00:00:00 → 00:00:07 [เพลง]
00:00:07 → 00:00:11 ลองจินตนาการถึงคุกกี้อุ่นๆลูกอมกรุบๆ
00:00:11 → 00:00:15 เค้กหน้านิ่มและไอศครีมอัดพูในโคนวาฟเฟิล
00:00:15 → 00:00:18 คุณน้ำลายสอเลยหรือเปล่าคุณอยากของหวาน
00:00:18 → 00:00:22 เลยมยล่ะทำไมสมองทำงานอย่างไรมันจึงยาก
00:00:22 → 00:00:25 นักที่จะห้ามใจจากของหวานน้ำำตาลเป็นคำ
00:00:25 → 00:00:27 สามัญใช้อธิบายประเภทของโมเลกุลที่เรียก
00:00:27 → 00:00:31 ว่าคาร์โบไฮเดรตและมันถูกพบได้ในอาหารและ
00:00:31 → 00:00:33 เครื่องดื่มหลากหลายชนิดลองดูฉลากบน
00:00:33 → 00:00:35 ผลิตภัณฑ์ของหวานที่คุณซื้อสิกลูโคส
00:00:35 → 00:00:41 ฟรุกโตสซูโครสมอนสแลคโตสแกสและแป้งทั้ง
00:00:41 → 00:00:43 หมดนี้เป็นรูปหนึ่งของน้ำตาลเช่นเดียวกับ
00:00:43 → 00:00:47 แบตแซที่มีฟรุคโตสสูงน้ำผลไม้น้ำตาลดิบ
00:00:47 → 00:00:49 และน้ำผึ้งและน้ำตาลก็ไม่ได้มีแค่ในลูก
00:00:49 → 00:00:52 กวาดและของหวานมันยังถูกเติมลงไปในซอส
00:00:52 → 00:00:55 มะเขือเทศโยเกิร์ตผลไม้แห้งน้ำแต่งรสต่าง
00:00:55 → 00:00:58 ๆและกนูบเมื่อน้ำตาลมีอยู่ในทุกอย่างแบบ
00:00:58 → 00:01:00 นี้เราจึงต้องเข้าใจว่ามันส่งอย่างไรต่อ
00:01:00 → 00:01:02 สมองเกิดอะไรขึ้นเมื่อน้ำตาลสัมผัสกับ
00:01:02 → 00:01:05 ลิ้นและการกินน้ำตาลเพียงเล็กน้อยจะทำให้
00:01:05 → 00:01:07 คุณอยากมากขึ้นหรือเปล่าคุณกินธัญพืชไปคำ
00:01:07 → 00:01:10 นึงน้ำตาลในนั้นจะไปกระตุ้นตัวรับรสหวาน
00:01:10 → 00:01:13 ที่อยู่ในตุ่มรับรสบนลิ้นตัวรับรสเหล่า
00:01:13 → 00:01:16 นี้ส่งสัญญาณขึ้นไปตามก้านสมองจากนั้นมัน
00:01:16 → 00:01:19 ก็แยกออกไปยังสมองส่วนหน้าหลายๆส่วนหนึใน
00:01:19 → 00:01:22 นั้นคือ cal cortex cerebral cortex
00:01:22 → 00:01:24 ส่วนต่างๆจะรับผิดชอบรสชาติที่ต่างกันออก
00:01:24 → 00:01:29 ไปไม่ว่าขมเข้มอูมามิหรือในกรณีนี้คือรส
00:01:29 → 00:01:32 หวานจากจุดนี้สัญญาณจะไปกระตุ้นระบบให้
00:01:32 → 00:01:34 รางวัลของสมองระบบให้รางวัลนี้เป็นเส้น
00:01:34 → 00:01:37 ทางกระแสไฟฟ้าและเคมีที่ต่อกันพาดผ่าน
00:01:37 → 00:01:40 ส่วนต่างๆในสมองมันเป็นเครือข่ายที่ซับ
00:01:40 → 00:01:42 ซ้อนแต่มันช่วยตอบปัญหาเรื่องจิตใต้สำนึก
00:01:42 → 00:01:46 ที่ว่าฉันควรทำแบบนั้นอีกไความรู้สึกอบ
00:01:46 → 00:01:48 อุ่นที่แผ่ซ่านเมื่อคุณชิมเค้กช็อกโกแลต
00:01:48 → 00:01:51 ของคุณยายนั่นแหละระบบให้รางวัลในสมอง
