00:00:00 → 00:00:02 คุณหมอต้องถามก่อนเลยครับว่าณปัจจุบัน
00:00:02 → 00:00:06 เนี่ยศาให้ความหวานที่เอ่อมาทดแทนตัวน้ำ
00:00:06 → 00:00:09 ตาลเนี่ยที่โอ้โหตอนนี้หลายหน่วยงานหรือ
00:00:09 → 00:00:12 ว่าทุกๆคนเขาก็ตระหนักกันได้แล้วว่ามัน
00:00:12 → 00:00:15 มันมีผลเสียต่อร่างกายของเราจริงๆมันมัน
00:00:15 → 00:00:19 มีกันกี่ชนิดมีกี่แบบ่ะครับคุณหมอครับอ่ะ
00:00:19 → 00:00:21 เราต้องบอกกันก่อนครับว่าสารให้ความหวาน
00:00:21 → 00:00:24 เนี่ยมันก็จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 กลุ่ม
00:00:24 → 00:00:26 ใหญ่ๆเลยก็คือ 1 ก็คือกลุ่มที่ให้พลังงาน
00:00:26 → 00:00:29 กับกลุ่มที่ไม่ให้พลังงานเนาะกลุ่มที่ให้
00:00:29 → 00:00:31 พลังงานเนี่ยก็จะแบบก็จะก็จะแบบเป็นอีก 2
00:00:31 → 00:00:34 อย่างก็คืออ่าให้พลังงานปกติเลยก็อย่าง
00:00:34 → 00:00:38 เช่นพวกน้ำตาลอะไรแบบเนี้ยก็คือน้ำตาลน้ำ
00:00:38 → 00:00:42 ตาลทรายน้ำตาลผลไม้น้ำตาลในนมพวกเนี้ย
00:00:42 → 00:00:45 ครับอีกกลุ่มนึงสำหรับกลุ่มที่ให้พลังงาน
00:00:45 → 00:00:47 เนี่ยก็จะเป็นกลุ่มที่เป็นเาเรียกว่าน้ำ
00:00:47 → 00:00:49 ตาลแอลกอฮอล์หรือเป็นแอลกอฮอล์ของน้ำตาล
00:00:49 → 00:00:52 กับพวกซ beal อะไรพวกเนี้ยครับที่มันจะ
00:00:52 → 00:00:54 อยู่ในที่เราจะชอบได้ยินอยู่ในพวกหัก
00:00:54 → 00:00:58 ฝรั่งหรืออยู่ในยาสีฟันอันนี้ก็คือจะให้
00:00:58 → 00:01:01 พลังงานบ้างแต่ให้ค่อนข้างน้อยอัตราการ
00:01:01 → 00:01:03 ดูดซึมต่ำอะไรแบบเยครับแล้วก็จะเป็นอีก
00:01:03 → 00:01:06 กลุ่มนึงเลยคือกลุ่มที่ไม่ให้พลังงานก็จะ
00:01:06 → 00:01:09 แบ่งได้เป็น 2 อย่างก็คือกลุ่มที่เป็นอ่า
00:01:09 → 00:01:11 สารที่สังเคราะห์ขึ้นนะครับอย่างเช่น
00:01:11 → 00:01:15 แอสปาแตมซูคพวกเนี้ยครับอ่าก็จะมีเป็น
00:01:15 → 00:01:18 หลายๆแบรนด์อีกแบบนึงก็คือเป็นสารให้ความ
00:01:18 → 00:01:20 หวานในกลุ่มที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ
00:01:20 → 00:01:23 อย่างเช่นหญ้าหวานน้ำตาลหล่อ้างกล้วยครับ
00:01:23 → 00:01:27 ผมอืมันก็จะแบ่งได้เป็น 4 แบบประมาณเย
00:01:27 → 00:01:29 ครับครับคุณหมอเดี๋ยวมาเริ่มกันที่กลุ่ม
00:01:29 → 00:01:31 แรกก่อนแล้วกันที่มันให้พลังงานฮะคุณหมอ
00:01:31 → 00:01:36 ครับคือมักจะเอาไปใช้ในอาหารประเภทไหน
00:01:37 → 00:01:40 เครื่องดื่มชนิดใดอะไรเงี้ยคุณหมอครับที่
00:01:40 → 00:01:43 เรามักจะเจอกันในในในปัจจุบันอะไรเงี้ยฮะ
00:01:43 → 00:01:46 คุณหมออ่ะอย่างแรกกลูโคสลุกโตสอะไรพวก
00:01:46 → 00:01:49 เนี้ยมันคือออสิ่งที่เราเจอในอาหารปกติ
00:01:49 → 00:01:53 อยู่ล่ะครับเช่นกลูโคสก็จะเป็นองค์ประกอบ
00:01:53 → 00:01:55 หลักก็คือแป้งย่อยออกมาแล้วก็ได้น้ำตาล
00:01:55 → 00:01:58 ได้ซูโคสซูโคสก็ไปแตกตัวเป็นกเป็นเป็น
00:01:58 → 00:02:01 กลูโคสอะไรแบบเยครับหรือว่าจะเป็นอ่าน้ำ
00:02:01 → 00:02:05 ตาลในนมถ้าเราไปดูฉลากในในในนมจริงๆเนี่ย
00:02:05 → 00:02:08 ถึงแม้ว่าเขาจะเขียนว่า No Sugar แอก็
00:02:08 → 00:02:11 คือถ้าเกิดเราพลิกไปดูเนี่ยก็จะยังเห็น
00:02:11 → 00:02:12 ว่ามันมีน้ำตาลอยู่เพราะมันเป็นน้ำตาล
00:02:13 → 00:02:16 ปกติที่เจอได้ในนมครับผมพวกนั้นเรามันก็
00:02:16 → 00:02:18 จะเป็นปกติของมันอยู่แล้วอันนี้ก็คือ
00:02:18 → 00:02:21 กลุ่มแรกครับผมคือเราไม่สามารถหลีกเล่ง
00:02:21 → 00:02:24 การกินพวกนี้ออกไปได้มันจะอยู่ในอาหารที่
00:02:24 → 00:02:27 เรากินครับอันนี้คือกลุ่มที่ 1 แต่พอเ
00:02:27 → 00:02:30 เป็นกลุ่มที่ 2 เนี่ยก็คือเป็นกลุ่มน้ำ
00:02:30 → 00:02:32 ตาลแอลกอฮอลแต่ไม่ได้หมายความว่าจะกิน
00:02:32 → 00:02:34 แล้วเมานะครับก็คือเป็นสารสกัดกลุ่มนึง
00:02:34 → 00:02:37 ของแอลกของน้ำตาลเนี่ยแหละครับพวกนั้น
00:02:37 → 00:02:39 เนี่ยก็จะ orbital อะไรพวกเยครับก็จะอยู่
00:02:39 → 00:02:43 ในพวกหมักฝรั่งหรือว่าจะอยู่ในพวกยาสีฟัน
00:02:43 → 00:02:47 เป็นหลักอนะครับคือพวกนี้เนี่ยสามารถทาน
00:02:47 → 00:02:50 ได้อัตราการดุดซึมต่ำมากนะครับแต่ยังคง
00:02:50 → 00:02:53 ให้พลังงานอยู่บางส่วนครับเพราะฉะนั้น
00:02:53 → 00:02:55 แล้วเนี่ยมันก็จะเป็นกลุ่มเนี่ยกลุ่มแรก
00:02:55 → 00:02:57 ก็คือกลุ่มที่ให้พลังงานอยู่บ้างค่ะอีก
00:02:57 → 00:03:01 กลุ่มนึงก็จะเป็นกลุ่มที่อ่าไม่ให้พลัง
00:03:01 → 00:03:06 งานอก็จะเป็นกลุ่มที่อ่าให้อ่อมนุษย์สกัด
00:03:06 → 00:03:08 ขึ้นเป็นสเป็นสารสังเคราะ์พวกนี้โดยส่วน
00:03:08 → 00:03:11 ใหญ่ที่เราจะเจอก็อย่างเช่นถ้าเกิดเราเคย
00:03:11 → 00:03:13 เห็นก็จะเป็นพกน้ำตาลซองอ่าไม่ใช่น้ำตาล
00:03:13 → 00:03:17 สารให้ความหวานซองๆที่ใชผสมจากกาแฟได้อื
00:03:17 → 00:03:20 อ่าหรือว่าจะเป็นพวกที่อ่าสมัยก่อนเราก็
00:03:20 → 00:03:23 จะเป็นขันทศกรถ้ายุคโบราณหน่อยก็จะแบบอ
00:03:23 → 00:03:27 รู้จักขันทศกรที่เขาเอาไปทำผลไม้เชื่อม
00:03:27 → 00:03:30 เงี้ยครับหรืออ่าอันนี้
00:03:30 → 00:03:33 พิธีกรก็น่าจะเคยเคยได้ยินมาอยู่ใช่มั้ย
00:03:33 → 00:03:37 ครับลหรือว่าจะเป็นในกลุ่มของพวกที่อ่า
00:03:37 → 00:03:40 อีกกลุ่มนึงอ่าพวกเนี้ยในกลุ่มแรกเนี่ย
00:03:40 → 00:03:42 เราก็จะเจอในพวกที่มันเป็นเครื่องดื่ม
00:03:42 → 00:03:45 เป็นเป็นน้ำอัดลมพวกตระกูลของที่ไม่ที่
00:03:45 → 00:03:49 ไม่พลังงานเลยอืครับอีกกลุ่มนึงสุดท้ายก็
00:03:49 → 00:03:54 จะเป็นกลุ่มที่ของธรรมชาติละพวกหญ้าหวาน
00:03:54 → 00:03:57 กับพวกที่เป็นน้ำตาลหล่อท้างกล้วยแต่พวก
00:03:57 → 00:04:00 เนี้ยมันจะมีกลิ่นเฉพาะของมันกับรถชาติ
00:04:00 → 00:04:03 ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมันก็เลยอย่างบาง
00:04:03 → 00:04:06 คนจะทานค่อนข้างยากก็เลยจะไม่ค่อยได้รับ
00:04:06 → 00:04:08 ความนิยมเอาไปทำผลิตภัณฑ์ที่เป็น
00:04:08 → 00:04:12 ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูกครับอือืโอหหญ้าหวาน
00:04:12 → 00:04:16 กับหล่อห้างกล้วยมีรสชาติเฉพาะเนี่ยมัน
00:04:16 → 00:04:18 มันมีกลิ่นหรือว่ายังไงคะคุณหมอที่คนตัว
00:04:18 → 00:04:21 หล่อ้างกล้วยมันจะมีกลิ่นครับที่สมมุติ
00:04:21 → 00:04:24 ว่าถ้าเราจะใช้ทดแทนน้ำตาลเลยจริงๆเนี่ย
00:04:25 → 00:04:27 มันจะมีกลิ่นถ้าเกิดเคยดื่มน้ำหล่อั้ง
00:04:27 → 00:04:28 กล้วยเนี่ยมันจะเป็นกลิ่นแบบนั้นละครับ
00:04:28 → 00:04:33 แต่กลิ่นมันจะจกางกว่าแต่ชอบนะคะส่วนใช่
00:04:33 → 00:04:36 ส่วนตัวหมอหมอหมอก็ชอบเหมือนกันแต่อย่าง
00:04:36 → 00:04:39 บางทีเราเอาไปใส่พวกเบเกอรี่เนี่ยครับมัน
00:04:39 → 00:04:42 จะมันจะไม่เข้ากันอ๋ออืมันจะมีกลิ่นเฉพาะ
