00:00:00 → 00:00:03 This is Thai PBS Podcast. Vi the
00:00:03 → 00:00:06 world by the voice
00:00:06 → 00:00:08 แล้วก็จะเห็นว่าคำว่า love คำเดียวเนี่ย
00:00:08 → 00:00:11 ก็คือความรักแต่ความรักมันมีรูปแบบเดียว
00:00:11 → 00:00:13 กันมั้คะเพราะฉะนั้นเนี่ยค่ะมันคือความ
00:00:13 → 00:00:16 หลากหลายของความรักจนกระทั่งทำให้คนเนี่ย
00:00:16 → 00:00:20 ไม่เข้าใจระหว่างความชอบความรักความความ
00:00:20 → 00:00:23 เสน่หา 3 ตัวนี้ก็ต่างกันและคนเราเนี่ย
00:00:23 → 00:00:26 แต่งงานกับคนที่เริ่มต้นจากคำว่าเพื่อน
00:00:26 → 00:00:28 กันมาก่อนเนี่ยมันจะยืนยาวมากที่สุดวัย
00:00:28 → 00:00:31 เนี่ยมันจะทำให้เรารับรู้พันธะความผูกพัน
00:00:31 → 00:00:32 ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไป
00:00:32 → 00:00:35 เรื่อยๆเมื่อมีความสนิทสนมกันมากขึ้นมัน
00:00:35 → 00:00:37 ก็อาจจะเปลี่ยนระดับของความสุขความพอใจใน
00:00:37 → 00:00:41 แต่ละช่วงของเวลาไม่ได้อยู่นิรัน
00:00:42 → 00:00:46 การฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟัง
00:00:46 → 00:00:49 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:49 → 00:00:53 This is Thai PBS Podcast
00:00:53 → 00:00:55 วันนี้ค่ะคุณผู้ฟังคะเป็นอีกเรื่องนึงที่
00:00:55 → 00:00:58 น่าสนใจมากเลยทีเดียวนะคะวันนี้เราจะคุย
00:00:58 → 00:01:01 กันถึงเรื่องของทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความ
00:01:01 → 00:01:05 รักเออไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความรักเนี่ย
00:01:05 → 00:01:08 มันต้องมีทฤษฎีมีมีแนวทางมีแนวคิดมีอะไร
00:01:08 → 00:01:10 ต่างๆเหล่านี้ด้วยนะคะอ้าเดี๋วันนี้เรามา
00:01:11 → 00:01:13 ทำความเข้าใจกันคุยกับผู้ช่วยศาสตราจารย์
00:01:13 → 00:01:16 ดร.จันทร์วิภาดีลกสัมพันธ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
00:01:16 → 00:01:18 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาผู้
00:01:18 → 00:01:21 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวค่ะ
00:01:21 → 00:01:23 สวัสดีค่ะอาจารย์คะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:23 → 00:01:26 ท่านผู้ฟังทุกท่านค่ะวันนี้เราจะเป็นแนว
00:01:26 → 00:01:29 แบบว่าวิชาการต้องเลคเชอร์มั้ยคะค่ะก็อาจ
00:01:29 → 00:01:32 จะต้องให้ท่านผู้ฟังหลับตานึกภาพเนาะ
00:01:32 → 00:01:36 เพราะเราไม่มีเราไม่มี PowerPoint ขึ้น
00:01:36 → 00:01:38 จะไม่ได้ปิ้งแผ่นใสแล้วเหมือนสมัยก่อน
00:01:38 → 00:01:41 เนาะเออแต่ว่าทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก
00:01:41 → 00:01:43 เอ้ยเป็นอะไรที่แบบว่าไม่เคยรู้เลยว่า
00:01:43 → 00:01:46 ความรักเนี่ยมันเหมือนทฤษฎีมันมีทฤษฎี
00:01:46 → 00:01:49 ด้วยเอ่อมีคนพูดถึงทฤษฎีเกี่ยวกับความรัก
00:01:49 → 00:01:53 ไว้เยอะนะคะมากเลยแต่ว่าคนที่มีชื่อเสียง
00:01:53 → 00:01:56 ที่สุดและคนเชื่อถือในทฤษฎีของเขามากที่
00:01:56 → 00:02:01 สุดตั้งแต่ปี 1986 มาค.ศ.
00:02:01 → 00:02:05 นะคะก็เป็นของนักจิตวิทยาคนนึงนะฮะเป็น
00:02:05 → 00:02:09 ชาวอเมริกันชื่อว่าโรเบิร์ตสเตนเบิแล้ว
00:02:09 → 00:02:12 เราก็จะรู้จักคำว่าเลค่ะแต่เราก็จะเห็น
00:02:12 → 00:02:15 ว่าคำว่าเลคำเดียวเนี่ยนะฮะถ้าแปลเป็น
00:02:15 → 00:02:18 ภาษาไทยเนี่ยก็คือความรักแต่ความรักมันมี
00:02:18 → 00:02:22 รูปแบบเดียวกันมั้ยคะไม่ไม่นะเช่นเรารัก
00:02:22 → 00:02:26 พ่อรักแม่รักพี่รักน้องคนนี้รักแบบนี้คน
00:02:26 → 00:02:29 นี้รักแบบหวานชื่นคนนี้รักแบบอือซาบซึ้ง
00:02:29 → 00:02:32 ดื่มด่ำอะไรก็แล้วแต่นะคะเพราะฉะนั้น
00:02:32 → 00:02:34 เนี่ยค่ะมันคือความหลากหลายของความรักจน
00:02:34 → 00:02:37 กระทั่งทำให้คนเนี่ยไม่เข้าใจระหว่างความ
00:02:37 → 00:02:41 รักเอาง่ายๆนะคะความชอบความรักความความ
00:02:41 → 00:02:43 เสน่หา
00:02:43 → 00:02:47 3 ตัวนี้ก็ต่างกันและใช่ถูกมั้คะว่ารัก
00:02:47 → 00:02:50 ระดับไหนล่ะอ๋อมักจะมีคนบอกว่าขอนิยาม
00:02:50 → 00:02:54 ความรักหน่อยอ่าฮนะฮะอันนี้ของโรเบิร์ต
00:02:54 → 00:02:56 สเตนเบิร์กเนี่ยนะคะที่บอกว่าทฤษฎีสาม
00:02:57 → 00:02:58 เหลี่ยมแห่งความรักของเค้ามีชื่อเสียง
00:02:58 → 00:03:02 เนี่ยก็เพราะว่ามันคล้ายๆจะจับต้องได้คน
00:03:02 → 00:03:05 มองเห็นได้ชัดเจนแล้วก็มาเทียบตัวเองว่า
00:03:05 → 00:03:10 เฮ้ยขณะเนี้ยชั้นความรักแบบไหนอืนะคะ
00:03:10 → 00:03:13 อย่างเช่นวันก่อนเนี้ยดูทีวีมีละครที่พ่อ
00:03:13 → 00:03:16 เขาเป็นคนหัวเก่ามากแล้วก็จับลูกสาวแต่ง
00:03:16 → 00:03:19 งานกับลูกของเพื่อนแบบคลุมถุงชนค่ะแล้วก็
00:03:19 → 00:03:22 บอกแต่งแล้วเดี๋ยวรักกันไปเองออะไรอย่าง
00:03:22 → 00:03:24 เงี้ยนะฮะแล้วลูกสาวก็เป็นคนที่เชื่อฟัง
00:03:24 → 00:03:27 พ่อแม่ก็แต่งนะคะเสร็จแล้วก็ไม่ไม่แฮ
