00:00:00 → 00:00:00 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:03 ทำไมมนุษย์หยุดคิดไม่ได้คิดตลอดเวลา Over
00:00:03 → 00:00:07 Thinking ความสัมพันธ์ปัจจุบันถ้าจะให้
00:00:07 → 00:00:10 เตือนเด็กรุ่นใหม่มีความสำคัญยังไงปัญหา
00:00:10 → 00:00:14 แพนิคในคนไข้วัยกลางคนเข้ามาในชีวิตได้
00:00:14 → 00:00:17 ยังไงฮะอยู่ดีๆซึ่งหลายคนเนี่ยชีวิตก็ไป
00:00:17 → 00:00:21 ดีนะฮะปวดความปวดหัวปวดท้องเมื่อยตัว
00:00:21 → 00:00:24 เหนื่อยแล้วมาโรงพยาบาลบ่อยๆตแล้วไม่เจอ
00:00:24 → 00:00:27 อะไรเลยซึมเศร้าครับก็คงเป็นเรื่องของการ
00:00:27 → 00:00:30 สูญเสียคงเป็นเรื่องสมองเสื่อมบอกครับ
00:00:30 → 00:00:32 จิตแพทย์กับนักจิตวิทยาที่เราเห็นอยู่
00:00:33 → 00:00:35 ปัจจุบันต่างกันยังไงครับสำหรับประชาชน
00:00:35 → 00:00:39 เวลาเขาเริ่มมีปัญหาเนี่ยเค้าควรจะไปหา
00:00:39 → 00:00:41 ใครก่อนเพราะเดี๋ยวนี้มันมีทุกช่องเลย
00:00:42 → 00:00:45 พยาบาลก็เปิดช่องบ้างนักจิตก็เปิดช่อง
00:00:45 → 00:00:48 บ้างหมอก็เปิดช่องบ้างประชาชนจะรู้ได้ไง
00:00:49 → 00:00:51 ว่าเควรจะเริ่มที่ใครก่อนอาชีพที่เราฟัง
00:00:51 → 00:00:54 คนทั้งอาทิตย์แล้วอ่ะวันหยุดเราอยากไปเจอ
00:00:54 → 00:00:58 คนไพอเป็นหมอจิตแพทย์แล้วยังไงฮะรู้สึก
00:00:58 → 00:01:01 เครียดมั้ดูแลสุขภาพผิดตัวเองอย่างไรการ
00:01:01 → 00:01:05 ปฏิบัติหรือความเชื่อผิดๆในสังคมที่คิด
00:01:05 → 00:01:07 ว่าเอออันนี้อยากจะฝากเตือนสักปัญหา
00:01:07 → 00:01:13 จิตเวชที่มันขาขึ้นในสังคมปัจจุบันถ้าให้
00:01:13 → 00:01:14 [เพลง]
00:01:14 → 00:01:18 วิเคราะห์ครับสวัสดีครับหัวข้อวันนี้ผม
00:01:18 → 00:01:21 เชื่อว่าเราทุกคนกำลังติดตามและเป็นภัย
00:01:21 → 00:01:26 เงียบของสังคมนั่นก็คือปัญหาสุขภาพจิตและ
00:01:26 → 00:01:29 โรคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตปัญหาสุขภาพ
00:01:29 → 00:01:32 จิตปัจจุบันแพร่กระจายไปถึงเด็กวัยรุ่น
00:01:32 → 00:01:36 และเด็กเล็กวันนี้เราได้รับเกียรติจากหมอ
00:01:36 → 00:01:40 ท่านนึงนะฮะที่อุตส่าห์สละเวลามาคุยกับ
00:01:40 → 00:01:43 เราในเวทีนี้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
00:01:43 → 00:01:46 ขออนุญาตแนะนำตัวคุณหมอเปรมใส่ไครเป็นที่
00:01:47 → 00:01:49 รู้จักและเป็นที่บูมใน tiktok มากขอบคุณ
00:01:49 → 00:01:52 คุณหมอนะครับคุณสวัสดีผู้ชมนะฮะสวัสดีพี่
00:01:52 → 00:01:55 วิทนะฮะสวัสดีครับสวัดีครับผมชื่ออ่าหมอ
00:01:55 → 00:01:58 เปรมนะฮะหมอหมอเปรมใส่ไข่แล้วกันนะฮะอ่า
00:01:58 → 00:02:01 ชื่อจริงจะชื่อนายแพทย์อภิชาแดงรุ่งโรจน
00:02:01 → 00:02:03 นะฮะผมอยู่ที่เป็นจิตแพทย์อยู่ที่โรง
00:02:03 → 00:02:06 พยาบาลสมิตติเวชศรีนครินทร์ครับผมอืคุณ
00:02:06 → 00:02:09 บอกครับจิตแพทย์กับนักจิตวิทยาที่เราเห็น
00:02:09 → 00:02:12 อยู่ปัจจุบันต่างกันยังไงครับอนี้อยากให้
00:02:12 → 00:02:15 ประชาชนเข้าใจขอบเขตครับอโอเค้าในแง่
00:02:15 → 00:02:17 จิตแพทย์ก่อนผมอยากเป็นเพราะว่า 1 เทอม
00:02:17 → 00:02:21 ไม่ต้องอยู่เวแล้วก็ก็สบายตรงมากนะฮะตรง
00:02:21 → 00:02:25 มากแล้วก็เอ่อคือถ้าเทียบกับสาขาอื่นงาน
00:02:25 → 00:02:29 อาจจะเบาเบาผมว่าเบากว่าอนะครับแล้วก็
00:02:29 → 00:02:32 เอ่อก็ผมอยากรู้เรื่องของคนอื่นว่าชอบรู้
00:02:32 → 00:02:35 เรื่องของคนอื่นชอบเข้าใจเค้าว่าเค้าที่
00:02:35 → 00:02:37 มาที่ไปเป็นยังไงก็เลยเลือกที่จะมาเรียน
00:02:37 → 00:02:41 สาขานี้แล้วนอกจากนั้นก็คือดันสมัครเข้า
00:02:41 → 00:02:44 แล้วได้พอดีอืคือปกติพวกหมอก็ต้องใช้ทุน
00:02:45 → 00:02:47 ประมาณ 3 ปีใช่มั้ฮะค่อยมาเรียนอันนี้ผม
00:02:47 → 00:02:50 ใช้ทุนปีเดียวแล้วก็เรียนได้เลยอือก็เลย
00:02:50 → 00:02:53 เป็นแบแบบเอ้อเป็นความโชคดีบวกกับเอ๊ะชอบ
00:02:53 → 00:02:57 เหมือนกันอันนี้ก็เลยลองเข้ามาเรียนดูผม
00:02:57 → 00:03:02 ตอนใกล้จะจบแพทย์พบนะอือฮึหนึในเฉี่ยน
00:03:02 → 00:03:06 หนึ่งในสาขาที่อยากจะต่อนอกจากหมอฉุกเฉิน
00:03:06 → 00:03:09 ละอหมออยุรกรรมคือหมอจิตแพทย์ตอนปี 5
00:03:09 → 00:03:11 เนี่ยอยากเป็นหมอจิตแพทย์มากปี 4 มั้งถ้า
00:03:11 → 00:03:15 จำไม่ผิดใช่เพราะว่าดูหนังแพชดำ
00:03:15 → 00:03:19 แดำหมอเห็นเร่องนั่นมั้ยฮะนั่นนฮะ AD AD
00:03:19 → 00:03:22 ของ Robin willi เป็นหนังที่ทำให้ผมอยาก
00:03:22 → 00:03:25 เป็นหมอมากกระตุ้นให้ผมรู้เลยว่าตัวเอง
00:03:25 → 00:03:28 อยากทำอะไรและมันมีบทบาทของความเป็น
00:03:28 → 00:03:32 จิตแพทย์ระดับนึงนะหมอคนนั้นนแล้วก็แต่
00:03:32 → 00:03:35 สุดท้ายผมก็รู้สึกว่าเออเอานะเราอาจจะไม่
00:03:35 → 00:03:38 เหมาะเท่าไหร่อือแต่อาจจะเอาแค่เฉพาะ
00:03:38 → 00:03:41 บุคลิกบางอย่างของจิตแพทย์เข้ามาใช้ใน
00:03:41 → 00:03:44 ชีวิตประจำวันเพราะว่าชอบความเป็นหมอเม็ด
00:03:44 → 00:03:48 มากกว่าอืออ่ะกลับมาที่คุณหมอแล้วเส้นทาง
00:03:48 → 00:03:51 ชีวิตพอเป็นหมอจิตแพทย์แล้วยังไงฮะรู้สึก
00:03:51 → 00:03:55 เครียดไม่ฟังแต่เรื่องเรื่องคนไข้ที่แบบ
00:03:55 → 00:03:57 เกี่ยวกับปัญหาโรคจิตอืเพราะว่าวันนึง
00:03:57 → 00:04:00 เนี่ยคุณหมอต้องนั่งฟังเปเคสประมาณเป็น
00:04:00 → 00:04:03 ชั่วโมงเลยมั้ยใช่ๆปกติก็ผมจะตรวจวันละ
00:04:03 → 00:04:06 เคสนึงถ้าเคสใหม่ก็ชั่วโมงนึงออืเคสเก่า
00:04:06 → 00:04:09 อาจจะสักเกือบชั่วโมงครึ่งชั่วโมงบ้างนะ
00:04:09 → 00:04:12 ฮะถ้าคุณหมอดูแลสุขภาพจิตตัวเองอย่างไร
00:04:12 → 00:04:17 ก่อนที่จะไปดูอืดแลสุขภาพจิตคนไข้อืก็คง
00:04:17 → 00:04:20 เป็นสิ่งที่แนะนำคนไข้โดยปกติฮะเช่นแบบ
00:04:20 → 00:04:24 ว่าออกกำลังกายนอนหลับให้เพียงพออใช้เวลา
00:04:24 → 00:04:28 อยู่กับตัวเองเ่อใช้เวลาที่มีคุณภาพกับคน
00:04:28 → 00:04:31 อื่นที่สำคัญในชีวิตอเชอยู่กับแฟนอยู่กับ
00:04:31 → 00:04:34 ครอบครัวอืออะไรที่มันฮลใจเราได้ครับอือๆ
00:04:34 → 00:04:37 ประมาณนั้นแล้วถามว่าถ้าเวลาตรวจเทียดมย
00:04:37 → 00:04:40 จริงๆไม่ไม่ขนาดนั้นอแคบมันเป็นความความ
00:04:41 → 00:04:43 เหนื่อยมากกว่าผมว่าเหนื่อยที่แบบสมมุติ
00:04:44 → 00:04:48 เราเราตรวจมาซัก 6 คนต่อกันเรื่อยๆะสมอง
00:04:48 → 00:04:51 เราเริ่มเริ่มตื้อะแล้วก็แบบมันเหนื่อยก
00:04:51 → 00:04:53 ปกติเราตรวจก็ต้องมี empathy ใช่ม empathy
00:04:53 → 00:04:56 คือความเข้าใจคนอื่นนะฮะเวลาเราพยายามจะ
00:04:56 → 00:04:58 เข้าใจคนอื่นต้องใช้การตั้งใจฟังเยอะๆเลย
00:04:58 → 00:05:01 แมันต้องใช้พลังพลังงานก็ก็มามองหน้าเค้า
00:05:01 → 00:05:03 เนาะต้องจดจาว่าเค้าพูดอะไรเค้ารู้สึกยัง
00:05:03 → 00:05:06 ไงเคคิดอะไรอยู่ข้างในใจเราก็ใช้การ
00:05:06 → 00:05:09 สะท้อนอารมณ์ทนอมทำให้เารู้สึกแบบนี้ใช่
00:05:09 → 00:05:12 มยถ้ามันตรงใจเเก็จะบางทีก็ร้องไห้งี้
00:05:12 → 00:05:15 ครับอซึ่งกระบวนการพวกเนี้ยบางทีต้องใช้
00:05:15 → 00:05:19 พลังงานเหมือนกันอือในการตั้งใจฝังเขาอือ
00:05:19 → 00:05:21 ๆซึ่งมันก็จะออกมาเป็นความเหนื่อยมากกว่า
00:05:21 → 00:05:25 เหมือนพอตรวจกัน 89 คนแล้ววันนึงตอนสิ้น
00:05:25 → 00:05:29 วันแล้วแบบออยากอนเฉยๆช่องเพดานอะไรเงี้ย
00:05:29 → 00:05:32 อือๆมันล้าเนอะล้าฟังคนเยอะๆเนลใช่อแต่
00:05:32 → 00:05:36 มันไม่ได้เป็นความเครียดเพราะว่าผมว่ามัน
00:05:36 → 00:05:39 ก็เริ่มชินกับการตรวจแล้วก็บางอย่างจุด
00:05:39 → 00:05:41 เราที่เราตรวจแล้วจุดนี้ติดว่ะเราก็
00:05:42 → 00:05:44 เดี๋ยวเราไปลองอ่านหนังสือก่อนไปดูคลิปใน
00:05:44 → 00:05:47 YouTube บางทีก็มีบอกนะว่าควรทำยังไงอือ
00:05:47 → 00:05:51 ๆเหมือกันครับใช่อืดีนะครับคุณหมอใช้
00:05:51 → 00:05:54 อาหารเสริมหรือเครื่องดื่มอะไรมั้ยชู
00:05:54 → 00:05:56 กำลังให้ตัวเองฮึดอยู่บ่อยๆอย่าเงี้ย
00:05:56 → 00:05:59 เพราะว่าอาชีพหมอต้องเท่าที่ผมดูนะฮะหมอ
00:05:59 → 00:06:02 ต้องใช้พลังงานสมองเยอะนะไม่ใช่แรงกายนะ