00:04:42 → 00:04:45 ตัวใช่มั้ใช่มันจะมีกลิ่นเฉพาะแล้วก็ถ้า
00:04:45 → 00:04:48 เกิดเป็นพวกหญ้าหวานเนี่ยครับถ้าเราเอาไป
00:04:48 → 00:04:51 ผสมกับเครื่องดื่มเนี่ยหญ้าหวานเนี่ยจริง
00:04:51 → 00:04:53 ๆแล้วมันจะให้ความถ้าเกิดเคยลองทำลองทา
00:04:54 → 00:04:56 เลยจะรู้สึกว่ามันเลี่ยนเหรอฮะมันเลี่ยน
00:04:56 → 00:05:00 อยู่ในปากเพราะมันจะออๆมันมีความเนของมัน
00:05:00 → 00:05:03 นะครับที่ที่ที่ที่ที่อ่าเค้าเรียกว่า
00:05:03 → 00:05:06 อะไรที่อย่างบางคนจะไม่ค่อยชื่นชอบเลึก
00:05:06 → 00:05:09 ออกนึกออกนึกออกค่ะใช่แต่ถ้าเกิดเป็นใน
00:05:09 → 00:05:11 กลุ่มที่เป็นมนุษย์สังเคราะห์ขึ้นเนี่ย
00:05:11 → 00:05:14 มันก็จะมีรสในอีกแบบนึงนะครับถ้าเกิดเรา
00:05:14 → 00:05:17 เคยกินพวกผลไม้ที่ดองขัดทศกรสมัยเด็กเรา
00:05:17 → 00:05:20 จะรู้สึกเลยว่ามันหวานแหลมๆอ่ะครับมันจะ
00:05:20 → 00:05:23 ไม่ใช่หวานแบบผลไม้ปกติหวานออกมาออกออกมา
00:05:23 → 00:05:28 เวลาเราอืมแจ๊บๆเกินน้ำลายอืใช่ๆๆๆเพราะ
00:05:28 → 00:05:32 ฉะนั้นแล้วเนี่ยแต่ในกลุ่มข้างบนในกลุ่ม
00:05:32 → 00:05:35 ที่ที่เป็นพวกสาสังเคราะห์เนี่ยอคนส่วน
00:05:35 → 00:05:37 ใหญ่จะรับได้มากกว่าหมายถึงว่ารับกับรส
00:05:37 → 00:05:42 ชาติได้มากกว่าอืครับอืขันทศกรจะรับได้
00:05:42 → 00:05:45 มากกว่าจะสดูแบบไม่ใช่ขันทศกรว่าเป็นแบบ
00:05:45 → 00:05:48 หมายถึงว่าในกลุ่มที่เป็นอ่าที่มนุษย์
00:05:48 → 00:05:51 สังเคราะห์ขึ้นนะครับคนเราจะรู้สึกกับรด
00:05:51 → 00:05:54 สัมผัสเนี้ยได้ง่ายกว่าเพราะมันจะมีความ
00:05:54 → 00:05:56 หวานมันจะรู้สึกว่าเอ๊ะทำไมร้านนี้มัน
00:05:56 → 00:06:00 หวานแปลกๆอแต่ถ้าเกิดในพวกหญ้าหวานหรือใน
00:06:00 → 00:06:05 พวกเอ่อนั้ทรุดไอ้ไอ้หล่อท้างกล้วยเนี่ย
00:06:05 → 00:06:08 ครับเขาก็จะพูดเลยว่าแบบมันมีกลิ่นปลาอ๋อ
00:06:08 → 00:06:12 เครับออือันนี้ก็คือเป็นเป็นสิ่งที่
00:06:12 → 00:06:14 มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นใช่มั้ยคุณหมอครับ
00:06:14 → 00:06:18 ใช่่ใช่ครับใช่ครับพวพวกนี้เนี่ยมีผลยัง
00:06:18 → 00:06:21 ไงต่อร่างกายมั้ยคะถ้าเราก็เรารู้แล้ว่ะ
00:06:21 → 00:06:24 ว่าน้ำตาลเนี่ยมันให้พลังงานมันจะไปทำให้
00:06:24 → 00:06:29 เราก่อเรื่องของเบาหวานเรื่องของเอ่อคำ
00:06:29 → 00:06:31 ความดันไขมันอะไรอย่างเงี้ยค่ะถ้าเราจะ
00:06:31 → 00:06:35 กินแต่สารทดแทนความหวานไปเรื่อยๆเลือกแบบ
00:06:35 → 00:06:38 นั้นได้มั้ยคะออืก็คือเราต้องพูดก่อนว่า
00:06:38 → 00:06:42 ในปัจจุบันเนี่ยถ้าเกิดในพูดในแง่ของของ
00:06:42 → 00:06:45 ของของเบาหวานก่อนเนาะเราก็ต้องหะว่าใน
00:06:45 → 00:06:48 ความเป็นจริงแล้วอ่ะครับสาทดแทนความหวาน
00:06:48 → 00:06:50 แทนน้ำตาลเนี่ยมันไม่ได้ทำให้ระดับน้ำตาล
00:06:50 → 00:06:54 ในกระแสเลือดมันเพิ่มขึ้นอืเพราะมันมัน
00:06:54 → 00:06:57 ไม่ใช่น้ำตาลเนาะแล้วมันก็ไม่ได้ให้ให้
00:06:57 → 00:07:01 พลังงานเพียงแต่ว่าคนที่ผ่านนะครับจะมี
00:07:01 → 00:07:04 ความรู้สึกว่าก็ยังติดหวานอยู่วันนึงถ้า
00:07:04 → 00:07:07 เา้าจะจะไม่กินตัวเนี้ยเค้าก็ต้องหันกลับ
00:07:07 → 00:07:10 ไปกินของหหวานอยู่ดีอ้าเหรอคะเพราะฉะนั้น
00:07:10 → 00:07:12 แล้วโดยหลักการเราต้องปรับพฤโดยหลักการ
00:07:12 → 00:07:14 ของการรักษาเบาหวานเราต้องปรับพฤติกรรม
00:07:14 → 00:07:18 เนาะอครับก็คือให้ลดให้ลดการทานหวานแต่
00:07:18 → 00:07:22 ถ้าแบบมันไม่ได้อ่ะมันมันจะมีคนที่ไม่ได้
00:07:22 → 00:07:26 อยู่อ่ะไม่ได้ต้องกินน่ะฉันฉันฉันจะกินก็
00:07:26 → 00:07:28 มากินตัวนี้ก็จะสามารถคลุมน้ำตาลได้ดี
00:07:29 → 00:07:34 กว่าคนที่กินกินน้ำตาลปกติอือ่าคำถามคือ
00:07:34 → 00:07:36 แล้วความดันไขมันพวกเนี้ยโดยส่วนใหญ่งาน
00:07:36 → 00:07:39 วิจัยจะไม่ค่อยเน้นก็คือมักจะไม่ค่อย
00:07:39 → 00:07:41 เกี่ยวครับ
00:07:41 → 00:07:45 อือีกโรคโลกอีก 2 โรคอ่ออีกอันนึงที่เขา
00:07:45 → 00:07:49 จะกลัวกันก็คือเอ่อการใส่อาหารใส่การใส่
00:07:49 → 00:07:51 ของวนี้ลงไปเนี่ยจะกระตุ้นความอยากอาหาร
00:07:51 → 00:07:53 ของผู้ป่วยหรือเปล่าแล้วผู้ป่วยจะกิน
00:07:53 → 00:07:57 อาหารเยอะมากขึ้นยในงานวิจัยก็ออกมาบอก
00:07:57 → 00:07:59 ว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคความอยาก
00:07:59 → 00:08:03 อาหารของมนุษย์อืครับเพราะฉะนั้นแล้ว
00:08:03 → 00:08:05 เนี่ยถ้าเกิดในแง่ของโรคเบาหวานอะไรแบบ
00:08:05 → 00:08:11 เนี้ยค่อนข้างปลอดภัยในๆๆในในในเอ่อในการ
00:08:11 → 00:08:14 ใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลครับผมอ๋อ
00:08:14 → 00:08:16 ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยใช่มั้ยเพราะว่า
00:08:16 → 00:08:20 ก่อนหน้านี้เนี่ยเรามักจะได้ยินข่าวคราว
00:08:20 → 00:08:23 นะข้อมูลจากส่งผลไม่ดีเนาะเรื่องเออหน่วย
00:08:23 → 00:08:25 งานที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพเนี่ยเบอกโ
00:08:25 → 00:08:28 หมันอันตรายมากอย่าไปกินเป็นอันขาดอะไร
00:08:28 → 00:08:31 อย่างเงี้ยฮะคุณหมอครับเราเราคงไม่ได้พูด
00:08:31 → 00:08:34 ว่าอันตรายมากหรืออยากไปกินตัวเด็ดค่ะคือ
00:08:34 → 00:08:37 คืออย่างสมัยก่อนเนี่ยเราก็จะสอนกันมาว่า
00:08:37 → 00:08:40 ขันทกรเนี่ยทำให้เป็นมะเร็งครับใชเฉพาะ
00:08:40 → 00:08:44 ปัสสาวะอ่าเคยเคยได้ยินเนาะใช่นิ่วอะไร
00:08:44 → 00:08:47 แบบเนี้ยครับแต่ลคงต้องบอกว่าพวกนั้นน่ะ
00:08:47 → 00:08:50 มันมีงานวิจัยจริงครับผมเพียงแต่ว่างาน
00:08:50 → 00:08:52 วิจัยโดยส่วนใหญ่อ่ะครับมันเป็นงานวิจัย
00:08:52 → 00:08:56 ที่ทำในหนูนแต่ใช้ปริมาณที่เป็นพิษของ
00:08:56 → 00:08:58 มนุษย์ให้ลงไป
00:08:58 → 00:09:03 อือเราไม่สามารจะพิงปริมาณขนาดนั้นได้
00:09:03 → 00:09:07 อยู่แล้วหรืออย่างแบบเอ่ออยของสหรัฐ
00:09:07 → 00:09:11 อเมริกา usfda เนี่ยครับเขาก็ยังคงให้ใช้
00:09:11 → 00:09:14 ผลิตภัณฑ์เหล่าเนี้ยในการผสมอาหารที่ขาย
00:09:14 → 00:09:18 ในอเมริกาได้อยู่หรืออย่างอย่างแสปมเนี่ย
00:09:18 → 00:09:22 ครับที่เราจะเิบ่อยๆก็คือแสปมเนาะแ
00:09:22 → 00:09:25 แอสปาแตมเนี่ยที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่ม
00:09:25 → 00:09:30 เอ่อน้ำอัดลมเนี่ยถ้าจะกินให้ให้เกิดเ
00:09:30 → 00:09:32 เรียกว่าทิโดส่ะครับโดสที่เป็นผิดปริมาณ
00:09:32 → 00:09:36 ที่เป็นผิดต้องกินละประมาณ 45 กองค่ะครับ
00:09:37 → 00:09:40 ซึ่งึ่งึเราก็ต้ององก่อนว่าเราไม่สะคือ
00:09:40 → 00:09:43 ไอ้พวกเนี้ยคือดีที่สุดคือการที่
