00:00:09 → 00:00:15 สนับสนุนโดย 7-eleven สตมป่วน
00:00:15 → 00:00:19 สนุกโรคลมชักอันตรายที่เกิดขึ้นแบบไม่ทัน
00:00:19 → 00:00:22 ตั้งตัวตระหนักรู้ก่อนสายช่วยป้องกันการ
00:00:22 → 00:00:23 เสีย
00:00:23 → 00:00:27 ชีวิตเปิดวิธีปฐมพยาบาลผู้ป่วยลมชักไม่
00:00:27 → 00:00:31 งัดง้างทางหรือกดเรื่องต้องรู้ที่ทุกคนทำ
00:00:31 → 00:00:35 ได้ 10 วิธีการออกกำลังสมองแบบ neurobic
00:00:35 → 00:00:39 Exercise ช่วยให้ฉลาดขึ้นและตื่นตัวติด
00:00:39 → 00:00:41 ตามเรื่องราวทั้งหมดได้ในรายการ TNN
00:00:41 → 00:00:44 Health วัน
00:00:44 → 00:00:47 นี้สวัสดีค่ะคุณผู้ชมขอต้อนรับเข้าสู่ราย
00:00:47 → 00:00:51 การ TNN Health เข้าถึงทุกสาระสุขภาพ
00:00:51 → 00:00:54 เสริมภูมิคุ้มกันรู้ทันโรคไปกับ TNN He
00:00:54 → 00:00:57 นะคะและดิฉันหมอดาวแพทย์หญิงฉัตดาวจัง
00:00:57 → 00:01:01 วังกรแพทย์เฉพาะทางสาขาเวศาสต์ครอบครัว
00:01:01 → 00:01:03 พร้อมที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ
00:01:03 → 00:01:07 พาคุณผู้ชมมาเข้าถึงทุกสาระสุขภาพกัน
00:01:07 → 00:01:15 [เพลง]
00:01:16 → 00:01:19 ค่ะสัปดาห์นี้นะคะเราจะมาพูดคุยกันถึง
00:01:19 → 00:01:21 เรื่องโรคลมชักภัยเงียบที่รักษาได้
00:01:21 → 00:01:25 ตระหนักรู้ก่อนสายสำหรับโรคลมชักนะคะเป็น
00:01:25 → 00:01:28 เรื่องของภัยใกล้ตัวที่หลายๆท่านยังไม่
00:01:28 → 00:01:31 เคยรู้เรามารู้กันดีกว่าว่าโรคลมชักนั้น
00:01:31 → 00:01:35 มีอาการอย่างไรบ้างค่ะโรคลมชักหรือลมบ้า
00:01:35 → 00:01:38 หมูเกิดจากเซลล์สมองที่ทำงานเชื่อมโยงกัน
00:01:38 → 00:01:41 เหมือนวงจรไฟฟ้าและปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมา
00:01:41 → 00:01:44 ผิดปกติพร้อมกันอย่างเฉียบพลันส่งผลให้
00:01:44 → 00:01:48 ระบบประสาทเกิดความผิดปกติจนไม่สามารถควบ
00:01:48 → 00:01:51 คุมตนเองหรือเกิดอาการชักซ้ำๆโดยอาการ
00:01:51 → 00:01:54 แสดงที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นกับว่าเป็นส่วนใด
00:01:54 → 00:01:56 ของสมองที่ได้รับการกระตุ้นและอาการจะ
00:01:56 → 00:02:00 เกิดขึ้นเป็นๆหายๆในระยะเวลาไม่นานมัก
00:02:00 → 00:02:02 เกิดขึ้นทันทีและหยุดเองแต่อาการมักเกิด
00:02:02 → 00:02:06 ซ้ำขึ้นเรื่อยๆสำหรับสาเหตุของโรคลมชักมี
00:02:06 → 00:02:10 สาเหตุดังต่อไปนี้ค่ะสาเหตุของโรคลมชัก
00:02:10 → 00:02:14 โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุได้แก่ 1 โรค
00:02:14 → 00:02:18 ทางพันธุกรรมที่มักมีอาการชักร่วมด้วย 2
00:02:18 → 00:02:20 ภาวะสมองพิการแตกกำเนิดซึ่งเกิดตั้งแต่
00:02:20 → 00:02:24 เมื่อทารกยังอยู่ในครรภ์ 3 อุบัติเหตุทำ
00:02:24 → 00:02:27 ให้เกิดแพร้เป็นในสมอง 4 การติดเชื้อใน
00:02:27 → 00:02:30 สมองเช่นไข้้สมองอักเสบจากการติดเชื้อ
00:02:30 → 00:02:33 ไวรัสแบคทีเรียจากการติดเชื้อโปรโตซัว
00:02:33 → 00:02:37 หรือพยาธในสมอง 5 ภาวะสมองขาดออกซิเจน 6
00:02:37 → 00:02:40 เนื้องอกในสมองหรือมะเร็งที่กระจายจาก
00:02:40 → 00:02:44 อวัยวะอื่นๆมาสู่สมอง 7 เป็นโรคหลอดเลือด
00:02:44 → 00:02:48 ในสมองตีบอุตัน 8 ไม่ทราบสาเหตุได้แก่โรค
00:02:48 → 00:02:52 ลมชักที่ไม่พบรอยโรคในสมองสำหรับอาการของ
00:02:52 → 00:02:55 โรคลมชักนั้นมีอาการดังต่อไป
00:02:55 → 00:02:59 นี้อาการของโรคลมชักมีหลากหลายรูปแบบขึ้น
00:02:59 → 00:03:02 อยู่อยู่กับกระแสไฟฟ้าในสมองผิดปกติที่
00:03:02 → 00:03:05 ส่วนใดของสมองและรุนแรงมากน้อยแค่ไหนบาง
00:03:05 → 00:03:08 อาการสังเกตได้ยากว่ามีอาการชักอยู่โดย
00:03:08 → 00:03:12 อาการชักมีดังนี้ 1 อาการชักแบบเกรง
00:03:12 → 00:03:15 กระตุกทั้งตัวโดยการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้า
00:03:15 → 00:03:18 จากส่วนลึกของสมองผิดปกติกระจายไปทั่ว
00:03:18 → 00:03:21 สมองผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการชักเกรง
00:03:21 → 00:03:24 กระตุกหมวดสติทันทีทันใดกล้ามเนื้อลำตัว
00:03:24 → 00:03:28 และแขนขาเกร็งหยุดหายใจชั่วขณะหน้าเขียว
