าที่
00:05:21 → 00:05:24 ฉันทำไปทั้งหมดมันยังไม่พออีกหรอมันจะ
00:05:24 → 00:05:26 เกิดการตัดพ้อน้อยใจเหมือนกันค่ะถูกมั้ย
00:05:26 → 00:05:29 ครับแล้วมันก็อาจจะแบบมีจุดที่เราทั้ง
00:05:29 → 00:05:31 ทั้งรู้สึกไม่ดีกับแม่แล้วก็อาจจะมีทั้ง
00:05:31 → 00:05:33 ส่วนที่รู้สึกว่าฉันต้องทำเพิ่มอีกใช่
00:05:33 → 00:05:36 มั้ยอือเออมันก็เป็นการกดดันตัวเองเพิ่ม
00:05:36 → 00:05:39 ทีนี้สมมุติถ้าเรารู้สึกว่าไม่ใช่ละมัน
00:05:39 → 00:05:42 ไม่ใช่ฉันทำไม่มากพอฉันก็ทำแล้วล่ะตาม
00:05:42 → 00:05:44 ระดับที่ควรจะเป็นแต่แม่ต่างหากถไม่รู้
00:05:44 → 00:05:47 จักพอสมมุติอ่าเรื่องเนี้ยเราจะต้องรู้
00:05:47 → 00:05:50 ก่อนว่าเออแม่เราก็เป็นคนอย่างนี้แหละค่ะ
00:05:50 → 00:05:52 เอือแล้วถ้าตัวเราไปบ้าจี้กับประโยชน์ของ
00:05:52 → 00:05:56 คุณแม่มากไปว่าเออแม่ทำแล้วแบบเราต้องทำ
00:05:56 → 00:05:58 อีกเอ้ยแม่แม่พูดตัดพ้อปั๊บเราต้องทำอีก
00:05:58 → 00:06:01 ตัวเราจะทุกข์มากกว่าเดิมอืเออทำไปก็ไม่
00:06:01 → 00:06:04 พอทำไปก็อาจจะแบบไม่ได้แบบถึงจุดที่รู้
00:06:04 → 00:06:07 สึกเห็นคุณค่าหรือขอบคุณด้วยซ้ำค่ะเ้าอาจ
00:06:07 → 00:06:09 จะรู้สึกว่าเาต้องได้อยู่แล้วก็ได้นะอืเอ
00:06:09 → 00:06:11 เพราะงั้นลูกทำอะไรให้ไม่ต้องนึกขอบคุณ
00:06:11 → 00:06:15 หรอกต้องฉันต้องได้อยู่แล้วอือฮึอือก็เลย
00:06:15 → 00:06:17 แบบกลายเป็นว่าไม่มีทั้งกำลังใจไม่มีทั้ง
00:06:17 → 00:06:20 จุดของการชื่นชมให้รู้สึกว่าเราได้ใจฟู
00:06:20 → 00:06:22 อ่ะจากการได้ได้ได้ทำให้คุณแม่บางครั้งก็
00:06:22 → 00:06:24 ต้องปล่อยวางเหมือนกันสำหรับบางเคสอ่ะ
00:06:24 → 00:06:26 ครับค่ะเค้าจะต้องรู้สึกอย่างนั้นแหละ
00:06:26 → 00:06:28 แล้วเคก็จะเป็นอย่างนี้แหละทีนี้ถ้าตัว
00:06:28 → 00:06:31 เราไปใส่ใจมากว่าเรามีความคาดหวังว่าแม่
00:06:31 → 00:06:34 ฉันควรทำแบบนี้แม่ฉันควรจะพูดแบบนี้แม่
00:06:34 → 00:06:36 ฉันไม่ควรทำอันนั้นอย่างเงี้ยฮะพอเรามี
00:06:36 → 00:06:38 ความคาดหวังแล้วแม่เราไม่ได้เป็นอย่างที่
00:06:38 → 00:06:41 เราคาดหวังให้เป็นตัวเราก็จะมานั่งเดือด
00:06:41 → 00:06:44 เนื้อร้อนใจอืแต่ถ้าเกิดสมมุติว่าเราลอง
00:06:44 → 00:06:47 เอาคำว่าแม่พักไว้ก่อนแล้วลองพิจารณาว่า
00:06:47 → 00:06:50 สุภาพสตรีท่านนี้ค่ะโดยพื้นฐานแล้วเป็นคน
00:06:50 → 00:06:53 บุคลิกนิสัยใจคอยังไงเราอาจจะไม่ได้มี
00:06:53 → 00:06:56 ความประหลาดใจกับสิ่งที่เขาทำเลยก็ได้นะ
00:06:56 → 00:06:58 กับการที่เขาไปโพสต์ตรงนั้นตรงนี้พูดตัด
00:06:58 → 00:07:00 เพะตรงนั้นตรงนี้ครับบางครั้งอ่ะหาการพูด
00:07:00 → 00:07:02 ตัดพ้อสำหรับบางคนเต้องใช้คำว่าสำหรับบาง
00:07:02 → 00:07:06 คนคือเครื่องมือทางอ้อมในการที่จะบงการ
00:07:06 → 00:07:10 เราอืเพื่อให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการอืบาง
00:07:10 → 00:07:12 ทีเป็นอย่างงั้นเหมือนกันเพราะว่าเหมือน
00:07:12 → 00:07:15 โซเชียลมันมีอิทธิพลในในความใครมาเห็นมัน
00:07:15 → 00:07:17 ก็อาจจะสะท้อนออกมาได้เหมือนกันอืใช่ครับ
00:07:18 → 00:07:21 พูดพูดแบบพูดสะท้อนพูดอ้อมพูดแบบวานๆโอ
00:07:21 → 00:07:23 มันเกิดขึ้นได้หมดอครับทีนี้ทีนี้ผมเลย
00:07:23 → 00:07:26 ต้องบอกคุณผู้ชมเอ้ยคุณผู้ฟังคุณผู้ชมบอก
00:07:26 → 00:07:29 คุณผู้ฟังว่าเรื่องเนี้ยผมต้องบอกกว้างๆ
00:07:29 → 00:07:31 เพราะเพราะแต่ละครอบครัวครับบุคลิกคนใน
00:07:31 → 00:07:34 ครอบครัวไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดอ่าอ่าไม่
00:07:34 → 00:07:37 ใช่ไม่ใช่คุณแม่ทุกคนไม่ใช่คุณพ่อทุกคน
00:07:37 → 00:07:40 ที่จะเป็นผู้ที่ขัดเกลาตัวเองมาดีแล้วแต่
00:07:40 → 00:07:42 บางคนนะครับเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีความ
00:07:42 → 00:07:46 สามารถที่จะให้กำเนิดคนได้แต่ตัวเขาอาจจะ
00:07:46 → 00:07:48 ไม่ได้ผ่านชีวิตที่ถูกขัดเกลามาดีพอค่ะ
00:07:48 → 00:07:51 เพราะงั้นเราก็เลยเกิดมาพร้อมกับการพบว่า
00:07:51 → 00:07:55 โอ้แม่เราไม่ได้แบบเป็นเป็นเซฟโซนน่ะแม่
00:07:55 → 00:07:57 เราไม่ได้ปลอดภัยพ่อเราไม่ได้แบบเป็นคน
00:07:57 → 00:08:00 ที่เราสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องอือือแต่
00:08:00 → 00:08:01 แต่กลายเป็นว่าพ่อแม่เราอาจจะเป็นคน
00:08:01 → 00:08:04 ท็อกซิกซะอย่างงั้นอืนั่นหมายความว่าเรา
00:08:04 → 00:08:07 อาจจะคล้ายๆเกิดมาพร้อมกับการไม่มีตั๋วใบ
00:08:07 → 00:08:09 นั้นอการไม่ได้เกิดมาพร้อมกับการที่พ่อ
