00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:07 Voice บางทีการรู้จักตัวเองมันสำคัญ
00:00:08 → 00:00:10 เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดทิศทางว่าชีวิตที่
00:00:10 → 00:00:12 เราจะไปอ่ะไปทางไหนสิ่งที่มักจะทำให้คน
00:00:12 → 00:00:14 ไม่ค่อยได้คุยกับตัวเองผมว่ามันเกิดขึ้น
00:00:15 → 00:00:18 จากการอยู่ในสังคมที่มีความต้องการของคน
00:00:18 → 00:00:20 อื่นอยู่รอบตัวเต็มไปหมดเลยจนกระทั่งเรา
00:00:20 → 00:00:22 อาจจะไม่ทันได้เห็นว่าจริงๆแล้วมันเป็น
00:00:22 → 00:00:24 แค่ความแตกต่างมันไม่ใช่เรื่องผิดพอเรา
00:00:24 → 00:00:26 เฟรมไปตามเนี้ยครับมันก็เลยใช้ชีวิตแบบ
00:00:26 → 00:00:29 ไม่รู้จักตัวเองมันรู้แค่ว่าเราทำสิ่งที่
00:00:29 → 00:00:32 สอดคล้องตามสังคมได้บางทีมันกลายเป็นว่า
00:00:32 → 00:00:34 เป้าหมายครับแค่เราปฏิบัติชีวิตแบบสอด
00:00:34 → 00:00:36 คล้องกับสังคมได้ฉันรู้สึกว่าสำเร็จแล้ว
00:00:36 → 00:00:38 ตัวเราจะยังพูดได้มนะว่าสิ่งเยเราทำให้
00:00:38 → 00:00:40 ตัวเองรู้สึกสำเร็จจริงโดยที่ไม่ต้องอ้าง
00:00:40 → 00:00:42 อิงกับใครเพราะหลายๆคนไม่ค่อยมีโอกาสได้
00:00:42 → 00:00:46 ถามความต้องการที่ต้องการของตัวเองโดยแท้
00:00:46 → 00:00:50 จริงฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:50 → 00:00:54 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:54 → 00:00:56 ค่ะ is tha PBS
00:00:56 → 00:01:00 podcast สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังคะวันนี้เรา
00:01:00 → 00:01:03 มาพูดคุยกันถึงเรื่องของการลองคุยกับตัว
00:01:03 → 00:01:07 เองดูบ้างค่ะการคุยกับตัวเองเนี่ยก็อาจจะ
00:01:07 → 00:01:12 คุยในแง่ที่เราได้เหมือนมองในกระจกแล้วก็
00:01:12 → 00:01:14 คุยอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับตัวเองหรืออยาก
00:01:14 → 00:01:16 จะบ่นอยากจะพูดอยากจะอะไรหรือเปล่านะคะ
00:01:16 → 00:01:19 คุยกับตัวเองนี่ต้องคุยยังไงนะเผื่อที่จะ
00:01:19 → 00:01:21 ให้คุณผู้ฟังได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย
00:01:21 → 00:01:24 นะคะหรือว่ามีอะไรที่เราจะได้ปรับปรุง
00:01:24 → 00:01:26 เปลี่ยนแปลงด้วยตัวเราเองได้บ้างนะคะ
00:01:26 → 00:01:29 เดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงษ์ทาสวัสดิ์ณ
00:01:29 → 00:01:31 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิครับ
00:01:31 → 00:01:33 สวัสดีครับคุณบีสวัสดีครับคุณผู้ฟังใส่
00:01:33 → 00:01:38 จังหวะคำว่าเอนอีกแล้วสทุกทีเลยอ่ะวันนี้
00:01:38 → 00:01:42 อยากจะให้มาลองคุยกับตัวเองดูบ้างนะคะว่า
00:01:42 → 00:01:45 การคุยกับตัวเองเนี่ยมันมีผลดียังไงเพราะ
00:01:45 → 00:01:48 ว่าส่วนใหญ่เราก็มักจะไปคุยกับคนอื่นอือๆ
00:01:48 → 00:01:51 ๆเนาะเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟังบ้าง
00:01:51 → 00:01:57 เอ่อหรือแบบไม่ค่อยมีเวลาได้ทบทวนหรือถาม
00:01:57 → 00:02:00 อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยว่าอที่ผ่านมามัน
00:02:00 → 00:02:04 โอเคมยอืเราอาจจะคล่อยตามไปกับสิ่งที่มัน
00:02:04 → 00:02:07 เกิดขึ้นรอบๆตัวเราเออออห่อโหม่งทั้งที่
00:02:07 → 00:02:10 จริงๆใจเราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะ
00:02:10 → 00:02:12 คล้อยตามเลยแต่ก็เพื่อความอยู่รอดในสังคม
00:02:13 → 00:02:15 หรืออะไรก็แล้วแต่หรือการกลับมาพูดคุยกับ
00:02:15 → 00:02:18 ตัวเองว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเนี่ยมัน
00:02:18 → 00:02:20 มีอะไรดีหรือไม่ดียังไงการคุยกับตัวเอง
00:02:20 → 00:02:22 สำคัญมากน้อยแค่ไหนยังไงมั้ยออ่าสำคัญ
00:02:23 → 00:02:25 ครับจริงๆผมก็ทำกับตัวเองบ่อยเหมือนกันนะ
00:02:25 → 00:02:27 ทุกเช้าเลยอ๋อเหรอใช่ครับผมก็จะแบบ
00:02:27 → 00:02:30 ระหว่างแต่งตัวผมยืนหน้ากระจกออฮแล้วก็
00:02:30 → 00:02:32 บอกว่าวันนี้เราหล่อเหมือนกันนะเนี่ยพูด
00:02:32 → 00:02:35 เล่นนะวันนี้คนละเรื่องแล้วออหรอๆๆครับ
00:02:35 → 00:02:38 หยอกๆหยอกๆนะครับเอาอย่างงี้ที่เราคุยกัน
00:02:38 → 00:02:40 ในวันนี้ครับเหมือนที่พี่รีพูดเลยครับว่า
00:02:40 → 00:02:43 เอ่อบางทีการรู้จักตัวเองมันสำคัญเพราะ
00:02:43 → 00:02:45 มันจะเป็นตัวกำหนดทิศทางว่าชีวิตที่เราจะ
00:02:45 → 00:02:49 ไปอ่ะไปทางไหนอืแต่ทีเนี้ยครับเอ่อสิ่ง
00:02:49 → 00:02:52 ที่มักจะทำให้คนไม่ค่อยได้คุยกับตัวเองผม
00:02:52 → 00:02:54 ว่ามันเกิดขึ้นจากการที่อย่างแรก่ะครับ
00:02:55 → 00:02:58 เราอยู่ในสังคมที่มีความต้องการของคนอื่น
00:02:58 → 00:03:01 อยู่รอบตัวเต็มไปหมดเลยมีคำชี้แนะมีความ
00:03:01 → 00:03:04 เห็นมีวิธีการมีวิถีประเพณีปฏิบัติขนบ
00:03:04 → 00:03:07 ธรรมเนียมจะใช้คำอะไรก็แล้วแต่ที่เขา
00:03:07 → 00:03:10 ปฏิบัติกันมาทีเนี้ยพอตัวเราเป็นหนึ่งคน
00:03:10 → 00:03:12 ที่อยู่ในกระแสนั้นนะครับบางครั้งเราจะ
00:03:12 → 00:03:14 ได้ยินเสียงที่อยู่ข้างนอกที่เป็นความ
00:03:14 → 00:03:17 ต้องการน่ะเยอะมากเลยค่ะอ่ะลองนึกภาพง่าย
00:03:17 → 00:03:21 ๆเช่นสมมุติเอ่อตอนสมัยผมจบม 6 คำที่มัน
00:03:21 → 00:03:24 ชัดมากๆคือต้องสอบ Entrance อ๋อชัดมั้ย
00:03:24 → 00:03:27 ชัดกิกชดสมมุติถ้าเราเรียนสายสามัญเราไม่
00:03:27 → 00:03:30 ได้เรียนสายแบบอาชีพเพราะสายอาชีพอาจจะ
00:03:30 → 00:03:32 ไม่ Entrance อาชีพอาจจะไปอีกทางนึงแต่พอ
00:03:32 → 00:03:34 เราเรียนสายสามัญปั๊บคำว่า Entrance ทุก
00:03:34 → 00:03:36 คนเรียนจบต้อง Entrance เนี่ยต้องสอบ
00:03:36 → 00:03:38 เดี๋ยวนี้มันเป็น GAT PAT o-net เนต
00:03:38 → 00:03:40 แล้วแต่ผมก็ไม่รู้จะเรียกอะไระอ่าฮะมัน
