00:00:00 → 00:00:03 คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันมานานๆใกล้ชิดกัน
00:00:03 → 00:00:05 อย่าเงี้ยเวลาเจอเหตุการณ์อะไรมันจะมันก็
00:00:05 → 00:00:08 จะใช้นิสัยเดิมๆในการลุกขึ้นมารับมือ
00:00:08 → 00:00:10 เพราะเราแปลความโดยสมมุติฐานที่ตั้งไว้
00:00:10 → 00:00:12 ครับว่าเขาก็เป็นอย่างนี้แหละเอ่อแม่ก็
00:00:12 → 00:00:14 ไม่เคยรักสมมุติในหัวเนี่ยผมไปเสิร์ฟข้าว
00:00:14 → 00:00:17 ด้วยการบอกว่าแม่ก็ไม่เคยรักเราแม่ก็ไม่
00:00:17 → 00:00:19 เคยรักเรามีเสียงเนี่ยอยู่ในหัวตลอดแค่
00:00:19 → 00:00:21 แม่พูดว่าเอ้ยแกขอน้ำปลา
00:00:21 → 00:00:24 หน่อยกลายเป็นว่าแม่แม่ก็ไม่เคยรักเราอีก
00:00:24 → 00:00:26 แล้วบอกทำอะไรก็ไม่เคยดีในสายตาแม่เ้า
00:00:26 → 00:00:28 จริงๆแม่แค่ขอน้ำปลาเพราะฉะนั้นเนี่ยบาง
00:00:28 → 00:00:30 ทีกลับมาทบทวนตัวเองก่อนว่าเรามี
00:00:30 → 00:00:34 สมมุติฐานอะไรในใจหรือเปล่าถ้ามีเนี่ยเรา
00:00:34 → 00:00:37 รู้ทันเราก็อาจจะแปลความในมุมที่ต่างไป
00:00:37 → 00:00:40 ได้เรามีสมมุติฐานอะไรในใจหรือเปล่าเอใช่
00:00:40 → 00:00:42 ครับสมมุติฐานส่วนมากในใจเนี่ยอาจจะมีได้
00:00:42 → 00:00:45 สัก 3-4 แบบที่ผมไกไว้จริงๆมีได้หลายแบบ
00:00:45 → 00:00:47 แหละแต่ว่าอันแรกคือสมติฐานประเภทที่เขา
00:00:47 → 00:00:50 รักไม่รักแคร์ไม่แคร์อือ่าแบบเนี้ยก็คือ
00:00:50 → 00:00:53 เวลาจะมีสมมติฐานในสไตล์เนี่ยก็คือเราจะ
00:00:53 → 00:00:55 ตีความพฤติกรรมคนตรงหน้าเลยแค่เขาไม่พูด
00:00:55 → 00:00:59 ถึงเราแค่เขาไม่ตอบสนองเรามันกลายเป็นเ
00:00:59 → 00:01:03 ไม่ไม่แคร์ไปได้ในทันทีอ่าหรือพอเติปุ๊บ
00:01:03 → 00:01:05 ก็หาว่าเราไม่เก่งใช่เกอะไรเงี้ยใช่ม
00:01:05 → 00:01:07 บริหานแบบที่ 2 คือเรื่องเก่งไม่เก่งก็
00:01:07 → 00:01:09 คือว่าเหมือนเขาก็รู้สึกว่าฉันไม่มีความ
00:01:09 → 00:01:12 สามารถฉันดีไม่พอฉันไม่เก่งพอพูดอะไรไป
00:01:12 → 00:01:15 เราก็ตีความไปในมุมว่าเนี่ยแม่หาว่าฉัน
00:01:15 → 00:01:17 ไม่มีความสามารถทำกับข้าวไม่เก่งทำงาน
00:01:17 → 00:01:19 อะไรไม่ได้เรื่องทำอะไรไม่ดีก็ตีความเป็น
00:01:20 → 00:01:22 มุมนั้นอีกอ่าเมื่อกี้อันแรกคือรักไม่รัก
00:01:22 → 00:01:25 แคร์ไม่แคร์อันที่ 2 เก่งไม่เก่งเก่งอัน