00:03:27 → 00:03:29 แฮปปี้กับชีวิตครอบครัวในที่สุดก็อย่า
00:03:29 → 00:03:32 ร้างกันอะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะอเพราะ
00:03:32 → 00:03:36 ฉะนั้นตรงเนี้ยมันคือความรักแบบไหนแต่ง
00:03:36 → 00:03:42 รักมั้ยรักอ่ารักแบบไหนอือ่าเริ่มคิดและ
00:03:42 → 00:03:44 ใช่มั้ยคะเพราะฉะนั้นทฤษฎีสามเหลี่ยมของ
00:03:44 → 00:03:47 สเตนเบิเนี่ยเค้าจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า
00:03:47 → 00:03:50 เอ๊ะคนๆเนี้ยที่คุณสุรีพรกำลังไปชอบเ้า
00:03:50 → 00:03:53 อยู่เนี่ยคุณรักเ้าแบบไหนเออถึงขั้นไหน
00:03:54 → 00:03:57 และทำไมเราถึงมีคำว่าคนเนี้ยเมียนะคนนี้
00:03:57 → 00:04:02 แฟนคนนี้กิ๊กคนนี้คนรักอะไรทำไมมันมีหลาย
00:04:02 → 00:04:06 คำงงสถานะนะคะก็พอมันมีเสนอมาว่าให้พูด
00:04:06 → 00:04:08 เรื่องเนี้ยนะคะเรื่องทฤษฎีสามเหลี่ยม
00:04:08 → 00:04:11 แห่งความรักนี่ก็เลยเออดีเหมือนกันค่ะ
00:04:11 → 00:04:14 ท่านผู้ฟังจะได้พอเข้าใจว่าหลายคนคิดอะไร
00:04:14 → 00:04:16 อยู่เพราะว่าตอนที่จันวิภายังเป็นอาจารย์
00:04:16 → 00:04:18 สอนหนังสืออยู่เนี่ยนะคะมีลูกศิษย์มา
00:04:19 → 00:04:22 ปรึกษาเรื่องความรักมากมายนะคะเราก็จะถาม
00:04:22 → 00:04:25 ว่าที่หนูรู้สึกอยู่เนี่ยมันเป็นความรัก
00:04:25 → 00:04:29 หรือมันเป็นความหลงนะคะมันเหมือนกันยัง
00:04:29 → 00:04:31 กระูกฝาแฝดระหว่างความรักกับความลุ่มหลง
00:04:31 → 00:04:35 เนี่ยถูกมั้ฮะตอบบางทีตอบไม่ได้ด้วยนะ
00:04:35 → 00:04:37 แล้วเพราะว่าถ้าเราหามันไม่เจอหรือเราจับ
00:04:37 → 00:04:40 ต้องมันไม่ได้แยกมันออกจากกันไม่ได้มัน
00:04:40 → 00:04:42 เหมือนแฝดเหมือนน่ะนึกออกมั้ฮะแต่ถ้าเรา
00:04:42 → 00:04:45 แยกมันออกจากกันไม่ได้ชีวิตเราอ่ะจะช้ำ
00:04:45 → 00:04:49 ชอบอืนึกออกมั้ยคะเพราะว่ามันไปด้วยความ
00:04:49 → 00:04:52 ลุ่มหลงค่ะแต่มันไม่ใช่เป็นความรักพื้น
00:04:52 → 00:04:55 ฐานเพราะฉะนั้นความลุ่มหลงมันจางหายไปค่ะ
00:04:55 → 00:04:58 มันก็หมดไม่เหลือเลยเหลือแต่ซากปลักหัก
00:04:58 → 00:05:01 พังของหัวใจเราอค่ะนึกออกมั้คะโกรธกันไป
00:05:01 → 00:05:04 อ่าเพราะเรารักเค้าแต่เค้าลุ่มหลงเราค่ะ
00:05:04 → 00:05:07 นะฮะอย่างนี้เป็นต้นอุ๊ยน่าสนใจมากค่ะคุณ
00:05:07 → 00:05:10 ผู้ฟังอนะคะทีนี้อ่าอินโทแล้วนะให้ท่าน
00:05:10 → 00:05:13 ผู้ฟังลองดูว่าวันนี้เราคุยกันทฤษฎีแต่
00:05:13 → 00:05:15 ว่าท่านสามารถที่จะเอาไปเทียบเคียงว่า
00:05:16 → 00:05:18 ท่านกำลังรักหรือกำลังหลงหรือกำลังแค่ชอบ
00:05:18 → 00:05:21 เค้าอือนะฮะอะไรอย่างนี้เป็นต้นอ่ะเรามา
00:05:21 → 00:05:24 ลองดูนะคะอย่างแรกเลยอยากให้ท่านผู้ฟัง
00:05:24 → 00:05:28 หลับตานะฮะนึกภาพสามเหลี่ยมด้านเท่ามุม
00:05:28 → 00:05:32 เท่ากันทั้ง 3 มุมแหทฤษฎีเลขาเลยนะคะ
00:05:32 → 00:05:35 เพื่อจะพูดถึงองค์ประกอบของความรักในสาม
00:05:35 → 00:05:38 เหลี่ยมนี้ก่อนองค์ประกอบนี้จะอยู่ที่ไหน
00:05:38 → 00:05:42 อยู่ที่มุม 3 มุมของสามเหลี่ยมนะคะมุมที่
00:05:42 → 00:05:45 1 นั้นเป็นองค์ประกอบที่เราเรียกกันว่า
00:05:45 → 00:05:48 ความใกล้ชิดสนิทสนมมันเป็นองค์ประกอบด้าน
00:05:48 → 00:05:52 อารมณ์ค่ะนะฮะตัวนี้จะเป็นแกนหลักที่
00:05:52 → 00:05:54 สามารถจะทำให้เป็นเริ่มต้นของความ
00:05:54 → 00:05:58 สัมพันธ์ทุกรูปแบบค่อนข้างจะคงทนนะฮะแล้ว
00:05:58 → 00:06:02 ก็มีความมั่นคงค่อนข้างสูงนะคะแล้วก็มีบท
00:06:02 → 00:06:05 บาทสำคัญในการที่จะมีความสัมพันธ์ในระยะ
00:06:05 → 00:06:08 ยาวต่อไปนั่นคือความใกล้ชิดสนิทสนมอจุด
00:06:08 → 00:06:13 เริ่มต้นจุดเริ่มต้นนะคะเ้าถึงได้บอกว่า
00:06:13 → 00:06:16 คนเราเนี่ยแต่งงานกับคนที่เป็นเริ่มต้น
00:06:16 → 00:06:18 จากคำว่าเพื่อนกันมาก่อนเนี่ยมันจะยืนยาว
00:06:18 → 00:06:21 มากที่สุดอืก็เพราะมันเป็นองค์ประกอบตัว
00:06:21 → 00:06:24 นี้แหละค่ะนะฮะออรักแท้มันจะเป็นความรู้
00:06:24 → 00:06:27 สึกดีอ่ะเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันนะคะ
00:06:27 → 00:06:30 อยากจะให้อีกฝ่ายนึงมีความสุขเราจะรู้สึก
00:06:30 → 00:06:33 ว่าเราพึ่งพากันได้นะฮะเข้าใจกันและกัน
00:06:33 → 00:06:38 ได้รู้สึกคุ้นเคยใกล้ชิดนะคะเข้าใจกันและ
00:06:38 → 00:06:41 กันอย่างลึกซึ้งนะคะเอื้ออาทรต่อกันสื่อ
00:06:41 → 00:06:45 สารกันได้ดีไว้ใจกันมันแล้วมันก็ค่อยๆ
00:06:45 → 00:06:48 เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของการคบหาอุ๊ยสาม
00:06:48 → 00:06:51 เหลี่ยมมุมนี้ดีมุมนี้ดีมั้ยนะฮะเพราะ
00:06:51 → 00:06:54 ฉะนั้นเอ่อไปไหนอันตรายก็วิ่งเข้ามุมนี้
00:06:54 → 00:06:58 ก่อนเลยนะคะค่ะมามุมที่ 2 ค่ะจะมุมไหนก็
00:06:58 → 00:07:01 ได้นะฮะซ้ายหรือขวาก็ได้นะคะด้านเท่าอ่ะ
00:07:01 → 00:07:04 มุมที่ 2 เนี่ยนะคะเป็นความ
00:07:04 → 00:07:08 เสน่หานะฮะเป็นความสิเน่หาตรงกับภาษา