00:03:40 → 00:03:42 เป็นคำที่ชัดมากค่ะมันเลยกลายเป็นว่าแม้
00:03:42 → 00:03:45 กระทั่งเราต้องการจะสอบสิ่งนี้จริงมั้ย
00:03:45 → 00:03:48 เรายังไม่รู้เลยครับแต่รู้แค่ว่าทุกคนทำ
00:03:48 → 00:03:51 อ่าใช่ๆหรือแม้กระทั่งพอเรียนจบปั๊บต้อง
00:03:51 → 00:03:55 มีงานเลยนะอ่าหรือักพระพออายุมากขึ้นแต่ง
00:03:55 → 00:04:00 งานปั๊บมีลูกเอ๊ะมีบ้านมีรถหรือยังบางที
00:04:00 → 00:04:02 สิงพวกเนี้ยคือเสียงที่เราเป็นเสียงที่
00:04:02 → 00:04:05 ไม่ได้ยินหรอกไม่ได้หูแว่วนะแต่หมายถึง
00:04:05 → 00:04:07 ว่าเรารับรู้ว่ามันมีความต้องการแบบนี้
00:04:07 → 00:04:10 หรือมีขนบแบบเนี้ยอยู่ในสังคมค่ะแล้วพอ
00:04:10 → 00:04:13 เราได้ยินเสียงพวกนี้หรือว่ารับรู้ Data
00:04:13 → 00:04:16 พวกเบ่อยๆเราก็จะมาเฟรมว่างั้นถ้าเราอยาก
00:04:16 → 00:04:20 จะเป็นคนที่สอดคล้องกับสังคมเราคงต้องทำ
00:04:20 → 00:04:23 สิ่งพวกเนี้ยไปด้วยอืเราอยากจะสอดคล้อง
00:04:23 → 00:04:25 จากสังคมเราไม่อยากรู้สึกแปลกแยกจากสังคม
00:04:25 → 00:04:27 ค่ะจริงๆแล้วความรู้สึกไม่อยากแปลกแยก
00:04:27 → 00:04:30 เนี่ยครับมันอาจจะไล่มาตั้งแต่สมัยที่เรา
00:04:30 → 00:04:33 เกิดเด็กๆก็ได้เราไม่อยากรู้สึกเอ่อถูก
00:04:33 → 00:04:36 ทอดทิ้งจากครอบครัวทีนี้พอหลังจากเอ่อ
00:04:36 → 00:04:39 ผ่านครอบครัวมาปั๊บพอเราเริ่มเข้าโรง
00:04:39 → 00:04:41 เรียนเราเริ่มสนใจเพื่อนมากกว่าะเราไม่
00:04:41 → 00:04:45 อยากแปลกแยกแตกต่างจากเพื่อนอืการที่เรา
00:04:45 → 00:04:47 ใส่ชุดพลระมาโรงเรียนคนเดียวในขณะที่ทุก
00:04:47 → 00:04:51 คนใส่เสื้อขาวใเรารู้สึกไงครับะเราคือตัว
00:04:51 → 00:04:55 ประหลาดเออใช่ผมผมว่าเด็กๆหลายๆคนถ้าหรือ
00:04:55 → 00:04:57 พวกเราเนี่ยอายุมากๆเนี่ยย้อนกลับไปนึก
00:04:57 → 00:05:00 อ่ะครับสมัยสมัยที่แบบเราทำอะไรสักอย่าง
00:05:00 → 00:05:02 คนเดียวเด่นๆโดดๆค่ะอยู่ในโรงเรียนแล้ว
00:05:03 → 00:05:05 มันดูเปิ่นน่ะเขื่นมากเราแทบจะแบบไม่รู้
00:05:05 → 00:05:08 จะใช้ชีวิตยังไงวันนั้นน่ะใช่คือโดนล้อ
00:05:08 → 00:05:11 เลยแหละแล้วก็รู้สึกว่าแบบว่าฉันต้องให้
00:05:11 → 00:05:13 คนที่บ้านเอาชุดมาให้ฉันเปลี่ยนอือๆๆ
00:05:13 → 00:05:15 ประมาณนี้เลยใช่ค่ะเพราะฉะนั้นสังคมไทย
00:05:15 → 00:05:18 เนี่ยบางทีมันมีเจอร์ของการที่แบบวิ่งตาม
00:05:18 → 00:05:21 กระแสวิ่งตามกรอบสังคมเยอะจนกระทั่งเรา
00:05:21 → 00:05:23 อาจจะไม่ทันได้เห็นว่าจริงๆแล้วมันเป็น
00:05:23 → 00:05:26 แค่ความแตกต่างมันไม่ได้ใช่เรื่องผิดค่ะ
00:05:26 → 00:05:29 อ่าพอเราเฟรมไปตามเนี้ยครับมันก็เลยใช้
00:05:29 → 00:05:31 ชีวิตแบบไม่รู้จักตัวเองอ่ะอืมันรู้แค่
00:05:31 → 00:05:34 ว่าเราทำสิ่งที่สอดคล้องตามสังคมได้บางที
00:05:34 → 00:05:37 มันกลายเป็นว่าเป้าหมายอ่ะครับแค่เรา
00:05:37 → 00:05:39 ปฏิบัติชีวิตแบบสอดคล้องกับสังคมได้ฉัน
00:05:39 → 00:05:41 รู้สึกว่าสำเร็จะค่ะมันกลายเป็นเหมือนที่
00:05:41 → 00:05:45 บอกอ่ะถ้าคนสอบเทติดถือว่าสำเร็จอือืหรือ
00:05:45 → 00:05:47 หรือพ่อแม่อยากให้เข้าคณะอสมมุติอยากให้
00:05:48 → 00:05:50 เป็นครูฉันสอบเข้าครูได้ฉันสำเร็จตามที่
00:05:50 → 00:05:53 พ่อแม่อยากให้เป็นเออแต่คำถามคือสำเร็จ
00:05:53 → 00:05:56 พ่อแม่แล้วสำเร็จเราหรือเปล่าอ่ะเราอาจจะ
00:05:56 → 00:05:58 สำเร็จในมุมที่ว่าเฮ้ยฉันทำให้พ่อแม่ถูก
00:05:58 → 00:06:02 ใจค่ะแต่พอสมมุติตัดพ่อแม่ทิ้งเหลือแค่
00:06:02 → 00:06:05 ตัวเราอ่ะครับตัวเราจะยังพูดได้มนะว่า
00:06:05 → 00:06:07 สิ่งเนี้ยเราทำให้ตัวเองแล้วทำให้ตัวเอง
00:06:07 → 00:06:10 รู้สึกสำเร็จจริงๆอืโดยที่ไม่ต้องอ้างอิง
00:06:10 → 00:06:13 กับใครค่ะตรงนี้คือปัญหาเพราะหลายๆคนไม่
00:06:13 → 00:06:15 ค่อยมีโอกาสได้ถามความต้องการที่ที่
00:06:15 → 00:06:17 ต้องการของตัวเองโดยแท้จริงมันเลยเป็นการ
00:06:17 → 00:06:21 ใช้ชีวิตตามคนอื่นตามขนบตามสังคมตามกระแส
00:06:21 → 00:06:23 ที่เป็นอยู่อืเพราะฉะนั้นการที่เราจะมา
00:06:23 → 00:06:26 เริ่มคุยกกับตัวเองอ่ะมันก็ไม่ใช่เรื่อง
00:06:26 → 00:06:29 แปลกอะไรถึงแม้ว่าโอเคที่ผ่านมาแล้วระยะ
00:06:29 → 00:06:31 เวลา 20 30 ปีแล้วแต่การใช้ชีวิตกันมา
00:06:32 → 00:06:35 กี่ 10 ปีก็แล้วแต่เนี่ยเราจะทำเพื่อตาม
00:06:35 → 00:06:38 กระแสสังคมหรือมันเป็นเรื่องที่สังคมเป็น
00:06:38 → 00:06:40 แบบเนี้ยฉันก็เลยต้องทำตามขนบธรรมเนียม
00:06:40 → 00:06:44 ประเพณีลักษณะแบบนี้อ่ะแต่ว่าโอเคยุสมัย
00:06:44 → 00:06:45 เปลี่ยนไปอาจจะมีเด็กรุ่นใหม่ที่เา้ามี
00:06:45 → 00:06:48 แนวคิดที่จะมาได้เหมือนกันแต่ว่าไม่ว่าคน
00:06:48 → 00:06:51 จะอยู่ในเจนไหนการคุยกับตัวเองก็ยังเป็น
00:06:51 → 00:06:53 เรื่องที่ต้องสำคคุยอยู่ใช่ครับเพราะว่า
00:06:53 → 00:06:56 สุดท้ายจริงๆแล้วมนุษย์มนุษย์ที่ทำทุก
00:06:56 → 00:06:58 อย่างอ่ะครับโดยปลายทางอ่ะก็อยากพอใจกับ
00:06:58 → 00:07:00 ชีวิตหรือว่าหรือว่าทำสิ่งนั้นแล้วได้
00:07:00 → 00:07:03 ความพอใจค่ะแต่แค่ว่ามันเป็นพอใจกับตัว
00:07:03 → 00:07:06 เองจริงๆหรือแค่ทำให้คนอื่นพอใจก่อนแล้ว
00:07:06 → 00:07:09 เราค่อยพอใจอือันเนี้ยจะเป็นคนละเรื่อง
00:07:09 → 00:07:12 กันอือฮึครับทีนี้ทีนี้มันจะมีเหมือนกัน
00:07:12 → 00:07:15 นะคนที่บังเอิญว่าทำทุกอย่างตามแบบที่
00:07:15 → 00:07:18 สังคมเขาเป็นกันแล้วแบบเอ๊ะฉันก็ได้ผล
00:07:18 → 00:07:20 ลัพธ์ที่ดีมาตลอดนี่นาอ่าอันนี้ก็ถือว่า
00:07:20 → 00:07:23 เป็นทางเดียวกันไม่ใช่ปัญหาแต่มันจะมีคน
00:07:23 → 00:07:25 แค่เหมือนกับไปได้ไปได้แต่มันกลับมีคำถาม
00:07:25 → 00:07:28 ในใจว่าทำไมฉันไม่เห็นมีความสุขเลยอ่ะออ
