00:00:00 → 00:00:01 อาจารย์
00:00:01 → 00:00:04 คะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะคุณนรุมน์คุณพ
00:00:04 → 00:00:09 ภัทรดนัยนะคะสวัสดีครับท่านค่ะสวัสดีค่ะ
00:00:09 → 00:00:11 อืมนะฮะคุณหมอสวัสดีปีใหม่ก่อนเลยนะครับ
00:00:11 → 00:00:13 คุณหมอสวัสดีปีใหม่ค่ะขอบพระคุณมากนะคะ
00:00:14 → 00:00:17 อยู่กับเราในช่วงเวลาค่ำคืนเช่นนี้ค่ะคุณ
00:00:17 → 00:00:20 หมอคะเรื่องของน้ำเอ่อ 3 น้ำที่อันตราย
00:00:20 → 00:00:24 ต่อไตคุณหมอพอจะไล่ให้ฟังได้มั้ยคะมีน้ำ
00:00:24 → 00:00:29 อะไรบ้างคะค่ะเอ่อถ้าถ้าจริงๆพูดถึง
00:00:29 → 00:00:30 เรื่องน้ำเนี่ยก็ต้องต้องบอกว่าน้ำนี่ก็
00:00:30 → 00:00:33 เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิตอ่ะนะคะเพราะ
00:00:33 → 00:00:35 ว่าในเซลล์ของร่างกายเราเนี่ยก็จะประกอบ
00:00:35 → 00:00:39 ไปด้วยน้ำประมาณ 60% นะคะส่วนใหญ่น้ำก็ทำ
00:00:39 → 00:00:41 หน้าที่ขับของเสียนะคะควบภุมอุณหภูมิแล้ว
00:00:41 → 00:00:44 ก็ทำให้ระบบของร่างกายมันเป็นปกตินะคะค่ะ
00:00:44 → 00:00:47 จริงๆถามว่าถ้าถ้าถามว่าน้ำอะไรที่ไม่ดี
00:00:47 → 00:00:51 ต่อไตมันก็คงจะไม่ดีต่อร่างกายด้วยนะคะอ
00:00:51 → 00:00:54 เอาเข้าจริงๆถ้าน้ำที่เป็นเป็นอันตรายต่อ
00:00:54 → 00:00:56 สุขภาพก็ต้องบอกว่ามันก็คงต้องเป็นน้ำที่
00:00:56 → 00:01:00 ไม่บริสุทธิ์หรือว่ามีสิ่งเจือปนมีสารส
00:01:00 → 00:01:03 ปลอมปนนะคะคือน้ำไม่สะอาดไม่ว่าจะเป็นจาก
00:01:03 → 00:01:06 เชื้อโรคสารเคมีโลหะหนักหรือสารปลอมปน
00:01:06 → 00:01:09 ต่างๆนะคะแต่ถ้าถามว่าโดยทั่วไปเวลาเรา
00:01:09 → 00:01:12 ทานอาหารหรือว่าเราเราเราได้รับประทาน
00:01:12 → 00:01:15 อาหารน้ำเนี่ยเวลาเราพูดถึงบางคนก็มักจะ
00:01:15 → 00:01:18 ถามว่าเออมันมีน้ำอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
00:01:18 → 00:01:21 ร่างกายบ้างนอกจากที่กล่าวไปแล้วเนี่ยนะ
00:01:21 → 00:01:24 คะเอ่อบางคนก็ถามว่าเออน้ำซุปเนี่ยดีไหม
00:01:24 → 00:01:27 นะคะเพราะว่าบางคนเนี่ยรู้สึกว่าให้ความ
00:01:27 → 00:01:31 สนใจกับเรื่องของการเอ่อชอบชชอบทานอย่าง
00:01:31 → 00:01:34 เราไปทางก๋วยเตี๋ยวเนี่ยก็จะชอบทานน้ำซุป
00:01:34 → 00:01:36 ใช่ค่ะเป็นคนนึงเลยค่ะที่เป็นแฟนน้ำซุปขอ
00:01:36 → 00:01:39 น้ำซุปมาในบะหมี่แห้งเออคิดดูแล้วกันขนาด
00:01:39 → 00:01:41 กินแห้งอย่าต้องขอน้ำซุปซึ่งจริงๆแล้ว
00:01:41 → 00:01:43 ส่วนประกอบของน้ำซุปเนี่ยเราก็แทบจะเ่า
00:01:43 → 00:01:46 ถ้าถ้าจะให้พูดง่ายๆคือถ้าโดยทั่วไปก็จะ
00:01:46 → 00:01:49 เป็นพวกส่วนประกอบของเนื้อสัตว์นะคะมี
00:01:49 → 00:01:50 ตั้งแต่เนื้อหมูเนื้อสัตว์เนื้อเนื้อ
00:01:50 → 00:01:53 สัตว์ปีกบ้างนะคะหรือก็ว่ามีอาจจะมีผัก
00:01:53 → 00:01:56 บางชนิดรวมอยู่บางคนก็จะกังวลว่าน้ำซุป
00:01:56 → 00:01:58 พวกนี้ถ้าทานมากๆไปจะเป็นโรคเก๊าหรือ
00:01:58 → 00:02:00 เปล่าแต่เอาเข้าจริงๆแล้วเนี่ยประเด็น
00:02:00 → 00:02:02 สำคัญของน้ำซุปเนี่ยคงไม่ได้อยู่ในเรื่อง
00:02:02 → 00:02:05 ของการที่มีสารปลอมปนเป็นเรื่องของกรด
00:02:05 → 00:02:07 ยูริกแต่ว่าจริงๆแล้วน้ำซุปพวกนี้มันถูก
00:02:07 → 00:02:11 ปรุงนะคะด้วยสารเอ่อน้ำปลาซีอิ๊วต่างๆ
00:02:11 → 00:02:14 เนี่ยมันเกิดความเค็มค่ะปัญหาที่มันเกิด
00:02:14 → 00:02:16 ขึ้นก็คือเวลาเราทานน้ำซุปมากๆเนี่ยพวด
00:02:16 → 00:02:19 ไม่มันก็เหมือนเราได้รับเกลือหรือว่าความ
00:02:19 → 00:02:22 เค็มทางอ้อมนะคะแล้วก็เลยทำให้ผลของความ
00:02:22 → 00:02:24 เค็มเนี่ยก็จะมีผลตสุขภาพโดยเฉพาะใน
00:02:24 → 00:02:26 เรื่องของความดันโลหิตสูงอือหือเพราะ
00:02:27 → 00:02:29 ฉะนั้นเวลาเวลาเวลาเราทาก๋วยเตี๋ยวส่วน
00:02:29 → 00:02:30 ใหญ่เราก็มักจะบอกบอกว่าบางร้านเจะติดว่า
00:02:31 → 00:02:33 ให้ชิมก่อนปรุงนะคะแต่ว่าจริงๆตั้งแต่
00:02:33 → 00:02:36 สมัยที่ผ่านอดีตที่ผ่านมาค่ะจะสังเกตว่า
00:02:36 → 00:02:40 สมัยก่อนเนี่ยเราเติมน้ำปลากันเยอะใช่แต่
00:02:40 → 00:02:42 ว่าสมัยเนี้ยค่ะเราเราไม่กลับไม่ค่อยหยก
00:02:43 → 00:02:45 ยกขวดน้ำปลามาเติมด้วยความที่ว่าจริงๆมัน
00:02:45 → 00:02:48 ถูกปรุงมาแล้วครับอืสังกมคว่าจริงๆมันถูก
00:02:48 → 00:02:50 ปรุงมาแล้วให้มันมีรสชาติกลมกล่อมแล้วก็
00:02:50 → 00:02:53 อร่อยโดยที่ไม่ต้องปรุงเพิ่มโอโหอันนี้ก็
00:02:53 → 00:02:56 เป็นส่วนนึงที่ว่าถ้าถ้าจะถ้าถามว่าน้ำ
00:02:56 → 00:02:58 ซุปเนี่ยมันมันขึ้นอยู่กับความเค็มมาก
00:02:58 → 00:03:01 กว่านะคะที่มันจะเป็นอันอันตรายต่อสุขภาพ
00:03:01 → 00:03:03 แต่ว่าไม่ว่ามันจะเป็นส่วนผสมของอะไรอัน
00:03:03 → 00:03:05 นั้นก็คือส่วนผสมส่วนประกอบที่มันก็เป็น
00:03:05 → 00:03:08 ส่วนประกอบโดยทั่วไปที่มันก็เป็นสารอาหาร
00:03:08 → 00:03:10 ทั่วไปที่เรารับประทานได้อยู่แล้วนะคะแต่
00:03:10 → 00:03:13 ว่าถ้าทานน้ำซุปมากๆก็เพิ่มความเข็มเข้า
00:03:13 → 00:03:16 ไปในร่างกายอทีนี้น้ำซุปถ้วยนึงที่เรา
00:03:16 → 00:03:19 ปริมาณกันในถ้วยถ้วยซุปถ้วยเล็กๆเนี่ยนะ
00:03:19 → 00:03:22 คะที่เราทานจนหมดถ้วยเนี่ยมันมันพอใช้ได้
00:03:22 → 00:03:25 มั้ยคะคุณหมอคะปริมาณความเค็มของจริงๆ
00:03:25 → 00:03:27 ปริมาณมันคงมันคงไม่ได้เกี่ยวนะคะแต่ว่า
00:03:27 → 00:03:31 จริงๆแล้วมันก็คือมันขึ้นอยู่กับความเค็ม
00:03:31 → 00:03:36 อุบางคถ้ากคนท่วไม่ได้มีปัญหาอะไนะคะแต่
00:03:36 → 00:03:38 ว่าถ้าเกิดคที่รูความนันสูงเวลาเราทานน้ำ
00:03:38 → 00:03:41 ซุปบ่อยๆหรือว่ามันก็เหมือนเราทานเกลือ
00:03:41 → 00:03:44 น่ะค่ะมันก็จะเพิ่มความเข็มนะคะทีนี้น้ำ
00:03:44 → 00:03:48 น้ำนอกจากน้ำซุปที่เราพูดกันแล้วที่เราเ
00:03:48 → 00:03:51 นอกจากนั้นคือน้ำหวานถูกะน้ำหวานเนี่ยแน่
00:03:51 → 00:03:54 นอนทุกคนทานแล้วรู้สึกสดชื่นรู้สึกว่ารู้
00:03:54 → 00:03:56 สึกกระปรี้กระเป่าขึ้นมาจากการดื่มน้ำ
00:03:56 → 00:03:59 หวานใช่ะแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเนี่ยน้ำหวาน
00:03:59 → 00:04:04 มันก็ต้องรวมตั้งแต่น้ำผลไม้น้ำอัดลมนะคะ
00:04:04 → 00:04:07 หรือว่าน้ำเกลือแร่บำรุงสุขภาพต่างๆ
00:04:07 → 00:04:09 อันเนี้ยค่ะจริงๆแล้วก็คือว่าโดยทั่วไปคน
00:04:09 → 00:04:11 ทั่วไปก็ต้องบอกว่าคนทั่วไปเนี่ยรับ
00:04:11 → 00:04:13 ประทานได้มันไม่มันไม่ได้เป็นพิดต่อ
00:04:13 → 00:04:17 สุขภาพในระดับที่มากจนเกินไปเช่นไม่ได้
00:04:17 → 00:04:21 ทานแทนน้ำเปล่าอครับอันนี้คงไม่เป็นอะไร
00:04:21 → 00:04:23 แต่ในกรณีที่เป็นคนไข้ที่เป็นเบาหวาน
00:04:23 → 00:04:26 เนี่ยจริงๆเวลาทานน้ำหวานนี่ก็มันก็ไม่
00:04:26 → 00:04:28 ถูกกันอยู่แล้วถูกมั้ยคะเหมือนเราเหมือน
00:04:28 → 00:04:31 เราดื่มน้ำหวานแก้วปื๊ดนึงเข้าไปเนี่ยเรา
