00:00:00 → 00:00:06 ยาเม็ดเล็กๆที่ชื่อแอสไพินที่หลายคนอาจ คุ้นเคยกับการใช้แก้ปวดลดไข้เนี่ยถ้าเรา
00:00:06 → 00:00:11 กินมันทุกวันเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัว ใจหรือเส้นเลือดสมองตีบตามที่หมอสั่งจะมี
00:00:11 → 00:00:16 ความลับหรือความเสี่ยงอะไรซ่อนอยู่บ้าง ที่เราอาจยังไม่รู้หรือมองข้ามไป
00:00:16 → 00:00:22 ใช่เลยค่ะเพราะหลายท่านอาจคิดว่าแอสไพริน เป็นยาที่ปลอดภัยและใช้กันมานานแต่จริงๆ
00:00:22 → 00:00:29 แล้วการกินยาตัวนี้ทุกวันมีรายละเอียด ปลีกย่อยและข้อควรระวังสำคัญที่คุณหมออาจ
00:00:29 → 00:00:35 ไม่ได้ลงลึกทุกครั้งที่เราไปตรวจค่ะวัน นี้สุขภาพสนทนาจะพาคุณมาเจาะลึกความลับ
00:00:35 → 00:00:41 เหล่านี้เพื่อให้คุณเข้าใจและใช้ยา แอสพรินได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
00:00:41 → 00:00:44 สูงสุด หากคุณไม่อยากพลาดเคล็ดลับสุขภาพดีๆที่
00:00:44 → 00:00:49 เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริงกดติดตามช่อง สุขภาพสนทนาของเราไว้ได้เลยนะครับ
00:00:49 → 00:00:55 เพราะเราเชื่อว่าสร้างสุขภาพดีเริ่มต้น จากความเข้าใจแล้ววันนี้เราจะมาทำความ
00:00:55 → 00:01:02 เข้าใจกับเจ้าแอสไพรินอย่าที่ดูเหมือนจะ ธรรมดาแต่มีความลับมากมายรอให้เราเปิดเผย
00:01:02 → 00:01:05 ค่ะ ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงความเสี่ยงเรามา
00:01:05 → 00:01:10 ทำความรู้จักกับแอสไพรินกันก่อนดีมั้ครับ คุณผู้ชมคุณผู้ฟังอาจจะคุ้นเคยกันดีอยู่
00:01:10 → 00:01:17 แล้วว่าแอสไพรินเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ ใช้แก้ปวดลดไข้ได้สารพัด
00:01:17 → 00:01:24 ถูกต้องค่ะตั้งแต่ปวดหัวปวดฟันปวดกล้าม เนื้อหรือมีไข้ก็มักจะนึกถึงแอสไพรินเป็น
00:01:24 → 00:01:30 อันดับต้นๆแต่จริงๆแล้วฤทธิ์ของแอสไพริน ไม่ได้มีแค่นั้นนะคะที่สำคัญกว่านั้นคือ
00:01:30 → 00:01:33 ฤทธิ์ในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ค่ะ
00:01:33 → 00:01:38 ครับฤทธิ์นี้แหละครับที่เป็นหัวใจสำคัญ ของการนำแอสพีนมาใช้ในการป้องกันโรคหลอด
00:01:38 → 00:01:43 เลือดต่างๆคือเจ้าเกล็ดเลือดเนี่ยปกติมัน จะช่วยทำให้เลือดเราแข็งตัวเวลาที่มีบาด
00:01:43 → 00:01:48 แผลใช่ไหมั้ครับแต่มันก็มีโอกาสที่จะไป จับตัวกันเป็นลิ่มเลือดแล้วไปอุดตันหลอด
00:01:48 → 00:01:52 เลือดได้โดยเฉพาะหลอดเลือดที่เลี่ยงหัวใจ หรือหลอดเลือดในสมอง
00:01:52 → 00:01:57 ซึ่งถ้าลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดที่ เลี้ยงหัวใจก็จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อ
00:01:57 → 00:02:02 หัวใจขาดเลือดหรือที่เราเรียกว่าหัวใจวาย เฉียบพลันนั่นเองค่ะส่วนถ้าไปอุดตันหลอด
00:02:02 → 00:02:08 เลือดในสมองก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือด สมองตีบซึ่งทั้ง 2 ภาวะนี้เป็นสาเหตุ
00:02:08 → 00:02:12 สำคัญของการเสียชีวิตและความพิการในผู้ สูงอายุเลยนะคะ