00:08:09 → 00:08:12 แม่มาพร้อมเลยอืเออแต่เราแค่กำเนิดขึ้นมา
00:08:12 → 00:08:16 จากคนที่สามารถผลิตลูกได้ผลิตทายาทได้อ
00:08:16 → 00:08:18 แต่เขาอาจจะยังไม่ได้ขัดกลาตัวเองมาดีพอ
00:08:18 → 00:08:20 ทีนี้ถ้าเราถ้าเราพอจะเห็นว่าออโอเคพ่อ
00:08:20 → 00:08:23 แม่เราเขาคก็เป็นอย่างนี้แหละเออด้วย
00:08:23 → 00:08:26 background เด้วยคุณภาพใจเ้าด้วยความ
00:08:26 → 00:08:28 เป็นเนื้อเป็นตัวเขาเป็นอย่างนี้แหละตัว
00:08:28 → 00:08:30 เราอาจจะไม่ร้อนใจเลยก็ได้นะครับกับสิ่ง
00:08:30 → 00:08:32 ที่เขาพิมพ์อืแค่แค่อาจจะรู้สึกไม่ชอบ
00:08:32 → 00:08:35 เพราะว่ามันทำให้แบบเหมือนเป็นการไปฉีก
00:08:35 → 00:08:37 หน้าหรือเป็นการทำให้อับอายต่อหน้าคนอื่น
00:08:37 → 00:08:40 ค่ะแต่เราจะไม่ร้อนรนจะไม่บ้าจี้กับตัวเา
00:08:40 → 00:08:43 อ่ะอืในบางมุมในเคสอย่างเงี้ยที่เกิดขึ้น
00:08:43 → 00:08:46 เนี่ยเอาก็ก็มองในแง่มุมที่ว่าอ่ะด้วย
00:08:46 → 00:08:49 ความที่ท่านอายุมากแล้วอาจจะมีมุมโมเมนต์
00:08:50 → 00:08:53 ของความเหงาความน้อยใจอะไรเกิดขึ้นได้
00:08:53 → 00:08:55 เสมอแล้วการที่ไม่ได้อยู่กับลูกกับหลาน
00:08:55 → 00:08:58 โดยตรงเลยเนี่ยก็แน่นอนว่ามันอาจจะมี
00:08:58 → 00:09:01 โมเมนต์ของความรู้สึกว่าเอออยากให้กลับมา
00:09:01 → 00:09:04 ดูแลก็เหมือนกับคนที่อยู่ต่างจังหวัดไกลๆ
00:09:04 → 00:09:07 อ่ะลูกหลานจะกลับบ้านทีก็ปีนึงหน 2 หนใช่
00:09:07 → 00:09:10 มั้ยคะเทศกาลยาวๆมันก็คงจะเป็นฟินั้นแหละ
00:09:10 → 00:09:13 เพียงแต่ว่าเขาใช้โซเชียลเนี่ยในการที่จะ
00:09:13 → 00:09:15 เป็นเหมือนเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สะท้อน
00:09:16 → 00:09:19 ไปให้กับลูกได้เห็นแต่เป็นการสะท้อนที่
00:09:19 → 00:09:23 แบบว่าอลืมไปว่าผลลับค่อยเหมาะสมจะเกิด
00:09:23 → 00:09:26 อะไรขึ้นใช่ครับแล้วก็เข้าใจได้ว่าทุกวัน
00:09:26 → 00:09:29 เนี้ยในสังคมโซเชียลเนี่ยเราโพสต์การกิน
00:09:29 → 00:09:32 อยู่กินดีอยู่ดีหรืออะไรเงี้ยคือก็ไม่ได้
00:09:32 → 00:09:33 หมายความว่าเราอยากจะอวดนะแต่มันเป็น
00:09:33 → 00:09:36 โมเมนต์ของความสุขอ่ะก็ก็มีความสุขอ่ะฉัน
00:09:36 → 00:09:38 ก็อยากจะโพสต์อะไรอย่างงี้ใช่มั้ยคะแล้ว
00:09:38 → 00:09:40 ก็ความทุกข์เราก็ไม่อยากมาโพสต์ให้ใคร
00:09:40 → 00:09:43 เห็นก็แค่นั้นเองมันก็เลยกลายเป็นว่าใน
00:09:43 → 00:09:45 พื้นที่ของเราที่มันเป็นความเป็นส่วนตัว
00:09:45 → 00:09:47 แต่อย่าลืมว่าพอความเป็นส่วนตัวของเรา
00:09:47 → 00:09:49 เนี่ยแต่เราเปิดสาธารณะอ่ะมันก็ไม่ส่วน
00:09:49 → 00:09:54 ตัวใช่ป่ะถ้าจะส่วนตัวก็ต้องเป็นเปิด Only
00:09:54 → 00:09:57 เห็นคเดียวเท่านั้นใช่ๆเพรางั้นพอมันมัน
00:09:57 → 00:09:59 ออกไปสู่สาธารณะจะบอกว่าพื้นที่พื้นที่
00:09:59 → 00:10:02 นี้ส่วนตัวก็ไม่ใช่แต่ก็ไม่ได้หมายความ
00:10:02 → 00:10:07 ว่าคนอื่นจะมาแขวะจะมาแบบโหท็อกซิกใส่ราว
00:10:07 → 00:10:09 แบบนั้นก็ไม่ใช่อะไรแบบเเนาะใช่ใช่ใช่
00:10:09 → 00:10:12 เพราะว่าโซเชียลมีเดียครับมันเหมือน
00:10:12 → 00:10:14 อารมณ์ว่าเราอยู่ในบ้านแต่เราเปิดประตู
00:10:14 → 00:10:17 บ้านไม่ได้ล็อกอ่ะอ่าฮะไม่ปิดไม่ปิดประตู
00:10:17 → 00:10:19 ด้วคือแบบเป็นพื้นที่ของบ้านเราอ่าฮถูก
00:10:19 → 00:10:22 มั้ยครับส่วนพอคนอื่นเห็นว่าเอ้าใช่แหละ
00:10:22 → 00:10:24 มันเป็นพื้นที่ของเธอแต่เธอไม่ปิดประตู
00:10:24 → 00:10:26 บ้านิเออฉันก็เลยเดินย่ำเข้าไปเลยเพราะ
00:10:26 → 00:10:28 คิดว่าเจ้าบ้านคงไม่ว่าอะไรอือฮซึ่งซึเรา
00:10:28 → 00:10:31 เข้าเขใจว่าการใช้โซเชียลมีเดียมันเป็น
00:10:31 → 00:10:34 อย่างงั้นมามาตั้งนานแล้วตั้งแต่ใช้เพราะ
00:10:34 → 00:10:37 ว่าพอลงรูปปั๊บเราเห็นรูปเอ้ยเราเข้าไป
00:10:37 → 00:10:39 เม้นต์หน่อยเพราะมันช่องเปิดให้เม้นต์
00:10:39 → 00:10:40 ตลอดเวลานั่นหมายความว่าตัวเรามีสิทธิ์จะ
00:10:41 → 00:10:43 เดินเข้าไปในบ้านเาได้ตลอดอค่ะเพราะงั้น
00:10:43 → 00:10:46 ถ้าเจ้าบ้านไม่อยากถูกคอมเมนต์เราจำเป็น
00:10:46 → 00:10:48 จะต้องปิดประตูบ้านอืแล้วมากกว่าปิดประตู
00:10:49 → 00:10:52 บ้านก็คือการการบายไม่ให้เห็นค่ะการทำให้
00:10:52 → 00:10:55 แบบคนอื่นไม่เห็นเมื่อไม่ถูกเห็นคนก็จะ
00:10:55 → 00:10:58 ไม่รู้จะเม้นอะไรจะเดินไปไหนอ่าเงยฮะ
00:10:58 → 00:11:00 เพราะงั้นเรื่องเนี้ยต้องบอกว่าตัวผู้ใช้
00:11:00 → 00:11:03 เองก็ต้องระมัดระวังเพราะเพราะเมื่อเรา
00:11:03 → 00:11:04 เข้าไปอยู่ในโซเชียล Media ครับมันคือ