00:04:31 → 00:04:34 ก็ได้รับน้ำตาลในปริมาณมากนะคะซึ่งก็จะทำ
00:04:34 → 00:04:37 ให้ค่าของน้ำตาลในเลือดเนี่ยสูงขึ้นอัน
00:04:37 → 00:04:40 นี้ก็คงจะต้องเป็นข้อระวังสำหรับคนไข้ที่
00:04:40 → 00:04:41 เป็นเบาหวานเลยเพราะว่าน้ำหวานเนี่ยเรา
00:04:41 → 00:04:44 ไม่ได้รวมแค่น้ำหวานสิ่งที่เราเห็นมันรวม
00:04:44 → 00:04:46 ถึงน้ำอัดลมหรือว่าน้ำเกลือแล่บำรุง
00:04:46 → 00:04:49 สุขภาพอื่นๆด้วยนะคะอันนี้ก็ต้องระวังคุณ
00:04:49 → 00:04:52 หมอบางคนไม่ได้เป็นเบาหวานชาติเทานน้ำ
00:04:52 → 00:04:56 หวานทานน้ำทาานน้ำอัดลมหลังอาหารเป็นปกติ
00:04:56 → 00:04:58 คือไม่ทานน้ำเปล่าเป็นหลักอย่างเงี้
00:04:58 → 00:05:00 อันตรายแค่ไหนคะอนี้ต้องควรระวังค่ะอัน
00:05:00 → 00:05:03 นี้ก็ต้องควรระวังนะคะเพราะว่าก็ต้องบอก
00:05:03 → 00:05:05 ว่าเวลาเราดื่มถามว่าดื่มได้มมันไม่ได้
00:05:05 → 00:05:07 เป็นพิษเป็นภัยแบบดื่มแล้วเป็นอะไรแต่ว่า
00:05:08 → 00:05:11 ถ้าดื่มมากจนเกินไปอันนั้นล่ะค่ะน่าจะมี
00:05:11 → 00:05:14 ปัญหาต่อสุขภาพได้ก็คืออาจจะมีพฤติกรรม
00:05:14 → 00:05:17 การบริโภคของหวานมากเกินไปในอนาคตก็มี
00:05:17 → 00:05:20 ความเสี่ยงที่จะเกิดทำให้ภาวะการทำงานของ
00:05:20 → 00:05:23 ระบบอินซูลินในร่างกายอะไรเงี้ยผิดปกติ
00:05:23 → 00:05:25 แล้วก็ต่อมาก็จะต้องมีเรื่องของโรคเบา
00:05:25 → 00:05:30 หวานตามมานะคะอืแต่อีกส่วนนึงก็คือคือใน
00:05:30 → 00:05:33 สมัยนี้ก็จะมีน้ำอีกเยอะเลยค่ะในโดยน้ำ
00:05:33 → 00:05:36 สมุกไพรก็อีกก็อีกส่วนนึงด้วยอันนี้ก็ก็
00:05:36 → 00:05:39 มองเหมือนเป็นน้ำที่มีวิตามินเกลือแร่
00:05:39 → 00:05:42 เป็นน้ำเอ่อคุณประโยชน์ต่างๆจริงๆแล้วมัน
00:05:42 → 00:05:45 ก็แฝงมาด้วยอะไรอ่ะคะคุณหมอคะใชใช่ค่ะคือ
00:05:45 → 00:05:47 เรื่องน้ำหวานนี่ก็ส่วนนึงใช่มั้ยคะแต่
00:05:47 → 00:05:50 ว่าเวลาเราดื่มน้ำพวกเยค่ะบางทีมันก็จะมี
00:05:50 → 00:05:53 ความหวานอยู่ในตัวอยู่ละแต่ว่าส่วนนึงของ
00:05:53 → 00:05:56 น้ำสมุนไพรเนี่ยมันก็จะมีน้ำสมุนไพรบาง
00:05:56 → 00:06:00 ประเภทนะคะที่เราเนี่ยต้องควรระวังเพราะ
00:06:00 → 00:06:03 ว่าอันนี้พูดถึงคนทั่วไปเลยนะคะไม่ไม่ไม่
00:06:03 → 00:06:06 ใช่ว่าจะต้องเป็นคนเฉพาะคนโรคไตมันจะมี
00:06:06 → 00:06:10 ผลไม้ผักผลไม้บางชนิดค่ะอย่างที่เจอได้
00:06:10 → 00:06:14 บ่อยเลยนะคะอันแรกเลยคือน้ำมะเฟืองว้า
00:06:14 → 00:06:16 มะเฟืองเนี่ยจริงๆว่าทุกคนก็คือเจอได้
00:06:16 → 00:06:18 ทั่วไปอ่ะนะคะจริงๆแล้วเนี่ยแต่ว่า
00:06:18 → 00:06:21 มะเฟืองเนี่ยด้วยความที่เขามีส่วนประกอบ
00:06:21 → 00:06:23 ของสารออกซาเลตตัวนึงนะคะที่ทำให้อาจจะทำ
00:06:23 → 00:06:26 ให้ไตวายฉับพลันได้โดยเฉพาะเวลาเราเอาไป
00:06:26 → 00:06:30 ทำเป็นน้ำเวลาเราดื่มน้ำมะเฟืองมากๆเนี่ย
00:06:30 → 00:06:34 ก็จะมีปัญหาทำให้เกิดการเ่อเกิดภาวะไตวาย
00:06:34 → 00:06:36 ฉักพลันได้อันนี้ต้องระวังมากๆนะคะยิ่ง
00:06:36 → 00:06:40 ถ้าถ้ายิ่งมีความมะเฟืองมีความเปรี้ยวมาก
00:06:40 → 00:06:43 ก็ยิ่งจะมีออกซาเลตสูงมากกว่าชนิดที่หวาน
00:06:43 → 00:06:46 เพราะฉะนั้นไพวกเยค่ะคงต้องระวังนะคะโดย
00:06:47 → 00:06:49 เฉพาะยิ่งถ้าเป็นคนไข้โรคไตอันนี้ก็ต้อง
00:06:49 → 00:06:51 หลีกเลี่ยงนะคะเพราะว่าก็มีสารพวกเนี้ยทำ
00:06:51 → 00:06:56 ให้ไตแย่ลงไปอีกนะคะอืแล้วก็อย่างอย่าใน
00:06:56 → 00:07:01 ในในบางท้องถิ่นค่ะก็จะมีก็จะมีเอ่อไม่
00:07:01 → 00:07:05 ไม่ทราบเิทางทางภาคใต้นะคะก็เป็นที่นิยม
00:07:05 → 00:07:10 ไอ้พวกลูกเนียงูยอคอันนี้ก็จะมีก็จะมี
00:07:10 → 00:07:13 เป็นสารที่เขาเรียกว่ามันเป็นเหมือนกรด
00:07:13 → 00:07:16 อะมิโนที่มีกรรมฐานน่ะนะคะพวกนี้เวลามัน
00:07:16 → 00:07:20 อยู่ในในในฝักอะไรพวกเนี้หรือในเมล็ดพวกเ
00:07:20 → 00:07:22 ก็จะทำให้เวลาเรามาทำเป็นอาหารหรือว่าทำ
00:07:22 → 00:07:25 เป็นน้ำดื่มพวกเนี้ยค่ะมันก็อาจจะทำให้มี
00:07:25 → 00:07:29 ปัญหาได้นะคะอืเจะมีน้ำสมุนไพรทางใต้ลูก
00:07:29 → 00:07:31 เนียงอะไรด้วยใช่มใช่ค่ะอันนี้ก็ต้อง
00:07:31 → 00:07:35 ระวังค่ะแล้วก็อีกอีกอย่างนึงที่ก็จะมี
00:07:35 → 00:07:39 เจอได้ประปรายนะคะเช่นสมุนไพรบางชนิดนะคะ
00:07:39 → 00:07:43 เช่นหญ้าไผ่น้ำอันนี้ก็จะเจอได้คุ้นหน่อย
00:07:43 → 00:07:46 อนะคะหญ้าหนวดแมวนะคะอหรือว่าว่านหางม้า
00:07:46 → 00:07:49 พวกเยค่ะมันเหมือนเป็นสมุนไพรที่เหมือนก็
00:07:49 → 00:07:52 จะมีสรรพคุณในส่วนนึงนะคะแต่ว่าอีกส่วน
00:07:52 → 00:07:54 นึงก็จะทำให้มีสารต่างๆในร่างกายผิดปกติ
00:07:54 → 00:07:58 ได้โดยเฉพาะพวกสารโปแตสเซียมในน้ำลูกยอ
00:07:58 → 00:08:01 หญ้าไผ่น้ำหรือว่าไอ้ตัวว่านหางม้าหญ่า
00:08:01 → 00:08:04 หนวดแม้พวกนี้มันจะมีฤทธิ์เหมือนกับเป็น
00:08:04 → 00:08:08 เอ่อยาขับปัสสาวะอ่อนๆนะคะแล้วก็จะทำให้
00:08:08 → 00:08:11 ทำให้เกิดมีถ้าเรากินเยอะๆเนี่ยนะคะก็จะ
00:08:11 → 00:08:14 ทำให้ร่างกายขาดน้ำแล้วก็เกิดภาวะตายวาย
00:08:14 → 00:08:17 ฉักพลันได้เช่นเดียวกันโอ้โหมีหลากหลาย
00:08:17 → 00:08:21 สมุนไพรเลยประมาณนี้นะคะแต่ว่าก็อย่างที่
00:08:21 → 00:08:23 เรียนไปน้ำทุกชนิดจริงๆถ้ากินในระดับที่
00:08:23 → 00:08:27 มันพอดีนะคะแล้วก็ไม่ไม่เยอะเกินไปหรือ
00:08:27 → 00:08:30 ว่าไม่ได้ทันดื่มดื่มจนแทนน้ำเปล่า
00:08:30 → 00:08:34 อันเนี้ยก็ก็คงไม่เป็นอะไรค่ะสมมุติว่า
00:08:34 → 00:08:35 ซัก
00:08:35 → 00:08:39 เอ่อสัปดาห์นึงครั้งนึง 2-3 ครั้งก็ได้
00:08:39 → 00:08:43 ใช่มั้ยคะใช่ใช่ๆๆค่ะหญ้าหนวดหญ้าหนวดแมว
00:08:43 → 00:08:45 เนี่ยเอ่อมันมีสรรพคุณชนิดนึงก็คือ
00:08:45 → 00:08:48 ประสบการณ์ของตัวเองเนี่ยที่ซื้อแคปซูลมา
00:08:48 → 00:08:51 ทานน่ะคุณหมอเขาก็บอกเอาไว้เหมือนกันน่ะ
00:08:51 → 00:08:54 เรื่องของระมัดระวังเอ่อผลข้างเคียงของ
00:08:54 → 00:08:57 มันอันเนี้ยหวังผลในเรื่องของการทำให้
00:08:57 → 00:09:01 เอ่อผมไม่ร่วงค่ะคุณหมออ๋อใช่อันนั้นเป็น
00:09:01 → 00:09:05 ว่านหางม้ามั้ยคะใช่ส่วนนึงเ่าคิดว่าส่วน
00:09:05 → 00:09:08 นึงค่ะแต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบ
00:09:08 → 00:09:10 ที่เขาเอามาทำว่ามันจะมากจะน้อยยังไงอ่ะ
00:09:10 → 00:09:13 นะคะรอมันก็คงมีส่วนดีค่ะเพียงแต่ว่าถ้า
00:09:13 → 00:09:17 เกิดยิ่งถ้าคนที่เป็นโรคถ้าได้สารพวกนี้
00:09:17 → 00:09:20 มากจนเกินไปก็อาจจะเป็นปัญหาได้หรือว่าคน
00:09:20 → 00:09:23 ธรรมดาที่ทานมากจนเกินไปก็จะมีปัญหาได้ิ
00:09:23 → 00:09:26 ใช่พอกระปุกนึงหมดก็ต้องหยุดเลยอันนั้น
00:09:26 → 00:09:31 เป็นทานเจลแคปซูลค่ะคุณผู้ฟังท่านนึงนะคะ
00:09:31 → 00:09:35 ก็แชร์เอ่อประสบการณ์บอกว่ามีมะเฟืองเป็น
00:09:35 → 00:09:39 ต้นแล้วเขาก็ทานเป็นเป็นผลไม้ 2-3 ลูกต่อ