00:06:02 → 00:06:05 ซึ่งแรงสมองเี่มันผมว่ามันเหนื่อยกว่าแรง
00:06:05 → 00:06:08 กายอีกนะใช่ในระดับนึงนะเครื่องดื่มหรอ
00:06:08 → 00:06:11 เอออาหารเสริมไหม้เลยส่วนตัวไม่ค่อยไม่
00:06:11 → 00:06:13 ค่อยเชื่อเท่าไหร่เร่องอาหารเสริมอครับ
00:06:13 → 00:06:16 แล้วก็ถ้าเป็นเครื่องดื่มก็จะเป็นพวก
00:06:16 → 00:06:19 คาเฟอีนครับอืคาเฟอีนซึ่งซึ่งเราก็มักบอก
00:06:19 → 00:06:22 คนไข้ว่าไม่ควรกินอือแต่เราก็กินเองบ้าง
00:06:22 → 00:06:24 ครับจะกินก็เป็นลส่วนนี้ก็กินลาเต้เป็น
00:06:24 → 00:06:27 กาแฟใช่มั้ยฮะใช่หอดื่มวันละกี่แก้วครับ
00:06:27 → 00:06:30 เอ่อปกติผมดื่มประมาณ 4 วันครั้งอ่ะไม่
00:06:30 → 00:06:33 ได้บ่อยออแค่เป็นบางวันที่รู้สึกว่าอยาก
00:06:33 → 00:06:36 OST อแบบ Boost Energy เอ้ยเจอต่อคนต่อ
00:06:36 → 00:06:40 ไปแล้วแบบก็ก็หนักใจเหมือนกันก็กินเพื่อ
00:06:40 → 00:06:43 ได้มีเอนจี้อเหมือนกับเค้นเรานิดนึงพุช
00:06:43 → 00:06:46 เรานิดนึงผมก็ทำนะยอมรับเลยหมอทุกคนทำใช่
00:06:46 → 00:06:49 นะที่พวกเราอาจจะเข้าใจเหมือนกันว่าต้อง
00:06:49 → 00:06:51 ฟังคนไข้อย่างผมวันนึงอ่ะตรวจคนไข้ 5060
00:06:52 → 00:06:55 คนเผมฟังก็ก็ล้านะบางทีฟังสิ้นกลางคืน
00:06:55 → 00:06:58 เนี่ยอแล้วเสาร์อาทิตย์ฮะอยากเจอคนมยหยุด
00:06:58 → 00:07:00 คุณหมอหยุดววันเสาร์อาทิตย์ผมหยุดอาทิตย์
00:07:01 → 00:07:03 จันทร์ครับอ่าสมมุติแล้ววันหยุดคุณหมอ
00:07:03 → 00:07:06 อาชีพที่เราฟังคนทั้งอาทิตย์แล้วอ่ะอวัน
00:07:07 → 00:07:10 หยุดเราอยากไปเจอคนเลยก็ผมว่าโอเคนะเป็น
00:07:10 → 00:07:13 การถ้าเป็นการคิดคิดบินทัศกับเพื่อนๆโอเค
00:07:13 → 00:07:15 แล้วรู้สึกวันหยุดคุณหมอทำอะไรฮะเพื่อ
00:07:15 → 00:07:18 บริหารสุขภาพชอบอยู่เฉยๆชอบอะไรครับถ้า
00:07:19 → 00:07:21 วันอาทิตย์ก็จะปกติก็ตื่นผมตื่นเป็นเวลา
00:07:21 → 00:07:24 นะตื่น 7:00 นนะฮะแล้วก็ส่วนใหนก็ถ้าวัน
00:07:24 → 00:07:27 อทิตย์เช้าก็จะฟิตเนสก่อนอืสักชั่วโมง
00:07:27 → 00:07:31 กว่าแล้วก็จะมานั่งไลฟ์ตอนประมาณสัก 10:30
00:07:31 → 00:07:35 นอืแล้วก็ักถอ๋อคุณหมอทำไลฟ์ด้วยผมมาไลฟ์
00:07:35 → 00:07:37 ใน tiktok เงี้ยไลฟเลยเหรอฮหยถึงไลฟ์คือ
00:07:37 → 00:07:41 ไลฟ์ตอบถามไลฟ์ตอบคำถามที่เถามเหรอโอ้สุด
00:07:41 → 00:07:44 ยอดสุดยอดใช่แล้วก็เพราะเวลาไลฟ์มันมัน
00:07:44 → 00:07:46 มันเหนื่อยนะแต่ว่ามันเหมือนเราได้ช่วยคน
00:07:46 → 00:07:49 มั้งผมว่าอย่างงั้นเราก็เลยรู้สึกว่าไลฟ
00:07:49 → 00:07:52 มันก็ฟูฟิวใจเรานิดนึงออืๆๆแล้วก็ตอนตอน
00:07:52 → 00:07:54 ที่เไปกินข้าวกับปกติวันอาทิตย์เป็นวัน
00:07:54 → 00:07:59 ครอบครัวอืกิข้าวกับพ่อแม่ครับแล้วก็ก็
00:07:59 → 00:08:01 ใช้เวลากับพ่อแม่บางทีก็ไปเดินงานนู้นงาน
00:08:01 → 00:08:06 นี้อะไรก็กลับป้าออืก็โชคดีนะครับเราให้
00:08:06 → 00:08:11 หมอจิตแพทยมาบอกไลฟ์สไตล์เพื่อบรรเทาความ
00:08:11 → 00:08:14 เหนื่อยร้าของสมองของของคุณหมอเองเนี่ย
00:08:14 → 00:08:17 เราลองดูซิครับว่าจะเอาไปใช้ยังไงได้ที
00:08:17 → 00:08:19 นี้ผมขออนุญาตเริ่ม
00:08:19 → 00:08:26 ถามปัญหาจิตคือจิตแพทยกับจิตเวทมั้ยอ่าฮะ
00:08:26 → 00:08:30 จิตเวทใช่มั้ยครับหรือนักจิตี้มี 3
00:08:30 → 00:08:33 จิตแพทย์จิตแพทย์ psychiatrist
00:08:33 → 00:08:37 psychologist ก็คือจิตตั้งจิตวิทยาอ้าขอ
00:08:37 → 00:08:40 โทษขอโทษขอษอ่า pcat คือจิตแพทย์
00:08:40 → 00:08:43 psychologist คือนักจิตวิทยาแล้วก็มีมี
00:08:44 → 00:08:48 อีกมั้ยก็จะมีถ้าเป็นชื่อสาขาก็ไคไคอ่า
00:08:48 → 00:08:51 จิตเวจิตเวทอ่ะอันเนี้ยผมอยากให้ประชาชน
00:08:51 → 00:08:55 หรือว่าระดับแรกยากเข้าใจบริบทก่อนแล้ว
00:08:55 → 00:08:58 เห็นว่าแต่ละคนหน้าที่คืออะไรเพราะหลาย
00:08:58 → 00:09:03 ครั้งออนไลน์ผมยังเห็นว่าเราไม่เข้าใจเรา
00:09:03 → 00:09:08 อาจจะเผลอไปเรียกนักจิตเวชว่าเป็นหมอหรือ
00:09:08 → 00:09:11 ไปเข้าใจบริบทเขาว่าเป็นหมอนะครับหรือ
00:09:11 → 00:09:15 เข้าใจบทของจิตแพทย์ว่าเป็นหมอรักษาคนบ้า
00:09:15 → 00:09:17 หรือคนเครียดอ่าอันเนี้ยอันนี้ที่ผมเห็น
00:09:17 → 00:09:21 จากประสบการณ์อยากให้คุณหมอแบ่งในภาษา
00:09:21 → 00:09:25 ง่ายๆให้ประชาชนลยากเข้าใจก่อนว่าแบบไหน
00:09:25 → 00:09:29 เขาต้องปรึกษาท่านจิตแพทย์แบบไหนนักจิติ
00:09:29 → 00:09:33 วิยาอืแล้วก็ไอ้จิตจิตวิทยาคืออะไรอ่าน
00:09:33 → 00:09:37 ครับก็เอาแง่จิตเวชก่อนจิตเวชเป็นชื่อของ
00:09:37 → 00:09:41 อ่าคล้ายๆชื่อของสาขา
00:09:41 → 00:09:44 เวชศาสตร์เรียกว่าไซคีนะใช่มั้ยฮะแล้วก็
00:09:44 → 00:09:47 จะมีจิตแพทย์กับนักจิตวิทยาที่ต่างกันก็
00:09:47 → 00:09:51 คืออ่าการเรียนมาแล้วกันคือจิตแพทย์เนี่ย
00:09:51 → 00:09:53 ต้องเรียนแพทย์ 6 ปีก่อนแล้วจบเป็นหมอ
00:09:54 → 00:09:57 เหมือนหมอทั่วไปตามที่หลวงบาลชุมชนนะฮะ
00:09:57 → 00:10:00 หลวงมาลประจำจังหวัดก็ต้องเรียนต่ออีก 3
00:10:00 → 00:10:03 ปีเพื่อจะเป็นจิตแพทย์ถ้าจิตแพทย์ก็
00:10:03 → 00:10:08 สามารถอ่ะให้การวินิจฉัยได้อ่าจายะได้
00:10:08 → 00:10:12 แล้วก็ทำจิตบำบัดได้ถ้าเขาเรียนมาตามจิต
00:10:12 → 00:10:15 บำบัดแต่ละประเภทอืนะฮะแต่ถ้าเป็นนัก
00:10:15 → 00:10:18 จิตวิทยาส่วนใหนหน้าที่ก็จะเป็นการอ่าให้
00:10:18 → 00:10:21 คำปรึกษาหล่ะก็จะมีทางจิตประบัติได้
00:10:21 → 00:10:23 เหมือนกันก็ไปเรียนเหมือนกับหมอเรียนนี่
00:10:23 → 00:10:26 แหละนะครับหรือว่าเป็นการทำเทสทำเทสคือ
00:10:26 → 00:10:29 การแบบทำแบบทดสอบพวกถ้าเด็กๆก็ทำ IQ เทส
00:10:29 → 00:10:33 ทำอ่าพวกประเมินพวกเ่า psychic Test คือ
00:10:33 → 00:10:37 เหมือนมีเทสมาประเมินเรื่องอ่าประสบการณ์
00:10:37 → 00:10:41 หลอนอะไรเงี้ยครับความคิดแปลกๆแล้วก็
00:10:41 → 00:10:45 สามารถนักจยาก็สามารถพูดพูดให้คำแนะนำได้
00:10:45 → 00:10:48 เหมือนกันเหมือนกับจิตแพทย์เลยนะฮะแล้ว
00:10:48 → 00:10:50 จริงๆก็จะมีบุคลากอื่นๆใน Field ด้วยเช่น
00:10:50 → 00:10:54 เ่าพยาบาลจิตเวทจิตเวทเนี่ยเป็นตัวช่วย
00:10:54 → 00:10:57 หลักเลยของหมออืคือเขาจะช่วยดูแลคนไข้ดู
00:10:57 → 00:11:00 แลได้ดีแล้วก็ช่วยช่วยเราดูคนไข้เยอะมาก
00:11:00 → 00:11:03 อืบางคนก็คือถ้าเป็นคนที่ประสบการณ์เยอะ
00:11:03 → 00:11:06 หน่อยก็บางถ้าตอนที่เรียนเทนนิอยู่เก็จะ
00:11:06 → 00:11:09 แนะนำแนะนำเราได้ด้วยว่าเราควรทำยังไงอื
00:11:09 → 00:11:11 เราก็ได้เรียนจากเขาเยอะเลยนะฮะอย่างต่อ
00:11:11 → 00:11:15 ไปน fiel ก็จะมีนักสังคมนักสังคมนี่สำคัญ
00:11:15 → 00:11:18 มากเวลาคนไข้ที่มีปัญหาเศษสถานะก็คือ
00:11:18 → 00:11:21 เหมือนยากจนอะไรเงี้ฮักสังคมเป็นตัวช่วย
00:11:21 → 00:11:24 จัดระเบียบให้ว่าเอ้อเราโพดให้เป็นอย่าง
00:11:24 → 00:11:26 งี้นะเป็นอย่างงี้นะแล้วมาให้คำปรึกษากับ
00:11:26 → 00:11:29 เราอืประมาณนั้นนะแล้วก็จะมีพวกเอ่าอ่า
00:11:29 → 00:11:31 นักกิจกรรมบำบัดเหมือนกันที่อยู่ในฟิก็
00:11:31 → 00:11:35 เป็นคนทำบำบัดของคนไข้เป็นแค่ทำกิจกรรม
00:11:35 → 00:11:37 เข้าร่วมกลุ่มอะไรประมาณนี้อืนะเท่าที่
00:11:37 → 00:11:40 นึกออกน่าจะประมาณนี้ครับทั้งคนในฟิว
00:11:40 → 00:11:43 ประมาณนี้อืมเห็นภาพเห็นภาพมั้ยครับ
00:11:43 → 00:11:45 เดี๋ยวผมขออนุญาตสรุปอีกทีนึงก็คือว่า
00:11:45 → 00:11:49 จิตวิทยาก็เป็นตะกร้าใหญ่ที่ศึกษาเกี่ยว
00:11:49 → 00:11:52 กับระบบจิตของมนุษย์น่ะนะภายใต้ตะกร้า
00:11:52 → 00:11:54 ใหญ่เนี่ยก็จะมีคุณหมอซึ่งเป็นนัก
00:11:54 → 00:11:58 จิตแพทย์ใช่มั้ยครับใช่แล้วมีอีกอีกท่าน
00:11:58 → 00:12:00 นึงที่เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่างหมอกับอีก
00:12:01 → 00:12:04 ท่านอื่นๆก็คือนักจิตวิทยานักจิตวิทยาก็
00:12:04 → 00:12:06 เหมือนกับเขามีความรู้แหละแต่เขาอาจจะไม่
00:12:06 → 00:12:08 สามารถจ่ายยาให้เราได้หรือไม่ไม่สามารถ
00:12:08 → 00:12:12 วินิจฉัยให้เราได้นะครับก็คือหมอวินิจฉัย