00:11:04 → 00:11:08 สถานที่ที่เราสามารถถูกคนเป็นล้านมองเห็น
00:11:08 → 00:11:11 อืแล้วเราจะคาดหวังให้คนล้านคนนั้นน่ะค่ะ
00:11:11 → 00:11:14 คิดแบบเดียวเป็นไปไม่ได้ใช่ๆเพราะแต่ละคน
00:11:14 → 00:11:17 มันจะมีพื้นหลังมีภูมิหลังมีบุคลิกมี
00:11:17 → 00:11:20 ทัศนคติแตกต่างกันอยู่แล้วฮะอืเออเพราะ
00:11:20 → 00:11:23 ฉะนั้นถ้าตัวเราอยากปลอดภัยทางแรกที่แบบ
00:11:23 → 00:11:25 เอาง่ายที่สุดเลยคือการไม่โพสต์หรือถ้า
00:11:25 → 00:11:27 อยากจะโพสต์นะครับบางคนบอกว่าเฮ้ยชอบ
00:11:27 → 00:11:30 โพสต์เป็นไดรี่เอาไว้ย้อนดูอทีนี้ประเด็น
00:11:30 → 00:11:33 คือเราสามาโพสแบบที่ไม่เปิดให้สาธารณเห็น
00:11:33 → 00:11:37 ได้มล่ะได้สิมันมีงได้ริงๆหรือจริงๆลึกๆ
00:11:37 → 00:11:40 ตัวเราอยากให้สังคมเห็นออเราถึงไม่เลือก
00:11:40 → 00:11:44 ที่จะตั้งเป็นไวทออ๋อเพราะมีนะบางคนบางคน
00:11:44 → 00:11:46 ใช้โซเชียล Media เป็นสำหรับเป็นไดอารี่
00:11:46 → 00:11:49 แท้จริงเลยอือเขาจะเอ่อกดเลือกให้เป็นแค่
00:11:49 → 00:11:52 ตัวเองเห็นเพราะเขาตั้งใจไว้เป็นแบบ
00:11:52 → 00:11:55 เหมือนเหมืนเหมือนาที่เก็บสะสมี่อ่าก็วน
00:11:55 → 00:11:57 มามันก็จะขึ้นมาให้ดูว่าปีนึงผ่านไปแล้ว
00:11:57 → 00:12:00 วันนี้เป็นนั่นคือใช้เพื่อตัวเองจริงๆอื
00:12:00 → 00:12:02 แต่บางทีอ่ะครับลึกๆในใจเราอ่ะเรามีความ
00:12:02 → 00:12:05 รู้สึกอยากถูกซัพพอร์ตอยากมีคนกดไลก์อยาก
00:12:05 → 00:12:08 มีคนร่วมยินดีร่วมพูดคุยกับประเด็นที่เรา
00:12:08 → 00:12:10 กำลังแฮปปี้ค่ะนั่นนั่นคือความรู้สึก
00:12:10 → 00:12:12 ธรรมดาของผู้คนน่ะที่เวลาสำเร็จบางอย่าง
00:12:12 → 00:12:14 มีความสุขบางอย่างเราอยากให้คนมาชื่นชม
00:12:14 → 00:12:17 กับเราค่ะมันเป็นความปรารถนาเชิงสังคมอ่า
00:12:17 → 00:12:19 ฮะอ่าเราก็เลยมีความรู้สึกเยแฝงเข้าไปเลย
00:12:19 → 00:12:23 ทำให้เราเปิดสาธารณะค่ะและหวังว่าหวังลึก
00:12:23 → 00:12:25 ๆเราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้นะหวังลึกๆว่าจะ
00:12:25 → 00:12:28 มีคนมากดไลก์ให้เราจะมีคนมาคอมเมนต์แบบ
00:12:28 → 00:12:31 เฮ้ยดีจังเลยกับเราบ้างออือเออแสดงว่าเรา
00:12:31 → 00:12:34 ก็่ยหาสิ่งนี้อยู่เหมือนกันแต่ว่าบังเอิญ
00:12:34 → 00:12:37 ว่ากลายเป็นว่าคนข้างหลังเราคนในครอบครัว
00:12:37 → 00:12:40 เราหรือหรืออาจจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่อาจจะ
00:12:40 → 00:12:43 ไม่รู้สึกว่าทำไมแฮปอ่ารู้สึกยินดีกับเรา
00:12:43 → 00:12:47 อะไรงแต่แต่แต่มีหลายหลายๆหลายๆคนนะคะที่
00:12:47 → 00:12:51 โพสต์แล้วก็ผู้ใหญ่ก็มายินดีหรือแสดงความ
00:12:51 → 00:12:55 ยินดีหรืออะไรเงี้ยคือเราจะบอกว่าผิดขนาด
00:12:55 → 00:12:58 นั้นมยที่มามาเม้นแบบไม่ดีหรืออะไรเงี้ย
00:12:58 → 00:12:59 มันไม่ใช่นะคะ
00:12:59 → 00:13:04 อคามน้อยอน้อยใจหรือว่าอะไมีมีได้ใช่ครับ
00:13:04 → 00:13:06 ใช่พอจังหวะพอดีตรงนั้นอะไรอย่าเงี้ด้วย
00:13:06 → 00:13:08 เนาใช่ครับแต่ว่าไม่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไร
00:13:08 → 00:13:10 ขึ้นผมว่ามันมีสิ่งให้เราเรียนรู้ได้หมด
00:13:10 → 00:13:13 แหละเหมือนที่ผมบอกแล้วว่าบางทีพอเาเม้น
00:13:13 → 00:13:15 เขาอาจจะแบบไม่กล้าสื่อสารกับเราตรงงเขา
00:13:15 → 00:13:17 ก็เลยสื่อสารกับเราด้วยการอ้อมๆด้วยการ
00:13:17 → 00:13:20 พิมพ์จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าแต่แบบโอ้โหผล
00:13:20 → 00:13:22 มันร้ายแรงบางทีคนพิมพ์อาจจะไม่คาดคิดก็
00:13:22 → 00:13:24 ได้ว่ามันแบบทำให้สังคมมันรับรู้อ่ะอ่า
00:13:24 → 00:13:27 ใช่เอแต่ตัวเรารู้สึกว่าโอ้โหอะไรนะแม่ทำ
00:13:27 → 00:13:29 ให้หนูรู้แย่ต่อหน้าเพื่อนอย่างเงี้ยเออ
00:13:29 → 00:13:31 มันก็อาจจะรู้สึกอีกอย่างนึงใช่ๆเพราะ
00:13:31 → 00:13:34 งั้นเอ่อการพิมพ์คอมเมนต์หรือว่าการบอก
00:13:34 → 00:13:36 ความรู้สึกในโซเชียลมีเดียเนี่ยโดยส่วน
00:13:36 → 00:13:38 ใหญ่มันจะไม่ค่อยเวิร์คหรอกถ้าเป็นอารมณ์
00:13:38 → 00:13:41 ทางลบส่วนใหญ่ข้อความจะทำให้เกิดการตี
00:13:41 → 00:13:43 ความได้มากกว่าอีกครับอือบางทีไม่มีโทน
00:13:43 → 00:13:46 เสียงอ่ะไม่มีสีหน้าไม่มีแววตาเราเลยไม่
00:13:46 → 00:13:48 รู้ว่าเรื่องเมันซีเรียสระดับไหนอือเรา
00:13:48 → 00:13:50 อาจจะตีความไปทางร้ายตีความไปทางอะไรที่
00:13:50 → 00:13:53 มันต่อยอดภาพได้เยอะ่ะครับอือแต่บางทีตัว
00:13:53 → 00:13:55 หนังสือมันก็สะท้อนความรู้สึกออกมาได้