00:07:28 → 00:07:31 ต่อต่อให้ทำแบบที่พ่อแม่บอกต่อให้ทำ
00:07:31 → 00:07:35 เหมือนเพื่อนต่อให้สามารถสร้างภาพลักษณ์
00:07:35 → 00:07:36 บางอย่างให้เหมือนคนที่บอกว่านี่คือคนที่
00:07:36 → 00:07:39 สำเร็จในสังคมแต่ทำไมนะฉันกลับรู้สึก
00:07:39 → 00:07:41 เหนื่อยฉันกลับรู้สึกไม่มีความสุขรู้สึก
00:07:42 → 00:07:44 ไม่ชอบตัวเองรู้สึกเบิรน Out กับชีวิตที่
00:07:44 → 00:07:46 เป็นอยู่จังอือเพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็น
00:07:46 → 00:07:49 ตัววัดว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันมาถูกทาง
00:07:49 → 00:07:53 หรือผิดทางถ้าถ้าถูกทางสมมุติเกิดอ่ะ
00:07:53 → 00:07:56 สมมุติสอบผมสอบเทาผมมีบ้านผมแต่งงานทุก
00:07:56 → 00:07:58 อย่างแล้วเกิดแฮปปี้อ่ะแสดงว่าสิ่งเนี้ย
00:07:58 → 00:08:01 สอดคล้องกันถือว่าเป็นคนในวิถีเดียวกัน
00:08:01 → 00:08:03 ค่ะแต่คนที่ทุกข์มักจะเกิดขึ้นจากคนที่
00:08:03 → 00:08:05 จริงๆแล้วพื้นฐานเขาอ่ะไม่ใช่วิถีเดียว
00:08:05 → 00:08:08 กับสังคมที่กำลังเป็นไปแต่เขาดันเลือกที่
00:08:08 → 00:08:11 จะบีบให้ตัวเองล้อไปตามวิถีอื่นที่ไม่ใช่
00:08:11 → 00:08:13 ตัวเขาอืเพราะฉะนั้นมันจะเกิดความขัดแย้ง
00:08:14 → 00:08:16 หรือเกิดแรงต้านในใจลึกๆอยู่แล้วเออแต่
00:08:16 → 00:08:19 บางทีถ้าแรงต้านไม่มากพอเราอาจจะเลือกที่
00:08:19 → 00:08:21 จะเฮ้ยก็เป็นแค่ความรู้สึกช่างมันเถอะ
00:08:21 → 00:08:26 ผ่านๆไปอเราทำๆไปอาฮะอ่าอาจจะกดๆปัดๆไว้
00:08:26 → 00:08:28 ทำเป็นไม่รับรู้ค่ะแต่พอมันสะสมนานขึ้น
00:08:28 → 00:08:31 มากขึ้นมันจะเริ่มเกิดเป็นความทรมานและจะ
00:08:31 → 00:08:33 เริ่มเกิดเป็นความรู้สึกไม่ชอบชีวิตความ
00:08:33 → 00:08:36 รู้สึกอยากจะหนีอยากจะหลบหรือบางทีแบบ
00:08:36 → 00:08:40 เห็นรถผ่านมาถ้ารถมันชนเราก็ดีอ๋อเออที
00:08:40 → 00:08:42 นี้มันขึ้นอยู่กับความเข้มว่าว่าสิ่งที่
00:08:42 → 00:08:44 เราสูญเสียความเป็นตัวเองเนี่ยครับมัน
00:08:44 → 00:08:47 สะสมไว้นานและหนักแค่ไหนอือถ้ายิ่งนาน
00:08:47 → 00:08:49 ยิ่งหนักมากอ่ะครับความคิดที่อยากจะแบบ
00:08:49 → 00:08:53 หายไปความคิดที่อยากจะแบบหายๆไปก็ดีมันจะ
00:08:53 → 00:08:55 โผล่ขึ้นมาเพราะมันเข้มมันเข้มมากๆะคือ
00:08:55 → 00:08:57 อยากให้มันจบไปักสอยากให้มันจบไปไม่อยาก
00:08:57 → 00:09:00 รับรู้เหนื่อยจังเลยอืไม่เป็นตัวเองเลย
00:09:00 → 00:09:03 อย่าเงี้ยครับพวกนี้มันจะเกิดขึ้นคเออ
00:09:03 → 00:09:05 เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยได้
00:09:05 → 00:09:07 มีโอกาสได้คุยกับตัวเองเพราะว่าเราไม่เคย
00:09:07 → 00:09:09 ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลยเอาจริงๆนะ
00:09:09 → 00:09:10 เราไม่รู้ว่าเราต้องคุยกับตัวเองด้วยซ้ำ
00:09:11 → 00:09:14 ไปถามความรู้สึกถามใจตัวเองว่าที่ผ่านมา
00:09:14 → 00:09:18 มันใช่หรือไม่ใช่อย่างไรแล้วถ้าเกิดถามไป
00:09:18 → 00:09:20 แล้วเนี่ยมีคำตอบว่าไม่ใช่ขึ้นมาแล้วยัง
00:09:20 → 00:09:22 ไงต่อฉันต้องเดินไปยังไงต่อคือเราไม่ได้
00:09:22 → 00:09:25 มีชุดข้อมูลความรู้ในการที่จะอ้าเราต้อง
00:09:25 → 00:09:28 มานั่งถามตัวเองด้วยนะทุกคนแล้วก็ได้คำ
00:09:28 → 00:09:31 ตอบยังไงมีทางเดิน 1 2 3 4 แล้วไป
00:09:31 → 00:09:33 อย่างงี้อย่างงี้อย่างงี้มันไม่ได้มีสูตร
00:09:33 → 00:09:35 ตายตัวสำเร็จรูปสำหรับใครเลยด้วย้ำไปอ
00:09:35 → 00:09:37 ครับใช่เพราะบางทีสังคมที่เราอยู่อ่ะจะ
00:09:37 → 00:09:39 เป็นสังคมที่เคยชินกับการทำอะไรให้เหมือน
00:09:39 → 00:09:42 ๆกันค่ะแต่ไม่ใช่สังคมที่ทำให้ทุกคนเห็น
00:09:43 → 00:09:45 ว่าทุกคนมีความแตกต่างและเราอยู่ร่วมกัน
00:09:45 → 00:09:48 บนความแตกต่างนั้นอือืสังคมสังคมของเราจะ
00:09:48 → 00:09:51 ค่อนข้างชี้ไปทางว่าอยากให้คิดเหมือนกัน
00:09:51 → 00:09:53 และใครก็ตามที่คิดแตกต่างก็จะแบบกลายเป็น
00:09:53 → 00:09:56 คนประหลาดละค่ะมาเผลอๆอาจจะมาตั้งแต่สมัย
00:09:56 → 00:09:58 เราทำข้อสอบก็ได้นะที่เป็นข้อสอบปรนัยค่ะ
00:09:58 → 00:10:03 เป็นช้อยอ่ะกขคงข้อที่ถูกจะมีข้อเดียวใช่
00:10:03 → 00:10:05 ผมผมได้ฟังจากลูกค้าหลายๆท่านเพูดเหมือน
00:10:05 → 00:10:08 กันว่าเ้าเป็นคนที่ไม่ขาวก็ดำอย่างใด
00:10:08 → 00:10:11 อย่างหนึ่งไปเลยไม่มีตรงกลางเเลยไม่มีต
00:10:11 → 00:10:13 กลางใช่บางครั้งมันมาจากการที่แบบมาจาก
00:10:13 → 00:10:15 ไอ้พวกข้อสอบปนัก็มีผลนะจากการที่เราถูก
00:10:15 → 00:10:19 เฟรมถูกเฟรมมาทั้งชีวิตอ่ะว่ามันจะมีถูก
00:10:19 → 00:10:22 แค่ข้อเดียวอืเออพอคิดว่ามีถูกข้อเดียว
00:10:22 → 00:10:25 ปั๊บข้ออื่นมันผิดไปเลยอ่ะครับแต่เราไม่
00:10:25 → 00:10:27 ได้ต้อนรับว่าไอ้ข้ออื่นมันก็เป็นคำตอบ
00:10:27 → 00:10:29 ได้อีกแบบเหมือนกันอาจจะเป็นอาจจะเป็นคำ
00:10:29 → 00:10:32 ตอบได้ใช่ครับทีนี้อีกอย่างนึงลูกค้าผมจะ
00:10:32 → 00:10:35 เจอประจำคือเค้าเข้าไปอยู่ในกระแสของการ
00:10:35 → 00:10:39 ทำงานที่ที่ค่อนข้างหนักแล้วไม่ค่อยมี
00:10:39 → 00:10:42 เวลาได้หยุดคุยกับตัวเองเพราะถ้าหยุดคุย
00:10:42 → 00:10:45 กับตัวเองจะทำงานไม่ทันอ๋อมันจะคุยกับตัว
00:10:45 → 00:10:49 เองนานใช่เช่นเๆงานเช่นงานสายแบบพวกสื่อ
00:10:49 → 00:10:52 พวกเอเจนซี่พวก Marketing พวกการตลาดพวก
00:10:52 → 00:10:55 ดิจิตอลที่ที่แบบโอ้โหแล้วมีลูกค้าแห่
00:10:55 → 00:10:57 เข้ามาแบบป้อนงานเรื่อยๆแล้วเป็นบริษัท
00:10:57 → 00:10:59 เชิงเอกชนที่ไม่สามารถ
00:10:59 → 00:11:02 หยุดทำได้เพราะถ้าหยุดทำคือการเสียลูกค้า
00:11:02 → 00:11:05 โอ้โหพอเสียลูกค้าปั๊บมีคู่แข่งบริษัทอาจ
00:11:05 → 00:11:09 จะเกิดผลกระทบอาจจะมีผลกระทบต่อยอดขายยอด