00:09:39 → 00:09:42 ครั้งอะไรอย่างเงี้ยค่ะคุณหมอค่ะค่ะก็ขอบ
00:09:42 → 00:09:46 หวานดีไม่เป็นไรใช่มั้ยคะอคือคือจริงๆก็
00:09:46 → 00:09:49 ต้องบอกนะคะว่าผลไม้พวกนี้มันทานได้นะคะอ
00:09:49 → 00:09:52 แล้วก็มันก็คือก็ต้องบอกว่ามันก็คงต้อง
00:09:52 → 00:09:55 ไม่เยอะเกินไปแล้วก็เวลาถ้ามันผ่านการ
00:09:55 → 00:09:58 เอ่อแปรรูปหรือว่าปรุงอาหารพวกนี้บางที
00:09:58 → 00:10:00 มันผ่านความรร้อนแล้วก็ช่วยช่วยได้แต่ว่า
00:10:00 → 00:10:02 จริงๆแล้วเราคงไม่ได้เอามะเฟืองไปผ่าน
00:10:02 → 00:10:04 ความร้อนแล้วมาทานอเพราะฉะนั้นอันเนี้ย
00:10:04 → 00:10:07 ค่ะมันก็คงจะต้องระวังเพราะว่าเวลายิ่ง
00:10:07 → 00:10:10 ช่วงท้องว่างๆเวลาเราทานผลไม้พวกนี้มันจะ
00:10:10 → 00:10:12 ดูดซึมได้ดีมากใช่มั้ยคะพวกเนี้ยต้อง
00:10:12 → 00:10:16 ระวังคือต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ
00:10:16 → 00:10:19 แล้วก็ไม่ควรจะเอาไปทำเป็นน้ำเพราะว่า
00:10:19 → 00:10:21 เวลาเราเอามักเฟืองไปทำเป็นน้ำเนี่ยมัน
00:10:21 → 00:10:25 ยิ่งทานง่ายแล้วก็ทานเร็วถูกมั้ยคะแล้ว
00:10:25 → 00:10:28 มันมันมันมันมันทานง่ายอ่ะค่ะพูดง่ายๆเรา
00:10:28 → 00:10:31 ก็จะได้รับปริมาณสารออกซาเลตพวกเได้เยอะ
00:10:31 → 00:10:34 แล้วก็อย่างเร็วเลยแล้วถ้าเราไปทำเป็นน้ำ
00:10:34 → 00:10:37 ถ้าทานเป็นรูกเป็นผลเนี่ยก็คิดว่าคงไม่มี
00:10:37 → 00:10:40 ปัญหาแต่ว่าคนที่เป็นโรคโดยเฉพาะโรคไตพวก
00:10:40 → 00:10:43 เไม่ควรทานอันนี้ก็ต้องบอกเลยว่าถ้าเป็น
00:10:43 → 00:10:46 โรคไตนะคะหรือว่าตายทำงานผิดปกติอันเนี้ย
00:10:46 → 00:10:49 ก็ควรจะหลีกเลี่ยงไปเลยแต่ว่าถ้าคนทั่วไป
00:10:49 → 00:10:51 ทานนิดทานหน่อยคงไม่เป็นอะไรค่ะแต่ต้อง
00:10:51 → 00:10:55 ระวังออยังพอได้คุณหมอทีนี้เดี๋ยวผมขอ
00:10:55 → 00:10:57 อนุญาตย้อนกลับไปที่เรื่องของน้ำซุปนิด
00:10:57 → 00:11:01 นึงผมในฐานะเนี่ยค่ะคนชอบทานมากใช่ๆโดย
00:11:01 → 00:11:05 เฉพาะราเมงที่มันเป็นของจากประเทศญี่ปุ่น
00:11:05 → 00:11:09 นึกถึงรสชาติมันออกอ่ะคือมาคือแม้ว่าเขา
00:11:09 → 00:11:13 จะต้มจากพวกกระดูกหมูเอยหรือพวกเอ่อพวก
00:11:13 → 00:11:16 ปลาแห้งเป็นพวกปลาหรือว่าเป็นโครงกระดูก
00:11:16 → 00:11:19 ไก่ล้วนๆเพียวๆอะไรอย่างเงี้ยอาจจะไม่ได้
00:11:19 → 00:11:22 ปรุงหรือว่าปรุงน้อยมากๆเนี่ยมันถ้าเทียบ
00:11:22 → 00:11:25 กันกับน้ำซุปแบบไทยๆของเราเนี่ยมันมีความ
00:11:25 → 00:11:30 น่ากลัวน่ากังวลกว่าขนาดไหนฮะคุณหมอฮะค่ะ
00:11:30 → 00:11:33 อันอันนี้คงตอบยากเนาะเพราะว่าแต่ละซุป
00:11:33 → 00:11:36 เนี่ยก็จะมีส่วนผสมที่ไม่เหมือนกันวิธี
00:11:37 → 00:11:40 การกรรมวิธีก็จะแตกต่างกันนะคะแต่ว่าโดย
00:11:40 → 00:11:43 ทั่วไปอ่ะโดยหลักมันคือความเค็มอื้อหือ
00:11:43 → 00:11:46 ใช่เค็มเค็มนี่ให้เบอร์สมมุติว่า 10
00:11:46 → 00:11:50 เนี่ยของไอ้น้ำซุปที่ว่ามงอาจจะเค็มมาก
00:11:50 → 00:11:53 กว่าเราด้วยน่าจะ 9 ครึ่งเลยนะคะเค็มมากๆ
00:11:53 → 00:11:55 เลยอ่ะยิ่งถ้าเป็นซุปจากกระดูกหมูอะไร
00:11:55 → 00:12:00 เงี้ยข้นคลักเลยข้นมันเค็มทำให้ผมผมยังซด
00:12:00 → 00:12:03 หมดจานตลอดเลยคุณหมออันนี้ก็ยังไม่ได้รวม
00:12:03 → 00:12:07 สาอาจจะใส่เข้าไปในน้ำทุบเช่นผงชูรสด้วย
00:12:07 → 00:12:09 นะคะอันนี้ก็ต้องระวังด้วยเช่นเดียวกัน
00:12:09 → 00:12:10 ทำไมเต้องเค็มอย่างงั้นไม่รู้นะก็คงเป็น
00:12:11 → 00:12:13 สูตรเคแหละคุณหมอแต่ผมชอบมากเลยนะแต่ว่า
00:12:13 → 00:12:15 พอกินเสร็จเนี่ยผมรู้สึกผิดกับตัวเองนะ
00:12:15 → 00:12:17 แต่ว่ามันก็ทำอะไรได้กินน้ำตามได้มคนทั่ว
00:12:17 → 00:12:20 ไปก็จะบอกว่าทานน้ำตามคุณหมอกินเค็มเสร็จ
00:12:20 → 00:12:23 ทานน้ำเป็น็กเลยทั่วไปนานๆทีคงไม่เป็นไร
00:12:23 → 00:12:26 ค่ะแต่ว่าถ้าอย่างว่าถ้าทานเป็นประจำ
00:12:26 → 00:12:28 เพราะว่าจริงๆแล้วถ้าถ้าโดยทั่วไปอ่ะในใน
00:12:28 → 00:12:30 คนไข้ที่เป็นโรคจริงๆอ่ะนะคะหมายถึงเป็น
00:12:30 → 00:12:34 โรคไตเนี่ยบางทีหมออาจจะต้องแนะนำว่าด้วย
00:12:34 → 00:12:36 ความที่กลุ่มคนไข้โรคไตเนี่ยมันต้องจำกัด
00:12:36 → 00:12:40 น้ำแล้วก็เวลาเรายิ่งกินเค็มเนี่ยมันจะทำ
00:12:40 → 00:12:44 ให้เขาหิวน้ำมากขึ้นแล้วก็กินน้ำมากขึ้น
00:12:44 → 00:12:45 ส่วนใหญ่หมอก็จะแนะนำว่าให้เค้าเนี่ย
00:12:45 → 00:12:49 พยายามไปกินก๋วยเตี๋ยวแห้งแทนคืออยากกิน
00:12:49 → 00:12:50 ก๋วยเตี๋ยวแหละแต่ว่าให้ไปทางก๋วยเตี๋ยว
00:12:50 → 00:12:53 แห้งแทนเพื่อลดการดื่มเอ่อทานน้ำซุปแบบเย
00:12:53 → 00:12:58 ค่ะเไม่ชอบความความแห้งสิคะเชอบซดน้ำใช่
00:12:59 → 00:13:01 เพราะปกติถ้าเราสั่งแห้งเราก็ต้องมีน้ำ
00:13:01 → 00:13:04 ซุปมาอีกถ้วยนึงถูกมั้ยคะซุปถ้วยนึงเราัน
00:13:04 → 00:13:08 ละค่ะก็คงต้องระวังอ๋อก็คงต้องพยายามลด
00:13:08 → 00:13:10 หรือว่าหลีบเลี่ยงอนะอันนี้หลักการเนี่ย
00:13:10 → 00:13:13 อย่างอย่างดรีมบอกว่าทานหมดหมดถ้วยเนี่ย
00:13:13 → 00:13:15 คุณหมอว่าเราเว้นไว้หน่อยได้มั้ยคะเหลือ
00:13:15 → 00:13:17 เหลือติดชามไว้บ้างก็ดีเนาะหลักการข้าม
00:13:17 → 00:13:20 ต้นน่ะอย่าหมดเลยได้มั้คนทำจะได้ดีใจไง
00:13:20 → 00:13:22 ว่าของเขาอร่อย
00:13:22 → 00:13:26 อร่อยก็ไม่ควรใช่มยคุณหมอเดือนลหนพอนะคะ
00:13:26 → 00:13:31 เดือนละหนพอเอ่อคุณผู้ฟังนะคะมีคำถามแม้
00:13:31 → 00:13:34 จะไม่ใช่น้ำซุปน้ำหวานหรือน้ำสมุนไพรแต่
00:13:34 → 00:13:38 คุณพี่นวลจันทร์เก็บอกว่าเอ่อทานน้ำเปล่า
00:13:38 → 00:13:42 บางทีอาจจะแบบเอ่อทานเกินปริมาณที่ควรจะ
00:13:42 → 00:13:45 ที่จะทานเข้าใจเลยนะคะเป็นคนที่ทานน้ำ
00:13:45 → 00:13:48 เปล่าเยอะเหมือนกันมันจะมีผลเสียกับไตใช่
00:13:48 → 00:13:50 เพราะมันมีข้อมูลที่ถูกส่งต่อกันมาในโลก
00:13:50 → 00:13:53 ออนไลนครับทานตามน้ำหนักใช่มเยอะมากๆเลย
00:13:53 → 00:13:55 ครับคุณหมอว่าเอ่อมันมันมีความเชื่อว่า
00:13:55 → 00:14:00 การดื่มน้ำมากๆเนี่ยมันจะทำให้ไววายอออ่า
00:14:00 → 00:14:03 ใช่อันนี้คืออันนี้คือการส่งต่อข้อมูลไง
00:14:03 → 00:14:05 ใช่มันมีการส่งต่อข้อมูลตอนแรกก็ตั้งใจ
00:14:05 → 00:14:07 ว่าจะถามตอนช่วงท้ายแต่ปรากฏว่ามีคุณผู้
00:14:07 → 00:14:10 ฟังทางบ้านถามมาก่อนก็เลยรบกวนสอบถามคุณ
00:14:10 → 00:14:13 หมอตรงนี้เลยอ่ะฮะใชค่ะได้ค่ะเอ่อก็ต้อง
00:14:13 → 00:14:17 ตอบว่าจริงๆแล้วเวลาเราจะดูว่าคนคนนึง
00:14:17 → 00:14:20 เนี่ยเราจะดื่มน้ำทั่วไปเนี่ยเราดื่มได้
00:14:20 → 00:14:22 ได้เท่าไหร่นะคะหมอก็ต้องบอกว่าจริงๆมัน
00:14:22 → 00:14:25 ต้องขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำในแต่ละ
00:14:25 → 00:14:28 วันถ้าวันไหนเราไปออกกำลังกายเอาง่ายๆเรา
00:14:28 → 00:14:30 ไปออกกำลังวันนั้นเราอาจจะดื่มน้ำเยอะ