00:07:08 → 00:07:11 อังกฤษที่เรียกว่าแชionนี่เบอก passion
00:07:11 → 00:07:14 ต้องทำเสียงงี้ได้นะทำเสียงให้เซ็กซี่บูๆ
00:07:14 → 00:07:16 หน่อยนะคะไม่ใช่ไม่ใช่ให้ด้วยความเสน่หา
00:07:16 → 00:07:20 ใช่มั้คะอ้าอะไรทำนองนั้นนะคะตัวเนี้เป็น
00:07:20 → 00:07:23 องค์ประกอบด้านแรงจูงใจนะฮะเมื่อกี้นี้
00:07:23 → 00:07:25 เป็นองค์ประกอบด้านอารมณ์ใช่มั้ยคะอันนี้
00:07:25 → 00:07:28 ด้านแรงจูงใจซึ่งมักพบในความสัมพันธ์ใน
00:07:29 → 00:07:32 เชิงคู่รักเท่านั้นนะฮะมันจะเด่นชัดใน
00:07:32 → 00:07:35 ความทรงจำแล้วก็มีบทบาทสำคัญในความ
00:07:35 → 00:07:40 สัมพันธ์ระยะสั้นอืนึกถึงอะไรคะ one
00:07:41 → 00:07:45 night stand อ่าอ่าเจอปุ๊บแลกเบอร์ปั๊บ
00:07:45 → 00:07:46 ขึ้นเตียง
00:07:46 → 00:07:51 ปึ๊บนะคะเป็นความต้องการทางเพศค่ะอยาก
00:07:51 → 00:07:54 สัมผัสอยากสัมผัสทางกายเอ่อมันจะมีความ
00:07:54 → 00:07:58 รู้สึกลุ่มหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนะ
00:07:58 → 00:08:00 คะหรือบุคลิกของอีกฝ่ายนึงนะฮะที่ทำให้
00:08:00 → 00:08:04 เกิดความรู้สึกเร่าร้อนนะฮะในความ
00:08:04 → 00:08:07 สัมพันธ์นั้นๆนะฮะมันก็เกิดจากแรงขับภาย
00:08:08 → 00:08:10 ในของเราในระบบของร่างกายเราเนี่ยแหละค่ะ
00:08:10 → 00:08:14 เป็นความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นทางสรีระนะคะ
00:08:14 → 00:08:17 ทำให้เกิดความรู้สึกดึงดูดทางเพศนะฮะเช่น
00:08:17 → 00:08:20 มีความพึงพอใจในรูปลักษณ์รูปรสกลิ่นเสียง
00:08:20 → 00:08:23 ของของเค้าเนี่ยนะคะหรือก็จริตกิริยาของ
00:08:23 → 00:08:26 อีกฝ่ายนึงนะคะหรือเสน่ห์อื่นๆเช่นบางคน
00:08:26 → 00:08:30 เนี่ยเสียงมีเสน่ห์หรือท่าช้ยชายตาหรือ
00:08:30 → 00:08:33 ท่าเดินเยื้องย่างนัสโบกยักคิ้วขึ้นยัก
00:08:33 → 00:08:37 คิ้วลงอะไรอย่างเงี้ยนะคะก็ทำให้กับมันก็
00:08:37 → 00:08:40 จะมีบวกกับความรู้สึกโรแมนติกไปด้วยคือมี
00:08:40 → 00:08:43 จริตนั่นเองใช่แล้วเาค้าก็จะเรียกไอ้ตัว
00:08:43 → 00:08:48 ความรู้สึกนี้ว่ารักแรกพบศพตาอืจริงๆมัน
00:08:48 → 00:08:52 เป็นความเสน่หานะฮะหรือเป็นความเค้าเรียก
00:08:52 → 00:08:55 อะไรภาษาง่ายๆคือความใคร่นั่นแหละแตะตัว
00:08:55 → 00:08:59 ไม่ได้พาเ้าห้องตลอดอ่าอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:08:59 → 00:09:02 ฮะแต่ตรงเนี้ยมันก็เป็นจุดที่ทำให้คนอยาก
00:09:02 → 00:09:04 จะแต่งงานกันถูกมั้ยคะเพราะมันเร่าร้อน
00:09:04 → 00:09:07 มันมันดึงดูดมันแบบแล้วก็แล้วก็สมัยก่อน
00:09:07 → 00:09:10 เนี่ยเราไม่ได้ขึ้นเตียงกันง่ายๆนะฮจะ
00:09:10 → 00:09:13 ต้องไปสู่ขอต่อพ่อแม่อะไรอย่างเงี้ยอ่า
00:09:13 → 00:09:15 เพราะฉะนั้นมันก็เลยมันก็เลยเป็นเรื่อง
00:09:15 → 00:09:17 ของการที่เราจะนำไปสู่การแต่งงานได้
00:09:18 → 00:09:22 เหมือนกันถูกมั้อ๋อค่ะอมุมที่ 3 ค่ะมุม
00:09:22 → 00:09:24 ที่ 3 เนี่ยเราเรียกว่าความผูกมัดเป็น
00:09:24 → 00:09:27 องค์ประกอบด้านความคิดเป็นความผันแปรใน
00:09:27 → 00:09:30 แต่ละช่วงของอายุแล้วก็มีผลต่อความรู้สึก
00:09:30 → 00:09:33 เจ็บปวดหรือเอ่อการควบคุมตัวเองของคนแต่
00:09:33 → 00:09:37 ละคนด้วยนั่นก็คืออะไรคะมันเป็นความรู้
00:09:37 → 00:09:40 สึกตกลงปลงใจแล้วว่าคนๆเนี้ยฉันอยากจะ
00:09:40 → 00:09:44 ตื่นมาแล้วเห็นหน้าคนๆเนี้ยเป็นคนแรกนะฮะ
00:09:44 → 00:09:47 อยากจะอยู่เคียงข้างกับคนๆนี้ไปตลอดอะไร
00:09:47 → 00:09:49 เงี้ยนะฮะแต่ไม่ได้แคร์นะคะว่าอยู่ด้วย
00:09:49 → 00:09:52 กันแล้วจะมีความสุขมั้ยนึกออกมั้ยคะเพียง
00:09:52 → 00:09:54 แต่ว่าอยากจะรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้
00:09:54 → 00:09:57 มากๆนี่คือความผูกมัดเพราะฉะนั้นบางคน
00:09:57 → 00:10:01 เนี่ยจึงตัดสินใจที่จะมั่นหมายตัดสินใจ
00:10:01 → 00:10:04 ที่จะแต่งงานตัดสินใจที่จะให้สังคมรับรู้
00:10:04 → 00:10:07 ว่าฉันเป็นแฟนกันเหมือนกับอยากประกาศตัว
00:10:07 → 00:10:10 ว่านี่แฟนฉันนะอะไรอย่างเงี้ยนะฮะมันเป็น
00:10:10 → 00:10:12 ข้อผูกมัดทางสังคมค่ะตามยุคตามสมัยเนาะ
00:10:13 → 00:10:15 อย่างที่บอกว่าถ้าเป็นสมัยจันทร์วิภา
00:10:15 → 00:10:18 เนี่ยก็จะต้องสู่ขอต่อพ่อแม่แต่งงานมีการ
00:10:18 → 00:10:19 มั่น
00:10:19 → 00:10:22 แต่ณบัดนาวมันไม่ใช่แค่บอกโซเชียลว่านี่
00:10:22 → 00:10:27 แฟนฉันนะนี่คนของฉันนะนี่ขอโทษนะคะขอใช้
00:10:27 → 00:10:29 คำว่านี่ผัวฉันนะนี่เมียฉันนะอะไรอย่าง
00:10:29 → 00:10:31 เงี้ยแสดงความเป็นเจ้าของใช่เป็นเจ้าของ
00:10:31 → 00:10:34 นะฮะแล้วก็วัยเนี่ยมันจะทำให้เรารับรู้
00:10:34 → 00:10:37 ความพันธะความผูกพันที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น
00:10:37 → 00:10:39 เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆนะคะเมื่อมี
