00:00:06 → 00:00:09 การทำร้ายกันด้วยวาจาเนี่ยมันเป็นอะไรที่
00:00:09 → 00:00:12 เสียแทงนะคะเป็นบาดแผลทางจิตใจมากกว่าแต่
00:00:12 → 00:00:14 คนในจะมองไม่เห็นความเจ็บปวดมันไม่เห็น
00:00:15 → 00:00:18 บาดแผลจริงๆแล้วมันเจ็บลึกเจ็บปวดที่ฝัง
00:00:18 → 00:00:21 ลึกมันเหมือนกันมีดที่กรีดลงไปกรีดลงไป
00:00:21 → 00:00:24 กรีดลงไปในบางครั้งซึ่งมันไม่เห็นแผลแต่
00:00:24 → 00:00:27 มันเจ็บปวดมากโดยเฉพาะบางทีเนี่ยมันทำจาก
00:00:27 → 00:00:30 เราได้ยินทุกวันทุกวันๆแล้วการทำร้ายโดย
00:00:30 → 00:00:32 คนที่เรารักเนี่ย
00:00:32 → 00:00:35 มานี่เจ็บปวดสาหัสเลยประเด็นนี้ทำให้เป็น
00:00:35 → 00:00:38 ห่วงไปถึงในครอบครัว
00:00:38 → 00:00:42 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัพเดททุกโรคภัยฟังราย
00:00:42 → 00:01:48 การโรงหมอกัมพูชาสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:01:48 → 00:01:51 แต่มันไม่ได้ถึงกับเหมือนกับไม่ได้ถึง
00:01:51 → 00:01:54 ขั้นเอามีดแทงอ่ะถ้าจะเปรียบกับทำการทำ
00:01:54 → 00:01:56 ร้ายร่างกายนี้น่าจะพูดว่ามันพอๆกับถูกตบ
00:01:56 → 00:01:58 หน้าแรงๆอ่ะ
00:01:58 → 00:02:02 นะคะแต่ว่าพอถูกตบทุกวันทุกวันทุกวัน
00:02:02 → 00:02:54 เนี่ยมันก็ชักจะแย่นะคะหรือบางทีแผลเนี่ย
00:02:54 → 00:03:05 [เพลง]
00:03:05 → 00:03:08 ก็อาจจะทำให้ถึงขั้นที่จะซึมเศร้าลงไป
00:03:08 → 00:03:11 แล้วก็ในที่สุดก็อาจจะฆ่าตัวตายได้ซึ่ง
00:03:11 → 00:03:14 อันนี้เป็นความรุนแรงมากทีเดียวนะคะข่าว
00:03:14 → 00:03:16 เร็วๆนี้หนูก็เห็นใช่ไหมลูกค่ะอันนี้
00:03:16 → 00:03:19 กำลังมองว่าหลายคนอาจจะนึกไม่ถึงแล้วก็
00:03:19 → 00:03:22 ไม่ได้เชื่อว่าคำพูดเนี่ยจะมาทำร้ายคนได้
00:03:22 → 00:03:26 ขนาดนั้นแล้วก็บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าเรา
00:03:26 → 00:03:30 ไม่ได้พูดอะไรใส่เขาบ่อยๆแต่ทำไมมันถึงมี
00:03:30 → 00:03:33 ผลกระทบกับเขาในอนาคตที่ซึ่งบางทีเราไม่
00:03:33 → 00:03:35 รู้หรอกว่าเขาเก็บหรืออะไร
00:03:35 → 00:03:39 เพราะฉะนั้นเดี๋ยวท่านผู้ฟังจะงงนะคะว่า
00:03:39 → 00:03:41 การทำร้ายกันด้วยวาจาเนี่ยในภาษาอังกฤษ
00:03:41 → 00:03:44 เค้าจะเรียกว่า verbal abelt นะฮะหรือ
00:03:44 → 00:03:47 ที่เรียกว่าการทำร้ายทางวาจาเนี่ยมันมัน
00:03:47 → 00:03:50 เป็นอะไรที่เสียแทงน่ะค่ะนะคะในเรื่องของ
00:03:50 → 00:03:54 การเป็นเป็นบาดแผลทางจิตใจมากกว่านะฮะทำ
00:03:54 → 00:03:57 ให้เราเนี่ยเอ่อแต่แต่คนเนี่ยจะมองไม่
00:03:57 → 00:03:59 เห็นความเจ็บปวดมันไม่เห็นบาดแผลถูกไหมคะ
00:03:59 → 00:04:02 แต่ว่าจริงๆแล้วมันเจ็บลึกนะฮะเจ็บปวดที่
00:04:02 → 00:04:05 ฝังลึกและอย่างที่เอ่ออาจารย์วิภาบอกอ่ะ
00:04:05 → 00:04:08 นะคะว่ามันเหมือนกันมีดที่กรีดลงไปกรีดลง
00:04:08 → 00:04:11 ไปกรีดลงไปในบางครั้งซึ่งมันไม่เห็นแผล
00:04:11 → 00:04:14 แต่มันมันเจ็บปวดมากนะคะโดยเฉพาะบางที
00:04:14 → 00:04:18 เนี่ยมันทำจากเราได้ยินทุกวันๆๆแล้วการทำ
00:04:18 → 00:04:21 ร้ายโดยคนที่เรารักเนี่ยมานี่เจ็บปวด
00:04:21 → 00:04:24 สาหัสเลยนะคะซึ่งประเด็นนี้ทำให้อาจารย์
00:04:24 → 00:04:26 วิภาเป็นห่วงไปถึงในครอบครัวเพราะตัวเจ้า
00:04:26 → 00:04:30 นิภาเองเนี่ยเมื่อตอนเป็นเด็กก็โดนแบบนี้
00:04:30 → 00:04:33 เยอะนะคะเนื่องจากว่าเราเกิดมาเป็นลูกคน
00:04:33 → 00:04:38 กลางนะคะแล้วก็ไม่สวยไม่เรียนเก่งอะไร
00:04:38 → 00:04:41 เท่ากับพี่ๆน้องๆนะคะมันจึงทำให้บางครั้ง
00:04:41 → 00:04:43 ผู้ใหญ่พูดอะไรเนี่ยมันก็เหมือนกับเป็น
00:04:43 → 00:04:47 น้ำกรดอะค่ะที่หยดลงบนใจเราบ่อยๆบ่อยๆ
00:04:47 → 00:04:50 บ่อยๆนะคะซึ่งกว่าจะแก้ปมนี้ได้เนี่ยนาน
00:04:50 → 00:04:53 ทีเดียวค่ะนะคะใช้เวลาเป็นสิบๆปีอะไร
00:04:53 → 00:04:56 อย่างนี้แล้วกันนะฮะแต่นี่ขนาดที่เราคุณ
00:04:56 → 00:04:58 ศิริพรก็เห็นใช่ไหมคะอาจารย์วิภาเป็นเป็น
00:04:58 → 00:05:02 มีบุคลิกภาพที่เข้มแข็งนะคะแต่แต่สำหรับ
00:05:02 → 00:05:05 คนที่เข้าอ่อนแอล่ะที่เขาแก้ปัญหาไม่ได้
00:05:05 → 00:05:10 ด้วยตัวเองนะฮะอะไรอย่างเนี้ยนะคะก็จะ
00:05:10 → 00:05:12 ยิ่งทำให้คนนั้นเนี่ยอาจจะมีชีวิตที่ล้ม
00:05:12 → 00:05:15 เหลวไปเลยก็ได้ในตอนโตนะคะกำลังรู้สึกว่า
00:05:15 → 00:05:19 อย่างแบบในในอดีตเนี่ยค่ะในการที่เรามัน
00:05:19 → 00:05:22 อาจจะเรายังไม่ได้รู้จักคำว่า bully แต่
00:05:22 → 00:05:23 ยังไม่ได้รู้จักว่าเออแต่เรารู้แค่ว่ามัน
00:05:23 → 00:05:26 คือการล้อเลียนแค่นั้นเองค่ะแบบแซวๆกัน
00:05:26 → 00:05:29 อย่างเงี้ยค่ะแต่ว่ามากในอดีตเนี่ยมันอาจ
00:05:29 → 00:05:33 จะรู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้ยินอะไรที่เขาจะ