00:11:09 → 00:11:11 กำไรและอาจจะหมายถึงการลดพนักงานมันมี
00:11:11 → 00:11:14 ความน่ากลัวอย่างนี้เกิดขึ้นในบริษัทโอกด
00:11:14 → 00:11:18 มากเพราะฉะนั้นพนักงานและนายและเจ้าของก็
00:11:18 → 00:11:21 เลยบี้ให้เรารับงานใครก็ตามที่เป็นลูกค้า
00:11:21 → 00:11:24 เสนองานมาต้องรับไว้ทั้งหมดอืทีนี้
00:11:24 → 00:11:26 capacity หรือกำลังคนน่ะไหวหรือเปล่าที่
00:11:26 → 00:11:30 จะรับงานทั้งหมดอาจจะไม่ไหวแล้วก็มาขาย
00:11:30 → 00:11:35 วิญญาณเอาค่ะเค้นเค้นพลังวิญญาณเอาเพราะ
00:11:35 → 00:11:37 งั้นผมจะเจอคำพูดจากลูกค้าหลายๆท่านพูด
00:11:37 → 00:11:41 ว่า Deadline ชน Dead อ่ะพี่เออ Dead นี้
00:11:41 → 00:11:44 ไม่พอเนาะอีก 2 วันมีอีก Deadline นึงค่ะ
00:11:44 → 00:11:46 อีก 3 วันมีอีก Dead ลนนึงเข้าใจสิ่งนี้
00:11:46 → 00:11:50 แล้วถ้าไม่ทำก็คือไม่ทันอืแล้วการไม่ทัน
00:11:50 → 00:11:53 อาจจะหมายถึงการโดนด่าหรือการถูกปรับค่ะ
00:11:53 → 00:11:55 อะไรอย่าเงี้ยครับมันมีความเสียหายเกิด
00:11:55 → 00:11:57 ขึ้นแน่นอนใช่เพราะฉะนั้นการมานั่งถามตัว
00:11:57 → 00:11:59 เองว่าฉันยังมีความสุขมยนะจะไม่อยู่ใน
00:11:59 → 00:12:01 ประเด็นให้ต้องคิดเพราะถ้าคิดเรื่องนี้
00:12:01 → 00:12:04 ปั๊บมันคิดงานไม่ทันมันไม่มีเวลาให้มาคิด
00:12:04 → 00:12:06 ด้วยไม่มีเวลาใช่ครับมีหลายคนเหมือนกัน
00:12:06 → 00:12:09 ที่ผมถามที่ผมคุยกับเขาแล้วผมบอกว่าเฮ้ย
00:12:09 → 00:12:10 เหมือนเราแบบไม่ค่อยมีเวลาได้ถามตัวเองนะ
00:12:10 → 00:12:13 ว่าชีวิตต้องการอะไรค่ะแต่คือผมนั่งฟัง
00:12:13 → 00:12:16 ชีวิตเค้าอ่ะผมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาดีไซน
00:12:16 → 00:12:17 ออกมาหรือที่เขาเป็นอยู่อ่ะทุกอย่างมันทำ
00:12:18 → 00:12:20 ให้เขาคทุกข์หมดเลยอ่ะเ้าไม่ไม่มีเวลาให้
00:12:20 → 00:12:23 ครอบครัวไม่ได้ออกกำลังกายตัวเขาเป็นภูมิ
00:12:23 → 00:12:26 แพ้ตัวเขาไม่ได้เที่ยวกับเพื่อนเอ่อแฟนก็
00:12:26 → 00:12:29 ไม่มีเวลาให้แล้วก็โดนลูกค้ากดขี่แล้วงาน
00:12:29 → 00:12:32 ก็ไปเรื่อยๆไม่มีจุดจบอืได้เงินมาแต่ก็ไป
00:12:32 → 00:12:34 จ่ายหมอหมดอย่างเงี้ยครับค่ะคือฟังแล้ว
00:12:34 → 00:12:36 ไลฟ์สไตล์ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการแต่เฮ้ย
00:12:36 → 00:12:39 ทำไมนะเถึงไม่เลือกจะออกมาจากตรงนี้หรือ
00:12:39 → 00:12:42 ทำไมเถึงไม่เลือกดีไซน์ชีวิตแบบอื่นมัน
00:12:42 → 00:12:44 เป็นไปได้ว่าตัวเค้าอ่ะครับทำอยู่ในโหมด
00:12:44 → 00:12:47 เอาตัวรอดแล้วอ่ะอืเค้าเจะคิดเผื่อช่องจะ
00:12:47 → 00:12:49 ไปทางไหนอะไรเคิดไม่ทันแล้วเพราะตอนนี้
00:12:49 → 00:12:51 มันมี Dead จี้มาตลอดเวลาอืแล้วถ้าทำไม่
00:12:52 → 00:12:55 ทันก็โดนเฆี่ยนอืด้วยคำพูดบ้างด้วยคำด่า
00:12:55 → 00:12:57 ของลูกค้าด้วยการอะไรแล้วแต่อย่างเงี้ย
00:12:57 → 00:13:00 ครับค่ะเขาเลยบอกว่าเนี่ยวันเนี้ยที่เขา
00:13:00 → 00:13:03 ลางานมานั่งคุยกับผมเนี่ยคือครั้งแรกใน
00:13:03 → 00:13:05 รอบครึ่งปีที่เขาเพิ่งได้หยุดคุยกับตัว
00:13:05 → 00:13:08 เองว่าเขาต้องการอะไรซึ่งมันจริงๆลึกๆเก็
00:13:08 → 00:13:10 ก็ก็เสียดายเวลาตรงนั้นเหมือนกันแต่ว่าก็
00:13:10 → 00:13:12 ไม่ได้แหละมันก็ต้องคุยแล้วแหละเออใช่ที
00:13:12 → 00:13:14 นี้พอคนเรามันเปิดโหมด Survival มดอ่ะ
00:13:14 → 00:13:16 โหมดเอาตัวรอดอ่ะมันจะเริ่มไม่ค่อย
00:13:16 → 00:13:18 ละเอียดกับตัวเองละมันจะเหมือนแค่ไถไป
00:13:18 → 00:13:21 ก่อนให้รอดอ่ะครับอ่อให้มันเสร็จๆไปเสร็จ
00:13:21 → 00:13:22 ๆไปแล้วมันก็มีอีกอันนึงฉันต้องเคลียร์
00:13:22 → 00:13:24 ให้เสร็จเพราะสิ่งนี้มันกังวลนะครับอค่ะ
00:13:24 → 00:13:26 เอ่านอกจากว่าจะเป็นคนที่ไม่เอาอะไรแล้ว
00:13:26 → 00:13:29 ไม่เอาแล้วเทออกก็ออกอย่างเงี้ยครับก็จะ
00:13:29 → 00:13:31 เป็นคนที่คิดกับตัวเองได้อืมเข้าใจ
00:13:31 → 00:13:34 Feeling แบบนี้นะแต่ว่าเรายังไม่ถึงขนาด
00:13:34 → 00:13:38 โมเมนแบบโอ้โหงานชนงานชนแบบเดดไลน์รอต่อ
00:13:38 → 00:13:41 กันอย่างเงี้ยคือบางทีคือรู้แหละว่ามีงาน
00:13:41 → 00:13:43 รอต่ออยู่แล้วเหมือนกันแต่มันมีจังหวะให้
00:13:43 → 00:13:47 เราได้แบบว่าอจบงานนี้ปุ๊บเฮ้ได้หายใจ
00:13:47 → 00:13:50 หน่อยเสร็จปึ๊บอ้าต่อใช่ๆมันยังพอมีแกป
00:13:50 → 00:13:53 ว่างแต่อันนี้มันไม่มีพอพอเราไม่มีแกป
00:13:53 → 00:13:56 ว่างให้กับชีวิตเราเลยอ่ะด้วยบริบทสังคม
00:13:56 → 00:13:59 ด้วยสิ่งที่ต้องทำด้วยการที่ต้องเลี้ยง
00:13:59 → 00:14:01 ตัวเองครอบครัวหรืออะไรก็แล้วแต่มันพอไม่
00:14:01 → 00:14:05 มีช่องว่างปุ๊บมันขาดการเข้าใจตัวเองไป
00:14:05 → 00:14:08 เลยใช่ครับไม่รู้ว่าต้องการอะไรอืมแล้ว
00:14:08 → 00:14:11 มันมันเป็นการใช้ชีวิตด้วยความกลัวแล้ว
00:14:11 → 00:14:13 มันจะมาเริ่มต้นคุยกับตัวเองยังไงได้อ่ะ
00:14:13 → 00:14:15 อ่าทีนี้ผมว่าอย่างข้อแรกอ่ะครับคือการ
00:14:15 → 00:14:18 ที่ต้องตระหนักก่อนตะกี้เราคุยกันว่าถ้า
00:14:18 → 00:14:20 ถ้าบังเอิญเราทำตามสังคมแล้วแฮปปี้เรารู้
00:14:20 → 00:14:23 สึกดีมันจบดีไปอ่าแต่ถ้าเกิดมันเริ่มมี
00:14:23 → 00:14:25 ความรู้สึกต้านรู้สึกฝืนรู้สึกเหนื่อยรู้
00:14:25 → 00:14:27 สึกไม่ชอบผมว่าตรงนี้คือจุดข้อสังเกตแรก
00:14:27 → 00:14:30 ที่กำลังบอกว่าเรากำลังมีสิ่งที่ไม่พอดี
00:14:30 → 00:14:34 กับตัวเองอยู่ในชีวิตเออกลไกในความรู้สึก
00:14:34 → 00:14:37 เราธรรมชาติของมนุษย์นี่มันก็ดีเหมือนกัน
00:14:37 → 00:14:40 เนาะมันสามารถที่จะแบบว่าเตือนให้เรารู้
00:14:40 → 00:14:44 สึกได้อ่ะอแต่แต่จะมีกี่คนฟังมันอ่าไอ้
00:14:44 → 00:14:47 นี่แหละสำคัญเพราะเพราะพอรู้สึกว่าฟัง
00:14:47 → 00:14:50 ปั๊บเอ๊ะแต่คนอื่นเขาคก็ทำกันนะทำไมคน
