00:00:00 → 00:00:03 This is Thai PBS podcast. Vi the
00:00:03 → 00:00:06 world by the voice
00:00:06 → 00:00:09 คนที่จะรู้สึกว่าถูกพิษถูกทอกิคถูกสากรด
00:00:10 → 00:00:12 ใส่เงี้ยครับก็จะเป็นคนที่อยู่รอบตัวมัก
00:00:12 → 00:00:14 จะมีบุคลิกลักษณะบางอย่างที่มีความเชื่อ
00:00:14 → 00:00:17 มั่นในตัวเองสูงค่อนข้างมีทัศนคติทางลบ
00:00:17 → 00:00:19 กับคนอื่นรู้สึกว่าคนอื่นไม่เก่งรู้สึก
00:00:19 → 00:00:22 ว่าคนอื่นกระจอกทำไมคนอื่นทำงานได้ไม่ดี
00:00:22 → 00:00:24 มันมีเรื่องการขโมยผลงานด้วยนะหรือเป็น
00:00:24 → 00:00:26 การโยนความผิดให้คนอื่นตัวเองเก่งอยู่คน
00:00:27 → 00:00:29 เดียวอ่ะเสร็จปุ๊บทำอะไรผิดปั๊บโยนไอ้คน
00:00:29 → 00:00:31 นั้นทำคนนี้ทำก็ไอ้คนนั้นคนนู้นคนนี้ผิด
00:00:31 → 00:00:33 แต่ตัวเองไม่เคยเคยผิดสักอย่างก็มีเพราะ
00:00:33 → 00:00:35 งั้นอะไรก็ตามที่เา้าสามารถทำงานได้ดีผล
00:00:35 → 00:00:38 ลัพธ์ดูเหมือนจะดูดีในเชิงงานแต่ไอ้รอบๆ
00:00:38 → 00:00:41 โตเนี่ยโอ้โหหายนะกันหมดจิตใจย่ำแย่คน
00:00:41 → 00:00:43 เกลียดชังกันอย่างเงี้ยฮะนั่นน่ะมันเป็น
00:00:43 → 00:00:44 สัญญาณที่สะท้อนแล้วว่ามีตัวละครที่
00:00:45 → 00:00:48 ท็อกสิคอยู่ในองค์กรของเรา
00:00:48 → 00:00:51 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:51 → 00:00:55 การโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:55 → 00:00:58 This is Thai PBS Podcast
00:00:58 → 00:01:02 คุณผู้ฟังวันนี้มาฟังกันในเรื่องของคนที่
00:01:02 → 00:01:04 เก่งนะคะแต่ว่าเก่งอย่างเดียวไม่พอเก่ง
00:01:04 → 00:01:07 แล้วยังเป็นพิษในองค์กรอีกต่างหากด้วยนะ
00:01:07 → 00:01:10 คะคุยกับดร.สุวุฒิวงทางสวัสดิ์นัก
00:01:10 → 00:01:13 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิญ
00:01:13 → 00:01:14 สวัสดีครับคนดีสวัสดีครับคุณผู้ฟัง
00:01:14 → 00:01:17 อ้าววันนี้คุยกันโอ้มาแนวดี
00:01:17 → 00:01:17 ครับ
00:01:17 → 00:01:19 แต่แอบมีท็อกสิคเล็กๆ
00:01:19 → 00:01:20 ครับ
00:01:20 → 00:01:23 เป็นพิษเล็กๆอะไรประมาณนี้แต่บางทีอ่ะอาจ
00:01:23 → 00:01:25 จะไม่ได้เล็กสำหรับบางคนเพราะคนเก่งบางคน
00:01:25 → 00:01:29 ก็อาจจะมีฤทธิ์มีเดทแพลงฤทธิ์ค่อนข้างมาก
00:01:29 → 00:01:33 นะคะทีนี้เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน
00:01:33 → 00:01:36 เนาะเก่งแต่มันท็อกสิคในที่ทำงานน่ะ
00:01:36 → 00:01:38 เก่งแต่ท็อกสิคอันนี้ชัดเจนครับก็คือมัน
00:01:38 → 00:01:40 มีคำว่าเก่งกับคำว่าทอกสิคเนาะเก่งเนี่ย
00:01:40 → 00:01:42 มันหมายถึงว่าประสิทธิผลในการทำงาน
00:01:42 → 00:01:44 ประสิทธิภาพในการได้งานหรืออาจจะเป็น
00:01:44 → 00:01:46 เรื่องตัวเลขที่วัดผลได้ความสำเร็จในงาน
00:01:46 → 00:01:49 เนี่ยอาจจะมีความสูงคือทุกอย่างทำอะไรก็
00:01:49 → 00:01:51 สำเร็จทำอะไรก็ก้าวหน้า
00:01:51 → 00:01:54 แต่วิธีการที่ได้มาซึ่งความก้าวหน้าหรือ
00:01:54 → 00:01:56 ระหว่างทางที่เขาทำงานเนี่ยครับเขาอาจจะ
00:01:56 → 00:01:59 สร้างความเสียหายให้กับบุคคลรอบตัวแน่นอน
00:01:59 → 00:02:01 ครับมันมักจะเป็นเรื่องของท็อกสิคระหว่าง
00:02:01 → 00:02:03 มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันคนที่จะรู้สึกว่า
00:02:03 → 00:02:07 ถูกพิษถูกท็อกสิคถูกคล้ายๆเอ่อสาดกรดใส่
00:02:07 → 00:02:10 เงี้ยครับก็จะเป็นคนที่อยู่รอบตัวซึ่งอาจ
00:02:10 → 00:02:12 จะหมายถึงเพื่อนร่วมงานอาจจะหมายถึงลูก
00:02:12 → 00:02:15 น้องที่ไม่สามารถต่อกอนได้
00:02:15 → 00:02:15 อ
00:02:15 → 00:02:17 ไม่สามารถเจรจาต่อรองหรือไม่สามารถป้อง
00:02:17 → 00:02:18 กันตัวเองได้
00:02:18 → 00:02:21 เพราะว่าคนที่สาดพิสัยเาเนี่ยเป็นพวกที่
00:02:21 → 00:02:22 มีอิทธิพลมากกว่า
00:02:22 → 00:02:22 ค่ะ
00:02:22 → 00:02:25 หรือถ้าไม่ใช่มีอิทธิพลมากกว่าก็คือมักจะ
00:02:25 → 00:02:27 มีบุคลิกลักษณะบางอย่างที่มีความเชื่อ
00:02:27 → 00:02:29 มั่นในตัวเองสูงเชื่อมั่นในตัวเองสูงไม่
00:02:29 → 00:02:32 พอเนาะยังอาจจะมีความค่อนข้างมีทัศนคติ
00:02:32 → 00:02:34 ทางลบกับคนอื่นรู้สึกว่าคนอื่นไม่เก่งรู้
00:02:34 → 00:02:37 สึกว่าคนอื่นกระจอกทำไมคนอื่นทำงานได้ไม่
00:02:37 → 00:02:39 ดีแล้วก็ไม่ได้มีความโอบอ้อมอารีหรือมี
00:02:39 → 00:02:42 น้ำใจหรือมีความอ่อนโยนในการสอนงานหรือ
00:02:42 → 00:02:43 ถ่ายทอดงานเท่าไหร่
00:02:43 → 00:02:43 อ
00:02:43 → 00:02:46 แต่จะเป็นลักษณะของการจี้ไปที่ตัวตนว่า
00:02:46 → 00:02:49 คุณมันไม่เก่งคุณมันไม่ดีทำไมแค่นี้คุณทำ
00:02:49 → 00:02:51 ไม่ได้ให้เด็กมาทำดีกว่าชงอย่างเงี้ยครับ
00:02:51 → 00:02:53 นี่คือนี่คือมลพิษที่มีต่อกัน
00:02:53 → 00:02:56 คือมันมีคำสารพัดที่ฟังแล้วแบบว่าอื้อหือ
00:02:57 → 00:02:59 ไม่น่าออกมาทำจิตใจใช่แล้วมากกว่านั้นคือ
00:02:59 → 00:03:01 ไม่ใช่แค่ทำร้ายจิตใจครับบางทีสำหรับการ
00:03:01 → 00:03:03 ว่าท็อกสิคเนี่ยมันมีเรื่องการขโมยผลงาน
00:03:03 → 00:03:06 ด้วยนะหรือเป็นการโยนความผิดให้คนอื่นตัว
00:03:06 → 00:03:08 เป็นเก่งอยู่คนเดียวอ่ะเสร็จปุ๊บทำอะไร
00:03:08 → 00:03:11 ผิดปั๊บโยนไอ้คนนั้นทำคนนี้ทำก็ไอ้คนนั้น
00:03:11 → 00:03:13 คนนคนนู้นคนนี้ผิดแต่ตัวเองไม่เคยผิดสัก
00:03:13 → 00:03:16 อย่างก็มีเป็นการใส่ร้ายเป็นการเลื่อย
00:03:16 → 00:03:18 เลื่อยขาเก้าอี้ก็มีเหมือนกันออฮะ
00:03:18 → 00:03:20 ครับเพราะงั้นอะไรก็ตามที่เขาสามารถทำงาน
00:03:20 → 00:03:22 ได้ดีผลลัพธ์ดูเหมือนจะดูดีในเชิงงานแต่
00:03:22 → 00:03:25 ไอ้รอบๆโตเนี่ยโอ้โหหายนะกันหมดจิตใจย่ำ
00:03:25 → 00:03:27 แย่คนเกลียดชังกันอย่างเงี้ยฮะนั่นน่ะมัน
00:03:27 → 00:03:29 เป็นสัญญาณที่สะท้อนแล้วว่ามีตัวละครที่
00:03:29 → 00:03:31 ท็อกสิคอยู่ในองค์กรของเราอ
00:03:31 → 00:03:33 ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยในคนๆนึงอาจจะมีความ
00:03:33 → 00:03:35 ท็อกสิคในหลากหลายรูปแบบ
00:03:35 → 00:03:36 หลายแบบ
00:03:36 → 00:03:37 ก็เป็นไปได้
00:03:37 → 00:03:39 ใช่ครับเป็นคนไม่น่าคบอ่ะใช้คำนี้หนัก
00:03:39 → 00:03:40 หน่วงมากที่
00:03:40 → 00:03:40 ไม่น่าคบ
00:03:40 → 00:03:43 คือยิ่งกว่าแบบว่าเป็นเห็ดพิษอีก
00:03:43 → 00:03:43 อ่า
00:03:43 → 00:03:45 เออเป็นพิษทุกอนู
00:03:45 → 00:03:47 เอ่อซึ่งคนเหล่านี้เนี่ยแน่นอนว่าอาจจะมี