00:05:33 → 00:05:39 ไปมีผลกับตัวเองค่ะหรือว่าเขาจะรู้สึกซึม
00:05:39 → 00:05:41 เศร้าหรืออะไรแบบไหนแต่มันต่างกับยุคสมัย
00:05:41 → 00:05:43 นี้เหมือนกันนะคะอาจารย์ตรงที่ว่าเราจะ
00:05:43 → 00:05:47 ได้ยินคำว่า bully ค่ะกันบ่อยมากไม่ว่าจะ
00:05:47 → 00:05:49 ทางใดทางหนึ่งเนี่ยแล้วมันส่งผลกระทบที่
00:05:49 → 00:05:52 เห็นชัดเจนเห็นจริงๆอย่างของเรามาก่อน
00:05:52 → 00:05:53 อาจารย์โน๊ตแบบ
00:05:53 → 00:05:57 เขาเรียกอะไรล้อสารพัดจะล้อไม่รู้จะว่า
00:05:57 → 00:05:59 ยังไงก็ยังไม่เห็นมีอะไรเลยมัน
00:05:59 → 00:06:03 ก็เลยแบบมันไม่ใช่ไม่มีอะไรนะคะมันมีค่ะ
00:06:03 → 00:06:07 เพียงแต่ว่าสมัยก่อนเนี่ยเด็กรุ่นต้อง
00:06:07 → 00:06:08 เรียกว่าแต่ละรุ่นนะแต่ละเจนมันไม่เหมือน
00:06:09 → 00:06:12 กันสมัยก่อนเนี่ยมันจะเป็นการเก็บกดนึก
00:06:12 → 00:06:16 ออกไหมคะแล้วจะถูกสอนให้อดทนเช่นถ้ารุ่น
00:06:16 → 00:06:19 จนวิภาเนี่ยหลังสงครามโลกมาไม่นานนะคะพ่อ
00:06:19 → 00:06:22 แม่อะไรว่าอะไรเราต้องนิ่ง
00:06:22 → 00:06:26 เด็กดีต้องนิ่งไม่ไม่โทษทีนะไม่อะไรต่างๆ
00:06:26 → 00:06:29 เหล่านี้ฟังอย่างเดียวนะคะแล้วก็เก็บกด
00:06:29 → 00:06:33 ความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจชอบไม่ชอบก็แสดง
00:06:33 → 00:06:35 ออกไม่ได้สมัยก่อนนะคะมันจะเป็นลักษณะ
00:06:35 → 00:06:38 นั้นเพราะฉะนั้นในเทรนปัจจุบันเนี่ยมันก็
00:06:38 → 00:06:41 กลายเป็นเด็กที่แสดงออกได้อย่างเอ่อเรียก
00:06:41 → 00:06:44 ว่าอะไรคะเขามีสิทธิ์ที่จะแสดงออกอะไร
00:06:44 → 00:06:46 ต่างๆมากมายถือว่าเป็นสิทธิ์ที่เสรีภาพ
00:06:46 → 00:06:49 อะไรทำนองนั้นน่ะนะคะเพราะฉะนั้นแต่ละยุค
00:06:49 → 00:06:51 แต่สมัยมันไม่มีคำว่าผิดไม่มีคำว่าถูกมัน
00:06:51 → 00:06:54 ขึ้นอยู่กับว่าในยุคสมัยนั้นน่ะสังคมส่วน
00:06:54 → 00:06:57 ใหญ่เขานิยมอะไรเช่นในสมัยนู้นเนี่ยเขา
00:06:57 → 00:06:59 นิยมว่าเด็กดี
00:06:59 → 00:07:02 จะต้องไม่โต้เถียงนะคะเด็กดีต้องเชื่อฟัง
00:07:02 → 00:07:05 คำสั่งผู้ใหญ่ชี้ซ้ายต้องซ้ายผู้ใหญ่ชี้
00:07:05 → 00:07:08 ขวาต้องขวานี่คือเด็กดีนะคะแต่ในเด็กใน
00:07:08 → 00:07:11 ปัจจุบันนี้เด็กดีต้องกล้าแสดงออกใช่ไหม
00:07:11 → 00:07:14 คะที่จะแสดงออกแต่ต้องมีมารยาทนะในการ
00:07:14 → 00:07:17 แสดงออกไม่ใช่ว่าแสดงออกแบบไร้มารยาทอัน
00:07:17 → 00:07:20 นี้ก็ไม่โอเคนะคะแต่ต้องกล้าพูดกล้าทำ
00:07:20 → 00:07:23 กล้ากล้าตอบอะไรออกมาอะไรอย่างนี้ค่ะ
00:07:23 → 00:07:26 เพราะฉะนั้นแต่ละยุคมันก็ขึ้นอยู่กับ
00:07:26 → 00:07:29 บริบทของสังคมในยุคนั้นๆนะคะก็มีความแตก
00:07:30 → 00:07:32 ต่างกันไป
00:07:32 → 00:07:35 ทีนี้ที่บอกว่าเรามองไม่เห็นเนี่ยนะคะ
00:07:35 → 00:07:37 สิ่งที่อาจารย์นิภากลัวก็คือว่าบางครั้ง
00:07:37 → 00:07:41 เนี่ยการใช้ถ้อยคำในเชิงลบหรือเชิงตำหนิ
00:07:41 → 00:07:44 นะคะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำหรือพฤติกรรม
00:07:44 → 00:07:47 ไม่ว่าบางทีเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
00:07:47 → 00:07:50 เนี่ยนะฮะแต่ทำให้คนฟังเนี่ยรู้สึกด้อย
00:07:50 → 00:07:54 ค่านะคะคุณสุทธิพรนะคะแล้วก็เป็นคนไม่ได้
00:07:54 → 00:07:56 เรื่องหรือเป็นคนผิดอะไรอย่างเงี้ยนะคะ
00:07:56 → 00:07:59 ซึ่งส่วนใหญ่ในที่น่าตกใจคือมันเกิดขึ้น
00:07:59 → 00:08:02 ในครอบครัวนะคะแล้วก็โดยที่ผู้พูดเนี่ย
00:08:03 → 00:08:05 ไม่รู้ตัวนะคะแต่มันทำให้เด็กเนี่ยเกิด
00:08:05 → 00:08:08 บาดแผลที่มองไม่เห็นไปติดตัวไปจนโตเลยค่ะ
00:08:08 → 00:08:12 อืมมันมีเรื่องของเจนที่มันเกี่ยวข้องกัน
00:08:12 → 00:08:14 ด้วยไหมคะอย่างอย่างเราเนี่ยตอนนี้ก็คือ
00:08:14 → 00:08:18 ยุคของการเป็นคุณพ่อคุณแม่
00:08:18 → 00:08:24 นะคะทีนี้โดยเฉพาะภาษาไทยเป็นภาษาที่
00:08:24 → 00:08:27 อาจารย์วิภามีความรู้สึกว่ามันเป็นภาษา
00:08:27 → 00:08:30 ที่เชื่อถือกันได้มากมายในภาษาต่างประเทศ
00:08:30 → 00:08:34 บางทีเขาก็คำด่าเขามันฟังดูแล้วเราไม่รู้
00:08:34 → 00:08:37 สึกเจ็บปวดแต่ว่าของไทยมันมีภาษาที่ยอก
00:08:37 → 00:08:41 ย้อนซ้ำซ้อนเสียดสีประชดประชันอะไรเงี้ย
00:08:41 → 00:08:45 มากมายเลยนะฮะหรือว่าบางทีการพูดในทำนอง
00:08:45 → 00:08:48 ที่พ่อแม่คิดว่าไม่ได้ไม่ได้ตั้งใจคิดว่า
00:08:48 → 00:08:52 พูดไปแล้วไม่ได้ไม่ได้จะทำให้ลูกเจ็บปวด
00:08:52 → 00:08:56 นะฮะเช่นบอกว่าเนี่ยทำตัวแบบนี้แม่ไม่รัก
00:08:56 → 00:09:01 นะนึกออกมั้ยฮะอ้าแบบนี้แม่ไม่รักนะหรือ
00:09:01 → 00:09:03 จะพูดว่าโอ๊ยลูกนี้ชอบวุ่นวายสร้างแต่
00:09:03 → 00:09:07 ปัญหาเห็นไหมคะหรือบอกว่าสอนไม่รู้จักจำ