00:03:28 → 00:03:31 กัดลิ้นปัสสาวะและหลับไปเมื่อตื่นรู้ตัว
00:03:31 → 00:03:35 จะมีอาการปวดเมื่อยตามตัวเพลียปวดศีรษะ
00:03:35 → 00:03:39 บางรายยังไม่ตื่นก็เกิดอาการชักซ้ำ 2
00:03:39 → 00:03:42 อาการชักเฉพาะที่โดยกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติ
00:03:42 → 00:03:45 อาจรบกวนสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานแห่งใด
00:03:45 → 00:03:48 แห่งหนึ่งในร่างกายอาการชักที่เกิดจะแตก
00:03:48 → 00:03:50 ต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสัญญาณคลื่น
00:03:50 → 00:03:54 ไฟฟ้าที่ผิดปกติบนผิวสมองเช่นอาการกระตุก
00:03:54 → 00:03:57 ใบหน้ามุมปากแขนหรือขา 3 อาการชักแบบ
00:03:57 → 00:04:02 เหม่อลอยชักแบบเหม่นิ่งตาลอยตาค้างไม่รู้
00:04:02 → 00:04:05 สติชั่วขณะมองไปข้างหน้าแบบลอยๆอาการชัก
00:04:05 → 00:04:08 มักจะถูกกระตุ้นให้เกิดอาการโดยการหายใจ
00:04:08 → 00:04:11 เร็วลึกจะเกิดขึ้นนานประมาณไม่กี่วินาที
00:04:11 → 00:04:15 บางรายอาจจะมีอาการพูดไม่ได้หรือยกแขน
00:04:15 → 00:04:17 ข้างใดข้างหนึไม่ได้อีกหลายนาทีกว่าจะ
00:04:17 → 00:04:18 ตื่นเป็น
00:04:18 → 00:04:22 ปกตินอกจากนี้ค่ะการชักบ่อยๆยังส่งผลเสีย
00:04:22 → 00:04:26 ต่อสมองด้วยค่ะเพราะการชักแต่ละครั้งจะทำ
00:04:26 → 00:04:28 ให้เกิดความเสียหายหรือการบาดเจ็บเกิด
00:04:28 → 00:04:31 ขึ้นกับเซลล์สมองและในคนที่มีอาการชักซ้ำ
00:04:31 → 00:04:35 ๆบ่อยๆในระยะยาวจะเกิดผลเสียต่อสมองใน
00:04:35 → 00:04:39 เรื่องของความจำทำให้ความจำถดถอยช้าลงอาจ
00:04:39 → 00:04:41 ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงและในที่สุดเกิด
00:04:41 → 00:04:46 ภาวะสมองเสื่อมได้สนับสนุนโดยแอปหมอดีหมอ
00:04:46 → 00:04:48 ประจำบ้านในมือ
00:04:48 → 00:04:52 คุณเรายังอยู่ในเรื่องของโรคลมชักกันซึ่ง
00:04:52 → 00:04:55 แน่นอนค่ะโรคลมชักภัยเงียบที่รักษาได้
00:04:55 → 00:04:58 ตระหนักรู้ก่อนสายซึ่งในตอนนี้นะคะเราจะ
00:04:58 → 00:05:00 พาคุณผู้ชมมาคุยกับอาจารย์หมอจาก
00:05:00 → 00:05:06 แอปพลิเคชันหมอดีกัน
00:05:06 → 00:05:12 [เพลง]
00:05:12 → 00:05:15 ค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์ขอเริ่มที่คำถามแรก
00:05:15 → 00:05:18 เลยนะคะคนกลุ่มใดคะอาจารย์ที่มีความ
00:05:18 → 00:05:21 เสี่ยงในการเป็นโรคลมชักโรคลมชักนะครับ
00:05:21 → 00:05:24 เป็นโรคที่เกิดจากการผิดปกติของกระแสปา
00:05:24 → 00:05:27 ฟ้าในสมองนะครับในแต่ละจุดของสมองที่มี
00:05:27 → 00:05:30 ความผิดปกตินะครับซึ่งเอ่อความผิดปกติก็
00:05:30 → 00:05:32 จะเกิดความแตกต่างในแต่ละตำแหน่งเช่นถ้า
00:05:32 → 00:05:35 มีความผิดปกติในตำแหน่งของควบคุมการ
00:05:35 → 00:05:37 เคลื่อนไหวนะครับอาการแสดงก็ออกจะเกิดจะ
00:05:37 → 00:05:40 เกิดมาเป็นเรื่องของการชักเกรงกระตุกตาม
00:05:40 → 00:05:43 แขนขาได้แต่ว่าถ้ามีความผิดปกติในตำแหน่ง
00:05:43 → 00:05:45 ของการมองเห็นนะครับก็จะมีการมองเห็นที่
00:05:45 → 00:05:48 ผิดปกติไปอาจจะมีเห็นแสงวูบแสงวาบได้นะ
00:05:48 → 00:05:50 ครับเอ่อสาเหตุในปัจจุบันนะครับเพะว่า
00:05:50 → 00:05:53 ประมาณ 60-70 เเรายังไม่ทราบสาเหตุนะครับ
00:05:53 → 00:05:56 ส่วนที่ทราบสาเหตุอีกประมาณ 1 ใน 3 เนี่ย
00:05:56 → 00:05:59 พบว่ามาจากพันธุกรรมนะครับถ้าเราพบว่านะ
00:05:59 → 00:06:01 ครับในครอบครัวเรามีคนเป็นโรคลมชักมาก่อน
00:06:01 → 00:06:03 อย่างเช่นคุณพ่อคุณแม่นะครับเอ่อลูกหลาน
00:06:03 → 00:06:05 นะครับอาจจะมีโอกาสเกิดเป็นโรคลมชักได้
00:06:05 → 00:06:09 ต่อมานะครับส่วนในอีกสาเหตุที่เหลือนะ
00:06:09 → 00:06:11 ครับก็จะแบ่งตามช่วงอายุนะครับถ้าเป็นใน
00:06:11 → 00:06:13 วัยเด็กนะครับสาเหตุความเสี่ยงเนี่ยมักจะ
00:06:14 → 00:06:16 เกิดจากอาจจะมีการติดเชื้อระหว่างการคลอด
00:06:16 → 00:06:18 นะครับหรือมีการพัฒนาของสมองที่มีความผิด
00:06:18 → 00:06:21 ปกตินะครับมีการติดเชื้อระหว่างคลอดอย่าง
00:06:21 → 00:06:23 นี้เป็นต้นถ้าโตขึ้นมาหน่อยนะครับเป็นใน
00:06:23 → 00:06:25 ช่วงของวัยรุ่นนะครับหรือผู้ใหญ่ความ