00:14:30 → 00:14:32 กว่าปกติถูกมั้ยคะหรือว่าสภาพอากาศที่
00:14:32 → 00:14:35 ร้อนมากนะคะหรือว่าคนบางคนมีโรคประจำตัว
00:14:35 → 00:14:38 ไม่เหมือนกันบางคนเป็นโรคไตโรคหัวใจอัน
00:14:38 → 00:14:42 นี้ก็ถูกจำกัดน้ำอืนะคะพวกเยค่ะมันมันมี
00:14:42 → 00:14:45 มันมีหลายปัจจัยที่เราจะบอกว่าเออเราควร
00:14:45 → 00:14:47 จะทานน้ำเท่าไหร่ในแต่ละคนไม่เหมือนกัน
00:14:47 → 00:14:49 เพราะทุกคนกิจกรรมไม่เหมือนกันแต่โดย
00:14:49 → 00:14:52 เฉลี่ยทั่วไปเนี่ยเขาก็จะบอกว่าโอเคนะผู้
00:14:52 → 00:14:55 ชายก็ทันดื่มได้ประมาณ 3 ลิตรนะคะผู้หญิง
00:14:55 → 00:14:58 ก็จะประมาณ 2 ลิตรแต่ว่าในทางปฏิบัติอ่ะ
00:14:59 → 00:15:01 เราก็ไม่เคยที่จะมานั่งตวงแต่ว่าจริงๆอ่ะ
00:15:01 → 00:15:03 ถ้าเป็นคนไข้หมอโดยทั่วไปหมอจะแนะนำให้เค
00:15:03 → 00:15:06 ตวงน้ำในแต่ละวันว่าดื่มน้ำไปเท่าไหร่
00:15:06 → 00:15:08 เพราะเยอะเกินไปก็ไม่ดีถ้าน้อยเกินไปก็
00:15:08 → 00:15:11 ไม่ดีเหมือนกันถูกมั้ยคะหรือว่าบางที
00:15:11 → 00:15:14 เนี่ยเราก็จะต้องบอกว่าอ่าเอาน้ำขวดน้ำมา
00:15:14 → 00:15:17 ตวงนะคะแล้วก็มาตั้งทิ้งไว้แล้วก็มาวัดดู
00:15:17 → 00:15:19 แต่ว่าโดยทั่วไปในชีวิตของคนทั่วไปใน
00:15:19 → 00:15:21 ชีวิตประจำวันเราไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกค่ะ
00:15:21 → 00:15:23 เราไม่ได้มาตวงว่าเรากินถึง 2 ลิตรหรือ
00:15:23 → 00:15:26 เปล่าหรือว่า 3 ลิตรหรือว่าเกินกว่านั้น
00:15:26 → 00:15:28 แน่นอนวันไหนถ้าเราไปออกกำลังกายเรามีการ
00:15:28 → 00:15:31 สูญเสียเหงื่อเราอาจจะกินมากนะคะแต่โดย
00:15:31 → 00:15:34 เฉลี่ยเนี่ยกินมากเนี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ถ้า
00:15:34 → 00:15:38 คนนั้นน่ะไตดีหัวใจดีอนะคะแต่ว่าถ้ากิน
00:15:38 → 00:15:41 น้อยก็คงจะไม่ดีเพราะฉะนั้นถ้าถามว่าจะ
00:15:41 → 00:15:44 ให้แนะนำยังไงโดยเฉลี่ยเนี่ยก็ควรจะอยู่
00:15:44 → 00:15:47 ที่ประมาณ 2 ลิตรต่อวันหรือถ้านับเป็น
00:15:47 → 00:15:50 แก้วเนี่ยเขาก็จะนับเป็นแก้วประมาณ 250
00:15:50 → 00:15:52 ซีซีประมาณ 8 แก้วอะไรประมาณเนี้ยแต่ว่า
00:15:52 → 00:15:55 หมอว่าถ้าโดยสะดวกอ่ะเราใช้ขวดขวดลิติ
00:15:55 → 00:15:58 เนี่ยค่ะตัวงหรือว่าวันเนี้ยเราเทออกมา
00:15:58 → 00:15:59 จากขวด
00:15:59 → 00:16:02 อั้แล้วเราก็ตั้งไว้แล้วก็ดื่มเราก็จะพอ
00:16:02 → 00:16:06 กะได้ค่ะแต่ว่ามันมันชีวิตทุกคนมันไม่
00:16:06 → 00:16:09 สามารถที่จะตวงได้ทุกวันหรือว่าทำแบบนั้น
00:16:09 → 00:16:12 ได้ทุกวันถูกมั้ยคะเราก็ต้องฝึกว่าโอเค
00:16:12 → 00:16:16 ถ้าเรารู้สึกหิวเราก็ดื่มนะแล้วก็ฝึกการ
00:16:16 → 00:16:19 ดื่มน้ำระหว่างมื้อบ้างอืนะคะหรือว่าก่อน
00:16:19 → 00:16:21 และหลังการออกกำลังกายอันเนี้ยก็ควรจะ
00:16:21 → 00:16:24 ดื่มน้ำอันนี้ก็คือเป็นฝึกนิสัยว่าไม่ใช่
00:16:24 → 00:16:28 เฉพาะช่วงมื้ออาหารที่ดื่มน้ำระหว่างมื้อ
00:16:28 → 00:16:31 เนี่ยเราก็ควรจะดื่มน้ำด้วยนะคะเช่นช่วง
00:16:31 → 00:16:34 ถักเราทานข้าวเช้าไปแล้วตอนเช้า 10:00 น
00:16:34 → 00:16:37 เราก็ควรอาจฝึกดื่มน้ำอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:16:37 → 00:16:40 แต่ว่าบางคนน่ะก็จะก็จะก็จะรู้สึกว่าตัว
00:16:40 → 00:16:43 เองดื่มน้ำเยอะอยู่แล้วนะคะแต่ว่าสิ่งที่
00:16:43 → 00:16:45 ไม่ควรทำอย่างนึงก็คือการดื่มน้ำที่เยอะ
00:16:45 → 00:16:49 ปริมาณมากและเร็วเวอ่าทีเดียวอันเนี้ยค่ะ
00:16:49 → 00:16:50 อันเนี้ยอันเนี้ยอาจจะคนทั่วไปเป็นแบบนี้
00:16:51 → 00:16:53 ครับไม่ควรอ่าไม่ควรทำแบบนั้นคือเราก็ควร
00:16:53 → 00:16:57 จะดื่มเรื่อยๆเป็นระยะๆะมากกว่าที่จะดื่ม
00:16:57 → 00:16:59 ครั้งเดียวเยอะๆเพื่อเหมือนกับว่าชดเชย
00:17:00 → 00:17:02 อย่างเงี้ยไม่ได้นะคะก็ไม่ควรทำอย่างนั้น
00:17:02 → 00:17:05 เพราะว่ามันจะทำให้ระบบเ่อการทำงานในร่าง
00:17:05 → 00:17:09 กายระบบเ่าของเอ่อสมดุลน้ำและเกลือแร่ใน
00:17:09 → 00:17:11 ร่างกายเนี่ยมันผิดปกติอย่างรวดเร็วอัน
00:17:11 → 00:17:13 นั้นน่ะไม่ควรทำประมาณนั้นค่ะเราก็รู้กัน
00:17:13 → 00:17:16 อยู่นะคะแต่ทุกคนเเจะดื่มลวดเดียวหมดแก้ว
00:17:16 → 00:17:21 คุณหมอไม่คคือแบบก็ก็ก็ถ้าัก 100-2 ซีซี
00:17:21 → 00:17:23 คงไม่เป็นไรค่ะแต่ไม่ใช่แบบดื่มทีละลิต
00:17:23 → 00:17:26 มันมีนะคะบางคนแบบรู้สึกวันนี้ไม่ได้ดื่ม
00:17:26 → 00:17:29 น้ำแล้วก็ดื่มเข้าไปเยอะๆได้ผมผมก็เป็น
00:17:29 → 00:17:31 ครับคุณหมอบางบางจังหวะที่รู้สึกว่า
00:17:31 → 00:17:34 กระหายน้ำมันกระหายมากๆยิ่งช่วงหน้าร้อน
00:17:34 → 00:17:36 แล้วเราต้องออกไปทำงานข้างนอกเนี่ยคือเรา
00:17:36 → 00:17:38 ก็จะซื้อน้ำทีนึงประมาณลิตรครึ่งอ่ะครับ
00:17:38 → 00:17:41 โหเราซัดโฮกซัดโฮกจนรู้สึกว่าแบบหมดมัน
00:17:41 → 00:17:45 แน่นหน้าอกเลยอ่ะโอใช่แล้วเออแบบนั้นเลยอ
00:17:45 → 00:17:48 ค่ะมันก็จะมีผลกับระบบสมดุลของการควบคุม
00:17:48 → 00:17:51 น้ำในร่างกายอ่ะนะคะซึ่งจริงๆแล้วก็ค่อยๆ
00:17:51 → 00:17:54 ค่อยๆจค่อยๆจิบค่อยๆดื่มแบบนั้นดีกว่า
00:17:54 → 00:17:57 ตั้งๆสตินิดนึงครับบางทีเรากระหายมากอ่ะ
00:17:57 → 00:18:00 เนาะใช่ใช่ๆพูดถึงเรื่องของการดื่มน้ำคุณ
00:18:00 → 00:18:03 หมอครับผมไปเห็นข้อมูลนึงก็เลยสงสัยว่า
00:18:03 → 00:18:06 ทำไมคนไข้ที่มีอาการไตวาเนี่ยเขาบอกว่าใน
00:18:06 → 00:18:10 ระยะสุดท้ายไม่ควรดื่มน้ำเยอะควรจะต้อง
00:18:10 → 00:18:13 ดื่มน้ำน้อยๆถ้าอย่างที่คุณหมอได้ได้ได้
00:18:13 → 00:18:16 อธิบายมาน้ำมันก็เป็นผลดีต่อร่างกายของ
00:18:16 → 00:18:19 เราแล้วทำไมอย่างผู้ป่วยที่เป็นไตเนี่ยเ
00:18:19 → 00:18:21 เป็นไตเออระยะสุดท้ายเนี่ยมันมันมันมัน
00:18:21 → 00:18:23 มันเป็นยังไงอะไรอย่างเงี้ยฮะคุณหมอค่ะ
00:18:23 → 00:18:26 ค่ะก็ต้องเรียนอย่างงี้ค่ะว่าไตเนี่ยทำ
00:18:26 → 00:18:29 หน้าที่หลักในการขับน้ำออกจากร่างกายครับ
00:18:29 → 00:18:32 เมื่อการทำงานของไตที่ลดลงเนี่ยการขับน้ำ
00:18:32 → 00:18:37 ก็ลดลงถูกมั้ยคะเพราะฉะนั้นเวลาคนไข้ที่
00:18:37 → 00:18:40 เป็นโรคไตซึ่งโรคไตเนี่ยมันมีหลายระยะมี 5
00:18:40 → 00:18:43 ระยะทั้งหมดถ้าเป็นระยะสุดท้ายเนี่ยเป็น
00:18:43 → 00:18:46 ระยะที่ 5 เนี่ยคุณหมอมักจะบอกให้ควบคุม
00:18:46 → 00:18:49 น้ำและเกลือนะคะอย่างที่หมอเคยเมื่อกี้
00:18:49 → 00:18:52 ที่ที่พูดไปนิดนึงว่าเวลาคุณไข้โรคตตระยะ
00:18:52 → 00:18:54 สุดท้ายเนี่ยการขับน้ำลดลงเพราะฉะนั้น
00:18:54 → 00:18:56 เวลาเราดื่มน้ำเข้าไปเนี่ยมันไม่มีทางออก
00:18:57 → 00:19:00 ค่ะอืดื่มน้ำแล้วเราไม่มีทางออกน้ำไม่รู้
00:19:00 → 00:19:04 จะไปที่ไหนะคะน้ำก็ไม่รู้จะกินเข้าไปะแต่
00:19:04 → 00:19:07 ว่าไม่รู้จะไปที่ไหนก็ไปอยู่ที่ปอดบ้างไป