00:09:07 → 00:09:09 โง่จริงๆเลยลูกฉันเนี่ยอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:09:09 → 00:09:13 คะหรือบางทีโทรมานี่ถ้ารู้ว่าโตมาเป็นแบบ
00:09:13 → 00:09:14 นี้นะ
00:09:14 → 00:09:17 อุ้ยเอาทิ้งขยะไปนานแล้วบางทีการพูดเล่น
00:09:17 → 00:09:20 หรือหยอกล้อด้วยคำพูดเหล่าเนี้ยแต่ถ้าฟัง
00:09:20 → 00:09:22 บ่อยๆอ่ะค่ะคุณศิริพรฟังแล้วเด็กมี
00:09:22 → 00:09:26 ทัศนคติที่ลบต่อตัวเองนะหรือเก็บเอาไปคิด
00:09:26 → 00:09:28 หรืออะไรเงี้ยมันจะทำให้พัฒนาการของเขา
00:09:28 → 00:09:31 เนี่ยพอโตแล้วปรากฏว่าไม่ค่อยประสบความ
00:09:31 → 00:09:34 สำเร็จในชีวิตนะฮะเพราะฉะนั้นคำพูดเปรียบ
00:09:34 → 00:09:37 เทียบวิพากษ์วิจารณ์ประชดประชันไม่ว่าจะ
00:09:37 → 00:09:39 เป็นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกหรืออะไรก็ตาม
00:09:39 → 00:09:42 เนี่ยนะฮะแม้จะเป็นการพูดติดตลกนะคะหรือ
00:09:42 → 00:09:47 ว่าพูดไปแล้วก็อะไรล้อเล่นนะคะลงท้ายว่า
00:09:47 → 00:09:48 ล้อเล่นเนี่ยนะคะ
00:09:48 → 00:09:53 มันมันบางทีมันเหมือนพูดเล่นแค่แบบเออนี่
00:09:53 → 00:09:54 แค่ไม่เชื่อฉันก็อย่ามาเรียกฉันว่าแม่นะ
00:09:54 → 00:09:57 หรืออะไรอย่างเงี้ยเออๆนึกออกไหมคะเคยได้
00:09:57 → 00:09:59 ยินไหมคะที่จะมาพูดกันแบบนี้ซึ่งมันเป็น
00:09:59 → 00:10:02 คำพูดที่เราเราไม่นึกอ่ะมันจะสร้างความ
00:10:02 → 00:10:05 เจ็บปวดแต่มันเจอทุกวันๆอ่ะนะฮะเพราะ
00:10:05 → 00:10:07 ฉะนั้นคำพูดแบบนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร
00:10:07 → 00:10:10 เลยแล้วมันก็บั่นทอนกำลังใจบั่นทอนความ
00:10:10 → 00:10:12 เชื่อมั่น
00:10:12 → 00:10:15 บั่นทอนจิตใจของเด็กนะคะโดยเฉพาะคำพูดจาก
00:10:15 → 00:10:18 คนใกล้ชิดเช่นพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูมา
00:10:18 → 00:10:21 เนี่ยจะทำให้จิตใจเด็กอ่ะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
00:10:21 → 00:10:24 เป็น 2 เท่า 3 เท่าเป็นพันเท่าเลยถ้าเกิด
00:10:24 → 00:10:27 จากคนที่เรารักนะคะตรงนี้เป็นเป็นประเด็น
00:10:27 → 00:10:30 ที่จะรู้ว่าเป็นห่วงมากเลยก็คือสิ่งที่
00:10:30 → 00:10:32 มันเกิดขึ้นภายในครอบครัวความไม่ตั้งใจ
00:10:32 → 00:10:35 หรือการแบบเพราะว่ามันจะมีผลนะฮะทั้งระยะ
00:10:35 → 00:10:38 สั้นระยะยาวเลยเช่นระยะสั้นเนี่ยเด็กอาจ
00:10:38 → 00:10:39 จะกลายเป็นเด็ก
00:10:39 → 00:10:41 คืออย่างที่บอกนะคะขึ้นกับบุคลิกของเด็ก
00:10:41 → 00:10:46 นะเด็กบางคนเนี่ยก็จะมาซึมเศร้านะคะไม่
00:10:46 → 00:10:49 ร่าเริงเหมือนเดิมเก็บตัวออกห่างจากผู้คน
00:10:49 → 00:10:52 หรือออกห่างจากสังคมทำให้ไม่ชอบกิจกรรม
00:10:52 → 00:10:56 ชวนทำอะไรก็ไม่ทำนะคะไม่ชอบหรือเกิดความ
00:10:56 → 00:10:59 ไม่มั่นใจอะไรอย่างนี้นะคะหรือบางทีเนี่ย
00:10:59 → 00:11:02 แม้แต่ไอ้ท่าทีของพ่อแม่ที่แสดงความไม่
00:11:02 → 00:11:04 เชื่อใจในความสามารถของเขาอ่ะอย่างเช่น
00:11:04 → 00:11:07 เด็กบอกว่าเขาอยากจะเรียนเนี่ยอุ้ยลูกจะ
00:11:07 → 00:11:10 เรียนได้เหรอลูกไม่ไหวแล้วมั้งหรืออะไร
00:11:10 → 00:11:13 อย่างเงี้ยนะคะมันยังยิ่งทำให้เขาล้มเหลว
00:11:13 → 00:11:16 มากขึ้นอะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะแล้วก็ใน
00:11:16 → 00:11:19 ระยะยาวเนี่ยอาจจะทำให้เกิดปมด้อยนะคะ
00:11:19 → 00:11:23 หรือในเรื่องของสุขภาพกายสุขภาพใจนะคะ
00:11:23 → 00:11:26 กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายหรือติดสารเสพ
00:11:26 → 00:11:29 ติดเนี่ยอนาคตไปได้เลยนะคะหรือว่ากลาย
00:11:29 → 00:11:32 เป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรงก็เป็นไปได้ค่ะ
00:11:32 → 00:11:34 บางทีอย่างที่บอกมันเก็บกดเก็บกดเก็บกด
00:11:34 → 00:11:37 โดนคนถากถางที่บ้านก็ออกมาเกเรกับเพื่อน
00:11:37 → 00:11:40 ที่ข้างนอกอะไรอย่างเงี้ยค่ะเป็นต้นนะคะ
00:11:40 → 00:11:43 ที่ฟังอย่างนี้ค่ะอาจารย์มันเหมือนกับว่า
00:11:43 → 00:11:46 ทุกอย่างมันถูกสะสมคือมันไม่ได้แบบพอพูด
00:11:46 → 00:11:49 ปุ๊บมันเกิดปฏิกิริยาทันทีแต่ว่ามันค่อยๆ
00:11:49 → 00:11:52 อยู่ในใจของเขาไปเรื่อยๆจนกระทั่งก็อาจจะ
00:11:52 → 00:11:56 เกิดปฏิกิริยาทันทีก็คือเขารู้สึกหรือ
00:11:56 → 00:11:59 ชะงักหรือซึมเศร้าหรืออะไรอย่างนี้แต่มัน
00:11:59 → 00:12:02 สะสมสะสมสะสมมันก็อาจจะออกมาในรูปของการ
00:12:02 → 00:12:04 ทำร้ายตัวเองหรือการทำร้ายคนอื่นอะไร
00:12:04 → 00:12:07 อย่างนี้ก็ได้พอมันมีระยะเวลาไปปุ๊บอย่าง
00:12:07 → 00:12:09 นี้นะคะอาจารย์แล้วก็ทำให้คนที่พูดเนี่ย
00:12:09 → 00:12:12 เขาอาจจะคิดว่าก็ไม่เห็นก็ไม่ได้เป็นอะไร
00:12:12 → 00:12:16 ก็คือทุกอย่างเย้ากันค่ะเป็นไปได้