00:12:12 → 00:12:15 เสร็จนักจิตวิทยาอาจจะช่วยในการต่อยอดให้
00:12:15 → 00:12:17 หหมออาจจะให้ยาแต่ว่าหมออาจจะไม่มีเวลา
00:12:17 → 00:12:20 มากซึ่งนักจิตวิทยาจจะมาเติมเต็มตรงนั้น
00:12:20 → 00:12:23 คือให้ความรู้ฟังเราช่วยให้คำแนะนำตึ๊ดๆๆ
00:12:23 → 00:12:25 ๆๆให้เราหรืออาจจะช่วยบำบัดเราในเบื้อง
00:12:25 → 00:12:28 ต้นและในเวลาเดียวกันการรักษาก็จะมีท่าน
00:12:28 → 00:12:32 อื่นรวมๆอีกก็คือพยาบาลที่มาช่วยดูแลหรือ
00:12:32 → 00:12:34 ว่าเอาใจใส่เราในเรื่องเล็กเรื่องน้อย
00:12:34 → 00:12:37 แล้วก็สุดท้ายเอ่ออีก 2 ท่านก็คือนัก
00:12:37 → 00:12:41 กิจกรรมบำบัดแล้วก็นักสังคมที่จะไปดูการ
00:12:41 → 00:12:44 เงการเงินของเราดูบ้านเราดูสังคมของเรา
00:12:44 → 00:12:48 ว่ามันเอื้อในการรักษาหรือเป็นอุปสรรคต่อ
00:12:48 → 00:12:50 การรักษาหรือเป็นเหตุต่อโรคของเราหรือไม่
00:12:50 → 00:12:54 ดูกันเป็นภาพรวมเหภาพนะครับโอเคนะฮะดัง
00:12:54 → 00:12:57 นั้นสำหรับประชาชนเวลาเเริ่มมีปัญหาเนี่ย
00:12:57 → 00:13:00 เคควรจะไปหาใครเพราะเดี๋ยวนี้มันมีทุก
00:13:00 → 00:13:04 ช่องเลยพยาบาลก็เปิดช่องบ้างนักจิตก็เปิด
00:13:04 → 00:13:07 ช่องบ้างหมอก็เปิดช่องบ้างประชาชนจะรู้
00:13:08 → 00:13:10 ได้ไงว่าเควรจะเริ่มที่ใครก่อนผมคิดว่า
00:13:11 → 00:13:16 จริงๆการตรวจเริ่มะถ้าจิตแพทย์น่าจะน่าจะ
00:13:16 → 00:13:19 น่าจะเหมาะสมที่สุดคำนี้แล้วกันเพราะว่า
00:13:19 → 00:13:22 เพเป็นแง่ว่าเราวินิจฉัยโรคอะไรเราจะส่ง
00:13:22 → 00:13:26 ต่อไปให้นักจิตวิทยาคุยเรื่องอะไรหรือว่า
00:13:26 → 00:13:29 ส่งต่อให้พยาบาลจิตเวทอาจจะไม่ได้ตรวจเอง
00:13:29 → 00:13:32 แต่ว่าเาก็สามารถสกรีนนิ่งได้อืแต่ส่วน
00:13:32 → 00:13:34 ตัวผมคิดว่าถ้าพบจิตแพทย์ก็น่าจะเป็นสิ่ง
00:13:34 → 00:13:38 ที่เหมาะสมที่สุดครับครับก็ย้ำอีกทีนะ
00:13:38 → 00:13:42 ครับเวลาเราเริ่มรู้สึกป่วยอันนี้ผมขอต่อ
00:13:42 → 00:13:44 ยอดกับคุณหมอเปรมด้วยเลยนะครับอันนี้เห็น
00:13:44 → 00:13:47 มากเลยครับผู้สูงอายุอย่างเงี้ยรู้สึกซึม
00:13:47 → 00:13:51 รู้สึกเศร้าง่ายอก็จะตรงไปหาจิตหมอ
00:13:51 → 00:13:55 จิตแพทย์ก่อนเลยซึ่งอย่างที่บอกก่อนที่จะ
00:13:55 → 00:13:58 ไปถึงจิตแพทย์เนี่ยในผมในฐานะหมออยุรกรรม
00:13:58 → 00:14:00 ด้วยนะฮะจริงๆแล้วเนี่ยก่อนที่เราจะส่ง
00:14:00 → 00:14:03 เขตไปหาหมอจิตแพทย์เนี่ยเราเองก็ต้องหา
00:14:03 → 00:14:06 ก่อนว่าคนไข้มีโรคหรือเปล่าโรคที่ทำให้
00:14:06 → 00:14:09 ผู้ป่วยเนี่ยแสดงอาการทางจิตมันมีครับ
00:14:09 → 00:14:13 งั้นก็ตามสเต็ปผมคิดว่านะถ้าเราไม่เคย
00:14:13 → 00:14:16 เป็นมาก่อนไม่มีที่มาที่ไปเช่นไม่ได้เสีย
00:14:16 → 00:14:18 สูญเสียไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยตรวจกับหมอ
00:14:18 → 00:14:22 ของเราก่อนมันก็จะมีโรคพวกโรคโลหิตจางโรค
00:14:22 → 00:14:25 ไทยลอยนะครับโรคบรมันมีหลายโรคเลยครับที่
00:14:25 → 00:14:28 กระตุ้นให้เรามาด้วยอาการทางจิตได้สเต็ป
00:14:28 → 00:14:31 ที่ 1 พอเราไม่มีโรคแล้วอ่าแล้วคุณหมอเดู
00:14:31 → 00:14:35 แล้วว่าเข้าได้กับปัญหาทางจิตก็สเต็ปที่ 2
00:14:35 → 00:14:38 ไปเจอจิตแพทย์ก่อนให้คุณหมอเดูก่อนว่าเรา
00:14:39 → 00:14:42 เป็นโรคใช่มั้ยหรือเราเป็นแค่อาการหรือ
00:14:42 → 00:14:44 เป็นแค่บุคลิกอย่างเงี้ยอือแล้วคุณหมอเขา
00:14:44 → 00:14:47 จะวางเกมให้เราว่าของคุณเนี่ยนะอาจจะไม่
00:14:48 → 00:14:51 ต้องใช้ยาไปบำบัดกับนักจิตได้หรือมาต่อ
00:14:51 → 00:14:55 กับผมได้อันเนี้ยครับคือการวางเกมที่ถูก
00:14:55 → 00:14:58 ต้องนะครับงั้นสำหรับเราที่อ่านข้อมูลทาง
00:14:59 → 00:15:00 ออนไลน์อะไรอย่างเงี้ครับเพื่อไม่ให้เป็น
00:15:01 → 00:15:04 การเสียเงินเสียเวลาและผิดขั้นตอนเนี่ยผม
00:15:04 → 00:15:09 กับหมอเปรมคิดว่าควรจะไปทางแบบนี้ดีกว่า
00:15:09 → 00:15:22 นะครับน่าจะถูกใช่มั้ยครับผม
00:15:22 → 00:15:28 ว่าปัญหารูปจิตเวทจิตเวทโอเค patric Un
00:15:28 → 00:15:30 เราแบ่งเป็นกลุ่มเลยครับในผู้สูงอายุหมอ
00:15:30 → 00:15:33 เปรมเจอใครมากต้องออกตกกว่าผมไม่ได้เจอคน
00:15:33 → 00:15:37 ไข้สูงอายุเยอะเพราะว่ามันก็จะมีอ่าสาขา
00:15:37 → 00:15:40 แยกไปเลยที่เป็นิบผู้สูงอายุอ๋อเราจะดู
00:15:40 → 00:15:43 ผู้สูงอายุเยอะกว่าเออ้าที่พบบ่อยคงเป็น
00:15:43 → 00:15:46 อ่าซึมเศร้าครับปบปล่อยแล้วก็คงเป็น
00:15:46 → 00:15:49 เรื่องของการสูญเสียอือเรื่องสำคัญแล้วก็
00:15:49 → 00:15:52 คงเป็นเรื่องสมองเสื่อมอื 3 อย่างอื
00:15:52 → 00:15:55 เรื่องซึมเศร้านี่สำคัญมากเพราะว่าซึม
00:15:55 → 00:15:57 เศร้าในผู้สูงยุคมันจะไม่ไม่ได้ออกมาเป็น
00:15:58 → 00:16:01 อาการเศร้าฮะอืแต่มันจะออกมาเป็นอาการทาง
00:16:01 → 00:16:04 กายซะเยอะอืสูงยุที่ที่มันมีวิจัยบอกเลย
00:16:04 → 00:16:08 ว่าอาการทางกายแบบ somatic syt คือสิ่ง
00:16:08 → 00:16:10 ที่พบบ่อยที่สุดของอาการทางกายในผู้สูง
00:16:10 → 00:16:14 อายุอืนะฮะเอ่อสิคือการแบบปวดความปวดหัว
00:16:14 → 00:16:18 ปวดท้องเมื่อยตัวเหนื่อยแล้วมาโรงพยาบาล
00:16:18 → 00:16:22 บ่อยๆอืแล้วตรวจแล้วไม่เจออะไรเลยแบบตรวจ
00:16:22 → 00:16:25 ตรวจปอดก็ปอดปกติเจาะเลือดไปผดเลือดปกติ
00:16:25 → 00:16:28 หมดเลยแล้วเหนื่อยอะไรคุณยายอันนี้พบบ่อย
00:16:28 → 00:16:31 ก็อาจจะจะอาจจะเป็นโรคซุมเศร้าได้ครับนะ
00:16:31 → 00:16:35 ฮะอันนี้ผมเจอบ่อยอืครับแล้วก็ถ้าเป็น
00:16:35 → 00:16:39 เรื่องเ่อเ่อการสูญเสียนะการสูญเสียเนี่ย
00:16:39 → 00:16:43 ผมว่าถ้าตามตามเปเปอร์มาบอกว่ามันเป็นการ
00:16:43 → 00:16:46 สูญเสียคู่ชีวิตคือสมมุติเคเแต่งงานในคู่
00:16:46 → 00:16:49 ชีวิตการสเสียคู่ชีวิตเป็นสิ่งที่เครียด
00:16:49 → 00:16:51 ที่สุดของคนเราที่เราต้องปรับตัวมากที่
00:16:51 → 00:16:55 สุดนะเวลาสูญเสียก็จะเควงได้เราก็ต้อง
00:16:55 → 00:16:58 เวลามาก็จะต้องคุยกันไปในเรื่องของการสูญ
00:16:58 → 00:17:01 เสียว่าต้องจัดการดียังไงบ้างศาสนาก็จะ
00:17:01 → 00:17:04 ช่วยทั้งการสูญเสียได้ศาสนามีพิธิกรรมมี
00:17:04 → 00:17:08 อะไรทำให้เราอ่าเวลาการสสูญเสียใครก็ตาม
00:17:08 → 00:17:12 เราต้องเอาเเข้ามาในใจเราอืพวกการสศาสนา
00:17:12 → 00:17:15 หรือว่าการบำบัดก็คอนเซปเดียวกันเอาเเข้า
00:17:15 → 00:17:18 มาในใจเราแล้วก็แปลว่าอะไรเอาเเข้ามาในใจ
00:17:18 → 00:17:20 เราเออถ้าภาษาอังกฤษมันเรียว่า Internal
00:17:21 → 00:17:25 เเข้ามาในใจเอ่อผมนึกก่อนเพราว่าผมผมยัง
00:17:25 → 00:17:28 ไม่เคยสูญเสียใครนะผมอธิบายยากนิดนึงอื
00:17:28 → 00:17:31 เอ่อเอหมายความว่าไงขอโทษนะคือคือเอาใคร
00:17:31 → 00:17:34 เข้ามาในใครเอาเอาเอาคนเอาเอาคนที่สูญ
00:17:34 → 00:17:38 เสียเหมือนเราไม่ลืมเขานะเอออ่าแล้วเราก็
00:17:38 → 00:17:41 เอาคนที่เสียไปเอาคนที่เสียไปคือเวลาเรา
00:17:41 → 00:17:44 สูญเสียใครฮะมันจะเกิดความไม่แน่นอนใน
00:17:44 → 00:17:47 ชีวิตอืเช่นเราเคยต้องดูแลเค้าเราก็ไม่มี
00:17:47 → 00:17:51 บทบาทนี่ก็หายไปเาเคยเป็นพ่อเราสมมติพ่อ
00:17:51 → 00:17:55 ก็บทบาทของพ่อบทหลักของลูกเราก็หายไปเป้า
00:17:55 → 00:17:57 หมายที่เราเคยตั้งกับเขไว้ว่าเราจะพาเขไป
00:17:57 → 00:18:01 เที่ยวนะมันก็หายไปอืแล้วมันก็จะเควงพอ
00:18:01 → 00:18:04 เคว้งปั๊บเราก็ค่อยๆ adjust ตัวเองแล้วก็
00:18:04 → 00:18:07 ในแง่ของความสัมพันธ์กับเค้าอ่ะเราต้อง
00:18:07 → 00:18:11 เอาส่วนนึงของเค้าเข้ามาในใจเราอือยกตัว
00:18:11 → 00:18:15 อย่างเช่นถ้าศาสนาก็จะบอกว่าุเอ่อเราเสีย
00:18:15 → 00:18:17 พ่อแล้วกันเสียพ่อฮะ
00:18:17 → 00:18:22 เอ่อพ่อน่าจะมองเรามาจากบนสวรรค์อืแลถ้า
00:18:22 → 00:18:26 พ่อเห็นเราประสบความสำเร็จเค้าน่าจะมี
00:18:26 → 00:18:29 ความสุขเราก็จะมีความสุขอืคคอนเซปมัน
00:18:29 → 00:18:32 ประมาณนี้ครับคือเขาไม่ได้หายไปไหนเอาตัว