00:06:25 → 00:06:27 เสี่ยงเนี่ยมักจะเกิดขึ้นนะครับถ้าหากเคย
00:06:27 → 00:06:30 มีเอ่ออุบัติเหตุทางสมองมากก่อนะครับหรือ
00:06:30 → 00:06:32 มีก้อนในงอกในสมองส่วนถ้าโตขึ้นมาอีกนะ
00:06:32 → 00:06:34 ครับเป็นผู้สูงอายุเนี่ยความเสี่ยงของโรค
00:06:34 → 00:06:37 ลมชักจะมากขึ้นนะครับในกลุ่มที่มีเอ่อโรค
00:06:37 → 00:06:39 ประจำตัวเป็นโรคเรือดสมองตีบใเรือหัวใจ
00:06:39 → 00:06:42 ตีบครับอาจารย์คะแล้วการตรวจวินิจฉัยโรค
00:06:42 → 00:06:45 ลมชักนั้นมีอะไรบ้างคะจริงๆการวินิจฉัย
00:06:45 → 00:06:47 โรคนะครับที่ง่ายที่สุดแล้วก็ไม่เสียค่า
00:06:47 → 00:06:49 ใช้จ่ายใดๆเลยนะครับก็คือเรื่องของการให้
00:06:49 → 00:06:50 ประวัตินะครับการซับประวัตินะครับเรื่อง
00:06:51 → 00:06:54 ของโรคลมชักมีความสำคัญมากๆนะครับใน
00:06:54 → 00:06:56 เรื่องของทั้งอาการก่อนชักนะครับระหว่าง
00:06:56 → 00:06:58 ที่ชักอยู่แล้วก็อาการหลังจากที่มีอาการ
00:06:58 → 00:07:01 ชักเสร็จแล้วแล้วนะครับประวัติต่างๆเหล่า
00:07:01 → 00:07:02 นี้นะครับจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้คุณหมอ
00:07:02 → 00:07:04 เนี่ยสามารถที่จะวินิจฉัยแล้วว่าอาการที่
00:07:04 → 00:07:07 เกิดขึ้นนะครับเกิดจากโรคลมชักนะครับจริง
00:07:07 → 00:07:09 หรือไม่ดังนั้นถ้าจะมาพบแพทยทุกครั้งก็
00:07:09 → 00:07:12 แนะนำว่าให้นำญาตินะครับหรือผู้เหตการ
00:07:12 → 00:07:15 เนี่ยมาด้วยเสมอครับส่วนการตรวจละเอียด
00:07:15 → 00:07:17 ที่เพิ่มเติมลงไปนะครับก็จะเป็นในเรื่อง
00:07:17 → 00:07:20 ของการสแกนสมองนะครับไม่ว่าจะเป็นการี
00:07:20 → 00:07:23 สแกนการทำ MRI สมองนะครับอาจารย์คะสำหรับ
00:07:23 → 00:07:26 ผู้ที่เป็นโรคลมชักแล้วเนี่ยสามารถรุนแรง
00:07:26 → 00:07:29 ได้จนถึงขั้นเสียชีวิตมั้ยคะต้องบอกก่อน
00:07:29 → 00:07:31 นะครับว่าโรคลมชั้นนะครับส่วนใหญ่่ของผู้
00:07:31 → 00:07:33 ป่วยเนี่ยมักจะไม่มีการรุนแรงถึงขั้นเอ่อ
00:07:33 → 00:07:35 เสียชีวิตนะครับตัวนี้ก็คลายกังวลไปได้ใน
00:07:35 → 00:07:38 ส่วนหนึ่งนะครับแต่ว่าก็จะมีอีกส่วนนึงนะ
00:07:38 → 00:07:40 ครับที่มีความรุนแรงที่ค่อนข้างมากนะครับ
00:07:40 → 00:07:42 อันนี้สังเกตได้จากเช่นเ้าเรียกว่าเอ่อมี
00:07:42 → 00:07:45 ภาวะเสี่ยงตับการชักต่อเนื่องนะครับภาวะ
00:07:45 → 00:07:47 ชักต่อเนื่องเนี่ยความเสี่ยงจะเกิดขึ้นก็
00:07:47 → 00:07:50 ต่อเมื่อผู้ป่วยนะครับมีอาการชักเกิน 5
00:07:50 → 00:07:52 นาทีนะครับหรือไม่ว่าภาวะชักเสร็จแล้วสลบ
00:07:53 → 00:07:55 ไปไม่ฟื้นคืนขึ้นมานะครับเกิน 30 นาทีนะ
00:07:56 → 00:07:58 ครับถ้ามี 2 ข้อนี้นะครับข้อใดข้อ1ึจะ
00:07:58 → 00:08:01 สงสัยแต่ภาวะชักต่อเนื่องได้ซึ่งความรุน
00:08:01 → 00:08:03 แรงของโรคเนี่ยก็จะมากหรืออาจจะมีภาวะชัก
00:08:03 → 00:08:05 ที่อาเดือนนึงชักบ่อยเกิน 4 ครั้งต่อ
00:08:05 → 00:08:08 เดือนนะครับถ้ามีในส่วนเยความเสี่ยงสูง
00:08:08 → 00:08:10 นี้จะทำให้เกิดอาการสมองขาดเลือดนะครับ
00:08:10 → 00:08:12 สมองขาดออกซิเจนเกิดขึ้นได้ทำไปสู่ภาวะ
00:08:12 → 00:08:15 ที่เสียชีวิตได้ครับอาจารย์คะในการรักษา
00:08:15 → 00:08:18 โรคลมชักนั้นมีกี่วิธีคะแล้วการรับประทาน
00:08:18 → 00:08:20 ยาจะต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิตหรือไม่คะ
00:08:20 → 00:08:23 อาจารย์ปัจจุบันวิวัฒนาการนะครับเรื่อง
00:08:23 → 00:08:25 ของการรักษาเนี่ยก้าวหน้าไปอย่างมากนะ
00:08:25 → 00:08:28 ครับซึ่งปัจจุบันเราก็จะมี 4 รูปแบบหลักๆ
00:08:28 → 00:08:30 ของการรักษานะครับก็คืออแรกก็คือเรื่อง
00:08:30 → 00:08:33 ของการรับประทาากัญชักนะครับเพื่อควบคุม
00:08:33 → 00:08:35 โรคลมชักอย่างที่ 2 เรื่องของการผ่าตัด
00:08:35 → 00:08:38 สมองนะครับในจุดกำเนิดที่มีการนำกระแสไฟ
00:08:38 → 00:08:41 ฟ้าที่มีความผิดปกติอย่างที่ 3 นะครับคือ
00:08:41 → 00:08:44 เรื่องของการใส่เครื่องนะครับควบคุมกระแส
00:08:44 → 00:08:46 ไฟฟ้าในสมองนะครับอย่างที่ 4 คือเรื่อง
00:08:46 → 00:08:48 ของการรับประทานอาหารบางชนิดนะครับที่