00:02:12 → 00:02:17 แอสไพลินจึงถูกนำมาใช้เพื่อลดความเหนียว ของเกล็ดเลือดไม่ให้มันจับตัวกันง่ายเกิน
00:02:17 → 00:02:22 ไปทำให้โอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือดที่ก่อให้ เกิดอันตรายเหล่านี้ลดลงครับโดยเฉพาะใน
00:02:22 → 00:02:27 กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง แล้วทำไมเราถึงได้ยินคำว่าแอสไพรินขนาด
00:02:27 → 00:02:34 ต่ำบ่อยๆคะบางคนก็เรียกว่าแอสไพรินด้วย ซ้ำมันแตกต่างจากการกินแอสไพรินเพื่อแก้
00:02:34 → 00:02:39 ปวดลดไข้ยังไงคะ นั่นเป็นจุดสำคัญเลยครับการใช้แอสไพin
00:02:39 → 00:02:44 เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันโรคหลอด เลือดเราจะใช้ในขนาดต่ำครับโดยทั่วไปจะ
00:02:44 → 00:02:50 อยู่ที่ประมาณ 75-100 มกรัต่อวันซึ่งเป็น ขนาดที่เพียงพอต่อการยับยั้งการทำงานของ
00:02:50 → 00:02:56 เกล็ดเลือดโดยมีถนข้างเคียงน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับขนาดที่ใช้แก้ปวดลดไข้ที่
00:02:56 → 00:03:03 มักจะสูงกว่าเช่น 325 หรือ 500 มกรัครับ อ๋ออย่างนี้นี่เองค่ะแล้วที่เรียกกันว่า
00:03:03 → 00:03:07 เบบี้แอสไพรินล่ะคะฟังแล้วเหมือนเอาไว้ ให้เด็กเล็กๆกินเลย
00:03:07 → 00:03:13 ใช่ครับที่เรียกกันว่าเบบี้แรินก็เพราะ ขนาดที่น้อยนี่แหละครับแต่ต้องย้ำตรงนี้
00:03:13 → 00:03:19 เลยว่าไม่ได้หมายความว่ายานี้เหมาะกับ เด็กเล็กๆหรือทารกนะครับต้องระวังมากๆเลย
00:03:19 → 00:03:25 สำหรับคุณพ่อคุณแม่เพราะโดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 16-19
00:03:25 → 00:03:30 ปีรับประทานยาแอสไพรินเด็ดขาดครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะคะมีข้อจำกัดอะไร
00:03:30 → 00:03:35 เป็นพิเศษกับเด็กๆหรือเปล่า มีครับเพราะในเด็กเล็กการใช้แอสไพรินอาจ
00:03:35 → 00:03:41 ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าเรซนrมซึ่งเป็น ภาวะที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ครับ
00:03:41 → 00:03:49 โดยจะส่งผลกระทบต่อสมองและตับอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการเคลื่อนไส้อาเจียนสับสนชัก
00:03:49 → 00:03:55 และอาจถึงขั้นโคม่าได้ดังนั้นแพทย์จะ พิจารณาให้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆและภายใต้
00:03:55 → 00:04:00 การดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้นครับอย่าง เช่นในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคคาวาซากิบาง
00:04:00 → 00:04:06 รายหรือหลังการผ่าตัดหัวใจเท่านั้นครับ เข้าใจเลยค่ะแสดงว่าถึงแม้จะเรียกว่า
00:04:06 → 00:04:11 แอสไพรินแต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยสำหรับเด็กทุก คนเหมือนชื่อนะคะผู้ใหญ่ที่ได้ประโยชน์
00:04:11 → 00:04:14 จากยาตัวนี้ก็ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เท่านั้น
00:04:14 → 00:04:20 ถูกต้องครับก็คือขนาดที่ใช้ต่างกัน วัตถุประสงค์ก็ต่างกันด้วยการใช้ยาในขนาด