00:13:55 → 00:13:59 เหมือนกันนะแบบทำให้เรารู้สึกว่าโอ๊ย
00:13:59 → 00:14:01 ประโยคแบบนี้เนี่ยอืมนะอะไรอย่างเงี้ยได้
00:14:01 → 00:14:03 อแต่แค่มันจะถูกตีความเพิ่มตามประสบการณ์
00:14:03 → 00:14:06 เก่าเราครับค่ะเราในฐานะพูดตีความมันจะมี
00:14:06 → 00:14:09 ชุดประสบการณ์เก่าการตีความภาษา sensitive
00:14:09 → 00:14:11 ต่อภาษาไม่เท่ากันอือบางทีเขาอาจจะใช่
00:14:11 → 00:14:14 แหละเขาอาจจะพูดความรู้สึกลบแต่เราอาจจะ
00:14:14 → 00:14:17 ลบมากกว่าที่เขาพูดก็ได้นะอืเออลบได้อีก
00:14:17 → 00:14:19 อ่ะเรียกลบได้อีกบได้อีกเออก็ก็คนที่
00:14:19 → 00:14:23 คอมเมนต์คือคนที่เราให้ความสำคัญใช่ใช่
00:14:23 → 00:14:26 เพราะยิ่งสำคัญมากเเรียกว่าความรุนแรงของ
00:14:26 → 00:14:29 การตีความก็จะยิ่งมากใช่อืเออแต่ก็สุด
00:14:29 → 00:14:32 ท้ายก็ควควรไปเปิดใจคุยกันน่ะเพราะเรื่อง
00:14:32 → 00:14:34 นี้บางทีสื่อสารมันมีบางบ้านเหมือนกันนะ
00:14:34 → 00:14:36 เมื่อมีอารมณ์ทางลบอ่ะเขาคจะพิมพ์แชทคุย
00:14:36 → 00:14:40 กันอาฮะเพราะว่าไม่ไม่ไม่สื่อสารกันโดย
00:14:40 → 00:14:42 ตรงใช่ๆแปลกๆมากผมแล้วผมก็จะเห็นว่า
00:14:42 → 00:14:45 ทะเลาะกันประจำเลยในแชทผมก็จะบอกว่าเฮ้ย
00:14:45 → 00:14:48 บางทีเรื่องเนี้ยเป็นปัญหาในการไม่กล้า
00:14:48 → 00:14:50 เผชิญหน้าไม่กล้าพูดความรู้สึกซึ่งหน้านะ
00:14:50 → 00:14:53 อืเราเลยเลี่ยงไปใช้การพิมพ์แล้วการพิมพ์
00:14:53 → 00:14:57 เนี้ยมันไม่มีโทนเสียงไม่มีแววตาไม่มี
00:14:57 → 00:15:00 ความรู้สึกเกรงใจเพราะเพราะเรานั่งในพื้น
00:15:00 → 00:15:03 ที่ปลอดภัยของเราค่ะเราขลุกอยู่ในหัวเรา
00:15:03 → 00:15:05 ครับแล้วเราก็พิมพ์ในพื้นที่ปลอดภัยจะใช้
00:15:05 → 00:15:09 คำหรือประโยคแบบไหนก็ใส่ไปเลยใใส่เลยแต่
00:15:09 → 00:15:11 ถ้าเกิดมีการเผชิญหน้าปั๊บมันจะมีการแสดง
00:15:11 → 00:15:15 ท่ามันมันจะมีการสงวนท่าทีแล้วมีการปรับ
00:15:15 → 00:15:17 ท่าทีไปพร้อมกับคนตรงหน้าอืสมมุติคนตรง
00:15:17 → 00:15:20 หน้าชักสีหน้าปั๊บว่าไม่เข้าใจเราอาจจะ
00:15:20 → 00:15:24 แบบพูดแก้อะไรเงี้ยฮะแต่ทีนี้พอเหมือนกับ
00:15:24 → 00:15:26 เราไม่เห็นด้วยซ้ำว่าคนอีกฝั่งเข้าใจที่
00:15:26 → 00:15:28 เราพูดอยู่หรือเปล่าเออด้วยความที่ภาษา
00:15:28 → 00:15:30 อาจจะแบบไม่ได้พอดีกันอีกฝ่ายก็ซดกลับมา
00:15:31 → 00:15:33 ละเราก็จะรู้สึกว่าเฮ้ยแกไม่เข้าใจฉันเลย
00:15:33 → 00:15:36 นี่หว่าเราก็จะซดกลับไปซกลับมันก็เลยไม่
00:15:36 → 00:15:38 ได้มีการจูนแต่ละจังหวะอ่ะครับเพราะมัน
00:15:38 → 00:15:40 ไม่เห็นอะไรเลยมันก็เหนื่อยเนาะเหนื่อยๆ
00:15:40 → 00:15:42 ครับเพราะงั้นทุกวันนี้ต้องระมัดระวังมาก
00:15:42 → 00:15:44 ในการใช้พวกโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะในการ
00:15:44 → 00:15:47 คอมเมนเรื่องความรู้สึกทางลบค่ะมันมันมี
00:15:47 → 00:15:49 แต่การปะทะกันททั้งสูงเท่าที่ผมเห็นนะอื
00:15:50 → 00:15:52 เผลอๆบางทีความสัมพันธ์ระหว่างในครอบครัว
00:15:53 → 00:15:55 อาจจะแย่อาจจะพังลงไปเลยยิ่งถ้าเกิดว่า
00:15:55 → 00:15:59 แย่แย่อ่าให้คิดก่อนที่จะเม้นหรือจะพิมพ์
00:15:59 → 00:16:01 อะไรด้วยซ้ำเพราะว่าเคยได้ยินประโยคพวก
00:16:01 → 00:16:03 เนี้ยเหมือนกันว่าไอ้ตอนที่รู้สึกแย่เรา
00:16:03 → 00:16:06 ก็อยากจะพิมพ์อะไรตอนนี้อะไรอ่ะรก็ชั้น
00:16:06 → 00:16:08 ระบายในพื้นที่ของฉันน่ะระบายระบายระบาย
00:16:08 → 00:16:11 แต่คนอื่นเห็นหมดเลยเออได้อ่านหมดเลยอะไร
00:16:11 → 00:16:14 เงี้ยใช่ครับแต่ถ้าผ่านระยะเวลาไปสักช่วง
00:16:14 → 00:16:17 เวลาหนึ่งอืออาจจะสั้นหรือยาวก็แล้วแต่คน
00:16:17 → 00:16:19 ครับมันอาจจะทำให้ประโยคที่เดิมที่จะ
00:16:20 → 00:16:23 พิมพ์ที่มันเป็นคำพูดที่มันรุนแรงหรือ
00:16:23 → 00:16:27 อะไรคำที่แย่ๆเนี่ยมันอาจจะแบบจางลงจางลง
00:16:27 → 00:16:29 ไปหรือบางทีอาจจะจาก 1 หน้ากลายเป็นครึ่ง
00:16:29 → 00:16:31 หน้ากระดาษหรืออาจจะแบบเปลี่ยนความคิดไป
00:16:31 → 00:16:33 แล้วเออโพสตอย่างอื่นเหอะอือๆก็เป็นไปได้
00:16:33 → 00:16:36 อีกเหมือนกันครับอืเพราะงั้นเรื่องพวกนี้
00:16:36 → 00:16:38 มันมีคำว่าดิจิตอล footprint เนาะอ่าใช่
00:16:38 → 00:16:41 คำนี้มาประวัดสืบหลังที่แบบว่าเราเคยทำ
00:16:41 → 00:16:43 อะไรมาในโลกออนไลน์เราเคยได้พิมพ์ประโยค
00:16:43 → 00:16:45 อะไรมันจะยังคงอยู่อย่างนั้นแหละใช่ๆไป
00:16:45 → 00:16:50 สืบค้นนี่เออเพราะฉะนั้นคือการที่เาโพสต์