00:01:51 → 00:01:54 กำลังบอกว่าเอาอีกสิทำมันอีกสิและการ
00:01:54 → 00:01:56 กระตุ้นไม่ได้จำกัดแค่อาหารเท่านั้นอย่าง
00:01:56 → 00:01:59 การเข้าสังคมเพศสัมพันธ์และสารเสพติดก็
00:01:59 → 00:02:01 เป็นตัวตัวอย่างของหลายๆสิ่งและ
00:02:01 → 00:02:03 ประสบการณ์ที่เข้าไปกระตุ้นระบบนี้ด้วย
00:02:03 → 00:02:05 เช่นกันแต่การกระตุ้นระบบให้รางวัลนี้มาก
00:02:05 → 00:02:08 เกินไปก็เป็นการจุดชนวนเรื่องไม่ดีอีก
00:02:08 → 00:02:11 เป็นชุดคุณจะเสียการควบคุมอยากอาหารและทน
00:02:11 → 00:02:14 ต่อระดับน้ำตาลได้มากขึ้นกลับไปที่การกิน
00:02:14 → 00:02:18 ธัญญพืชมันเดินทางลงไปยังกระเพาะของคุณ
00:02:18 → 00:02:21 และในที่สุดก็ไปอยู่ในลำไส้แต่รู้มว่ามัน
00:02:21 → 00:02:23 มีตัวรับน้ำตาลอยู่ตรงนี้เช่นกันพวกมัน
00:02:23 → 00:02:26 ไม่ใช่ตุ่มรับรสแต่พวกมันส่งสัญญาณได้
00:02:26 → 00:02:28 เพื่อบอกสมองของคุณว่าคุณอิ่มแล้วหรือควร
00:02:28 → 00:02:30 หลั่งสารอินซูลินเพิ่มขึ้นเพื่อจัดการกับ
00:02:30 → 00:02:33 น้ำตาลส่วนเกินที่คุณกำลังกินเข้าไปตัว
00:02:33 → 00:02:35 แปรหลักของระบบให้รางวัลก็คือโดพามีนซึ่ง
00:02:35 → 00:02:38 เป็นสารเคมีที่สำคัญหรือสารส่งประสาทใน
00:02:38 → 00:02:40 สมองส่วนหน้าของเราจะมีตัวรับโดพามีนอยู่
00:02:40 → 00:02:43 มากมายแต่จะกระจายตัวเป็นหย่อมๆและไป
00:02:43 → 00:02:46 กระจุกกันในบางพื้นที่พื้นที่ที่มีตัวรับ
00:02:46 → 00:02:49 โดพามีนอยู่มากก็คือหนึ่งในระบบให้รางวัล
00:02:49 → 00:02:51 ของเรานั่นเองสารเสพติดอย่างแอลกอฮอล์
00:02:51 → 00:02:54 นิโคตินหรือเฮโรอีนจะทำให้โดพินพุ่งพล่าน
00:02:55 → 00:02:57 และอยากยาอย่างต่อเนื่องบางคนถึงขั้นที่
00:02:57 → 00:03:00 เรียกได้ว่าเป็นภาวะเสพติดน้ำตาลก็ทำให้
00:03:00 → 00:03:03 โดพามีนถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกันแม้จะไม่
00:03:03 → 00:03:05 รุนแรงเท่าสารเสพติดต่างๆแต่น้ำตาลเองก็
00:03:05 → 00:03:08 ไม่ได้มีมากในอาหารที่เหนี่ยวนำโดพามีน
00:03:08 → 00:03:10 เช่นการกินบล็อกเคอรี่ก็จะไม่ส่งผลอะไร
00:03:11 → 00:03:13 นั่นจึงอาจอธิบายได้ว่าทำไมจึงยากนักที่
00:03:13 → 00:03:15 จะทำให้เด็กๆกินผักพูดถึงอาหารเพื่อ
00:03:15 → 00:03:18 สุขภาพหากเราหิวและตัดสินใจที่จะกินมื้อ
00:03:18 → 00:03:20 อาหารที่สมดุลหลังจากกินระดับโดพามีนก็จะ
00:03:20 → 00:03:22 พุ่งปี๊ดในจุดที่มีระบบให้รางวัลอยู่ชุก
00:03:22 → 00:03:25 ชุมแต่ถ้าคุณกินอาหารจานเดิมนั้นหลายๆวัน