00:04:20 → 00:04:25 สูงเพื่อแก้ปวดหรือลดไข้แอสไพรินจะมี ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ตัวอื่นๆที่เกี่ยว
00:04:25 → 00:04:29 ข้องกับการอักเสบด้วยครับแต่ถ้าเป็น เรื่องหลอดเลือดเราต้องการเพียงแค่ฤทธิ์
00:04:29 → 00:04:34 ยับยั้งการจับตัวของเกร็ดเลือดเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันครับ
00:04:34 → 00:04:39 แสดงว่าแอสไพรินในขนาดต่ำนี่ถือเป็นผู้ ช่วยสำคัญในการป้องกันโรคกลุ่มนี้เลยนะคะ
00:04:39 → 00:04:45 ใช่ครับแต่ก็อย่างที่เราเกร่นไปตอนต้นว่า แม้แอสไพรินจะมีประโยชน์มากแต่การรับ
00:04:45 → 00:04:50 ประทานมันทุกวันก็มาพร้อมกับความลับหรือ ความเสี่ยงบางอย่างที่เราทุกคนที่กินยา
00:04:50 → 00:04:57 ตัวนี้อยู่หรือกำลังจะกินควรจะรู้และไม่ ควรมองข้างครับค่ะและนี่คือส่วนสำคัญที่
00:04:57 → 00:05:03 เราจะมาเปิดเผยความลับที่หมออาจจะไม่ได้ บอกทั้งหมดหรือที่เราอาจจะลืมถามไปค่ะ
00:05:03 → 00:05:08 ความลับข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ ความเสี่ยงเลือดออกค่ะ
00:05:08 → 00:05:14 ใช่ครับนี่คือภัยเงียบที่ร้ายแรงที่สุด จากการกินแอสพรินทุกวันเลยเพราะกลไกที่ยา
00:05:14 → 00:05:19 ไปยับยั้งการทำงานของเกล็ดเลือดทำให้ เลือดไม่แข็งตัวเท่าที่ควรทำให้เรามี
00:05:19 → 00:05:23 โอกาสเลือดออกง่ายขึ้นและเลือดหยุดยาก ขึ้นครับ
00:05:23 → 00:05:28 ซึ่งการเลือดออกที่ว่านี้ไม่ใช่แค่เลือด กำเดาไหลง่ายหรือมีรอยช้ำตามตัวง่ายๆเท่า
00:05:28 → 00:05:34 นั้นนะคะแต่ยังรวมถึงการเลือดออกภายในที่ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ด้วยค่ะ
00:05:34 → 00:05:40 ใช่ครับที่พบบ่อยและสำคัญที่สุดก็คือ เลือดออกในทางเดินอาหารครับแอสไพรินมี
00:05:40 → 00:05:45 ฤทธิ์ระคายเคืองเยื่อบุทางเดินอาหารอยู่ แล้วยิ่งถ้ากินทุกวันยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
00:05:45 → 00:05:50 ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้และอาจ นำไปสูดการเลือดออกได้ครับ
00:05:50 → 00:05:54 แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่ามีเลือดออกใน ทางเดินอาหาร
00:05:54 → 00:06:00 อาการที่สังเกตได้คืออาจมีอาการปวดท้อง แสบท้องมากขึ้นหรือรู้สึกจุกเสียดแน่น
00:06:00 → 00:06:06 ท้องตลอดเวลาหรือที่สำคัญกว่านั้นคือถ่าย อุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอยครับซึ่งเป็น
00:06:06 → 00:06:12 สัญญาณว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน และเลือดนั้นถูกย่อยและเปลี่ยนสีไปแล้ว
00:06:12 → 00:06:18 หรือบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดซึ่งอาจ เป็นสีแดงสดหรือสีดำคลายกากกาแฟครับถ้ามี
00:06:18 → 00:06:21 อาการเหล่านี้ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันทีเลย นะครับ
00:06:21 → 00:06:26 ฟังดูน่ากลัวมากเลยค่ะแล้วนอกจากในทาง เดินอาหารยังมีที่ไหนอีกบ้างคะที่ต้อง