00:01:25 → 00:01:27 ที่ 3 เนี่ยสมมุติที่ฐานไปในมุมเรื่องของ
00:01:27 → 00:01:30 อนาคตหมายหถึงว่าสิ้นหวังมีอนาคตไหม
00:01:30 → 00:01:33 เหมือนประมาณว่าบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวแกก็
00:01:33 → 00:01:35 อยู่กับแม่ไปอีกสักอาทิตย์นึงเนาะครับ
00:01:35 → 00:01:37 ปรากฏว่าสมมติฐานคือเฮ้ยฉันต้องอยู่กับ
00:01:37 → 00:01:40 แม่ไปตลอดกาลหรือว่าฉันไม่มีทางออกจากวง
00:01:40 → 00:01:42 จรนี้แล้วอารมณ์ก็ยิ่งเศร้ายิ่งแย่เราก็
00:01:42 → 00:01:45 เลยตอบสนองแม่ไปว่าใครบอกแม่ว่าจะอยู่ไป
00:01:45 → 00:01:47 ตลอดกาอะไอย่างเงี้ยก็คือทงั้ที่แม่ไม่
00:01:47 → 00:01:49 ได้พูดคำว่าตลอดกาลแม่พูดว่าอาทิตย์หน้า
00:01:49 → 00:01:51 เนี่ยแกอยู่เป็นเพื่อนแม่หน่อยแต่ว่าพอ
00:01:51 → 00:01:53 สมมุติฐานในใจมันไปในเรื่องว่าฉันติดอยู่
00:01:53 → 00:01:57 ในกับดักวังวนไม่มีความหวังมันก็เลยกลาย
00:01:57 → 00:02:00 เป็นว่ามีปัญหาอ่าครับสมอธิฐานประมาณอีก
00:02:00 → 00:02:02 อันนึงก็เป็นเรื่องความยุติธรรมแฟร์ไม่
00:02:02 → 00:02:03 แฟร์
00:02:03 → 00:02:07 ่าเยะบางทีแค่แม่พูดว่าเนี่ยเดี๋ยวฝากเอา
00:02:07 → 00:02:10 อันเนี้ยไปให้พี่ชายแกหน่อยครับลำเอียง
00:02:10 → 00:02:12 แต่จริงๆประโยคถัดไปคือเดี๋ยวอันเนี้ยแม่
00:02:12 → 00:02:14 ให้แกนะแต่ว่ายังไม่ทันรอแม่พูดประโยคที่
00:02:15 → 00:02:17 2 แค่พูดว่าเอาเนี้ยฝากให้พี่ชายแกหน่อย
00:02:17 → 00:02:19 ครับมันก็ไปแล้วไปตีสมมุติฐานในใจว่า
00:02:20 → 00:02:23 ลำเอียงไม่ยุติธรรมอันเนี้ยก็เลยทำให้อัน
00:02:23 → 00:02:25 นี้ดีเนาเป็นปัญหาเพราเราลองดูสมมติฐานใน
00:02:26 → 00:02:27 ใจก่อนนะครับส่วนข้อสุดท้ายเป็นเพเรื่อง
00:02:27 → 00:02:30 เรื่องของปลอดภัยไม่ปลอดภัยอ่าแต่อันนี้
00:02:30 → 00:02:32 อาจจะไม่ค่อยได้เกิดในครอบครัวเ่าเช่นรู้
00:02:32 → 00:02:35 สึกว่าโลกนี้อันตรายหรือว่ามีคนที่พร้อม
00:02:35 → 00:02:37 จะเอาเปรียบเราตลอดเวลาเรื่องเนี่ยเป็น
00:02:37 → 00:02:39 เรื่องปลอดภัยไม่ปลอดภัยคืออันนี้อาจจะ
00:02:39 → 00:02:42 เกิดขึ้นว่าบางทีเนี่ยเรามีคนมาทักทาย
00:02:42 → 00:02:44 สวัสดีครับพี่ปราสาทเฮ้ยเขาต้องการ
00:02:44 → 00:02:47 ประโยชน์อะไรจากเราอะไรเงี้ยเพราะถ้าเกิด