00:08:48 → 00:08:51 เรียกว่าคทิ Diet ที่จะมีการรับประทาน
00:08:51 → 00:08:53 จำเพาะนะครับในกลุ่มของโรครมชักครับส่วน
00:08:54 → 00:08:56 คำถามที่ว่าเรื่องของรับประทานยานะครับลม
00:08:56 → 00:08:59 ชักเนี่ยต้องทานยาตลอดชีวิตหรือไม่ผู้ปว
00:08:59 → 00:09:00 ส่วนใหญ่อย่างจำเป็นต้องรับประทานยาอย่าง
00:09:00 → 00:09:03 ต่อเนื่องนะครับเพื่อคุมอาการชักได้แต่ก็
00:09:03 → 00:09:05 จะมีส่วนหนึ่งนะครับที่เราพบว่าสามารถที่
00:09:05 → 00:09:08 จะหยุดยาการชักได้ส่วนนี้เราพบว่าส่วน
00:09:08 → 00:09:10 ใหญ่ก็จะเป็นในกลุ่มที่เด็กมีร่มช้ามา
00:09:10 → 00:09:12 ตั้งแต่เด็กนะครับเนื่องจากส่วนนี้เราพบ
00:09:12 → 00:09:14 ว่าถ้าเราเอ่อเด็กเนี่ยโตขึ้นนะครับเอ่อ
00:09:14 → 00:09:17 ภาวะสมองก็จะมีการพัฒนาขึ้นนะครับทำให้
00:09:17 → 00:09:20 ควบคุมโรคลมชักได้ถ้าหากจะมีการหยุดยากัน
00:09:20 → 00:09:22 ชักก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์นะครับที่เราดู
00:09:22 → 00:09:24 แลอยู่ด้วยทุกครั้งนะครับตัดสินใจร่วมกัน
00:09:24 → 00:09:27 ครับอาจารย์คะโรคลมชักเนี่ยมีวิธีในการ
00:09:27 → 00:09:30 รักษาหายขาดได้มยคะในปัจจุบันนะครับการ
00:09:30 → 00:09:32 รักษาให้หายขาดเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะเป็น
00:09:32 → 00:09:34 เรื่องของการควบคุมอาการชักไม่ให้มีอาการ
00:09:34 → 00:09:36 ชักเกิดขึ้นมาใหม่ก็คือการเป็นการรับ
00:09:36 → 00:09:39 ประทานยาอย่างต่อเนื่องให้ถูกขนาดถูกโดส
00:09:39 → 00:09:42 นะครับตามที่แพทย์ได้ได้สั่งมาแต่ว่าก็
00:09:42 → 00:09:44 ยังจะมีในเรื่องของการรักษาอีกแบบนึงที่
00:09:44 → 00:09:47 อาจจะหายขาดได้ก็คือเรื่องของการผ่าตัด
00:09:47 → 00:09:49 ครับคือเป็นการผ่าตัดในการรักษาในส่วนของ
00:09:49 → 00:09:52 สมองที่มีความผิดปกติแต่ว่าการรักษาดยการ
00:09:52 → 00:09:55 ผ่าตัดนะครับของสมองเนี่ยเราจะไม่ได้ทำใน
00:09:55 → 00:09:57 ทุกรายนะครับแล้วก็จะเลือกเคสนะครับเช่น
00:09:57 → 00:10:00 เอ่อผู้ป่วยรายนี้นะครับมีมีความดื้อยานะ
00:10:00 → 00:10:03 ครับก็คือทานยาไปแล้วขนาดที่สูงๆมีการ
00:10:03 → 00:10:04 เปลี่ยนยาแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะควบ
00:10:04 → 00:10:07 คุมอาการชักได้อาจารย์คะถ้าเกิดเราไปเจอ
00:10:07 → 00:10:10 คนนะคะกำลังลมชักอยู่ก็คือชักกันอยู่กับ
00:10:10 → 00:10:13 พื้นเนี่ยค่ะเราจะมีวิธีในการปฐมพยาบาล
00:10:13 → 00:10:15 อย่างไรบ้างคะเพื่อที่จะป้องกันการเกิด
00:10:15 → 00:10:18 การบาดเจ็บให้กับคนไข้ถ้าเมื่อต้นเราเห็น
00:10:18 → 00:10:20 นะครับผู้ป่วยนะครับชักอยู่ตรงหน้าเราเลย
00:10:20 → 00:10:22 นะครับอย่างแรกนะครับสมัยก่อนเรามีความ
00:10:22 → 00:10:24 เชื่อว่าจะต้องนำช้อนนะครับหรือผ้าหรือ
00:10:24 → 00:10:26 เอามือนะครับไปใส่ที่ปากของผู้ปวดเพื่อ
00:10:26 → 00:10:29 ป้องกันการอุบัตเกิดอุบัติเหตุนะครับจริง
00:10:29 → 00:10:31 ๆแล้วนี่เป็นความเพื่อนที่ผิดมากๆเลยนะ
00:10:31 → 00:10:33 ครับเพราะว่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ
00:10:33 → 00:10:35 ซ้อนได้นะครับไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาจจะ
00:10:35 → 00:10:38 มีฟันที่หักนะครับลงไปอุดกั้นบริเวณทาง
00:10:38 → 00:10:41 เดินหายใจได้ทำให้ผู้ป่วยขาดการหายใจแล้ว
00:10:41 → 00:10:43 ก็เสียชีวิตได้เลยสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ห้าม
00:10:43 → 00:10:45 ทำเด็ดขาดนะครับอย่างแรกนะครับถ้าเราพบ
00:10:45 → 00:10:48 ว่าผู้ป่วยลมชักนะครับเกิดอยู่ตรงหน้าเรา
00:10:48 → 00:10:50 นะครับให้เราตะโกนนะครับขอความช่วยเหลือ
00:10:50 → 00:10:53 โดยทันทีนะครับแล้วโทรหา 1669 ต่อมาให้
00:10:53 → 00:10:56 เราสังเกตว่าสภาวะแวดล้อมรอบข้างเนี่ยมี
00:10:56 → 00:10:59 สิ่งของหรืออะไรที่น่าอันตรายมที่จะตกลง
00:10:59 → 00:11:01 มาทับผู้ป่วยนะครับหลังจากนั้นให้นะครับ
00:11:01 → 00:11:04 ให้เรานะครับประมาณปลดนะครับเสื้อผ้าออก
00:11:04 → 00:11:06 อย่างหลวมๆเพื่อให้ผู้ป่วยเนี่ยหายใจได้