00:10:39 → 00:10:41 ความสนิทสนมกันมากขึ้นมันก็อาจจะเปลี่ยน
00:10:41 → 00:10:44 ระดับของความสุขความพอใจในแต่ละช่วงของ
00:10:44 → 00:10:48 เวลาไม่ได้อยู่นิรันดร์การค่ะไม่ใช่ไม่
00:10:48 → 00:10:50 ว่าตอนนี้อยากจะมีความสัมพันธที่ดีแล้ว
00:10:50 → 00:10:52 มันจะดีไปตลอดกาลเหมือนกับที่พูดตอนแรก
00:10:52 → 00:10:54 อ่ะไม่ได้เกี่ยวกับการที่จะอยู่ด้วยกัน
00:10:54 → 00:10:57 อย่างมีความสุขมั้ยแต่ตอนเมันอยากได้อ่ะ
00:10:57 → 00:11:00 ออนึกออกมั้ฮะมันอยากได้อยากเป็นเจ้าของ
00:11:00 → 00:11:04 อยากจับจองนะฮะนี่คือ 3 มุมของสามเหลี่ยม
00:11:04 → 00:11:08 ซึ่งนั่นคือองค์ประกอบนะคะจากองค์ประกอบ 3
00:11:08 → 00:11:10 มุมเนี่ยค่ะมันนำมาสู่ความรักได้ถึง 8
00:11:10 → 00:11:14 รูปแบบด้วยกันอ่าทีนี้ล่ะท่านผู้ฟังต้อง
00:11:14 → 00:11:18 ค่อยๆแยกแยะนะคะอ่าพร้อมแล้วนึกทราบต่อไป
00:11:19 → 00:11:22 ว่าความรักแบบที่ 1 เนี่ยค่ะคือความรัก
00:11:22 → 00:11:25 ที่อยู่นอกสามเหลี่ยมนี้เลยอืนะคะไม่มี
00:11:25 → 00:11:28 องค์ประกอบทั้ง 3 ตัวเลยค่ะนะฮะเป็นความ
00:11:28 → 00:11:31 รักแบบที่เราเรียกว่ามันไม่มีความรักเกิด
00:11:31 → 00:11:34 ขึ้นเลยอ่ะนะฮะคือไม่มีองค์ประกอบทั้ง 3
00:11:34 → 00:11:36 ตัวนี่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใน
00:11:36 → 00:11:39 ชั่วระยะเวลาใดเวลาหนึ่งก็คือบุคคลที่ไม่
00:11:39 → 00:11:43 มีความรักอ่ะนี่คือแบบที่ 1 ไม่มีความรัก
00:11:43 → 00:11:46 ไม่มีความรักเลย No love เลยแบบนั้น
00:11:46 → 00:11:50 นะอยู่นอกสามเหลี่ยมไปเลยแบบที่ 1 อ่ะพอ
00:11:50 → 00:11:53 แบบที่ 2 นั้นเริ่มเข้ามาในสามเหลี่ยมและ
00:11:53 → 00:11:58 นะคะก็คือความรักแบบที่อยู่ตรงกับองค์
00:11:58 → 00:12:01 ประกอบที่ 1 เลยก็คือความรักที่มีแต่ความ
00:12:01 → 00:12:05 ใกล้ชิดเท่านั้นนะคะนั่นก็คือเกิดเป็น
00:12:05 → 00:12:08 ความรู้สึกสนิทสนมที่เราเรียกว่าความชอบ
00:12:08 → 00:12:12 ค่ะเช่นรู้สึกรักเพื่อนนะฮะเอ่อหรือคนรู้
00:12:12 → 00:12:15 จักคนข้างบ้านชอบอ่ะคนเนี้ย
00:12:15 → 00:12:20 ดูดีอ่ะนะฮะนิสัยดีอ่ะนะฮะอันเนี้ยก็คือ
00:12:20 → 00:12:22 ความรักรูปแบบที่อยู่ตรงกับองค์ประกอบที่
00:12:22 → 00:12:25 1 เลยก็คือเป็นเรื่องของความชอบที่ตรง
00:12:25 → 00:12:28 กับองค์ประกอบในเรื่องของความใกล้ชิดถูก
00:12:28 → 00:12:31 มั้ยคะค่ะความรักแบบที่ 3 นะคะเป็นความ
00:12:32 → 00:12:35 รักแบบหลงใหลความรักแบบหลงใหลเนี่ยนะคะก็
00:12:35 → 00:12:41 จะตรงกับองค์ประกอบที่เสิเนหาเลยออ่าที่ 2
00:12:41 → 00:12:44 เลยก็คือความรักแบบแพชชั่นเนี่ยมันก็เป็น
00:12:44 → 00:12:47 ความหลงไหลนะฮะประกอบด้วยเสน่หาอย่าง
00:12:47 → 00:12:51 เดียวเลยซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยมากนะคะแล้ว
00:12:51 → 00:12:54 ก็เป็นเอ่อทำนองที่พูดอ่ะค่ะคือรักแรกพบ
00:12:54 → 00:12:57 เจอคนนี้ปั๊บรักเลยนะฮะเอ่อจารวิภาอยู่
00:12:57 → 00:13:00 กับลูกศิษย์หนุ่มๆผู้ชายเนี่ยเวลาเราไปดู
00:13:00 → 00:13:03 งานขนาดนั่งอยู่บนรถบาสเ่ะเห็นสาวเดิน
00:13:03 → 00:13:06 อยู่ข้างถนนแม่ๆคนเนี้ยจองเลยแม่ไปมั่น
00:13:06 → 00:13:09 ให้หนูเลยอะไรอย่างเงี้ยนะคะมันก็เป็น
00:13:09 → 00:13:12 ความอะไรของเด็กหนุ่มอ่ะนะที่เขาเห็นปั๊บ
00:13:12 → 00:13:14 เก็รักปุ๊บอะไรอย่างเงี้ยนี่คือความรู้
00:13:14 → 00:13:18 สึกแบบนี้แบบหลงนะคะอความรักแบบต่อไปค่ะ
00:13:18 → 00:13:21 เป็นความรักที่มีองค์ประกอบอยู่ที่ความ
00:13:21 → 00:13:23 ผูกมัดเพียงอย่างเดียวเราเรียกว่าเป็น
00:13:23 → 00:13:28 ความรักแบบใช้คำว่าอะไรดีอ่ะว่างเปล่านะ
00:13:28 → 00:13:31 ฮะนั่นก็หมายความว่ายังไงเช่นถูกจับแต่ง
00:13:31 → 00:13:34 งานแบบคลุมถุงชนนึกออกมั้ยคะอืเอ่อ
00:13:34 → 00:13:37 อันเนี้ยจะตรงกับความผูกมัดเลยองค์ประกอบ
00:13:37 → 00:13:40 ของความผูกมัดเลยค่ะก็คือว่าไม่ได้รู้จัก
00:13:41 → 00:13:43 กันมาก่อนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันมาก่อน
00:13:43 → 00:13:46 แต่ว่าพ่อแม่เห็นว่าดีเอาเลยนะฮะจับคู่
00:13:46 → 00:13:49 กันให้เลยนะคะก็เพียงแต่คน 2 คนมาอยู่
00:13:49 → 00:13:52 ด้วยกันด้วยอะไรอ่ะคะด้วยความผูกมัดใน
00:13:52 → 00:13:56 คอนitionต่างๆนะฮะเช่นอันนี้อาจจะตกลงกัน
00:13:56 → 00:13:58 ไว้พ่อแม่ตกลงเอาลูกมาขัดดอกอะไรอย่าง
00:13:58 → 00:14:01 เงี้ก็แล้วแต่นะก็ไม่รู้สินะคะสมัยนี้ยัง
00:14:02 → 00:14:05 มีมั้ยอ่ะขัดดอกอ่ะนะคะอะไรทำนองนั้นน่ะ
00:14:05 → 00:14:07 ค่ะความรักต่อไปอันนี้เป็นแบบผสมและเมื่อ
00:14:08 → 00:14:11 กี้นี้ตรงอุตรงกับองค์ประกอบถูกมั้ยคะตอน
00:14:11 → 00:14:13 นี้เป็นแบบผสมและความรักแบบต่อไปก็คือ
00:14:13 → 00:14:16 ความรักแบบโรแมนติกอืความรักแบบโรแมนติก
00:14:16 → 00:14:20 เนี่ยนะคะขาข้างนึงก็คือด้านนึงก็จะเป็น
00:14:20 → 00:14:23 ในเรื่องของความรักแบบความใกล้ชิดบวกกับ