00:14:50 → 00:14:53 อื่นก็ยังได้ทำได้เออหรือว่าฉันผิดปกติ
00:14:53 → 00:14:55 เองฉันควรจะปัดความรู้สึกนี้ทิ้งไปเพราะใ
00:14:55 → 00:14:57 ใๆก็ทำกันอาเป็นซะอย่างงั้นไปมันก็มี
00:14:57 → 00:14:59 อย่างงี้เหมือนกันครับอือืทีนี้เพราะงั้น
00:14:59 → 00:15:01 การการเชื่อตัวเองการฟังตัวเองมันเลย
00:15:01 → 00:15:04 สำคัญเพราะเสียงของเรามันจะไม่ได้ไม่ได้
00:15:04 → 00:15:06 หลอกอ่ะแล้วเป็นเสียงที่เฉพาะเจาะจงกับ
00:15:06 → 00:15:08 ตัวเองเช่นค่ะเรากินอาหารสักจานนึงอ่ะ
00:15:08 → 00:15:12 ครับอก๋วยเตี๋ยวก็ได้การจะบอกว่าน้ำตาล
00:15:12 → 00:15:15 ควรใส่กี่ช้อนเนี่ยใครเป็นคนบอกอ่ะเราสิ
00:15:15 → 00:15:18 เพราะอะไรฮะก็เราเป็นคนกินเราคเราคนแล้ว
00:15:18 → 00:15:20 แล้วตรงไหนจะเป็นตัวบอกว่าต้องพอแล้วอ่ะ
00:15:20 → 00:15:22 มันคือจุดที่เรารู้สึกว่าอร่อยแล้วออเหรอ
00:15:22 → 00:15:24 เออโอเคสำหรับเราแล้วเออประมาณนี้อร่อย
00:15:24 → 00:15:26 แล้วฉันรู้สึกชอบหวานประมาณนี้น้อยกว่า
00:15:26 → 00:15:29 นี้ก็หวานน้อยไปมากกว่านี้ก็หวานมากไปอ่า
00:15:29 → 00:15:31 ฮะเเพราะงั้นความพอดีจะเกิดขึ้นกับตัวเรา
00:15:31 → 00:15:34 ครับที่เป็นผู้บอกว่าอันเนี้ยพอดีค่ะ
00:15:34 → 00:15:36 เพราะงั้นแต่ละคนมีความแตกต่างถูกมั้ย
00:15:36 → 00:15:38 ครับทีเนี้ยมันเลยกลายเป็นว่าเซน์ตรง
00:15:38 → 00:15:41 เนี้ยเราก็เลยต้องฟังเพราะสุดท้ายอะไรที่
00:15:41 → 00:15:44 พอดีกับตัวเองตรงไหนที่รู้สึกสบายใจรู้
00:15:44 → 00:15:47 สึกพอดีรู้สึกไม่มากไปไม่น้อยไปตรงนั้น
00:15:47 → 00:15:50 แหละคือที่ของเราอืมันจะรู้สึกได้ด้วยตัว
00:15:50 → 00:15:51 เราเองเลยแหละจะรู้สึกได้เหมือนที่เรา
00:15:51 → 00:15:53 ปรุงอาหารน่ะหรือเหมือนที่ปรับรีโมทแอร์
00:15:53 → 00:15:56 ในห้องเนี้ยเอ๊ะอันนี้มันหนาวไปมั้ยนะอัน
00:15:57 → 00:15:59 นี้ร้อนไปมั้ยนะสุดท้ายตัวเราจะเป็นคนบอก
00:15:59 → 00:16:01 อืแต่ว่าแต่ละคนจะชอบอุณหภูมิไม่เท่ากัน
00:16:01 → 00:16:04 ถูกมั้ยครับคนบางคนโอ้โหชอบ 20 องศาเอคน
00:16:04 → 00:16:07 บางคนบอกขอ 27 20 ฉันไม่ไหวอย่าเงี้ยฮะ
00:16:07 → 00:16:10 ก็เหมือนกับว่าบางทีถึงแม้ว่าตัวเราอาจจะ
00:16:10 → 00:16:12 แบบว่าโอเคแล้วหรือบางทีเราอาจจะไม่ได้
00:16:12 → 00:16:14 ทันสังเกตตัวเองเนี่ยอาจจะมีคนมองว่าเฮ้ย
00:16:14 → 00:16:18 ทำไมดูเอสวดใสขึ้นนะเฮ้ยดูแบบอือๆสายตามี
00:16:18 → 00:16:21 แววมีประกายก็แสดงว่ากำลังโอเคกับชีวิต
00:16:21 → 00:16:23 และกำลังโอเคใช่ครับอเพราะงั้นคนที่โอเค
00:16:23 → 00:16:25 คนที่เจอจุดพอดีกับชีวิตมันจะสะท้อนออกมา
00:16:26 → 00:16:28 ทางจิตใจที่สงบสุขดีอ่ะอือฮึเออมันรู้สึก
00:16:28 → 00:16:30 ไม่มีห่วงไม่กังวลไม่ต้องทุกข์รู้สึกว่า
00:16:30 → 00:16:33 สบายๆค่ะแล้วแล้วสิ่งที่ผมจะต้องย้ำกับ
00:16:33 → 00:16:36 ทุกคนเสมอคือว่าที่ทุกคนกำลังทำและดิ้นรน
00:16:36 → 00:16:39 ทุกอย่างนะครับปลายทางมันนำไปสู่ความรู้
00:16:39 → 00:16:42 สึกพอใจต่อให้เราจะแบบพยายามทำตามสิ่งที่
00:16:42 → 00:16:45 สังคมบอกหรือทำทำตามที่พ่อแม่พอใจปลายทาง
00:16:45 → 00:16:48 สุดท้ายเราอยากพอใจด้วยเหมือนกันอือฮึถ้า
00:16:48 → 00:16:51 ถ้าทำได้ตามที่สังคมชอบฉันจะได้ชอบตัวเอง
00:16:51 → 00:16:54 บ้างค่ะถ้าพ่อแม่บอกว่าดีฉันจะได้รู้สึก
00:16:54 → 00:16:57 ดีอาฮะแต่เฮ้ยทำไมเราต้องทำให้ความดีความ
00:16:57 → 00:16:59 พอดีนั้นน่ะไปเกิดขึ้นกับคนอื่นก่อนแล้ว
00:16:59 → 00:17:02 ค่อยเกิดขึ้นกับเราละอาฮะเออสุดท้ายครับ
00:17:02 → 00:17:05 ทำไมเราถึงไม่เอาความพอใจเนี้ยให้เป็นตัว
00:17:05 → 00:17:08 เรานำขึ้นมาเลยว่าเราพอใจหรือพอดีกับอะไร
00:17:08 → 00:17:11 อือก็ไม่ได้มาบอกว่าจะต้องไปขัดแย้งอะไร
00:17:11 → 00:17:14 แบบโอ้โหพอต่อไปนี้นะพอฟังปุ๊บอุ๊ยฉันจะ
00:17:14 → 00:17:16 ไปขัดแย้งทุกอย่าง่ะเพราะว่าฉันไม่โอเคไง
00:17:16 → 00:17:18 หรืออะไรเงี้ยไม่ใช่นะคือคือบางอย่าง
00:17:18 → 00:17:21 เนี่ยบางอย่างเราทำอะไรไม่ได้จริงๆนะคือ
00:17:21 → 00:17:24 มันก็ต้องไหลไปตามระบบอตัวก็ต้องไหลไปใช่
00:17:24 → 00:17:27 ใช่แต่แค่ว่าให้หันกลับมาอย่างที่คุณ
00:17:27 → 00:17:30 เอิ้นทำก็ได้มองกระจกดูตัวเองว่าแบบเออ
00:17:30 → 00:17:33 ช่วงนี้หน้าตามนหมองเนาะอือไม่ค่อยยิ้ม
00:17:33 → 00:17:36 เลยอ่ะเราต้องเราต้องรู้ตัวเองอยู่แล้ว
00:17:36 → 00:17:38 ว่าที่ผ่านมาเราแบบเอ้ยมันเหนื่อย่ะมัน
00:17:38 → 00:17:41 ล้าว่ะมันไม่สดชื่นเลยอ่ะเหมือนมบางที
00:17:41 → 00:17:45 เอิ้นมาเจอบางวันพี่ก็จะแบบว่าดมยาดมบ้าง
00:17:45 → 00:17:48 ตะกี้ผมกดมสสภาพดูเหมือนไม่ค่อยพร้อมอาจ
00:17:48 → 00:17:51 จะนอนน้อยคือร่างกายมันฟ้องมาจนจนแบบว่า
00:17:51 → 00:17:54 บางทีปฏิกิริยาเราอ่ะมันเป็นโดยอัตโนมัติ
00:17:54 → 00:17:57 อยู่แล้วแหละเพียงแต่ว่าเราไม่ได้มีโอกาส
00:17:57 → 00:18:02 ที่จะบอกว่าเฮ้ยพักเหอะอืหาที่ไปเหอะกิน
00:18:02 → 00:18:05 อะไรอร่อยๆคืออย่างน้อยให้มีสักนิดนึงที่
00:18:05 → 00:18:08 ได้คุยกับตัวเองบ้างว่าเราต้องการอะไรใช่
00:18:08 → 00:18:10 ครับบางทีการที่ได้คุยกับตัวเองแล้วบอก
00:18:10 → 00:18:13 ว่าแค่ได้กินของอร่อยแค่นี้ฉันก็โอเคะอื
00:18:13 → 00:18:15 มันอาจจะแค่นี้เองก็ได้นะอือๆไม่ได้บอก
00:18:15 → 00:18:18 ว่าจะต้องแบบโอ้โหฉันจะจะไปเที่ยว 10
00:18:18 → 00:18:21 กว่าวันหรืออะไรขนาดนั้นอืครับใช่ทีเนี้ย
00:18:21 → 00:18:23 ส่วนส่วนสำคัญของการฟังตัวเองคือการ
00:18:23 → 00:18:26 อนุญาตให้เสียงของเราสำคัญดังกว่าเสียง
00:18:26 → 00:18:28 อื่นๆอ่าใช่ครับเอแต่ไม่ใช่เสียงอื่นให้
00:18:28 → 00:18:31 ฟังนะฟังบ้างเพื่อรับรู้ว่าที่อื่นเขาคิด