00:19:07 → 00:19:10 อยู่ที่ขา 2 ข้างบ้างก็จะมีอาการบวมหรือ
00:19:10 → 00:19:14 ว่ามีอาการเ่อทำให้เหนื่อยเหมือนน้ำท่วม
00:19:14 → 00:19:17 ปอดแต่จริงๆเนี่ยนอกจากปริมาณน้ำที่ขึ้น
00:19:17 → 00:19:20 อยู่กับที่ที่ดื่มไปแล้วเนี่ยความเค็มของ
00:19:21 → 00:19:24 อาหารก็ยิ่งบวกเข้าไปก็ยังทำให้มีการขับ
00:19:24 → 00:19:28 น้ำและเกลือเนี่ยลดลงนะคะจากโรคเองพอกิน
00:19:28 → 00:19:32 น้ำเยอะกินเค็มด้วยนะคะทั้งหมดก็จะทำให้
00:19:32 → 00:19:34 เกลือกับน้ำเนี่ยขับไม่ออกมันก็จะไปแทรก
00:19:34 → 00:19:37 ซึมตามอวยวะต่างๆแล้วทำให้คนไข้เหนื่อย
00:19:37 → 00:19:41 ขึ้นมาอือืเป็นแบบนั้นเป็นแบบนั้นค่ะอ๋อ
00:19:41 → 00:19:44 มันเป็นแบบเแต่ว่าคนทั่วไปอ่ะคนทั่วไปก็
00:19:44 → 00:19:47 ก็ทำตัวได้ปกติแต่ว่าถ้าระยะสุดท้ายไตไวน
00:19:47 → 00:19:50 ระยะสุดท้ายอันนั้นมีปัญหาในการขับน้ำขับ
00:19:50 → 00:19:52 เกลือออกจากร่างกายแน่นอนออันนั้นก็ต้อง
00:19:52 → 00:19:56 แนะนำว่าต้องจำกัดนะคะเวลาจำกัดน้ำเนี่ย
00:19:56 → 00:20:00 มันน้อยมากเลยจริงๆมันมันแทบจะแบบบางคน
00:20:00 → 00:20:03 อาจจะได้ทานแค่ครึ่งลิตรต่อวันตามปริมาณ
00:20:03 → 00:20:05 ปัสสาวะที่เขายังเหลืออยู่เพราะว่า
00:20:05 → 00:20:09 ปัสสาวะเจะน้อยลงถูกมั้ยฮะก็ก็จะดื่มน้ำ
00:20:09 → 00:20:12 ได้ตามที่คือออกเท่าไหร่ดื่มเท่านั้นแค่
00:20:12 → 00:20:15 นั้นเองแล้วถ้ายิ่งกินเค็มก็ยิ่งหิวน้ำ
00:20:15 → 00:20:19 อันนี้ก็ไม่ได้เลยถูกมั้ยฮะอืเมื่อเทียบ
00:20:19 → 00:20:21 เทียบเรื่องของไตนะคะสถานการณ์ผู้ที่เป็น
00:20:21 → 00:20:25 โรคไตเท่าที่อยู่ในมือคุณหมอเท่าที่เห็นๆ
00:20:25 → 00:20:28 มาเนี่ยตอนเนี้ยอยู่ในช่วงวัยเอ่อปกติ
00:20:28 → 00:20:33 หรือว่าเป็นอายุน้อยน้อยเอน้อยลงมั้ยคะ
00:20:33 → 00:20:37 เอ่อจริงๆก็ต้องบอกว่าโรคเเป็นโรคของคน
00:20:37 → 00:20:41 อายุเยอะอายุเยอะนะคะเป็นรูกคนอายุเยอะ
00:20:41 → 00:20:44 แล้วก็ใช่ใช่ค่ะส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากโรค
00:20:45 → 00:20:48 ที่เป็นโรคเเรียกว่าโรคเอ่อไม่ติดต่อแบบ
00:20:48 → 00:20:51 เรื้อรังนะคะซึ่งก็คือโรคเบาหวานความดันเ
00:20:51 → 00:20:54 แหละค่ะก็เป็นความเสี่ยงที่สำคัญอที่จะทำ
00:20:54 → 00:20:56 ให้เกิดโรคไตเวลาเราเจอคนเบาหวานคนเป็น
00:20:56 → 00:21:00 ความดันอายุเยอะนะคะก็จะทำให้เจอโรคไได้
00:21:00 → 00:21:04 แต่ถามว่าเจอในเด็กๆยหรือว่าเจอในวัยรุ่น
00:21:04 → 00:21:07 มก็มีค่ะค่ะแต่ก็จะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน
00:21:08 → 00:21:12 ไปนะคะออืก็คือเราเตือนเตอนนี้เาอาจจะว่า
00:21:12 → 00:21:16 เอวัยวะเอ่อเครื่องกรองน้ำของเขาตายยังดี
00:21:16 → 00:21:19 อยู่ก็กินของเขไป
00:21:19 → 00:21:25 อย่างอะไรก็ว่าไปใช่ค่ะค่ะคือแต่ว่าด้วย
00:21:25 → 00:21:28 เรื่องของอาหารการกินณณปัจจุบันเนี่ยผมผม
00:21:28 → 00:21:32 รู้สึกว่ามันจะหนักไปทางรสชาติเค็มแล้ว
00:21:32 → 00:21:36 มันก็จะมีส่วนผสมผงปรุงรสอะไรเนี่ยเยอะ
00:21:36 → 00:21:39 แยะมากมายจริงๆอะไรอย่างเงี้ยมันก็เลยก็
00:21:39 → 00:21:42 เลยอยากจะถามว่าแนวโน้มในในปัจจุบันแล้ว
00:21:42 → 00:21:45 ก็รวมไปถึงอนาคตข้างหน้าโรคไตเนี่ยมันมี
00:21:45 → 00:21:49 โอกาสที่จะเกิดขึ้นในในคนที่แบบว่าเด็กลง
00:21:49 → 00:21:53 เด็กลงมครับคุณหมอครับอืค่ะเ่อหมอว่ามัน
00:21:53 → 00:21:55 ขึ้นเป็นเต้องเรียกว่ามันเป็นพฤติกรรมการ
00:21:56 → 00:21:58 กินหรือว่าเป็นพฤติกรรมทางสุขภาพนะคะไม่
00:21:58 → 00:22:02 ว่าจะเค็มไม่ว่าจะหวานอันนี้จริงๆแล้ว
00:22:02 → 00:22:04 จริงๆทุกวันนี้มันมีความหวานเข้ามาเกี่ยว
00:22:04 → 00:22:07 ข้องเยอะเลยนะคะนเพราะว่าใช่เพราะว่าจริง
00:22:07 → 00:22:10 ๆแล้วเนี่ยลองสังเกตดูว่าตอนเนี้เรากิน
00:22:10 → 00:22:15 กาแฟพูดง่ายๆกาแฟเย็นอืชาเย็นพวกเนี้ยค่ะ
00:22:15 → 00:22:17 บางทีหรือชาไข่มุกอย่างเงี้ยค่ะมันจะเป็น
00:22:18 → 00:22:21 ความหวานซึ่งโดดเด่นมากแล้วเราก็จะกินกัน
00:22:21 → 00:22:23 เยอะเป็นอย่างแแล้วมันด้วยใช่มั้ยคะคุณ
00:22:23 → 00:22:26 หมอหวานมันด้วยใช่ค่ะใช่ค่ะหวานมันเค็ม
00:22:27 → 00:22:29 เพราะฉะนั้นมันต้องด้วยกันเพราะฉะนั้น
00:22:29 → 00:22:31 เวลาจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมสุขภาพแบบเยค่ะ
00:22:31 → 00:22:33 มันก็จะต้องไปด้วยกันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น
00:22:33 → 00:22:37 รสเค็มนะคะรสหวานแล้วก็ลดมันมันต้องไป
00:22:37 → 00:22:41 ด้วยกันค่ะอืลดลงไปก็ต้องลดลงไปเเออรส
00:22:42 → 00:22:44 ชาติก็คืออย่าอร่อยให้มันคืออาทิตย์นึง
00:22:44 → 00:22:48 ซักปล่อยตัวปล่อยใจไปสักวัน 2 วันนะคะ
00:22:48 → 00:22:52 แล้วก็มาทานให้ลิ้นมันถ้าลิ้นลิ้นคนเรา
00:22:52 → 00:22:54 เนี่ยเคยคุยเหมือนกันนะคะว่าถ้าเราเอ่อทำ
00:22:54 → 00:22:57 อาหารทานเองเราทำให้มันเค็มน้อยเราจะติด
00:22:57 → 00:22:59 แล้วใช่มั้ยใ่เออมันจะมีการลิ้นลิ้นของ
00:22:59 → 00:23:02 เรามันจะปรับเองได้ใช่มั้ครับใช่ค่ะถูก
00:23:02 → 00:23:04 ต้องค่ะเพราะว่าบางคนเนี่ยจากที่ไม่ค่อย
00:23:04 → 00:23:08 ได้ทานอาหารที่มีรสชาติเค็มพอพอปรับลิ้น
00:23:08 → 00:23:10 ได้พอไปทานเค็มปุ๊บจะรู้สึกว่าผิดปกติทัน
00:23:10 → 00:23:15 ทีออือเหมือนคนเหมือนคนกินกาแฟแล้วไม่
00:23:15 → 00:23:18 เติมน้ำตาลอ่ะค่ะแรกๆจะแปลกมากเลยค่ะใช
00:23:18 → 00:23:21 แต่พอสักพักนึงพอกลับมากินกาแฟที่เติมน้ำ
00:23:21 → 00:23:24 ตาลปึ๊บเนี่ยมันก็จะรู้สึกว่าเป็นกาแฟที่
00:23:24 → 00:23:27 แปลกเหมือนกันใช่อีกอย่างแต่ว่าแต่ว่ามัน
00:23:27 → 00:23:29 ต้องฝึกนะคะเพราะว่าเดี๋ยวก็ชินค่ะเดี๋ยว
00:23:29 → 00:23:33 ก็ชินใช่ฝุดก็คือเราเราต้องมีเป้าหมายของ
00:23:33 → 00:23:35 เราด้วยเนาะอย่างบางคนเค้าก็ไม่ยอมเค้าก็
00:23:35 → 00:23:38 บอกว่าหวานมันบางคนหวานเกินปกติอย่างที่
00:23:38 → 00:23:42 เอ่อปริมาณที่เคาน์เตอร์ก็จะบอกว่าเอา
00:23:42 → 00:23:45 หวานเท่าไหร่บางคน 100 เอปกติเอาเกินนะ
00:23:45 → 00:23:48 เอาหวานมันนะเห็นบ่อยเหมือนกันนะคะพอๆกับ
00:23:48 → 00:23:50 คนที่บอกว่าเอาหวาน 50 หรือหวาน 25
00:23:50 → 00:23:53 เปอร์เซคนเอาหวานเกินก็มีนะคะคุณหมอถูก
00:23:53 → 00:23:57 ต้องค่ะเคยเจอเหมือนกันแล้วก็ออก็ก็ก็ก็
00:23:57 → 00:24:00 มันก็คงจะเป็นความชอบส่วนตัวนะคะถ้าถ้าอ
00:24:00 → 00:24:03 ค่ะก็คงจะต้องระวังค่ะเพราะว่าบางทีพวก
00:24:03 → 00:24:07 นี้มันมันมันมันชินน่ะค่ะเราดดื่มทุกวัน
00:24:07 → 00:24:11 กินทุกวันมันก็เกิดความชินค่ะอืก็ถ้าถ้า
00:24:11 → 00:24:14 แบบเค้าเรียกว่าตัดไฟแต่แต่เนิ่นๆน่ะเนาะ
00:24:14 → 00:24:18 พยายามลดลงไปก็จะช่วยยืดอายุของอวัยวะภาย