00:09:43 → 00:09:48 กินแต่ถ้าเกิดจะกินมันไม่ได้เกิดผลอะไร
00:09:48 → 00:09:52 อย่างที่ที่ที่ที่เขาพูดกันมามันต้องกิน
00:09:52 → 00:09:55 เยอะมากเยอะมากๆซึ่งเรากินแบบนั้นไม่ได้
00:09:55 → 00:09:58 อยู่แล้วครับคุณหมอครับเดี๋ยวๆสักครู่นะ
00:09:58 → 00:10:00 พอดีว่ามันมันน่าจะมีปัญหาเรื่องคุณหอใช้
00:10:00 → 00:10:04 สปอร์นหรืออะไรรึเปล่าคะอออกแป๊บนึงนะค่ะ
00:10:04 → 00:10:06 ได้ครับเดี๋ยวๆฮัลโหลมันมันเสียงมันแบบ
00:10:07 → 00:10:09 ว่าซะออันอันนี้ชขึ้นแล้วครับคุณนน่าจะ
00:10:09 → 00:10:13 เป็นที่เอ่อระหว่างเส้นทางเสียงสเกอร์โฟน
00:10:13 → 00:10:16 ผมเองออโเถ้างั้นรบกวนรบกวนคุณหมอขอ
00:10:16 → 00:10:19 อนุญาตย้อนกลับไปตอนแรกนิดนึงได้มั้ยครับ
00:10:19 → 00:10:22 คุณหมอครับที่เรื่องของความอันตรายของของ
00:10:22 → 00:10:25 เจ้าาทดแทนความหวานพอดีว่าเมื่อกี้ช่วง
00:10:25 → 00:10:28 ที่คุณหมอพูดมันสัญญามันไม่ค่อยชัดเจน
00:10:28 → 00:10:29 เท่าไหรอันนี้ชัดแล้วค่ะอันนี้ชัดแล้ว
00:10:29 → 00:10:32 ครับคุณหมอครับคือคือคือเวลาเรากลัว
00:10:32 → 00:10:36 เรื่องพวกเนี้ยครับเราจะมีในในสาให้สาให้
00:10:36 → 00:10:39 ความหวานเนี่ยเราจะกลัวกัน 3 อย่างหลักๆอ
00:10:39 → 00:10:41 1 ก็คือกินแล้วเป็นมะเร็งมั้ยใช่เป็น
00:10:41 → 00:10:43 นิ่้วมั้ย 2 กินแล้วเป็นเบาหวาดหรือเปล่า
00:10:43 → 00:10:47 อื 3 ก็คือตอนนี้กำลังเป็นกระแสที่นิยม
00:10:47 → 00:10:50 เลยก็คือทำให้แบคทีเรียชนิดดีในในลำไส้
00:10:50 → 00:10:53 เนี่ยมันหายไปอืครับอ่าเรื่องนิ่วกับ
00:10:53 → 00:10:56 มะเร็งเนี่ยมันจะมาใกล้ๆกันั้นเดี๋ยวเรา
00:10:56 → 00:10:59 จะพูดให้ฟังก็คือเรื่องเบาหวานก่อนก็อย่า
00:10:59 → 00:11:01 ที่ผมบอกไปคือดีสุดคือไม่กินอ่าเพราะสุด
00:11:01 → 00:11:04 ท้ายแล้วคนกินหวานก็คือคนที่ยังติดหวาน
00:11:04 → 00:11:07 อยู่นึกออกมั้ยครับคือถ้าเรายังคงกินของ
00:11:07 → 00:11:10 ที่รสหวานเราก็จะอยากกินหวานไปเรื่อยๆอ่ะ
00:11:10 → 00:11:12 ครับเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยหลักการของการ
00:11:12 → 00:11:16 รักษาเบาหวานคือการปรับพฤติกรรมอือือ่า
00:11:16 → 00:11:20 เพียงแต่ว่าอย่างบางคนมันไม่ได้อ่ะชิต้อง
00:11:20 → 00:11:23 กินน่ะครับต้องกินเพราะฉนั้นแล้วอ่ะมันก็
00:11:23 → 00:11:27 ต้องอ่ะโอเคคุณลองมาปรับเป็นตัวนี้ดูแล้ว
00:11:27 → 00:11:29 ถ้าเกิดโอเคคุณเริ่มกินได้คุณค่อยๆถอยลง
00:11:29 → 00:11:31 ได้มั้ยอะไรแบบเนี้ยเพราะอย่างที่บอกไปสา
00:11:32 → 00:11:34 ให้ความหวานทดแทนน้ำตาลนะคะมันไม่ใช่น้ำ
00:11:34 → 00:11:37 ตาลอัตราการดูดซึมมันก็มันไม่สามารถทำให้
00:11:37 → 00:11:39 ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยมันสูงขึ้นไปได้
00:11:39 → 00:11:42 อืครับเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยแต่โดยหลักการ
00:11:42 → 00:11:46 แล้วเราไม่ได้แนะนำให้ใช้สารทดแทนน้ำตาล
00:11:46 → 00:11:50 เพื่อควบคุมเบาหวานเนาะครับเพราะว่าโดย
00:11:50 → 00:11:53 หลักการแล้วคือคุณต้องปรับพฤติกรรมอ่า
00:11:53 → 00:11:58 ครับแต่ถ้าทำไม่ได้อ่าชดเชยชดเชยให้นิด
00:11:58 → 00:12:02 นึงอืใช่ชดเชยตเนี้ยสักหน่อยนึงน่ะอือๆๆ
00:12:02 → 00:12:04 อ่าประมาณนี้เพราะจริงๆแล้วงานวิจัยหลักๆ
00:12:04 → 00:12:07 คือมันที่ที่มันได้ประโยชน์นะครับที่การ
00:12:07 → 00:12:10 ที่การให้สารทดแทนความหวานได้ได้ประโยชน์
00:12:10 → 00:12:12 คือการเทียบการใช้สารทดแทนความหวานกับการ
00:12:13 → 00:12:16 ใช้น้ำตาลอืครับเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยถ้า
00:12:16 → 00:12:18 เราไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้น้ำตาลเช่น
00:12:18 → 00:12:22 อ้าชันไม่กินหวานก็ได้เงี้ยก็ไม่ต้องใช้
00:12:22 → 00:12:25 ครับอ่าประมาณนี้อันเนี้ยเพราะแค่นั้น
00:12:25 → 00:12:27 แล้วเนี่ยอีกอีกอย่างนึงที่เขาจะกลัวกัน
00:12:27 → 00:12:30 ก็คือความอยากอาหารมันเพิ่มขึ้นมาอืงาน
00:12:30 → 00:12:32 วิจัยก็ออกมาแล้วครับว่าความยากอาหารไม่
00:12:32 → 00:12:36 ได้แตกต่างกันกับกับกับการใส่หรือไม่ใส่อ
00:12:36 → 00:12:40 สารพวกนี้ลงไปอืออคือใช้ได้เพราะฉะนั้น
00:12:40 → 00:12:43 สิ่งที่คุณหมอจะบอกก็คือเอ่าคนที่ถ้าไม่
00:12:44 → 00:12:47 กินได้ก็ดีแต่ถ้าแต่ถ้าจะกินก็ก็กินน่ะ
00:12:47 → 00:12:50 เอาสารนี้เข้าไปครับผมอคุณหมอคนเราเนี่ย
00:12:50 → 00:12:53 คุณหมอมนุษย์มนุษย์เราเนี่ยอืมันไม่
00:12:53 → 00:12:56 จำเป็นต้องกินหวานก็ได้ใช่มั้ยคุณหมอคือ
00:12:56 → 00:13:01 อย่างคุณหมอบอกใช่ใช่ปตัวหมอเองอ่ะไม่กิน
00:13:01 → 00:13:04 เเรียกว่าเบ Sugar ครับคือน้ำตาลแอออคือ
00:13:04 → 00:13:08 เราคือคือเรามีความเชื่อว่าอาหารเนี่ยเขา
00:13:08 → 00:13:12 ใส่มาให้เราแล้วครับอย่างเรียบร้อยเพราะ
00:13:12 → 00:13:16 ฉะนั้นตัวผมเองอ่ะไม่กินชูชชูเทบชูการเลย
00:13:16 → 00:13:22 ออคือไม่ใส่น้ำตากาแฟก็ไม่ใส่อือกาแฟผมจะ
00:13:22 → 00:13:26 กินแค่น้ำเปล่าอ่าเครื่องดื่มนะครับค่ะ
00:13:26 → 00:13:29 นอกเหนือจากน้ำเปล่าเนี่ยผมจะกินแค่กาแฟ
00:13:29 → 00:13:32 ดำคืออเมริกาโนอะไรแบบนี้ใช่มั้ย
00:13:32 → 00:13:34 อเมริกาโน่ที่ไม่ใส่น้ำตาลถ้าเกิดจะเป็น
00:13:34 → 00:13:37 ผลไม้ปั่นก็จะไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มก็คือน้ำ
00:13:37 → 00:13:40 ปลาผลไม้เพราะเราเอาออกมาไม่ได้เนาะผอ่า
00:13:40 → 00:13:42 นะครับประมาณนี้อยู่แค่เนี้ยครับผมคนเรา
00:13:42 → 00:13:45 ไม่ต้องกินหวานก็ได้เพราะว่าแค่ลำพังอยู่
00:13:45 → 00:13:48 แล้วมันมาของมันอยู่แล้วอืในกับข้าวเนี่ย
00:13:48 → 00:13:52 ที่อาจจะไปซื้อไปสั่งที่เขาตามร้านที่เขา
00:13:52 → 00:13:56 สำเร็จรูปมีน้ำตาลแน่นอนอืใช่มันมีน้ำตาล
00:13:56 → 00:13:58 อยู่แล้วไม่งั้นเราคือต่อให้เขาไม่ใส่น้ำ
00:13:58 → 00:14:00 ตาลให้เราเห็นค่ะมันก็จะมีน้ำตาลอยู่ใน
00:14:00 → 00:14:03 พวกเครื่องปรุงอื่นๆเช่น
00:14:03 → 00:14:07 ซีอิ๊วเอ่ออะไรอ่ะซอสถอยนางลมอะไรแบบ
00:14:07 → 00:14:11 เนี้ยอยู่แล้วครับซึ่งเพียงพออยู่แล้วไม่
00:14:11 → 00:14:14 ใช่ซึ่งเพียงพอซึ่งมันเยอะอยู่แล้วครับ
00:14:14 → 00:14:19 ใช่ๆโอ้โหถ้าอย่างงั้นกาแฟเย็นชานมเย็นชา
00:14:19 → 00:14:21 เย็นอย่างงี้ก็คือเติมน้ำตาลเลยเติมนมเลย
00:14:21 → 00:14:26 ใช่มคะคุณหมอคือคือส่วนตัวผมผมผมไม่กิน
00:14:26 → 00:14:29 แล้วแต่ว่าถ้าสำหรับคนไขอ่าผู้ป่วยบางคน
00:14:29 → 00:14:33 ซึ่งมาหากับผมเองเนี่ยเคหยุดไม่ได้สมมุติ
00:14:33 → 00:14:35 นะครับเหยุดไม่ได้ผมก็จะบอกว่าให้ชะลอลง
00:14:35 → 00:14:39 ได้มั้ยกินเป็นแบบน้อยลงไปเรื่อยๆได้หรือ
