00:00:00 → 00:00:02 [เพลง]
00:00:02 → 00:00:06 แล้วเรามาดูรูปนี้กันครับทุกคนจะเห็นว่า
00:00:06 → 00:00:10 รูปขนมครัวซองเบเกอรี่คุกกี้เฟรนชฟหรือ
00:00:10 → 00:00:15 แม้กระทั่งพิซซงพิซซ่าที่ปัจจุบันนี้มี
00:00:15 → 00:00:17 การดัมราคาแข่งกันนะฮะทุกคนก็ถือว่าอาหาร
00:00:17 → 00:00:20 ประเภทกลุ่มนี้คืออาหารที่เราเรียกว่า
00:00:20 → 00:00:23 เป็น Ultra Process Food นะครับเหนือ
00:00:23 → 00:00:26 กว่า process food ไปอีกคำว่า Ultra
00:00:26 → 00:00:28 Process Food ก็คืออาหารที่มี High
00:00:28 → 00:00:31 Carry แต่ว่า low Nutrient ครับแครี่
00:00:31 → 00:00:35 จากอะไรเอ่ยจากแป้งจากน้ำตาลจากพวกกลุ่ม
00:00:35 → 00:00:37 น้ำมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกกลุ่มเอ่อน้ำ
00:00:37 → 00:00:40 มันพืชนะครับซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 6
00:00:40 → 00:00:44 หรือว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนนะครับ
00:00:44 → 00:00:48 จะเห็นว่าถ้าเรารับประทานหรือว่ากินอาหาร
00:00:48 → 00:00:50 เหล่านี้เข้ามามากขึ้นแปลว่าเราได้อะไร
00:00:50 → 00:00:53 เยอะเอ่ยเราได้ทั้งปริมาณคาร์โบไฮเดรตนะ
00:00:53 → 00:00:57 ฮะแล้วก็ได้ทั้งปริมาณเอ่อแฟเข้ามาเยอะ
00:00:57 → 00:01:00 เวลาแฟชกับขาบเข้ามาในร่างกายเยอะจะเกิด
00:01:00 → 00:01:04 อะไรขึ้นอทุกคนจะเกิดอะไรขึ้นถ้าใน text
00:01:04 → 00:01:08 ตรงนี้จะบอกว่าเวลาที่ขาบ combination
00:01:08 → 00:01:12 กับ fat มันจะ bad หรือมันจะ wecked นะ
00:01:12 → 00:01:14 ครับซึ่งแต่วงเล็บไว้อีกนึงนะมันอร่อยถูก
00:01:14 → 00:01:17 มั้ฮะเพราะว่ามันอะไรมันไปทริกเกอร์สมอง
00:01:17 → 00:01:20 ส่วนหิวของเรานะครับให้เกิดการ addict
00:01:20 → 00:01:23 กับ addict นะกับอาหารประเภทกลุ่มนี้ตรง
00:01:23 → 00:01:25 นี้เราเรียก part ว่าเป็น hidonic hunger
00:01:25 → 00:01:28 หรือว่าความอยากกินนะทุกคนจะเห็นว่าเอ้ย
00:01:28 → 00:01:31 บางทีเรากินอาหารปกติตามมื้อของเราแบบ
00:01:32 → 00:01:35 อิ่มแล้วแต่ทำไมเราถึงมีความหิวก๊อก 2 นะ
00:01:35 → 00:01:38 มากินของหวานมากินขนมมากินไอติมได้เพราะ
00:01:38 → 00:01:42 ว่าเรามี hunger partway อยู่นั่นเองนะ
00:01:42 → 00:01:46 ครับเวลาที่แฟชเจอข่าวจะเกิดอะไรขึ้นจะ
00:01:46 → 00:01:49 เป็นสัญญาณไปกระตุ้นอินซูลินทำให้มีการ
00:01:49 → 00:01:53 fertiliz แปลว่ามีการสร้างไขมันสะสมใน