00:11:06 → 00:11:09 อย่างสะดวกและนำผู้ป่วยนะครับตะแคงไปทาง
00:11:09 → 00:11:11 ด้านซ้ายนะครับโดยหันหน้านะครับแล้วก็ลำ
00:11:11 → 00:11:14 ตัวไปทางด้านซ้ายนะครับทำเพียงเท่านี้นะ
00:11:14 → 00:11:16 ครับก็เพียงพอแล้วนะครับไม่จำเป็นที่จะ
00:11:16 → 00:11:18 ต้องไปล็อคแขนล็อคขานะครับขณะที่เขากำลัง
00:11:18 → 00:11:21 มีอาการชักเกงอยู่เพิ่มเติมอีกอย่างนึง
00:11:21 → 00:11:23 คือถ้าเราสามารถมีอุปกรณ์นะครับเช่น
00:11:23 → 00:11:25 โทรศัพท์มือถือสามารถที่จะอัดวีดีโอนะ
00:11:25 → 00:11:27 ครับภาพเหตุการณ์ระหว่างการชักได้เนี่ยก็
00:11:27 → 00:11:30 จะสามารถีมามากเป็นข้อมูลให้กับแพทย์
00:11:30 → 00:11:32 พยาบาลที่จะมาถึงจุดเกิดเหตุแต่ก็จะมีผู้
00:11:32 → 00:11:34 ป่วยอีกส่วนนึงที่มีความรุนแรงของโรคที่
00:11:34 → 00:11:37 มากนะครับก็คือชักเกิน 5 นาทีนะครับหรือ
00:11:37 → 00:11:41 ว่าสลบนะครับไม่ฟื้นขึ้นมาภายใน 30 นาที
00:11:41 → 00:11:43 นะครับอันนี้ถือว่ามีความรุนแรงที่เรียก
00:11:43 → 00:11:46 ว่าอาจจะชักต่อเนื่องได้สังเกตว่าผู้ป่วย
00:11:46 → 00:11:48 ยังมีภาวะหายใจอยู่หรือเปล่านะครับมีหัว
00:11:48 → 00:11:51 ใจหยุดเต้นหรือไม่ครับถ้ามีนะครับก็
00:11:51 → 00:11:53 จำเป็นที่จะต้องปั๊มหัวใจนะครับทำการ cmr
00:11:53 → 00:11:56 ผู้ป่วยโดยทันทีหลังจากนั้นก็รอทีมแพทย์
00:11:56 → 00:11:58 พยาบาลนะครับมาถึงที่จุดเกิดเหตุเราก็นำ
00:11:58 → 00:12:00 วิดีโอที่เราถ่ายไว้นะครับให้กับชีมแพทย์
00:12:00 → 00:12:03 พยาบาลนะครับแล้วก็ทำการรักษาต่อไปเท่า
00:12:03 → 00:12:05 นี้ก็จะเป็นการผฐมพยาบาลเบื้องต้นได้
00:12:05 → 00:12:08 อย่างดีเยี่ยมเลยครับอาจารย์คะหากเราเป็น
00:12:08 → 00:12:10 ญาติของผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักเนี่ยแล้ว
00:12:10 → 00:12:13 เราพบว่าเขามีภาวะโรคลมชักอยู่เราจะมี
00:12:14 → 00:12:16 วิธีการปฏิบัติตัวแล้วก็ดูแลเขาอย่างไร
00:12:16 → 00:12:19 ได้บ้างคะญาตผู้ป่วยเนี่มีความสำคัญมากๆ
00:12:19 → 00:12:22 นะครับนจะช่วยคุณหมอดูแลรักษาคนไข้นะครับ
00:12:22 → 00:12:24 อย่างแรกเลยครับอยากให้ญาตินะครับหรือผู้
00:12:24 → 00:12:27 ที่ดูแลนะครับสังเกตและพยายามจดจำลักษณะ
00:12:27 → 00:12:30 การชักของผู้ปนะครับว่าอาการชักเป็นอย่าง
00:12:30 → 00:12:32 ไรในแต่ละครั้งเนื่องจากผู้ปวยโรคลมชักนะ
00:12:32 → 00:12:35 ครับอาการชักเนี่ยเขามักจะมีลักษณะที่ซ้ำ
00:12:35 → 00:12:37 ๆกันนะครับถ้าหากบางครั้งที่มีลักษณะที่
00:12:37 → 00:12:40 เปลี่ยนแปลงไปนะครับอันนี้อาจจะสงสัยว่า
00:12:40 → 00:12:42 มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆเพิ่มเติมด้วยหรือ
00:12:42 → 00:12:44 เปล่านะครับต้องนำข้อมูลนี้ไปแจ้งกับเ
00:12:44 → 00:12:47 แพทย์พยาบาลที่ทำการรักษานะครับรวมถึง
00:12:47 → 00:12:50 เรื่องของการเอ่อดูแลนะครับรับประทานยานะ
00:12:50 → 00:12:52 ครับกำชับผู้ป่วยให้ทานยาอย่างสม่ำเสมอ
00:12:52 → 00:12:56 ทางยาอย่างถูกต้องนะครับแล้วก็เข้าใจใน
00:12:56 → 00:12:58 การไม่สร้างความเครียดนะครับให้กับผู้
00:12:58 → 00:13:00 ป่วยอาจจะเป็นทำให้เป็นปัจจัยกระตุ้น
00:13:00 → 00:13:02 อย่างหนึ่งทำให้อาการเช้าเนี่ยนกำเริบได้
00:13:02 → 00:13:05 อาจารย์คะสุดท้ายค่ะอยากให้อาจารย์ให้คำ
00:13:05 → 00:13:08 แนะนำในเรื่องของการดูแลตัวเองของผู้ป่วย
00:13:08 → 00:13:11 โรคลมชักอาจารย์จะมีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะ
00:13:11 → 00:13:13 สำหรับผู้ป่วยที่ดูแลโรคลมชักด้วยตนเองนะ
00:13:13 → 00:13:15 ครับสำคัญมากๆนะครับพี่เพราะว่าการชัก
00:13:15 → 00:13:17 บ่อยๆเนี่ยไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆนะครับ
00:13:17 → 00:13:19 อย่างแรกคือเรื่องของการรับประทานยาอย่าง
00:13:19 → 00:13:23 ถูกต้องนะครับทานยาอย่างสม่ำเสมอไม่ลืมนะ
00:13:23 → 00:13:25 ครับในส่วนของยาที่เราต้องทานในแต่ละวัน
00:13:25 → 00:13:28 ยาากถูงโดสแล้วก็ถูกต้องนะครับอย่างที่ 2
00:13:28 → 00:13:30 คือเรื่องของการหลีกเลี่ยงนะครับการทำ