00:16:50 → 00:16:52 อะไรดีๆก็ไม่ได้หมายคามว่าชีวิตเขาจะดี
00:16:52 → 00:16:54 อย่างที่เขาโพสต์ก็เป็นไปได้อีกนะเออเขาค
00:16:54 → 00:16:57 อาจจะทุกข์ใจอยู่อ่ะแต่เหมือนเอาจจะอยาก
00:16:57 → 00:17:00 หาอะไรที่มันแบบเป็นโมเมนต์ดีๆที่ถ่ายทอด
00:17:00 → 00:17:03 ออกมาไม่ได้อยากให้ใครรับรู้ว่ากำลังมี
00:17:03 → 00:17:06 ความทุกขอะไทุกอยู่หรืออะไรอย่างเงี้ยอื
00:17:06 → 00:17:07 ก็เป็นไปได้อิกเหมือดกันใช่ครับเพราะงั้น
00:17:08 → 00:17:09 เรื่องเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียก็เลย
00:17:09 → 00:17:12 ต้องระมัดระวังเพราะว่าบางทีตัวเราอาจจะ
00:17:12 → 00:17:15 แค่อยากแบบโพสต์ให้ตัวเองชุบชูใจอ่าแต่
00:17:15 → 00:17:18 เหมือนที่ผมย้ำนะว่าเรากำลังแสดงตัวต่อ
00:17:18 → 00:17:21 หน้าคนนับร้อยนับพันนับหมื่นหรืออาจะเป็น
00:17:21 → 00:17:24 คนใกล้ตัวอที่แต่ละคนมีวิธีการตีความไม่
00:17:24 → 00:17:26 เหมือนกันอือฮึเพราะงั้นเราไม่มีทางหวัง
00:17:26 → 00:17:29 ได้ครับว่าสิ่งที่เราโพสต์ 1 อย่างคจะรู้
00:17:29 → 00:17:31 สึกเหมือนกันทุกอย่างค่ะหรทุกคนอย่าง
00:17:31 → 00:17:35 เงี้ยคือบางทีอ่าภาพนั้นเนี่ยมันอาจจะนาน
00:17:35 → 00:17:37 แล้วก็ได้แต่แค่ว่าตอนนู้นน่ะไม่ได้โพสต์
00:17:37 → 00:17:40 เพิ่งเอามาลงวันนี้กลายเป็นความเข้าใจผิด
00:17:40 → 00:17:43 ไปอีกเออใช่ครับก็เกิดขึ้นได้ใช่มีมีเกิด
00:17:43 → 00:17:46 ขึ้นได้แต่อย่างอย่างเคสตะกี้ที่เราคุย
00:17:46 → 00:17:48 กันเรื่องที่ว่าเฮ้ยแม่อาจจะตัดเพะเรื่อง
00:17:48 → 00:17:50 เหงาอะไรเงี้ยครับอือมันมันมีอย่างงี้
00:17:50 → 00:17:53 เหมือนกันนะไปพูดข้างนอกบ้านว่าแบบลูกไม่
00:17:53 → 00:17:55 ได้พาไปเหงาจังคนอื่นดีจังได้ไปเที่ยวอื
00:17:55 → 00:17:57 แต่พอเราไปถามจริงๆว่าจะไปเที่ยวมั้ยบอก
00:17:57 → 00:18:01 ไม่ไปเอ้ามีเหมือนกันนะทำไมงั้นคือคือบาง
00:18:01 → 00:18:04 ทีบางคนเป็นแค่ความอยากแต่พอจะให้ต้อง
00:18:04 → 00:18:08 เหนื่อยไปจริงๆอ่ะอาจจะไม่อยากก็มีเหมือน
00:18:08 → 00:18:12 กันอือืเพราะงั้นอันนี้เลยต้องที่ย้ำนะ
00:18:12 → 00:18:15 ครับว่าต้องดูให้ดีว่าเอ่อแต่ละคนที่เรา
00:18:15 → 00:18:17 กำลังเจอเ้าพิมพ์คอมเมนต์เนี่ยครับแต่ละ
00:18:17 → 00:18:23 คนเมีพื้นฐานความคิดยังไงอืออืก็ถ้าไม่
00:18:23 → 00:18:27 งั้นก็หยุดโพสต์ไปเลยอ่าหยุดโพสต์ไปไม่
00:18:27 → 00:18:29 เล่นโซเชียลไปเลยใช่ครับคือผมมองว่าบาง
00:18:29 → 00:18:31 บางคนนะครับยิ่งในยุคนี้เนาะจะเริ่มมี
00:18:31 → 00:18:33 ความเบื่อเบื่อหน่ายโซเชียลมีเดียค่ะ
00:18:33 → 00:18:35 อย่างอย่าผมเองต้องบอกว่าเป็นคนที่เลิก
00:18:35 → 00:18:37 โพสต์ไปแล้วเหมือนกันนะอ่าฮะเรื่องชีวิต
00:18:37 → 00:18:39 เรื่องความคิดแต่แต่สิ่งที่อยากโพสต์ยัง
00:18:39 → 00:18:41 มีอยู่อย่างเช่นแบบไปเล่นดนตรีมาเออมัน
00:18:41 → 00:18:44 เหมือนอยากโชว์แบบมีเวทีแสดงผลงานอะไร
00:18:44 → 00:18:47 เงี้ยแต่ว่าถ้าพูดแบบชีวิตความทุกข์ชีวิต
00:18:47 → 00:18:50 แบบชั้นได้อันนี้อันนั้นมามีความสุขปกติ
00:18:50 → 00:18:53 ผมหลังๆจะเห็นว่าตัวเองไม่โพสต์เลยออือ
00:18:53 → 00:18:55 เพราะเพราะจะอยู่กับโมเมนต์ซึ่งหน้าแล้ว
00:18:55 → 00:18:58 ก็แฮปปี้แล้วก็พออืไม่ไม่ได้คิดว่าการ
00:18:58 → 00:19:00 โพสต์ Facebook หรือว่าโพสต์
00:19:00 → 00:19:02 โซเชียลมีเดียจะทำให้เราสุขกว่าเดิมค่ะ
00:19:02 → 00:19:04 แต่จริงๆอาจจะอาจจะแฮปปี้ก็ได้แต่ว่า
00:19:04 → 00:19:07 เหมือนที่เราทราบกันนะครับว่าการโพสต์ลง
00:19:07 → 00:19:10 ไปเนี่ยมันมันมีอิทธิพลต่อผู้อื่นด้วยเรา
00:19:10 → 00:19:13 ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นอาจจะแบบกำลังเศร้า
00:19:13 → 00:19:16 อยู่แล้วพเหตุเราชีวิตดีจังเค้าก็อาจจะ
00:19:16 → 00:19:18 รู้สึกว่าชีวิตเ้าไม่ดีเลยอ้าวเออเค้าอาจ
00:19:19 → 00:19:20 จะไม่ตัดพ้อเราก็ได้นะเคอาจจะไม่ได้มี
00:19:20 → 00:19:22 ความเกี่ยวพันกับเราเคอาจจะเป็นแค่เพื่อน
00:19:22 → 00:19:25 เราที่แบบเรียนมาด้วยกันแต่พอเราโพสต์
00:19:25 → 00:19:27 ชีวิตดีปึ๊บในขณะที่เค้ากำลังชีวิตไม่
00:19:27 → 00:19:30 ค่อยดีเขาจะรู้สึกเหมือนเปรียบเทียบอ่ะ
00:19:30 → 00:19:33 ว่าเออเพื่อนเราไปได้ไกลเนาะแต่ตัวฉัน
00:19:33 → 00:19:36 อยู่ตรงนี้อืขดหู่จังเคอาจจะไม่พิมพ์อะไร
00:19:36 → 00:19:37 ในคอมเมนต์เราเลยก็ได้ครับเอาจจะกดไลก์
00:19:37 → 00:19:41 ด้วยซ้ำกดไลก์กับเรายินดีกับเราแต่ตัวเขา
00:19:41 → 00:19:43 กลับหม่นหมองยิ่งกว่าเดิมเพราะเขายังขาย