00:02:47 → 00:02:49 Assumption เราหรือสมมุติฐานเราเนี่ยตี
00:02:49 → 00:02:51 ความไปในเรื่องว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัยเนี่ย
00:02:51 → 00:02:54 เราอาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เอ่อรู้
00:02:54 → 00:02:56 สึกอบอุ่นรู้สึกปลอดภัยได้เลยเพราะว่าไม่
00:02:56 → 00:02:59 ว่าใครจะพูดอะไรทำอะไรเนี่ยเราตีความไปใน
00:02:59 → 00:03:00 มุมอันตราย
00:03:00 → 00:03:03 ต้องระหรือต้องอะไพูดแบบนี้เขาจะจับผิด
00:03:03 → 00:03:06 อะไรเปล่าเพราะั้นสมมติฐาน 5 อันที่ผมลอง
00:03:06 → 00:03:08 พูดไปเนี่ยเป็นแค่ตัวอย่างว่าในหัวเรา
00:03:08 → 00:03:11 เนี่ยมีแบบนี้บ้างหรรือเปล่าแล้วถ้ามี
00:03:11 → 00:03:13 เนี่ยเรารู้ทันมว่าฮแน่มาอีกแล้วสมมติ
00:03:13 → 00:03:17 ที่าเรื่องรักไม่รักแค่เราแนกก่อนฮะเราก็
00:03:17 → 00:03:19 จะเริ่มเห็นมันแล้วเริ่มควบคุมมันได้อัน
00:03:19 → 00:03:22 นี้อาจจะทำให้เราสามารถยืนตรงมั่นคงได้
00:03:22 → 00:03:24 แม้กระทั่งแม่จะพูดอะไรเนี่ยเราก็ยังอย่า
00:03:24 → 00:03:26 เพิ่งเชื่อความคิดเพราะว่าในมุมนักจิต
00:03:26 → 00:03:29 บำบัดแบบ cbt เนี่ยที่ผมเป็นเนี่ยมันใน
00:03:30 → 00:03:32 การให้คนเนี่ยเห็นความคิดตัวเองแล้วก็บอก
00:03:32 → 00:03:35 ว่าอย่าเพิ่งเชื่อความคิดเสมอไปเพราะว่า
00:03:35 → 00:03:37 ทุกความคิดที่ปรากฏขึ้นมาเนี่ยไม่ได้จริง
00:03:37 → 00:03:40 เสมอไปจนกว่าเราจะพิสูจน์ว่าจริงแล้วค่อย
00:03:40 → 00:03:42 เชื่อเพราะว่าส่วนมากความคิดมันมาจากความ
00:03:42 → 00:03:45 คุ้นเคยมาจากความสฐานใช่อติที่มีในใจ
00:03:45 → 00:03:47 เพราะงั้นในการบำบัดเนี่ยผมก็จะบอกว่า
00:03:47 → 00:03:50 เอ๊ะแล้วพอแม่พูดแบบเคุณคิดขึ้นมาว่าอะไร
00:03:50 → 00:03:52 ขึ้นมาแม่ก็เอาอีกแล้วะเอ๊ะคำว่าเอาอีก
00:03:52 → 00:03:53 แล้วเนี่ยหมายความว่าไงเหรอเอาอีกแล้วก็
00:03:54 → 00:03:56 คือแม่ก็ไม่เคยรักเราอีกแล้วอตรงไหนที่
00:03:56 → 00:03:58 แม่พูดมาหรือที่แม่ทำแปลว่าเขาไม่รักเรา
00:03:58 → 00:04:01 อีกแล้วหรอครับครับเพะเก็เออไม่จริงอ่ะ
00:04:01 → 00:04:04 มันเป็นสิ่งที่เขากระโจนไปหาข้อสรุปตั้ง
00:04:04 → 00:04:05 แต่ต้นอะไรเงี้ยครับอครับใช่เมื่อกี้
00:04:05 → 00:04:08 กำลังจะถามบีนอยู่ว่าเออแล้วเราจะหาวิธี