00:12:16 → 00:12:17 [เสียงหัวเราะ]
00:12:17 → 00:12:20 นะคะซึ่งอันนี้มันก็เป็นเรื่องที่ไม่อยาก
00:12:20 → 00:12:23 ให้ประมาทอ่ะอย่าไปมองว่าลูกเราเล่นๆรับ
00:12:23 → 00:12:26 ได้แต่ว่าวันนึงเนี่ยมันเหมือนกับลูกโป่ง
00:12:26 → 00:12:29 มันอัดแก๊สมาเต็มที่แล้วค่ะมันจะโป้งขึ้น
00:12:29 → 00:12:32 มามันไหลก็ได้นะคะทีนี้ถ้าเกิดเราโดนแบบ
00:12:32 → 00:12:36 นี้นะคะเราโดนมีลักษณะของการพูดพูดให้
00:12:36 → 00:12:39 เจ็บปวดหรือจะใช้คำว่าเบลอๆอะบิวหรือว่า
00:12:39 → 00:12:42 จะไปใช้คำว่า bully ด้วยทางวาจาอะไรอย่าง
00:12:42 → 00:12:44 นี้เราจะรับมือกับมันยังไงคุณสุรีย์พร
00:12:44 → 00:12:48 สงสัยไหมคะการรับมือก็อันนี้คือบอกไว้
00:12:48 → 00:12:51 ก่อนว่าถ้าเท่าที่ฟังอ่ะก็จะรู้สึกว่า
00:12:51 → 00:12:55 แล้วแต่พื้นฐานของแต่ละคนใช่ไหมคะในการ
00:12:55 → 00:12:58 ที่ถูกเลี้ยงดูมาความเข้มแข็งทางจิตใจแต่
00:12:58 → 00:13:00 ว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เข้มแข็ง
00:13:00 → 00:13:04 จะไม่รู้สึกค่ะอันนี้ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือ
00:13:04 → 00:13:08 เปล่าถูกค่ะนะคะทีนี้เอ่อในแง่ทั่วๆไปนะ
00:13:08 → 00:13:12 คะเอ่ออยากให้ให้วิธีคิดไว้ 3 ข้อตามคำ
00:13:12 → 00:13:15 แนะนำของนักจิตวิทยานะคะท่านที่มีชื่อ
00:13:15 → 00:13:17 เสียงท่านหนึ่งในต่างประเทศและได้บอกว่า
00:13:17 → 00:13:21 เวลาที่เราโดนแบบเนี้ยนะคะให้มีทางออก
00:13:21 → 00:13:24 อยู่ 3 ทางวิธีแนะนำนะคะเอ่อข้อ 1 ก็คือ
00:13:24 → 00:13:28 ว่าเขาใช้คำว่าให้ประนามคำพูดนั้นประณาม
00:13:28 → 00:13:30 คำพูดนั้นหมายความว่าสมมุติมีใครเขาพูด
00:13:30 → 00:13:33 ขึ้นมาลอยๆนึกออกไหมคะเดินผ่านแล้วเขาก็
00:13:33 → 00:13:36 ว่าเราขึ้นมาลอยๆอะไรอย่างเงี้ยแต่เรารู้
00:13:36 → 00:13:39 ว่าเขาว่าเรานะฮะเค้าก็แนะนำให้เดินไปหา
00:13:39 → 00:13:41 คนนั้นโดยตรงเลยแล้วเค้าบอกว่าสิ่งที่เขา
00:13:41 → 00:13:44 พูดเนี่ยกำลังทำร้ายเรานะ
00:13:44 → 00:13:47 กำลังทำร้ายเรานะไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือ
00:13:47 → 00:13:49 ไม่ตั้งใจก็ตามแต่พูดด้วยความสุภาพนะคะ
00:13:49 → 00:13:52 อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ว่าไปโมโหตึงตังใส่
00:13:52 → 00:13:55 เขาแต่ต้องพูดให้ชัดเจนออกมาว่าเรารู้สึก
00:13:55 → 00:13:58 ยังไงแล้วทำไมเราจึงรับไม่ได้กับสิ่งที่
00:13:58 → 00:14:02 เขาพูดแบบนั้นนึกออกไหมคะคนบางคนในบางที
00:14:02 → 00:14:07 ขอโทษค่ะปากไวบางทีพูดอะไรไปโดยที่ไม่ได้
00:14:07 → 00:14:09 ตั้งใจไม่ทันคิดแล้วก็บอกว่าอุ๊ขอโทษไม่
00:14:09 → 00:14:12 ทันคิดอะไรอย่างเงี้ยเราก็ไปบอกตรงๆเลย
00:14:12 → 00:14:14 ว่าเออพูดอย่างนี้เราเจ็บปวดนะเราเสียใจ
00:14:14 → 00:14:18 นะมันไม่ดีกับเรานะอะไรอย่างเงี้ยนะคะแต่
00:14:18 → 00:14:20 ทีนี้เขาบอกว่าถ้าคนนั้นมีตำแหน่งหรือมี
00:14:20 → 00:14:23 อำนาจเหนือเราเนี่ยเราอาจจะทำไม่ได้ถูก
00:14:23 → 00:14:25 ไหมคะสมมุติอยู่ในที่ทำงานเดียวกันเนี่ย
00:14:25 → 00:14:28 อันนี้อาจจะต้องไปพึ่ง HR และนะคะก็คือไป
00:14:28 → 00:14:32 ไปให้คนเนี้ยมาเป็นตัวตัวอะไรนะคะตัว
00:14:32 → 00:14:35 เหมือนกับเป็นบัฟเฟอร์เราเนาะเป็นตัวป้อง
00:14:35 → 00:14:38 กันหรือไปถ่ายทอดให้เขาฟังว่าเนี่ยเราโดน
00:14:38 → 00:14:41 คนเนี่ยพูดถากถางแล้วตลอดเวลาเลยแต่เรา
00:14:41 → 00:14:43 ไม่กล้าที่จะไปพูดเองก็มาเล่าให้เขาฟัง
00:14:43 → 00:14:45 เพื่อที่เขาจะได้ไปจัดการนะฮะอันนี้ก็
00:14:45 → 00:14:47 เป็นหน้าที่ของเขาในหน่วยงานหรืออะไรก็
00:14:47 → 00:14:48 ตามนะคะ
00:14:48 → 00:14:52 ทีนี้ข้อแนะนำที่ 2 เขาก็บอกว่าให้ออกจาก
00:14:52 → 00:14:55 การสนทนานั้นโดยเร็วเลยนะเขาก็ใช้คำว่า
00:14:55 → 00:14:58 Walk Away เลยนะคะซึ่งตรงนี้ถ้าเราไป
00:14:58 → 00:15:01 พูดแล้วนะคะบอกเขาแล้วว่าสิ่งที่เขาพูดทำ
00:15:01 → 00:15:04 ให้เราเจ็บปวดนะอะไรนะนะคะก็ยังไม่ยอม
00:15:04 → 00:15:07 หยุดนะคะแม้ว่าเราจะได้บอกแล้วตักเตือน
00:15:07 → 00:15:10 แล้วนะคะเราต้องโต้ตอบแต่โต้ตอบตรงนี้ไม่
00:15:10 → 00:15:13 ใช่ใช้กำลังหรือว่าไปชกปากเขาหรืออะไรก็
00:15:13 → 00:15:14 แล้วแต่นะคะ
00:15:14 → 00:15:18 แต่เราก็ไม่ต้องทนฟังเข้าใจไหมคะและการ
00:15:18 → 00:15:20 โต้ตอบคือไม่ใช่โยนทนฟังเข้าไปเรื่อยๆ
00:15:20 → 00:15:23 เพราะฉะนั้นการโต้ตอบที่ดีที่สุดที่จะไม่
00:15:23 → 00:15:25 ให้เกิดเรื่องก็คือ Walk Away เลยเหมือน
00:15:25 → 00:15:27 ๆเดินออกไปจากตรงนั้นเลยอ่ะนะคะเดินออกมา
00:15:27 → 00:15:29 เป็นการโต้ตอบที่จำเป็นแล้วได้ผลค่อนข้าง
00:15:29 → 00:15:33 ดีคุณสุรีย์พรนึกถึงเหตุการณ์ได้ไหมคะที่