00:18:32 → 00:18:35 เขาเข้ามาในใจอ๋ออ๋อคือเขาพูดภาษาบ้านๆ
00:18:35 → 00:18:38 คือวิญญาณเขามาอยู่ในใจเราอ่าประมาณนั้น
00:18:38 → 00:18:40 ก็ได้ประมาณนั้นก็ได้นะฮอ๋อคือเขาไม่ได้
00:18:40 → 00:18:43 เขาไม่ได้หายไปจากชีวิตเราเวิญญาณเขอยู่
00:18:44 → 00:18:47 คู่กับใจเราอย่างงี้ใช่มั้ให้อ๋อเหมือนเ
00:18:47 → 00:18:50 เป็นส่วนอ่าเป็นส่วนหนึ่งของเราของเราอโอ
00:18:50 → 00:18:53 เห็นภาพเห็นภาพอ๋อมันเป็นเทคนิคการช่วย
00:18:53 → 00:18:56 ให้เเป็นคอนเซปมากคซการเทคนิคนี้แล้วแต่
00:18:56 → 00:19:01 schol อืครับไม่ถามสมองเสื่อมใช่มั้ยฮะ
00:19:01 → 00:19:04 สมองเสื่อมนี่ก็มันก็จะมีหลายโรคนะฮะสมอง
00:19:04 → 00:19:07 เสื่อมก็เป็นพวกอัลไซเมอร์ถ้าเจอบ่อยก็จะ
00:19:07 → 00:19:09 เป็นโรคอื่นๆอือเอ่อสวองเสื่อมถ้าอาการ
00:19:09 → 00:19:12 ของผู้สูงอายุก็จะเป็นรักษาว่ามันหลงลืม
00:19:12 → 00:19:15 แหละอือเช่นหลงลืมว่าวางของไว้ที่ไหนนึก
00:19:15 → 00:19:19 ไม่ออกที่ถ้าคนไข้ที่ควรมาหาจะเป็นประมาณ
00:19:19 → 00:19:22 ว่าหลงลืมปั๊บนึกไม่ออกพอนึกไม่ออกปั๊บ
00:19:22 → 00:19:26 โทษคนอื่นคิดว่าคนอื่นขโมยไปอืแล้วก็โทษ
00:19:26 → 00:19:30 ทะเลาะกับคนในครอบครัวอันนี้ควรพามาอืจะ
00:19:30 → 00:19:32 พบจิตแพทย์ก็ได้หรือว่าหมออะไรนะฮะ
00:19:32 → 00:19:35 อายุรกรรมประสาทก็ได้อือก็จะดูได้ทั้ง
00:19:35 → 00:19:38 ทั้ง 2 2 ฟิตฟประมาณนั้นแล้วก็จะเป็นแง่
00:19:38 → 00:19:41 พวกหลงทางกลับบ้านไม่ถูกอืก็จะเจอบ่อย
00:19:41 → 00:19:44 เหมือนกันอเพราะว่าเราก็จะเข้าสู่สังคม
00:19:44 → 00:19:47 ผู้สูงอยู่ะอืจรเข้าไปแล้วพี่เข้าไปแล้ว
00:19:47 → 00:19:49 ใช่ประมาณนั้นก็เป็นโรคที่เจอบ่อดครับ
00:19:49 → 00:19:55 ปัญหาแพนิคในคนไข้วัยกลางคน 30-40 ผม
00:19:55 → 00:19:58 เชื่อว่าคุณมอน่าจะเจอเยอะอเป็นยังไงครับ
00:19:58 → 00:20:00 เเล่าให้ฟังแล้วมันเจอเยอะขึ้นเรื่อยๆ
00:20:00 → 00:20:03 ปัจจุบันเอะอะใครๆก็หนูเป็นโรคแพนิคค่ะ
00:20:03 → 00:20:05 หนูเป็นโรคแพนิคมันกลายเป็นเรื่องติดปาก
00:20:05 → 00:20:08 เหมือนช่วงนึงหนูเป็นกฎไหลย้อนค่ะอ๋อตอน
00:20:08 → 00:20:10 นี้กลายเป็นว่าหนูเป็นรูกแพนิคค่ะมันติด
00:20:10 → 00:20:13 ปากวัยรุ่นหรือวัยกลางคนเยอะมากเกิดอะไร
00:20:13 → 00:20:16 ขึ้นครับคุณผมว่าต้องเข้าใจก่อนคือคือ
00:20:16 → 00:20:20 แพนิคกับวิตกกระมนไม่เหมือนกันคนเราชอบ
00:20:20 → 00:20:24 สลับกันว่าคือจริงๆคือวิตกประมนเฉยๆแต่
00:20:24 → 00:20:27 บอกว่าเป็นแพนิคคือวิตกประมนมันจะเป็น
00:20:27 → 00:20:30 ความกังวลที่เป็นลักษณะแบบเป็นนานๆหน่อย
00:20:31 → 00:20:35 คิดกังวลไปอนาคตไม่ค่อยมีอาการทางกายมาก
00:20:35 → 00:20:39 แต่ว่าเป็นแบบเบาๆเวทนาน่ารำคาญแต่ถ้า
00:20:39 → 00:20:41 เป็นแพนิคมันจะเป็นลักษณะของความกังวลที่
00:20:41 → 00:20:45 มันเป็นรุนแรงและเป็นแบบรวดเร็วแล้วมี
00:20:45 → 00:20:48 อาการทางกายร่วมด้วยหลายๆอย่างเช่นผมนึก
00:20:48 → 00:20:50 ภาพผมจะให้คนไข้นึกว่าสมมุติมีเสือข้างๆ
00:20:51 → 00:20:54 ตัวเราร่างกายเราจะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว
00:20:54 → 00:20:57 ตลอดเวลาอ่าหัวใจเราจะได้เร็วขึ้นเราจะ
00:20:57 → 00:20:59 หายใจเร็วเร็วขึ้น
00:20:59 → 00:21:03 อ่าเราหายใจเร็วขึ้นเราก็จะมีมือชาตัวชา
00:21:03 → 00:21:07 อืออ่ามีใจสัตเนาะมีมือสั่นประมาณนั้น
00:21:08 → 00:21:10 แล้วก็มีเวียนหัวได้เพราะเราต้องพยายามจะ
00:21:10 → 00:21:13 สู้หือหนีกับสตัวเครับนะฮะแล้วก็จะมี
00:21:14 → 00:21:16 อาการของความกลัวอื่นเช่นกลัวว่าจะควบคุม
00:21:16 → 00:21:20 อาการไม่ได้กลัวว่าจะเสียชีวิตเอ่อกลัว
00:21:20 → 00:21:23 ว่าจะเป็นบ้าอบางคนก็หรือความรู้สึกมันจะ
00:21:23 → 00:21:26 กระชากไปเลยมันกระชากฮึบแบบว่าประมาณ 60
00:21:26 → 00:21:29 นาที 30-60 นาทีแล้วเบาลงเลยอืนี้เราจะ
00:21:29 → 00:21:32 เรียกว่าอาการแนิหรือว่า Panic attack
00:21:32 → 00:21:34 อือแต่ถ้าความกังวลมันจะเป็นแบบเบาๆนานๆ
00:21:34 → 00:21:37 น่ารำคาญอือมากว่าเหมือนมีอะไรกวนใจตลอด
00:21:37 → 00:21:42 เวลาผมมีเพื่อนฮะคือช่วงนึงในชีวิตเนี่ย
00:21:42 → 00:21:45 อยู่ดีๆเริ่มกลัวที่แคบขึ้นเครื่องบินก็
00:21:45 → 00:21:48 ไม่ได้ขึ้นรถไฟฟ้าก็กลัวอะไรเงี้ยครับ
00:21:48 → 00:21:51 ครับคือเขาคก็มีบุคลิกที่รักตัวเองด้วย
00:21:51 → 00:21:54 ส่วนนึงนะฮะแต่ว่าอยู่ๆช่วงนึงในชีวิต
00:21:54 → 00:21:59 เนี่ยกลายเป็นว่าพอเข้าเป็นที่แคบอีทีนี้
00:21:59 → 00:22:02 คำถามคืออยู่ดีๆมันเกิดไอ้พวกแพนิคพวกนี้
00:22:02 → 00:22:05 มันเข้ามาในชีวิตได้ยังไงฮะอยู่ดีๆซึ่ง
00:22:05 → 00:22:08 หลายคนเนี่ยชีวิตก็ไปดีนะฮะทุกอย่างกำลัง
00:22:08 → 00:22:10 ดีแต่มันมักจะเกิดกับพวกที่แบบเเองก็ไม่
00:22:10 → 00:22:13 รู้ว่าเมาเกิดพวกนี้ได้ยังไงครับครับก็
00:22:13 → 00:22:16 ถ้าในแ่สาเหตุมันจะมีทฤษฎีอธิบายอยู่แล้ว
00:22:16 → 00:22:20 ก็เท่าที่ตรวจคนไข้มามันก็มีตรงบ้างไม่
00:22:20 → 00:22:24 ตรงบ้างอนะฮทฤษฎีจะบอกว่าเคนที่เป็นแพนิค
00:22:24 → 00:22:27 อ่ะ 1 คือตั้งแต่วัยเด็กเลยอาจจะเป็นคน
00:22:27 → 00:22:31 ที่ขาดอ่า emotional support
00:22:31 → 00:22:35 คือไทยเรียกว่าการสนับสนุนทางด้านอารมณ์อ
00:22:35 → 00:22:40 เหมือนกับว่าถ้าเราตอนเด็กเรากังวลเรามี
00:22:40 → 00:22:43 คนคอยปลอบว่าพ่อหรือแม่หรือว่าคนสำคัญใน
00:22:43 → 00:22:46 ชีวิตจะคอยปลอบเราแต่ถ้าเขาปลอบเราได้ถูก
00:22:46 → 00:22:50 ต้องอ่าเราก็จะสามารถปลอบตัวเองเป็นอืคซ
00:22:50 → 00:22:53 ประมาณนั้นนะแล้วก็พอตมาเรื่อยๆที่เจอ
00:22:53 → 00:22:57 บ่อยที่สุดเลยคือเหมือนอ่า 1 คือการซพ
00:22:57 → 00:23:00 ด้านอมไม่ค่อยดีตอนเด็กเราไม่สามารถตอบ
00:23:00 → 00:23:02 ตัวเองได้อือเราบางทีไม่รู้ว่าตัวเอง
00:23:02 → 00:23:06 เครียดด้วยซ้ำฮะแล้วส่วนใหญ่จะมาตอนทำงาน
00:23:06 → 00:23:09 และทำงานก็จะเป็นช่วงที่เลื่อนตำแหน่งอ
00:23:09 → 00:23:11 หรือว่าความคาดหวังของงานมันสูงขึ้นอือ
00:23:11 → 00:23:15 มันมีแปตรงเนี้ยจากของเดิมที่มันทำให้เรา
00:23:15 → 00:23:18 เกิดความกังวลโดยที่เราจริงๆเราไม่รู้ตัว
00:23:18 → 00:23:21 อือแต่มันออกมาเป็นอาการทางกายอือย่างที่
00:23:22 → 00:23:26 ผมบอกไปตึ๊กๆๆๆๆอืโดยที่ตัวเเองก็รู้สึก
00:23:26 → 00:23:29 ว่าจริงๆไม่ได้มีเรื่องกังวลเท่าไหร่อืๆๆ
00:23:29 → 00:23:33 แต่ว่าอาการทำไายออกอประมาณนั้นอืก็คือบ
00:23:33 → 00:23:36 กำลังจะบอกว่ามันเริ่มมีความกังวลแอบแฝง
00:23:36 → 00:23:39 โดยที่เขาไม่รู้ตัวมันก็เลยแสดงเป็นอาการ
00:23:39 → 00:23:42 อ่ะของแพนิคเลยประมาณนั้นครับอือย่างงั้น
00:23:42 → 00:23:45 เขาจะทบทวนเขจะรู้ได้ยังไงเค้าควรจะทบทวน
00:23:45 → 00:23:49 ยังไงดีรู้ได้ยังไงใช่มผมว่า
00:23:49 → 00:23:53 เอ่อมันคงเป็นการรู้จักตัวเองอืคือการรู้
00:23:53 → 00:23:56 จักตัวเองทำยังไงก็คือมีเวลาให้ตัวเองอื
00:23:56 → 00:23:59 เวลาให้ตัวเองคืออะไรคือถ้าถ้าเทียบกัน
00:23:59 → 00:24:01 ว่าสมัยเนี้ยมันจะคือประมาณว่าถ้าเราว่าง
00:24:01 → 00:24:05 เราก็จับไม่ถืเแล้วก็ใช้เทคโนโลยีดูนู่น
00:24:05 → 00:24:08 ดูนี่มันเหมือนเราไม่ได้มี Gap ให้เราทำ
00:24:08 → 00:24:10 ความรู้จักตัวเองว่าเรารู้สึกยังไงเราคิด
00:24:10 → 00:24:13 ยังไงเอ๊มันเกิดอะไรขึ้นกับเราตอนนี้
00:24:13 → 00:24:16 ชีวิตเราเป็นยังไงครับนนี่คือการรู้จัก
00:24:16 → 00:24:18 ตัวเองถ้าเรารู้จักตัวเองได้ดีเนี่ยเราก็
00:24:18 → 00:24:20 จะสามารถเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับ
00:24:20 → 00:24:24 ชีวิตเราบ้างถ้าบางอย่างรู้สึกว่าทำความ
00:24:24 → 00:24:27 เข้าใจตัวเองแล้วไม่ค่อยเข้าใจฮะก็พบพูด
00:24:27 → 00:24:30 เชี่ยวชาอันนั้นช่วยได้เหมือนกันมันก็ไม่
00:24:30 → 00:24:34 แปลกนะที่คนที่พยายามทำความเข้าใจแล้วยัง
00:24:34 → 00:24:36 ไม่รู้จักตัวเองมันถือว่าเป็นอะไรที่แปลก