00:01:53 → 00:01:56 ร่างกายมากขึ้นนะฮะถามว่าตรงนี้มีคำ
00:01:56 → 00:01:59 อธิบายมั้ยมีแน่นอนครับอ่าคำอธิบายตรงนี้
00:01:59 → 00:02:02 นะครับมาจาก hypothesis นึงนะครับที่มี
00:02:03 → 00:02:06 การ propose กันตั้งแต่ปี 1963 นะครับโดย
00:02:06 → 00:02:10 ดร. Philips Landles นะครับอ่าหลายๆคนคง
00:02:10 → 00:02:13 เคยได้ยินคำว่า Rendle เอ่อ Cycle นะครับ
00:02:13 → 00:02:16 คำว่า Rendle Cycle นะครับหมายถึงอะไร
00:02:16 → 00:02:20 หมายถึงการที่ร่างกายนะครับมีการเลือกนะ
00:02:20 → 00:02:23 ครับมีการเลือกเผาผลาญsubstตsubstตที่
00:02:23 → 00:02:26 แข่งกันนะครับในรในการกระบวนการที่ร่าง
00:02:26 → 00:02:30 กายเลือกนำมาเผาผลาญก็คือกลูโคสกับไขมัน
00:02:30 → 00:02:34 นั่นเองคราวนี้จะพาทุกคนมารีวิวข้อมูลนะ
00:02:34 → 00:02:37 ครับนี้กันในรูปนี้อ่าเราจะเห็นว่าเรามอง
00:02:37 → 00:02:41 ในรูปของคุณผู้หญิงที่ทานแฮมเบอร์เกอร์นะ
00:02:41 → 00:02:44 ที่มีปริมาณแป้งหรือขาบค่อนข้างเยอะนะ
00:02:44 → 00:02:47 ครับร่างกายก็จะมีอะไรเอ่ยก็จะได้รับ
00:02:47 → 00:02:50 ปริมาณน้ำตาลเข้ามาเยอะนะครับปริมาณ
00:02:50 → 00:02:52 กลูโคสที่เข้ามาเยอะนะร่างกายก็จะมีการ
00:02:52 → 00:02:56 ดึงเอาเข้ามาใช้ในเซลล์จำกระบวนการเผา
00:02:56 → 00:02:58 ผลาญในช่วงแรกที่หมออธิบายได้เนาะอ่า
00:02:58 → 00:03:01 กลูโคสนะครับกรุโฟก็จะเป็นประตูที่เปิด
00:03:01 → 00:03:04 รับกลูโคสเข้ามาในเซลล์ผ่านกระบวนการ
00:03:04 → 00:03:07 ไกลโคไลิสซึ่งอยู่บริเวณเป็นไซโตพลาสึม
00:03:07 → 00:03:10 หรืออยู่ในareียสีส้มๆตรงนี้นะครับเป็น
00:03:10 → 00:03:14 บริเวณที่อยู่ในเอ่ออยู่นอกเอ่ออยู่นอก
00:03:14 → 00:03:17 ไมโตคอนียนะครับกระบวนการไกลโคไลisตรงนี้
00:03:17 → 00:03:20 พวกเราเคยเรียนแล้วเนาะในชีววิทยาก็จะมี
00:03:20 → 00:03:23 การสร้าง ATP ได้บ้างเล็กน้อยนะครับแต่
00:03:23 → 00:03:26 ความสำคัญก็คือน้ำตาลกลูโคสที่ผ่าน
00:03:26 → 00:03:29 ไกโคไลิสisนั้นจะได้สารที่ชื่อว่าไพลูเวท
00:03:29 → 00:03:33 นะครับไพลูเวทจะถูกลำเรียงเข้ามาอ่าเข้า
00:03:33 → 00:03:36 มาในไมโครคอนเดรียไมโตตัวคอนเดียก็จะมี
00:03:36 → 00:03:40 การสร้างสารต่างๆนะครับข้างในมากขึ้นผ่าน
00:03:40 → 00:03:45 กระบวนการ cycle เนาะเฟ cycle เนาะใน
00:03:45 → 00:03:48 cycle นั้นจะได้สารที่ชื่อว่าacิ coa
00:03:48 → 00:03:52 ออกมาครับซึ่งacิ coa ก็จะถูกนำเข้าเฟ
00:03:52 → 00:03:56 cycle ได้เป็นกดcิตรหรือcิตรอ่าตรงนี้จำ