00:13:30 → 00:13:32 กิจกรรมที่เป็นอันตรายไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
00:13:32 → 00:13:35 ของการขับขี่ยานยนต์นะครับการปีนป่ายหรือ
00:13:35 → 00:13:37 ว่าการออกกำลังกายเช่นการว่ายน้ำนะครับ
00:13:37 → 00:13:39 ที่มีความเสี่ยงหากมีโรคซักกำเริบขึึ้นมา
00:13:39 → 00:13:41 อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่น่ากลัวได้นะ
00:13:41 → 00:13:44 ครับสำหรับในเรื่องของการขับรถของผู้ป่วย
00:13:44 → 00:13:47 ที่เป็นโรคลมชักนะครับสมมุติถ้าเราควบคุม
00:13:47 → 00:13:48 อาการได้ดีจริงๆนะครับทันยาอย่างต่อ
00:13:48 → 00:13:51 เนื่องอันนี้ก็ยังสามารถที่จะขับรถได้แต่
00:13:51 → 00:13:53 ว่าหมอก็ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่นะครับถ้า
00:13:53 → 00:13:55 เป็นทางที่ดีเนี่ยควรจะให้ญาติหรือผู้ดู
00:13:55 → 00:13:58 แลเนี่ยเป็นคนขับรถให้เท่านั้นเพราะว่า
00:13:58 → 00:14:00 อาการการกำเเริ่มเนี่ยเราไม่ทราบได้เลย
00:14:00 → 00:14:02 ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ถ้าหากเกิดขึ้นมา
00:14:02 → 00:14:04 นะครับมีอันตรายนะครับอุบัติเหตุทางรถ
00:14:04 → 00:14:06 ยนต์เนี่ยผมว่าเป็นอะไรที่อันตรายกว่าดัง
00:14:06 → 00:14:08 นั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้จริงๆหมอก็นำว่ายัง
00:14:08 → 00:14:10 ไม่ควรที่จะขับขี่ยานยนต์นะครับอันที่ 3
00:14:10 → 00:14:12 คือเรื่องของการนอนหลับอย่างเพียงพอนะ
00:14:12 → 00:14:14 ครับถ้าหากเรานอนหลับอย่างไม่เพียงพอ
00:14:14 → 00:14:16 เนี่ยพบว่าจะทำให้เกิดภาวะรองเท้าเนี่ย
00:14:16 → 00:14:19 กำเเริ่มได้ง่ายขึ้นนะครับความเครียดก็
00:14:19 → 00:14:21 เช่นกันนะครับแต่ว่าก็เข้าใจว่าอาจจะควบ
00:14:21 → 00:14:23 คุมได้ยากเนาะหมาอก็นเรื่องของการออก
00:14:23 → 00:14:26 กำลังกายเพื่อลดความเครียดนะครับทั้งจะทำ
00:14:26 → 00:14:28 ให้เราเนี่ยมีร่างกายที่แข็งแรงนะครับ
00:14:28 → 00:14:31 ร่างกายแล้วก็หลั่งสารความสุขขึ้นมานะ
00:14:31 → 00:14:33 ครับแนะนำว่าออกกำลังกายอย่างน้อย 150
00:14:33 → 00:14:35 นาทีต่อสัปดาห์นะครับก็ช่วยให้ร่างกายเรา
00:14:35 → 00:14:38 แข็งแรงแลห่างไกลจากการลมชักได้ครับคุณ
00:14:38 → 00:14:41 ผู้ชมทราบไคะว่าโรคลมชักหรือว่าลมบ้าหมู
00:14:41 → 00:14:44 นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยและ
00:14:44 → 00:14:47 เป็นภัยเงียบที่หลายคนค่ะไม่ทราบกันนอก
00:14:47 → 00:14:49 จากนี้การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องยังมีความ
00:14:50 → 00:14:52 สำคัญอย่างยิ่งยวดในผู้ป่วยที่เป็นโรคลม
00:14:52 → 00:14:53 บ้า
00:14:53 → 00:14:57 หมูทั้งนี้การป้องกันโรคลมชักที่ดีที่สุด
00:14:57 → 00:15:00 คือการตรวจหาโรคตั้งแต่เนิ่นๆหากมีอาการ
00:15:00 → 00:15:03 ที่อาจเป็นสาเหตุมาจากโรคลมชักเช่นความจำ
00:15:03 → 00:15:07 ไม่ดีหรือสูญเสียความจำเมอลอยวูบเบลอ
00:15:07 → 00:15:10 เคี้ยวปากมือเเร็งผู้ติดขัดควรไปพบแพทย์
00:15:10 → 00:15:13 เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาทเพื่อทำการ
00:15:13 → 00:15:15 ตรวจวินิจฉัยช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด
00:15:15 → 00:15:20 โรคลมชักและทำการรักษาแต่เนิๆได้ค่ะขอ
00:15:20 → 00:15:22 ขอบพระคุณอาจารย์จากแอปพลิเคชันหมอดีที่
00:15:22 → 00:15:24 มาให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโรคลม
00:15:24 → 00:15:28 ชักกันสนับสนุนโดยแอปหมอดีหมอประจำบ้านใน
00:15:28 → 00:15:30 มือ
00:15:30 → 00:15:33 คุณอย่างที่หมอดาวบอกไปค่ะว่าหมอดาวจะนำ
00:15:33 → 00:15:36 วิธีในการออกกำลังสมองหรือที่เรียกว่า
00:15:36 → 00:15:39 neurobic Exercise มาฝากกันไปฟังพร้อมๆ
00:15:39 → 00:15:43 กันค่ะ neurobic Exercise หรือการออก
00:15:43 → 00:15:46 กำลัง neurobic เป็นการส่งเสริมให้เราได้
00:15:46 → 00:15:48 ใช้พื้นที่ในสมองบางส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้
00:15:49 → 00:15:51 งานเพื่อที่จะให้สมองส่วนนี้ไม่ฝ่อเพราะ