00:15:33 → 00:15:35 การประกาศรางวัลออสก้าหรืออะไรสักอย่าง
00:15:35 → 00:15:39 นึงอ่ะที่พิธีกรเนี่ยค่อนข้างจะปากไม่ดี
00:15:39 → 00:15:45 นะคะแล้วก็ไปไปแซวไปแซว superstar คนนึง
00:15:45 → 00:15:48 แล้ว Super ไปแซวภรรยาซุปเปอร์สตาร์คน
00:15:48 → 00:15:49 นั้นแล้วเขารู้ว่าภรรยาเขาเจ็บปวดกับ
00:15:49 → 00:15:52 เรื่องนี้มามากแล้วเขาก็แสดงออกโดยการปก
00:15:52 → 00:15:56 ป้องภรรยาโดยการไปปั๊บเอาสัก 1 แป๊ะนะคะ
00:15:56 → 00:15:58 ตบหน้าเบาๆ
00:15:58 → 00:16:03 หน้าเบาๆเบาๆแต่ปรากฏว่าคนเห็นไหมคะซึ่ง
00:16:03 → 00:16:05 จริงๆแล้วถ้าเรามองในมุมของสามีเนี่ยเขา
00:16:05 → 00:16:09 เป็นสามีที่ดีมากนะแต่คนส่วนใหญ่กับมอง
00:16:09 → 00:16:11 ว่านี่เขากำลังเอาความรุนแรงมาใช้เห็นไหม
00:16:11 → 00:16:15 คะถ้าเขายืนพูดอันนี้อันนี้จณุมภาคิดเอง
00:16:15 → 00:16:18 นะคะถ้าเขายืนพูดว่าอย่าพูดอย่างนั้นคุณ
00:16:18 → 00:16:21 กำลังทำร้ายภรรยาผมและครอบครัวผมแล้วเดิน
00:16:21 → 00:16:26 ออกมาโอ้โหจะจบสวยมากอ๋อวิธีการโต้ตอบกับ
00:16:26 → 00:16:28 มันแตกต่างกัน
00:16:28 → 00:16:31 ฝ่ายชนะทันทีเลยแต่พอเขาไปใช้กำลังเนี่ย
00:16:31 → 00:16:34 นะคะโดยการไปตกพิธีกรคนนั้นเนี่ยสังคม
00:16:34 → 00:16:38 ส่วนหนึ่งก็จะมองว่าเขาไม่ดีนึกออกไหมคะ
00:16:38 → 00:16:40 แต่ส่วนหนึ่งก็มองว่าเขาปกป้องภรรยาแต่
00:16:40 → 00:16:44 วิธีการน่ะมันโอเคไหมอืมคือเหมือนกับว่า
00:16:44 → 00:16:46 หลักการในความคิดอยากปกป้องอ่ะมันถูกแต่
00:16:46 → 00:16:50 วิธีการวิธีการไม่ถูกนะฮะคืออาจจะเตือน
00:16:50 → 00:16:52 เตือนพิธีก่อนว่าคุณอย่าพูดอย่างนี้อีก
00:16:52 → 00:16:55 คุณกำลังทำร้ายครอบครัวผมและตัวผมนะคะ
00:16:55 → 00:16:59 แล้วนั่งลงหรือถ้ายังแซวต่อเราออกเลย
00:16:59 → 00:17:02 เพราะว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในงานถ้าอยู่
00:17:02 → 00:17:06 เดินออกจากงานฉันเนี่ยมันเกิดอะไรขึ้นถูก
00:17:06 → 00:17:07 ไหมคะ
00:17:07 → 00:17:10 มันก็จะต้องตะลึงพรึงเพริดล่ะว่าพิธีกรคน
00:17:10 → 00:17:14 นี้ใช้ไม่ได้เลยนิสัยอย่างนี้นะคะทีนี้มา
00:17:14 → 00:17:17 คำแนะนำที่ 3 นะคะเขาก็บอกว่าถ้า 2 วิธี
00:17:17 → 00:17:20 ไม่ได้ผลแล้วต้องใช้วิธีที่ 3 ค่ะคือยุติ
00:17:20 → 00:17:23 ความสัมพันธ์กับคนๆนั้นไปเลยนะฮะถ้าเป็น
00:17:23 → 00:17:26 ไปได้นะคะก็หมายความว่าถ้าเป็นไปได้เนี่ย
00:17:26 → 00:17:29 ในแง่ที่ว่าเราใช้ 2 วิธีแรกเราไม่ได้แต่
00:17:29 → 00:17:31 ทีนี้ในวิธีที่ 3 เนี่ยถ้าถ้าเราเป็นคนใน
00:17:31 → 00:17:34 ครอบครัวนึกออกไหมคะเป็นพ่อเป็นแม่เป็น
00:17:34 → 00:17:36 พี่เป็นน้องหรือเป็นเจ้านายในที่ทำงาน
00:17:36 → 00:17:38 เพื่อนสนิทเนี่ยบางทีมันจะตัดความ
00:17:38 → 00:17:41 สัมพันธ์ไปเลยมันยากอ่ะค่ะนะคะเพราะ
00:17:41 → 00:17:43 ฉะนั้นเราก็ต้องดูให้เหมาะสมว่าถ้าไม่ใช่
00:17:43 → 00:17:45 คนสำคัญในชีวิตเราเนี่ยเราอาจจะแสดงความ
00:17:45 → 00:17:48 ชัดเจนเช่นเป็นแค่เพื่อนบ้านนึกออกมั้ยคะ
00:17:48 → 00:17:50 หรือคนที่พอเราเดินผ่านไปผ่านมาก็ชอบพูด
00:17:50 → 00:17:53 ลอยๆกันแลกกันแหนเราตลอดเวลาเตือนก็แล้ว
00:17:53 → 00:17:56 เดินหนีก็แล้วอะไรก็แล้วก็ยุติความ
00:17:56 → 00:18:00 สัมพันธ์กับเขาซะนะฮะก็คือไม่ต้องไปสนทนา
00:18:00 → 00:18:02 วิสาสะอะไรกับเขาอีกอยู่กันคนละโลกไปเลย
00:18:03 → 00:18:05 อะไรอย่างงี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเพราะ
00:18:05 → 00:18:07 ฉะนั้นทั้ง 3 วิธีเนี่ยมันเป็นการโต้ตอบ
00:18:07 → 00:18:10 ค่ะนะคะแต่เป็นการโต้ตอบที่ไม่ได้ไม่ได้
00:18:10 → 00:18:13 ใช้ใช้ความรุนแรงนะคะแต่ก็ดีกว่าอยู่
00:18:13 → 00:18:16 เงียบๆแล้วทนให้เขาแซวอย่างนี้ทุกวันหรือ
00:18:16 → 00:18:20 พูดอะไรแบบนี้ทุกวันมันก็ไม่โอเคนะคะ
00:18:20 → 00:18:22 ไม่งั้นเขาจะทำต่อไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่า
00:18:22 → 00:18:25 สิ่งที่เขาทำน่ะมันเป็นเรื่องที่ผิดนะคะ
00:18:25 → 00:18:28 เหมือนบางคนเขาอาจจะมีความอดทนสูงพอสมควร
00:18:28 → 00:18:31 เนาะก็เลยแบบอาจจะไม่ได้โต้ตอบอะไรมากมาย
00:18:31 → 00:18:34 แต่ว่าก็ไม่แน่นะบางทีการนิ่งเงียบของบาง
00:18:34 → 00:18:38 คนอาจจะมีความรุนแรงตอบกลับมาแล้วน่ากลัว
00:18:38 → 00:18:39 กว่า
00:18:39 → 00:18:43 นั้นก็เพราะบางคนเนี่ยที่แบบขอโทษนะคะปาก
00:18:43 → 00:18:45 เบาเนี่ยบางทีคนได้รับการเตือนเพราะการ
00:18:45 → 00:18:48 ที่คุณปากเบาที่เราแซวคนโน้นเที่ยวพูดคน
00:18:48 → 00:18:50 นี้เที่ยวแขวะคนนั้นทั้งๆที่คุณไม่ได้รู้
00:18:50 → 00:18:53 เรื่องความเป็นมาเลยว่าอะไรมันเป็นอย่าง