00:03:56 → 00:03:58 ไม่ได้ไม่เป็นไรฟังที่หมออธิบายนะครับไป
00:03:58 → 00:04:01 ทีละสเต็ปซิเตหรือซิริกที่มากขึ้นเวลาที่
00:04:01 → 00:04:05 เราได้รับน้ำตาลกลูโคสเข้ามาเ้าจะมีการ
00:04:05 → 00:04:08 ย้อนกลับนะครับย้อนกลับออกมาบริเวณที่
00:04:08 → 00:04:11 ไมโตคอนเดรียเนาะซึ่งก็จะถูกกระตุ้นอ่านะ
00:04:11 → 00:04:15 ครับให้มีการสร้างผ่านกระบวนการต่างๆนะ
00:04:15 → 00:04:18 ครับให้มีการสร้างสารถัดมาตัวที่ชื่อว่า
00:04:18 → 00:04:22 มาิilอมากขึ้นซึ่งมาิilอต้องบอกว่าตัวนี้
00:04:22 → 00:04:25 เเป็นตัวที่มีความสำคัญครับที่เขาจะทำ
00:04:25 → 00:04:29 หน้าที่ยับยั้งกระบวนการดึงเอาแฟชมาสลาย
00:04:29 → 00:04:33 ในร่างในเซลล์หรือพูดง่ายๆว่าเมื่อไหร่ก็
00:04:33 → 00:04:36 ตามที่เซลล์นะครับของเราภายในเซลล์ของเรา
00:04:36 → 00:04:40 มีสารมาลonนิโคมากขึ้นเขาจะยับยั้งการ
00:04:40 → 00:04:44 สลายกรดไขมันที่เราได้รับเข้ามานะจากตรง
00:04:44 → 00:04:46 นี้เราจะเห็นว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามี
00:04:46 → 00:04:49 เอ่อ sugar หรือกลูโคสที่ dominance นะ
00:04:49 → 00:04:52 ครับหรือว่ามีปริมาณน้ำตาลกลูโคสที่โหลด
00:04:52 → 00:04:55 เข้ามาร่างกายก็เลือกที่จะใช้กลูโคสก่อน
00:04:55 → 00:04:58 แล้วก็บล็อกการสลายไขมันเพราะฉะนั้นในรูป
00:04:58 → 00:05:00 นี้ทุกคนจะเห็นว่าถ้าเรากินอาหารประเภท
00:05:00 → 00:05:03 Ultra process food ไม่ว่าจะเป็นกิน
00:05:03 → 00:05:06 ขาบเยอะพร้อมแฟชเยอะเป็นยังไงไงเอ่ยเราก็
00:05:06 → 00:05:10 จะใช้กลูโคสก่อนนะครับอ่าแล้วก็สิ่งที่
00:05:10 → 00:05:13 สำคัญปริมาณน้ำตาลกลูโคสที่มากขึ้นมันมา
00:05:13 → 00:05:15 พร้อมกับอินซูลินที่ถูกกระตุ้นออกมาเยอะ
00:05:15 → 00:05:19 เขาก็จะทำให้มาิลโคอสูงขึ้นแล้วก็จะบล็อก
00:05:19 → 00:05:24 การสะสมันเป็นพลังงานนะครับแฟชเข้าเซลล์
00:05:24 → 00:05:27 ไม่ได้เข้าเ่อไมโทคอนเดรียไม่ได้ก็จะทำ
00:05:27 → 00:05:30 ให้ฟอร์มเป็นไตรกีซลมากขึ้นอ่าอันนี้ก็
00:05:30 → 00:05:33 เป็นคำอธิบายว่าทำไมปัจจุบันนี้อาหารพวก
00:05:33 → 00:05:36 process food ต่างนะครับหรือพวกกลุ่ม
00:05:36 → 00:05:38 Ultra Process Food อาหาร Fast Food
00:05:38 → 00:05:40 จัง Food ทำให้เราอ้วนง่ายขึ้นเพราะว่า
00:05:40 → 00:05:43 อะไรเพราะว่า 1 กระตุ้นอินซูลินเนาะอย่าง
00:05:43 → 00:05:46 ที่ 2 มี High Fat ร่วมด้วยอ่าเวลาที่