00:24:18 → 00:24:22 ในของเราไตใช่ค่ะพูดถึงเรื่องของไม่เป็น
00:24:22 → 00:24:24 เบาหวานด้วยใช่ครับพูดถึงเรื่องของการ
00:24:24 → 00:24:28 ปรับสภาพการรับรถ
00:24:28 → 00:24:33 ถ้าคนที่กินรสชาติจัดกินรสแบบว่าที่จะ
00:24:33 → 00:24:36 ต้องปรุงเพิ่มเนี่ยนะฮะมาตลอดทั้งชีวิต
00:24:36 → 00:24:39 ไอ้การที่จะต้องปรับสภาพลิ้นของตัวเอง
00:24:39 → 00:24:43 เนี่ยมันจะต้องใช้ระยะเวลากันนานขนาดไหน
00:24:43 → 00:24:46 กว่าที่ลิ้นของเราเนี่ยมันจะปรับปรับการ
00:24:46 → 00:24:49 รับรถที่แบบว่าโอโหไม่ต้องกินจัดขนาดนั้น
00:24:49 → 00:24:52 ได้แล้ว่ะฮะคุณหมอฮะค่ะหมอว่าเรื่องการ
00:24:52 → 00:24:54 ปรับของลิ้นเี่มันคงไม่ไม่ได้เป็นประเด็น
00:24:54 → 00:24:56 แต่หมอคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความชินของคน
00:24:56 → 00:24:59 มากกว่าว่า
00:24:59 → 00:25:03 อาตเร็วช้าแค่มากนะคะเพราะว่าเราคงจะไม่
00:25:03 → 00:25:07 ได้ไปแบบปรับสัมผัสของลิ้นได้ง่ายๆแต่ว่า
00:25:07 → 00:25:10 ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพอใจแค่ตรงไหนแล้วเรา
00:25:10 → 00:25:14 พอใจเมื่อไหร่ประมาณนั้นมากกว่านะคะอืคนเ
00:25:14 → 00:25:17 อาจจะแป๊บเดียวเพอใจแล้วใช่เพราะเพราะถ้า
00:25:17 → 00:25:20 รักสุขภาพมันคงมันคงปรับได้ไม่ยากนะคะแต่
00:25:20 → 00:25:23 ว่าถ้าเกิดยังฝืนความชอบของตัวเองมันก็
00:25:23 → 00:25:28 อาจจะไม่ง่ายนักนะคะอืสุดเอคุณหมอ 3 น้ำ
00:25:28 → 00:25:32 เนี่ยยังไม่สุดท้าย 3 น้ำเนี่ยน้ำซุปน้ำ
00:25:32 → 00:25:36 สมุนไพรน้ำหวานเนี่ยอะไรที่น่าจะรุนแรง
00:25:36 → 00:25:39 เป็นอันดับต้นๆแล้วก็ควรลดไปในเบื้อง
00:25:39 → 00:25:44 เบื้องต้นก่อนเลยค่ะอืมหมอว่ามันตอบยากนะ
00:25:44 → 00:25:47 จริงๆพวกนี้มันมันก็ไม่ได้เป็นพิษทั้งหมด
00:25:47 → 00:25:49 หมายถึงว่าเรากินเรากินได้แต่ว่ามันก็
00:25:49 → 00:25:52 ขึ้นอยู่กับปริมาณแต่หมอว่าเรื่องความ
00:25:52 → 00:25:55 หวานกับความเค็มเนี่ยมันก็ต้องไปมันต้อง
00:25:55 → 00:25:58 ไปด้วยกันแล้วล่ะเพราะว่าหวานเนี่ยเวลา
00:25:58 → 00:26:01 เรากินดื่มน้ำหวานเนี่ยเราจะรู้สึกสดชื่น
00:26:01 → 00:26:05 มากกว่าน้ำธรรมดาอันนี้คนก็คนก็จะชินแบบ
00:26:05 → 00:26:08 นั้นแต่ว่าความเค็มเนี่ยเวลาเราบางทีเรา
00:26:08 → 00:26:10 ไม่ได้เป็นโรคความดันเราก็รู้สึกว่าเรา
00:26:10 → 00:26:13 ยังกินได้อ่ะเนาะเพราะฉะนั้นมันก็แล้วแต่
00:26:13 → 00:26:16 มุมมองของแต่ละคนในเรื่องของการดูแล
00:26:16 → 00:26:19 สุขภาพแต่ว่าของหวานเนี่ยจริงๆตอนนี้มัน
00:26:19 → 00:26:23 หาง่ายใกล้มันใกล้มากกว่ามันใกล้ตัวมาก
00:26:23 → 00:26:26 เราเราชินกับเครื่องดื่มที่มีรสหวานตลอด
00:26:26 → 00:26:29 เวลาเพราะว่าบางทีเราเวลาเราไปร้านอาหาร
00:26:29 → 00:26:32 เราก็มักจะไม่ได้สั่งน้ำเปล่าอะไรอย่าง
00:26:32 → 00:26:34 เงี้ยค่ะบางทีเราก็เริ่มจากดื่มน้ำหวาน
00:26:34 → 00:26:37 ก่อนอะไรเงี้ยค่ะประมาณนั้นค่ะสั่งน้ำ
00:26:37 → 00:26:40 เปล่านี่ถูกมองว่าราคาก็เท่าๆกันเอาน้ำ
00:26:40 → 00:26:43 หวานเรเออใช่คุ้มค่ากว่าใช่เพราะเดี๋ยว
00:26:43 → 00:26:45 นี้ถ้าไปตเศรษฐกิจเข้ามาแล้วถ้าไปตามร้าน
00:26:46 → 00:26:49 อาหารที่แบบว่าดูดีๆหน่อยน้ำปล่าขวน 30
00:26:49 → 00:26:51 40 อะไรอย่างเงี้ยมันเท่ากับน้ำอัดลม
00:26:51 → 00:26:53 หรือว่าน้ำหวานอะไรเงี้ยหรือว่าอาจจะ
00:26:53 → 00:26:57 เพิ่มอีกสัก 10 บาท 20 บาทเออเอออะไร
00:26:57 → 00:26:58 ประมาณ
00:26:58 → 00:27:00 ทีนี้พอพูดถึงเรื่องของน้ำน้ำดื่มน้ำ
00:27:00 → 00:27:03 เปล่าครับคุณหมอครับเรื่องของน้ำประปา
00:27:03 → 00:27:07 เนี่ยถ้าเอาไปต้มเนี่ยอืเอ่อมันพอจะปลอด
00:27:07 → 00:27:10 ภัยกับกับไตของเราได้ได้มากน้อยขนาดไหน
00:27:10 → 00:27:14 ครับคุณหมอครับค่ะเอ่อหมอก็ต้องบอกว่า
00:27:14 → 00:27:17 จริงๆแล้วกระบวนการผลิตน้ำโดยทั่วไปตาม
00:27:17 → 00:27:21 มาตรฐานเนี่ยมันก็มันก็มีความสะอาดใน
00:27:22 → 00:27:24 ระดับนึงนะคะแต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับแหล่ง
00:27:24 → 00:27:28 ที่อยู่ด้วยจะว่าไปอ่ะนะคะว่าไอ้แหล่งที่
00:27:28 → 00:27:32 อยู่หรือว่าการผลิตน้ำสาธารประโภคในส่วน
00:27:32 → 00:27:34 นั้นๆเนี่ยเป็นยังไงปกติโดยทั่วไปเนี่ย
00:27:34 → 00:27:38 น้ำประปาเนี่ยมันก็จะมีพื้นที่ที่เราแจ้ง
00:27:38 → 00:27:41 เราว่าเยดื่มได้ดื่มไม่ได้ถูกมั้ยคะในบาง
00:27:41 → 00:27:43 ประเทศเวลาเราไปเนี่ยมันก็จะดื่มได้เลย
00:27:43 → 00:27:46 แต่ว่าถ้าไม่มั่นใจการต้มเนี่ยเป็นการทำ
00:27:46 → 00:27:49 ให้น้ำสะอาดไม่มีเชื้อโรคอันเนี้ยค่ะอัน
00:27:49 → 00:27:53 นี้หมอก็คิดว่ามันก็คงจะแล้วแต่เอ่อในแต่
00:27:53 → 00:27:57 ละพื้นที่นะคะซึ่งจริงๆต้มไม่ต้มมันคือ
00:27:57 → 00:28:00 ความสะอาดค่ะมันไม่ได้มันไม่ได้เป็น
00:28:00 → 00:28:03 ประเด็นว่ามันจะมีผลอะไรแต่ว่ามันคือความ
00:28:03 → 00:28:08 สะอาดลดเชื้อโรคมากกว่าค่ะอืก็ก็ยังพอได้
00:28:08 → 00:28:10 อยู่แต่ว่าจริงๆก็คือควรจะต้องแบบว่าไป
00:28:10 → 00:28:13 น้ำที่แบบไว้ดื่มจริงๆเลยดีกว่านะฮะคุณ
00:28:13 → 00:28:17 หมอฮะอืค่ะโออย่างงั้นน่าจะดีกว่านะครับ
00:28:17 → 00:28:20 คุณหมอครับพอดีว่ามีคำถามจากคุณผู้ฟังทาง
00:28:20 → 00:28:22 บ้านเนี่ยถามมาโอ้โหอันนี้ผมก็เพิ่งจะเคย
00:28:22 → 00:28:25 ได้ยินเหมือนกันเรื่องของอาการ Sou
00:28:25 → 00:28:26 loading
00:28:26 → 00:28:29 Syndrome ค้างของน้ำและเกลือนในผู้ป่วย
00:28:29 → 00:28:32 เนี่ยมันเกิดจากการบริโภคอาหารรสจัดใช่
00:28:32 → 00:28:38 มั้ยครับยังไงนะคะเซประการเซ loading S
00:28:38 → 00:28:41 ความเค็มมันข้างข้างค้างอยงี้เหรอคะเออ
00:28:41 → 00:28:43 ใช่ในผู้ป่วยอะไรอย่างเงี้ยเบอกว่าเกิด
00:28:43 → 00:28:46 จากการบริโภคอาหารรสจัดหรือเปล่าอาการซอ
00:28:46 → 00:28:49 ซอที่แปลว่าเกลือฮะซอลดิ Syndrome ฮะด้วย
00:28:49 → 00:28:52 คุณหมอไม่แน่ใจนะแต่ว่าจะหยถึงว่าถ้าถ้า
00:28:53 → 00:28:56 เรากินเกลือเยอะๆครับแล้วยังไงนะคะแล้วจะ
00:28:56 → 00:29:00 ถามว่ามันมีเซโหลดอใช่ๆๆๆมันมันมันเกิด
00:29:00 → 00:29:02 จากการบริโภคอาหารรสจัดใช่มั้ยครับที่มัน
00:29:02 → 00:29:05 ข้างๆอคือหมอก็ต้องบอกว่าคำว่าอาหารรสจัด
00:29:05 → 00:29:09 เนี่ยหมอเชื่อว่ามันเค็มอืเพราะว่ารสจัด
00:29:09 → 00:29:11 นี่มันจะทำให้เรามันมีรสชาติแล้วมันจะรู้
00:29:11 → 00:29:14 สึกอร่อยจะสังเกตว่าอาหารที่มีรสัดมันจะ
00:29:14 → 00:29:16 เป็นอาหารที่อร่อยถูกปากถูกมั้ยคะเพราะ
00:29:16 → 00:29:20 ฉะนั้นพวกนี้จะบวกไปด้วยความเค็มค่ะเวลา
00:29:20 → 00:29:22 เวลาเค็มมากๆพวกนี้ก็จริงๆก็มีผลต่อ
00:29:22 → 00:29:25 สุขภาพแต่ก็ถามว่าเโหลดอันนั้นก็คือการ