00:04:08 → 00:04:11 การไอทิ้งไอ้สมมุติฐานที่มันชอบเกิดขึ้น
00:04:11 → 00:04:13 ในใจเราได้ยังไงเพราะว่าของพวกนี้มันมา
00:04:13 → 00:04:16 พร้อมกับความเคยชินใช่ใช่มั้ยเพราะว่าถ้า
00:04:16 → 00:04:19 ถ้าเกิดว่าในการบำบัดนะฮเราก็จะให้เขาจด
00:04:19 → 00:04:21 บันทึกความคิดก่อนหรือบันทึกเหตุการณ์ว่า
00:04:21 → 00:04:23 เนี่ยวันนี้ทะเลาะกับแม่อีกแล้วเหตุการณ์
00:04:23 → 00:04:26 มันเป็นยังไงพอเราได้มากรอภาพช้าๆหรือมา
00:04:26 → 00:04:29 ทบทวนเนี่ยเราจะเห็นเลยว่าเออจริงๆจุดที่
00:04:29 → 00:04:32 ทำให้เริ่มทะเลาะเนี่ยมันคือจุดนี้นี่นา
00:04:32 → 00:04:34 อ่าเพราะอันดับแรกคือเราลองเทคนิคแรกคือ
00:04:34 → 00:04:37 ลองค่อยๆเรียบเรียงว่าแม่ประโยคไหนที่
00:04:37 → 00:04:39 เป็นประโยคจุดชนวนอ่าแล้วเราตอบสนองกับ
00:04:40 → 00:04:41 ประโยคจุดชนวนนั้นยังไงเพราะบางครั้ง
00:04:41 → 00:04:44 เนี่ยความคิดเรารีบกระโจนไปแปลความหรือ
00:04:44 → 00:04:47 บางครั้งพฤติกรรมเราครับดันใช้ท่าที่คุ้น
00:04:47 → 00:04:51 เคยพอแม่พูดปั๊บเราเงียบใส่แม่พูดปั๊บเรา
00:04:51 → 00:04:54 สะบัดหนีครับถ้าเรายังทำพฤติกรรมแบบเดิมๆ
00:04:54 → 00:04:56 ที่เป็นวิธีนั้นเนี่ยผลลัพธ์ก็จะลงเแบบ
00:04:56 → 00:05:00 เดิมอเพราะั้นถ้าเราได้กรอภาพช้าๆค่อยๆ
00:05:00 → 00:05:04 ว่างชนเรนี้แล้วเราก็ทำท่าเดิมๆคิดแบบเดิ
00:05:04 → 00:05:08 ปิบัติแบบเดมผลลธก็เลยลงแบบเดิช้าๆเหมือน
00:05:08 → 00:05:12 ดูดู slow นะดูผ่านกล้องวงจรปิดว่าเออเรา
00:05:12 → 00:05:14 เราีคกับเรื่องนั้นยังไงแต่ผมชอบอันนึง
00:05:14 → 00:05:16 ที่พูดว่าฮ
00:05:16 → 00:05:19 แน่คือถ้าภาษาอังฤษก็ A คือให้เราตื่นตัว
00:05:19 → 00:05:21 แต่ภาษาไทยง่ายๆคือ้าแน่เราเห็นอีกแล้ว
00:05:21 → 00:05:24 เพราะว่าคนเราการจะเปลี่ยนเนี่ยไม่ได้แปล
00:05:24 → 00:05:26 ว่าเราเปลี่ยนได้ทันทีแต่การฮแน่เนี่ย
00:05:26 → 00:05:28 เป็นขั้นแรกของจุดเริ่มต้นเพราะว่าแค่เรา
00:05:28 → 00:05:30 เห็นก่อนแต่เราเห็นแล้วก็ยพลาดทานะแต่พอ
00:05:30 → 00:05:33 เราเห็นบ่อยๆเห็นบ่อยๆเราจะเริ่มไหวขึ้น
00:05:33 → 00:05:35 ว่าเราจะเริ่มเห็นก่อนเราแอชอ่าเห็นก่อน
00:05:36 → 00:05:38 เราปฏิบัติพอถัดไปเราจะเริ่มรู้ทันแล้ว