00:06:26 → 00:06:30 ระวัง อีกจุดที่อันตรายไม่แพ้กันก็คือเลือดออก
00:06:30 → 00:06:35 ในสมองครับแม้จะไม่ใช่เรื่องที่พบบ่อย เท่าเลือดออกในทางเดินอาหารแต่เป็นภาวะ
00:06:35 → 00:06:41 ที่รุนแรงถึงชีวิตหรือทำให้เกิดความพิการ ถาวรได้ครับโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความ
00:06:41 → 00:06:46 ดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุมหรือผู้ สูงอายุที่มีหลอดเลือดเปราะบาง
00:06:46 → 00:06:50 อาการของเลือดออกในสมองเป็นยังไงคะที่ ต้องสังเกต
00:06:50 → 00:06:55 สัญญาณเตือนที่สำคัญคือปวดศีรษะอย่าง รุนแรงและเฉียบพลันไม่เคยปวดแบบนี้มาก่อน
00:06:55 → 00:07:02 อาจมีอาการอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดหน้า เบี้ยวหรือหมดสติร่วมด้วยครับถ้ามีอาการ
00:07:02 → 00:07:05 เหล่านี้ก็ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่ สุดเช่นกันครับ
00:07:05 → 00:07:10 นี่คือความเสี่ยงอันดับ 1 เลยนะคะที่ต้อง ระวังมากเป็นพิเศษแล้วความเสี่ยงที่ 2
00:07:10 → 00:07:14 ล่ะคะ ความเสี่ยงที่ 2 ก็คือผลกระทบต่อระบบทาง
00:07:14 → 00:07:19 เดินอาหารโดยตรงครับแม้จะยังไม่ถึงขั้น เลือดออกแต่แอสเปอินก็สามารถทำให้เกิด
00:07:19 → 00:07:26 อาการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ง่ายครับ ใช่ค่ะบางคนอาจรู้สึกปวดท้องแสบร้อนกลาง
00:07:26 → 00:07:32 อกคลื่นไส้หรืออาหารไม่ย่อยบ่อยๆซึ่งอาจ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและส่งผลต่อคุณภาพ
00:07:32 → 00:07:36 ชีวิตประจำวันได้ เพื่อลดปัญหานี้ครับสิ่งที่แพทย์และ
00:07:36 → 00:07:43 เภสัชกรมักจะเน้นย้ำอยู่เสมอคือให้รับ ประทานยาแอสเปินพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร
00:07:43 → 00:07:48 ทันทีอย่ากินตอนท้องว่างเด็ดขาดนะครับ เพราะจะช่วยให้ยามีโอกาสสัมผัสกับเยื่อบุ
00:07:48 → 00:07:54 ทางเดินอาหารโดยตรงน้อยลงลดการระคับเคือง ได้มากครับและบางตำรับอาจเป็นยาเม็ด
00:07:54 → 00:08:01 เคลือบ CED ที่ช่วยให้ยาแตกตัวในลำไส้ เล็กแทนกระเพาะอาหารเพื่อลดการระคายเคือง
00:08:01 → 00:08:05 ครับ นอกจากผลข้างเคียงโดยตรองแล้วยังมีความ
00:08:05 → 00:08:12 ลับข้อที่ 3 ที่เราต้องระวังนั่นก็คือ ปฏิกิริยากับยาและสมุนไพรอื่นๆค่ะ
00:08:12 → 00:08:18 ใช่ครับหลายคนอาจมองข้ามตรงนี้ไปแต่สำคัญ มากเลยนะครับเพราะการใช้แอสไพรินร่วมกับ
00:08:18 → 00:08:24 ยาบางชนิดหรือแม้แต่สมุนไพรบางอย่างอาจ เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอันตรายได้
00:08:24 → 00:08:30 โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาละลายลิ่มเลือดตัว อื่นๆเช่นยาวาฟารินหรือกลุ่มยาต้านเกล็ด
00:08:30 → 00:08:37 เลือดชนิดอื่นเช่นโพิโดเกรลการใช้ยาเหล่า นี้ร่วมกับแอสไพรินโดยไม่มีการปรับขนาดยา
00:08:37 → 00:08:42 หรืออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ ชิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก
00:08:42 → 00:08:46 อย่างรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หลาย เท่าตัวเลยค่ะ
00:08:46 → 00:08:51 นอกจากยาแผนปัจจุบันแล้วสมุนไพรบางชนิดก็ เป็นอีกเรื่องที่หลายคนมองมองข้ามครับ
00:08:51 → 00:08:59 เช่นกระเทียมสกัดในปริมาณมากแปะก๊วยน้ำ มันปลาขิงหรือตังกุ่ยสมุนไพรเหล่านี้บาง
00:08:59 → 00:09:03 ชนิดก็มีฤทธิ์ยับยั้งการก่อกลุ่มของเกล็ด เลือดฟันอ่อนได้ครับ
00:09:03 → 00:09:09 ดังนั้นถ้าคุณกำลังกินแอสไพรินอยู่แล้วไป กินอาหารเสริมหรือสมุนไพรนี้เข้าไปด้วยก็
00:09:09 → 00:09:14 เหมือนเป็นการเพิ่มฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด ซ้ำซ้อนทำให้ความเสี่ยงเลือดออกเพิ่มขึ้น
00:09:14 → 00:09:18 ไปอีกโดยไม่รู้ตัวค่ะ ที่สำคัญอีกอย่างคือแอลกอฮอล์ครับอันนี้
00:09:18 → 00:09:24 เป็นสิ่งที่หมอและเัชกรจะย้ำเตือนบ่อยๆ เพราะแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อ
00:09:24 → 00:09:29 การเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารที่รุนแรง ได้หากรับประทานร่วมกับแอสไพรินครับ
00:09:29 → 00:09:35 เพราะฉะนั้นถ้าคุณกินแอสไพรินทุกวันการ ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ควร
00:09:35 → 00:09:40 หลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณให้มากที่สุด เลยนะคะเพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
00:09:40 → 00:09:46 และความลับข้อสุดท้ายที่อยากจะเน้นย้ำก็ คือข้อห้ามใช้และกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง
00:09:46 → 00:09:52 เป็นพิเศษครับไพรินไม่ใช่ยาที่ทุกคนจะกิน ได้โดยไม่มีข้อจำกัดนะครับ
00:09:52 → 00:09:57 ใช่ค่ะกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ควรกินแอสพริน เองเด็ดขาดและควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากได้
00:09:57 → 00:10:05 รับยาตัวนี้มาได้แก่ผู้ที่แพ้ยาแอสไพริน หรือแพ้ยาในกลุ่ม NSAID ยาแก้อักเสบที่
00:10:05 → 00:10:12 ไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆเช่นไบูโพเฟenหรือ นาพอกซenผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือ
00:10:12 → 00:10:18 โรคเลือดออกง่ายแต่กำเนิดผู้ที่มีประวัติ แผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้รุนแรงหรือเคย
00:10:18 → 00:10:24 มีเลือดออกในทางเดินอาหารมาก่อนผู้ป่วย โรคหอบหืดบางชนิดที่อาการอาจกำเริบจากการ
00:10:24 → 00:10:31 ใช้แอสไพรินผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตขั้น รุนแรงเพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของยาและ
00:10:31 → 00:10:37 การขับถ่ายยาออกจากร่างกายผู้ที่กำลังจะ เข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟันต้องแจ้งแพทย์
00:10:37 → 00:10:43 หรือทันธแพทย์ล่วงหน้าเพื่อพิจารณาการ หยุดยาชั่วคราวตามความเหมาะสมสตรีมีครรภ์
00:10:43 → 00:10:46 หรือกำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อน เสมอ