00:18:31 → 00:18:33 ยังไงแต่แต่บางทีพอเราให้ความสำคัญกับ
00:18:33 → 00:18:35 เสียงอื่นมากกว่าเสียงตัวเองหรืออนุญาต
00:18:35 → 00:18:37 ให้เสียงอื่นใหญ่กว่าเสียงของเราอ่ะครับ
00:18:37 → 00:18:40 ค่ะเสียงเราก็จะไม่ถูกได้ยินแต่ก็ต้อง
00:18:40 → 00:18:43 เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะไม่ได้อนุญาตทุกครั้ง
00:18:43 → 00:18:44 จน
00:18:44 → 00:18:46 มันผมว่ามันขึ้นกับบริบทเนาะเรื่องนี้
00:18:46 → 00:18:48 เรื่องนี้พอคุยแล้วอาจจะแบบเฮ้ยให้เราแบบ
00:18:48 → 00:18:51 เอาตัวเองเป็นที่ตั้งอีโก้จัดอะไรงงี้อาจ
00:18:51 → 00:18:53 จะไม่ใช่เอไม่ใช่เออสำคัญเรื่องเยครับที่
00:18:53 → 00:18:55 เราต้องคุยกับตัวเองเพราะเราอยากรู้จัก
00:18:55 → 00:18:57 ว่าธรรมชาติของเราคืออะไรอือฮึการรับฟัง
00:18:57 → 00:19:00 ตัวเองการได้ถามว่าตัวเองที่ผ่านมามันพอ
00:19:00 → 00:19:03 ดีกับตัวเองมั้ยอือฮึมันคือการเช็คอ่ะ
00:19:03 → 00:19:05 ครับเหมือนรีเช็คอ่ะว่าเรากำลังอยู่ในจุด
00:19:05 → 00:19:07 ที่พอดีกับตัวเองหรือเปล่าค่ะคำว่าพอดี
00:19:07 → 00:19:09 กับตัวเองบางทีอาจจะหมายถึงพอดีกับสังคม
00:19:09 → 00:19:12 ด้วยนะเพราะสุดท้ายอ่ะครับเรื่องเนี้ยเรา
00:19:12 → 00:19:14 ไม่ได้จะทำให้ตัวเรากลายเป็นกบฏหรือเป็น
00:19:14 → 00:19:16 คนที่แบบหัวก้าวร้าวจนกระทั่งไปต่อต้าน
00:19:16 → 00:19:19 สังคมอืสุดท้ายตัวเราอ่ะครับจะต้องเป็น
00:19:19 → 00:19:22 บุคคลที่รู้สึกว่าการเจอจุดที่พอดีของตัว
00:19:22 → 00:19:25 เองนั้นสำคัญเช่นเดียวกันกับการให้ผู้
00:19:25 → 00:19:28 อื่นได้เจอจุดที่พอดีของเขาด้วยอืทีนี้พอ
00:19:28 → 00:19:31 เรารู้สึกว่าการให้ความสำคัญกับความพอดี
00:19:31 → 00:19:34 และทุกคนพึงได้รับความพอดีตรงเนี้ยตัวเรา
00:19:34 → 00:19:36 จะไม่ใช่ผู้ที่สร้างปัญหาให้สังคมะเพราะ
00:19:36 → 00:19:39 ตัวเราก็จะอนุญาตให้คนอื่นแตกต่างจากเรา
00:19:39 → 00:19:42 ได้อนุญาตให้คนอื่นไม่ต้องยอมรับหรือชอบ
00:19:42 → 00:19:44 เราก็ได้ถ้าเกิดแนวทางไม่ตรงกันออแต่แค่
00:19:44 → 00:19:47 ตัวเราก็จะไม่เป็นมนุษย์ที่จะไปบังคับให้
00:19:47 → 00:19:50 คนอื่นคิดแบบที่เราต้องการจะไม่เป็นบุคคล
00:19:50 → 00:19:52 ที่ไปสร้างพิษภัยให้คนอื่นรู้สึกเป็น
00:19:52 → 00:19:54 ทุกข์หรือกดดันอืเออเพราะงั้นผมว่าไอตรง
00:19:54 → 00:19:57 เนี้ยเป้าหมายของการเข้าใจตัวเองเป็นไป
00:19:57 → 00:20:01 เพื่อให้เราหาพื้นที่หาจุดที่พอดีที่สุด
00:20:01 → 00:20:03 กับการมีชีวิตแล้วรู้สึกว่าชีวิตมันน่า
00:20:03 → 00:20:06 อยู่อืเออเราต้องคุยกับตัวเองเพื่อให้เรา
00:20:06 → 00:20:10 ค้นพบว่าที่แบบไหนนะที่เรามีความสุขที่จะ
00:20:10 → 00:20:12 อยู่หรือว่าการได้คุยกับตัวเองก็เพื่อที่
00:20:12 → 00:20:15 จะได้ตอกเ่าเค้าเรียกอะไรอ่ะเหมือนว่าทบ
00:20:15 → 00:20:18 ทวนสิ่งที่ทำที่ผ่านมาว่ายังโอเคอยู่ย
00:20:18 → 00:20:21 แล้วก็แผนในอนาคตเราจะอย่างไรต่อไปใช่อาจ
00:20:21 → 00:20:23 จะเป็นการได้บทเรียนบางอย่างก็ได้ที่เรา
00:20:23 → 00:20:25 ตกผลึกจากสิ่งที่ผ่านมาค่ะอย่างเงี้ยครับ
00:20:25 → 00:20:28 อบางคนอาจจะแบบอยู่ในสังคมมานานจนแบบไม่
00:20:28 → 00:20:31 ได้สังเกตว่าเฮ้ยมันมีเพื่อนหลายแบบนะที่
00:20:31 → 00:20:33 แบบนี้เราอยู่แล้วสบายใจแบบนี้อยู่แล้ว
00:20:33 → 00:20:35 ไม่สบายใจคนนี้สบายใจคนนั้นไม่สบายใจอือ
00:20:35 → 00:20:38 ฮึเราอาจจะเริ่มเริ่มได้จัดแจงตัวเองว่า
00:20:38 → 00:20:40 เอ้ยเราจะเข้าหาเพื่อนกลุ่มนี้แต่เราจะ
00:20:40 → 00:20:42 เริ่มถอยห่างจากเพื่อนกลุ่มนี้อืหรือผม
00:20:42 → 00:20:45 อาจจะเคยทำงานอันนี้อันนี้เล่าให้ฟัง
00:20:45 → 00:20:48 เหมือนผมอาจจะไม่ใช่อาจสิผมเกิดแลโตใน
00:20:48 → 00:20:51 กรุงเทพฯค่ะผมก็จะไปเบียดกับทุกคนบนรถไฟ
00:20:51 → 00:20:53 ฟ้าตอนเช้าอือฮะสิ่งที่ผมจะได้ยินกับตัว
00:20:53 → 00:20:57 เองเสมอคืออึดอัดจังกับการที่ต้องเบียด
00:20:57 → 00:21:00 กับทุกคนเออจังกับการที่ต้องพยายามเค้น
00:21:00 → 00:21:02 ให้ตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้นเพื่อ
00:21:02 → 00:21:05 แย่งขึ้นรถไฟฟ้าไม่งั้นไปเรียนไม่ทันอึด
00:21:05 → 00:21:07 อัดจังกับการที่ทุกคนเดินเป็นเหมือนขบวน
00:21:07 → 00:21:09 มดเลยอ่ะค่ะที่ต้องเดินไปแถวเดียวกันค่ะ
00:21:10 → 00:21:12 อย่างเงี้ยครับพอมีความอึดอัดแบบนี้ปั๊บ
00:21:12 → 00:21:14 นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินกับตัวเองผมจะเริ่ม
00:21:14 → 00:21:17 หาทางเลือกว่ามีทางไม่น้าที่เราจะไม่ต้อง
00:21:17 → 00:21:19 เบียดกับคนอื่นมีทางไม่น้าที่เราจะใช้
00:21:19 → 00:21:21 ชีวิตโดยที่ไม่ต้องกระตุ้นความเห็นแ่ตัว
00:21:21 → 00:21:25 ขึ้นมาเพื่อแย่งแย่งคนอื่นค่ะอ่ามีทางมย
00:21:25 → 00:21:26 ที่เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะไปเดินตรงไหน
00:21:27 → 00:21:30 ที่เราสบายใจอือย่าเงี้ยครับพอพอเห็นความ
00:21:30 → 00:21:32 อึดอัดปั๊บมันจะเริ่มไปคุยเรื่องทางเลือก
00:21:32 → 00:21:34 แล้วทางเลือกนั้นจะนำไปสู่รูปแบบที่เราจะ
00:21:34 → 00:21:37 เลือกให้ตัวเองก็เป็นความสบายใจที่ใช่ผม
00:21:37 → 00:21:39 ก็เลยนี่ฮะเลือกทำงานใกล้บ้านก็คือเช่า
00:21:39 → 00:21:42 ออฟฟิศใกล้บ้านค่ะแล้วก็เดินไปทำงานปั่น
00:21:42 → 00:21:45 จักรยานไปทำงานไม่ต้องไปเบียดกับคนไม่
00:21:45 → 00:21:47 ต้องเบียดไม่ต้องโมโหก็แบบเฮ้ยคนนี้แฟง
00:21:47 → 00:21:50 คิวเฮ้ยแต่ถ้าเราแบบให้คนนี้เข้าเราจะไป
00:21:50 → 00:21:52 ไม่ทันคือมันกลายเป็นว่าเราเริ่มแบบเห็น
00:21:52 → 00:21:55 โหมดที่แบบเราเหมือนต้องเห็นแก่ตัวเออแต่
00:21:55 → 00:21:58 พอเราอยู่ใน setting ที่สบายๆปั๊บเรารู้