00:05:46 → 00:05:49 เจอ High Club คู่กับ High Fat ก็เลือก
00:05:49 → 00:05:52 ที่จะบล็อกแฟชไม่ให้ใช้เป็นenerรgyนะครับ
00:05:52 → 00:05:57 แล้วก็ทำให้เราเกณฑขึ้นเมื่อเกิดภาวะดื้อ
00:05:57 → 00:05:59 อินซูลินนะครับมีการ
00:06:00 → 00:06:03 กระตุ้นให้มีกระบวนการหลังอินซูลินออกมา
00:06:03 → 00:06:06 นานๆมากขึ้นร่างกายก็จะค่อยๆเกิดภาวะดื้อ
00:06:06 → 00:06:08 อินซูลินแล้วก็ทำให้เรามีเรื่องของการ
00:06:08 → 00:06:11 เก็บเอ่อน้ำตาลสะสมน้ำตาลสะสมที่มากขึ้น
00:06:12 → 00:06:14 ก็เปลี่ยนเป็นแฟชได้เช่นกันนะครับโอเคใน
00:06:14 → 00:06:17 อีกโมเดลนึงครับคราวนี้เราลองมาดูว่าใน in
00:06:17 → 00:06:20 casคสกรณีที่เรากินอาหาร high fat บ้าง
00:06:20 → 00:06:23 อ่านะครับใน rend cycle เขาก็มีการพูด
00:06:23 → 00:06:26 ถึงเนาะว่ากรณีที่เรามีการทาน long chain
00:06:26 → 00:06:28 fatty assist เข้ามาร่างกายของเราก็จะ
00:06:28 → 00:06:32 มีการดึงเอากรดไขมันเหล่านี้เข้ามาเผา
00:06:32 → 00:06:34 ผ่านในไมโตคอนเดรียนะครับอ่าใน
00:06:34 → 00:06:36 ไมโทคอนเดียตรงนี้เนาะเกิดเป็นอะไรเอ่ย
00:06:36 → 00:06:40 เกิดเป็นสารตัวกลางเหมือนเดิมที่ชื่อ coa
00:06:40 → 00:06:42 แล้วก็ได้ตัว citrate หรือว่า citric
00:06:42 → 00:06:45 assis ออกมานอกเซลล์นะครับคราวนี้บทบาท
00:06:45 → 00:06:49 สำคัญของเจ้าที่ผลิตออกมาเยอะแล้วก็ถูก
00:06:49 → 00:06:52 เอ่อมีการเอ่อเค้าเรียกว่ามีออกมาจาก
00:06:52 → 00:06:55 ไมโตรคอนเดรียนั้นนะครับเขาก็จะทำหน้าที่
00:06:55 → 00:06:59 ในการบล็อกการดึงน้ำตาลกลูโคสเข้ามาเผา
00:06:59 → 00:07:02 ผ่านเห็นมั้ฮะว่าเมื่อกี้ High sugar
00:07:02 → 00:07:03 High GLูโคส
00:07:03 → 00:07:06 บล็อกการใช้แฟชคราวเนี้ย High FAT ก็จะ
00:07:06 → 00:07:09 บล็อกกลูโคสเช่นกันตรงเนี้ยเป็นกระบวนการ
00:07:09 → 00:07:14 ของร่างกายนะครับกรณีที่เรากินปริมาณเอ่อ
00:07:14 → 00:07:16 น้ำตาลไม่ได้เยอะมากอย่างเช่นในอาหารทั่ว
00:07:16 → 00:07:20 ๆไปอาหารที่เรากินตามปกตินะครับไม่ได้มี
00:07:20 → 00:07:23 ทั้ง High Fat แล้วก็ High Club นะน้ำ
00:07:23 → 00:07:26 ตาลที่ดึงเข้ามาใช้ในเซลล์ไม่ได้ก็จะไม่
00:07:26 → 00:07:28 ได้สูงในเลือดมากตรงนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็น
00:07:28 → 00:07:31 ปัญหาแต่ว่าปัจจุบันนี้เรากินอาหารประเภท
00:07:31 → 00:07:33 Ultra Process Food process food