00:18:53 → 00:18:56 ไรอะไรอย่างเงี้ยนะคะก็ทำให้คนอื่นเขา
00:18:56 → 00:18:57 เจ็บปวดได้
00:18:57 → 00:19:01 มันก็อาจจะใช้วิธีการรับมือที่แตกต่างกัน
00:19:01 → 00:19:03 ออกไปนะคะคุณผู้ฟังซึ่งบางคนอาจจะรู้สึก
00:19:03 → 00:19:07 ว่าฉันไม่จำเป็นต้องทนอีกแล้วก็อาจจะมี
00:19:07 → 00:19:10 วิธีการตอบโต้ที่สายเขาเรียกว่าอะไรนะ
00:19:10 → 00:19:13 เหมือนกับแบบให้มัน
00:19:13 → 00:19:16 หนักไปเลยหรือว่าอาจจะเป็นขั้นของความรุน
00:19:16 → 00:19:19 แรงเกิดขึ้นในการทำร้ายร่างกายหรืออะไร
00:19:19 → 00:19:22 เกิดขึ้นเพราะว่าเอาจริงๆนะคะอาจารย์ทุก
00:19:22 → 00:19:25 วันนี้ก็เท่าที่เห็นตามข่าวเนาะเราจะเห็น
00:19:25 → 00:19:30 ว่าความอดทนของคนบางทีมันก็น้อยลงเยอะ
00:19:30 → 00:19:34 สารพัดจะตอบโต้แหละแต่ก็เข้าใจในมุม
00:19:34 → 00:19:37 โมเมนต์ตรงนั้นของเขาเหมือนกันว่าเออเขา
00:19:37 → 00:19:39 อาจจะเจอหนักจริงๆก็ได้นะเพราะเราคือเรา
00:19:39 → 00:19:41 ไม่ได้เป็นเขาเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์
00:19:41 → 00:19:43 เดียวกับเขาเราไม่รู้ว่าในตอนนั้นเขารู้
00:19:43 → 00:19:44 สึกยังไง
00:19:44 → 00:19:47 อย่างที่บอกว่าเขาอาจจะโดนมาแล้ว
00:19:47 → 00:19:53 999 คนเราเป็นคนที่ 1000 พอดี
00:19:53 → 00:19:55 นะคะเหมือนลูกโป่งที่บอกว่ามันอัดแก๊ส
00:19:55 → 00:19:57 เต็มที่แล้วค่ะมันก็แตกโป๊ะออกมาได้
00:19:57 → 00:19:58 เหมือนกัน
00:19:58 → 00:20:01 นะคะแล้วอย่างนี้เป็นในครอบครัวอย่าง
00:20:01 → 00:20:04 เงี้ยค่ะจะมา Walk เอาก็ยังไงอยู่จะตัด
00:20:04 → 00:20:05 ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้
00:20:05 → 00:20:08 เพราะฉะนั้นเนี่ยอยากจะเตือนคุณพ่อคุณแม่
00:20:08 → 00:20:11 หรือผู้ปกครองทั้งหลายนะคะว่าไม่ว่าปัญหา
00:20:11 → 00:20:14 เนี่ยจะมากน้อยเพียงใดนะคะอย่าให้คุณพ่อ
00:20:14 → 00:20:17 คุณแม่ย้ำกับลูกนะคะหรือเด็กในปกครองเสมอ
00:20:17 → 00:20:21 ว่าเรารักพวกเขามากแค่ไหนนะคะแล้วก็ถ้า
00:20:21 → 00:20:24 กำลังเอ่ออย่างเช่นสมมุติว่าเรากำลัง
00:20:24 → 00:20:26 ลำบากเนาะกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจอะไรอย่าง
00:20:26 → 00:20:28 เงี้ยนะคะในครอบครัวเนี่ยทำให้อารมณ์เรา
00:20:28 → 00:20:31 ไม่ดีอ่ะบางทีเราก็เผลอพูดอะไรออกไปกับ
00:20:31 → 00:20:35 ลูกแรงๆหรือพูดเหมือนกับว่าอะไรที่ทำให้
00:20:35 → 00:20:38 ลูกเจ็บปวดอ่ะเช่นบอกนี่แม่ก็เหนื่อยจะ
00:20:38 → 00:20:39 ตายอยู่แล้วนะอย่ามาสร้างปัญหาให้แม่อีก
00:20:39 → 00:20:43 ได้ไหมสมมุตินะคะซึ่งๆเด็กฉันเป็นตัว
00:20:43 → 00:20:45 ปัญหาเว้ยอะไรอย่างเงี้ยนะคะเพราะฉะนั้น
00:20:45 → 00:20:48 เนี่ยอาจจะต้องบอกกับลูกนะคะไม่ว่าจะยัง
00:20:48 → 00:20:50 ไงก็ตามในย้ำกับเขาบอกกับเขาด้วยความจริง
00:20:50 → 00:20:53 ใจว่าเออแม่มันกำลังมีปัญหานะลูกตอนนี้
00:20:53 → 00:20:56 แม่อาจจะหงุดหงิดใส่ลูกไปบ้างเนี่ยแม่ขอ
00:20:56 → 00:20:58 โทษนะลูกนะแม่อาจจะพูดอะไรไม่ดีเพราะแม่
00:20:58 → 00:21:01 หงุดหงิดอะไรอย่างนี้นะคะแล้วก็กอดเค้า
00:21:01 → 00:21:04 ใช้พลังของการสัมผัสนะคะพลังของการกอด
00:21:04 → 00:21:07 เนี่ยมันมีค่ามหาศาลมากอันนี้ไม่ใช่ว่า
00:21:07 → 00:21:10 พูดไปแล้วแก้ไม่ได้แต่พูดไปแล้วแก้ได้แต่
00:21:10 → 00:21:13 แก้ด้วยความจริงใจนะคะแล้วก็บอกลูกไว้เลย
00:21:13 → 00:21:15 ว่าเออแม่มันอย่างนี้ลูกเวลาหงุดหงิดแล้ว
00:21:15 → 00:21:18 แม่ก็พูดอะไรไม่ดีออกไปหนูอย่าโกรธแม่นะ
00:21:18 → 00:21:22 หนูยกโทษให้แม่นะอะไรอย่างเงี้ยอืมคือ
00:21:22 → 00:21:24 อย่างบางทีคุณพ่อคุณแม่อาจจะรู้สึกว่าการ
00:21:24 → 00:21:26 จะขอโทษลูกเนี่ยมันอาจจะไม่ได้
00:21:26 → 00:21:27 [เสียงหัวเราะ]
00:21:27 → 00:21:29 [เพลง]
00:21:29 → 00:21:34 ขอโทษเด็กอะไรอย่างนี้เจนวิภาว่า
00:21:34 → 00:21:37 ต้องคิดใหม่นะคะสมัยก่อนเนี่ยอาจจะเป็น
00:21:37 → 00:21:39 ลักษณะอย่างนั้นนะคะแต่ในยุคปัจจุบัน
00:21:39 → 00:21:42 เนี่ยที่พ่อแม่ในรุ่นนี้เพราะว่าถ้ารุ่นๆ
00:21:42 → 00:21:45 จะวิพานั่นก็เป็นปู่ตาย่ายายและพ่อแม่
00:21:45 → 00:21:47 รุ่นใหม่เนี่ยเขาจะเริ่มเริ่มมีความคิด
00:21:47 → 00:21:50 ที่คลายลงบางคนอาจจะเลี้ยงลูกบางคนบอกว่า
00:21:50 → 00:21:52 ฉันเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนกันอะไรอ่ะ
00:21:52 → 00:21:55 เพื่อนก็ต้องขอโทษกันได้สิเพราะฉะนั้น
00:21:55 → 00:21:57 อย่ามีศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อแม่นักเลย
00:21:57 → 00:22:00 เพราะว่าพ่อแม่เนี่ยนะคะบางคนเนี่ยไม่ใช่
00:22:00 → 00:22:02 บางคนพ่อแม่ทุกคนน่ะก็เป็นพ่อแม่มือใหม่
00:22:02 → 00:22:05 ถูกไหมคะไม่เคยมีใครมีลูกมาเยอะๆก่อนหรอก