00:03:48 → 00:03:50 แบบอารมณ์ที่มันท็อกสิคเก่งอ่ะแต่คุม
00:03:50 → 00:03:53 อารมณ์ไม่อยู่ก็มีเนาะเออหลากหลายมากอ่ะ
00:03:53 → 00:03:56 ก็มีอไม่คุมอารมณ์ก็คืออาจจะเป็นโมโหร้าย
00:03:56 → 00:03:59 เลือดร้อนหรือบางคนเป็นคนที่แบบค่อนข้าง
00:03:59 → 00:04:00 เย็นชาเลือดเย็น
00:04:00 → 00:04:00 อื
00:04:00 → 00:04:03 เออเวลาพูดเชือดคนอื่นหรือเวลาวิจารณ์คน
00:04:03 → 00:04:05 อื่นเนี่ยคือจี้ไปที่ตัวตน
00:04:05 → 00:04:06 อ่าฮแต่เอาจจะไม่ได้พูดด้วยความโกรธนะอาจ
00:04:07 → 00:04:09 จะเป็นความหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ภาษาที่เขา
00:04:09 → 00:04:12 ใช้จะไม่ค่อยดีครับอือฮึซึ่งซึคนที่รับ
00:04:12 → 00:04:15 สัมผัสได้หรือคนที่โดนผลกระทบโดยตรงอ่ะ
00:04:15 → 00:04:15 ครับ
00:04:15 → 00:04:19 ก็จะรู้สึกแล้วก็รับรู้ได้โดยแบบ
00:04:19 → 00:04:19 ใช่ครับ
00:04:19 → 00:04:22 อออะไรอย่างงี้นะแต่ทีนี้ว่าในลักษณะของ
00:04:22 → 00:04:25 คนที่เป็นลักษณะแบบนี้เนี่ยมันจะมีความ
00:04:25 → 00:04:27 เห็นแก่ตัวรวมอยู่ด้วยใช่มั้จริงๆก็มี
00:04:27 → 00:04:28 ครับเห็นแก่ตัวด้วย
00:04:28 → 00:04:31 อืแล้วมันจะมีบุคลิกอะไรหรืออะไรอย่าง
00:04:31 → 00:04:33 อื่นอีกมั้ยที่แบบว่าเออก็รู้แหละนะคน
00:04:33 → 00:04:34 เก่งอ่ะแต่ว่า
00:04:34 → 00:04:36 เจะมีความเอาแต่ตวตัวเองด้วยนะผมว่าจริงๆ
00:04:36 → 00:04:38 แล้วคนที่เก่งแต่ท็อกสิคเนี่ยมักจะมีความ
00:04:38 → 00:04:38 เอาแต่ตัวเอง
00:04:38 → 00:04:39 อือฮึ
00:04:39 → 00:04:42 อ่าอาจจะมีความแบบไม่ช่วยงานคนอื่นก็มี
00:04:42 → 00:04:44 เอ่อหรือเอาเปรียบคนอื่นก็มีจริงๆพวก
00:04:44 → 00:04:46 เนี้ยครับมันคือบุคลิกรวมที่จริงๆแล้วคำ
00:04:46 → 00:04:49 ว่าท็อกสิคมันค่อนข้างกว้างอะไรก็ตามที่
00:04:49 → 00:04:52 ทำให้คนรอบตัวรู้สึกเชิงลบต่อคนๆนั้นอ
00:04:52 → 00:04:54 นะครับหรือแม้กระทั่งใครก็ตามที่คุยกับ
00:04:54 → 00:04:57 เขาแล้วรู้สึกเชิงรบกับตัวเองพวกนี้เรียก
00:04:57 → 00:04:59 ว่าอาการของการเจอท็อกสิคได้หมดเลยแต่
00:04:59 → 00:05:01 เพียงแค่ว่าไอ้บุคลิกของคนที่ท็อกสิค
00:05:01 → 00:05:03 เนี่ยครับมันจะมีหลายรูปแบบมากเลยบางคน
00:05:03 → 00:05:05 บางคนชัดเจนว่าเป็นแค่การขโมยผลงานล้วนๆ
00:05:05 → 00:05:07 เลยเอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่นก็มี
00:05:07 → 00:05:08 อ่าฮ
00:05:08 → 00:05:11 หรือคนบางคนคาแรคเตอร์ชัดเจนมากว่าเวลามี
00:05:11 → 00:05:13 ใครสักคนทำงานไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ
00:05:13 → 00:05:15 หรือไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็นเนี่ย
00:05:15 → 00:05:17 เขาก็จะจี้ว่าแบบคุณมันแบบเหมือนใช้ไม่
00:05:17 → 00:05:19 ได้อ่ะแค่นี้ทำไมคุณทำไม่ได้แต่เขาอาจจะ
00:05:19 → 00:05:22 ไม่ไม่ได้เอาดีข้อตัวเอาชั่วใส่คนอื่นนะ
00:05:22 → 00:05:24 แต่คือเขาเห็นความบกพร่องของคนอื่นเยอะ
00:05:24 → 00:05:25 มาก
00:05:25 → 00:05:27 แล้วก็ตระเวณเก่งที่สุดอ่ะคืออาจจะเก่ง
00:05:27 → 00:05:29 จริงๆก็ได้เก่งจริงๆแต่เขาแทบจะไม่มีความ
00:05:29 → 00:05:32 มีน้ำใจมีความเมตตาหรือมีความแบบหยิบยื่น
00:05:32 → 00:05:36 การใส่ใจการช่วยเหลือหรือการสอนงาน
00:05:36 → 00:05:38 หรือการชื่นชมเอาจจะไม่มีความชื่นชมเลยก็
00:05:38 → 00:05:41 ได้คือถ้าเก่งก็เสมอตัวคนอื่นรอบตัวทำดี
00:05:41 → 00:05:42 ทำอะไรก็คือไม่ต้องชมกันอือฮึ
00:05:42 → 00:05:44 คิดว่านั่นคือหน้าที่ที่คุณควรเป็น
00:05:44 → 00:05:47 ดูแนวแบบนี้ค่อนข้างจะมีเยอะอยู่ในหลาย
00:05:47 → 00:05:51 องค์กรเอาแค่ว่าการที่แบบว่าตัวเองเก่ง
00:05:51 → 00:05:53 อ่ะแต่คนอื่นเขาอาจจะไม่ได้เก่งเท่าตัว
00:05:53 → 00:05:55 เองหรืออะไรเงี้แล้วตำหนิหรือหรือดูหมิ่น
00:05:55 → 00:05:59 ดูแคลนอาจใช้คำว่าไม่มีความเมตตาอย่างที่
00:05:59 → 00:06:01 ที่เอิ้ลบอกเมื่อกี้เลยเราจะเห็นว่าคน
00:06:01 → 00:06:04 เก่งในองค์กรน่ะมันมีหลากหลายที่แบบว่า
00:06:04 → 00:06:07 บางคนไม่ยอมแบ่งปันในความรู้ทั้งที่แบบ
00:06:07 → 00:06:08 อ
00:06:08 → 00:06:11 มันต้องมันต้องอ่ะต้องสอนงานต้องอะไร
00:06:11 → 00:06:13 อย่างเงี้ยก็จะมีด้วยเหมือนกันเนาะเหมือน
00:06:13 → 00:06:15 เขาไม่ยอมรับคนอื่นเลยหรออย่างี้ด้วยป่ะ
00:06:16 → 00:06:17 อ่าส่วนใหญ่จะเป็นโทนนั้นครับเขาจะไม่
00:06:17 → 00:06:19 ค่อยยอมรับคนอื่นเค้าก็จะเห็นว่าตัวเอง
00:06:20 → 00:06:22 เก่งแล้วก็คนอื่นไม่ดีคือมันจะเป็นการจับ
00:06:22 → 00:06:24 จ้องว่าคนอื่นแบบยังไม่ดียังไม่เพียงพอ
00:06:24 → 00:06:25 ไม่เก่งเท่าชั้น
00:06:25 → 00:06:26 ยังไม่เก่งเท่าชั้น
00:06:26 → 00:06:26 อื
00:06:26 → 00:06:29 แล้วก็อาจจะมองว่าคนอื่นเป็นตัวถ่วงด้วย
00:06:29 → 00:06:31 บางทีคำพวกนี้ก็จะมีนะคุณตัวถ่วงเป็น
00:06:31 → 00:06:33 ภาระเนี่ยคนอื่นเขาแบกคุณเนี่ยอะไรอย่าง
00:06:33 → 00:06:33 เงี้ย
00:06:33 → 00:06:34 โอ้แรง
00:06:34 → 00:06:35 แรงมั้ฮะ
00:06:35 → 00:06:36 แรง
00:06:36 → 00:06:38 อืแล้วมันจะมีคำจี้ไปที่คำว่าคุณน่ะคุณ
00:06:38 → 00:06:40 น่ะคำว่าคุณมันคือการจี้ไปที่ตัวตนของคน
00:06:40 → 00:06:41 อีกคนนึง
00:06:41 → 00:06:41 อือฮึ
00:06:41 → 00:06:43 อ่าแล้วบอกว่าคุณคือตัวถ่วงโอ้โหนี้คือ
00:06:43 → 00:06:46 แบบหรือคุณมีปัญหาการสื่อสารเราฟังไม่รู้
00:06:46 → 00:06:47 เรื่องเหรอ
00:06:47 → 00:06:49 วายเอออันนี้เคยได้ยินเคยได้ยิน
00:06:49 → 00:06:52 แต่แต่ยิ่งการเข้าไปจี้ไปย้ำไปทำให้อีก
00:06:52 → 00:06:55 อีกคนนึงรู้หรือใครก็แล้วแต่ที่คุณชี้ตัว
00:06:55 → 00:06:56 ไปว่าคุณเนี่ย
00:06:56 → 00:06:57 ครับ
00:06:57 → 00:07:00 มันหลายๆครั้งอะไรมากๆมากๆเข้ามันก็จะแบบ
00:07:00 → 00:07:01 ยิ่งแย่
00:07:01 → 00:07:03 ยิ่งแย่ครับแล้วคนที่โดนก็จะเหมือนรับสาร
00:07:03 → 00:07:04 พิษไปเรื่อยๆ
00:07:04 → 00:07:04 อื
00:07:04 → 00:07:05 แล้วมันจะเริ่มล้างไม่ออก
00:07:06 → 00:07:07 มันจะมีคำถามเกิดขึ้นด้วยนะ
00:07:07 → 00:07:09 ครับเพราะจริงอาจจะจริงก็ได้นะที่เค้าพูด
00:07:09 → 00:07:11 อย่างงั้นกับฉันน่ะ
00:07:11 → 00:07:14 จนจนฉันรู้สึกว่าฉันมันไม่ดีจริงๆแหละ
00:07:14 → 00:07:17 แต่จะจะถามว่ามันแย่ขนาดนั้นเหรอ
00:07:17 → 00:07:17 อือ
00:07:17 → 00:07:19 เออจริงๆนะอ่ะไอ้เรื่องของการยอมรับเชื่อ