00:07:33 → 00:07:35 อาหาร high ขับ High Fat สิ่งที่เราจะ
00:07:35 → 00:07:38 เกิดขึ้นคืออะไรครับน้ำตาลก็จะล้นออกนอก
00:07:38 → 00:07:42 เซลล์มากขึ้นบางท่านที่เอ่อกล้ามเนื้อ
00:07:42 → 00:07:45 หรืออวัยวะต่างๆเริ่มมีกระบวนการนี้เสีย
00:07:45 → 00:07:48 ไปนะครับก็จะดึงเอาน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ก็
00:07:48 → 00:07:50 อาจจะเกิดเป็นโรคเบาหวานเกิดเป็นเรื่อง
00:07:50 → 00:07:54 ของเอ่อมีการเก็บสะสมนะครับน้ำตาลในเซลล์
00:07:54 → 00:07:57 ไขมันมากขึ้นเปลี่ยนน้ำตาลนั้นให้เป็นตัว
00:07:57 → 00:08:00 แฟชเซลล์มากขึ้นนะครับก็จากตรงนี้ก็จะ
00:08:00 → 00:08:02 เห็นว่าในช่วงแรกเค้าก็จะมีการเก็บน้ำตาล
00:08:02 → 00:08:05 ในรูปของเอ่อเค้าเรียกว่าเป็นมีการ
00:08:05 → 00:08:09 เปลี่ยนไม่บล็อกไม่ให้น้ำตาลกลูโคสเข้า
00:08:09 → 00:08:14 มาเา้าก็จะมีการรีลูให้เป็นตัวสารตัวกลาง
00:08:14 → 00:08:17 ในเอ่อการเผาผ่านที่ไมโตคอนเดรียรวมถึง
00:08:17 → 00:08:20 สร้างไกลโคเจนมากขึ้นเอาล่ะก็ให้ทุกคน
00:08:20 → 00:08:23 เห็นครับว่าความมหัศจรรย์ของระบบเผ่าผ่าน
00:08:23 → 00:08:25 ร่างกายของเราอธิบายผ่าน Render cycle
00:08:25 → 00:08:29 เนี่ยก็ทำให้เราเห็นภาพว่าปัญหาของการกิน
00:08:29 → 00:08:31 ในปัจจุบันนี้ที่เรากินอาหารประเภท
00:08:31 → 00:08:33 process food high club high fat
00:08:33 → 00:08:36 มันทำให้เราไม่สามารถจัดการพลังงานได้
00:08:36 → 00:08:40 สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือทำให้เซลล์หรือ
00:08:40 → 00:08:43 ไมโครคอนเดรียของเราทำงานได้ไม่ดีจนนำไป
00:08:43 → 00:08:45 ซึ่งเอ่อปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าเป็น
00:08:45 → 00:08:48 ไมคอนเรียdisfunังชนะครับหรือว่าเซลล์
00:08:48 → 00:08:51 เสื่อมนั่นเองนะพอไมโตคอนเดรียเสื่อมสิ่ง
00:08:51 → 00:08:54 ที่จะเกิดอะไรอ่าทางบ้านนึกออกมย
00:08:54 → 00:08:58 ไมโตคอนเดรียเป็นแหล่งในการสร้าง ATP
00:08:58 → 00:09:01 เยอะเลยนะ 1 กลูโคสได้ ATP เท่าไหร่เอ่ย
00:09:01 → 00:09:04 เกือบ 32 ใช่มั้ครับถ้าไมโครคอนเดรียเรา
00:09:04 → 00:09:08 พังทำงานได้ไม่ดีเราจะเป็นคนเสมือนหนึ่ง
00:09:08 → 00:09:12 ไม่มีenนerร์จี้เหนื่อยง่ายแรงตกนะครับ
00:09:12 → 00:09:14 แล้วก็จะหาอะไรที่แบบฟีดตัวเองให้ได้มี
00:09:15 → 00:09:17 พลังงานเร็วๆเยอะๆนะครับก็ส่วนใหญ่มักจะ
00:09:17 → 00:09:19 เป็นน้ำตาลกลูโคสนั่น
00:09:19 → 00:09:22 [เพลง]