00:15:52 → 00:15:54 สมองก็ไม่ต่างจากกล้ามเนื้อหากไม่ได้ใช้
00:15:54 → 00:15:57 งานนานก็จะรีบเล็กไม่มีแรงทำให้เรารู้สึก
00:15:57 → 00:16:00 ไม่กระปี้กระปเ่าโดยการออกกำลังสมองแบบ
00:16:00 → 00:16:05 นบิถูกคิดค้นเมื่อปี 1999 โดย Cast and
00:16:05 → 00:16:09 rubin ซึ่งเราทำตามได้ง่าย 10 วิธีดัง
00:16:09 → 00:16:12 นี้ค่ะ 1 สลับที่ของบนโต๊ะอ่านหนังสือ
00:16:12 → 00:16:15 เริ่มที่จัดโต๊ะใหม่จัดที่วางของใหม่จาก
00:16:15 → 00:16:19 ที่จะวางคอนโดปากกาไว้ที่ข้างขวาก็ลอง
00:16:19 → 00:16:22 ย้ายมันไปไว้ในข้างซ้ายหรือจะหมุนทิศทาง
00:16:22 → 00:16:24 ของโต๊ะไปทางใหม่เราจะได้เปลี่ยนทิศทาง
00:16:25 → 00:16:27 นั่งเปลี่ยนที่วางถังขยะใหม่ไปไว้ในมุม
00:16:27 → 00:16:31 ที่เราไม่เคยวางสลับที่วางนิดหน่อยเพื่อ
00:16:31 → 00:16:34 จะได้กระตุ้นสมองให้จดจำตำแหน่งใหม่ๆ 2
00:16:34 → 00:16:37 ทบทวนเหตุการณ์ 3 อย่างก่อนนอนจะช่วยฝึก
00:16:37 → 00:16:40 ฝนรหัสสมองด้านความคิดเช่นวันนี้เราได้ทำ
00:16:40 → 00:16:43 อะไรที่สนุกที่สุดยากที่สุดทำแล้วสำเร็จ
00:16:43 → 00:16:47 หรือไม่ลองระบุสาเหตุและทางแก้ไขนอกจาก
00:16:47 → 00:16:50 นี้ยังสามารถฝึกสมองด้านความคิดด้วยการ
00:16:50 → 00:16:53 ตั้งเป้าหมายใน 1 วันด้วยการมองหาข้อดี
00:16:53 → 00:16:58 ของคนรอบข้างให้ได้ 3 ข้อ 3 พูดคุยกับคน
00:16:58 → 00:17:01 การพูดคุยกับผู้คนใหม่ๆที่เราไม่สนิทหรือ
00:17:01 → 00:17:04 เพื่อทำความรู้จักเป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้า
00:17:04 → 00:17:07 ทายเพราะเราไม่รู้เลยว่าจะเจออะไรบ้างมัน
00:17:07 → 00:17:10 ไม่เหมือนการคุยกับเพื่อนที่เราสนิทกัน
00:17:10 → 00:17:13 การพูดคุยกับคนที่มาจากพื้นเพที่ต่างกัน
00:17:13 → 00:17:15 วัฒนธรรมที่ต่างกันการไปเดินตลาดที่ไม่
00:17:15 → 00:17:18 เคยเดินจะช่วยกระตุ้นสมองในส่วนของการได้
00:17:18 → 00:17:21 ประสบการณ์ใหม่ๆเทียบเท่ากับการได้ไป
00:17:21 → 00:17:23 เที่ยวค่ะกระตุ้นการหลังโดปามีนที่เป็น
00:17:23 → 00:17:26 สารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจซึ่งจะ
00:17:26 → 00:17:30 ช่วยเราลดปัญหาเบิร์นหรือภาวะหมดไฟได้
00:17:30 → 00:17:34 ด้วย 4 ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดบ้างการแปรง
00:17:34 → 00:17:37 ฟันด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดเปลี่ยนมือที่
00:17:37 → 00:17:39 ใช้จับช้อนซ่อมในการรับประทานอาหารลองใช้
00:17:39 → 00:17:42 ตะเกียบแทนช้อนซ่อมทานข้าวนะคะเปลี่ยนมือ
00:17:42 → 00:17:44 ในการจับเมาส์การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
00:17:45 → 00:17:47 เหล่านี้จะช่วยให้สมองส่วนที่ไม่ค่อยถูก
00:17:47 → 00:17:50 ใช้เลยได้ถูกใช้งานบ้างและยังเป็นการได้
00:17:50 → 00:17:55 ฝึกสมองทั้ง 2 ข้างด้วย 5 อ่านป้ายโฆษณา
00:17:55 → 00:17:57 การอ่านป้ายโฆษณาออกเสียงแบบฟรีสไตล์
00:17:57 → 00:18:00 เหมือนเหมือนแบบที่เราเคยได้ยินในทีวี
00:18:00 → 00:18:03 หรือวิทยุนั้นทำให้สมองทั้งซีกซ้ายและซีก
00:18:03 → 00:18:06 ขวาไปกระตุ้นสมองชั้นนอกให้ทำงานไปพร้อม
00:18:06 → 00:18:09 กันโดยเฉพาะส่วนของการได้เห็นและได้ยิน
00:18:09 → 00:18:13 ค่ะ 6 หลับตาตอนอาบน้ำลองหลับตาขณะทำ
00:18:13 → 00:18:16 กิจกรรมที่ไม่เป็นอันตรายเช่นอาบน้ำสระผม
00:18:16 → 00:18:19 ผูกเชือกรองเท้าใช้เครื่องคิดเลขพิมพ์แชท
00:18:19 → 00:18:22 มือถือซักผ้าที่ไม่ได้เปื้อนมากหรือตอน
00:18:22 → 00:18:24 รับประทานอาหารเป็นต้นเพราะเมื่อเราปิด
00:18:24 → 00:18:27 การรับรู้บางส่วนการรับรู้ส่วนอื่นจะทำ
00:18:27 → 00:18:30 งานหนักขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งสมองในส่วน
00:18:30 → 00:18:33 ได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสและสัมผัสก็จะได้
00:18:33 → 00:18:36 เป็นพระเอกบ้างนักชิมอาหารบางคนถึงชอบ
00:18:36 → 00:18:39 หลับตาชิมอาหารเพราะอยากจะกระตุ้นสมอง
00:18:39 → 00:18:42 ส่วนที่ได้กลิ่นลิ้มรสและสัมผัสให้สรอง