00:14:39 → 00:14:42 เปล่าหรือสุดท้ายแล้วถ้ามันแบบจุดจะทน
00:14:42 → 00:14:45 จริงๆก็ต้องพูดว่าโอเคอย่างงั้นแแทนี่คุณ
00:14:45 → 00:14:49 จะใส่อันเนี้ยสารให้ความอ่าอันน้ำตาลปกติ
00:14:49 → 00:14:53 หวาน 100% ลงมาเหลือหวาน 50% ก็ไม่ไหวอ่ะ
00:14:53 → 00:14:59 ลองลองลองใช้อ่าสาให้คน้ำตาลดูได้มยอะไร
00:14:59 → 00:15:02 แบบเนี้ยเพื่อให้มันเ้าเรียกว่าอะไรล่ะ
00:15:02 → 00:15:05 ครับคือเราไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมคนผู้
00:15:05 → 00:15:07 ป่วยได้ทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการ
00:15:07 → 00:15:12 กินตัวเนี้ยมันก็จะพอมาช่วยได้บางส่วนอือ
00:15:12 → 00:15:14 ครับเออพอคุณหมอพูดอย่างงี้คือผมก็นึกถึง
00:15:15 → 00:15:16 ตัวผมเองเหมือนกันนะคือเดี๋ยวนี้คือสั่ง
00:15:16 → 00:15:19 อะไรไม่แอดไม่เติมเลยครับเป็นคนไม่เติม
00:15:19 → 00:15:20 อะไรเลยแล้วคือ
00:15:20 → 00:15:24 พอไม่กินเออผมกินกาแฟดำมาเป็นน่าจะหลายปี
00:15:24 → 00:15:27 แล้วแหละดำพอไปกินอะไรที่มันรู้สึกว่ามัน
00:15:27 → 00:15:30 หวานหรือว่ามันอาหารหรือว่าจนครไม่กินไม่
00:15:30 → 00:15:32 กินเหมือนกันครับมันก็จะรู้สึกว่าแปลกๆ
00:15:32 → 00:15:34 เหมือนกันนะคุณหมอลิ้นมันก็จะปรับตัวของ
00:15:34 → 00:15:37 มันเองได้ใช่มั้คุณหมอรหวานไม่ได้เลยทำไม
00:15:37 → 00:15:41 มันหวานจังใช่เออแม่เจะบอกว่าเนี่ยหวาหาน
00:15:41 → 00:15:44 ไปเรื่อยๆอ่ะครับมันจะทำได้เออก็เหมือน
00:15:44 → 00:15:46 กับการกินเค็มหวานกับเค็มคล้ายกันเหมือน
00:15:46 → 00:15:50 กันไม่เติมหัดไปเรื่อยๆอ่ะครับมันจะทำได้
00:15:50 → 00:15:53 แต่ว่ามันเ้าเรียกว่าอะไรมันไม่ใช่คนที่
00:15:53 → 00:15:55 ประสบความสำเร็จทุกคนนึกออกมั้ยครับคนที่
00:15:55 → 00:15:58 ทำแล้วประสบความสำเร็จทั้งหมดเงครับใชโดย
00:15:58 → 00:15:59 เพราะความหวานเนี่ยเป็นอะไรที่มันเป็น
00:15:59 → 00:16:03 เหมือนกับง่ายคามชุ่มชื่นจิใจชุ่มชื่นจิต
00:16:03 → 00:16:05 ใจอย่างที่เราเกิดมันเป็นรสชาติที่ทุกคน
00:16:05 → 00:16:08 น่าจะสัมผัสมันได้ง่ายที่สุดอ่ะใช่เนาะ
00:16:08 → 00:16:11 อร่อยลิ้นคุณหมอมันมันจะมีอีกอีกชนิดนึง
00:16:11 → 00:16:14 คืออ่ะถ้าเราไม่กินน้ำตาลปกติทั่วไปเรา
00:16:14 → 00:16:16 อาจจะใช้สารที่มันมาจากธรรมชาติอย่างเช่น
00:16:16 → 00:16:19 น้ำผึ้งเนี่ยอ่ะผมเห็นหลายคนะเบอกมี
00:16:19 → 00:16:22 ประโยชน์ไม่ใส่น้ำตาลแต่ว่าอย่างกาแฟ
00:16:22 → 00:16:24 เนี่ยเป็นกาแฟน้ำผึ้งแล้วะกันโอ้โหดีต่อ
00:16:24 → 00:16:27 สุขภาพอะไรอย่างเงี้ยสารธรรมชาตนะมันเป็น
00:16:27 → 00:16:29 ยังไงคุณหมอครับน้ำผึ้งเนี่ยฮะ
00:16:29 → 00:16:33 คือเราต้องมองงี้ก่อนครับแอ่าไม่ใช่ทุก
00:16:33 → 00:16:36 อย่างที่เกิดจากธรรมชาติแล้วมันจะ
00:16:36 → 00:16:39 ดียังไยังคำว่าออร์แกนิคเนี่ยครับไอ้คำ
00:16:39 → 00:16:41 ว่าออร์แกนิคไม่ใช่หมายความว่ามันจะดีทุก
00:16:41 → 00:16:45 อย่างถูกมั้ยครับครับถูกมั้ยซึน้ำนี้ก็
00:16:45 → 00:16:47 เกิดจากธรรมชาติก็ไม่เห็นว่ามันจะดีเลยโ
00:16:47 → 00:16:49 เหอโหสำรัก
00:16:49 → 00:16:52 เลยเพราะนั้นแล้วเพราะแค่นั้นแล้วเนี่ย
00:16:52 → 00:16:56 เราอย่าไปหลงกับคำว่าธรรมชาติครับน้ำน้ำ
00:16:56 → 00:16:59 ผึ้งก็คือน้ำตาลนั่นแหละครับครับก็คือใน
00:16:59 → 00:17:03 วิทยศาสตร์ก็คืออะไรคะน้ำตูไม่ต่างกัน
00:17:03 → 00:17:05 ครับผมซูโครสอะไรเหมือนกันน้ำตาทรายเลยนะ
00:17:05 → 00:17:09 ครับน้ำต่าเลยเหรอคะใช่คือมันอาจจะคือมัน
00:17:09 → 00:17:12 อาจจะดีกว่าหน่อยนึงน่ะแต่มันไม่ต่างกัน
00:17:12 → 00:17:14 หรอกครับมันก็คือน้ำตาลนแหละครับน้ำผึ้ง
00:17:14 → 00:17:18 ก็คือน้ำตาลน้ำตาลอ้อยน้ำตาลปึกน้ำตาล
00:17:18 → 00:17:21 อะไรล่ะน้ำตาลตะโนดอะไรแบบเนี้ยครับค่ะ
00:17:22 → 00:17:25 มันก็คือน้ำตาลครับผมเพียงแต่ว่ามันจะมี
00:17:25 → 00:17:28 ความคพกเ้าเรียกว่ามันมันจะมีความซับซ้อน
00:17:28 → 00:17:31 ขององค์ประกอบบางสิ่งบางอย่างอยู่ข้างใน
00:17:31 → 00:17:33 ครับ
00:17:33 → 00:17:39 อ๋ออย่าไปอย่าไปหลงหงคำคำเดีวกันอกับคำ
00:17:39 → 00:17:42 ว่าธรรมชาติเคบอกว่าน้ำผึ้งอ่ะเป็นยาเออ
00:17:42 → 00:17:45 ใช่คุณหมอเอเราผู้สูงอายุนะคะทานน้ำผึ้ง
00:17:46 → 00:17:49 นะเอ่อเป็นช้อนเอ่อน้ำผึ้งมะนาวอะไรงอะไร
00:17:49 → 00:17:52 อย่างเงี้ยใช่ดูดีมากๆเลยคุณแม่นี่ผมนี่
00:17:52 → 00:17:54 ขยั้นคย้ให้ผมกินคือแบบเราเป็นคนไม่กิน
00:17:54 → 00:17:57 หวานบอกนี่้ำผึ้งอ่ะดีนะธรรมชาติดีต่อ
00:17:57 → 00:17:59 สุขภาพกินแล้วอายุยืือะไรอย่างเงี้ยคุณ
00:17:59 → 00:18:01 หมอครับเป็นเกสดอกไม้ช่วยช่วยผมด้วยครับ
00:18:02 → 00:18:05 คุณหมอผมจะได้ไปบอกแม่ครับคุณหมอครับคือ
00:18:05 → 00:18:08 คือคือต้องบอกก่อนว่าผู้ส่งเก็จะเชื่อ
00:18:08 → 00:18:11 อะไรไม่ไม่ไม่ไม่ต้องเป็นห่วงครับพ่อแม่
00:18:11 → 00:18:15 ผมก็เชื่อโอเคผมจะได้สบายใจเราปับคใจ
00:18:15 → 00:18:18 เพราะว่าเราเราก็คือก็อย่างที่ผมบอกบอกไป
00:18:18 → 00:18:21 ครับว่าคือดีสุดก็คือการที่ไม่ใส่อะไรที่
00:18:21 → 00:18:24 เป็นความหวานลงไปเโดยไม่จำเป็นดีกว่าค่ะ
00:18:24 → 00:18:27 เพราะส่วนนึงของความหวานมันก็คือน้ำตาล
00:18:27 → 00:18:31 นั่นแหละครับอือืมันก็คือน้ำตาลดีๆนั่น
00:18:31 → 00:18:33 เองใช่มั้ยคุณหมอเพียงแต่ว่าใช่ครับมันก็
00:18:33 → 00:18:35 น้ำผึ้งเนี่ยก็คือน้ำตาลเนี่ยแหละครับอ่า
00:18:35 → 00:18:39 คิดไว้เลยครับว่าว่าเหมือนกันครับเนาะ
00:18:39 → 00:18:43 แสดงว่ามันก็ก็ลดลลงหน่อยก็ก็ดีนะคะไม่
00:18:43 → 00:18:46 กินได้ก็ก็ก็ไม่เป็นไรเนาะคุณหมอเนถ้าไม่
00:18:46 → 00:18:48 กินก็ไม่เป็นไรเนาะชีวิตของเราถ้าไม่กิน
00:18:48 → 00:18:52 ก็ไม่เป็นไรคือคือคือก็ต้องถามว่าแล้ว
00:18:52 → 00:18:55 แล้วทำไมเราถึงต้องไปขวนขวายในการจะไปกิน
00:18:55 → 00:18:59 มันเอำึเอออืนึกออกมั้ยครับคือถ้าเกิดเรา
00:18:59 → 00:19:02 ต้องไปขวนขวายในการที่จะไปกินมันเพื่อให้
00:19:02 → 00:19:04 มันเป็นยาหรือเป็นอะไรแบบเนี้ยในในศาสตร์
00:19:04 → 00:19:07 ทางการแพทย์ปกติในศาสตรทางการแพทย์แผน
00:19:07 → 00:19:12 ตะวันตกเนาะก็ต้องพูดว่าไม่มียาแบบนั้นอื
00:19:12 → 00:19:14 เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยไม่มีความจำเป็นต้อง
00:19:14 → 00:19:19 ไปขวนขวายในการกินโอโอทีนี้ศาสตตะวันตก
00:19:19 → 00:19:22 บอกไม่มีแต่ศาทางตะวันออกเราบอกว่ามีเออ
00:19:22 → 00:19:24 มันเป็นยาอะไรอย่าเงี้ยคุณสาตสสาตทาง
00:19:25 → 00:19:28 ตะวันออกเนี่ยหมออ่าผมผมผมไม่ผมไม่เคย