00:24:36 → 00:24:39 มั้ยไม่แปลกผมยังไม่รู้จักตัวเองเลยอื
00:24:39 → 00:24:43 ครับดีครับขอบคุณมากหมอเพอหลายคนเนี่ยก็
00:24:43 → 00:24:45 จะอาจจะเป็นเพราะสื่อมั้งอืออาจจะดู
00:24:45 → 00:24:48 โซเชียลแล้วกดดันว่าต้องรู้จักตัวเองต้อง
00:24:48 → 00:24:51 รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไรอยากทำอะไร
00:24:51 → 00:24:54 เงี้ยครับอันนี้เป็นแรงกดดันในวัยรุ่น
00:24:54 → 00:24:57 เยอะนะผมว่าปัจจุบันผมว่าถ้าวัยรุ่นก็ทำๆ
00:24:57 → 00:25:00 ไปก่อนครับเดี๋ยวก็รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบ
00:25:00 → 00:25:05 อะไรครับครับนี่เป็นเป็นคำแนะนำที่ดีมากๆ
00:25:05 → 00:25:09 นะครับผมเชื่อว่าอยากให้เราเก็บไปคิดก็
00:25:09 → 00:25:13 คือการให้เวลากับตนเองกลับมาที่แพนิคแล้ว
00:25:13 → 00:25:16 แนวทางการรักษาส่วนใหญ่พวกแพนิคหมอแนะนำ
00:25:16 → 00:25:18 ยังไงครับทางรักษาใช่มั้ยฮอ่าผมคิดว่า
00:25:18 → 00:25:20 แพนิคเนี่ยด้วยความที่โรคมันเป็นโรคที่
00:25:21 → 00:25:25 รักษาง่ายประมาณมีวิจัยประมาณ 50% อยู่จะ
00:25:25 → 00:25:29 ได้ภายในปีนึงตปีนึง 40% หายแต่ต้องกินยา
00:25:29 → 00:25:34 ต่ออมีแค่ 10% ที่รักษายากอืเพราะฉะนั้น
00:25:34 → 00:25:36 การเราพบจิตแพทย์อ่ะผมว่าเป็นสิ่งที่
00:25:36 → 00:25:39 สำคัญที่สุดอืแล้วต้องมีการกินยาแล้วก็
00:25:39 → 00:25:42 การบำบัดอืคนไข้แพนิคก็ต้องเข้าใจว่า
00:25:42 → 00:25:45 ปัจจัยอะไรบ้างกระตุ้นเช่นพวกคาเฟอีนความ
00:25:45 → 00:25:50 เครียดบางอย่างการนอนที่ไม่ไม่ดีเอ่อแล้ว
00:25:50 → 00:25:54 ก็ต้องรู้ว่าเราจะจัดการเวลามีอาการยังไง
00:25:54 → 00:25:56 เช่นการฝึกหายใจเข้าใจเรื่องวงจรของโรค
00:25:56 → 00:25:59 แพนิคว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายอืเข้า
00:26:00 → 00:26:03 ใจการปรับพฤติกรรมต่างๆเช่นพวกว่าปติคน
00:26:03 → 00:26:05 เป็นานิจะหลีกเลี่ยงให้กล้าไปที่ที่เคย
00:26:05 → 00:26:08 เป็นอืการหลีกเลี่ยงทำให้ตัวโรคเป็นแย่ลม
00:26:09 → 00:26:13 อืเราต้องไปเผชิญอืแต่ต้องต้องต้องภายใต้
00:26:13 → 00:26:16 คำแนะนำของหมออือประมาณนั้นแล้วก็กินยาก็
00:26:16 → 00:26:19 เป็นอีกปัจจัยนึงอืส่วนใหนก็จะจ่ายยาครับ
00:26:19 → 00:26:22 จ่ายยากินประมาณเดือนนึงเดือนครึ่งก็หายะ
00:26:22 → 00:26:25 อืเหมือนเหมือนชีวิตมันกลับเป็นปกติอื
00:26:25 → 00:26:27 แล้วต้องติดยาตลอดมั้ยแบบเวลาหายแล้วมัน
00:26:27 → 00:26:30 กลับมาเป็นใหม่ได้มั้ยเอ่อโรคฉีได้ทุกโรค
00:26:30 → 00:26:32 นะครับอือ่าจริงๆเหมือนกับคอนเซปเหมือน
00:26:32 → 00:26:36 โรคอะไรดีเบาหวานความดันพอเป็นครั้งนึง
00:26:36 → 00:26:39 ปั๊บมันจะมีความเสี่ยงจะเป็นซ้ำอือคล้ายๆ
00:26:39 → 00:26:42 ความดันเช่นความดันเวลาวิตความดันสความ
00:26:42 → 00:26:45 ดันสูงแล้วกันต้องกินยาลดความดันให้มัน
00:26:45 → 00:26:48 คุมมาได้ใช่มยฮะแต่ถ้าเราสามารถปรับ
00:26:48 → 00:26:51 พฤติกรรมการกินของเรากินเค็มน้อยลงอะไร
00:26:51 → 00:26:54 เงี้ทำให้ความดันลงเราก็หยุดยาวความดัน
00:26:54 → 00:26:56 ได้อือโรค 10 เลเวลเหมือนกันทุกโรคไม่ใช่
00:26:56 → 00:26:59 ทุุกโรคสิบางโรคอืนะฮะบางโรคต้องกินยา
00:26:59 → 00:27:02 ตลอดชีวิตแต่บางโรคกินยาพักนึงถ้าปรับ
00:27:02 → 00:27:05 ชีวิตให้มันดีปรับทัศคติในชีวิตปรับการ
00:27:05 → 00:27:09 ใช้ชีวิตให้เหมาะอ่าปัจจัยภายนอกดูแก้หมด
00:27:09 → 00:27:12 เรื่องครอบครัวเรื่องตนเองเรื่องงานอะไร
00:27:12 → 00:27:14 เคลียร์เคลียร์ได้ดีขึ้นก็จะมีความเสี่ยง
00:27:14 → 00:27:17 เป็นซึมเศร้าน้อยลงปกติก็จะปกติถ้าเป็น
00:27:17 → 00:27:21 แพนิคก็ได้แพนิคก็กินยาประมาณปีนึงถ้า
00:27:21 → 00:27:23 แล้วก็ลอง
00:27:23 → 00:27:26 หยุดบางคนกลับเป็นซ้ำบางคนไม่กลับเป็นซ้ำ
00:27:26 → 00:27:29 อนี้ตตคดอืซึนว่าเราปับปัจจัยอื่นๆไปด้วย
00:27:29 → 00:27:34 มอืเหตุผลที่คุณหมอมองว่าปัญหาจิตเวทที่
00:27:34 → 00:27:38 มันขาขึ้นในสังคมปัจจุบันถ้าให้วิเคราะห์
00:27:38 → 00:27:40 และคิดว่าถ้าประชา
00:27:40 → 00:27:45 ชนจับทางได้จะไม่ตกหลุมมีอะไรครับอืบอกไป
00:27:45 → 00:27:49 ตอนแรกว่าพอเทคโนโลยีมามันทำให้เราไม่มี
00:27:49 → 00:27:52 เวลาอยู่กับตัวเองครับเหมนเวลาใช้
00:27:52 → 00:27:55 เทคโนโลยีมันวิจัยว่ามันกดสมองส่วนลิมบิก
00:27:55 → 00:27:58 คือสมองส่วนอารมณ์อือ่ามันทำให้เราเหมือน
00:27:58 → 00:28:01 บางคนคิดมากเช่นบางคนคิดมากก็เอามือถือเข
00:28:01 → 00:28:05 มาไถก็ได้ไม่ต้องคิดพอจดนี้ปั๊บมันก็ไป
00:28:05 → 00:28:09 ปัญหาคือจิตใจเราอ่ะอาหารมันคือความคิด
00:28:09 → 00:28:12 อ่ะหมายถึงว่าอืมันต้องคิดอ่ะปัญหาคือมัน
00:28:12 → 00:28:15 ก็ไปคิดตอนกอดนอนแล้วก็นอนไม่หลับเงี้
00:28:15 → 00:28:17 หรือว่ามักบางคนไปคิดในฝันแล้วก็คิดจน
00:28:17 → 00:28:20 เหนื่อยแล้วก็มีปัญหาการใช้ชีวิตตามมานี่
00:28:21 → 00:28:22 คือเรื่องหนึงเรื่องเทคโนโลยี 2
00:28:23 → 00:28:27 เทคโนโลยีมันทำให้เราแบบผมว่ามันทำให้เรา
00:28:27 → 00:28:30 ห่างกันน่ะหยถึงว่ามันเกิดความความเหงา
00:28:30 → 00:28:33 แล้วกันใชความเหงาแล้วกันมันเหมือนกับว่า
00:28:33 → 00:28:37 เอ่อเดีวอือๆเหมือนกับว่าเวลาเรามีความ
00:28:37 → 00:28:40 สัมพันธ์กับใครบางคนน่ะมันไม่ได้แบบ in
00:28:40 → 00:28:44 Deep เหมือนกับสมัยก่อนที่แบบผมก็ทันยุค
00:28:44 → 00:28:46 ที่แบบมือถืออยทำอะไรไม่ได้เลยอแล้วเราก็
00:28:47 → 00:28:50 ต้องนั่งมองหน้าเาก็ต้องคุยกันนะแล้วก็
00:28:50 → 00:28:53 ต้องทำความรู้จักกันอะไรเงี้ยพอพอพักหลัง
00:28:53 → 00:28:56 มันเหมือนสิ่งเนี้ยเสน่ห์เี่มันหายไปเรา
00:28:56 → 00:29:00 ไม่ได้มีใครที่เราสนิทใจมากๆอมันมีวิจัย
00:29:00 → 00:29:03 บอกว่าแบบน่าจะเป็นของวนะฮะบอกว่าในเท
00:29:04 → 00:29:07 Talk มั้ยถ้าผมจำเ Talk ได้ผมขให้ฟัง
00:29:07 → 00:29:10 แล้วผมก็ไปนำเสนอบ่อยเรื่องนี้ก็คือว่าเ
00:29:10 → 00:29:14 บอกว่าความสุขของุุเราเกิดจากอะไรแล้วกัน
00:29:14 → 00:29:16 เก็ทำการวิจัยตมา 70 80 ปีแล้วก็
00:29:16 → 00:29:19 วิเคราะห์มาว่าก็มันเกิดจากคุณภาพความ
00:29:19 → 00:29:22 สัมพันธที่ดีของเรากับคนอื่นอือเป็นตัว
00:29:22 → 00:29:27 determine เ่อตัวบอกว่าเราจะมีความสุขใน
00:29:27 → 00:29:30 ชีวิตหรือเปล่าอซึ่งคุณภาพสความสัมพันธ์
00:29:30 → 00:29:34 เนี่ยเกิดจากอะไรเกิดจากการให้เวลากับมัน
00:29:34 → 00:29:37 คือบางทีเราเช่นพ่อแม่เราก็ต้องให้เวลา
00:29:37 → 00:29:40 เ้าบ้างเช่นโทรหาเค้าหรือเงี้ยครับซึ่งพอ
00:29:40 → 00:29:43 เรามีความสที่ดีเนี่ยมันก็จะทำให้เรามี
00:29:43 → 00:29:44 ความสุขมาก
00:29:44 → 00:29:47 ขึ้นอถามว่าเราจะเช็คยังไงเรามีความสััน
00:29:47 → 00:29:51 ที่ดีในวิจัยนี้บอกว่าถ้าให้เรานึกว่า
00:29:51 → 00:29:53 สมมุติเรามีเกิดเหตุถูกเฉินบางอย่างใน
00:29:53 → 00:29:57 ชีวิต้าเราจะโทรหาใครบ้างชื่อในนั้นแหละ
00:29:57 → 00:30:00 มันคือความสัมพันธที่ดีของเราอืถ้าเรา
00:30:00 → 00:30:03 ยิ่งมีจำนวนรายชื่อที่อ่าที่เยอะหน่อย
00:30:03 → 00:30:06 หรือว่ายังมีบ้างโอ้นี้ว่าเรามีความ
00:30:06 → 00:30:09 สัมพันธที่ดีอันนี้สุดยอดประมาณนั้นประ
00:30:09 → 00:30:14 อือืความสัมพันธ์นะอ่ะขอแตะอีกนิดนึงได้
00:30:14 → 00:30:18 มั้ยคุณหมอคิดว่าปัจจุบันความสัมพันธ์
00:30:18 → 00:30:21 มนุษย์มันเปลี่ยนไปเชื่อว่าคุณหมออาจจะ
00:30:21 → 00:30:26 ยังไม่ได้แก่มากแต่ว่าในฐานะนักจิตในฐานะ
00:30:26 → 00:30:28 จิตแพทย์เนี่ยผมว่าคุณหมอน่าจะน่าจะดูออก
00:30:28 → 00:30:31 แหละเพราะว่ามันเป็นอาชีพของคนเหมาความ
00:30:31 → 00:30:34 สัมพันธ์ปัจจุบันถ้าจะให้เตือนเด็กรุ่น
00:30:34 → 00:30:37 ใหม่หรือวัยรุ่นรุ่นใหม่เนี่ยมันเป็นยัง
00:30:37 → 00:30:41 ไงมันมีความสำคัญยังไงอือฮึผมว่าเอ่อคง
00:30:41 → 00:30:44 เป็นที่ผมบอกไปว่ามันไม่ค่อย EP เหมือน