00:19:43 → 00:19:45 สิ่งนั้นชัดขึ้นกว่าเดิมเงี้ยฮะออืเรื่อง
00:19:45 → 00:19:47 นี้มันเลยต้องดูว่าการโพสต์โซเชียลมีเดีย
00:19:47 → 00:19:50 เนี่ยมันมีผลทั้งทางบวกกับบางคนที่ยินดี
00:19:50 → 00:19:53 กับเราหรือการโพสต์ของเราอาจจะกระตุ้นแรง
00:19:53 → 00:19:56 บันดาลใจให้ใครสักคนบอกว่าเฮ้ยอยากมีความ
00:19:56 → 00:19:58 สุขแบบเรางั้นฉันจะต้องลุกไปทำอะไรบาง
00:19:58 → 00:19:59 อย่างอือย่างเงี้ยครับก็มีเหมือนกันที่เข
00:19:59 → 00:20:02 ได้กำลังใจแรงบันดาลใจแต่บางคนที่เขาอาจ
00:20:02 → 00:20:05 จะอยู่ในช่วงเปราะบางการได้เห็นโพสต์ของ
00:20:05 → 00:20:07 เราอาจจะเป็นอีกด้านนึงก็ได้ที่เป็นด้าน
00:20:07 → 00:20:10 มืดอืที่ทำให้ผลลัพธ์ที่เราคาดหมายว่าคน
00:20:10 → 00:20:12 จะมีความสุขเนี่ยไม่ใช่ะมันกลายเป็นว่า
00:20:12 → 00:20:14 มันสร้างทุกข์ให้ใครบางคนเหมือนกันแต่
00:20:14 → 00:20:17 ทั้งนี้ทั้งนั้นคือต่อให้ใครจะพจน์เรื่อง
00:20:17 → 00:20:18 ความสุขหรืออะไรก็แล้วแต่หรือเรื่องอะไร
00:20:18 → 00:20:21 ก็แล้วแต่เนี่ยก็บางทีก็ไม่ได้จำเป็นที่
00:20:21 → 00:20:25 เราจะต้องไปเป็นตลอดเวลาเนาะอคือดูแล้ว
00:20:25 → 00:20:29 ผ่านไปดได้ดูผ่านไปใช่ครับแล้วก็จริงๆ
00:20:29 → 00:20:31 แล้วเรื่องการทำให้มีความสุขอ่ะครับอย่าง
00:20:31 → 00:20:32 เช่นในเคสตอนต้นที่เราคุยกันเรื่องแบบ
00:20:33 → 00:20:35 เอ๊ะลูกไม่พาไปเที่ยวเลยอย่าเงี้ยบางที
00:20:35 → 00:20:37 ปัญหามันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวลูกก็ได้นะ
00:20:37 → 00:20:40 แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่าคุณแม่ท่านนั้นอาจจะ
00:20:40 → 00:20:43 ทำชีวิตหรือเลี้ยงวิถีชีวิตตัวเองให้ไม่
00:20:43 → 00:20:45 มีกิจกรรมแล้วหาความสุขด้วยตัวเองไม่ได้
00:20:45 → 00:20:49 ก็ได้เออใช่ก็เลยไปฝากเอาว่าหน้าที่การทำ
00:20:49 → 00:20:52 ให้ฉันมีความสุขคือหน้าที่ของเธออือฮึลูก
00:20:52 → 00:20:54 จะต้องมีหน้าที่ในการทำให้ฉันมีความสุขมา
00:20:54 → 00:20:57 หาซะดีๆเออเออก็เลยแบบกลายเป็นว่าไปฝาก
00:20:57 → 00:21:00 ฝังไปโยนพาละโยนหน้าที่ในการทำให้ตัวเอง
00:21:00 → 00:21:02 มีความสุขไว้ที่คนอื่นออือแต่จริงๆแล้ว
00:21:02 → 00:21:04 ทุกคนมีหน้าที่ในการทำชีวิตให้ตัวเองมี
00:21:04 → 00:21:07 ความสุขค่ะและเหมือนที่ผมย้ำกับทุกๆเทป
00:21:07 → 00:21:10 ที่เคยพูดนะครับว่าเราไม่สามารถฝากฝังการ
00:21:10 → 00:21:13 มีความสุขไว้กับคนอื่นได้ตลอดจริงเราไม่
00:21:13 → 00:21:15 สามารถสร้างการมีรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
00:21:15 → 00:21:18 ไว้กับคำพูดคนอื่นได้ตลอดค่ะแต่มันจะต้อง
00:21:18 → 00:21:20 เป็นตัวเราเองที่เห็นว่าเราสามารถสร้าง
00:21:20 → 00:21:23 ชีวิตที่มีความสุขด้วยตัวเองได้อเราเจอ
00:21:23 → 00:21:25 กิจกรรมที่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้โดยที่
00:21:25 → 00:21:27 ไม่ต้องฝากฟังกับใครเราสามารถสร้างความ
00:21:27 → 00:21:29 รู้สึกมีคุณค่าด้วยตัวเองได้โดยที่ไม่
00:21:29 → 00:21:32 ต้องรอให้ใครมาบริจาคให้เราใช่เออเพราะ
00:21:32 → 00:21:35 งั้นเรื่องเนี้ยครับในเคสตอนนั้นตอนต้น
00:21:35 → 00:21:37 ที่เราคุยกันน่ะบางทีอาจจะต้องดูว่าคุณ
00:21:37 → 00:21:40 แม่ได้กำลังเรียกอะไรนะหล่อเลี้ยงวิถี
00:21:40 → 00:21:42 ชีวิตที่ไม่ค่อยโอเคอยู่ในตัวเองหรือ
00:21:42 → 00:21:46 เปล่าอืเออบางทีตัวเาอาจจะขาดสังคมตัวเา
00:21:46 → 00:21:48 อาจจะเป็นคนตัดขาดจากสังคมตัวเขาอาจจะ
00:21:48 → 00:21:51 เป็นคนการปฏิเสธกันไปข้างนอกหรืออาจจะแบบ
00:21:51 → 00:21:54 บอกว่าเอ้ยมันยุ่งยากแล้วก็เลยปิดกั้นตัว
00:21:54 → 00:21:57 เองไปก็เลยกลายเป็นคนที่เหงาๆอยู่บ้านไม่
00:21:57 → 00:21:59 มีความสุขอืแต่จริงแล้วตัวเอาจจะต้องนั่ง
00:21:59 → 00:22:02 คิดเหมือนกันว่าเค้าจะสามารถออกไปใช้
00:22:02 → 00:22:05 ชีวิตกับโลกใบนี้ยังไงให้เค้ายังคงมีความ
00:22:05 → 00:22:07 สามารถในการควบคุมความสุขด้วยตัวเาโดยที่
00:22:07 → 00:22:09 ไม่ต้องฝากกับคนอื่นอือหรือได้พาตัวเอง
00:22:09 → 00:22:12 เปลี่ยนอริยบทเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสภาพ
00:22:12 → 00:22:14 แวดล้อมด้วยตัวเองได้บ้างอือเพราะถ้าเกิด
00:22:14 → 00:22:16 เราปล่อยให้ตัวเองแบบอยู่กับบ้านแล้วล็อค
00:22:16 → 00:22:18 ให้ตัวเองแบบไม่มีความสามารถอะไรเลยมันก็
00:22:18 → 00:22:21 หนีไปที่มันก็ไปฝากที่คนอื่นแทนอยู่ดีอ่ะ