00:07:19 → 00:07:20 ว่า
00:07:20 → 00:07:23 คนที่ทำงานด้วยเ้าอาจมีหลายคนยอมรับอ้า
00:07:23 → 00:07:25 คุณนี้เก่งเก่งจริงแหละอือ
00:07:25 → 00:07:27 แต่บังเอิญอย่างอื่นคุณไม่ได้เก่งตามไป
00:07:27 → 00:07:27 ด้วย
00:07:27 → 00:07:28 อื
00:07:28 → 00:07:29 เออเนาะ
00:07:29 → 00:07:31 ก็มีครับบางทีคนที่วิจารณ์คนอื่นเขาอาจจะ
00:07:31 → 00:07:32 เก่งแค่บางเรื่องก็ได้นะ
00:07:32 → 00:07:33 อือฮึ
00:07:33 → 00:07:34 แต่เค้าอาจจะแบบบางเรื่องอาจจะไม่ได้เก่ง
00:07:34 → 00:07:36 แต่เค้าอาจจะไม่ค่อยไปคุกคลีกับสิ่งที่
00:07:36 → 00:07:37 เค้าไม่เก่ง
00:07:37 → 00:07:39 เค้าก็จะพยายามกลบเลือกงานพยายามเอาแบบ
00:07:39 → 00:07:41 ไอ้สิ่งที่เค้าไม่ถนัดโยนให้คนอื่นที่ที่
00:07:41 → 00:07:43 ทำที่ถนัดมากกว่าให้ทำไป
00:07:43 → 00:07:46 แล้วตัวเขาจะได้เก่งเ้าอยู่คนเดียวในวง
00:07:46 → 00:07:47 ที่เค้าเก่ง
00:07:47 → 00:07:48 อ่า
00:07:48 → 00:07:50 เอ้าแต่คนอื่นก็เก่งในในแบบที่แตกต่างกัน
00:07:51 → 00:07:51 ออกไปนะ
00:07:51 → 00:07:53 ใช่ครับซึ่งจริงๆเราควรมีสคติอย่างงั้น
00:07:53 → 00:07:55 ที่จะมองว่าตัวเราก็มีความเก่งนะแต่ตัว
00:07:55 → 00:07:57 เราก็ไม่ได้เก่งซักทุกอย่าง
00:07:57 → 00:07:57 อือฮึ
00:07:57 → 00:07:59 คนอื่นก็มีความเก่งนะแต่เขาอาจจะไม่ได้
00:07:59 → 00:08:01 เก่งทุกอย่างเหมือนที่เราเป็นนั่นแหละ
00:08:01 → 00:08:01 อือื
00:08:02 → 00:08:03 แล้วถ้าเรามองมุมนี้ครับมันจะเป็นมุมของ
00:08:03 → 00:08:06 การที่เราต่างก็ถ่อมตัวด้วยกันทั้งหมดเรา
00:08:06 → 00:08:08 ถ่อมตัวคนอื่นถ่อมตัวแล้วต่างก็จะชื่นชม
00:08:09 → 00:08:11 กันได้ว่าคุณเก่งอะไรใครเก่งอะไรชื่นชม
00:08:11 → 00:08:12 กันได้
00:08:12 → 00:08:14 แต่ถ้าใครมีอะไรไม่เก่งก็จะมีความรู้สึก
00:08:14 → 00:08:16 เราสามารถเข้าไปเสริมเข้าไปเติมได้
00:08:16 → 00:08:17 อ
00:08:17 → 00:08:19 เพราะบางทีตัวเราก็รับความช่วยเหลือหรือ
00:08:19 → 00:08:21 เรียกว่าเรียนรู้จากความเก่งของคนอื่น
00:08:22 → 00:08:24 ในขณะเดียวกันคนอื่นก็สามารถเรียนรู้จาก
00:08:24 → 00:08:25 สิ่งที่เราเก่งได้เหมือนกัน
00:08:25 → 00:08:27 แต่ก่อนที่คุณจะเก่งอ่ะคุณก็ไม่เก่งมา
00:08:27 → 00:08:27 ก่อนป่ะ
00:08:27 → 00:08:30 เอ่อก็ใช่ครับก็อันนี้ผมว่าแล้วแต่คนเนาะ
00:08:30 → 00:08:33 บางคนบางคนอาจจะไม่เก่งมาก่อนจนกระทั่ง
00:08:33 → 00:08:35 เขาเก่งพอเก่งเสร็จปั๊บทีนี้ก็ลืมตัวอาจ
00:08:35 → 00:08:37 จะเป็นคนหลงระเริง
00:08:37 → 00:08:39 หรืออาจจะเป็นคนที่แบบจุดนึงพอเก่งปั๊บ
00:08:39 → 00:08:42 แล้วใช้จุดเนี้ยฉันรอมานานแล้วจะได้พูด
00:08:42 → 00:08:44 ประโยคเนี้ยเพื่อเหยียบย่ำคนอื่นบางคน
00:08:44 → 00:08:45 เป็นอย่างงั้น
00:08:45 → 00:08:47 เออมันไม่ได้เป็นอะไรที่มันสืบทอดต่อกัน
00:08:47 → 00:08:49 ขนาดนั้นนะในความรู้คือมันก็เลยจะเป็นคำ
00:08:49 → 00:08:53 ถามที่ว่าทำไมอ่ะคนเก่งบางคนบางคนนะคุณ
00:08:53 → 00:08:57 ผู้ฟังว่าถึงกลายเป็นท็อกสิคต่อคนอื่น
00:08:57 → 00:08:59 เออเพราะว่าโดยส่วนใหญ่อ่ะครับเขาจะนึก
00:08:59 → 00:09:01 ถึงแค่ตเวรคน
00:09:01 → 00:09:02 ข้อแรกเลยเนาะ
00:09:02 → 00:09:04 ข้อแรกอันนี้เป็นเป็นปัจจัยหลักมากๆเลย
00:09:04 → 00:09:06 เพราะว่าความท็อกสิคเนี่ยจริงๆแล้วคนเรา
00:09:06 → 00:09:09 มันสามารถพลาดผมใช้คำนี้แล้วกันบางทีการ
00:09:09 → 00:09:11 ท็อกสิคอาจจะเกิดขึ้นจากความพลาดไม่ตั้ง
00:09:11 → 00:09:14 ใจก็ได้เช่นบางคนอาจจะเติบโตมากับ
00:09:14 → 00:09:16 วัฒนธรรมหรือภาษาที่แบบอย่างเช่นเค้าเกิด
00:09:16 → 00:09:19 มาในตระกูลที่แบบพ่อแม่ชอบวิจารณ์ตัวเขา
00:09:19 → 00:09:19 อื
00:09:19 → 00:09:21 ว่าแกไม่เห็นเก่งเหมือนลูกข้างบ้านเลยอ่ะ
00:09:21 → 00:09:22 สมมุตินะ
00:09:22 → 00:09:25 เกิดเกิดแล้วโตมาแบบเจอแต่ภาษาแบบนี้โอเค
00:09:25 → 00:09:27 เขาอาจจะรู้สึกว่าแบบเขาไม่เคยเห็นตัว
00:09:27 → 00:09:28 อย่างภาษาที่ดีกว่านี้เลย
00:09:28 → 00:09:31 พอวันนึงเมาทำเก็เลยใช้ประโยคแบบเนี้ยไป
00:09:31 → 00:09:33 ใช้กับคนอื่น
00:09:33 → 00:09:34 ถือว่าเป็นเรื่องปกติของเขา
00:09:34 → 00:09:36 อาจจะชินกับภาษาที่เขาเติบโตมาแต่ทีนี้
00:09:36 → 00:09:39 สมมุติถ้าในจิตใจคนเราครับรู้สึกว่าสมัย
00:09:39 → 00:09:42 ที่ฉันโดนภาษาพวกเนี้ยมันไม่ดีเลยอ่ะมัน
00:09:42 → 00:09:43 รู้สึกไม่ดีเลย
00:09:43 → 00:09:43 อออือ
00:09:43 → 00:09:45 แน่นอนตอนที่เขาพูดสิ่งนี้ใส่คนอื่นเขา
00:09:45 → 00:09:48 อาจจะลืมตัวด้วยอารมณ์ก็ได้เช่นแบบทำงาน
00:09:48 → 00:09:50 แล้วมันติดขัดแล้วแบบคนนั้นไม่ได้ดั่งใจ
00:09:50 → 00:09:51 เค้าอาจจะมีอารมณ์
00:09:51 → 00:09:52 เค้าก็เลยพูด
00:09:52 → 00:09:54 แต่สมมุติหลังจากพูดเสร็จอารมณ์หายไปแล้ว
00:09:54 → 00:09:55 เนี่ย
00:09:55 → 00:09:58 เอ่อขึ้นกับว่าตัวเค้าอ่ะมีโอกาสได้กลับ
00:09:58 → 00:10:00 มาถามตัวเองทบทวนตัวมั้ยว่าเอ๊ะที่ฉันพูด
00:10:01 → 00:10:02 ไปตะกี้มันแรงไปมั้นะ
00:10:03 → 00:10:03 อื
00:10:03 → 00:10:05 มันใช่ประโยคที่คนอื่นควรจะโดนมั้นะตอน
00:10:05 → 00:10:07 ที่กลับมานั่งสงบสติอารมณ์ดีๆอ่ะครับ
00:10:07 → 00:10:07 อ่าฮะ
00:10:08 → 00:10:09 ถ้าเค้ามีเสี้ยวนั้นที่รู้สึกว่าเฮ้ยบาง
00:10:09 → 00:10:12 ทีประโยชน์พวกนี้ก็แรงไปเค้าจะมีความรู้
00:10:12 → 00:10:15 สึกไม่อยากทำซ้ำหรือหรืออาจจะมีการไปขอ
00:10:15 → 00:10:18 โทษอ่าแสดงว่าอันเนี้ยเขาไม่ได้นึกถึงแค่
00:10:18 → 00:10:21 ตัวเองคนเดียวเค้าอาจจะมีข้อจำกัดเรื่อง
00:10:21 → 00:10:22 ภาษาที่เขาเติบโตมา
00:10:22 → 00:10:25 แต่แน่นอนเอ่อตอนที่เขาทำพลาดไปอาจจะเป็น
00:10:25 → 00:10:25 เรื่องอารมณ์
00:10:26 → 00:10:26 ค่ะ
00:10:26 → 00:10:28 แต่พอจุดนึงที่ตั้งสติได้และทุกวันเนี้ย
00:10:28 → 00:10:31 ค่ะผมต้องบอกว่ามันมีการพยายามพูดถึงเ้า
00:10:31 → 00:10:33 เรียกว่า psychological safety ในองค์กร
00:10:33 → 00:10:37 คือหมายถึงให้องค์กรเนี่ยมีความปลอดภัยใน
00:10:37 → 00:10:39 เชิงจิตใจเป็นบรรยากาศในการสร้างความจิต
00:10:40 → 00:10:42 ใจในการทำงานมันมีการรณรงค์อยู่มากมาย
00:10:42 → 00:10:44 ครับมีการรณรงค์มากมายแม้กระทั่งใน
00:10:44 → 00:10:46 โซเชียลmedเดียกับความสัมพันธ์ระหว่าง
00:10:46 → 00:10:50 เพื่อนพ่อแม่เอ่อคนทำงานผมว่าเราต้องเห็น