00:29:26 → 00:29:29 ที่เรากินเค็มเยอะๆก็ไปมากกว่าครับแล้ว
00:29:29 → 00:29:32 มันจะนำสู่มาจากอาหารรสจัดนำสู่โรคได้วย
00:29:32 → 00:29:34 ใช่มั้ยคะอย่างเงี้ยใช่ค่ะคือมันมีผลกับ
00:29:34 → 00:29:39 ความดันอืนะคะมันมีผลกับความดันลองลองมัน
00:29:39 → 00:29:42 มันก็จะจริงๆก็ก็จะมีคนที่กินพวกเนี้ย
00:29:42 → 00:29:45 เค็มมากๆเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะมีแนวโน้มว่าจะ
00:29:45 → 00:29:48 มีโอกาสที่จะมีความดันโลหิตสูงหรือว่าคน
00:29:48 → 00:29:51 ที่เป็นความดันอยู่แล้วเวลาเรากินเค็ม
00:29:51 → 00:29:53 เยอะๆเนี่ยมันก็จะทำให้ความดันเราเนี่ย
00:29:53 → 00:29:56 ควบคุมไม่ได้อืนะคะหมายถึงว่ากินแม้
00:29:56 → 00:29:59 กระทั่งเป็นความดันแล้วนะกินยาลดความดัน
00:29:59 → 00:30:03 แล้วนะครับแต่พอไปมีพฤติกรรมการกินเค็ม
00:30:03 → 00:30:05 เนี่ยยาอะไรก็จะเอาไม่อยู่หล่ะค่ะความดัน
00:30:05 → 00:30:09 มันก็จะเค็มไม่ได้ประมาณนั้นเนาะใช่อย่าง
00:30:09 → 00:30:11 ส้มตำนะคุณหมอที่เป็นอาหารยังไงก็ต้อง
00:30:11 → 00:30:14 เค็มโออาหารที่เราทุกคนจะแบบอื้อหือปลา
00:30:14 → 00:30:17 กินส้มตำกินก็คือเค็มแม้เราจะไม่ทานน้ำ
00:30:18 → 00:30:20 น้ำส้มตำใช่ใช่มั้ยคะเราก็ได้ความเค็ม
00:30:20 → 00:30:24 เข้าไปค่ะอย่าบ่อยเนาะค่ะเพราะว่าจริงๆ
00:30:24 → 00:30:26 จริงๆมันเป็นอาหารที่เราเจอได้ทั่วไปนะคะ
00:30:26 → 00:30:28 แล้วก็นอกจากความเค็มเดี๋ยวนี้มันก็จะมี
00:30:28 → 00:30:31 ความหวานของส้มตำด้วยนะอเอาเข้าจริงเนี่ย
00:30:31 → 00:30:35 มันก็ถามว่าบางคนก็คิดว่าเป็นอาหารที่
00:30:35 → 00:30:37 แคลอรี่น้อยสำหรับรดน้ำหนักแต่จริงๆแล้ว
00:30:37 → 00:30:40 เนี่ยมันเป็นเป็นเป็นความเค็มกับความหวาน
00:30:40 → 00:30:42 ที่ซ่อนอยู่ที่เราไม่ไม่อาจจะไม่ได้นึก
00:30:42 → 00:30:46 ถึงค่ะโอ้โหคืออาหารพื้นบ้านถ้าได้มี
00:30:46 → 00:30:49 โอกาสดูตอนที่เาตำที่เคทำเนี่ยนะฮะใส่ทุก
00:30:49 → 00:30:52 อย่างเลยนะโอโหบีบน้ำปลาเลยวูบอะไรอย่า
00:30:52 → 00:30:54 เงี้ยตัดน้ำตาลปี๊บอะไรอย่างเงี้ยโเออน้ำ
00:30:54 → 00:30:57 ตาลปี๊บอย่างคุณหมอบอกมีความหวานที่แบบทำ
00:30:57 → 00:30:59 ให้เราหลอกหลอกเราว่าอื้อหือไม่ได้เค็ม
00:30:59 → 00:31:03 มากนะมันมาตัดทำให้หวานๆอยู่อย่าเงี้ยอื
00:31:03 → 00:31:05 แบแอบแอบซ่อนอยู่ด้านในนะครับคุณหมอถ้า
00:31:06 → 00:31:08 ถ้าพูดถึงเรื่องของสามน้ำที่คุณหมอได้
00:31:08 → 00:31:11 กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นนะฮะอถ้าให้เลือกรถ
00:31:11 → 00:31:15 อย่างแรกเลยสักน้ำนึงก่อนเนี่ยคุณหมอจะ
00:31:15 → 00:31:19 แนะนำน้ำอะไรที่แบบว่าเบาได้เบาลดได้ลด
00:31:19 → 00:31:23 ก่อนนะลูกนะหวานมันน้ำหวานค่ะน้ำหวานมัน
00:31:23 → 00:31:26 อยู่คู่เรานำหวานนี่นะคะมันใกล้มากเลยมัน
00:31:26 → 00:31:29 ใกล้เรามากเลยค่ะอืก็คิดว่ามื้อนึงอย่า
00:31:29 → 00:31:33 อย่าหวานอค่ะน้ำสมุนไพรที่ที่พูดถึงกันมา
00:31:33 → 00:31:36 มันก็ยังมีความหวานอยู่ดีอ่ะค่ะคะใช่แต่
00:31:36 → 00:31:37 เราจะไม่ค่อยได้ทานน้ำสมุนไพรกันเป็น
00:31:37 → 00:31:41 ประจำใช่ค่ะใช่ค่ะเอาง่ายๆเลยพูดกันตรงๆ
00:31:41 → 00:31:43 เลยน้ำอัดลมใช่มั้ยคะคุณหมอน้ำหวานเนี่ย
00:31:43 → 00:31:47 น้ำอัดลมกาแฟเย็นทาเย็นคะที่เราเจอกัน
00:31:47 → 00:31:51 บ่อยๆค่ะน้ำเอ๊ะแม้ว่านน้ำอัดลมที่ว่ามัน
00:31:51 → 00:31:56 จะเป็นสูตรน้ำตาล 0% ก็ตามล่ะครับหม
00:31:56 → 00:31:58 สวามมันก็ไม่ดีใช่มั้ยก็ไม่ดีเหรอฮะคุณ
00:31:59 → 00:32:02 หมอฮะจริงๆอันเนี้ยก็พอทดแทนความหวานได้
00:32:02 → 00:32:06 นะคะสำหรับคนที่เป็นเบาหวานแล้วก็อยากจะ
00:32:06 → 00:32:09 ดื่มของหวานให้มันสดชื่นบ้างอะไรแบบเนี้ย
00:32:09 → 00:32:12 ค่ะแต่ว่าก็อาจจะเป็นเรื่องของการที่ถ้า
00:32:12 → 00:32:15 ถามว่าเ้าทันได้มั้ยก็ต้องบอกตอบว่าทัน
00:32:15 → 00:32:17 ได้แต่ต้องไม่เยอะเกินไปนะคะเพราะมันก็จะ
00:32:18 → 00:32:21 นำมาสู่เรื่องของการกินดื่มน้ำอารมณ์ที่
00:32:21 → 00:32:25 มีแก๊สเยอะนะคะแล้วก็มันก็จะทำให้มีท้อง
00:32:25 → 00:32:28 อืดเฟ้อได้อะไรแบบเนี้ยค่ะแล้วก็อาจจะทำ
00:32:28 → 00:32:31 รู้สึกให้รู้สึกว่าไม่สบายแต่ว่าแต่ว่า
00:32:31 → 00:32:33 จริงๆแล้วก็พอทานได้นะคะสำหรับคนที่เป็น
00:32:33 → 00:32:36 เบาหวาดแล้วก็อยากจะหาอะไรให้มีความสด
00:32:36 → 00:32:41 ชื่นได้บ้างนะคะอืกินพวกนี้ก็กินเยอะก็มี
00:32:41 → 00:32:44 เสี่ยงกระเพาะทะลุอีกเออมันมีแก๊สมันมีเอ
00:32:44 → 00:32:47 นเป็นพวกโดงโซดาอะไรอย่างงี้ด้วยนะฮะคุณ
00:32:47 → 00:32:50 หมอครับผมเออน่ากังวลน่ากลลดลงไปลดได้ลด
00:32:50 → 00:32:53 เลยนะคะในมื้อนึงเอ้ยในวันนึงเนี่ยให้
00:32:53 → 00:32:56 มื้อนึงทานเอ่อมีรสชาติหน่อยนึงส่วนอีก 2
00:32:56 → 00:32:59 มื้อขอเป็นน้ำเปล่านะคะใช่ค่ะคงต้องค่อยๆ
00:32:59 → 00:33:05 ลดลงค่ะอืืมีคำถามจากทางบ้านฝากถามมาอีก
00:33:05 → 00:33:08 หนึ่งคำถามเหมือนกันครับคุณหมอครับแล้ว
00:33:08 → 00:33:12 ประเภทพวกน้ำสลัดพวกนี้เนี่ยเราๆเราควรจะ
00:33:12 → 00:33:14 ต้องกินได้มากน้อยขนาดไหนเพราะว่าน้ำสลัด
00:33:15 → 00:33:20 บางประเภทเนี่ยมันก็อาจจะแอบมีความเค็ม
00:33:20 → 00:33:23 ซ่อนอยู่เ็มเปรี้ยวหวานด้วยหวานอะไรอย่าง
00:33:23 → 00:33:25 เงี้ยคุณหมอครับแม้แต่น้ำเต้าเอ่อน้ำใส
00:33:25 → 00:33:28 อ่ะเนาะสลัดน้ำใส
00:33:28 → 00:33:32 แต่ว่าก็แมขาดน้ำสลัดไม่ได้ค่ะมันจริงๆ
00:33:32 → 00:33:34 มันบอกค่อนข้างยากนะเพราะว่าส่วนประกอบ
00:33:34 → 00:33:36 ของน้ำสลัดแต่ละน้ำแต่ละชนิดเนี่ยมันไม่
00:33:36 → 00:33:40 เหมือนกันเลยคก็คงต้องขึ้นอยู่กับความพึง
00:33:40 → 00:33:43 พอใจของรสชาติบางบางบางน้ำสลัดก็จะเค็ม
00:33:43 → 00:33:45 ครับใช่นะคะแล้วหรือบางน้ำสลัดก็จะหวาน
00:33:45 → 00:33:48 ซึ่งจริงๆแล้วเบสมันเนี่ยพวกนี้จริงๆมัน
00:33:48 → 00:33:50 คือน้ำมันนะคะเพราะฉะนั้นจริงๆแล้วบาง
00:33:50 → 00:33:53 ครั้งเราก็ใช่ค่ะบางทีเราคิดว่าเราอาจจะ
00:33:53 → 00:33:53 อยาก
00:33:54 → 00:33:56 อ่าดูแลสุขภาพแล้วทานน้ำสลัดพวกเนี้ยค่ะ
00:33:56 → 00:33:59 ค่ะมันมันต้องระวังนิดนึงว่าใส่ในปริมาณ
00:33:59 → 00:34:02 ที่พอเหมาะใส่เพื่อให้มีรสชาติค่ะต้องลด
00:34:02 → 00:34:06 ปริมาณลงคือใส่ได้แต่ว่าพวกน้ำสลัดพวก
00:34:06 → 00:34:09 เนี้ยต้องลดปริมาณการใช้ลงนะคะเพราะว่า
00:34:09 → 00:34:12 ไม่งั้นมันก็จะมีความเค็มกับความหวานตาม
00:34:12 → 00:34:16 มาเหมือนกันค่ะเช่นกันอืเนี่ยมีคุณผู้ฟัง
00:34:16 → 00:34:19 บอกว่าคือจริงๆเี่เป็นคนที่ติดรถจัดมาก
00:34:19 → 00:34:22 เพราะว่ามันเป็นรถอร่อยคุณหมอครับคันนี้
00:34:23 → 00:34:26 ก็เป็นครอบคลุมหมดเลยนะเพราะอร่อยอืค่ะ
00:34:27 → 00:34:30 ค่อยๆปรับค่ะต้องค่อยๆลดลงนะคะต้องค่อยๆ