00:30:44 → 00:30:47 เดิมเค้าควรจะแก้ยังไงแก้ยังไงเนาะคงเป็น
00:30:47 → 00:30:51 การให้เวลากับความสัมพันธ์แหละครับว่าเรา
00:30:51 → 00:30:54 มีเวลาให้กันและกันอ่าเวลาอยู่ด้วยกันก็
00:30:54 → 00:30:58 ใช้เวลาร่วมกันลดการใช้พวกโซเชียลเวลา
00:30:58 → 00:31:02 อยู่ด้วยกันอือแล้วก็ถ้าพวกอย่างเด็กรุ่น
00:31:02 → 00:31:05 ใหม่เนี่ยบางทีความสัมพันธ์มันจะค่อนข้าง
00:31:05 → 00:31:09 ผมว่ามันด้วยความที่มันมีสมเช่นมีแปหาคู่
00:31:09 → 00:31:14 อือหรือว่าเป็นพวกโชล Media ต่างๆอืมันมี
00:31:14 → 00:31:17 การเปรียบเทียบครับว่าเเราครบคนนี้ปบก็
00:31:17 → 00:31:19 เปรียบเทียบว่าคนนี้ดีกว่าคนนี้ดีกว่า
00:31:19 → 00:31:22 แล้วมันก็พยายามจะเหมือนมันไม่ความสไม่
00:31:22 → 00:31:23 นิ่งสักทีที่เราจะ stable ที่จะศึกษาใคร
00:31:24 → 00:31:28 สักคนอืเพราะด้วยความที่พอเรามีชล med
00:31:28 → 00:31:31 ตัวเลือกมันเยอะอืเราก็เปรียบเทียบเราก็
00:31:31 → 00:31:34 ไม่สามารถินกับใครเพราะว่าการคบการหรือ
00:31:34 → 00:31:38 การเป็นแฟนการจะมีคู่ชีวิตด้วยกันมันต้อง
00:31:38 → 00:31:43 เป็นการปรับตัวเข้าหากันอืประมาณนั้นฮที่
00:31:43 → 00:31:46 หมอพูดนี่มันมันไปโยงกับการที่วัยรุ่น
00:31:46 → 00:31:50 เปลี่ยนงานบ่อยลาออกบ่อยเหมือนกันนะฮะเอ
00:31:50 → 00:31:53 คล้ายกันเป็นไปได้อาจจะ Apply ได้เหมือน
00:31:53 → 00:31:57 กันนะที่ผมรู้สึกนะฮะว่าเ้าอาจจะคือรุ่น
00:31:57 → 00:31:59 ใหม่เนี่ยเคออกทุกที่นะฮะทุกที่ทุกวงการ
00:31:59 → 00:32:02 เลยเข้าออกคือ turnover สูงมากเพราะว่า
00:32:02 → 00:32:05 นั่นก็คือความสัมพันธ์เหมือนกัน 2 คือการ
00:32:05 → 00:32:09 เปรียบเทียบด่วนเปรียบเทียบอือนะครับอีก
00:32:09 → 00:32:13 ปัญหานึงที่ผมคิดว่าเราเจอมากในคนรุ่น
00:32:13 → 00:32:15 ปัจจุบันย้ำอีกทีนะครับการที่ผมพูดรุ่น
00:32:15 → 00:32:17 ปัจจุบันรุ่นเก่านี้ผมไม่ได้ต้องการจะ
00:32:17 → 00:32:20 สร้างดราม่าคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่อะไรนะอัน
00:32:20 → 00:32:23 นี้นี้พูดจากในฐานะหมอที่ทำงานแล้วก็
00:32:23 → 00:32:26 ประเมินแล้วก็วิเคราะห์เราฟังในฐานะนั้น
00:32:26 → 00:32:30 ดีกว่านะครับก็คือคือสถานการณ์ปัจจุบัน
00:32:30 → 00:32:34 เนี่ยที่ผมเจอคือคนน่ะหยุดคิดไม่เป็นอื
00:32:34 → 00:32:36 คิดตลอดเวลา Over Thinking
00:32:36 → 00:32:40 อ่ะอันนี้อยากให้คุณหมอวิเคราะห์แล้วก็
00:32:40 → 00:32:43 แบ่งประสบการณ์นิดนึงครับคืออาจจะเป็นคน
00:32:43 → 00:32:46 รุ่นรุ่นเก่ารุ่นซีเนียร์ก็มีนะครับผม
00:32:46 → 00:32:48 เชื่อว่าแต่นี่มันปัญหาทุกรุ่นทุกวัยผม
00:32:48 → 00:32:52 เองก็เคยผ่านมาอาจจะมีบางช่วงด้วยครับฮะ
00:32:52 → 00:32:54 เรื่องความคิดของมนุษย์หรือที่เรียกว่า
00:32:54 → 00:32:57 Train of to นะฮะ Train of to ก็คือ
00:32:57 → 00:33:00 รถไฟแห่งความคิดที่มันไม่หยุดปู๊ดๆๆสักที
00:33:00 → 00:33:02 แล้วมันปู๊ดไปถึงกลางคืน 2:00 น 3:00 น
00:33:02 → 00:33:05 ได้เลยครับโอเคเรื่องความคิดนะฮะเราต้อง
00:33:05 → 00:33:10 เข้าใจก่อนว่าเอ่อจิตใจหรือ mind อาหาร
00:33:10 → 00:33:13 ของมันก็คือความคิดว่าเราก็ต้องคิดเรื่อย
00:33:13 → 00:33:16 ๆว่ากเกิดอะไรขึ้นอะไรเงี้ครับซึ่งเอ่อ
00:33:17 → 00:33:20 ถ้าเราอยากคิดให้น้นลงเราต้องให้เวลาให้
00:33:20 → 00:33:23 มันคิดเช่นๆสมมุติเราจะมีเวลาสักชั่วโมง
00:33:23 → 00:33:27 นึงต่อวันเราจะนั่งคิดคิดก็เขียนมาในขนาด
00:33:27 → 00:33:31 นะว่าคิดเรื่องอะไรนะฮะเวลามีเวลาให้มัน
00:33:31 → 00:33:34 คิดนะฮะมันจะไม่ไปคิดบนเตียนเพราะว่าคิด
00:33:34 → 00:33:38 บนเตียนมันเราไม่รับอืเราก็เเวลาให้คิดไป
00:33:38 → 00:33:39 เลยว่าเราจะคิดเรื่องอะไรแล้วเราก็จดมา
00:33:39 → 00:33:41 เลย jing มาเลยว่าเอ้จดว่ามีคิดเรื่อง
00:33:42 → 00:33:44 อะไรบ้างแล้วถ้าพอเราสมมุตินี้คือการแก้
00:33:45 → 00:33:48 ปัญหานะถ้ามันไปแวบคิดบนตีอก็บอกว่าฉัน
00:33:48 → 00:33:50 คิดบนขนาดไปแล้วะเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไป
00:33:50 → 00:33:53 เปิดอ่านอันนี้ก็เป็นเป็นตัวช่วยอันนึงนะ
00:33:53 → 00:33:57 ฮะส่วนแบบที่ 2 คือเวลาที่มีความคิดนะฮะ
00:33:57 → 00:34:00 ส่วนใหญ่มันจะเป็นรักษของความกังวลไป
00:34:00 → 00:34:01 อนาคต
00:34:01 → 00:34:04 เอ่อความกังวลเนี่เกิดจากว่าเราไม่ได้
00:34:04 → 00:34:07 อยู่ในปัจจุบันอืคือเราคิดไปล่วงหน้าใน
00:34:07 → 00:34:09 อนาคตว่าเออคืออันนี้เกิดขึ้นในอดีตแต่
00:34:09 → 00:34:12 ว่าผลล่วงหน้าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับ
00:34:12 → 00:34:16 เราหรือว่าเดี๋ยวเรามีพีเซนอีก 10 วันจะ
00:34:16 → 00:34:18 ไหวหรือเปล่ากังวลอะไรเงี้ยมันคือความคิด
00:34:18 → 00:34:21 เป็นอนาคตการให้เราเกิดลดความกังวลได้คือ
00:34:21 → 00:34:24 การกลับมาอยู่ในปัจจุบันการกลับอยู่ใน
00:34:24 → 00:34:27 ปัจจุบันจะทำให้เราไม่ได้โฟกัสในอนาคต
00:34:27 → 00:34:29 ความคิดคิดมันก็จะเบาลงนะฮะการอยู่ใน
00:34:29 → 00:34:33 ปัจจุบันทำยังไงก็คงต้องเป็นการฝึกสติฝึก
00:34:33 → 00:34:36 สติพวก Meditation พวกนั่งสมาธิช่วยได้
00:34:36 → 00:34:39 เยอะมากการที่เรามาอยู่ในปัจจุบันอยู่ใน
00:34:39 → 00:34:43 กับเ่อประสาทสหพันทั้ง 5 ของเราหรือว่า
00:34:43 → 00:34:47 ฝึกหายใจเข้าออกนัคือการกยในปัจจุบันอ
00:34:47 → 00:34:48 นั้นก็พวกเรื่องของความคิดเนี่ยมันเป็น
00:34:49 → 00:34:53 เหมือนถ้าไปดูใน H Space ใน netflix เจะ
00:34:53 → 00:34:56 บอกว่าผมชอบเมากเบอกว่าความคิดมันเหมือน
00:34:56 → 00:34:59 กับรถที่วิ่งบถนนนะฮะแลเราก็
00:35:00 → 00:35:03 แบบเวลาเราจ้องมองความคิดเรามาเราเหมือน
00:35:03 → 00:35:06 ว่าเรายืนอยู่ข้างถนนความคิดวิ่งมาเดี๋ยว
00:35:06 → 00:35:08 มันก็วิ่งไปผ่านมาเดี๋ยวมันผ่านไปเราแค่
00:35:08 → 00:35:10 จ้องมงความคิดว่ามันวิ่งปานเดี๋ยวมันก็
00:35:10 → 00:35:14 วิ่งไปนี่ก็เป็นคซของการอ่า Meditation
00:35:14 → 00:35:17 นั่งสมาธิเหมือนกันอืคงเป็นประมาณ 3
00:35:17 → 00:35:19 ประเด็นนี้้าเรื่องของการคิดหวนๆ
00:35:20 → 00:35:24 อทำไมมนุษย์หยุดคิดไม่ได้ทำไมมนุษย์ต้อง
00:35:24 → 00:35:28 คิดอยู่ตลอดเวลาผมผม่ะเข้าใจเองว่าอ่าจิต
00:35:28 → 00:35:31 ใจเรามันต้องการอาหารก็คือความคิดเพราะ
00:35:31 → 00:35:33 ฉะนั้นมันก็เหมือนเป็นการให้เราอยู่รอด
00:35:33 → 00:35:37 อ่ะเออเราก็เลยต้องคิดแล้วก็ผมเข้าใจว่า
00:35:37 → 00:35:40 มนุษย์มันถูกดีไซน์มาเพื่อแบบการอยู่รอด
00:35:40 → 00:35:43 อืสมมุติเรานึกเอ่อพี่วิทลองนึกภาพแบบ
00:35:43 → 00:35:47 สมัยก่อนแบบว่าพวกอะไรดีอ่ะล่าสัตว์ก็ได้
00:35:47 → 00:35:51 หรือว่าพวกพวกชนเผ่าอ่ะมันต้องคิดไปล่วง
00:35:51 → 00:35:53 หน้าเพราะว่ามันจะอยู่รอดหรือเปล่ามัน
00:35:53 → 00:35:57 ต้องคิดอหาอาหารคิดว่าแบบสมมุติเดี๋ยวข้า
00:35:57 → 00:36:00 ึกจะมาบุกหรือเปล่ามันก็เลยเป็นความกังวล
00:36:00 → 00:36:03 มาอที่ทำให้ให้เราอยู่รอดมาจนถึงทุกวัน
00:36:03 → 00:36:05 นี้อือมันคือการอยู่รอดเพราะฉะนั้นผมว่า
00:36:05 → 00:36:08 การคิดมันเป็นปกติอืแต่ว่าเราจะทำยังไง
00:36:08 → 00:36:10 ให้มันไม่รบกวนอะไรเรามากอืแล้วก็คิด
00:36:11 → 00:36:14 กังวลแบบคือถ้าคนเราไม่กังวลน่ะปัญหาคือ
00:36:14 → 00:36:16 เราจะไม่เตรียมพร้อมเลยนะสมมุติผมผมว่า
00:36:16 → 00:36:19 สัมภาษณวันนี้ถ้าผมไม่ได้มีความเครียดนิด
00:36:19 → 00:36:21 หน่อยอือมันก็จะแบบไม่ได้เตรียมตัวเลยมัน
00:36:22 → 00:36:24 ก็จะปล่อย Flow เลยนะเพราะฉะนั้นจริงๆ
00:36:24 → 00:36:28 ความกนประโยชน์ขอแค่มันไม่เยอะเกินไปไป
00:36:28 → 00:36:30 ถ้าไม่เยอะไปมันจะ motivate เราได้อื
00:36:30 → 00:36:34 ประมาณนั้นฮะอืสุดยอดมากเลยครับผมสรุปอีก
00:36:34 → 00:36:38 ทีย้ำนะฮะอย่างที่คุณหมอเปรมพยายามจะพูด
00:36:38 → 00:36:41 ว่าความคิดจริงๆมันมีที่มาที่ไปมนุษย์อ่ะ