00:22:21 → 00:22:24 ค่ะว่าแม่ทำไม่ได้งั้นหน้าที่ลูกทำให้แม่
00:22:24 → 00:22:26 หน่อยแล้วกันอืเออซึ่งมันก็ไม่ควรเป็น
00:22:26 → 00:22:28 อย่างงั้นนะครับมันก็กลายเป็นการโยนภาระ
00:22:28 → 00:22:30 ไปไปคือสร้างความสุขได้ด้วยตัวเองเมัน
00:22:30 → 00:22:32 ยั่งยืนกว่ายั่งยืนกว่าแล้วก็ไม่ต้องไปรอ
00:22:32 → 00:22:35 ความสุขที่มันต้องแบบเออแค่เธอมาหาฉัน
00:22:35 → 00:22:38 หรือพาฉันไปเที่ยวหรือว่าแบบอ่าตอบสนอง
00:22:38 → 00:22:40 ฉันอย่างเดียวแต่ว่าบางทีความสุขเล็กๆที่
00:22:40 → 00:22:42 เกิดขึ้นกับตัวเองได้เห็นลูกหลานประสบ
00:22:42 → 00:22:46 ความสำเร็จผ่านโซเชียลเนี่ยอือๆก็ก็ทำให้
00:22:46 → 00:22:48 เรายิ้มได้แล้วนะว่าอย่างน้อยที่สุดแล้ว
00:22:48 → 00:22:51 เนี่ยเาจะสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมหรือดู
00:22:51 → 00:22:54 แลครอบครัวของเขาเนี่ยได้ดีต่อไปถึงวัน
00:22:54 → 00:22:56 นึงจะไม่มีชันแล้วเหมือนที่คุณเอิ้นเคย
00:22:56 → 00:22:59 พูดอยู่หลายๆครั้งเหมือนกันว่าสุดท้าย
00:22:59 → 00:23:02 แล้วอ่ะเราก็ต้องจากกันอยู่ดีอ่ะจะช้าจะ
00:23:02 → 00:23:04 เร็วจะแบบไหนเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่
00:23:04 → 00:23:07 ดีแต่ทำไมเราถึงไม่ยินดีกับสิ่งที่ว่า
00:23:07 → 00:23:10 เค้าวันนี้เมีความสุขหรือจะเป็นภาพเก่า
00:23:10 → 00:23:13 เล่าเรื่องใหม่ก็แล้วแต่เนี่ยแต่ว่าออเ
00:23:13 → 00:23:17 อยู่ต่อได้อ่าใช่ครับแม้จะไม่มีเราใช่อัน
00:23:17 → 00:23:18 นี้เรื่องการใช้โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่
00:23:18 → 00:23:22 ผู้โพสต์เนาะเราในฐานะผู้เสพหรือผู้รับ
00:23:22 → 00:23:25 รู้สื่อต้องต้องรู้ทันใจเหมือนกันว่าถ้า
00:23:25 → 00:23:27 ถ้าเรารู้สึกว่าการเข้าไปในโซเชียลมีเดีย
00:23:27 → 00:23:29 เราเห็นภาพคนนู้นคนนมีความสุขอือแล้วมัน
00:23:29 → 00:23:33 กลับบูสความเป็นแบบพื้นที่สีเทาสีดำในใจ
00:23:33 → 00:23:35 เราขึ้นมาผมว่าเรื่องนี้เราต้องตระหนัก
00:23:35 → 00:23:37 แล้วก็พยายามลดการใช้โซเชียล Media
00:23:37 → 00:23:39 เหมือนกันค่ะไม่งั้นมันกลายเป็นว่ายิ่งดู
00:23:39 → 00:23:41 ยิ่งรู้สึกเหงายิ่งรู้สึกว้าเหวยิ่งเห็น
00:23:41 → 00:23:44 ความทุกข์ตัวเองชัดขึ้นอือผมว่ามันอาจจะ
00:23:44 → 00:23:46 ไม่ได้จำเป็นมากนะครับถ้าเราเห็นว่า
00:23:46 → 00:23:50 โซเชียล Media เป็นเป็นของแสลงของเราออือ
00:23:50 → 00:23:55 เราก็อาจจะเอ่อเรียกว่าลดลการใช้งานค่ะลด
00:23:55 → 00:23:57 การใช้งานหรือเค้าเรียกว่าอะไรนะดีท็อกซ์
00:23:57 → 00:24:01 ฮะอ่าเดีท็อกซ์เออก็คือลดลดการใช้สื่อของ
00:24:01 → 00:24:03 นั้นออกไปเพื่อให้มันไม่ต้องมากระตุ้นเรา
00:24:03 → 00:24:06 ไม่ต้องดูอไม่ดูไม่เห็นไม่รับรู้ไปทำ
00:24:06 → 00:24:08 อย่างอื่นแทนหรือถ้าเกิดจะเปลี่ยน
00:24:08 → 00:24:11 แพลตฟอร์มที่จากพวกที่โพสต์หรืออะไรพวก
00:24:11 → 00:24:14 เนี้ยไปดูเป็นแบบเป็นคลิปเป็นอะไรอย่าง
00:24:14 → 00:24:17 งั้นแทนไปแบบให้ได้หัวเราะอ่ะให้หัวได้
00:24:17 → 00:24:19 หัวเราะกับตัวเองอ่ะแล้วก็ไม่ได้ไปโฟกัส
00:24:19 → 00:24:23 ว่าเอ๊ะวันนี้ลูกเราโพสต์อะไรอืๆดีไม่ดี
00:24:23 → 00:24:26 ยังไงหรืออะไใช่แล้วไปจับจ้องใส่ใจมาก
00:24:26 → 00:24:29 เกินไปอืก็ไปไปหาความสุขให้ตัวเองเล็กๆ
00:24:29 → 00:24:32 น้อยๆในแต่ละวันสะสมไปเรื่อยๆใช่ครับอยาก
00:24:32 → 00:24:34 อยากฝากทุกคนว่าทุกคนมีหน้าที่ในการจัด
00:24:34 → 00:24:37 การความทุกข์ของตัวเองนะค่ะเราเราไม่เรา
00:24:37 → 00:24:39 มีหน้าที่เรามีบทบาทในการเอื้อเฟื้อผู้
00:24:39 → 00:24:41 อื่นให้ทุกข์น้อยลงได้อือแต่เราไม่ได้
00:24:41 → 00:24:43 เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการทำให้คนอื่นหาย
00:24:43 → 00:24:46 ทุกข์ทุกคนจะต้องมีหน้าที่ในการจัดการ
00:24:46 → 00:24:48 ความทุกข์ตัวเองด้วยครับใช่ค่ะก็ฝากไว้
00:24:48 → 00:24:50 แล้วกันเนาะอันนี้เป็นเคสที่เกิดขึ้นจริง
00:24:50 → 00:24:52 ไม่รู้คุณผู้ฟังได้มีโอกาสเจออะไรแบบนี้
00:24:53 → 00:24:54 หรือเปล่าเดี๋ยวเป็นแนวทางไว้ก็แล้วกันนะ
00:24:54 → 00:24:57 คะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะครับสวัสดีครับหมด
00:24:57 → 00:24:59 เวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้า
00:24:59 → 00:25:02 กับรายการโรงหมอทางไย PBS podcast ค่ะ
00:25:02 → 00:25:05 วันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is Thai