00:14:23 → 00:14:27 ความรักแบบเสิเน่หาค่ะนึกออกมั้ฮะจะอยู่
00:14:27 → 00:14:29 ระหว่าง 2 มุมเนี่ย 2 องค์ประกอบเนี่ยนะ
00:14:29 → 00:14:33 คะเมื่อรู้จักกันใกล้ชิดกันจนเกิดความรู้
00:14:33 → 00:14:36 สึกตื่นตัวทางร่างกายนะฮะอยากอยู่ใกล้ชิด
00:14:36 → 00:14:39 กันอยากสัมผัสอยากแตะเนื้อต้องตัวอยาก
00:14:39 → 00:14:42 ถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างกันโดยยังไม่มี
00:14:42 → 00:14:47 พันธะผูกพันค่ะไม่มีการผูกมัดโอเข้าใจยัง
00:14:47 → 00:14:50 เป็นความรักแบบโรแมนติกออเค้าทนได้ด้วย
00:14:50 → 00:14:53 หรอที่จะไม่ต้องมีความผูกพันพันธะทางร่าง
00:14:53 → 00:14:57 กายไม่Noๆๆๆๆพันธะทางร่างกายสิคะเ้ามี
00:14:57 → 00:15:02 แชionไงอ่าเ้ามีความเสิเน่หาไงแต่ไม่ได้
00:15:02 → 00:15:04 ผูกมัดคือไม่ต้องมั่นกันไม่ต้องแต่งกัน
00:15:04 → 00:15:08 เข้าใจยังได้อ่าๆๆไปอยู่ด้วยกันก่อนอ่า
00:15:08 → 00:15:11 แต่ไม่มีพันธะผูกมัดเราใช้คำว่าอย่างนั้น
00:15:11 → 00:15:14 แต่ว่ามีความใกล้ชิดที่สนิทสนมอยากมีความ
00:15:14 → 00:15:17 สัมพันธ์ทางกายนึกออกมั้ยแต่ไม่มีข้อ
00:15:17 → 00:15:21 คitionว่ามีอะไรกันแล้วต้องแต่งเห็นมั้ย
00:15:21 → 00:15:24 คะอ่าความรักแบบต่อไปเป็นความรักแบบ
00:15:24 → 00:15:28 มิตรภาพนะคะก็เป็นความรักที่อยู่ระหว่าง
00:15:28 → 00:15:31 ความใกล้ชิดกับความผูกมัดเห็นได้ยังอัน
00:15:31 → 00:15:33 นี้ไม่มีเรื่องเซ็ก์แล้วนะเป็นความใกล้
00:15:33 → 00:15:36 ชิดกับความผูกมัดอันเนี้ยจะเป็นความ
00:15:36 → 00:15:39 สัมพันธ์ที่มักจะเกิดขึ้นในระยะยาวเช่น
00:15:39 → 00:15:42 ความรักแบบเพื่อนเห็นยังคะแต่ไม่เข้ามา
00:15:42 → 00:15:46 เกี่ยวนะความรักแบบเอ่อหรือคู่ที่แต่งงาน
00:15:46 → 00:15:49 กันนะคะแล้วก็ใช้ชีวิตร่วมกันมานานบางคู่
00:15:49 → 00:15:52 ก็จะเป็นแบบนี้นะคะก็คืออยู่กันมาจนไอ้
00:15:52 → 00:15:55 ความรักแบบเสิเนหาน่ะมันกลายเป็นความรัก
00:15:55 → 00:15:58 แบบผูกพันไปแล้วมิตรภาพไปแล้วอ๋องั้นแสดง
00:15:58 → 00:16:01 ว่ามันไม่ได้บอกว่ามันจะตายตัวตามนี้แต่
00:16:01 → 00:16:04 เพียงแค่ว่าในระยะเวลาทำให้ใช่ค่ะก็อย่าง
00:16:04 → 00:16:06 ที่เราบอกกันเสมอเลยว่าความรักเนี่ยมัน
00:16:06 → 00:16:09 ไม่มีจีรังยั่งยืนมันจะเปลี่ยนรูปแบบของ
00:16:09 → 00:16:12 มันไปเรื่อยๆนะคะเหมือนที่เราบอกว่าก่อน
00:16:12 → 00:16:15 แต่งงานเนี่ยเราก็อาจจะเป็นความรักแบบ
00:16:15 → 00:16:18 โรแมนติกเนาะแล้วพอแต่งงานเสร็จแล้วเนี่ย
00:16:18 → 00:16:21 มันก็จะความรักแบบหวานชื่นแบบนั้นน่ะมัน
00:16:21 → 00:16:23 จะค่อยๆหายไปแต่มันจะเกิดความรักชนิดใหม่
00:16:23 → 00:16:26 ขึ้นมาก็คือความรักแบบมิตรภาพหรือplทonic
00:16:26 → 00:16:29 love จำได้มั้ยคะที่เราเคยพูดถึงกันค่ะ
00:16:29 → 00:16:32 ความรักไม่มีการอยู่กับที่มันจะเปลี่ยน
00:16:32 → 00:16:35 รูปแบบไปเรื่อยๆอ๋อแสดงว่าเราก็คงคาดหวัง
00:16:35 → 00:16:37 กับเรื่องความรักไม่ได้ใช่มันเป็นไปตาม
00:16:37 → 00:16:41 วัยแล้วก็ตามสถานการณ์อย่างเช่นตอนที่
00:16:41 → 00:16:43 ความรักมันสุกงอมหอมหวานที่สุดเนี่ยก็คือ
00:16:43 → 00:16:46 ก่อนแต่งงานค่ะโดยทั่วไปนะคะพอหลังแต่ง
00:16:46 → 00:16:49 งานแล้วเนี่ยความรักแบบหวานชืมจะลดลงไป
00:16:49 → 00:16:52 เรื่อยๆมันจะมีความรักแบบใหม่ผุขึ้นมา
00:16:52 → 00:16:56 เสมอนะคะเป็นเคิฟที่ขึ้นลงไปตลอดล่ะค่ะ
00:16:56 → 00:17:00 ค่ะความรักแบบต่อไปค่ะเราเรียกว่าความรัก
00:17:00 → 00:17:02 แบบไร้
00:17:02 → 00:17:05 สตินะคะเป็นความรักที่มีองค์ประกอบ 2
00:17:05 → 00:17:08 ด้านคือด้านนึงคือความเสน่หากับอีกด้าน
00:17:08 → 00:17:12 นึงคือความผูกมัดอ่านะคะโดยที่บุคคลเนี้ย
00:17:12 → 00:17:15 มักจะพบรักแล้วก็ผูกพันกันอย่างรวดเร็ว
00:17:15 → 00:17:18 แต่มักจบเร็วด้วยอนะฮะอย่างเคยได้ยินมั้ย
00:17:18 → 00:17:22 คะเอ่อกฎหมายที่ที่อเมริกาเงี้ยเจอกัน
00:17:22 → 00:17:24 ปุ๊บไปแต่งงานกันที่เวกัสเพราะว่าที่
00:17:24 → 00:17:27 เวกัสนี่ไม่แคร์ใครจะแต่งกับใครก็ได้เป็น
00:17:27 → 00:17:30 อิสระนะคะเพราะฉะนั้นแต่งงานเสร็จแล้ว
00:17:30 → 00:17:33 อย่าแล้ววันรุ่งขึ้นนึกออกมั้ยคะเพราะ
00:17:33 → 00:17:35 ฉะนั้นเนี่ยมันเป็นความเสน่หาบวกกับอยาก
00:17:35 → 00:17:39 จะมีการผูกมัดอ่ะเออไม่อยากให้เธอเป็นของ
00:17:39 → 00:17:41 ใครอะไรอย่างเงี้
00:17:41 → 00:17:45 ประนะฮะหรือคนที่บ้านเราก็ประเภทเอ่อจะ
00:17:45 → 00:17:48 ใช้คำว่าอะไรอ่ะเจอปุ๊บแต่งเลยโดยที่ยัง
00:17:48 → 00:17:51 ไม่ได้ศึกษากันและกันเลยว่านิสัยใจคอเป็น
00:17:51 → 00:17:54 อย่างไรนะฮะแล้วเราก็จะคล้ายๆแบบนี้ขึ้น
00:17:55 → 00:17:58 มาขึ้นเรื่อยๆอ่ะนะฮะบ้านเราอ่ะมีเคสแบบ
00:17:58 → 00:18:00 นี้อ่าเพราะว่าบ้านเราเนี่ยเมื่อก่อน
00:18:00 → 00:18:03 เนี้ยมันจะมีอะไรก็ต้องมาให้พ่อแม่ช่วยดู