00:22:05 → 00:22:07 เดี๋ยวนี้มีลูกกันแค่คนสองคนเท่านั้น
00:22:07 → 00:22:10 เพราะฉะนั้นก็บอกลูกได้ว่าพ่อแม่ก็มี
00:22:10 → 00:22:12 สิทธิ์ทำผิดบอกตัวเองด้วยว่าเราก็มี
00:22:12 → 00:22:15 สิทธิ์ทำผิดทำพลาดเพราะฉะนั้นจะขอโทษลูก
00:22:15 → 00:22:17 ก็ไม่ได้เรื่องเสียหายอะไรและจะฝึกให้
00:22:17 → 00:22:19 เด็กเค้าเห็นตัวอย่างเวลาเขาทำผิดแล้วเขา
00:22:19 → 00:22:22 จะขอโทษคนอื่นเป็นด้วยขอโทษพ่อแม่ได้ด้วย
00:22:22 → 00:22:27 ค่ะอืมก็เป็นแนวทางที่ดีนะบางทีอาจจะต้อง
00:22:27 → 00:22:30 เอาอะไรบางอย่างลงออกจากตัวบ้างค่ะเพราะ
00:22:30 → 00:22:33 ว่าเด็กเนี่ยเขาจะเรียนรู้โดยการเห็นตัว
00:22:33 → 00:22:36 อย่างนะคะไม่ใช่ด้วยคำพูดว่าลูกต้องอย่าง
00:22:36 → 00:22:38 นั้นสิอย่างนี้สิอย่างนั้นสิแต่เขาจะ
00:22:38 → 00:22:40 เรียนแบบสิ่งที่พ่อแม่ทำนั่นแหละค่ะเป็น
00:22:40 → 00:22:43 ตัวหลักสำคัญเลยพอฟังแบบนี้ทั้งหมดแล้ว
00:22:43 → 00:22:47 เนี่ยมองย้อนกลับไปในวัยเด็กเราก็เจอใน
00:22:47 → 00:22:50 อีกรูปแบบหนึ่งแต่ก็อาจจะโชคดีตรงที่ไม่
00:22:50 → 00:22:53 ค่อยได้เจออะไรที่มันเป็นคำแบบอย่าเพิ่ง
00:22:53 → 00:22:55 มายุ่งนะกำลังหงุดหงิดหรือกำลังเหนื่อย
00:22:55 → 00:22:57 เหลืออะไรอย่างเงี้ยก็โชคดีไม่ค่อยได้ได้
00:22:57 → 00:23:02 เจอแนวนั้นเพราะว่าเราเห็นหน้าแล้วปุ๊บ
00:23:03 → 00:23:06 กลัวรังสีอำมหิตแผลแล้วคุณพ่อคุณแม่มาเลย
00:23:06 → 00:23:08 ทีเดียวนะคะแบบเอออย่าเข้าใกล้ดีกว่าอะไร
00:23:08 → 00:23:11 เงี้ยแล้วก็ไปหลบไกลๆซะก็มันก็จะไม่ได้มี
00:23:11 → 00:23:12 อะไรแต่ว่า
00:23:12 → 00:23:14 ในยุคมีความสัมพันธ์มันมีความใกล้ชิดกัน
00:23:14 → 00:23:18 มากขึ้นใช่มั้ยคะแบบเอ่อที่เห็นหลายๆคนก็
00:23:18 → 00:23:20 ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดไปรับไปส่งมีโอกาสพูด
00:23:20 → 00:23:23 คุยมีโอกาสทำความเข้าใจหรือว่ามีอะไรหลาย
00:23:23 → 00:23:27 ๆอย่างที่อาจจะพ่อแม่พลาดพลั้งเผลอไปก็
00:23:27 → 00:23:31 ยังแบบขอโทษลูกได้ค่ะลูกเองก็จะได้แบบเออ
00:23:31 → 00:23:34 บางทีตัวเองอาจจะไม่เข้าใจหรือดื้ออะไร
00:23:34 → 00:23:37 เงี้ยเอออาจารย์อันนี้อันนึงผู้ใหญ่ที่
00:23:37 → 00:23:39 มักจะคิดว่าพูดอะไรไปแล้วเด็กอาจจะยังไม่
00:23:39 → 00:23:43 เข้าใจอ่ะค่ะแต่ก็เลยไม่อธิบายก็เลยไม่
00:23:43 → 00:23:46 พูดไม่ไงไม่อะไรอย่างนี้พ่อแม่มักจะคิด
00:23:46 → 00:23:48 ว่าไว้ลูกโตก่อนแล้วจะเข้าใจซึ่งจริงๆอ่ะ
00:23:48 → 00:23:51 ไม่จริงนะคะอธิบายไปเถอะค่ะนะเด็กเข้าใจ
00:23:51 → 00:23:53 หรือไม่เข้าใจบ้างเดี๋ยวเขาก็อย่างน้อย
00:23:53 → 00:23:56 เขาได้ฟังคำอธิบายเพราะสำหรับเด็กสมัย
00:23:56 → 00:23:59 ใหม่เนี่ยต้องมีเหตุผลทุกเรื่องนะฮะจะให้
00:23:59 → 00:24:02 อาจารย์สอนจะบอกให้เขาทำอะไรเนี่ยต้องมี
00:24:02 → 00:24:05 เหตุผลทุกเรื่องทำไมแม่ถึงไม่ให้หนูออก
00:24:05 → 00:24:09 จากบ้านหลังเวลานี้เวลานี้ทำไมแม่ถึงนั่น
00:24:09 → 00:24:10 นี่นั่นพูดไปเถอะค่ะ
00:24:10 → 00:24:13 อย่างน้อยฟังเหตุผลเขาจะเข้าใจหรือไม่
00:24:13 → 00:24:16 เข้าใจก็แล้วแต่ต่อให้เป็นคนละ Generation
00:24:16 → 00:24:20 ใช่ฮะใช่ค่ะต้องให้มีเหตุผลของการกระทำ
00:24:20 → 00:25:00 ทุกครั้ง
00:25:00 → 00:25:03 เรายังโดดหนังยางและตุ๊กตากระดาษเดี๋ยว
00:25:03 → 00:25:07 นี้โลกโซเชียลก็ท่องไปไกลกว่าเราเยอะนะคะ
00:25:07 → 00:25:10 พอเขาเล่นไอ้อินเทอร์เน็ตเล่นอะไรได้พวก
00:25:10 → 00:25:12 นี้เขาก็จะไปไกลกว่าเราเยอะในบางอย่างที่
00:25:12 → 00:25:16 เราไม่ทันเขาหรอกค่ะเพราะฉะนั้นวันนี้ก็
00:25:16 → 00:25:18 ทำให้หลายคนน่าจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าคำ
00:25:18 → 00:25:21 พูดเนี่ยทำร้ายจิตใจทำร้ายความรู้สึกของ
00:25:21 → 00:25:24 ใครต่อใครได้มากไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์
00:25:24 → 00:25:28 แบบไหนก็ตามเพราะฉะนั้นก็ต้องทะนุถนอมน้ำ
00:25:28 → 00:25:31 ใจกันความรู้สึกกันบ้างนะคะโดยเฉพาะคนที่
00:25:31 → 00:25:33 เรารักนั่นเองนะคะวันนี้ขอบคุณอาจารย์
00:25:33 → 00:25:35 ด้วยค่ะที่มาคุยให้ความรู้กับเราในวันนี้
00:25:35 → 00:25:38 ขอบคุณอาจารย์ค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะเอา
00:25:38 → 00:25:40 ล่ะค่ะคุณผู้ฟังหมดเวลาแล้วค่ะกับรายการ
00:25:40 → 00:25:42 โรงหมอทาง Thai PBS Plus ในวันนี้นะคะ
00:25:42 → 00:25:45 ขอบคุณที่ติดตามรับฟังค่ะพบกันใหม่ครั้ง
00:25:45 → 00:25:48 หน้านะคะสวัสดีค่ะ This Is Choice PBS
00:25:48 → 00:25:51 ปลอดไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่การแลก
00:25:51 → 00:25:53 เปลี่ยนแก๊สสำหรับดำรงชีพเท่านั้นงั้น