00:10:50 → 00:10:53 พวกนี้ผ่านตาบ้างพอเราเห็นผ่านตาอาจจะมี
00:10:53 → 00:10:55 จุดที่เราดึงมาฉุกคิดว่าเอ้ยเราเป็นคน
00:10:55 → 00:10:57 ท็อกสิคเองหรือเปล่านะอ่าถ้าเค้ามีความ
00:10:57 → 00:11:00 ใฝ่ดีแล้วมีความปรารถนาดีกับเพื่อนมนุษย์
00:11:00 → 00:11:01 เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่อยากเป็นมนุษย์
00:11:01 → 00:11:04 ท็อกสิคใส่คนอื่นถ้าเผลอทำแล้วเขาจะรู้
00:11:04 → 00:11:06 สึกอยากรับผิดชอบด้วยการแก้ไขตัวเองหรือ
00:11:06 → 00:11:08 ไปขอโทษแต่ถ้าเกิดเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่
00:11:08 → 00:11:11 ธุระฉันซะหน่อยพวกแกมันกระจอกเองแล้ว
00:11:11 → 00:11:11 ว้า
00:11:11 → 00:11:15 อันนี้แสดงว่าเขามีแค่ตัวเขาเองคนเดียว
00:11:15 → 00:11:17 แล้วเขาไม่ได้มีทัศนคติที่ดีหรือไม่ได้มี
00:11:17 → 00:11:20 ความรู้สึกเป็นมิตรกับเพื่อนมนุษย์คนอื่น
00:11:20 → 00:11:20 อือฮึ
00:11:20 → 00:11:23 เพราะงั้นคนที่เก่งแต่ทอกสิคเนี่ยโดยหลัก
00:11:23 → 00:11:26 นะครับส่วนใหญ่เขาจะสนใจแค่ตัวเขาเองคน
00:11:26 → 00:11:26 เดียว
00:11:26 → 00:11:28 แล้วเขาจะไม่ค่อยสนใจจิตใจชาวบ้านเท่า
00:11:28 → 00:11:29 ไหร่
00:11:29 → 00:11:31 ไอ้ตรงเนี้ยที่เป็นปัญหาเลยทำให้คนที่
00:11:31 → 00:11:33 เก่งแต่ท็อกสิคเนี่ยค่อนข้างแก้ไขตัวเอง
00:11:33 → 00:11:34 ยาก
00:11:34 → 00:11:37 เพราะต่อให้มีใครเตือนก็มักจะไม่ค่อยฟัง
00:11:37 → 00:11:40 แต่คนที่จะเตือนเค้าเราได้ผลอาจจะต้อง
00:11:40 → 00:11:42 เป็นผู้ที่แบบมีอำนาจหรือเป็นผู้ที่มีพระ
00:11:42 → 00:11:44 เดชพระคุณต่อเขา
00:11:44 → 00:11:46 แล้วเขาจะถึงรู้สึกว่าฟังด้วยความรู้สึก
00:11:46 → 00:11:48 เกรงใจอ่ะต้องฟังถ้าไม่ฟังไม่งั้นจะโดน
00:11:48 → 00:11:50 ผู้ใหญ่ไม่ชอบหรือว่าอาจจะมีผลต่อการทำ
00:11:50 → 00:11:51 งาน
00:11:51 → 00:11:52 อื
00:11:52 → 00:11:54 อืแต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ร่างกว่าทักขึ้นไป
00:11:54 → 00:11:55 อ่ะ
00:11:55 → 00:11:55 ไม่มีทาง
00:11:55 → 00:11:58 เอาจจะปฏิเสธบอกว่าไม่ใช่ฉันหรอก
00:11:58 → 00:11:59 แกนั่นแหละ
00:11:59 → 00:12:00 อ่ะโดนกลับมาอีก
00:12:00 → 00:12:02 เออโดนเพราะงั้นคนที่ค่อนข้างมีความ
00:12:02 → 00:12:05 สามารถและอยู่ระดับสูงเนี่ยครับคนที่อยู่
00:12:05 → 00:12:07 ด้านล่างจะรู้สึกกดดันอ่า
00:12:07 → 00:12:07 ฮะ
00:12:07 → 00:12:09 จะรู้สึกกลัวมันจะเกิดความกลัวในบรรยากาศ
00:12:09 → 00:12:12 ของการทำงานด้วยกันแน่ๆเพราะรู้สึกว่าไม่
00:12:12 → 00:12:15 สามารถฟีดแบคขึ้นไปได้และถ้าเกิดพูดอะไร
00:12:15 → 00:12:17 ขึ้นไปแสดงพฤติกรรมกระด้างกระเดื่องจะโดน
00:12:17 → 00:12:19 บางสิ่งที่แรงกว่านั้นกลับมา
00:12:19 → 00:12:20 หนักกว่า
00:12:20 → 00:12:22 แลอาจจะโดนหมายหัวหรืออาจจะมีผลต่อเรื่อง
00:12:22 → 00:12:24 การทำงานหรือความมั่นคงในงานได้เลย
00:12:24 → 00:12:26 เข้าใจได้นะเพราะว่าอย่างบางหน่วยงานบาง
00:12:26 → 00:12:28 องค์กรน่ะเค้าก็จะมีเรื่องของแบบความ
00:12:28 → 00:12:31 อาวุโสความแบบหรือ
00:12:31 → 00:12:32 เค้าเรียกอะไรอ่ะ
00:12:32 → 00:12:33 เออ
00:12:33 → 00:12:37 ประมาณนี้แล้วก็แบบเรื่องของประโยชน์หรือ
00:12:37 → 00:12:40 ๆหรือโอกาสในตัวเองอ่ะเพราะฉะนั้นไม่แตะ
00:12:40 → 00:12:42 เลยดีกว่าไม่ไม่ต้องไปแตะไม่ต้องไปพูดถึง
00:12:42 → 00:12:44 ไม่ต้องแบบว่าอ่ะก็ปล่อยให้เขาเป็นแบบ
00:12:44 → 00:12:46 นั้นไปเก่งใช่มั้ก็ดีอยู่ยิ่งอยู่ก็ยิ่ง
00:12:46 → 00:12:47 กลัว
00:12:47 → 00:12:49 แต่ก็ทำงานด้วยลำบากเหมือนกันนะ
00:12:49 → 00:12:50 ลำบากใช่ครับลำบาก
00:12:50 → 00:12:52 เออแต่คือมันต้องอยู่อ่ะ
00:12:52 → 00:12:55 ต้องอยู่มันไม่มีทางเลือกครับคืออย่างที่
00:12:55 → 00:12:57 บอกว่าบางทีเรื่องพวกเนี้ยครับเอ่อถ้าเรา
00:12:57 → 00:13:00 จะหวังกับผู้บริหารก็ได้แต่ทีนี้ประเด็น
00:13:00 → 00:13:02 คือถ้าเกิดผู้บริหารเป็นคนเก่งแต่ท็อกสิค
00:13:02 → 00:13:03 เองจะทำยังไงล่ะทีนี้
00:13:03 → 00:13:04 หวาย
00:13:04 → 00:13:07 ไม่มีใครสามารถเตือนได้นอกจากว่าจะเกิด
00:13:07 → 00:13:11 ความเสียหายบางอย่างขึ้นในองค์กรเช่นมีคน
00:13:11 → 00:13:13 ซึมเศร้าในองค์กรนี้เยอะมากแล้วก็เริ่ม
00:13:13 → 00:13:16 กระทบงานแล้วก็เริ่มมีคนลาออกมากมาย
00:13:16 → 00:13:16 อื
00:13:16 → 00:13:18 จนกระทั่งความมั่นคงภายในองค์กรเกิดความ
00:13:18 → 00:13:19 ลับส่ำ
00:13:19 → 00:13:21 บางทีสิ่งพวกนี้อาจจะเป็นผลกระทบทางร้าย
00:13:21 → 00:13:23 ที่ทำให้ผู้บริหารบางคนเนี่ยที่อาจจะทนง
00:13:24 → 00:13:26 ตัวมากอีโก้มากเกินไปเนี่ยได้กลับมาทบทวน
00:13:26 → 00:13:29 สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ก็ได้เพราะถ้า
00:13:29 → 00:13:31 คุณไม่เปลี่ยนแปลงตัวเององค์กรของคุณจะมี
00:13:31 → 00:13:31 ปัญหา
00:13:32 → 00:13:32 อือ
00:13:32 → 00:13:34 และสุดท้ายมันก็คือพังในน้ำมือคุณไง
00:13:34 → 00:13:35 ออ
00:13:35 → 00:13:37 อ่ามันบางทีก็ต้องเกิดผลทางร้ายอย่างนั้น
00:13:37 → 00:13:39 ขึ้นแต่แน่นอนครับในบางองค์กรต่อให้เป็น
00:13:39 → 00:13:42 อย่างนั้นก็อาจจะไม่เป็นปัญหาเพราะในใน
00:13:42 → 00:13:45 ยุคสมัยที่ต่างคนต่างก็อยากหางานทำ
00:13:45 → 00:13:45 ค่ะ
00:13:45 → 00:13:47 พอคนนึงไม่ไหวออกไปปั๊บเดี๋ยวมีคนใหม่
00:13:47 → 00:13:50 เข้ามาแทนแล้วก็มีคนที่แบบเป็นตัวตายตัว
00:13:50 → 00:13:52 แทนเข้ามารับเคราะห์ต่อไป
00:13:52 → 00:13:54 ใช้คำว่ารับเคราะห์ยกเว้นว่าเจอเจอคนที่
00:13:54 → 00:13:56 แข็ง
00:13:56 → 00:13:59 อาจจะสู้กันได้เออหรืออะไรประมาณนี้แต่
00:13:59 → 00:14:00 ว่าคนที่เขาเก่ง
00:14:00 → 00:14:02 ที่เป็นแบบแนวท็อกสิคแบบเนี้ยเขาจะไม่
00:14:02 → 00:14:04 ท็อกสิคกับคนที่เก่งในเหมือนๆเขาใช่มั้ย
00:14:04 → 00:14:06 หรือว่าแบบระดับเดียวกันอะไรอย่างงี้มั้ย
00:14:06 → 00:14:08 คืออันนี้อันนี้ต้องดูบลายบุคคลเนาะ
00:14:08 → 00:14:08 อ๋อ
00:14:08 → 00:14:13 คนบางคนอาจจะไม่ทำไม่ทำกับคนนอกเค้าเรียก
00:14:13 → 00:14:15 ว่านอกขอบเขตงานเค้าอย่างเช่นสมมุติว่า
00:14:15 → 00:14:17 เป็นคนละบริษัทกัน
00:14:17 → 00:14:18 ค่ะ
00:14:18 → 00:14:20 อ่าเขาอาจจะพยายามคิดลุกก็ได้รักษาภาพ
00:14:20 → 00:14:21 ลักษณ์
00:14:21 → 00:14:21 ออโอเค