00:18:03 → 00:18:05 ผู้ใหญ่ช่วยดูว่าดีมั้ยอะไรมั้ยแต่เดี๋ยว
00:18:06 → 00:18:08 นี้ไม่ไค่ะบางคนเนี่ยลุ่มหลงไปเสียเงิน
00:18:08 → 00:18:11 เสียทองไปตั้งเท่าไหร่ล่ะค่ะเสียเป็นแสน
00:18:11 → 00:18:14 แขนก็ไม่ได้จับโอ๊ยอันนี้ก็เยอะเลยนะใช่
00:18:14 → 00:18:17 มั้คะนะฮะเงี้ยเราเรียกว่าความรักแบบไร้
00:18:17 → 00:18:20 สติบางคนเวงเล็บให้ด้วยว่าสติไม่ใช่สติ
00:18:20 → 00:18:24 ธรรมดาสติปัญญาเ้าบอกอย่างงี้นะคะก็คือ
00:18:24 → 00:18:27 ถูกหลอกถูกอะไรอย่างเงี้ยค่ะนะฮะเพราะว่า
00:18:27 → 00:18:30 เค้าหลอกให้เหมือนกับว่าผูกมัดแต่จริงๆ
00:18:30 → 00:18:34 แล้วเราไม่ได้เป็นฝ่ายมัดเค้านะเค้าแหละ
00:18:34 → 00:18:37 เออหลอกนะคะและความรักแบบที่ 8 ที่เกิด
00:18:37 → 00:18:39 จากสามเหลี่ยมนี้ก็คือเเรียกว่าความรัก
00:18:39 → 00:18:43 แบบสมบูรณ์แบบนะคะก็คือความรักที่อยู่ตรง
00:18:43 → 00:18:46 กลางของสามเหลี่ยมเลยมีทั้งองค์ประกอบ
00:18:46 → 00:18:49 ทั้ง 3 ส่วนมีทั้งความใกล้ชิดมีทั้ง
00:18:49 → 00:18:53 เสน่หาแล้วก็มีทั้งความผูกมัดอือฮึนะคะ
00:18:53 → 00:18:56 เป็นเป็นรักที่ใครๆก็ปรารถนาอยากจะได้แบบ
00:18:56 → 00:18:59 นี้แหละนะฮะแต่ก็ยากที่จะเกิดขึ้นแล้วก็
00:18:59 → 00:19:03 รักษาให้คงสภาพไว้ได้เนี่ยจะขึ้นอยู่กับ
00:19:03 → 00:19:05 อะไรขึ้นอยู่กับรูปแบบของความสัมพันธ์
00:19:05 → 00:19:09 แล้วก็สถานการณ์ด้วยนะฮะของคู่นั้นๆเนี่ย
00:19:09 → 00:19:11 กับสิ่งแวดล้อมของความสัมพันธ์ระหว่าง
00:19:11 → 00:19:14 ทั้ง 2 คนค่ะแต่อย่าลืมว่าไม่มีใครหรอก
00:19:14 → 00:19:18 ค่ะที่ความรักจะสมบูรณ์แบบแล้วก็ตลอดกา
00:19:18 → 00:19:21 นึกออกมั้ยคะมันอาจจะสมบูรณ์แบบณจุดๆนึง
00:19:21 → 00:19:23 เช่นตอนช่วงที่กำลังจะแต่งงานอย่างที่บอก
00:19:23 → 00:19:26 แต่เสร็จแล้วเวลามันก็จะเปลี่ยนแปลงไปนะ
00:19:26 → 00:19:29 คะซึ่งจันทวิภาอยากจะบอกท่านผู้ฟังว่า
00:19:29 → 00:19:32 ความรักทั้ง 8 แบบเนี่ยนะคะแล้วเราจะบอก
00:19:32 → 00:19:35 ว่าเราอยากจะมีความรักที่เพเฟคหรือ
00:19:35 → 00:19:38 สมบูรณ์แบบที่ 8 เนี่ยไปตลอดเนี่ยนะคะไม่
00:19:38 → 00:19:42 จำเป็นค่ะนะฮะเพราะความรักที่ดีในตอน
00:19:42 → 00:19:44 เนี้ยไม่ได้จำเป็นจะต้องประกอบด้วยทั้ง 3
00:19:44 → 00:19:47 องค์ประกอบนะคะแต่ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาด
00:19:47 → 00:19:52 บกพร่องไปนะคะเราต้องค่อยๆเติมนะคะค่อยๆ
00:19:52 → 00:19:57 แก้ไขก็ยังไม่สายนะฮะการพูดคุยเปิดใจกัน
00:19:57 → 00:20:00 ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้เกิดความใกล้ชิด
00:20:00 → 00:20:02 เสนมให้มากขึ้นนะฮะมันก็จะช่วยปรับ
00:20:02 → 00:20:06 เปลี่ยนในเรื่องที่มันแก้ไขได้เช่นในกรณี
00:20:06 → 00:20:08 ของคู่สามีภรรยา
00:20:08 → 00:20:11 ที่มีความรักแบบสมบูรณ์แบบในตอนแรกเสร็จ
00:20:11 → 00:20:14 แล้วมันก็ค่อยๆกลายบิ่นมั่งขาดมั่งแหว่ง
00:20:14 → 00:20:18 มั่งนะคะความใกล้ชิดสนิทสนมมันค่อยๆหายไป
00:20:18 → 00:20:21 แล้วก็แก้ไขค่ะนะฮะโดยทำกิจกรรมร่วมกัน
00:20:21 → 00:20:24 หรืออะไรร่วมกันหรือมีปัญหาเรื่องบนเตียง
00:20:24 → 00:20:27 นะคะด้วยวัยด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่มันทำให้
00:20:27 → 00:20:29 เราไม่เหมือนตอนที่เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว
00:20:29 → 00:20:32 เราก็มาคุยกันเรามาปรับเปลี่ยนเลือกบน
00:20:32 → 00:20:34 เตียงกันว่าทำยังไงจะแก้ไขได้ทำยังไงจะ
00:20:34 → 00:20:39 ช่วยเหลือกันได้นะคะแล้วแล้วก็ร่วมมือกัน
00:20:39 → 00:20:41 นะคะเพราะฉะนั้นความรักที่ดีกับความรัก
00:20:41 → 00:20:45 ที่สมบูรณ์แบบเนี่ยไม่เหมือนกันอืนะคะรัก
00:20:45 → 00:20:49 แบบไหนเนี่ยถ้าหากว่าเราทั้ง 2 ฝ่ายพอใจ
00:20:49 → 00:20:52 ค่ะไม่ว่าจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งนะคะเราก็
00:20:52 → 00:20:54 สามารถแล้วเราก็ไม่ไม่ได้ทำให้ใครเดือด
00:20:54 → 00:20:57 ร้อนเราก็มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขกับความ
00:20:57 → 00:21:00 รักแบบไหนก็ได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้อง
00:21:00 → 00:21:02 เปลี่ยนแปลงให้มันเป็นความรักที่สมบูรณ์
00:21:02 → 00:21:05 แบบเสมอไปนึกออกมั้ยคะอาจารย์นิภากตัว
00:21:05 → 00:21:06 อย่าง
00:21:06 → 00:21:10 เช่นสมมุตินะคะว่าสามีเนี่ยมีปัญหาใน
00:21:10 → 00:21:13 เรื่องสุขภาพนะคะอ่าเอาเป็นว่าต้องพิการ
00:21:14 → 00:21:16 ล่ะต้องอยู่บนรถเข็นนะคะแล้วสามีบางคนก็
00:21:16 → 00:21:19 มีความรู้สึกว่าตัวเองผิดอยากจะหย่าขาด
00:21:19 → 00:21:22 กับภรรยาเพื่อที่ให้ภรรยาไปมีคนใหม่ที่
00:21:22 → 00:21:26 เขาสมบูรณ์กับตัวเองนะคะแต่ปรากฏว่าภรรยา
00:21:26 → 00:21:29 เ้าไม่ได้แคร์ตรงนั้นนึกออกมั้ยคะเค้าไม่
00:21:29 → 00:21:31 ได้แคร์อย่างที่สามีคิดว่าเขาจะแคร์