00:10:46 → 00:10:53 เห็นมั้ครับว่ายาเม็ดเล็กๆอย่างแอสไพริน ที่ดูเหมือนจะธรรมดามีความลับหรือข้อควร
00:10:53 → 00:10:59 ระวังมากมายที่เราไม่ควรมองข้ามเลยจริงๆ ครับการรู้ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราใช้
00:10:59 → 00:11:05 ยาได้อย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่จะ เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้มากเลยครับ
00:11:05 → 00:11:11 ฟังมาถึงตรงนี้หลายท่านคงเริ่มเข้าใจถึง ความสำคัญของการใช้แอสไพรินอย่างถูกวิธี
00:11:11 → 00:11:17 แล้วนะคะแล้วเราจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้เราสามารถกินแอสไพรินอย่างปลอด
00:11:17 → 00:11:22 ภัยและได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยคือการปรึกษาแพทย์
00:11:22 → 00:11:28 คือสิ่งสำคัญที่สุดครับแอสไพรินไม่ใช่ยา ที่ควรซื้อมาทานเองเด็ดขาดเพราะอย่างที่
00:11:28 → 00:11:33 เราได้คุยกันไปว่ามันมีทั้งข้อบ่งใช้และ ข้อควรระวังที่ซับซ้อน
00:11:33 → 00:11:40 ใช่ค่ะการที่แพทย์สั่งยาแอสไพรินให้คุณ หมายความว่าแพนแล้วว่าคุณมีความเสี่ยงต่อ
00:11:40 → 00:11:46 โรคหลอดเลือดต่างๆสูงและประโยชน์ของการ ใช้ยานั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิด
00:11:46 → 00:11:52 ขึ้นดังนั้นห้ามซื้อยามาทานเองหรือหยุดยา เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาดนะคะ
00:11:52 → 00:11:58 เมื่อเริ่มฐานยาแล้วก็ต้องมีการเฝ้าระวัง อาการอย่างใกล้ชิดครับมันสังเกตตัวเองว่า
00:11:58 → 00:12:04 มีอาการผิดปกติอย่างที่เราพูดไปในส่วนที่ แล้วหรือไม่เช่นเลือดออกง่ายขึ้นมีรอยช้ำ
00:12:04 → 00:12:10 ผิดปกติอุจจาระสีดำหรือปวดท้องรุนแรง หากมีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นแม้
00:12:10 → 00:12:16 เพียงเล็กน้อยก็ควรรีบแจ้งแพทย์ผู้รักษา ทันทีค่ะอย่ารอช้าหรือพยายามรักษาด้วยตัว
00:12:16 → 00:12:20 เองนะคะ นอกจากเรื่องการใช้ยาอย่างถูกต้องแล้ว
00:12:20 → 00:12:25 สิ่งที่เราอยากเน้นย้ำมากๆคือทางเลือกใน การดูแลสุขภาพหลอดเลือกแบบองค์รวมที่ยั่ง
00:12:25 → 00:12:31 ยืนครับแอสไพรินเป็นยาที่ช่วยลดความ เสี่ยงได้จริงแต่ไม่ใช่ทางออกเดี่ยวและ
00:12:31 → 00:12:34 ไม่สามารถทดแทนการดูแลสุขภาพจากต้นเหตุ ได้ครับ
00:12:34 → 00:12:39 ถูกต้องค่ะการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และสมองที่ดีที่สุดคือการควบคุมปัจจัย
00:12:39 → 00:12:45 เสี่ยงต่างๆที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมและ แข็งตัวค่ะซึ่งได้แก่ควบคุมระดับน้ำตาลใน
00:12:45 → 00:12:50 เลือดให้ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
00:12:50 → 00:12:57 สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควบคุมระดับ ไขมันในเลือดโดยเฉพาะไขมันชนิดไม่ดี LDLC
00:12:57 → 00:13:03 ให้อยู่ในเป้าหมายงดสูบบุหรี่เพราะการสูบ บุหรี่ทำลายหลอดเลือดอย่างรุนแรงทานอาหาร