00:25:53 → 00:25:56 วิจัยล่าสุดยังพบความสำคัญของปอดผู้ช่วย
00:25:56 → 00:25:58 ศาสตราจารย์ดรเอกราชบำรุงพืชจาก
00:25:58 → 00:26:01 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมาเล่าให้ฟังครับ
00:26:01 → 00:26:05 เรื่องของปอดเนาะเขาต้องบอกว่าต้องรักษา
00:26:05 → 00:26:09 ให้ดีนะระวังปอดแหกนะ
00:26:09 → 00:26:13 คือรักษาให้ดีเพราะเป็นอวัยวะที่สำคัญใน
00:26:13 → 00:26:16 การหายใจครับมันมีส่วนสำคัญเลยในการที่จะ
00:26:16 → 00:26:20 แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนที่เราหายใจเข้า
00:26:20 → 00:26:23 สู่ร่างกายเป็นเหมือนกับตัวสร้างพลังงาน
00:26:23 → 00:26:27 ให้กับเซลล์ต่างๆนะครับแล้วถ้าเราไม่มี
00:26:27 → 00:26:29 ปอดการที่จะรับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย
00:26:29 → 00:26:33 เนี่ยก็จะไม่เกิดขึ้นเราก็จะตายฉะนั้น
00:26:33 → 00:26:36 แล้วเนี่ยปอดมันก็ทำหน้าที่ช่วยในกระบวน
00:26:36 → 00:26:39 การหายใจรับออกซิเจนเข้าไปนะครับแล้วก็
00:26:39 → 00:26:43 ขับสารคาร์บอนไดออกไซด์หรือของที่มันเป็น
00:26:43 → 00:26:45 พิษเนี่ยออกมานะครับฉะนั้นแล้วเนี่ยมันก็
00:26:45 → 00:26:48 ทำหน้าที่หลักๆในการแลกเปลี่ยนนะครับแต่
00:26:48 → 00:26:50 งานวิจัยหลังๆเนี่ยเขาพบว่าปอดเนี่ยมัน
00:26:50 → 00:26:52 ยังมีบทบาทสำคัญอีกเกี่ยวข้องกับเรื่อง
00:26:52 → 00:26:54 ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วยเกี่ยว
00:26:54 → 00:26:57 ข้องกับเรื่องของการปกป้องนะฮะแล้วมัน
00:26:57 → 00:26:59 เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับระบบภูมิคุ้มกัน
00:26:59 → 00:27:02 ของร่างกายแล้วเราต้องรักษาสุขภาพปอดให้
00:27:02 → 00:27:06 ดีเลยนะครับถ้าปอดไม่ดีเนาะปลอดอักเสบ
00:27:06 → 00:27:11 หรือโดนสารพิษโดยเฉพาะยุคนี้ปัญหาไอ้เจ้า
00:27:11 → 00:27:12 ฝุ่นจิ๋วตัวร้าย
00:27:12 → 00:27:17 pm2.5 นี่แหละที่เป็นบอลทำลายปอดของเรา
00:27:17 → 00:27:20 จริงๆแล้วทำลายแทบทุกระบบเลยนะครับพอดี
00:27:20 → 00:27:22 แต่ว่าเราหายใจเข้าไปเนี่ยมันเอา PM เข้า
00:27:22 → 00:27:26 ไปเนี่ยมันโอ้โหไปที่ปอดอำนาจทะลุทะลวง
00:27:26 → 00:27:29 สูงมาก 2 รูจมูกของเราเนี่ยสูตรอากาศเข้า
00:27:29 → 00:27:33 ไปที่มันหนาแน่นไปด้วยฝุ่น pm2.5
00:27:33 → 00:27:37 มลพิษทั้งหลายแหล่นะครับมันก็จะไปโจมตี
00:27:37 → 00:27:40 ทำลายเซลล์ปอดปอดมันก็ทำหน้าที่ได้ไม่
00:27:40 → 00:27:42 เต็มที่แน่นอนมันก็ระคายเคืองและระบบทาง
00:27:42 → 00:27:44 เดินหายใจของเราแล้วบางคนเช้าตื่นขึ้นมา
00:27:44 → 00:27:47 ปุ๊บเจออากาศที่ไม่ดีมันเป็นโควิดมีภาวะ
00:27:47 → 00:27:51 รองโควิดนะครับก็จะมีเสมหะเกิดขึ้นจริงๆ
00:27:51 → 00:27:54 แล้วไอ้เสมหะนั้นนะฮะมันคือกระบวนการที่
00:27:54 → 00:27:57 เราเรียกว่า defend มีแคนิกซึ่งหรือกลไก
00:27:57 → 00:28:01 ในการป้องกันเชื้อโรคของร่างกายนะครับ
00:28:01 → 00:28:04 เพราะเสมหะมันมันเป็นเมื่อเหนียวใช่มั้ย
00:28:04 → 00:28:06 ครับรีนึกออกเนาะอ่าทางเดินหายใจส่วนต้น
00:28:06 → 00:28:09 เราก็สร้างขึ้นมาเพื่อเพื่อมือจับกับ
00:28:09 → 00:28:12 เชื้อโรคไม่ให้เชื้อโรคกับมันวิ่งนะพูด
00:28:12 → 00:28:14 ง่ายๆว่ามันแทนที่มันจะวิ่งหรือไปที่ติด
00:28:15 → 00:28:18 เชื้อลงสู่ปอดแต่มันก็อาจจะหยุดอยู่เข้า
00:28:18 → 00:28:22 ไม่ได้อยู่ที่ขั้วปอดพูดง่ายๆก็คือลงไป
00:28:22 → 00:28:25 ไม่ได้แล้วเนี่ยมันถือว่าเป็นกลไกใน
00:28:25 → 00:28:28 เรื่องของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอน
00:28:28 → 00:28:30 นี้เราไม่ใช่แค่ว่ากันถึงเรื่องเชื้อโรค
00:28:30 → 00:28:34 ไอเจ้าโควิด 19 จีนสายพันธุ์ต่างๆปัญหา
00:28:34 → 00:28:39 ฝุ่น PM หรือเชื้อไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
00:28:39 → 00:28:43 ไข้วัยลงไวรัสอะไรทั้งหลายแหล่ที่มันมี
00:28:43 → 00:28:46 อยู่รอบตัวของเราเนี่ยเยอะมากนะตอนนี้
00:28:46 → 00:28:50 สารพัดโรคสารพัดเชื้อมันบุกรุกเข้าสู่ปอด
00:28:50 → 00:28:55 มันก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้ว่าเห็น
00:28:55 → 00:28:57 ไหมครับแล้วก็มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทาง
00:28:57 → 00:29:00 เดินหายใจแล้วก็เชื่อมโยงไปสู่ระบบภูมิ
00:29:00 → 00:29:03 คุ้มกันถ้าเราดูแลสุขภาพปอดของเราไม่ดี
00:29:03 → 00:29:09 เนี่ยก็ส่งผลถึงขั้นสูญเสียชีวิตได้
00:29:09 → 00:29:14 hs Choice
00:29:14 → 00:29:17 ติดตามรายการทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น
00:29:17 → 00:29:19 ของไทย
00:29:19 → 00:29:31 spotify Google
00:29:31 → 00:29:37 [เพลง]