00:21:31 → 00:21:34 เรื่องเซ็ก์ค่ะแต่เค้าแคร์กับการที่เขา
00:21:34 → 00:21:36 ได้อยู่กับใครสักคนที่ที่เค้ารักแล้วก็
00:21:36 → 00:21:40 อยากจะทำอะไรให้กับคนที่เค้ารักเค้าก็
00:21:40 → 00:21:42 แฮปปี้และอืออือนะฮะเพราะฉะนั้นเป็นความ
00:21:42 → 00:21:44 คิดที่ต่างกันทั้ง 2 ฝ่ายถ้าเอาความคิด
00:21:44 → 00:21:48 ทั้ง 2 ฝ่ายมาจูนกันนะฮะแล้วให้สามีเข้า
00:21:48 → 00:21:50 ใจว่าเค้าไม่ได้บกพร่องในสิ่งที่ภรรยา
00:21:50 → 00:21:53 ต้องการเลยค่ะเพราะสิ่งที่เขาคิดว่าภรรยา
00:21:53 → 00:21:56 ต้องการนั้นภรรยาไม่ได้ต้องการอืแต่เค้า
00:21:56 → 00:21:59 ต้องการความใกล้ชิดสนิทสนมกับสามีมากกว่า
00:21:59 → 00:22:02 ค่ะนึกออกมั้ยคะเพราะฉะนั้นตรงเนี้ยค่ะ
00:22:02 → 00:22:05 ถึงได้บอกว่าอย่าคิดว่าแหมทำไมฉันฉันจะ
00:22:05 → 00:22:07 ต้องมีความรักแบบสมบูรณ์แบบให้ได้มันจะนำ
00:22:07 → 00:22:11 ฉันไปสู่ความสำเร็จในชีวิตคู่ไม่จริงค่ะ
00:22:11 → 00:22:13 บอกแล้วมันจะแหว่งมันจะวิ่นมันจะเป็นแบบ
00:22:13 → 00:22:16 ไหนก็ตามเราต้องแก้ไขและเติมเต็มมันเท่า
00:22:16 → 00:22:20 นั้นเองอืค่ะมันดูเหมือนจะเหมือนจะง่ายใน
00:22:20 → 00:22:22 การที่จะมาเติมเต็มหรือว่ากลับมาในสูตร
00:22:22 → 00:22:25 ของความที่เราจะสมบูรณ์แบบมากที่สุดบางคน
00:22:25 → 00:22:27 คาดหวังอย่างเงี้ค่ะอาจารย์ว่าชีวิตคู่
00:22:27 → 00:22:31 ของฉันเนี่ยจะต้องเพเฟคค่ะดีที่สุดในสาย
00:22:31 → 00:22:36 ตาคนอื่นๆแต่ความพยายามน้ำมันเยอะเกินไป
00:22:36 → 00:22:39 มันก็จะเหนื่อยได้เหมือนกันในในบางทีอาจ
00:22:39 → 00:22:42 จะไม่ต้องสมบูรณ์แบบ 100% ก็ได้ค่ะซักแบบ
00:22:42 → 00:22:46 70 80% มันก็ดีกว่าที่จะไม่มีหรือว่า
00:22:46 → 00:22:48 มันมีน้อยกว่า 50% ในความสมมุติแบบนั้น
00:22:48 → 00:22:52 ค่ะใช่ค่ะอืแต่ละคนก็มีความสมบูรณ์แล้วพอ
00:22:53 → 00:22:56 คุณสุรีพรพูดว่าอยากให้สมบูรณ์แบบในสายตา
00:22:56 → 00:23:00 คนอื่นอาจารย์วิภาขอแก้เถอะค่ะว่าอย่าทำ
00:23:00 → 00:23:03 เพื่อคนอื่นค่ะทำเพื่อตัวเราเองให้มัน
00:23:03 → 00:23:06 สมบูรณ์หรือมีความสุขในสายตาของเราเองและ
00:23:06 → 00:23:08 คู่ของเราและครอบครัวของเราไม่ต้องไปแคร์
00:23:08 → 00:23:11 คนรอบข้างอินเนอร์มันจะออกมาเลยใช่มั้คะ
00:23:11 → 00:23:13 แบบอินเนอร์จะออกเอ้ยฉันครอบครัวเรามี
00:23:14 → 00:23:15 ความสุขอ่ะอะไรอย่างี้ใช่ค่ะมันจะออกมา
00:23:16 → 00:23:18 จากสายตาเป็นประกายอย่างเด็กๆเงี้ยนะคะ
00:23:18 → 00:23:22 เอาง่ายๆเลยถามเด็กด้วยคำถามว่าเออคุณพ่อ
00:23:22 → 00:23:25 คุณแม่รักหนูมั้ยคะเนี่ยโอพอเตาเป็น
00:23:25 → 00:23:28 ประกายแล้วเตอบมาว่ารักค่ะอะไรอย่างเงี้ย
00:23:28 → 00:23:31 นะฮะกับเด็กอีกคนนึงเนี่ยพอจะได้พาถามว่า
00:23:31 → 00:23:34 คุณพ่อคุณแม่รักหนูมั้ยลูกตามันมองมองมา
00:23:34 → 00:23:37 แบบคิดนานกว่าจะตอบได้ว่ารักไม่รักแล้วตา
00:23:37 → 00:23:41 มันก็ไม่เป็นประกายบางคนตาเศร้าตาหมอง
00:23:41 → 00:23:43 ด้วยซ้ำไปมันสะท้อนออกมาได้หมดเลยค่ะว่า
00:23:43 → 00:23:46 เด็กคนเนี้ยพื้นฐานเป็นไงนะบางคนนี่คิด
00:23:46 → 00:23:49 นานมากเลยว่ารักไม่รักแล้วก็มาบอกว่ารัก
00:23:49 → 00:23:51 ค่ะ
00:23:51 → 00:23:53 แต่จริงๆเก็ยังสงสัยว่าพ่อแม่รักเค้าหรือ
00:23:53 → 00:23:57 เปล่าเออเห็นมั้ยคะมันต่างกันเพราะฉะนั้น
00:23:57 → 00:24:00 ในแง่ของพฤติกรรมศาสตร์เนี่ยมันจะมองได้
00:24:00 → 00:24:03 หมดว่าไม่ว่าสิ่งที่แสดงออกหรือการกระทำ
00:24:03 → 00:24:05 หรืออะไรพวกเนี้ยค่ะมันสะท้อนอะไรได้มาก
00:24:05 → 00:24:10 มายอืแววตานี่เห็นชัดดีนะคะนะคะก็ลองดู
00:24:10 → 00:24:13 แล้วกันค่ะคุณผู้ฟังว่าอยู่ในทฤษฎีความ
00:24:13 → 00:24:16 รักในสามเหลี่ยมนี้เนี่ยอยู่ในอันไหนนะคะ
00:24:16 → 00:24:18 แล้วก็อ่าทุกอย่างอาจารย์บอกแล้วว่ามัน
00:24:18 → 00:24:21 ปรับมันเปลี่ยนมันได้มันทำให้เกิดความ
00:24:21 → 00:24:24 สมบูรณ์ได้ทุกอย่างมันก็ยังอยู่ในสาม
00:24:24 → 00:24:25 เหลี่ยมนี่แหละมันจะหมุนวนไปทางไหนแค่
00:24:25 → 00:24:28 นั้นเองนะคะเอาให้เหมาะสมกับคู่ของเราก็
00:24:28 → 00:24:30 แล้วกันขอบคุณอาจารย์ค่ะสวัสดีค่ะยินดี
00:24:30 → 00:24:34 ค่ะเอาล่ะค่ะก็หมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบ
00:24:34 → 00:24:36 กันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทาง Thai
00:24:36 → 00:24:39 PBS Podcast นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดี
00:24:39 → 00:24:43 ค่ะ This is Thai PBS Podcast การ
00:24:43 → 00:24:45 ร้องไห้เสียน้ำตาช่วยระบายความเศร้าหมอง
00:24:45 → 00:24:47 ได้แต่ทำไมบางคนแม้อยู่ในความเศร้าแต่
00:24:47 → 00:24:50 ร้องไม่ออกและอธิบายปัญหาไม่ได้ดร.สุวุฒิ
00:24:51 → 00:24:54 วงทังงสวัสดิ์นักจิตวิทยาการปรึกษามาเล่า