00:05:38 → 00:05:40 ว่าพอ้าแน่ปั๊บเปลี่ยนมันก่อนว่ามันคิด
00:05:41 → 00:05:43 เป็นอย่างอื่นได้หรือเปล่าหรือที่เราคิด
00:05:43 → 00:05:45 ว่าแม่เาคิดกับเราแบบเนี้ยมันจริงหรือ
00:05:45 → 00:05:48 เปล่าเนี่ยเราจะเริ่มมาสได้เหมือนมีเบรค
00:05:48 → 00:05:50 ทันแต่เริ่มต้นที่ฮัแน่ก่อนแล้วเดี๋ยวพอ
00:05:50 → 00:05:52 ฮัแน่ได้ไวขึ้นค่อยมาถามตัวเองด้วย 3 คำ
00:05:52 → 00:05:56 ถามให้อันแรกคือจริงหรือเปล่าจริงแค่ไหน
00:05:56 → 00:05:58 ที่บอกที่แม่พูดแบบนี้แปลว่าแม่ไม่รัก
00:05:58 → 00:06:02 เนี่ยจริงหรือเปล่าครับอือันที่คิดอย่าง
00:06:02 → 00:06:06 อ่าคือที่เขพูดประโว่าขอน้ำตาหน่อยมันคิด
00:06:06 → 00:06:08 เป็นอย่างอื่นได้หเปล่าแทนที่จะคิดว่าเ
00:06:08 → 00:06:10 ด่าว่าฉันทำอาหารไม่อร่อยจืดอะไรเงี้ยคิด
00:06:10 → 00:06:13 เป็นอย่างอื่นได้มหรืออันที่ 3 คือคิดแบบ
00:06:13 → 00:06:16 ไหนแล้วเป็นประโยชน์อที่เราคิดแบบนี้ซ้ำๆ
00:06:16 → 00:06:18 คิดว่าแม่ไม่รักหรือคิดว่าแม่ด่าเราเนี่ย
00:06:18 → 00:06:21 ครับมันมีข้อดีคืออะไรข้อดีคือเราก็อาจจะ
00:06:21 → 00:06:24 ไม่บาดเจ็บระมัดระวังตัวหรือปกป้องตัวเอง
00:06:24 → 00:06:27 แต่มีข้อเสียมั้ยเออข้อเสียก็หลายข้อ
00:06:27 → 00:06:29 เหมือนกันเลยนะทำให้เราเนี่ยก็มองหน้าแม่
00:06:29 → 00:06:32 ก็เริ่มรู้สึกจะไม่ค่อยพอใจใช้ชีวิตก็รู้
00:06:32 → 00:06:35 สึกรู้สึกด้อย่าตัวเองเพราะงั้นดูไม่มี
00:06:35 → 00:06:37 ประโยชน์เท่าไหร่กับความคิดอันนี้ที่เรา
00:06:37 → 00:06:40 มักจะคิดอยู่บ่อยๆงั้นคิดแบบไหนล่ะถึงจะ
00:06:40 → 00:06:42 ดีก็อาจจะไม่ต้องคิดเป็นโรคสวยหรือ
00:06:42 → 00:06:45 ลาเวนเดอร์ว่าแหรักเรา 100% ก็แค่คิดเป็น
00:06:45 → 00:06:47 อย่างอื่นที่ดีกว่าก็พอซึ่งแค่เมันก็ขยับ
00:06:47 → 00:06:50 แล้วแทนที่เดิมคิดว่าแม่ด่าเราเสมอแม่ไม่
00:06:50 → 00:06:53 ชอบเราเลยแค่ปรับเป็นคิดอย่างอื่นแล้วก็
00:06:53 → 00:06:55 คิดในทางที่เป็นประโยชน์ขึ้นอีกนิดเนี่ย
00:06:55 → 00:06:57 เราก็จะเริ่มมีชีวิตที่ต่างไปอีกหน่อย
00:06:57 → 00:07:01 แล้วอืครับบุกที่เคารพคู่มือการดูแลพ่อ
00:07:01 → 00:07:03 แม่ของคนเจนลูกถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้ก็อย่า
00:07:03 → 00:07:08 ลืมกด Subscribe ไว้ด้วยนะครับ