00:19:28 → 00:19:31 เรียนเนาะผมไม่รู้เพราะนั้นแล้วเนี่ยผมผม
00:19:31 → 00:19:35 ผมไม่พูดอะไรผมเพแต่ว่าอ่ะถ้าทางศาสตทาง
00:19:35 → 00:19:38 ทางตะวันตกอ่ะครับไม่มีความจำเป็นอือโ
00:19:38 → 00:19:40 เมื่อวิเคราะห์ส่วนประกอบออกมามันก็คือ
00:19:40 → 00:19:44 น้ำตาลนะคะมันก็คือน้ำตาลนั่นแหละครับ
00:19:44 → 00:19:47 โอเคหาน้ำตาลที่มันอาจจะมาในรูปแบบของของ
00:19:47 → 00:19:50 เหลวอีกแบบนึงมากกว่าใช่ใช่อีกรูปแบบ
00:19:50 → 00:19:53 หนึ่งมากกว่าถ้าถ้าเลี่ยงได้ก็ก็ก็จะดี
00:19:53 → 00:19:57 นั่นเองนะครับคุณหมอแล้วอย่างน้ำตาลที่
00:19:57 → 00:19:58 ที่สังเคราะห์อ่ะครับเมื่อกี้เราเราพูด
00:19:59 → 00:20:02 ถึงเรื่องของน้ำตาลที่ทดแทนสารทดแทนโดยๆ
00:20:02 → 00:20:04 โดยโดยธรรมชาติเนาะอะไรอย่าเงี้ยเออน้ำ
00:20:04 → 00:20:08 ตาลสังเคราะห์อะไรอย่างเงี้ยมันมันจะส่ง
00:20:08 → 00:20:12 ผลร้ายในระยะยาวกับร่างกายของเราได้ได้
00:20:12 → 00:20:16 ได้มากน้อยขนาดไหนคุณหมออคือเราเราเรา
00:20:16 → 00:20:19 ต้องบอกก่อนว่างานวิจัยโดยส่วนใหญ่ที่บอก
00:20:19 → 00:20:22 ว่ามันมีผลเสียจากการที่กินน้ำตาลน้น้ำ
00:20:23 → 00:20:25 ตาลสังเคราะห์อ่ะเนาะอ่าสั่งให้ของทน้ำ
00:20:25 → 00:20:28 ตาลเนี่ยอย่างที่ผมบอกไปคือมันใช้ปริมาณ
00:20:28 → 00:20:34 ที่เยอะมากเช่นถ้าเกิดจะกินน้ำอัดลมแบบใน
00:20:34 → 00:20:36 กลุ่มของที่ให้ให้ศาลให้ความอาดทดแทนน้ำ
00:20:36 → 00:20:39 ตาน่ะต้องกินว้ละประมาณ 10-15 กระป๋องต่อ
00:20:39 → 00:20:44 วันุถึงจะถึงอาจจะเกิด
00:20:44 → 00:20:48 ปัญหาเพราะฉะนั้นเนี่ยโดยปกติแล้วอ่ะเรา
00:20:48 → 00:20:52 จะกินแบบนั้นไม่ได้ออเหมือนสมัยก่อนยุค
00:20:52 → 00:20:54 ซักประมาณแบบ 10 กว่า 20 ปีที่แล้วเนี่ย
00:20:54 → 00:20:58 เราอาจจะเคยได้ยินว่าไม่ให้กินกะหล่ำปี
00:20:58 → 00:21:01 ดิบเเป็นไทรอยดจำได้มยครับใช่ครับใช่ๆๆ
00:21:01 → 00:21:04 คุ้นๆมยครับทุกวันนี้ยังมีอยู่เลยคุณหมอ
00:21:04 → 00:21:07 ทุกวันนี้ทุกวันนี้ยังมีอยู่เลยยังกะหล่ำ
00:21:07 → 00:21:10 กะหล่ำปีดิบเลยแต่เราเราต้องไปดูว่าเราจะ
00:21:10 → 00:21:13 กินได้ไหก่อนถ้าเราตั้งใจจะกินกะหล่ำปี
00:21:13 → 00:21:16 ดิบให้มันเป็นไทลอยเนี่ยเราต้องกินลับ
00:21:16 → 00:21:19 ประมาณ 10 กลอ่ะครับติดต่อกันประมาณครึ่ง
00:21:19 → 00:21:23 ปีอ่ะอ๋อในปริมาณขนาดนั้นถึงจะเกิดเพราะ
00:21:23 → 00:21:25 ฉะนั้นแล้วอ่ะเราทำไม่ได้หรอกครับเหมือน
00:21:25 → 00:21:29 กันครับผมการที่เราจะกินสารพวกพวกเนี้ย
00:21:29 → 00:21:31 ให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นเนี่ยเราต้องกินโค้ก
00:21:31 → 00:21:35 วเอ้ยไม่ใช่ก็ขอโทษกินน้ำกินน้ำอัดลม์ที่
00:21:35 → 00:21:38 ที่ผสมสารให้ความหวาสแทนน้ำตาลเนี่ยวันละ
00:21:38 → 00:21:41 ประมาณ 10 กระป๋องไงครับติดต่อกันไปเลย
00:21:41 → 00:21:43 เรื่อยๆเนี่ยไม่รู้นานกี่เดือนเพราะ
00:21:43 → 00:21:45 ฉะนั้นแล้วเนี่ยโดยหลักการทางการแพทย์
00:21:45 → 00:21:48 แล้วอ่ะฮะเราเราก็พว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้
00:21:48 → 00:21:52 อืเข้าใจคือเราไม่สามารถจะกินได้แบบนั้น
00:21:52 → 00:21:57 ครับครับโอก็แสดงว่าฉะนั้นแล้วเนี่ยมันก็
00:21:57 → 00:22:00 เลยถ้าถปลอดก็ต้องปลอดภัยอือยู่ในระดับ
00:22:00 → 00:22:05 นึงแต่ถ้าเกิดไม่กินได้ก็ดีก็จะดีดีอืใช่
00:22:05 → 00:22:07 แต่ว่าคือถ้าใครที่รู้สึกว่าเอ้ออยากจะ
00:22:07 → 00:22:09 ได้ความสดชื่นอะไรอย่างเงี้ยก็เอาเอาไป
00:22:09 → 00:22:12 กินพวกที่มันเป็นซีโร่อะไรอย่างเงี้ยกิน
00:22:12 → 00:22:15 ได้วันละักกระป๋องเลิกกลัวได้นิดๆหน่อยๆ
00:22:15 → 00:22:18 อะไรเงี้ยก็ทดแทนใช่ครับอคือถ้าจะที่ก็จะ
00:22:18 → 00:22:19 สบายใจ
00:22:19 → 00:22:23 ได้การกินน้ำตาลปกติโดยยิ่งในคนไขเบาหวาน
00:22:23 → 00:22:27 ครับอืคือหลายคนเขาก็กลัวไงเพราะว่าก่อน
00:22:27 → 00:22:29 หน้านี้มันมีข้อมูลว่าเดี๋ยวมันจะเป็นสาร
00:22:29 → 00:22:32 เคมีเนี่ยตกค้างในร่างกายของเรานำไปสู่
00:22:32 → 00:22:35 เรื่องของการเป็นโรคมะเร็งเรื่องของอ่ะ
00:22:35 → 00:22:38 เบาหวานทางอ้อมอะไรอย่างเงี้ยก็มีเยอะ
00:22:38 → 00:22:41 อะไรอย่างเงี้ยแต่ถ้าใช่ครับถ้าทำได้ก็
00:22:41 → 00:22:44 คืออย่าไปกินเลยอือใช่เพราะว่าจริงๆแล้ว
00:22:44 → 00:22:46 เนี่ยอย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นว่างาน
00:22:46 → 00:22:49 วิจัยที่บอกว่ามันดีคือการที่เทียบกับว่า
00:22:49 → 00:22:51 การกินสารให้ความอวานทแทนน้ำตาลเทียบกับ
00:22:51 → 00:22:55 การกินน้ำตาลเพิ่มอืเพราะฉะนั้นถ้าเราจะ
00:22:55 → 00:22:56 ไม่กินน้ำตาลเพิ่มอยู่แล้วอ่ะครับก็ไม่
00:22:56 → 00:22:59 ต้องกินสารให้ความทดแทน้ำตาล
00:22:59 → 00:23:02 อืคุณหมอแล้วอย่างจากธรรมชาติเนี่ยอย่าง
00:23:02 → 00:23:04 พวกหญ้าหวานหรือว่าอะไรนะเค้าเรียกว่า
00:23:04 → 00:23:06 สเตเวียใช่มั้ครับคุณหมอครับอ่าสตีเวียอ
00:23:06 → 00:23:10 สตีเวียเนี่ยมันถ้าเทียบกันกับของ
00:23:10 → 00:23:13 สังเคราะห์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเนี่ยมันมัน
00:23:13 → 00:23:15 มีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงอ่ะคุณ
00:23:15 → 00:23:18 หมอเราต้องพูดว่าสตีเวียกับฟรุนะครับอ่า
00:23:18 → 00:23:21 กับหล่อทงน้ำตาลหล่อั้งกล้วยอ่ะครับอ่า
00:23:21 → 00:23:23 มันยังมีมันมีมาตรฐานความเค้าเรียกว่า
00:23:23 → 00:23:26 อะไรมันมีความปลอดภัยที่ค่อนข้างเยอะกว่า
00:23:26 → 00:23:29 ตัวที่ตัวที่เป็นสารสังเคราะห์เป็นสาร
00:23:29 → 00:23:33 เคมีนะครับอย่างซวเองเนี่ยมันก็จะมีเค้า
00:23:34 → 00:23:36 บอกว่ากินเยอะๆอาจจะมีอาการท้องเสียได้
00:23:36 → 00:23:38 หรืออาจจะอึดแน่นท้องได้ซึ่งจริงๆแล้วมัน
00:23:38 → 00:23:41 ก็นิดๆหน่อยๆครับผมส่วนมั้ซุดเนี่ยเรา
00:23:41 → 00:23:44 ต้องพูดว่ามั้งซุดเนี่ยอ่าหลอกทั้งกล้วย
00:23:44 → 00:23:49 นะฮะผมจะชอบเรียกว่าว่ามั้ฟรุสาเอ้ยน้ำ
00:23:49 → 00:23:52 น้ำตาลจากฟรุเนี่ยข้อดีของมันคือเรายัง
00:23:52 → 00:23:55 ไม่พบคนคือณปัจจุบันเนี้ยจนถึงสักประมาณ
00:23:55 → 00:23:59 เดือนที่ผ่านมาที่หมอเอ่ออ่าอ่านรีวิวมา
00:23:59 → 00:24:01 เนี่ยสักประมาณ 1 เดือนเนี้ยยก็ยังคงไม่
00:24:02 → 00:24:05 มีะยังไม่เคยพฟได้ว่าพิสูจน์ได้ว่ามันมี
00:24:05 → 00:24:10 ผลข้างเคียงของการรับประทานอ่าน้ำตาลมั้
00:24:10 → 00:24:13 ฟรุอยู่เลยอคือมันค่อนข้างจะปลอดภัยมาก
00:24:13 → 00:24:17 ข้อดีของมันคือยังไม่ครบข้อเสียอืครับ
00:24:17 → 00:24:20 เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นคือคน