00:36:41 → 00:36:44 ดีไซน์มาเพื่อคิดเพื่อการอยู่รอดอันนี้
00:36:44 → 00:36:48 เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เราเราคิดเราถึงจะ
00:36:48 → 00:36:51 ปลอดภัยในอนาคตแต่เมื่อไหร่ที่เราคิดแล้ว
00:36:51 → 00:36:55 เราไม่เราไม่ไปกำหนดขอบเขตกำหนดบริบทหรือ
00:36:55 → 00:36:58 เฝ้าระวังความคิดเนี่ยตอนเนี้ยไอ้ความคิด
00:36:58 → 00:37:02 เรามันจะเริ่มบานปลายมันจะสะเปะสะปะไม่
00:37:02 → 00:37:06 เลือกเวลาไม่เลือกจังหวะไม่เลือกที่มันก็
00:37:06 → 00:37:10 จะเริ่มแสดงให้มันจะเริ่มแสดงอาการหลายๆ
00:37:10 → 00:37:13 อย่างหนึ่งในนั้นคือการเข้านอนยากหรือ
00:37:13 → 00:37:16 ตื่นกลางดึกนะเพราะว่ามันคิดอยู่ตลอดเวลา
00:37:16 → 00:37:19 มนุษย์ปัจจุบันคิดเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้ว
00:37:19 → 00:37:22 หยุดคิดยากขึ้นเรื่อยๆใช่มั้ครับก็อย่าง
00:37:22 → 00:37:24 ที่บอกครับอย่างที่หมอเปรมบอกว่าเนี่ย
00:37:24 → 00:37:26 ครับอาจจะเป็นเพราะว่าสื่ออาจจะเป็นเพราะ
00:37:26 → 00:37:30 ว่าการแข่งขันขันที่มากขึ้นตำแหน่งมีการ
00:37:30 → 00:37:33 แข่งขันในที่ทำงานมันแย่งชิงกันนะต่างคน
00:37:33 → 00:37:36 ต่างอยากได้ดีนะฮะก็ทำให้เราก็ไม่ต่างกับ
00:37:36 → 00:37:41 คนรุ่นสมัยโบราณที่ต้องพยายามจะเอาตัวรอด
00:37:41 → 00:37:43 มันก็อารมณ์เดียวกันครับสัญชาตญาณเดิม
00:37:43 → 00:37:47 เดิมในสังคมใหม่ๆนะครับโอสุดยอดเลยครับก็
00:37:47 → 00:37:50 หมอเปรมก็สุดท้ายก็ย้ำอีกทีว่าเราจะ
00:37:50 → 00:37:53 บริหารความคิดเรายังไงคืออันเนี้ยดีมาก
00:37:53 → 00:37:56 ครับให้เวลากับมันอย่าไปเบรคมันแล 2 คือ
00:37:56 → 00:38:00 เอาความคิดคิดลงมาในกระดาษเราจะได้ใช้ตา
00:38:00 → 00:38:02 เห็นด้วยว่าไอ้สิ่งที่เราคิดออมันเป็น
00:38:02 → 00:38:05 เรื่องนี้เองเมื่อไหร่เราใช้ตาเรามองความ
00:38:05 → 00:38:08 คิดเนี่ยมันจะบริหารได้มากง่ายมากขึ้น
00:38:08 → 00:38:11 แล้วก็หมอเปรมอยากให้มองว่าความคิดเป็น
00:38:12 → 00:38:14 Healthy การที่เราคิดเป็นเรื่องที่ดี
00:38:14 → 00:38:17 เป็นเรื่องที่ปลอดภัยเป็นเรื่องที่ดีฮะ
00:38:17 → 00:38:20 แต่เราแค่ต้องตีกรอบให้มันนิดนึงครับการ
00:38:20 → 00:38:24 ปฏิบัติหรือความเชื่อผิดๆในสังคมที่คิด
00:38:24 → 00:38:26 ว่าเอออันนี้อยากจะฝากเตือนสักัก 3
00:38:26 → 00:38:29 เรื่องก็ได้ครับอฮันผมเจอในชีวิประจำวัน
00:38:29 → 00:38:32 นะแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นไม่รู้กระแสมา
00:38:32 → 00:38:34 จากไหนแต่มันเป็นการปฏิบัติและความเชื่อ
00:38:34 → 00:38:38 ที่ผิดอย่างแรกผมคิดว่าคงเป็นว่าเป็นความ
00:38:38 → 00:38:45 เชื่อว่าอ่าคนไข้โรคจิตเวชน่ะบ้าทุกคนว่า
00:38:45 → 00:38:48 เป็นเรื่องสำคัญมากคือเหมือนพอพอมีคนป่วย
00:38:48 → 00:38:52 คนนึงก็จะมีคนรอบข้างตัดสินเเไปหา
00:38:52 → 00:38:55 จิตแพทย์เป็นบ้าหรือเปล่าแล้วมันมัน
00:38:55 → 00:38:57 เหมือนกับการตีตราแหละว่าทำให้ไม่ให้เค
00:38:57 → 00:39:01 ยิ่งกดดันประมาณนั้นอืนี่เป็นเรื่องสำคัญ
00:39:01 → 00:39:04 คือโรคทางจิตเวทมันมีข้อวินิฉัยชัดเจน
00:39:04 → 00:39:07 แล้วก็มีทฤษฎีอธิบายค่อนข้างชัดเจนว่ามัน
00:39:07 → 00:39:09 เกิดอะไรขึ้นกับจิตใจเราอือแล้วการรักษา
00:39:09 → 00:39:12 มันก็ชัดเจนอยากให้มองโรคจิตเวตเหมือนกับ
00:39:12 → 00:39:14 ที่ผมบคือโรคความแดนโรคประวาทเหมือนกัน
00:39:14 → 00:39:18 เวลาป่วยก็ต้องรักษาอืรักษาจะแบบกินยาก็
00:39:18 → 00:39:20 ได้หรือจะบำบัดก็ได้ได้เหมือนกันอือนะ
00:39:20 → 00:39:24 ครับนี่คือเรื่องแรกอันที่ 2 คงเป็นถ้า
00:39:24 → 00:39:28 เป็นความเชื่อพวกผีเข้าครับอืที่เจอบ
00:39:28 → 00:39:32 คือจริงๆคนไข้ผีเข้าหลายๆคนน่ะมันมีอาการ
00:39:32 → 00:39:36 อย่าจะเป็นแบบเ่อสมองอักเสบก็ได้เฟิมันก็
00:39:36 → 00:39:39 จะมีพฤติกรรมแปลกๆหรือว่าความเชื่อแปลกๆ
00:39:39 → 00:39:43 เกิดขึ้นเพราว่ามันเกิดขึ้นภายในสมองนะฮะ
00:39:43 → 00:39:46 หรือว่าจะเป็นโรคจิตเภทเเป็นบ่อยมากโรค
00:39:46 → 00:39:48 จิตเภทจะมีความเชื่อแปลกๆที่เกิดขึ้นเช่น
00:39:48 → 00:39:53 เขาหวาดระแวงกคมาทำร้ายเคิดว่าไม่ตัวที่
00:39:53 → 00:39:57 นี่ไม่ปลอดภัยคิดว่าเราเส่งพลังจิตได้อื
00:39:57 → 00:40:01 หรือว่าเคิดว่าเช่นมีความเชื่อแปลกๆว่ามี
00:40:01 → 00:40:03 เเป็นพุทธเจ้ากับชาติมาเกิดหรือเขเป็น
00:40:03 → 00:40:08 ญาติกับคนสำคัญในวังหรือว่าคนสำคัญแบบใน
00:40:08 → 00:40:10 ศาสนาอะไรเงี้ยแล้วแต่ศาสนาความเชื่อเขา
00:40:10 → 00:40:13 gros gros relion ใช่ครับคือแบบคิดว่า
00:40:13 → 00:40:15 ตัวเองใหญ่จริงๆมีที่มาที่ไปใชประมาณนั้น
00:40:15 → 00:40:19 ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นชาวบ้านชาวบ้านก็จะ
00:40:19 → 00:40:23 คิดว่าเอ้ยผีเข้าเวะเออก็จะพาไปพบพระพระ
00:40:23 → 00:40:27 สงฆแล้วพรหมน้ำมนต์อะไรเงี้ยอด้วยด้วยตัว
00:40:27 → 00:40:29 โรคมันเองอ่ะ 1 คือมันจะมีอาการที่มัน
00:40:29 → 00:40:32 เป็นเยอะแล้วก็ลงมาเป็นน้อยหน่อยด้วยตัว
00:40:33 → 00:40:35 ตัวธรรมชาติของโลกเค้าก็มักจะคิดว่าเ้ยผม
00:40:35 → 00:40:38 น้ำมน์แล้วมันหายว่ะอือเพราะว่าอาการมัน
00:40:38 → 00:40:41 น้อยลงแล้วก็คิดว่าผีเข้าจริงๆอือปัญหา
00:40:41 → 00:40:44 คือถ้าเป็นโรคจิตเภทอ่ะถ้าไม่ได้รักษานะ
00:40:44 → 00:40:46 แล้วมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า cognitive
00:40:46 → 00:40:49 deine ก็คือว่าสมองเราจะแย่ลงเรื่อยๆ
00:40:49 → 00:40:52 เดี๋ยวลอง insert อเภาพก็อ้องีบอีมันจะ
00:40:52 → 00:40:54 แย่ลงเรื่อยๆแล้วปัญหาคือถ้าไม่ได้รับการ
00:40:54 → 00:40:59 รักษาโดยทันท่วมทีเนี่ยคนไข้จะมีปัญหาของ
00:40:59 → 00:41:03 การใช้ชีวิตลงไปเยอะเรื่อยๆอืก็คือคุณหมอ
00:41:03 → 00:41:06 กำลังจะบอกว่าโรคจิตเภทหรือเราเรียกว่า
00:41:06 → 00:41:11 สกิฟที่มีอาการพวกเนี้ยที่เราไปไปพรมไปไป
00:41:11 → 00:41:13 รดน้ำมนต์ไปอะไรแล้วมันดูดีขึ้นจริงๆมัน
00:41:13 → 00:41:16 ดีขึ้นด้วยตัวโรคเพราะโรคมันขึ้นๆลงๆได้
00:41:16 → 00:41:19 แต่ปัญหาคือถ้าเรามองข้ามแล้วเราไปหลง
00:41:19 → 00:41:22 เชื่อจริงๆเนี่ยสมองมันจะค่อยๆเสื่อมลลง
00:41:22 → 00:41:25 แลในที่สุดคือการความสามารถในการใช้ชีวิต
00:41:26 → 00:41:29 ก็จะเริ่มลำบากกบลงใช่ครับเพราะจิตเภท
00:41:29 → 00:41:32 ต้องจิตเภทเนี่ยต้องกินยาถึงจะดีขึ้นคิด
00:41:33 → 00:41:35 ว่าถ้ารีบมารักษาก็จะดีมากอืนี่เป็นแง่
00:41:35 → 00:41:40 ของความเชื่อว่าขีเข้าอะไรอืนะฮะอย่างที่
00:41:40 → 00:41:44 3 เหรอฮะคงเป็นความเชื่อที่เพึ่งใหม่
00:41:44 → 00:41:49 แล้วกันอือที่ว่าตั้งแต่เราเราปลดกัญชา
00:41:49 → 00:41:53 เป็นีรีอ่ะอือแล้วเหมือนกับว่าจริงๆสุด
00:41:53 → 00:41:56 ท้ายเราไม่ได้มาใช้การแพทย์เท่าไหร่เลยอื
00:41:56 → 00:42:00 เราใช้เสพเดีเยอะทีเนี้ยปัญหาคือมันต่าง
00:42:00 → 00:42:03 ประเทศก็มีวิจัยบอกเลยว่ากัญชาทำให้สมอง
00:42:03 → 00:42:06 เราเปลียดอืทำมาให้สมองเราเป็นสมองที่เสพ
00:42:06 → 00:42:11 ติดอือทำให้ความจำเราไม่ดีทำให้สมาธิเรา
00:42:11 → 00:42:17 แย่ลงกัญชาเป็นตัวคล้ายๆเป็นประตูสู่สาร
00:42:17 → 00:42:20 เศษอื่นๆด้วยอืนั่นคือปัญหาเพราะฉะนั้น
00:42:20 → 00:42:23 เวลาถ้าคนใช้ยาเสพติดส่วนใหญ่สมองมันจะ
00:42:23 → 00:42:27 เปลี่ยนไปเลยแล้วมันค่อนข้างรักษากลับมา
00:42:27 → 00:42:30 มาให้ที่เดิมเนี่ยแอบยากเหมือนกันอในการ
00:42:30 → 00:42:34 รักษาอคนไข้ตั้งแต่มีการปลดล็อคกัญชา
00:42:34 → 00:42:37 เนี่ยคุณหมอเองได้ใช้กัญชาในการบำบัดแค่
00:42:37 → 00:42:40 ไหนครับอุ้ยไม่เคยใช้หรือหรือในวงการคุณ
00:42:40 → 00:42:42 หมอที่คุยกันในกรุ๊ปเนี่ยฮะเคุยฮือฮาม
00:42:42 → 00:42:45 โอ๊ยกัญชาเข้ามาแล้วพวกเราสบายจังเลยโอย
00:42:45 → 00:42:49 โชคดีคนใกล้ดีมากเลยครับครับต้องบอกว่าใน