00:25:05 → 00:25:08 PBS podcast สารสำคัญในน้ำมันกัญชามี
00:25:08 → 00:25:11 ชนิดที่ดีและก่อผลข้างเคียงต่อร่างกายแต่
00:25:11 → 00:25:13 แพทย์กังวลเพราะอะไรรองศาสตราจารย์ดร
00:25:13 → 00:25:16 เภสัชกรหญิงจุฑามณีสุทธิศรีสังจาก
00:25:16 → 00:25:20 มหาวิทยาลัยมหิดลมาบอกให้รู้ครับจริงๆ
00:25:20 → 00:25:23 แล้วพอเราพูดถึงคำว่ากัญชาเนี่ยค่ะคนทั่ว
00:25:23 → 00:25:27 ไปก็จะรู้จักหรือคุ้นเคยกับา 2 ตัวที่พูด
00:25:27 → 00:25:29 กันบ่อยๆในสื่อนะคะก็คือ
00:25:29 → 00:25:33 thc กับ cbd นะคะซึ่งจริงๆมันคือตัวย่อ
00:25:34 → 00:25:37 ชื่อมันจะยาวนะคะเราก็จะคุ้นเคยที่ SCC
00:25:37 → 00:25:40 กับ cbd แต่จริงๆแล้วเนี่ยในกัญชาจะมีสาร
00:25:41 → 00:25:44 จำนวนมากเลยค่ะมากกว่า 400 กว่าชนิดเลยนะ
00:25:44 → 00:25:48 คะและแต่ละตัวเนี่ยก็จะออกฤิแตกต่างกันไป
00:25:48 → 00:25:52 เพียงแต่ว่าตัว TSC กับ cbd เเป็นตัวที่
00:25:52 → 00:25:55 ได้รับการศึกษาเป็นจำนวนมากแล้วก็เป็นตัว
00:25:55 → 00:25:59 ออกลิฟต์หลักที่สำคัญของกัญชค่ะ TC เนี่ย
00:25:59 → 00:26:02 เป็นตัวที่โอเคมีประโยชน์จริงแต่ว่าถ้า
00:26:02 → 00:26:06 ได้รับมากเกินไปมันจะมีผลต่อระบบประสาท
00:26:06 → 00:26:09 ส่วนกลางในทางที่ไม่ดีเยอะมากนะคะเช่นทำ
00:26:10 → 00:26:15 ให้ความคิดอ่านช้าลงการตัดสินใจช้าลงค่ะ
00:26:15 → 00:26:18 หนักข้อไปจนถึงทำให้เกิดอาการทางจิต
00:26:18 → 00:26:20 เหมือนคนไข้โรคจิตเช่นหวาดระแวงประสาท
00:26:20 → 00:26:25 หลอนอันนั้นคือตัวของ thc นะคะซึ่งออก
00:26:25 → 00:26:27 ฤทธิ์ในระบบประสาทส่วนกลางค่อนข้างเยอะ
00:26:27 → 00:26:32 มากส่วน cbd เนี่ยการออกฤทธิ์ในร่างกาย
00:26:32 → 00:26:35 เนี่ยมันจะคนละเรื่องเลยกับ TSC ไม่
00:26:35 → 00:26:37 เหมือนกันเลย cbd เนี่ยไม่ทำให้ประสาท
00:26:37 → 00:26:40 หล้อนข้อดีของมันคือมันไม่ทำให้ประสาท
00:26:40 → 00:26:45 หล้อนมันมีฤทธิ์ในการกันชักที่ดีอืมี
00:26:45 → 00:26:48 ฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ดีนะคะดังนั้นเวลา
00:26:48 → 00:26:51 เราใช้น้ำมันกัญชาเนี่ยเราต้องรู้ว่าเอ๊ะ
00:26:51 → 00:26:55 ไอ้น้ำมันกัญชาที่เราซื้อมาใช้เนี่ยมันมี
00:26:55 → 00:26:58 thc หรือมันมี cbd สูง้าถ้าเป็นน้ำมัน
00:26:58 → 00:27:01 กัญชาที่มี thc สูงอันนี้ต้องระวังเยอะ
00:27:01 → 00:27:04 เพราะมีอาการข้างเคียงหลายอย่างการเอาไป
00:27:04 → 00:27:08 ใช้ในการรักษาโรคทางการแพทย์ก็แตกต่างกัน
00:27:08 → 00:27:11 ค่ะดังนั้นกระบวนการได้มาซึ่งน้ำมันกัญชา
00:27:11 → 00:27:14 ทางการแพทย์นะคะเพื่อจะใช้ให้ถูกต้อง
00:27:14 → 00:27:17 เนี่ยมันจึงต้องอยู่ในห้องแลบที่มี
00:27:17 → 00:27:21 มาตรฐานต้องไม่มีสารปนเปื้อนเหลือและต้อง
00:27:21 → 00:27:25 มีกระบวนการตรวจวิเคราะห์ว่ามี TSC และ
00:27:25 → 00:27:30 cbd อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะสมควรที่จะ
00:27:30 → 00:27:32 เอาไปใช้ทางการแพทย์ได้หรือไม่อันนี้
00:27:32 → 00:27:36 สำคัญมากนะคะเพราะฉะนั้นเวลาที่ประชาชนไป
00:27:36 → 00:27:40 ซื้อน้ำมันกัญชาไม่มีเลเบลข้างขวดเลยอื
00:27:40 → 00:27:42 ไม่ได้พูดอะไรเลยเขียนน้ำมันกัญชาอย่าง
00:27:42 → 00:27:45 เดียวเนี่ยอันเนี้ยตัวเองในฐานะเป็น
00:27:45 → 00:27:47 บุคลากรทางการแพทย์เป็นเภสัชเนี่ยโดย
00:27:47 → 00:27:50 เฉพาะเภสัชซึ่งเราต้องคอนเซิร์นเรื่อง
00:27:50 → 00:27:52 ความปลอดภัยในเรื่องการใช้ยาเนี่ยเราจะ
00:27:52 → 00:27:56 บอกอืมแล้วคุณจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าคุณใช้
00:27:56 → 00:27:59 น้ำมันกัญชาที่มันมี TS เท่าไหร่เพราะมัน
00:27:59 → 00:28:02 อันตรายเนี่ยค่ะแค่นี้เองเหมือนกับเราไป
00:28:02 → 00:28:05 ซื้ออาหารบางอย่างอาหารมันไม่ค่อยมีเลเบล
00:28:05 → 00:28:09 นะต้องใช้คำว่าซื้อยายาเนี่ยจะเป็นยาได้
00:28:09 → 00:28:12 มันต้องรู้ปริมาณสารสำคัญชัดเจนใช่มั้ยคะ
00:28:12 → 00:28:15 ค่ะไม่งั้นเราก็ไม่รู้เรากินอะไรเข้าไป
00:28:15 → 00:28:18 เท่า
00:28:18 → 00:28:23 ไหร่ This Is Toy PBS
00:28:23 → 00:28:26 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:28:26 → 00:28:29 แอปพลิเคชันของ Thai PB podcast
00:28:29 → 00:28:32 spotify Sound Cloud Google podcast
00:28:32 → 00:28:34 Apple podcast และ YouTube Channel
00:28:34 → 00:28:39 Thai PBS podcast type PBS podcast
00:28:39 → 00:28:41 View the world via The Voice
00:28:41 → 00:28:47 [เพลง]