00:03:25 → 00:03:28 ติดกันระดับโดพามีนจะพุ่งต่ำลงและต่ำลงจน
00:03:28 → 00:03:30 ในที่สุดก็แบนราบนั่นเป็นเพราะว่าเมื่อ
00:03:30 → 00:03:33 พูดถึงอาหารสมองของเรามีวิวัฒนาการที่จะ
00:03:33 → 00:03:35 ให้ความสนใจพิเศษกับรสใหม่ๆหรือรสที่ต่าง
00:03:35 → 00:03:38 ออกไปทำไมน่ะเหรอมี 2 เหตุผลเหตุผลแรก
00:03:39 → 00:03:41 เพื่อที่จะตรวจพบอาหารที่เน่าเสียเหตุผล
00:03:41 → 00:03:43 ที่ 2 เพราะว่ายิ่งการรับประทานอาหารของ
00:03:43 → 00:03:45 เรามีความหลากหลายมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่ง
00:03:45 → 00:03:47 ได้รับสารอาหารทั้งหมดที่เราต้องการมาก
00:03:47 → 00:03:50 เท่านั้นเราต้องจดจำอาหารใหม่ให้ได้เพื่อ
00:03:50 → 00:03:52 รักษาระดับความหลากหลายและที่สำคัญเรา
00:03:52 → 00:03:54 จำเป็นต้องอยากกินอาหารใหม่ไปเรื่อยๆและ
00:03:54 → 00:03:57 นั่นเป็นเหตุว่าทำไมโดพามีนลดลงเมื่อเรา
00:03:57 → 00:03:59 เริ่มเบื่ออาหารเดิมๆงั้นกลับไปดูที่มื้อ
00:03:59 → 00:04:01 อาหารมื้อนั้นกันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่
00:04:01 → 00:04:03 ได้กินอาหารเพื่อสุขภาพแบบสมดุลสุดๆแต่
00:04:03 → 00:04:06 กลับกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงแทนถ้าปกติคุณ
00:04:06 → 00:04:08 แทบจะไม่ได้กินน้ำตาลหรือไม่ได้กินครั้ง
00:04:08 → 00:04:11 แล้วมากๆผลลัพธ์ก็จะคล้ายกับผลจากการกิน
00:04:11 → 00:04:13 อาหารที่สมดุลแต่ถ้าคุณกินมากเกินไปการ
00:04:13 → 00:04:16 ตอบสนองของโดพามีนนั้นไม่ได้ลดลงกล่าวคือ
00:04:16 → 00:04:18 การกินน้ำตาลมากๆจะทำให้รู้สึกว่าได้รับ
00:04:18 → 00:04:20 รางวัลไปเรื่อยๆด้วยเหตุนี้น้ำตาลก็เลยมี
00:04:20 → 00:04:23 พฤติกรรมคล้ายๆสารเสพติดนั่นคือเหตุผล
00:04:23 → 00:04:25 หนึ่งที่คนมักจะติดใจกับอาหารหวานๆลองนึก
00:04:25 → 00:04:28 ย้อนไปถึงน้ำตาลชนิดต่างๆดูสิแม้แต่ละตัว
00:04:28 → 00:04:31 จะดูต่างกันแต่ไม่ว่าเราจะกินตัวไหนเข้า
00:04:31 → 00:04:33 ไปมันล้วนจุดชนวนและส่งผลอย่างต่อเนื่อง
00:04:33 → 00:04:36 กับระบบให้รางวัลในสมองถ้ามากหรือบ่อย
00:04:36 → 00:04:38 เกินไปมันก็อาจบานปลาย
00:04:38 → 00:04:42 ได้ถูกแล้วล่ะการกินน้ำตาลมากเกินไปจะทำ
00:04:42 → 00:04:45 ให้สมองเกิดภาวะเสพติดได้แต่นานๆทีจะกิน
00:04:46 → 00:04:50 เค้กสักชิ้นคงไม่เป็นไร
00:04:50 → 00:04:58 [เพลง]
00:04:58 → 00:05:02 หรอกแ