00:42:49 → 00:42:53 วงการเนี่ยถ้า้าจิตแพทย์นะไม่ไม่มีใครใช้
00:42:53 → 00:42:57 เลยนะเพราะว่าข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ของ
00:42:57 → 00:43:01 กัญชาเนี่ยถ้าในแง่จิตเวทไม่มีเลยอืนะฮะ
00:43:01 → 00:43:04 บางคนชอบๆาไปหยอดแบบนอนไม่หนักแล้วก็หยอด
00:43:04 → 00:43:07 แล้วก็มันก็ช่วยบ้างเพราะมันทำให้ง่วงแต่
00:43:07 → 00:43:10 มันไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ข้อบ่งชี้ทาง
00:43:10 → 00:43:14 การแพทย์ผมจำได้มี 6 ข้อครับแต่ผมผมไม่
00:43:14 → 00:43:17 ค่อยชัวร์ฮะว่ามีอะไรบ้างนะต้องลองต้อง
00:43:17 → 00:43:19 ลองไปหาดูแต่ส่วนใหญ่มันจะเป็นพวกอะไรนะ
00:43:19 → 00:43:22 มีขึ้นไส้อาเจนในคนไข้เคมี
00:43:22 → 00:43:27 บำบาญคนไข้พาทีกคนไข้แบบระยะสุดท้ายเนี่ย
00:43:27 → 00:43:30 อย่าเงี้ยจะไม่ได้แล้วลมชักางที่ดื้อต่อ
00:43:30 → 00:43:33 การรักษาอประมาณนี้อือฮะอันนี้ก็เป็น
00:43:33 → 00:43:36 ปัจจัยนึงเหมือนกันที่อยากให้ทุกคนได้
00:43:36 → 00:43:39 ตระหนักรู้ว่ามันมีปัญหานี้อยู่แล้วคุณ
00:43:39 → 00:43:42 หมอเจอเคสของการติดกัญชามากขึ้นเรื่อยๆ
00:43:42 → 00:43:45 มั้ยกันชาเหรอเอ่อด้วยความที่ผมทำอยู่
00:43:45 → 00:43:49 โรมันเอกชนไม่ได้มีคนไข้ยาเสพติดเยอะอือ
00:43:49 → 00:43:51 แต่ถ้าตอนที่เรียนอยู่ผมเรียนจุฬาเนาะ 3
00:43:51 → 00:43:55 ปีก็จะเจอเยอะเหมือนกันที่คนไข้เสพบัญชา
00:43:55 → 00:43:57 แล้วเป็นโรคจิตเภทนี่แหละที่มมออกไปอือ
00:43:57 → 00:44:00 แล้วเวลาเสพกัญชาไปโรค7จเพศรักษาโคตรยาก
00:44:00 → 00:44:03 เลยอืต้องใช้เวลาแบบเป็นเดือนอ่ะกว่าจะดี
00:44:04 → 00:44:06 ขึ้นอือเพราเหมือนกัญชามันอยู่ในเลือดนา
00:44:06 → 00:44:09 อือแล้วปัญหาคือพอมันเสรีมันก็กลับไปใช้
00:44:09 → 00:44:12 มันก็กลับเป็นซ้ำแล้วก็กลับมาโรงพาบาลอีก
00:44:12 → 00:44:17 ออือประมาณนั้นนะครับอืขอบคุณคุณหมอมาก
00:44:17 → 00:44:21 ครับสุดท้ายถ้าคุณหมออยากเห็นบ้านเมืองดี
00:44:21 → 00:44:25 กว่านี้มีอะไรที่คุณหมออยากแนะนำในฐานะ
00:44:25 → 00:44:29 ระดับบริหารก็ได้เป็นเสียงเล็กๆส่งไปให้
00:44:29 → 00:44:31 กับผู้บริหารเผื่อเขาจะได้ฟังพวกเราคนนึง
00:44:31 → 00:44:35 ที่กำลังทำงานหน้างานถ้าอยากจะ
00:44:35 → 00:44:41 ฝากโอเคผมึกก่อนก็คงคงตอบเหมือนตอบข้อสอบ
00:44:41 → 00:44:46 อข้อสอบเคยจิตเวทชุมชนเได้ตอบเป็นอ่าใน
00:44:46 → 00:44:51 แง่บุคคลในแง่ครอบครัวในแง่สังคมอืแง่
00:44:51 → 00:44:54 บุคคลก่อนบุคคลงที่ผมบอกไปในที่ที่เท่า
00:44:54 → 00:44:56 ที่ดูในคลิปก็จะเป็นเรื่องของการดูแลตัว
00:44:56 → 00:44:59 เองการอยู่กับกปัจจุบันการออกกำลังกายคนำ
00:44:59 → 00:45:02 ลับพักผ่อนให้เพียงพอการจัดการความเครียด
00:45:02 → 00:45:06 คอนเซปประมาณนี้นะฮะถ้าเป็นในแง่ครอบครัว
00:45:06 → 00:45:08 ครอบครัวก็เป็นเพะเรื่องความสัมพันธ์ที่
00:45:08 → 00:45:09 หมบออกไปว่ามันต้องเป็นความสัมพันธ์ที่มี
00:45:09 → 00:45:14 คุณภาพเราต้องคอยให้คำสนับสนุนทางด้าน
00:45:14 → 00:45:17 อารมณ์กับคนแต่ละคนถ้าเเศร้าเราก็ไปดูว่า
00:45:17 → 00:45:20 เ้เคเศร้าเพราะอะไรมีการใช้เวลาพูดคุยกัน
00:45:20 → 00:45:24 เคกังวลก็ไปพูดคุยกันอะไงี้ครับครอบครัว
00:45:24 → 00:45:26 เป็นเรื่องของความสัมพันธ์กับคนเนี่ยเวลา
00:45:26 → 00:45:29 คุยกับคนง่ายมากคอนเซปคล้ายๆจิตแพทย์รับ
00:45:29 → 00:45:34 ฟังใจเย็นไม่ตัดสินเอมันก็เป็นการคุยเปิด
00:45:34 → 00:45:37 ใจกันะคุณภาพความสัมพันธ์ก็ดีๆขึ้นพวก
00:45:37 → 00:45:41 ครอบครัวแล้วถ้าจะเป็นของพ่อแม่มันก็จะมี
00:45:41 → 00:45:45 เ่อคล้ายๆเทคนิคการดูแลลูกที่ถูกต้อง
00:45:45 → 00:45:51 เลี้ยงลูกให้ IQ EQ ดีให้มีวินัยโอเคมี
00:45:51 → 00:45:55 หนังสือบอกอยู่นะฮะแล้วก็ถ้าเป็นแง่ของ
00:45:55 → 00:45:59 ครอบครัวเป็นสังคมเนาะสังคมเนี่ยคงเป็น
00:45:59 → 00:46:01 ถ้าเป็นถ้าเป็นตั้งแต่โรงเรียนเลยแล้วกัน
00:46:01 → 00:46:03 โรงเรียนคงต้องมี
00:46:03 → 00:46:07 อ่าวิชาที่มันเกี่ยวกับเรื่อง mental
00:46:07 → 00:46:10 Health ไม่ก็คือสุขภาพจิตสุขภาพจิตว่า
00:46:10 → 00:46:12 การดูแลสุขภาพจิตเราทำยังไงคนก็สอนตั้ง
00:46:12 → 00:46:15 แต่เด็กว่าเราจัดการอะไรยังไงควรมีอยู่ใน
00:46:15 → 00:46:18 หลักสูตรใช่มั้ยควรมีฮะอือตอนเด็กมีแต่
00:46:18 → 00:46:23 วิชาสุขศึกษามอืครับอะไรก็ไม่รู้นะฮะแล้ว
00:46:23 → 00:46:28 ก็เอ่อถ้าเป็นแง่นะพวกนโยบายก็คงเป็น
00:46:28 → 00:46:31 เหมือนหลายๆเรื่องเรื่องผมว่าคงเป็นให้
00:46:31 → 00:46:36 ความสำคัญมากขึ้นกับปัญหาสุขภาพจิตอืถ้า
00:46:36 → 00:46:38 ดีที่สุดเลยคือการ prevention PR การ
00:46:38 → 00:46:41 ป้องกันอือการป้องกันสามารถทำได้ในคนคน
00:46:41 → 00:46:44 ทุกคนเลยไม่ต้องเป็นหดไข้ก็ตามการป้องกัน
00:46:44 → 00:46:47 เนี่ยลงทุนไปผมว่าคุ้มที่สุดเพราะว่ามัน
00:46:47 → 00:46:51 ได้จำนวนประชากรเยอะมากเทียบกับการรักษา
00:46:51 → 00:46:53 ที่เราแบบบางทีเริ่มมารักษาตอนที่เขาป่วย
00:46:53 → 00:46:56 แล้วมันก็ได้แค่เป็นคนคนๆไปอการป้องกัน
00:46:57 → 00:47:00 สำคัญในแง่ชงนโยบายผมคิด
00:47:00 → 00:47:03 ว่าไอ้พวกกุมสุขภาพิทผมว่าเค้าคิดไปแล้ว
00:47:03 → 00:47:06 แหละเคิดมาดีละอืมาค่อนข้างก็ค่อนข้าง
00:47:06 → 00:47:08 เห็นด้วยกับกับเขาอ่ะเดี๋ยวยกเว้นเรื่อง
00:47:08 → 00:47:11 เรื่องกัญชาแต่อันนี้เป็นเป็นแง่
00:47:11 → 00:47:15 สาธารณสุขมากกว่าครับใช่ฮะประมาณเวันนี้
00:47:15 → 00:47:20 เป็นเป็นพคที่ผมผมชอบเลยนะผมขอบคุณคุณหมอ
00:47:20 → 00:47:24 เปรมที่มาเตือนเรื่องอันดับแรกเลยคือการ
00:47:24 → 00:47:27 รู้จักตนเองแล้วก็ให้เวลากับตนเองผมว่า
00:47:27 → 00:47:30 เป็นอะไรที่เราทุกคนอาจจะต้องเก็บไปคิดนะ
00:47:30 → 00:47:33 ครับอันนี้ฝากเตือนนะครับแม้กระทั่งตัวผม
00:47:33 → 00:47:37 เองนะครับอาจจะเพิ่มเวลาการให้เวลาเพิ่ม
00:47:37 → 00:47:40 เวลาในชีวิตในการให้เวลากับตนเองโดยการ
00:47:40 → 00:47:44 หลีกเลี่ยงสารที่กระตุ้นสื่อในสมองเบรค
00:47:44 → 00:47:49 ให้ให้เรารู้จักตนเองมากขึ้นแล้วก็ฝึกไม่
00:47:49 → 00:47:53 ใช่ฝึกหยุดคิดแต่ฝึกให้เวลากับกระบวนการ
00:47:53 → 00:47:56 การคิดของเราจัดระเบียบให้มันมองงนี้ดี
00:47:56 → 00:47:59 กว่าที่มองหมอเปรมพยายามจะบอกเราแล้วก็
00:47:59 → 00:48:03 ปัญหาแพนิคที่เป็นปัญหาที่เจอมากขึ้น
00:48:03 → 00:48:06 เรื่อยๆในคนแม้กระทั่งคนที่ประสบความ
00:48:06 → 00:48:09 สำเร็จในชีวิตคนที่มีทุกอย่างมันเกิดได้
00:48:09 → 00:48:14 อย่างไรนะครับอันนี้ลองลองเก็บไปคิดทบทวน
00:48:14 → 00:48:18 ตนเองแต่ทุกอย่างมันกลับมาที่การที่เรามี
00:48:18 → 00:48:22 ความสุขในชีวิตย้อนลงไปอีกนิดนึงคือการ
00:48:22 → 00:48:25 ที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีที่หมอเปรมบอก
00:48:25 → 00:48:28 ว่าลองเขียนชื่อมาใช่ครับว่าสมมุติเรา
00:48:28 → 00:48:32 เกิดเหตุฉุกเฉินเราจะโทรหาใครได้ถ้าลิสต์
00:48:32 → 00:48:36 นั้นคุณมีคนแล้วก็ถือว่าคุณโชคดีแต่ถ้า
00:48:36 → 00:48:40 ยังไม่มีคนคุณอาจจะต้องทบทวนนิดนึงว่าตรง
00:48:40 → 00:48:43 ไหนที่คุณจะไปปรับนะฮะตั้งหลักใหม่แต่ถ้า
00:48:43 → 00:48:47 คุณมีมากก็ถือว่าคุณโชคดีมากๆนะครับ
00:48:47 → 00:48:50 ขอบคุณหมอปรีมจริงๆนะครับที่สละเวลามานะ
00:48:50 → 00:48:53 ครับเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยนะครับแลหวัง
00:48:53 → 00:48:56 ว่าเราจะได้เจอกันใหม่ในตอนหน้าๆนะครับผม
00:48:56 → 00:49:00 หมอวินัยนะครับเวทีหมอชวนคุยกับปัญหา
00:49:00 → 00:49:05 สังคมแลกเปลี่ยนกับคนที่เก่งในสาขานั้นนะ
00:49:05 → 00:49:10 มีความรู้ในภาษาบ้านๆให้กับคนรากหญ้าแขก
00:49:10 → 00:49:13 รับเชิญคนต่อไปจะเป็นใครรอติดตามวันนี้ผม
00:49:13 → 00:49:16 กับหมอเปรมลาแล้วครับสวัสดีครับสวัดีครับ
00:49:16 → 00:49:19 หมอเปรม
00:49:19 → 00:49:25 [เพลง]