00:14:21 → 00:14:24 เพราะเค้าอาจจะเป็นคนอ่อนโยนคนดีเพราะ
00:14:24 → 00:14:27 อยากให้คนท้างนอกมองว่าเค้าดี
00:14:27 → 00:14:27 อือ
00:14:27 → 00:14:29 มองว่าเค้าเป็นเหมือนพระเอกเป็นคนอ่อนโยน
00:14:29 → 00:14:30 เป็นคนเก่ง
00:14:30 → 00:14:30 อือ
00:14:30 → 00:14:32 เพราะงั้นคนกลุ่มเนี้ยครับบางครั้งเวลา
00:14:32 → 00:14:35 ไปิเป็นวิทยากรเวลานำไปไปนำเสนองานหรือไป
00:14:35 → 00:14:37 พรีเซนตบางอย่างลุกเขาจะดีมาก
00:14:37 → 00:14:39 อื
00:14:39 → 00:14:42 ดูดีดูพระเอกดูแบบคนนอกดูไม่ออกว่าเขา้า
00:14:42 → 00:14:43 แบบเป็นคนท็อกสิค
00:14:43 → 00:14:43 ค่ะ
00:14:43 → 00:14:45 แต่ไอ้คนทำงานอยู่เบื้องหลังด้วยกันเนี่ย
00:14:45 → 00:14:49 คือรู้ว่าแบบมันไม่ได้เป็นอย่างบนเวทีเลย
00:14:49 → 00:14:51 แล้วไปพูดไปบอกไม่ได้ด้วยนะคนอื่นเขาก็
00:14:51 → 00:14:53 ไม่เชื่อก็หาว่าเราแบบ
00:14:53 → 00:14:55 ไปแบบเอ้ย
00:14:55 → 00:14:57 เอ่ออิจฉาเ่อหรืออะไรอย่างงี้ใช่มั้คะมัน
00:14:57 → 00:14:57 ก็จะเป็น
00:14:58 → 00:15:00 ใช่เพราะเค้าสร้างภาพลักษณ์เก่งแล้วผมเคย
00:15:00 → 00:15:02 เจอเรื่องเล่าในบางองค์กรที่เ้า
00:15:03 → 00:15:05 เรียกว่าพยายามเสี้ยมพยายามเสี้ยมให้ลูก
00:15:05 → 00:15:08 น้องไม่เกาะกลุ่มกันให้ลูกน้องเกิดความ
00:15:08 → 00:15:10 ระแวงต่อกัน
00:15:10 → 00:15:10 อื
00:15:10 → 00:15:12 เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าแบบลูก
00:15:12 → 00:15:14 น้องกำลังเกาะกลุ่มแล้วจะแอนตี้เ้าอ่า
00:15:14 → 00:15:14 ฮะ
00:15:14 → 00:15:18 มีผมผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาคือแบบโอ้โห
00:15:18 → 00:15:18 คือ
00:15:18 → 00:15:18 เฮ้ย
00:15:19 → 00:15:21 ไม่ได้มีความตั้งใจจะให้ลูกน้องรักกันเลย
00:15:21 → 00:15:21 คือแบบ
00:15:21 → 00:15:24 ตั้งใจไปพูดคือเหมือนกับว่าเอ่อเค้าเรียก
00:15:24 → 00:15:26 เรียกว่าวิจารณ์คนๆนึงผ่านหัวหน้าผ่าน
00:15:26 → 00:15:30 วิจารณ์ลูกน้องคนนึงผ่านหัวหน้างานอือฮึ
00:15:30 → 00:15:32 วิจารณ์เสร็จปึ๊บวิจารณ์ไม่ค่อยดีหรอก
00:15:32 → 00:15:32 อ
00:15:32 → 00:15:34 ทีนี้ก็ก็บอกว่าให้หัวหน้าไปบอกลูกน้อง
00:15:34 → 00:15:35 ด้วยว่าไม่ดียังไง
00:15:35 → 00:15:36 อือ
00:15:36 → 00:15:38 แต่ตัวเก็ล้วงลูกด้วยการไปคุยกับลูกน้อง
00:15:38 → 00:15:39 คนนั้นโดยตรง
00:15:39 → 00:15:39 อือ
00:15:39 → 00:15:41 ว่าเนี่ยพี่คิดแบบนี้แบบนี้
00:15:41 → 00:15:44 แต่นู่นไม่นั่นอย่างงี้อะไรงี้
00:15:44 → 00:15:45 เอแต่แบบเออมันโอเคแล้วคือพูดเหมือนดูดี
00:15:45 → 00:15:46 อ่ะ
00:15:46 → 00:15:47 แต่สุดท้ายก็ให้หัวหน้าเนี่ยที่เพิ่ง
00:15:47 → 00:15:50 ฟีดแบคตะกี้ไปด่าลูกน้องอีกทีนึง
00:15:50 → 00:15:52 แล้วก็เลยงงว่าอ้าตกลงต้องต้องเชื่อใครนะ
00:15:52 → 00:15:53 อย่างเงี้ยครับ
00:15:53 → 00:15:55 ทำไมทำไมเรารู้สึกคุ้นๆ
00:15:55 → 00:15:57 คุ้นๆเหรอฮะมันเกิดขึ้นใกล้ๆ
00:15:57 → 00:16:00 คุ้นเหมือนเคยได้ยินแนวๆนี้มาก่อนเหมือน
00:16:00 → 00:16:02 กันเอที่ผมฟังนี่เอกชนนะครับไม่ได้เป็น
00:16:02 → 00:16:03 ของภาครัฐอะไร
00:16:03 → 00:16:04 อ๋อแต่
00:16:04 → 00:16:05 เพราะงั้นผมว่ามันมีทุกที่อ่ะภาครัฐภาค
00:16:05 → 00:16:09 เอกชนเจอหมดนะครับมันมันคือคนเก่งก็มีคน
00:16:09 → 00:16:11 ที่แบบถูกแบบอย่างเงี้ยโดน
00:16:11 → 00:16:14 เอ่อมันก็มีอะไรอย่างเงี้ยมันทำให้แบบ
00:16:14 → 00:16:16 บรรยากาศในการทำงานหรืออะไรมันไม่โอเคเลย
00:16:16 → 00:16:19 เนาะเออจริงๆแล้วมันนอกเหนือจากที่เา้า
00:16:19 → 00:16:20 แบบว่า
00:16:20 → 00:16:22 ที่เขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นแบบ
00:16:22 → 00:16:26 เนี้ยเป็นเป็นพิษต่อองค์กรขนาดนี้เนี่ย
00:16:26 → 00:16:29 นอกจากการถูกเลี้ยงดูการถูกที่แบบใน
00:16:29 → 00:16:31 ครอบครัวมาแบบนี้เนี่ยมันยังมีปัจจัย
00:16:31 → 00:16:34 อย่างอื่นอีกมั้เช่นในแบบว่าพอมาทำงานวัน
00:16:34 → 00:16:37 นึงขึ้นมาแบบเป็นคนเก่งขึ้นมาแล้วมันถูก
00:16:37 → 00:16:40 สปอยเยอะๆหรืออะไรอย่างเงี้ยมันมีส่วน
00:16:40 → 00:16:40 ด้วยมั้ย
00:16:40 → 00:16:43 แบบจากปัจจัยภายนอกหรืออะไรเงี้ย
00:16:43 → 00:16:45 เรื่องสปอยก็มีผลครับคือสมมุติถ้าคนรอบ
00:16:45 → 00:16:48 ตัวสปอยมากแล้วต้องบอกอย่างงี้ถ้าตัวเขา
00:16:48 → 00:16:51 มีความทะเยอทะยานสูงผมว่าโดยพื้นฐานคนที่
00:16:51 → 00:16:53 ทะเยอทยานสูงเนี่ยมักจะเห็นตัวเองเป็น
00:16:53 → 00:16:55 หลักเสมอ
00:16:55 → 00:16:55 อื
00:16:55 → 00:16:58 อืพอเค้ามองแต่ตัวเองปั๊บเค้าก็จะมีแต่
00:16:58 → 00:16:59 เป้าหมายที่ตัวเองจะพุ่งไป
00:16:59 → 00:17:00 อื
00:17:00 → 00:17:02 ใครก็ตามที่ขัดขวางความสำเร็จหรือความ
00:17:02 → 00:17:05 ก้าวหน้าของเขาก็จะเป็นตัวถ่วงที่เขาไม่
00:17:05 → 00:17:06 ชอบใจอื
00:17:06 → 00:17:08 เออเพราะงั้นเหมือนที่บอกครับว่าคนเราจะ
00:17:08 → 00:17:10 อยู่กันด้วยความอ่อนโยนได้มันจะต้องมี
00:17:10 → 00:17:12 ความนึกถึงจิตใจกัน
00:17:12 → 00:17:13 อือ
00:17:13 → 00:17:16 นึกถึงใจเขาใจเราและถ้าตัวเราไม่ได้อยู่
00:17:16 → 00:17:18 กับความโลภความทะยานมากไปอ่ะครับ
00:17:18 → 00:17:20 เราจะไม่ร้อนใจเพราะรู้สึกว่าเฮ้ยถ้ามัน
00:17:20 → 00:17:22 ยังไม่เสร็จไม่เป็นไร
00:17:22 → 00:17:24 อืถ้ามันช้าหน่อยไม่เป็นไรอันนี้ไม่
00:17:24 → 00:17:26 เหมือนว่าจนงานเสียนะหมายถึงว่าถ้ามันยัง
00:17:26 → 00:17:28 ไม่ได้เร็วขนาดนั้นถ้ายอดไม่ได้พุ่งไป
00:17:28 → 00:17:31 ขนาดนั้นมันยังไม่ถึงความหายนะของชีวิต
00:17:31 → 00:17:32 มันยังเป็นสิ่งที่ยังมีความหวังค่อยเป็น
00:17:32 → 00:17:34 ค่อยไปได้แล้วเรามีความเข้าอกเข้าใจผู้
00:17:34 → 00:17:37 อื่นอันเนี้ยจะทำให้เราไม่ท็อกสิคใส่ใคร
00:17:37 → 00:17:40 แต่ถ้าเกิดรู้สึกว่าทำไมยอดไม่ถึงตรงนี้
00:17:40 → 00:17:42 ทำไมมันไม่สูงขนาดนั้นทำไมคุณทำperฟอร์ม
00:17:42 → 00:17:45 ไม่ได้ขนาดนี้อย่างเงี้ยครับมันจะมีความ
00:17:45 → 00:17:48 รู้สึกคำถามเต็มไปหมดเลยมีแต่คำถาม
00:17:48 → 00:17:48 อื
00:17:48 → 00:17:51 แล้วมันจะมีความผิดหวังเป็นฐานที่ทำให้
00:17:51 → 00:17:52 เราเนี่ยเอาความผิดผิดหวังเนี้ยไปโยนใส่
00:17:53 → 00:17:56 คนอื่นว่าเหมือนคนนั้นคนนี้มันดีไม่พอแก