00:24:20 → 00:24:24 บางคนจะอ่าผู้บริโภบางคนจะรู้สึกว่ามันรส
00:24:24 → 00:24:28 ชาติแปลกๆอืมันจะมีกดกลิ่นเฉพาะตัวครับ
00:24:28 → 00:24:29 ครับ
00:24:29 → 00:24:34 อืโอมันมีกลิ่นเฉพาะตัวคือมันเป็นไอ้พวก
00:24:34 → 00:24:36 นี้เี่คือมันมันไอ้อย่างสตีเวียหรือว่า
00:24:36 → 00:24:39 เป็นพวกหล่อห้างกล้วยมันเป็นมันเป็นความ
00:24:39 → 00:24:41 หวานที่มันไม่ให้พลังงานกับร่างกายใช่
00:24:41 → 00:24:42 มั้ยคุณหมอครับถ้าเทียบกับไอ้พวกสัน
00:24:42 → 00:24:46 สังเคราะเหกเลยอคือจริงๆแล้วมันดีมากเลย
00:24:46 → 00:24:48 เพราะว่ามันไม่ให้พลังงานด้วยแล้วก็มัน
00:24:48 → 00:24:51 ยังไม่เคยพิสูจน์ได้ว่ามีผลเสียด้วยแล้ว
00:24:51 → 00:24:54 ก็เพียงแต่ว่าคือก็อย่างที่บอกไปอ่ะครับ
00:24:54 → 00:24:57 คืออาหารนะครับมันเป็นความพึงพอใจมันเป็น
00:24:57 → 00:25:00 คุณภาพชีวิตเนาะอการรับประทัดอาหารที่เรา
00:25:00 → 00:25:02 ชื่นชอบหรือการรับประทัดอาหารที่เรารู้
00:25:02 → 00:25:05 สึกว่าอร่อยเนี่ยมันเป็นคุณภาพชีวิตเพราะ
00:25:05 → 00:25:07 ฉะนั้นแล้วเนี่ยคนบางคนเนี่ยเขาก็จะมีมี
00:25:08 → 00:25:11 ความรู้สึกว่าเรามนุษย์เราต้องเคยมีสัก
00:25:11 → 00:25:13 อารมณ์นึงที่บอกว่ากินอันเนี้ยให้ตายดี
00:25:13 → 00:25:16 กว่าถ้าไม่ได้กินแบบเนี้ยฉันตายดีกว่า
00:25:16 → 00:25:19 เพราะแล้วเนี่ยมันถึงได้มีมีอาหารมีเค้า
00:25:19 → 00:25:21 เรียกองค์ประกอบเหล่าเนี้ยครับที่โผล่
00:25:21 → 00:25:25 ขึ้นมาเพื่อทำให้มนุษย์เราอ่ะครับสามารถ
00:25:26 → 00:25:28 คงคุณภาพชีวิตในแบบของตัวเองได้อยู่อัน
00:25:29 → 00:25:33 นี้ถ้าถามผมนะครับออืออมันเป็นอย่างงี้
00:25:33 → 00:25:36 มันเป็นอย่างงี้คุณหมอแล้วคืออย่างอย่า่
00:25:36 → 00:25:39 น้ำตาลที่มันอยู่ในพวกผลไม้เนี่ยพอดีว่า
00:25:39 → 00:25:41 มีคุณผู้ฟังทางบ้านเนี่ยเอ่อถามมาด้วย
00:25:41 → 00:25:44 ความที่ผลไม้รสหวานใช่มั้ยคะกินกล้วยหอม
00:25:44 → 00:25:46 ทุกวันเนี่ยมากเกินไปหรือเปล่าเราจะได้
00:25:46 → 00:25:48 รับน้ำตาลที่มันมากเกินไปกินทุกวันเลย
00:25:48 → 00:25:51 เหรอกล้วยหอมใช่ไม่แน่ใจว่ากินวันละ 1
00:25:52 → 00:25:55 ลูกหรือว่ากินวันละ 1 หวีอะไรเงี้ยถึงมี
00:25:55 → 00:25:58 ความกังวลกันขนาดนี้คุณหมอฮะคือเราก็ต้อง
00:25:58 → 00:26:00 บอกงี้ครับว่าอย่างกล้วยหอมเนี่ยน้ำตาล
00:26:00 → 00:26:03 มันเยอะครับนะครับคือจริงๆแล้วเราแนะนำ
00:26:03 → 00:26:07 ให้กินอาหารวนๆนะครับหหมายถึงว่าอาหาร
00:26:07 → 00:26:10 เปลี่ยนไปเรื่อยๆครับเช่นวันนี้กล้วยหอม
00:26:10 → 00:26:12 พรุ่งนี้อาจจะองุ่นมะรืนอาจจะเป็น
00:26:12 → 00:26:16 แอปเปิ้ลัดมาอาจจะเป็นแก่วมังกรเงี้ยครับ
00:26:16 → 00:26:20 คือคือเพราะในในผลไม้แต่ละอย่างอ่ะครับ
00:26:20 → 00:26:23 ถ้ากินทุกวันติดต่อกันเนี่ยมันก็ไม่ดี
00:26:24 → 00:26:26 ทั้งนั้นแหละครับอืกินเยอะๆทุกวันเนี่ย
00:26:26 → 00:26:29 อย่างถ้าเกิดเราเคยเจอคนสมัยก่อนที่เขาจะ
00:26:29 → 00:26:34 เชื่อว่าให้กินมะละกอแล้วผิวจะขาวใช่อื
00:26:34 → 00:26:37 อ่าเคยต้องเคยได้ยินแหละเคอย่างบางคนกิน
00:26:37 → 00:26:40 เนี่ยกินจนตัวเหลืองเลยนะครับเอมีครับๆๆ
00:26:40 → 00:26:44 ออกมาออกมาที่มือเลยเคยเห็นออย่างบางคน
00:26:44 → 00:26:46 กินจนตเหลังคิดว่าเป็นดีซ่านคิดว่าเป็น
00:26:46 → 00:26:48 แบบปับแข็งดีซ่านเลยจริงๆแล้วไม่ใช่กิน
00:26:48 → 00:26:52 มะลกอเยอะไปเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยอ่าผมก็
00:26:52 → 00:26:55 จะพูดว่าอาหารนะครับมันก็ผลไม้เนี่ยมัน
00:26:55 → 00:26:58 เป็นสิ่งที่กินได้ครับแต่ว่าให้ไม่กินแต่
00:26:58 → 00:27:01 แบบเค้าเรียกว่าอะไรอ่ะกินแล้วก็เปลี่ยน
00:27:01 → 00:27:04 ไปกินอย่างอื่นบ้างไม่ใช่ว่าหน้าทุเรียน
00:27:04 → 00:27:07 เนี่ยฉันต้องกินทุเรียนวันละ 4 เม็ดแหละ
00:27:07 → 00:27:12 ทุกวันอะไรแบบเนี้ยมันก็มันก็มันก็ไม่ใช่
00:27:12 → 00:27:16 ไงคือถ้าถามว่ากินกล้วยหอมวันละ 3 ลูก
00:27:16 → 00:27:19 เยอะไปมยโดยหลักการเลยนะครับเราต้องมาตวง
00:27:19 → 00:27:22 แล้วก็วัดซึ่งมันบอกไม่ได้หรอกครับว่า
00:27:22 → 00:27:26 กล้วยหอมเนี่ยมันจะมันจะเป็นจะเกินหรือจะ
00:27:26 → 00:27:29 ไม่เกินคทำยไง
00:27:29 → 00:27:33 แต่เราก็พูดว่าโอคกล้วยหอมเนี่ยน้ำตาลก็
00:27:33 → 00:27:36 จะเยอะกว่าแอปเปิลน้ำตาลก็จะเยอะกว่า
00:27:36 → 00:27:39 ฝรั่งแน่นอนมันไม่ใช่เป็นผลไม้ที่เหมาะสม
00:27:39 → 00:27:42 สำหรับคนไข้โรคเบาหวานแต่ถ้าเกิดคนไข้โรค
00:27:42 → 00:27:45 เบาหวานอยากจะกินสักลูกนึงก็กินครับผม
00:27:46 → 00:27:49 แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องกินก็แค่นั้นเองอื
00:27:49 → 00:27:51 โรกเบาหวานนี่ต้องระวังมันสามารถทดแทนกัน
00:27:51 → 00:27:53 ได้อ่ะครับอาหารพวกเนี้ยครับคือคุณผู้ฟัง
00:27:53 → 00:27:57 ท่านนี้เนี่ยบอกว่ากินเพราะว่าหวังมันจะ
00:27:57 → 00:28:01 มีเรื่องของผลทางร่างกายก็คืออยากจะแก้แก
00:28:01 → 00:28:04 ของเรื่องท้องผูคุณหมอกินวันละ 2 ลูกเง
00:28:04 → 00:28:07 กินข้วยน้ำวาดีมั้ยก็อย่างที่บอกไปอีก
00:28:07 → 00:28:11 ครับว่ามันก็มีผลไม้อีกมากมายเช่นกันครับ
00:28:11 → 00:28:13 ที่จะแก้ปัญหาท้องูอย่างเช่นเราอาจจะ
00:28:13 → 00:28:18 เปลี่ยนจากการกินผลไม้ไปกินผักออถูกมั้ย
00:28:18 → 00:28:20 ครับส
00:28:20 → 00:28:23 คือเรียกว่าอะไรล่ะครับเราสามารถหมุนได้
00:28:23 → 00:28:26 ล่ะครับเช่นอ้าอย่างงั้นถ้าเกิดวันเนี้ย
00:28:26 → 00:28:29 ชั้ชั้นกินกล้วยหอไปละพรุ่งนี้ฉันอาจจะ
00:28:29 → 00:28:32 กินแอปเปิ้ลอืแอปเปิ้ลก็ก็ไฟเบอร์ใหญ่าก
00:28:33 → 00:28:36 ใยเยอะมหาศาลนะครับอ่าอะไรแบบเนี้ยครับ
00:28:36 → 00:28:39 เราก็อ่ะแล้วถ้าเกิดวันเนี้ยสมมุติว่า
00:28:39 → 00:28:42 เฮ้ยฉันกินกล้วยหอมวันเนี้ยไป 2 ลูกแล้ว
00:28:42 → 00:28:45 เรารู้สึกว่าโอเคดูน้ำตาลมันเยอะเนาะ
00:28:45 → 00:28:46 เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ากล้วยหอมน้ำตาล
00:28:47 → 00:28:48 เยอะยังไม่ต้องรู้นะครับว่าเยอะเท่าไหน
00:28:48 → 00:28:53 ค่ะอ่ะโอเคพรุ่งนี้ฉันจะกินเป็นผักแทนอื
00:28:53 → 00:28:55 เงี้ยครับคือสุดท้ายแล้วครับมันก็คือ
00:28:55 → 00:28:58 อาหารที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานั่นแหละครับ
00:28:58 → 00:29:01 ครับอืก็สลับสับเปลี่ยนหมือนเวียนกันไปมา
00:29:01 → 00:29:04 กว่าที่ที่ที่เราจะให้กินตัวเนี้ยเพื่อ
00:29:04 → 00:29:08 หวังผลให้คนไข้ถ่ายอืแต่แต่แล้วกินอยู่
00:29:08 → 00:29:11 อย่างเดียวก็คือในกล้วยหอมมีน้ำตาลรู้