00:24:54 → 00:24:57 ให้ฟังครับจริงๆเศร้าแต่ร้องไม่ออกเนี่ย
00:24:57 → 00:24:59 มันอาจจะเศร้าคนละโทนก็ได้เนาะแต่ต้องบอก
00:24:59 → 00:25:01 ว่าการที่ร้องไม่ออกมันอาจจะเป็นไปได้จาก
00:25:01 → 00:25:04 การที่ตัวเราอยู่ในบริบทที่ไม่สะดวกที่จะ
00:25:04 → 00:25:08 ร้องเช่นตัวเราจะต้องอยู่ในสังคมอยู่ใน
00:25:08 → 00:25:11 แวดวงอยู่ในสถานการณ์ที่แบบมีผู้คนมากมาย
00:25:11 → 00:25:13 มีสิ่งที่เราต้องจัดการคือแต่ละคนจะเค้า
00:25:13 → 00:25:15 เรียกว่าตัดสินการร้องไห้ว่าบวกว่าลบไม่
00:25:16 → 00:25:18 เหมือนกันเช่นคนบางคนอาจจะบอกว่าการร้อง
00:25:18 → 00:25:20 ไห้ไม่จำเป็นเลยมันคนอ่อนแอเท่านั้นถึงจะ
00:25:21 → 00:25:24 ร้องไห้อืหรือร้องไห้ตอนนี้แล้วแม่จะสงบ
00:25:24 → 00:25:26 สุขได้ยังไงหรือร้องไห้แบบนี้เฮ้ยมันดู
00:25:26 → 00:25:28 น่าอายว่าเป็นคนอ่อนแออันเนี้ต้องบอกว่า
00:25:28 → 00:25:31 แต่ละคนจะมีการตีความการตัดสินว่าการร้อง
00:25:31 → 00:25:43 ไห้คือ
00:25:43 → 00:25:46 อะไรสภาวะในจิตใจที่สะสมไว้มากกว่าเหมือน
00:25:46 → 00:25:48 น้ำมันว่ามันเกิดกัดหนองเกิดความอะไรบาง
00:25:49 → 00:25:51 อย่างขึ้นมาในจิตใจเนาะแทนที่มันจะได้เอา
00:25:51 → 00:25:54 ออกแล้วจะได้ล้างชำระล้างอือมันกลายเป็น
00:25:54 → 00:25:56 ว่ามันก็หมกอยู่ข้างในเพราะงั้นเรื่องพวก
00:25:56 → 00:25:59 เนี้ยจะร้องหรือไม่ร้องผมว่าขึ้นกับตัว
00:25:59 → 00:26:01 บุคคลคนนั้นเขามองว่าวิธีไหนเป็นมิตรกับ
00:26:01 → 00:26:03 เขาหรือเป็นประโยชน์กับเขามากกว่ากันซึ่ง
00:26:03 → 00:26:05 เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกอย่างเดียวเรา
00:26:05 → 00:26:06 สามารถรู้สึกทั้ง 2 อย่างพร้อมกันได้
00:26:06 → 00:26:08 เพราะในการรับรู้ของเราอ่ะครับเรามอง
00:26:09 → 00:26:10 ชีวิตเป็นหลายมิติอยู่แล้วเราไม่สามารถ
00:26:10 → 00:26:13 เลือกรับรู้แค่มิติเดียวได้แต่เรารับรู้
00:26:13 → 00:26:15 ทุกๆมิติพร้อมๆกันเพราะงั้นเราสามารถ
00:26:15 → 00:26:17 อนุญาตให้ตัวเองเศร้าไปพร้อมกับการยินดี
00:26:17 → 00:26:20 ได้แต่การยินดีไม่ใช่การสะใจนะบางครั้ง
00:26:20 → 00:26:22 การร้องไห้อาจจะถูกตัดสินว่าเป็นเรื่อง
00:26:22 → 00:26:24 ของเด็กเป็นเรื่องของผู้หญิงเป็นเรื่อง
00:26:24 → 00:26:26 ของความอ่อนแอเพราะงั้นถ้าเราเป็นบุรุษ
00:26:26 → 00:26:29 เพศเราควรจะปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นบุรุษ
00:26:29 → 00:26:31 เพศห้ามร้องไห้อันนี้อาจจะเป็นเรื่องค่า
00:26:31 → 00:26:33 นิยมกับอันที่ 2 แยกต่างหากนะไม่เกี่ยว
00:26:33 → 00:26:36 กับค่านิยมและเกี่ยวข้องกับความดิ้นรนบีบ
00:26:36 → 00:26:38 คั้นของชีวิตที่บางทีผู้ชายคนเนี้ยอาจจะ
00:26:38 → 00:26:41 ต้องเป็นพี่ใหญ่ในบ้านหรือเป็นคนที่ต้อง
00:26:41 → 00:26:43 แบกรับอะไรบางอย่างมันเลยเกิดคำพูดที่บอก
00:26:43 → 00:26:46 ว่าเป็นผู้ชายห้ามร้องไห้อันเนี้ยจะไม่
00:26:46 → 00:26:48 ใช่เรื่องค่านิยมแต่เป็นการพูดเพราะว่า
00:26:48 → 00:26:52 ถ้าเอ็งมัวแต่ร้องไห้เอ็งดูแลใครไม่ได้นะ
00:26:52 → 00:26:53 เพราะงั้นเอ็งอย่าร้องไห้เพราะมันเสีย
00:26:53 → 00:26:55 เวลาแล้วมันไม่จำเป็นมันเลยเป็นคำพูดเชิง
00:26:55 → 00:26:57 อ้อมขึ้นมาที่ไม่ตรงไปตรงมาว่าถ้าเอ็งมด
00:26:57 → 00:26:59 แต่ร้องไห้เอ็งทำดูแลใครไม่ได้แต่มันกลาย
00:26:59 → 00:27:01 เป็นว่าประโยคมันถูกผันเป็นว่าลูกผู้ชาย
00:27:01 → 00:27:03 ห้ามร้องไห้มันเป็นภาษาที่แบบไม่ได้ตรงไป
00:27:03 → 00:27:07 ตรงมาแต่อาจจะถูกใช้ด้วยวัตถุประสงค์
00:27:07 → 00:27:08 อย่างนั้นสุขทุกข์เนาะเป็นเรื่องที่มัน
00:27:08 → 00:27:11 ผ่านเวียนวนมาชั่วคราวทั้งนั้นแหละแต่ว่า
00:27:11 → 00:27:14 ชั่วคราวเนี้ยจะยาวจะสั้นบางทีขึ้นกับการ
00:27:14 → 00:27:16 ทำความเข้าใจปัญหาชีวิตด้วยนะถ้าเราไม่ทำ
00:27:16 → 00:27:18 ความเข้าใจปัญหาชีวิตให้ดีบางทีเราจะต้อง
00:27:18 → 00:27:20 เจอความเศร้าซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ถ้าเกิดเข้า
00:27:20 → 00:27:22 ใจว่าอ๋อสาเหตุต้นเหตุที่ทำให้เกิดความ
00:27:22 → 00:27:25 เศร้าความทุกข์นี้เกิดจากอะไรแล้วเรา
00:27:25 → 00:27:26 เริ่มรู้วิธีตัดนะครับแพทเทิร์นมันจะไม่
00:27:27 → 00:27:29 เกิดซ้ำแล้วเราจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้
00:27:29 → 00:27:32 หรือรู้สึกมานั่งเศร้าร้องไม่ออกอีก
00:27:32 → 00:27:34 [เพลง]
00:27:34 → 00:27:38 This is Thai PBS Podcast
00:27:38 → 00:27:41 ติดตามรายการของ Thai PBS Podcast ได้
00:27:41 → 00:27:44 ทางเว็บไซต์ www.thaipspodcast.com
00:27:45 → 00:27:47 thapodcast.com แอปพลิเคช Thai PBBS
00:27:47 → 00:27:50 Podcast รวมถึงฟังผ่าน podcast ช่องทาง
00:27:50 → 00:27:55 อื่นๆ Spotify YouTube Apple Podcast
00:27:55 → 00:27:57 และ Soundcloud เอ้า
00:27:57 → 00:28:00 [เพลง]