00:21:58 → 00:22:00 สึกว่าเราไม่ต้องแย่งอเราเอื้อเฟื้อคน
00:22:00 → 00:22:03 อื่นที่เร่นกว่าเราได้ไปเลยออะไรเงี้ยฮะ
00:22:03 → 00:22:05 เรารู้สึกว่ามันพอดีกับเรามากขึ้นค่ะคือ
00:22:05 → 00:22:09 เหมือนกับว่าทบทวนตัวเองเอ่อในสิ่งที่
00:22:09 → 00:22:11 ต้องการแล้วก็ไม่ไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร
00:22:11 → 00:22:14 อยู่ในความพอดีพื้นที่ของตัวเองให้ตัวเอง
00:22:14 → 00:22:18 ได้สบายใจไม่ไม่ต้องแบบว่าโอ้โหให้เราแบบ
00:22:18 → 00:22:20 ไปเอาพื้นที่คนอื่นจนกลายเป็นเรื่องของ
00:22:20 → 00:22:22 เห็นแก่ตัวเพื่อความสบายใจของตัวเองใช่ๆ
00:22:22 → 00:22:25 มันคนละเรื่องกันคนละเรื่องกันอเพราะวัน
00:22:25 → 00:22:27 นี้เราคุยกับเรื่องการเข้าใจตัวเองแล้ว
00:22:27 → 00:22:29 แล้วการได้ค้นพบพบพื้นที่ที่เราจะมีความ
00:22:29 → 00:22:32 สุขที่พอใจแต่ไม่เบียดเบียนใครออันนี้คือ
00:22:32 → 00:22:34 คือคีย์เวิร์ดที่สำคัญมากนะมันจะไม่ใช่
00:22:34 → 00:22:37 ว่าเราคุยกับตัวเองปั๊บแล้วฉันพอใจอย่าง
00:22:37 → 00:22:40 เงี้ยฉันจะไปคนอื่นจะเป็นไงช่างมันมันไม่
00:22:40 → 00:22:41 ใช่อย่างงั้นเนาะคือแบต่อไปนี้ฉันจะไม่
00:22:41 → 00:22:44 ยอมให้ใครแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นอ่าไม่แข็ง
00:22:44 → 00:22:46 ขนาดนั้นเอาแค่แบบว่าเหมือนกับแบบทบทวน
00:22:46 → 00:22:49 การพูดคุยกับตัวเองว่าเออวันนี้เจอเฮ้ย
00:22:49 → 00:22:52 เจอคนแย่งขึ้นรถเมล์ไม่ค่อยชอบเลยอ่ะเรา
00:22:52 → 00:22:54 ก็จะได้ไม่ทำแบบนี้แล้วเราก็ไม่ได้ชอบแบบ
00:22:54 → 00:22:56 นี้เหมือนกันหรืออะไรแบบนี้ใช่มั้ยคะใช่
00:22:56 → 00:22:57 บางทีมันจะได้เห็นตัวเองไม่งั้นเราจะกลาย
00:22:57 → 00:22:59 เป็นสิ่งมีชีวิตที่แบบถูกกระตุ้นถูกเร้า
00:22:59 → 00:23:01 แล้วก็ทำทำไปแบบไม่ได้ใช้สติอะไรเงี้ย
00:23:01 → 00:23:04 ครับเหมือนใช้ชีวิตไปวันๆเลยเนาะใช่ๆครับ
00:23:04 → 00:23:05 แล้วหลายคนเป็นอย่างงั้นเพราะว่าเปิดโหมด
00:23:05 → 00:23:07 Survival โหดคือเอาตัวรอดไปวันๆเราคุย
00:23:07 → 00:23:09 กับตัวเองเราไม่ได้บ้านะคะแต่ว่าแค่การ
00:23:10 → 00:23:13 แบบบอ่าจะคุยในใจหรือจะส่งเสียงดังออกมา
00:23:13 → 00:23:15 เองอะไรเงี้ยนั่งคุยกับตุ๊กตาก็ได้ตอนนี้
00:23:15 → 00:23:18 หลังๆเริ่มเริ่มคุยกับตุ๊กตาแล้วนะจี้
00:23:18 → 00:23:21 จุ่มมาอะไรประมาณนี้ว่าแบบเออวันนี้
00:23:21 → 00:23:24 เหนื่อยจังคือเมื่อก่อนอาจจะไปเขียนเป็น
00:23:24 → 00:23:26 ไดอารี่กันก็ได้นะแต่เดี๋ยวนี้ขี้เกียจ
00:23:26 → 00:23:27 เขียนแล้วอ่ะเพราะว่าเราถนัดกันในเรื่อง
00:23:27 → 00:23:31 การพิมพ์อืใช่คะก็เริ่มมาคุยไม่ได้มองตัว
00:23:31 → 00:23:34 เองในกระจกนะคุยกับตุ๊กตาฟ้าฝนลมอะไรก็
00:23:34 → 00:23:39 แล้วแต่อะไรเงี้ยแบบเออมันเหนื่อยเนาะเรา
00:23:39 → 00:23:42 อยากจะแบบไม่เหนื่อยอ่ะทำทำมันยังไงดีก็
00:23:42 → 00:23:45 คือเหมือนกับเป็นการค้นหาตัวเองค้นพบตัว
00:23:45 → 00:23:48 เองในในอนาคตหรือวางแผนชีวิตตัวเองทบทวน
00:23:48 → 00:23:51 สิ่งที่ผ่านมาแล้ววางแผนต่อไปว่าอ่าถ้า
00:23:51 → 00:23:53 เราไม่อยากแบบเหนื่อยแบบที่ผ่านมาเราจะทำ
00:23:53 → 00:23:55 อะไรได้บ้างอืใช่ครับแบบนั้นเพราะถ้าเรา
00:23:55 → 00:23:57 ไม่คุยกับตัวเองเราก็จะไหลไปเรื่อยๆแล้ว
00:23:57 → 00:24:00 ก็ไม่มีโอกาสได้ววางแผนอะไรเลยอืมมันถึง
00:24:00 → 00:24:03 สำคัญในการที่จะต้องถามตัวเองและใช่ครับ
00:24:03 → 00:24:07 โอเคอยู่มั้ยไวอยู่มั้ยอชอบอยู่มถ้าอเออ
00:24:07 → 00:24:10 ถ้าไม่ไหวยังไงต่ออือ 1 2 3 4 หรือเรา
00:24:10 → 00:24:14 อาจจะไปหา How to กับในช่องทางอื่นๆก็
00:24:14 → 00:24:16 ได้ดี๋ยวนี้มีให้ฟังเยอะแยะลงงเหมาะเช่น
00:24:16 → 00:24:19 เดียวกันอครับยิ้มแบบนี้หมายความว่าไง
00:24:19 → 00:24:20 ครับคือกังจะบอกว่าชีวิตเป็นเรื่อง
00:24:20 → 00:24:22 กลยุทธ์นะครับถ้าเรายิ่งละเอียดกับ
00:24:22 → 00:24:24 กลยุทธ์หรือแผนการได้มากเท่าไหร่ชีวิตมัน
00:24:24 → 00:24:26 ยิ่งลงตัวมากเท่านั้นเพราะงั้นเลยอยากให้
00:24:26 → 00:24:29 ทุกคนหกลับมาใส่ใจอในการคุยกับตัวเองใน
00:24:29 → 00:24:32 การฟังตัวเองในการอนุญาตให้เสียงตัวเอง
00:24:32 → 00:24:35 สำคัญค่ะเออเพราะว่าสิ่งเนี้ยมันจะเป็น
00:24:35 → 00:24:38 เอ่อทิศทางมันจะเป็นตัวชี้นำว่าสุดท้าย
00:24:38 → 00:24:40 ตัวเราควรเดินไปทางไหนเพื่อปลายทางอะไร
00:24:40 → 00:24:43 ครับอปลายทางเกิดความรู้สึกชอบและพอใจกับ
00:24:43 → 00:24:45 ชีวิตที่เป็นค่ะนี่ก็กังวลอยู่เหมือนกัน
00:24:45 → 00:24:48 เพราะฟังเสียงตัวเองทีไรนะเสียตังค์ทุกที
00:24:48 → 00:24:51 เลยหนักมากเลยแย่แล้วต้องไปกลับไปทบทวน
00:24:51 → 00:24:55 ตัวเอง้วถามตัวเองมผมคผมก็เสียตังค์ผ่ามา
00:24:55 → 00:24:56 เร็วๆนี้
00:24:56 → 00:25:00 เองวงการนี้เข้าแล้วออกยากครับเราอาจจะ
00:25:00 → 00:25:02 ซื้อของคนละชิ้นกันแต่ว่าเราเสียทรัพย์
00:25:02 → 00:25:05 กันคนละอย่างกันเนี่ยกลับการไปถามตัวเอง
00:25:05 → 00:25:07 นี่แหละคุยกับตัวเองแล้วแหละเพื่อความ
00:25:07 → 00:25:10 สบายใจไงเราก็เอออยากกินอยากเที่ยวอยากก็
00:25:10 → 00:25:13 อยากซื้ออ่ะก็ก็อืแต่นี่อันนี้เป็นการฟัง
00:25:13 → 00:25:15 เสียงความต้องการตัวเองแต่ว่าเเรียกว่า
00:25:15 → 00:25:17 ความเหมาะสมจะใช้จ่ายเนี่ยอันนี้สุดท้าย
00:25:17 → 00:25:20 ขึ้นกับเเรียกว่าการประเมินงบประมาณหลัง
00:25:20 → 00:25:22 บ้านถ้างบประมาณหลังบ้านเราดีเนี่ยครับ
00:25:22 → 00:25:25 ซื้อไปเถอะเราก็ฟังตัวเองเอ้ชอบก็ซื้อชอบ
00:25:25 → 00:25:28 ก็จัดประหยัดทำไมเออประโยคนกำลังจะพูด
00:25:28 → 00:25:30 ครับแต่ถ้าเกิดสมมุติว่าโองบการเงินหลัง