00:29:11 → 00:29:14 อยู่แล้วลูกนึงเนี่ยเท่าที่ฟังดูมันก็มาก
00:29:14 → 00:29:17 แล้วอย่างคุณผู้ฟัง 2 ลูกนี่อื้อหือแล้ว
00:29:17 → 00:29:19 ถ้าทุกวันเนี่ยรับรองว่าน้ำตาลเยอะแน่นอน
00:29:19 → 00:29:22 เลยปรับเปลี่ยนมานะคะกินผักอย่างที่คุณ
00:29:22 → 00:29:25 หมอบอกแล้วก็คุณหมอเขอย่างน้ำตาลหล่อห้าง
00:29:25 → 00:29:28 กล้วยหรืออย่างหญ้าหวานเนี่ยทุกวันเนี้ย
00:29:28 → 00:29:32 เอ่อคนทั่วไปนี่ก็เลือกซื้อได้ตามได้เลย
00:29:32 → 00:29:36 ร้านเมีสกัด้ใช่มั้ยคะร้านอยู่ในอ่า
00:29:36 → 00:29:40 ซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ครับผมเนาะมีทางเลือก
00:29:40 → 00:29:43 ทั่วไปเออจำได้ว่าเคยเห็นคือไอ้พวกสารให้
00:29:43 → 00:29:45 ความหวานพวกนี้ก็คืออย่างที่คุณหมอได้พูด
00:29:45 → 00:29:47 ไปก็คือบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นก็ได้เพราะ
00:29:47 → 00:29:50 ว่าเราได้รับจากพวกอาหารที่กินอยู่ทุกวัน
00:29:50 → 00:29:53 อย่างเช่นพวกอาหารคาวอาหารหวานอย่างพวก
00:29:53 → 00:29:56 เอ่อน้ำตาลฟุกสตสเนี่ยมันคืออยู่ในผลไม้
00:29:56 → 00:29:58 อยู่แล้วใช่มั้ยครับคุณหมอครับใช่ครับเรา
00:29:58 → 00:30:01 ไม่สามารถจะเอามันออกมาได้อยู่ล่ะอ่าอืใน
00:30:01 → 00:30:04 ข้าวก็มีใช่มั้ยคคุณหมอในข้าวมีน้ำตาลโ
00:30:04 → 00:30:08 อ๋อในในข้าวก็มีน้ำตาลครับผมจริงๆแล้วใน
00:30:08 → 00:30:10 ในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดละครับมี
00:30:10 → 00:30:13 น้ำตาลทั้งหมดเพียงแต่ว่าน้ำตาลเป็นน้ำ
00:30:13 → 00:30:15 ตาลชนิดไหนอะไรแบบไหนแค่นั้นเองครับผม
00:30:15 → 00:30:18 ยิ่งข้าวเดียวยิ่งน้ำตาลเลยถ้าใที่ทาจริง
00:30:18 → 00:30:21 ๆแล้วดีที่สุดคือการหัดไม่ให้กินหวานครับ
00:30:21 → 00:30:25 อืออย่าเติมอย่างคุณหมอทำไม่ให้กินหวานอ
00:30:25 → 00:30:27 น้ำตาลฟลุกโต๊สเนี่ยคุณหมอครับจากพวกเอ่อ
00:30:27 → 00:30:29 ผลไม้ที่กินกันอยู่ปัจจุบันทุกวันเนี่ยมี
00:30:29 → 00:30:32 คุณผู้ฟังทางบ้านถามมาว่าคือเราสามารถกิน
00:30:32 → 00:30:36 ได้มากน้อยขนาดไหนแล้วมันมันจะมีผลผลดีผล
00:30:36 → 00:30:38 เสียกับร่างกายของเรามากน้อยขนาดไหนครับ
00:30:38 → 00:30:41 ตัวฟรุกโตสเนี่ยฮะค่ะคือเราเราต้องบอก
00:30:41 → 00:30:44 ก่อนว่าเราไม่ได้กินฟรุกโตสกันเป็นช้อน
00:30:44 → 00:30:46 ถูกมั้ยฮะเราไม่ได้ตักฟรุ๊กโตสกินข้าวปาก
00:30:46 → 00:30:49 ถูกมั้ยครับเรากินสิ่งที่มันอยู่ในผลไม้
00:30:49 → 00:30:52 ใช่มั้ยครับค่ะอ่าเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ย
00:30:52 → 00:30:54 จริงๆแล้วเนี่ยผลไม้มันก็มีบางอย่างอื่น
00:30:54 → 00:31:00 อีกนอกเหนือจากน้ำตาลเช่นวิตามินเช่นอ่า
00:31:01 → 00:31:05 ไฟเบอร์จากใยถูกมั้ยครับผลไม้บางชนิดที่
00:31:05 → 00:31:10 ที่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงแต่มีกากใยเยอะอ่า
00:31:10 → 00:31:13 มันกากใยนั้นเองที่เรากินลงไปอ่ะครับมัน
00:31:13 → 00:31:16 ก็จะไปชะลอกันดูดซึมน้ำตาลฟรุกโตสในผลไม้
00:31:16 → 00:31:19 นั้นทำให้ระดับน้ำตาลเนี่ยมันไต่ขึ้นช้า
00:31:19 → 00:31:23 ลงอืก็ได้เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยอย่างอย่าง
00:31:23 → 00:31:26 ที่ผมบอกไปคำว่ากินได้มากแค่ไหนอ่ะครับ
00:31:26 → 00:31:28 โดยส่วนใหญ่แล้วเนี่ยมันต้องใช้กับการที่
00:31:28 → 00:31:30 เอาน้ำตาลมาเป็นช้อนๆนะครับเหมือนน้ำตาล
00:31:30 → 00:31:33 ทรายช้อนๆๆซึจริงๆลุกโต๊ะในในผลไม้มันมัน
00:31:33 → 00:31:37 ไม่ใช่แบบนั้นอืครับผมอ่ะเพราะฉะนั้นแล้ว
00:31:37 → 00:31:39 เนี่ยอย่างก็อย่างที่บอกไปคือสมมุติว่า
00:31:39 → 00:31:41 ถ้าเกิดเรารู้อยู่แล้วว่าอ่ะกล้วยหอมมัน
00:31:41 → 00:31:45 มันมันมันมันน้ำตาลเยอะครับวันอ่าตกเย็น
00:31:45 → 00:31:48 เราก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแทนเพราะถ้า
00:31:48 → 00:31:50 เราไปดูแล้วเนี่ยเรามันจะไม่มีใครเขียน
00:31:50 → 00:31:54 หรอกครับว่าอ่ากินน้ำตาลซุกโต๊ดได้วันนึง
00:31:54 → 00:31:56 กี่กรัมกี่กรัมอะไรแบบเยครับมันมันไม่มี
00:31:56 → 00:31:58 ใครเขียนหรอกเพราะสุดท้ายแล้วอ่ะครับองค์
00:31:58 → 00:32:02 ประกอบของการที่ที่เอ่อน้ำตาลจะสูงขึ้นใน
00:32:02 → 00:32:06 ระดับของกในในกระแสเลือดได้หรือการที่เรา
00:32:06 → 00:32:08 จะกินน้ำตาลเยอะกินน้ำตาลน้อยได้เนี่ยมัน
00:32:08 → 00:32:11 ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารองค์ประกอบใหญ่ๆ
00:32:11 → 00:32:15 ของอาหารมากกว่าอืครับผมอืนี่อันนี้น่าจะ
00:32:15 → 00:32:18 เข้าใจกันแล้วเนาะเออพอจะเห็นภาพกันชัด
00:32:18 → 00:32:21 เจนแล้วครับเรื่องของเอ่อน้ำตาลฟรุ๊กโตส
00:32:21 → 00:32:22 หรือว่าอะไรอย่างงี้เพราะว่ามีคุณผู้ฟัง
00:32:22 → 00:32:25 ทางบ้านสงสัยก็เลยถามคุณหมอมาแบบนี้นี่
00:32:25 → 00:32:28 แหละฮะคุณหมอครับคุณหมอทีนี้ช่วงท้ายของ
00:32:28 → 00:32:30 เราแล้วครับคุณหมอครับเรื่องของน้ำตาล
00:32:30 → 00:32:35 เนี่คุณหมอถ้ามมองในมุมมองของแพทย์เนี่ย
00:32:35 → 00:32:37 นะฮะแพทย์ศาสตตะวันตกนี่แหละอ่าพูดกัน
00:32:37 → 00:32:39 ง่ายๆที่คุณหมอเรียร่ำเรียนมามีความรู้
00:32:39 → 00:32:43 อยู่แล้วเนี่ยมันมันจำเป็นกับร่างกายขนาด
00:32:43 → 00:32:45 ไหนคุณหมอครับหรือว่าถ้าเป็นไปได้คือแนะ
00:32:45 → 00:32:47 นำยังไงกับผู้ผู้ฟังทางบ้านดีเลี่ยงได้ก็
00:32:47 → 00:32:50 เลี่ยงไปเลยมั้ยหรือว่ายังไงดีฮะคุณหมอฮะ
00:32:50 → 00:32:53 คือต้องต้องเราต้องมาคุยกันก่อนว่าคำคำ
00:32:53 → 00:32:56 ว่าน้ำตาลเนี่ยคืออะไรคือมนุษย์เราต้อง
00:32:56 → 00:32:58 กินน้ำตาลนะครับไม่งจะจะอยู่ไม่ได้เพราะ
00:32:59 → 00:33:01 ว่าแต่ว่าน้ำตาลเนี่ยมันเป็นองค์ประกอบ
00:33:01 → 00:33:02 ของ
00:33:02 → 00:33:05 คาร์โบไฮเดรตรวมถึงไขมันและโปรตีนบางส่วน
00:33:05 → 00:33:08 อยู่แล้วครับอืเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยคนเรา
00:33:09 → 00:33:12 เนี่ยอ่าไม่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีน้ำ
00:33:12 → 00:33:17 ตาลแต่ถ้าในความหมายของน้ำตาลช้อนๆน้ำตาล
00:33:17 → 00:33:20 เทบเทบท็อปอ่ะครับเอ่อเบิล Sugar ครับก็
00:33:20 → 00:33:24 คือน้ำตาลทรายน่ะเราไม่ต้องกินได้ครับไม่
00:33:24 → 00:33:27 มีความจำเป็นต้องกินน้ำตาลตรายเพราะน้ำ
00:33:27 → 00:33:31 ตาลมีอยู่ในผักผลไม้
00:33:31 → 00:33:36 ธัญพืชรวมถึงเนื้อสัตว์บางส่วนอยู่แล้วอื
00:33:36 → 00:33:38 ครับเพราะฉะนั้นแล้วคำถามว่าน้ำตาลมีความ
00:33:38 → 00:33:41 จำเป็นต้องกินมต้องถามก่อนว่าในนัยยะของ