00:34:30 → 00:34:34 เติมน้อยลงพูดง่ายๆจากที่เคยเติมน้ำปลาก็
00:34:34 → 00:34:37 ไม่เติมเค้าปรุงมาไงก็ปรุงอย่างงั้นเพราะ
00:34:37 → 00:34:39 อย่างที่ที่ที่หมอบอกไปว่าสมัยก่อนเนี่ย
00:34:39 → 00:34:41 หมอว่าหมอเติมน้ำปลาบ่อยเพราะว่าสมัยก่อน
00:34:41 → 00:34:44 น้ำซุปมันค่อนข้างที่จะจืดใช่มั้คะใช่
00:34:44 → 00:34:47 สมัยก่อนหมอว่าหมอยกหัวน้ำปลาแต่ว่าพอ
00:34:47 → 00:34:49 ปัจจุบันเนี้ยพอเรามีการประชาสัมพันธ์มาก
00:34:49 → 00:34:53 ขึ้นเราเรียนรู้มากขึ้นการใช้น้ำปลามันลด
00:34:53 → 00:34:58 ลงแต่มันถูกปรุงมาแล้วอือืผเก็ปรับตัวคือ
00:34:58 → 00:35:01 เปรุงมาแล้วมันก็มันก็อย่างว่าค่ะมันก็
00:35:01 → 00:35:04 เลยว่าเออการที่เราไม่ยกขน้ำปลามาไม่ได้
00:35:04 → 00:35:07 แปลว่ามันไม่เค็มนะแต่ว่ามันแปลว่ามัน
00:35:07 → 00:35:09 ปรุงมาแล้วนะคะเพราะฉะนั้นอย่างน้ำตาลที่
00:35:09 → 00:35:13 เคยใส่ในก๋วยเตี๋ยวก็ลดปริมาณลงค่ะแล้วก็
00:35:13 → 00:35:15 มันก็จะคงจะลดลงไปได้เรื่อยๆแต่ถ้าเราไม่
00:35:16 → 00:35:19 เริ่มเราก็จะกินเหมือนเดิมถูกมยคะเราก็
00:35:19 → 00:35:22 ต้องพยายามปรับตัวถ้าไม่เริ่มเราก็จะ
00:35:22 → 00:35:25 เหมือนเดิมใช่ใช่ค่ะตอนนี้ปีใหม่แล้วด้วย
00:35:25 → 00:35:27 เรามาถือหลัก
00:35:27 → 00:35:29 อย่างที่วันนั้นที่เราคุยกันว่าปีใหม่
00:35:29 → 00:35:31 เป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆอย่างนะคะแล้วก็
00:35:31 → 00:35:33 เริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้เรามาดูว่าลิ้นเรา
00:35:33 → 00:35:37 อ่ะเออมันจะยอมทานอ่อนๆลงได้ไหถ้าใจเรา
00:35:37 → 00:35:41 ตั้งมั่นเนใครที่รู้ว่าเออตอนนี้เริ่มจะ
00:35:41 → 00:35:44 หวานมากไปแล้วนะติดไปแล้วนะสลัดก็เหมือน
00:35:44 → 00:35:47 กันอย่างที่ดรีมบอกใช่ชันสุขภาพชันสาย
00:35:47 → 00:35:49 คลีนแต่โอ้โหจิ้มน้ำเป็นถ้วยเลยนี่ก็ไม่
00:35:49 → 00:35:52 ได้นะใช่ไอ้พวกมายองน้งมายองเนสอีกอะไร
00:35:52 → 00:35:54 เงี้ยโอ้โหมันทั้งมันทั้งน้ำมันอะไรเอพูด
00:35:54 → 00:35:57 ถึงจิ้มกับเทสมัยก่อนเทตอนนี้เก็ใช้จิ้ม
00:35:57 → 00:36:00 มันจะลดปริมาณลงไปได้ด้วยนะพอพอพอจะได้
00:36:00 → 00:36:02 อยู่ใช่มั้ยครับคุณหมอครับพอจะได้อยู่
00:36:02 → 00:36:05 เนาะคุณคุณหมอครับช่วงท้ายแล้วครับผมอยาก
00:36:05 → 00:36:09 จะให้คุณหมอฝากอะไรถึงคุณผู้ฟังที่รับฟัง
00:36:09 → 00:36:13 อยู่เรื่องของการดูแลสุขภาพไตของเรานะ
00:36:13 → 00:36:17 ครับให้แข็งแรงในช่วงปีใหม่นี้คุณผู้ฟัง
00:36:17 → 00:36:20 ถามมาใช่มั้ยคะเออบำรุงไตออืใช่นิดนึง
00:36:20 → 00:36:24 ครับโอเคค่ะเอ่อเอ่อสิ่งที่หมออยากจะบอก
00:36:24 → 00:36:27 ก็คือว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้มียา
00:36:27 → 00:36:31 หรือว่าอาหารที่พิเศษสำหรับการบำรุงไตเลย
00:36:31 → 00:36:34 นะคะต้องบอกอย่างงั้นว่าเราไม่ได้มียา
00:36:34 → 00:36:37 หรือว่ามีอะไรที่มีสรรพคุณที่บำรุงไต
00:36:37 → 00:36:40 อาหารที่ดีที่สุดสำหรับไตคือน้ำเปล่าครับ
00:36:40 → 00:36:43 อันนี้ยืนยันนะคะว่าน้ำเปล่าคือสิ่งที่ดี
00:36:43 → 00:36:45 ที่สุดสำหรับไตเพราะฉะนั้นถ้าอยากสุขภาพ
00:36:46 → 00:36:49 ไตดีน้ำเปล่าก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
00:36:50 → 00:36:53 นะคะในปริมาณที่ประมาณ 2 ลิตรต่อวันนะคะ
00:36:53 → 00:36:56 พยายามดื่มน้ำให้สม่ำเสมอนะคะแล้วแล้วก็
00:36:56 → 00:37:00 รสหวานมันเค็มครับอันนี้แหละค่ะเท่านั้น
00:37:00 → 00:37:03 ละค่ะรับรองว่าไม่มีเป็นไม่ไม่มีใครเป็น
00:37:04 → 00:37:07 โรคไปแน่แน่โอหนะคะอืค่ะฟังแล้วก็แบบว่า
00:37:07 → 00:37:10 เนาะทำได้ให้ทำกันนะคะน้ำดีน้ำที่ดีที่
00:37:10 → 00:37:13 สุดคือน้ำเปล่าใช่แล้วก็คือให้ได้เนี่ย
00:37:13 → 00:37:15 อย่างที่คุณหมอบอกคือ 2 ลิตรขั้นต่ำเลย
00:37:15 → 00:37:17 คืออย่างน้อยต้องต้องมีสัก 2 ลิตรใช่มั้ย
00:37:17 → 00:37:20 ครับคุณหมอครับคคือคือ 2 ลิตรเนี่ยในคน
00:37:20 → 00:37:23 ทั่วไปนะคะแต่ว่าคนที่เป็นโรคอันนี้ต้อง
00:37:23 → 00:37:26 ปรึกษาแพทย์ครับคนที่มีโรคดั้งเดิมไม่ว่า
00:37:26 → 00:37:30 เป็นโรคไตโรคหัวใจนะคะหรือว่ามีโรคอื่นๆ
00:37:30 → 00:37:33 อาจจะต้องลองถามคุณหมอดูว่าดื่มน้ำได้มาก
00:37:33 → 00:37:36 น้อยแค่ไหนนะคะเพราะบางบางโรคเนี่ยมัน
00:37:36 → 00:37:39 จำเป็นต้องมีความจำเป็นต้องจำกัดน้ำร่วม
00:37:39 → 00:37:43 กับความเค็มด้วยอย่างจริงจัง
00:37:43 → 00:37:47 อ๋อครับผมครับผมได้เลยครับได้เลยครับได้
00:37:47 → 00:37:49 เลยครับคุณหมอครับเอ้ยคุณหมอเดี๋ยวขอแถม
00:37:49 → 00:37:51 อีกนึงคำถามมีคุณผู้ฟังอยากรู้เหมือนกัน
00:37:51 → 00:37:54 เพราะว่าวันนี้ฟังเรื่องไตแล้วรู้สึกว่า
00:37:54 → 00:37:56 แหมห่วงสุขภาพไตเหลือเกินทำเยอะนะทำเยอะ
00:37:56 → 00:38:01 ใช่พอจะมีพอจะมีสารอาหารอะไรที่มันช่วย
00:38:01 → 00:38:04 บำรุงไตเออนอกจากเรื่องของการที่จะเอจะไป
00:38:04 → 00:38:09 รสเค็มรสหวานแล้วมยครับคุณหมอครับอ้ออีก
00:38:09 → 00:38:11 อย่างนึงค่ะหมอก็ต้องบอกว่ามันมันจริงๆ
00:38:11 → 00:38:14 มันไม่มีหรอกค่ะว่ากินกินอันเนี้ยแล้วไม่
00:38:14 → 00:38:17 เป็นโรคไตมันไม่มีนะคะแต่อีกสิ่งนึงที่
00:38:17 → 00:38:20 ต้องระวังคือการใช้ยาที่ไม่ทราบสรรพคุณ
00:38:20 → 00:38:24 เอออันนี้สำคัญอือันนี้สำคัญมากเพราะว่า
00:38:24 → 00:38:27 มันไม่ได้มันมันตายเรามันโดยธรรมชาติมัน
00:38:27 → 00:38:30 ทำงานได้แต่ถ้ามีอะไรที่ทำให้ตทำงานมาก
00:38:30 → 00:38:33 เกินแล้วทำงานผิดปกติไปออันนี้คืออาจจะทำ
00:38:33 → 00:38:37 ให้ไวายถับพลันแล้วก็ไตวายต้องจนต้องล้าง
00:38:37 → 00:38:40 ตหรือว่าฟอกไไปเลยนะคะอันนี้ก็ต้องก็ต้อง
00:38:41 → 00:38:43 อ่าก็ต้องระวังถ้าถามว่าอาหารอะไรที่กิน
00:38:43 → 00:38:46 แล้วตายดีหมอว่ามันมันตอบไม่ได้แบบนั้นนะ
00:38:46 → 00:38:48 คะเพราะมันจริงๆมันคงไม่มีหรอกเพราะว่า
00:38:48 → 00:38:52 อาหารก็ทั่วๆไปเพียงแต่ว่าอะไรที่มากเกิน
00:38:52 → 00:38:56 ไปมันก็ไม่ดีมันก็ต้องอยู่ในทางแบบกลางๆ
00:38:56 → 00:38:59 ค่ะไม่เค็มไม่หวานนะคะแล้วก็ดื่มน้ำแล้ว
00:38:59 → 00:39:02 ก็หลีกเลี่ยงยาที่ไม่ทราบสรรพคุณนะคะยา
00:39:03 → 00:39:06 บำรุงไตไม่มีแน่ๆค่ะอไม่มีค่ะอือันนี้คือ
00:39:07 → 00:39:09 สิ่งที่คุณหมออยากจะฝากกันไว้นะครับให้
00:39:09 → 00:39:12 กับแฟนๆรายการสุขภาพดี 22:00 นนะครับหัน
00:39:12 → 00:39:17 มาดูแลสุขภาพไตของเราใช่ตั้งแต่วันนี้นะ
00:39:17 → 00:39:20 ครับเพื่อสุขภาพไตที่ดีของเราในอนาคตข้าง
00:39:20 → 00:39:22 หน้าวันนี้ต้องกราบขอบพระคุณคุณหมอมากๆนะ
00:39:22 → 00:39:25 ครับที่มาให้ความรู้กับเราในค่ำคืนวดีค่ะ
00:39:25 → 00:39:29 ยินดีค่ะสสวัดี