00:13:03 → 00:13:10 ที่มีประโยชน์เน้นผักผลไม้ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารหวานมันเค็มออกกำลังกายอย่างสม่ำ
00:13:10 → 00:13:16 เสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์จัดการ ความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
00:13:16 → 00:13:21 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเหล่า นี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมฤทธิ์ของยา
00:13:21 → 00:13:27 แอสไพรินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น นะครับแต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
00:13:27 → 00:13:32 และหลอดเลือดในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนและ ปลอดภัยกว่าการพึ่งยาเพียงอย่างเดียวโดย
00:13:32 → 00:13:36 ไม่ปรับพฤติกรรมครับ เพราะฉะนั้นแอสไพรินเป็นเครื่องมือที่ดี
00:13:36 → 00:13:42 แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของคำตอบนะคะการดูแล สุขภาพแบบองค์รวมควบคู่ไปกับการใช้ยาตาม
00:13:42 → 00:13:47 คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดต่างหากคือ หนทางสู่สุขภาพหลอดเลือดที่ดีอย่างแท้
00:13:47 → 00:13:52 จริงค่ะ ในท้ายที่สุดนี้ผมอยากย้ำอีกครั้งว่า
00:13:52 → 00:13:58 แอสไพรินเป็นยาที่มีประโยชน์มากในการช่วย ป้องกันโรคหลอดเลือดที่อันตรายแต่ก็เป็น
00:13:58 → 00:14:05 ยาที่มีข้อควรระวังและความลับบางอย่างที่ เราในฐานะผู้บริโภคจำเป็นต้องรู้เพื่อ
00:14:05 → 00:14:11 ความปลอดภัยของตัวเราเองครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าซื้อแอสไพรินมา
00:14:11 → 00:14:16 ทานเองเด็ดขาดและหากแพทย์สั่งยาตัวนี้ให้ แล้วก็ต้องทานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
00:14:16 → 00:14:21 พร้อมทั้งหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่อาจ เกิดขึ้นและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุก
00:14:21 → 00:14:26 ครั้งเมื่อมีข้อสงสัยนะคะ เพราะสร้างสุขภาพดีเริ่มต้นจากความเข้าใจ
00:14:26 → 00:14:32 ครับและเราหวังว่าข้อมูลในวันนี้จะเป็น ประโยชน์กับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่านนะ
00:14:32 → 00:14:36 ครับ ถ้าคุณเห็นว่าคลิปนี้มีประโยชน์อย่าลืมกด
00:14:36 → 00:14:42 ไลค์กดแชร์ให้กับเพื่อนๆและคนที่คุณรักนะ คะและที่สำคัญอย่าลืมกดติดตามช่องสุขภาพ
00:14:42 → 00:14:48 สนทนาของเราไว้ด้วยเพื่อไม่ให้พลาดข้อมูล สุขภาพดีที่เข้าใจง่ายแบบนี้อีกในอนาคต
00:14:48 → 00:14:52 ค่ะ สำหรับวันนี้พวกเราสุขภาพสนทนาต้องขอลาไป
00:14:52 → 00:14:56 ก่อนนะครับพบกันใหม่ในตอนหน้าสวัสดีครับ สวัสดีค่ะ
00:14:56 → 00:15:01 เนื้อหาในตอนนี้ถูกสร้างขึ้นโดยความร่วม มื้อของปัญญาประดิษฐ์และเสียงที่คุณได้
00:15:01 → 00:15:07 ยินก็ถูกสังเคราะห์ขึ้นด้วย AI เช่นกัน เพื่อให้เราสามารถนำเสนอข้อมูลสุขภาพดีๆ
00:15:07 → 00:15:12 ได้อย่างสม่ำเสมอและมีคุณภาพครับ