00:33:41 → 00:33:44 น้ำตาลนั้นน่ะคืออะไรถ้านัยยะของน้ำตาล
00:33:44 → 00:33:46 คือ
00:33:46 → 00:33:51 คาร์โบไฮเดรตอยู่ในอ่าข้าวโพดอยู่ในอ่า
00:33:51 → 00:33:54 ข้าวขาอยู่ในข้าวกล้องอยู่ในขนมปังอย่าง
00:33:54 → 00:33:57 เงี้ยครับร่างกายเราต้องการคาร์โบไฮเดรต
00:33:57 → 00:34:00 ร่างกายเราต้องการน้ำตาลต้องกินแต่ถ้า
00:34:00 → 00:34:04 เกิดน้ำตาลที่ตักช้อนๆลงไปหรือน้ำผึ้ง
00:34:04 → 00:34:07 อะไรแบบเนี้ยอ่าไม่มีความจำเป็นต้องกิน
00:34:08 → 00:34:12 เพิ่มเติมลงไปนอกเหนือจากอาหารปกติครับอื
00:34:12 → 00:34:15 อือน้ำตาลอยู่ในธรรมชาติน้ำตาลอยู่ใน
00:34:15 → 00:34:18 คาร์โบไฮเดรตเราได้อยู่แล้วอยู่ในอาหาร
00:34:18 → 00:34:21 ที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำทุกวัน
00:34:21 → 00:34:24 อยู่แล้วใชเออไม่จำเป็นต้องไปไปแอดออนมัน
00:34:24 → 00:34:26 เพิ่มเติมอะไรแบบนี้เป็นช้อนๆนไม่ต้องใส่
00:34:26 → 00:34:29 ไม่ต้องอะไรเลยคุณหมอกับอีกหนึ่งคำที่เรา
00:34:29 → 00:34:33 มักจะได้ยินคนเพูดกันว่าของหวานคือยาพิษ
00:34:33 → 00:34:36 คุณหมอคำๆนี้ถ้าอธิบายให้คุณผู้ฟังทาง
00:34:36 → 00:34:39 บ้านได้เข้าใจกับความคำนี้จริงๆอ่ะมันมัน
00:34:39 → 00:34:41 คือข้อเท็จจริงมันเป็นยังไงครับคุณหมอ
00:34:41 → 00:34:45 ครับอ่าน้ำตาลคือยาพิษมั้งครับผมว่าคำคำ
00:34:45 → 00:34:49 จริงๆของมันนน้ำตาลเลยใช่มั้ยคะคือไม่แต่
00:34:49 → 00:34:54 คือโดยโดยส่วนตัวผมเองนะครับคือ
00:34:54 → 00:34:58 อ่าน้ำไอ้คำว่าน้ำตาลคือยาพิผมว่ามันก็ดู
00:34:58 → 00:35:02 เป็นคำที่รุนแรงเกินไปรุแรงอใช่เพียงแต่
00:35:02 → 00:35:06 ว่ายาพิษมันจะต้องในแง่ว่ากินลงไปแล้ว
00:35:06 → 00:35:08 โอ้โหมันมันจะต้องมีแต่สิ่งที่ไม่ดีใน
00:35:08 → 00:35:11 ชีวิตแน่ๆเลยอะไรแบบเนี้ยเนาะแต่คำแต่คำ
00:35:11 → 00:35:13 ถามคือน้ำตาลกินลงไปแล้วอ่า 1 มันก็ยัง
00:35:13 → 00:35:16 ได้พลังงานหรืออย่างในผู้ป่วยที่เราจะ
00:35:17 → 00:35:19 พยายามอ่าไม่ใช่ผู้ป่วยอ่อคนที่จะต้องเรา
00:35:19 → 00:35:21 พยายามที่จะทำให้อ่าให้คนแค่ออกกำลังกาย
00:35:21 → 00:35:24 เงี้ยสมมุตินะเราอยากให้คนแค่ออกกำลังกาย
00:35:24 → 00:35:28 การกินอาหารในกลุ่มที่มีน้ำตาลสูงๆไปบาง
00:35:28 → 00:35:31 ส่วนตอนในในช่วงก่อนออกกำลังกายเนี่ยก็
00:35:31 → 00:35:34 อาจจะทำให้คนไข้เนี่ยสามารถออกแรงได้มาก
00:35:34 → 00:35:37 ขึ้นอกล้ามเนื้อพัฒนาได้ดีขึ้นเพราะ
00:35:37 → 00:35:40 ฉะนั้นแล้วเนี่ยน้ำตาลมันก็มีข้อดีในแบบ
00:35:40 → 00:35:44 ของมันแต่ในคนปกติเนี่ยน้ำตาลเทเบิลท็อป
00:35:44 → 00:35:48 ไม่มีอ่าเทเบิลชูการไม่มีความจำเป็นค่ะอื
00:35:48 → 00:35:51 ครับเพียงแต่ว่าการกินลงไปมันก็คงไม่ได้
00:35:51 → 00:35:53 ถึงขนาดว่า
00:35:53 → 00:35:57 โอ้โหไม่ได้นะเธอห้ามกินนะเธอกินแล้วมัน
00:35:57 → 00:35:59 จะจะเป็นเหมือนกับการกินยาพิษเข้าตัวเอง
00:35:59 → 00:36:03 นะมันก็ไม่ใช่ขนาดนั้นเพราะในความเป็น
00:36:03 → 00:36:06 จริงแล้วน้ำตาลอยู่ในทุกๆอย่างที่เรากิน
00:36:06 → 00:36:11 นั่นแหละครับอือืคือมันมีประโยชน์ของมัน
00:36:11 → 00:36:14 อยู่แล้วเราได้มันอยู่แล้วในอาหารต่างๆใน
00:36:14 → 00:36:16 ส่วนประกอบที่เราเราไม่จำเป็นต้องไปเติม
00:36:16 → 00:36:20 อะไรให้มันมันมากมายกใช่เพียงแต่ว่าถ้า
00:36:20 → 00:36:23 แบบมันจะไม่ได้นะครับถ้าเราถ้าเราเคยเจอ
00:36:23 → 00:36:26 ประสบการณ์กับคนกับผู้ป่วยจริงๆนะครับ
00:36:26 → 00:36:29 อย่างบางคนที่เคให้เคมีบำบัดนะครับอืลิ้น
00:36:29 → 00:36:33 เขาจะมีความป่านะครับใช้คำนี้มั้ยครับได้
00:36:33 → 00:36:37 เคยได้ยินเออก็คือรสชาติมันจะแบบเปื่อนไป
00:36:37 → 00:36:40 อ่ะครับคนในกลุ่มเยจะชอบกินอาหารรสจัดใน
00:36:40 → 00:36:43 แง่ไม่ใช่เผ็ดนะครับในแง่ของแบบหวานจัด
00:36:43 → 00:36:46 อืออะไรแบบเนี้ยครับเพื่อว่ามันจะทำให้
00:36:46 → 00:36:49 รับรู้รสชาติได้ดีขึ้นอือย่างเงี้ยฮะแล้ว
00:36:50 → 00:36:52 ก็คนกลุ่มเยเขาต้องการพลังงานเยอะมากอยู่
00:36:52 → 00:36:56 แล้วในการที่จะไปต่อสู้กับกับกับมะเร็ง
00:36:56 → 00:36:58 เราก็จะปล่อยเขาคกินไปครับเพราะฉะนั้น
00:36:58 → 00:37:00 แล้วในคนกลุ่มเเราก็บอกเลยว่าน้ำตาลไม่
00:37:00 → 00:37:04 ใช่ยาพิษกินเลยอืครับ
00:37:04 → 00:37:08 อืเป็นอย่างงี้แต่ในคนปกติธรรมดาทั่วไป
00:37:08 → 00:37:11 อย่าคือเค้าเรียกว่าอย่าหาทำอย่าไปหาความ
00:37:12 → 00:37:14 หวานใในนปกติทั่วไปเนี่ยถ้ามันจะไม่ใส่
00:37:14 → 00:37:19 แล้วมันจะกินไม่ได้เออก็ก็ใส่ก็ได้ก็ใส่
00:37:19 → 00:37:23 ก็ได้แต่ดีที่สุดคือการไม่ใส่ค่ะอแต่บาง
00:37:23 → 00:37:26 คนอยู่ไม่ได้ไงครับมันมันไม่ได้อย่างอ่า
00:37:26 → 00:37:29 อย่างบางคนไม่ไม่สามารถกินกาแฟที่ไม่ใส่
00:37:29 → 00:37:33 น้ำตาลได้ใช่ๆมันมีครับมันมีเพราะฉะนั้น
00:37:33 → 00:37:35 แล้วเนี่ยเราก็บอกว่าอ่ะคุณค่อยๆหัดค่อยๆ
00:37:35 → 00:37:39 ลดลงอะไรแบบเนี้ยครับออืก็อลดลงแล้วลิ้น
00:37:39 → 00:37:43 เราก็จะมันก็ค่อยๆปรับติดไปเค่อยปใช่ครับ
00:37:43 → 00:37:45 ผมส่วนตัวผมเองผมเชื่อว่ามันหัดได้เพราะ
00:37:45 → 00:37:48 ผมก็หัดมาแล้วหัดได้อืคุณหมอใช้เวลานาน
00:37:48 → 00:37:54 มั้ยครับไม่นานนะครับผมอย่างแบบเอ่อจาก
00:37:54 → 00:37:56 จากกาแฟดำใส่น้ำตาลเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำ
00:37:56 → 00:37:58 ตาลกินสักเดือนนึงนึงอ่ะครับผมก็ไม่กิน
00:37:58 → 00:38:03 กาแฟดำใส่น้ำตาลแล้วออหรืออย่างนมนมปกติ
00:38:03 → 00:38:06 กับนมขัดกกับนมขัดมันเนยคือผมไม่ได้กินนม
00:38:06 → 00:38:09 พร่องมันเนยด้วยนะฮะผมกินนมขาดมันเนยอื
00:38:09 → 00:38:11 อือก็หัดสักเดือนนึงอ่ะครับตอนนี้กินนม
00:38:11 → 00:38:15 ปกติไม่ได้เพราะเหม็นคาวโอโอ้โหโอ้มัน
00:38:15 → 00:38:18 ขนาดนั้นมันหัดได้คมันหัดมันหัดได้เนาะ
00:38:18 → 00:38:21 แม้ว่าเอ่อหลายท่านอาจจะอายุเยอะแล้วก็
00:38:21 → 00:38:23 ตามแต่ว่าคือมันก็สามารถฝึกหัดกันได้อยู่
00:38:24 → 00:38:26 แล้วนะครับคุณหมอในทุกช่วงวันะรู้ถึง
00:38:26 → 00:38:28 ประโยชน์และโทษถ้าถ้าเรารักตัวเองพอนะ
00:38:29 → 00:38:31 ครับทำใช่เราต้องรักตัวเองด้วยถ้าเรารัก
00:38:31 → 00:38:34 ตัวเองพอคุณผู้ฟังหลายคนก็น่าจะทำได้น่า
00:38:34 → 00:38:37 จะสะกิดใจใครหลายๆคนได้กับคำพูดของคุณหมอ
00:38:37 → 00:38:39 นะครับคุณหมอค่ำคืนนี้ขอบคุณคุณหมอมากๆ
00:38:39 → 00:38:40 เลยนะครับที่มาให้ความรู้กับเรานะครับคุณ
00:38:40 → 00:38:43 หมอครับสวัสดีค่ะคุณกราบขอบพระคุณมากๆ
00:38:43 → 00:38:48 ครับคุณหมอครับสวัสดีครับสวัสดีครับ