00:17:56 → 00:17:59 ทำงานไม่คุ้นคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายอะไร
00:17:59 → 00:18:00 เงี้ยฮะ
00:18:00 → 00:18:00 อื
00:18:00 → 00:18:03 อ่านั่นแสดงว่าตัวเค้าจะนึกถึงแต่ตัวเอง
00:18:03 → 00:18:04 ทีนี้มันจะมีอย่างงี้อีกอย่างนึงครับอัน
00:18:04 → 00:18:07 นั้นคืออันนี้คือตัวกลไกภายในเขาเองที่
00:18:07 → 00:18:08 ค่อนข้างมีความเทียาน
00:18:08 → 00:18:08 อือ
00:18:08 → 00:18:11 แต่จะมีบางคนที่จริงๆแล้วพื้นฐานเ้าจะ
00:18:11 → 00:18:13 เป็นคนที่ดีนั่นแหละแต่เขาอยู่กับองค์กร
00:18:13 → 00:18:14 ที่ถูกกดดัน
00:18:14 → 00:18:15 อ่า
00:18:15 → 00:18:18 ถูกกดดันต้องทำให้ดีงานเร่งมากต้องทำให้
00:18:18 → 00:18:21 เสร็จต้องผลประกอบการได้แล้วแต่เราแจกทีม
00:18:21 → 00:18:22 อะไรก็ตามมันอโอวอร์โหลด
00:18:23 → 00:18:23 อือ
00:18:23 → 00:18:26 คนเราพอโอเวอร์โหลดหรือเบn out เนี่ยครับ
00:18:26 → 00:18:28 โดยส่วนใหญ่จะนึกถึงตัวเองเหมือนกันแต่
00:18:28 → 00:18:30 ฐานแต่ฐานการนึกถึงตัวเองเนี่ยมันจะไม่
00:18:30 → 00:18:31 เหมือนคนเทียานอ
00:18:31 → 00:18:32 อื
00:18:32 → 00:18:35 คนเทียานจะอยากขึ้นที่สูงแต่คนเบิร์น out
00:18:35 → 00:18:38 เนี่ยอยากจะพักแล้วแล้วพอพักมาได้สักที
00:18:38 → 00:18:42 เพราะว่ามันมีคนทำงานที่แบบยังไม่ดีอ่ะ
00:18:42 → 00:18:42 อ่า
00:18:42 → 00:18:44 เขาจะรู้สึกว่าแกเพิ่มงานให้ฉัน
00:18:44 → 00:18:45 ออ
00:18:45 → 00:18:47 แกทำให้ฉันต้องอยู่ในนรกนี้ต่อไปยังไม่
00:18:47 → 00:18:48 ได้พักซักที
00:18:48 → 00:18:49 ก็จะกลายเป็นความก้าวร้าวบางอย่างไอ้ความ
00:18:49 → 00:18:51 ก้าวร้าวนั่นแหละก็จะเกิดเป็นท็อกสิคใน
00:18:51 → 00:18:54 การไปตำหนิคนอื่นว่าเพราะแกเลยเนี่ยทำให้
00:18:54 → 00:18:56 ฉันไม่ได้พัก
00:18:56 → 00:18:58 ทำให้ฉันต้องมานั่งทำอันนี้ต่ออันนี้ก็
00:18:58 → 00:18:59 เป็นหนึ่งในท็อกสิคเหมือนกันแต่แค่เหมือน
00:18:59 → 00:19:03 ที่ชวนให้ดูครับว่าฐานภายในของผู้กระทำ
00:19:03 → 00:19:04 มันมีที่มาไม่เหมือนกัน
00:19:04 → 00:19:05 อื
00:19:05 → 00:19:07 คนนึงมาจากความเชือทยทะยานเห็นกับตัว
00:19:07 → 00:19:07 ค่ะ
00:19:07 → 00:19:09 อีกคนคือเป็นคนเบิร์น out ถูกบดขยี้มา
00:19:09 → 00:19:10 แล้วอยากพัก
00:19:10 → 00:19:11 เออโดนกดดันซะแบบว่า
00:19:11 → 00:19:12 ใช่ครับ
00:19:12 → 00:19:15 เออมันก็ทำให้เอ่อเค้าเรียกว่าอะไรนะมัน
00:19:15 → 00:19:17 ก็มีความหลากหลาย
00:19:17 → 00:19:19 ในในบุคคลนั้นซึ่งจริงๆเขาอาจจะเป็นคนที่
00:19:19 → 00:19:22 แบบเออโอเคดีแต่วันนึงพอขึ้นมาเป็นระดับ
00:19:22 → 00:19:25 ที่เป็นหัวหน้ามันอาจจะทำให้เขาเปลี่ยน
00:19:25 → 00:19:26 เปลี่ยนแล้วก็มันมีเรื่องการแข่งขันด้วย
00:19:26 → 00:19:29 นะผมว่าการแข่งขันทำให้คนเป็นศัตรูกัน
00:19:29 → 00:19:29 อื
00:19:29 → 00:19:32 เช่นระหว่าง 2 ทีมที่ต้องแบบแย่งชิงว่า
00:19:32 → 00:19:33 ใครจะได้ผลงานที่ดีกว่ากัน
00:19:33 → 00:19:34 อือฮึ
00:19:34 → 00:19:37 หรือมันอาจจะมีเรื่องของการเมืองภายใน
00:19:37 → 00:19:37 อ่า
00:19:37 → 00:19:41 อ่าที่ทำให้รู้สึกว่าเอ่อฉันฉันกับแกไม่
00:19:41 → 00:19:43 เคยมีเรื่องบาดหมางกันแต่ตรงเนี้ยมันจะ
00:19:43 → 00:19:45 เป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้นั่งเก้าอี้
00:19:45 → 00:19:46 เออ
00:19:46 → 00:19:48 เพราะฉะนั้นมันก็จะมีเรื่องของการใส่ไข่
00:19:48 → 00:19:52 ใส่ร้ายหาเล่นพรรคเล่นพวกอะไรเงี้ยฮะหรือ
00:19:52 → 00:19:54 อาจจะแบบดิสเครดิตกัน
00:19:54 → 00:19:55 อื
00:19:55 → 00:19:57 เอ่อแย่งแย่งผลประโยชน์อะไรนะแย่งเอาผล
00:19:58 → 00:19:58 งานเข้าตัว
00:19:58 → 00:19:59 ค่ะ
00:19:59 → 00:20:01 อย่างเงี้ยครับใส่ร้ายคนอื่นซึ่งไอ้สิ่ง
00:20:01 → 00:20:02 พวกนี้ก็เป็นพฤติกรรมท็อกสิคเหมือนกัน
00:20:02 → 00:20:04 ซึ่งก็ต้องบอกว่าบางทีสิ่งนี้จะไม่เกิด
00:20:04 → 00:20:06 ขึ้นเลยถ้าเกิดองค์กรนั้นไม่ได้มีเรื่อง
00:20:06 → 00:20:07 ของการแข่งขันเข้ามา
00:20:07 → 00:20:08 อ
00:20:08 → 00:20:10 แต่ถ้ามันมีการแข่งขันมีการเล่นการเมือง
00:20:10 → 00:20:12 ภายในต้องเกิดการต่อสู้ปั๊บมันจะเห็นกัน
00:20:12 → 00:20:13 และกันเป็นศัตรูอ่ะครับ
00:20:13 → 00:20:14 อือฮึ
00:20:14 → 00:20:15 ไอ้ตรงนี้ก็ท็อกสิคเหมือนกัน
00:20:15 → 00:20:17 โอ๊ยฟังดูแล้วเหมือนจะท็อกสิคกันแบบว่า
00:20:17 → 00:20:18 เต็มไปหมดเลย
00:20:18 → 00:20:20 เต็มไปหมดเลยอ้าแล้วถ้าเกิดสมมุติว่าวัน
00:20:20 → 00:20:23 นึงอ่ะอ่ามีคนเก่งแล้วบังเอิญมีคนเก่ง
00:20:23 → 00:20:26 เหมือนกันเนี่ยเข้ามาแบบโอ้โหอยู่ในฝ่าย
00:20:26 → 00:20:29 เดียวกันงานเดียวกันหรือทัดเทียมกันแบบ
00:20:29 → 00:20:31 เก่งอะไรเงี้ยไอ้คนเก่งคนเดิมเนี่ยมันจะ
00:20:31 → 00:20:33 ยอมรับเค้าได้มั้ยหรือว่าจะแบบดูหมิ่นดู
00:20:33 → 00:20:35 แคลนเค้าเหมือนที่ดูหมิ่นคนอื่นนั่นแหละ
00:20:35 → 00:20:36 อะไรเงี้ย
00:20:36 → 00:20:36 มันก็เป็น
00:20:36 → 00:20:39 เค้าจะยอมรับคนอื่นคนอื่นได้มั้ยได้ง่าย
00:20:39 → 00:20:39 มั้ย
00:20:39 → 00:20:41 อืถ้าเค้าถ้าเค้าพื้นฐานเป็นคนค่อนข้าง
00:20:41 → 00:20:44 ขี้อิจฉาแล้วก็เป็นคนไม่ได้ยอมรับคนอื่น
00:20:44 → 00:20:46 หรือไม่ได้เห็นความดีของคนอื่นนะครับ
00:20:46 → 00:20:48 ไอ้ความหมั่นใช่หรือการไม่ยอมรับเนี่ยมัน
00:20:48 → 00:20:50 เกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติอยู่อือฮึ
00:20:50 → 00:20:53 ถ้าถ้าคนเรามีความถ่อมตัวและและมีความ
00:20:53 → 00:20:55 เชื่อว่าผู้อื่นก็มีความเก่งของเ
00:20:55 → 00:20:55 อ
00:20:56 → 00:20:59 ต้องประกอบกันนะเราเห็นคนอื่นว่าดีแต่ตัว
00:20:59 → 00:21:01 เราก็ดีแหละแต่เราถ่อมตัว
00:21:01 → 00:21:01 อ่าฮ
00:21:01 → 00:21:03 ไอ้ตรงนี้แหละมันถึงจะเป็นคนที่ยอมรับคน
00:21:03 → 00:21:04 อื่นได้
00:21:04 → 00:21:04 อ๋อ
00:21:04 → 00:21:06 แต่ถ้าเกิดแบบว่าฉันมันดีอยู่คนเดียวคน
00:21:06 → 00:21:09 อื่นไม่ควรจะดีกว่าฉันหรือถ้าเขาดีเราก็
00:21:09 → 00:21:12 จะพยายามแบบไปเค้าเรียกว่าบอกว่าเพราะแก
00:21:12 → 00:21:16 เกิดมามีคนช่วยไงเดี๋แกโชคดีไงอย่างเงี้ย
00:21:16 → 00:21:16 ครับ
00:21:16 → 00:21:18 แต่ไม่ได้ให้เครดิตว่าเค้าอ่ะเก่งด้วยตัว
00:21:18 → 00:21:19 เขาเองอ
00:21:19 → 00:21:19 อือฮค่ะ