00:25:30 → 00:25:33 บ้านไม่ดีอะไรเงี้ยฮะถ้าถ้าเราฟังตัวเอง
00:25:33 → 00:25:36 แล้วแบบซื้อซื้อโดยที่ไม่ประมาณตัวมันก็
00:25:36 → 00:25:39 จะได้ความทุกข์อีกแบบแต่มันได้ใจใหญ่ก่อน
00:25:39 → 00:25:41 ไงใก็ได้ความทุกข์ปั๊บเราจะได้คุยกับตัว
00:25:41 → 00:25:43 เองต่อว่าเอ้ยซื้อแล้วทุกข์ไม่ดีเลยอ่ะ
00:25:43 → 00:25:45 เราจะได้แบบปรับอีกทีนึงแต่พอเจอคอใหม่ก็
00:25:45 → 00:25:49 เอาและครับถามตัวเองบ่อยเกินสใครต้องต่อ
00:25:49 → 00:25:53 หัวข้อใหม่การควบคุมกิเลสเออๆๆได้ดู
00:25:53 → 00:25:56 เหมือนกันนะคะอ่ะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสวัสดี
00:25:56 → 00:25:59 ค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณฟังพบกันใหม่ครั้ง
00:25:59 → 00:26:01 หน้ากับรายการโรงหมอทาง Thai PBS
00:26:01 → 00:26:03 podcast นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ
00:26:04 → 00:26:06 This Is Thai PBS podcast การ
00:26:07 → 00:26:09 ประเมินระดับวิตามินในร่างกายของเราว่า
00:26:09 → 00:26:12 ขานหรือพร่องมีการประเมินกี่ระดับผู้ช่วย
00:26:12 → 00:26:14 ศาสตราจารย์ดรเอกราชบำรุงพืชผู้เชี่ยวชาญ
00:26:14 → 00:26:17 ด้านโภชนาการมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมา
00:26:17 → 00:26:20 เล่าให้ฟังครับเรื่องของสารอาหารหรือ
00:26:20 → 00:26:23 วิตามินในร่างกายเนี่ยทางโภชนาการเนี่ย
00:26:23 → 00:26:26 เขาจะมีสิ่งที่วิธีการในการประเมิน
00:26:26 → 00:26:29 อาจารย์เรียกเป็นตัวย่อ AB CD A คือ
00:26:29 → 00:26:31 anthropometry anthropometry หรือ
00:26:32 → 00:26:34 anthropometric assessment ประเมินโดย
00:26:34 → 00:26:37 การวัดสัดส่วนต่างๆของร่างกายค่ะซึ่งส่วน
00:26:37 → 00:26:39 ใหญ่เนี่ยในตัววิตามินอาจจะแบบมันไม่
00:26:39 → 00:26:42 เหมือนสารอาหารที่แบบเอ้ยบางตัวบางทีขาด
00:26:42 → 00:26:46 นะขาดโปรตีนกล้ามเนื้อเหี่วลีฟฟอ่าถ้ากิน
00:26:46 → 00:26:48 ไขมันเกินโอไขมันสะสมเยอะอันนั้นคือน้ำ
00:26:48 → 00:26:51 หนักขึ้นนะประเมินแบบ anthropometric
00:26:51 → 00:26:53 assessment คือตัว a ตัว b คือ
00:26:53 → 00:26:55 biochemical assessment ประเมินภาวะ
00:26:56 → 00:26:59 โภชนาการโดยวัดตัวชีวะทางชีวะเคมีคือเจาะ
00:26:59 → 00:27:03 เลือดอ้าดูไปเลยว่าคุณขาดวิตามิน a หรือ
00:27:03 → 00:27:06 เปล่าคุณขาดวิตามิน B หรือเปล่าขาด
00:27:06 → 00:27:08 วิตามินซีหรือเปล่าขาดวิตามิน E หรือ
00:27:08 → 00:27:11 เปล่าเจาะเลือดดูก็คือต้องแลบชัวร์เลย
00:27:11 → 00:27:14 อันเนี้ยเที่ยงตรงแม่นยำชัวร์ๆเลยค่ะแบบ
00:27:14 → 00:27:17 ที่ 3 ก็คือ clinical assessment ออ่า
00:27:17 → 00:27:19 ประเมินอาการทางคลินิกคือหมอก็ต้องตรวจ
00:27:19 → 00:27:23 เช่นเฮ้ยคุณมีปัญหาอาการเลือดออกตามไรฟัน
00:27:23 → 00:27:25 กขาดวิตามินซีแบบสมัยเราเรียนเด็กน้อย
00:27:25 → 00:27:28 อุ้ยแล้วมีอาการเหน็บชาเรามีอาการเหน็บชา
00:27:28 → 00:27:31 อ้าขาดวิตามิน B1 ค่ะอ้าวเราตาบอดกลางคืน
00:27:31 → 00:27:34 กลางคืนมองเห็นไม่ชัดขาดวิตามิน a นั่น
00:27:34 → 00:27:36 น่ะคือขาดไปแล้วแล้วแสดงอาการออกมาแล้ว
00:27:36 → 00:27:39 แล้วไปตรวจอันนั้นคือทาง clinical ตรวจ
00:27:39 → 00:27:42 ทางคลินิกพูดง่ายๆว่ามันเกิดขึ้นแล้วแล้ว
00:27:42 → 00:27:45 ก็วิธีสุดท้ายอันนี้ประหยัดถูกแต่มันก็
00:27:45 → 00:27:47 ไม่ได้เที่ยงตรงแม่นยำเหมือนเจาะประเมิน
00:27:47 → 00:27:50 ต้นทางได้ตั้งแต่แรกได้ก็คือ Diary
00:27:50 → 00:27:53 assessment ตัว ddx อือ่าก็คือประเมิน
00:27:53 → 00:27:56 อาหารที่บริโภคว่ารับประทานอาหารที่เป็น
00:27:56 → 00:27:59 แหล่งของวิตามินซีเนี่ยมามากน้อยแค่ไหน
00:27:59 → 00:28:02 สำรวจสัมภาษณ์นะหรือทำแบบสอบถามอ่าเพื่อ
00:28:02 → 00:28:04 ดูอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินแต่ละตัว
00:28:04 → 00:28:06 ว่าดูว่าเอ้ยขาดมอันนี้มันไม่ต้องเสีย
00:28:06 → 00:28:09 เงินอะไรกระดาษค่ากระดาษแล้วก็มานั่งคุย
00:28:09 → 00:28:12 พฤติกรรมการรับประทานอาหารการกินของเรา
00:28:12 → 00:28:14 เนี่ยมันเหมาะสมหรือเปล่าต้องบอกอย่างงี้
00:28:14 → 00:28:17 วิตามินต่างๆอย่างเพียงพอมยค่ะอ่าถ้าไม่
00:28:17 → 00:28:21 พอนะพูดง่ายๆว่าเมื่อพร่องต้องเสริมถ้า
00:28:21 → 00:28:23 เสริมคุณต้องพร่องเลยแต่ถ้าคุณไปหาหมอ
00:28:23 → 00:28:26 เนี่ยขาดถ้าหมอเจาะดูนะอ่าแต่ถ้าเรารู้
00:28:26 → 00:28:28 ว่าเอ้ยเริ่มมันมี 2 ระดับไงไงครับ
00:28:28 → 00:28:30 ถ้าในา Anti aging เนี่ยเขาจะเรียกว่า
00:28:30 → 00:28:33 เอ้ย sub optimal Level หรือการพร่อง
00:28:33 → 00:28:36 ค่ะนะคำว่าพร่องเนี่ยคือสมมุติว่าต่ำกว่า
00:28:36 → 00:28:38 10 เนี่ยถือว่าขาดเราอาจจะอยู่ที่ 10
00:28:38 → 00:28:40 อ่าหรืออยู่ที่ 11 มันเริ่มแล้วอ่ะ
00:28:40 → 00:28:45 อ่าแต่ถ้าจะให้ดีเลยอ่ะคือ 20 ออสมมุติ
00:28:45 → 00:28:47 อ่าสมมุตินะครับว่าอุยจะให้ดีเลย 20 อ
00:28:47 → 00:28:51 แล้วเราอยู่ที่ 10 11 12 เอ้ยมันเริ่ม
00:28:51 → 00:28:53 แล้วอ่ะมันจะขาดแล้วถ้าต่ำกว่า 10
00:28:53 → 00:28:56 คือขาดค่ะกับอีกคนนึงอยู่ 18 19 นะก็จะ
00:28:56 → 00:28:58 มี Energy เต็มที่อีกคนเริ่มแล้ว
00:28:58 → 00:29:01 อย่างเงี้ยันแล้วเนี่ยอาจารย์เปรียบเทียบ
00:29:01 → 00:29:06 ให้เห็นภาพง่ายๆแต่เกินก็ไม่ดีนะ
00:29:06 → 00:29:11 อ This Is Thai PBS
00:29:11 → 00:29:14 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:14 → 00:29:16 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:16 → 00:29:28 www.thaipbs.or.th
00:29:28 → 00:29:30 แสและ soundcloud
00:29:30 → 00:29:33 [เพลง]