00:18:42 → 00:18:45 ขึ้นเท่าๆกับส่วนที่มองเห็น 7 เปลี่ยนทาง
00:18:45 → 00:18:48 กลับบ้านในแต่ละวันการเปลี่ยนเส้นทางการ
00:18:48 → 00:18:51 เดินทางจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วน
00:18:51 → 00:18:54 cex และฮิ campus ที่ทำหน้าที่เกี่ยว
00:18:54 → 00:18:57 ข้องกับความทรงจำการจัดเก็บและจัดระเบียบ
00:18:57 → 00:19:00 ความทรงจำเหมือนอย่างที่ิตมหาเศรษฐีเจ้า
00:19:01 → 00:19:03 ของบริษัท Microsoft ก็เลือกที่จะฝึกสมอง
00:19:03 → 00:19:07 ด้วยวิธีนี้โดยเขาขับรถจากบ้านไปที่ทำงาน
00:19:07 → 00:19:10 ด้วยเส้นทางที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน 8
00:19:10 → 00:19:13 ท่องพยัญชนะกลับหลังวางของกลับหัวลองคิด
00:19:13 → 00:19:16 กลับหัวจากหลังไปหน้าดูค่ะเช่นท่องหนกฮุก
00:19:16 → 00:19:20 ถึงกไก่ Z ถึง a หรือพยัญชนะภาษาอื่นที่
00:19:20 → 00:19:23 เรากำลังเรียนอยู่หรือการวางตารางเรียน
00:19:23 → 00:19:25 ปฏิทินนาฬิกาตั้งโต๊ะรูปภาพกลับหัวเพราะ
00:19:25 → 00:19:28 ปกติเวลาที่เรามองสิ่งที่มันตั้งอยู่ใน
00:19:29 → 00:19:32 ตำแหน่งปกติสมองซีกขวาจะทำงานหนักแต่
00:19:32 → 00:19:35 เมื่อวางมันกลับหัวสมองซีกซ้ายจะได้ทำงาน
00:19:35 → 00:19:38 บ้างและทำให้เราใช้ประสาทสัมผัสทางตามาก
00:19:38 → 00:19:41 ขึ้นช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบสมองให้ดี
00:19:41 → 00:19:44 ยิ่งขึ้นไปอีก 9 ทายเสียงจากการได้ยิน
00:19:44 → 00:19:46 เวลาที่เราได้ยินเสียงอะไรก็ตามที่ผ่าน
00:19:46 → 00:19:49 เข้ามาในหูอย่าเพิ่งรีบหันไปมองทันทีค่ะ
00:19:49 → 00:19:52 ให้เรานึกก่อนว่านั้นน่าจะเป็นเสียงอะไร
00:19:52 → 00:19:55 หรือเสียงของใครโดยปกติสมองของคนเราจะแยก
00:19:55 → 00:19:57 แยะสิ่งต่างๆด้วยกันมองเห็นแต่เมื่อเรา
00:19:57 → 00:19:59 เปลี่นเปลี่ยนไปเป็นการได้ยินบ้างก็จะ
00:19:59 → 00:20:02 เป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองที่ควบคุม
00:20:02 → 00:20:06 การได้ยินให้ดียิ่งขึ้นและข้อสุดท้ายค่ะ
00:20:06 → 00:20:10 10 ลองชิมอาหารที่ไม่เคยลองเพราะจมูกของ
00:20:10 → 00:20:12 เราสามารถแยกกลิ่นที่แตกต่างกันได้เป็น
00:20:12 → 00:20:16 ล้านกลิ่นค่ะแต่จะค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆ
00:20:16 → 00:20:19 เมื่อไม่ได้ใช้งานเช่นเดียวกับต่อมรับรส
00:20:19 → 00:20:22 เมื่อเคยชิมแต่อะไรเดิมๆสมองส่วนกลางเรา
00:20:22 → 00:20:24 จะไม่ได้ออกกำลังมากเท่ากับการลองชิม
00:20:24 → 00:20:28 อาหารเมนูใหม่ๆดังนั้นอาหารรสชาติใหม่ๆจะ
00:20:28 → 00:20:30 ช่วยกระตุ้นให้เกิดการรับรถและความรู้สึก
00:20:31 → 00:20:33 ใหม่ๆในสมองอีก
00:20:33 → 00:20:37 ด้วยเป็นอย่างไรกันบ้างคะคุณผู้ชมกับสาระ
00:20:37 → 00:20:40 สุขภาพดีๆที่หมอดาวและทีมงาน tn นำมาฝาก
00:20:41 → 00:20:43 กันวันนี้หวังใจเป็นอย่างยิ่งค่ะว่าคุณ
00:20:43 → 00:20:46 ผู้ชมจะมีสมองแจ่มใสร่างกายแข็งแรงกัน
00:20:46 → 00:20:49 ท้วนหน้านะคะและสำหรับวันนี้นะคะต้องขอ
00:20:49 → 00:20:52 ขอบพระคุณคุณผู้ชมทุกท่านที่ติดตามรับชม
00:20:52 → 00:20:55 รายการ TNN Health มาตลอดทั้งรายการและ
00:20:55 → 00:20:58 อย่าลืมนะคะติดตามรับชมรายการ TNN เเป็น
00:20:58 → 00:21:03 ประจำทุกวันเสาร์ค่ะเวลาดี 15:00 น- 15:30
00:21:03 → 00:21:08 นที่นี่ TNN ช่อง 16 นอกจากนี้นะคะอย่า
00:21:08 → 00:21:10 ลืมกดไลค์กดแชร์กด Subscribe กดกระดิ่ง
00:21:10 → 00:21:13 เตือนค่ะเพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงาน tn
00:21:13 → 00:21:15 and Health กับหมอดาวด้วยนะคะไม่ว่าจะ
00:21:15 → 00:21:18 เป็นช่องทางล Network YouTube tiktok
00:21:18 → 00:21:21 Facebook Instagram และ LINE official
00:21:21 → 00:21:24 อีกด้วยเพื่อที่จะเข้าถึงทุกสาระสุขภาพ
00:21:24 → 00:21:27 เสริมภูมิคุ้มกันรู้ทันโรคค่ะสำหรับวัน
00:21:27 → 00:21:31 นี้นะคะหมอดาวและรายการ TNN ต้องขอตัวลา
00:21:31 → 00:21:34 คุณผู้ชมไปก่อนค่ะสวัสดี
00:21:34 → 00:21:57 [เพลง]
00:21:57 → 00:22:13 ค่ะ
00:22:13 → 00:22:16 อ