00:21:19 → 00:21:22 อ่าพวกนี้มันคือการใช้ประโยคเพื่อแบบลด
00:21:22 → 00:21:24 ทอนลดทอนความรู้สึกอิจฉาิษยา
00:21:24 → 00:21:24 อือ
00:21:24 → 00:21:26 เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่ได้เค้าเรียก
00:21:26 → 00:21:29 ว่าตัวเองยังสู้เได้และถ้าฉันมีมากกว่า
00:21:29 → 00:21:30 นี้ฉันคงสู้แกได้
00:21:30 → 00:21:30 อือ
00:21:30 → 00:21:32 อ่าเพราะงั้นการยอมรับมันน่าจะเกิดขึ้น
00:21:32 → 00:21:33 ยากครับ
00:21:33 → 00:21:35 มันก็แสดงว่าขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละ
00:21:35 → 00:21:35 คนเลย
00:21:35 → 00:21:36 ใช่แต่ละคนเลย
00:21:36 → 00:21:39 ก่อนก่อนจะมาเป็นท็อกสิคหรือไม่ท็อกสิค
00:21:39 → 00:21:42 เนี่ยพื้นฐานภายในจิตใจลึกๆเลยว่าเป็นคน
00:21:42 → 00:21:43 แบบไหน
00:21:43 → 00:21:46 อือใช่ครับแล้วปัญหาทุกวันนี้คือคนคนเก่ง
00:21:46 → 00:21:49 แต่ท็อกสิคมักจะได้เคลื่อนที่
00:21:49 → 00:21:51 จริงๆแล้วตัวเค้าจะรู้มั้ยว่าเค้าก็นิสัย
00:21:51 → 00:21:53 ไม่ดีอ่ะนิสัยเสียอ่ะ
00:21:53 → 00:21:53 ตัวเค้าเหรอฮะ
00:21:53 → 00:21:55 เออตัวคนเก่งเนี่ยที่มันท็อกสิคเนี่ยเค้า
00:21:55 → 00:21:56 รู้ตัวบ้างมั้ย
00:21:56 → 00:21:57 เค้าอาจจะไม่สนนะ
00:21:58 → 00:22:01 ว้ายไม่ใช่ไม่รู้ตัวก็ไม่สนโดน No สน No
00:22:02 → 00:22:02 care
00:22:02 → 00:22:03 ไม่สนใช่ครับเพราะเค้ามองแค่ว่าเได้ขึ้น
00:22:03 → 00:22:05 ไปตรงนั้นเแฮปปี้ไง
00:22:05 → 00:22:06 เฮ้ยคนลุกอ่ะ
00:22:06 → 00:22:08 เออซึ่งมันมีคนอย่างนั้นอยู่จริงๆครับ
00:22:08 → 00:22:09 เออๆ
00:22:09 → 00:22:11 มันก็อารมณ์เหมือนบางคนที่แบบเค้าเรียกนะ
00:22:11 → 00:22:13 ประกอบอาชีพแบบมิจฉาชีพตลอดกาลน่ะไม่คิด
00:22:13 → 00:22:16 จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นคิดแค่
00:22:16 → 00:22:17 มุมจะเอาเปรียบคนอื่นอย่างเงี้ยว้าว
00:22:17 → 00:22:19 แสดงว่าเอาจจะรู้แหละว่าอาชีพเค้าถ้าตาม
00:22:19 → 00:22:21 หลักการตามทางสังคมคือไม่ดีแต่เขาก็ไม่
00:22:21 → 00:22:24 ได้สนใจเจะทำต่อเพราะมันสะดวกเค้าอ่ะครับ
00:22:24 → 00:22:25 อ๋อ
00:22:25 → 00:22:28 สะดวกเค้าแต่ไม่ไม่สะดวกใจคนอื่นเลย
00:22:28 → 00:22:30 อ่าใช่ครับแสดงว่าเค้านึกถึงแค่ตัวเองคน
00:22:30 → 00:22:30 เดียว
00:22:30 → 00:22:33 ก็พอย์คือมันคือการเห็นแก่ตัวนั่นแหละ
00:22:33 → 00:22:35 เห็นแกตัวครับใช่เว้แต่ตัวเองคนเดียวใช่
00:22:35 → 00:22:38 เออแล้วอย่างเงี้ยมันถือว่าเป็นแบบโอ้โห
00:22:38 → 00:22:41 องค์กรนี้นรกเหมือนดั่งเปลวเพลิงเผ่าไหม้
00:22:41 → 00:22:42 อยู่ในองค์กรมั้ย
00:22:42 → 00:22:45 ออแน่นอนครับมันจะเป็นอย่างงั้นแหละทีนี้
00:22:45 → 00:22:48 ทีนี้ระดับพนักงานก็จะไม่มีอำนาจต่อรอง
00:22:48 → 00:22:50 ไอ้ไอ้กรณีผมเจอบ่อยพนักงานก็จะแบบซึม
00:22:50 → 00:22:52 เศร้ากันเยอะอะไรเงี้ย
00:22:52 → 00:22:54 ใช่ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครแบบจิตใจแข็ง
00:22:54 → 00:22:58 แกร่งดังภูผาแค่ไหนหรือเป็นคนที่อยู่เป็น
00:22:58 → 00:22:58 แค่ไหน
00:22:58 → 00:22:59 อออือฮึ
00:22:59 → 00:23:01 อ่าบางคนก็อาจจะอยู่แค่ระยะชั่วคราวแล้ว
00:23:01 → 00:23:03 ก็อาจจะย้ายงานแต่บางคนก็คือที่อยู่เป็น
00:23:04 → 00:23:06 แล้วเค้าก็จะแบบเริ่มปล่อยวางเป็น
00:23:06 → 00:23:06 อือ
00:23:06 → 00:23:08 เริ่มแบบไม่ใส่ใจคำพูดบางอย่างก็เพิกเฉย
00:23:08 → 00:23:10 ไปถ้าเกิดไม่มีอะไรที่ต้องดีดให้เขาออก
00:23:10 → 00:23:11 ได้
00:23:11 → 00:23:11 อือ
00:23:11 → 00:23:14 จริงๆก็อยากชวนครับอยากชวนให้ทุกคนแบบทุก
00:23:14 → 00:23:16 องค์กรเลยนะได้ได้กลับมาทบทบทวนว่าจริงๆ
00:23:16 → 00:23:19 แล้วเนี่ยสังคมเราอ่ะครับถ้าจะอยู่ให้มัน
00:23:19 → 00:23:21 แบบสงบสุขสบายใจอ่ะใครๆก็อยากอยู่อย่าง
00:23:21 → 00:23:22 สงบสุขสบายใจ
00:23:22 → 00:23:23 จริง
00:23:23 → 00:23:25 สำคัญคือพวกเราต้องเป็นเรียกว่าตัวละคร
00:23:25 → 00:23:28 ที่เป็นสิ่งแวดล้อมให้กันและกันทำยังไงนะ
00:23:28 → 00:23:30 ให้องค์กรของเราแบบอยู่กันลักษณะเหมือน
00:23:30 → 00:23:32 ฟิวเป็นเพื่อนน่ะเออแต่ไม่ใช่เพื่อนแบบ
00:23:32 → 00:23:36 เพื่อนเล่นหัวนะถึงว่ามีความเคารพกันและ
00:23:36 → 00:23:38 กันมีความให้เกียรติกันและรู้สึกว่าคนทุก
00:23:38 → 00:23:40 คนคู่ควรกับการได้รับประโยคที่ดีต่อกัน
00:23:40 → 00:23:41 อือฮึ
00:23:41 → 00:23:42 แต่ขณะเดียวโดยกันมันก็ไม่ใช่แบบเล่นไป
00:23:43 → 00:23:45 เรื่อยจนกระทั่งแบบภาระงานหรือว่าสิ่งที่
00:23:45 → 00:23:47 ต้องทำที่รับผิดชอบมันไม่เกิดอ่ามันก็
00:23:47 → 00:23:49 ต้องมีเรื่องของความ Professional ความ
00:23:49 → 00:23:51 มืออาชีพที่เราจะต้องทำไปด้วยกันพร้อมๆ
00:23:51 → 00:23:52 กันอือ
00:23:52 → 00:23:54 ทีนี้องค์กรจะเป็นยังไงเนี่ยครับโดยส่วน
00:23:54 → 00:23:56 ใหญ่แล้วนะวัฒนธรรมองค์กรมักจะขึ้นอยู่
00:23:56 → 00:23:59 กับผู้นำเสมอผู้นำที่มีอำนาจและเป็นตัว
00:23:59 → 00:24:01 แบบที่ดีลูกน้องเมื่อเห็นก็จะเกรงใจแล้ว
00:24:02 → 00:24:04 ก็เคารพและก็จะมีพฤติกรรมการเลียนแบบว่า
00:24:04 → 00:24:06 เจ้านายเรามีค่านิยมแบบนี้
00:24:06 → 00:24:07 อ
00:24:07 → 00:24:09 อ่าแล้วถ้าเกิดมีใครสักคนทำนอกวัฒนธรรม
00:24:09 → 00:24:11 องค์กรที่ไม่ถูกต้องปึ๊บนายเข้ามาตัก
00:24:11 → 00:24:11 เตือน
00:24:11 → 00:24:12 อือ
00:24:12 → 00:24:15 อ่าสิ่งเนี้ยทุกคนก็จะค่อยๆโน้มโน้มตาม
00:24:15 → 00:24:18 กันไปว่าเราอยู่กันแบบนี้สงบสุขสบายใจ
00:24:18 → 00:24:18 กว่า
00:24:18 → 00:24:22 อืเข้าใจได้เพราะว่าการทำงานทุกวันนี้ที่
00:24:22 → 00:24:25 อยู่ในองค์กรเนี่ยคือเอ่อถ้าเราเห็นสิ่ง
00:24:25 → 00:24:27 ที่ไม่ไม่ดีไม่โอเคอย่างเงี้ยเราก็จะรู้
00:24:27 → 00:24:29 สึกว่าโตไปเราอย่าเป็นแบบนี้
00:24:29 → 00:24:30 อือ
00:24:30 → 00:24:32 เออแต่แต่ก็เข้าใจได้ว่าพอโตไปอ่ะบางที
00:24:32 → 00:24:34 มันอาจจะมีอะไรทำให้คนเปลี่ยนได้
00:24:34 → 00:24:34 ใช่ครับ
00:24:34 → 00:24:37 ถึงแม้เราจะยืนยันว่าฉันไม่ทำแบบนี้แต่
00:24:37 → 00:24:39 มันอาจจะเป็นยิ่งกว่าเขาก็ได้ในวันนึง
00:24:39 → 00:24:40 อืก็ได้ครับ
00:24:40 → 00:24:42 เออแต่หรือว่าเราอาจจะมีแบบอย่างที่ดีว่า
00:24:42 → 00:24:45 เออโตไปต่อไปเราบริหารลูกน้อง
00:24:45 → 00:24:47 หรือคนใต้บังคับบัญชาไม่ว่าจะองค์กรไหน
00:24:47 → 00:24:51 เนี่ยนะเราก็จะได้แบบออเเราชอบแบบนี้เด็ก
00:24:51 → 00:24:53 ๆชอบแบบนี้แล้วก็จะได้แบบเกิดความสงบสุข
00:24:53 → 00:24:54 ในที่ทำงาน
00:24:54 → 00:24:55 ใช่ครับ
00:24:55 → 00:24:57 อืไม่เป็นภูเขาไฟพร้อมระเบิด
00:24:57 → 00:24:57 ครับ
00:24:57 → 00:24:59 เนาะฝากไว้ฟังดูแล้วก็
00:24:59 → 00:25:00 จะช่วยทุกคนเลยครับ
00:25:00 → 00:25:05 ขนหัวลุกเลยอ่ะแบบอื้อหือนะอ่ะแต่ว่าก็
00:25:05 → 00:25:08 เชื่อว่าได้ฟังแบบนี้แล้วก็จะได้มองตัว
00:25:08 → 00:25:10 เองมากขึ้นหรืออะไรหรือคนที่เป็นแบบนี้
00:25:10 → 00:25:13 อยู่ก็ได้มองตัวเองมากขึ้นด้วยนะคะอ่า
00:25:13 → 00:25:16 ขอบคุณคุณเอิ้ลค่ะสวัสดีค่ะอหมดเวลาแล้ว
00:25:16 → 00:25:18 ค่ะพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทาง
00:25:19 → 00:25:21 Thai PBS พcastนะคะวันนี้ลาไปก่อน
00:25:21 → 00:25:22 สวัสดีค่ะ
00:25:22 → 00:25:25 This is Thai PBS Podcast
00:25:25 → 00:25:27 ความเสี่ยงของคนทำงานกะดึกในโอกาสเป็นโรค
00:25:27 → 00:25:29 หรืออาการอะไรได้บ้างและในคุณแม่ตั้ง
00:25:29 → 00:25:31 ครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงในเรื่องอะไรแพทย์
00:25:32 → 00:25:34 หญิงกิตติยาศรีเลือดฟ้าแพทย์อยุรกรรมฝ่าย
00:25:34 → 00:25:37 การแพทย์ AIA มาเล่าให้ฟังครับ
00:25:37 → 00:25:40 คนที่ทำงานกะดึกเนี่ยจะมีการเหนื่อยล้า
00:25:40 → 00:25:44 อ่อนเพลียนะส่งผลต่อการทำงานโดยตรงเช่น
00:25:44 → 00:25:47 ส่งผลต่อสุขภาพระยะสั้นเช่นอะไรบ้างอ่า
00:25:47 → 00:25:50 รู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยล้าง่วงในเวลาส่ง
00:25:50 → 00:25:53 ผลต่อสมรรถภาพการทำงานที่ลดลงแล้วเสี่ยง
00:25:53 → 00:25:56 ต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานส่วนระยะ
00:25:56 → 00:26:00 ยาวมีงานวิจัยมากมายเลยมากมายนะคะว่าคน
00:26:00 → 00:26:03 ที่ทำงานกะบ่ายดึกเนี่ยพบว่าจะมีความ
00:26:03 → 00:26:05 เสี่ยงต่อการเกิดโรคบางอย่างมากกว่าคน
00:26:05 → 00:26:08 อื่นเช่นโรคอ้วนโรคเบาหวาน
00:26:08 → 00:26:13 โรคหัวใจความดันโลหิตสูงโรคหลอดเลือดสมอง
00:26:13 → 00:26:16 เนื่องจากความผิดปกติของการเผาผลาญขาดการ
00:26:16 → 00:26:19 ออกกำลังกายขาดการนอนหลับพักผ่อนที่เพียง
00:26:19 → 00:26:22 พอเกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
00:26:22 → 00:26:25 เพิ่มขึ้นในผู้หญิงมีอาการกล้ามเนื้อตา
00:26:25 → 00:26:28 ล้าปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมีความเครียดอ่อน
00:26:28 → 00:26:32 เพลียเรื้อรังทำให้มีระดับเซโรโทนินที่
00:26:32 → 00:26:35 ต่ำกว่าคนที่ทำงานในช่วงเวลาปกติทำให้มี
00:26:35 → 00:26:38 ผลกระทบต่อการนอนนะคะทำให้เกิดโรคนอนไม่
00:26:38 → 00:26:41 หลับซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลด
00:26:41 → 00:26:43 ลงและยังต้องประสบกับการพักผ่อนที่ไม่
00:26:43 → 00:26:46 เพียงพอในระหว่างวันเสี่ยงต่อการเป็นโรค
00:26:46 → 00:26:48 ระบบทางเดินอาหารเช่นโรคกระเพาะเพราะว่า
00:26:48 → 00:26:51 การทำงานเป็นกะเนี่ยอาจจะทำให้เรารับ
00:26:51 → 00:26:53 ประทานอาหารไม่ตรงเวลารับประทานอาหารที่
00:26:53 → 00:26:55 ไม่เหมาะสมการรับประทานอาหารที่มากหรือ
00:26:56 → 00:26:59 น้อยเกินไปส่งผลต่อระบบเผาผลาญก็คือการทำ
00:26:59 → 00:27:02 งานกากกลางคืนเนี่ยเป็นสาเหตุหลักที่ทำ
00:27:02 → 00:27:05 ให้ระดับเล็บินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้า
00:27:05 → 00:27:08 ที่ในการควบคุมน้ำหนักเนี่ยแล้วก็ระดับ
00:27:08 → 00:27:10 น้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลินเนี่ย
00:27:10 → 00:27:11 เปลี่ยนแปลงไปค่ะ
00:27:11 → 00:27:13 ความเปลี่ยนแปลงเทำให้เกิดความเสี่ยงสูง
00:27:13 → 00:27:16 ที่จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนโรค
00:27:16 → 00:27:19 เบาหวานและโรคหัวใจแล้วก็เพิ่มความเสี่ยง
00:27:19 → 00:27:22 หัวใจวายอีกมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอัตรา
00:27:22 → 00:27:26 การเกิดหัวใจวายหลอดเลือดหัวใจอุดตันเกิด
00:27:26 → 00:27:29 ภาวะหัวใจขาดเลือดมีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง
00:27:29 → 00:27:33 สูงขึ้นพบว่ามีความสัมพันธ์ของการทำงาน
00:27:33 → 00:27:36 เข้ากะกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูก
00:27:36 → 00:27:38 หมากนอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการติด
00:27:38 → 00:27:41 เชื้อต่างๆเพราะว่าภูมิต้านทานของร่างกาย
00:27:41 → 00:27:44 ลดลงมีปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอบาลัยความ
00:27:44 → 00:27:46 เครียดและความเหนื่อยล้าจากการทำงานเนี่ย
00:27:46 → 00:27:49 จะส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อและกระดูกทำให้
00:27:49 → 00:27:52 เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอบาล่และ
00:27:52 → 00:27:55 หลังได้ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์เพิ่ม
00:27:55 → 00:27:58 ขึ้นเช่นประจำเดือนมาไม่ปกติการแท้งบุตร
00:27:58 → 00:28:02 การคลอดก่อนกำหนดหรือภาวะมีบุตรยากในผู้
00:28:02 → 00:28:05 หญิงและก็ทำงานผิดพลาดได้มากขึ้นนะความ
00:28:05 → 00:28:08 สามารถในการจดจำการคิดวิเคราะห์จะน้อยลง
00:28:08 → 00:28:10 เพิ่มความเสี่ยงในการทำงานผิดพลาดได้มาก
00:28:10 → 00:28:13 ขึ้นการอยู่กะดึกเนี่ยไม่ควรรับประทาน
00:28:13 → 00:28:16 อาหารที่หนักเกินไปควรจะรับประทานให้แค่
00:28:16 → 00:28:20 ไม่รู้สึกหิวเท่านั้นนะคะหลังจากออกกะ
00:28:20 → 00:28:23 แล้วเนี่ยช่วงตอนเช้าเนี่ยอาจจะเป็นอาหาร
00:28:23 → 00:28:26 มื้อเช้าแล้วแต่ทานซะก่อนแล้วก็เพื่อให้
00:28:26 → 00:28:30 การนอนหลับให้เต็มอิ่ม
00:28:30 → 00:28:31 [เพลง]
00:28:31 → 00:28:36 This is Thai PBS Podcast
00:28:36 → 00:28:39 ติดตามรายการของ Thai PBS Podcast ได้
00:28:39 → 00:28:41 ทางเว็บไซต์ www.thaipspodcast.com
00:28:41 → 00:28:43 thapodcast.com
00:28:43 → 00:28:47 แอปพลิเคช Thai PBBS Podcast รวมถึงฟัง
00:28:47 → 00:28:50 ผ่าน podcast ช่องทางอื่นๆ Spotify
00:28:50 → 00:28:53 YouTube Apple Podcast และ Soundcloud
00:28:53 → 00:28:54 เอ้า
00:28:54 → 00:28:57 [เพลง]