00:00:00 → 00:00:04 ภาวะตัวบวม คือ ภาวะที่ร่างกาย มีการกักเก็บน้ำภายในร่างกายมากเกินไป
00:00:04 → 00:00:06 แม้ว่าจะเป็นภาวะที่เกิดชั่วคราว
00:00:06 → 00:00:08 แต่ก็มีภาวะตัวบวมที่เป็นข้อควรระวัง
00:00:08 → 00:00:12 ที่อาจจะเป็นที่มาของความบกพร่อง ของโรคต่าง ๆ ภายในร่างกาย
00:00:12 → 00:00:13 การรับประทานอาหารในบางกลุ่ม
00:00:13 → 00:00:17 ก็ทำให้เพิ่มปัจจัย ทำให้เกิดภาวะตัวบวมภายในร่างกายได้ค่ะ
00:00:17 → 00:00:20 [เสียงดนตรี]
00:00:20 → 00:00:23 สำหรับอาหารกลุ่มแรก คือ อาหารที่มีโซเดียมสูง
00:00:23 → 00:00:27 เพราะว่าภายในร่างกายจะมีการรักษาสมดุล น้ำและโซเดียมภายในร่างกาย
00:00:27 → 00:00:30 การที่เราได้รับโซเดียมจากการกินมากเกินไป
00:00:30 → 00:00:32 ร่างกายจะมีการดึงน้ำ เพื่อรักษาสมดุลของโซเดียม
00:00:33 → 00:00:34 ทำให้เกิดภาวะตัวบวมเกิดขึ้น
00:00:34 → 00:00:39 ซึ่งอาหารกลุ่มที่มีโซเดียมสูง ในกลุ่มแรกก็คือ อาหารที่มีรสชาติเค็ม
00:00:39 → 00:00:43 กลุ่มที่สองก็คือเป็นอาหาร ที่ไม่ได้มีรสชาติเค็ม แต่มีโซเดียมแฝง
00:00:43 → 00:00:46 อย่างเช่นกลุ่มอาหารที่ใช้ผงฟู ในการปรุงประกอบ
00:00:46 → 00:00:49 อย่างเช่น พวกซาลาเปา เค้ก และขนมปัง
00:00:49 → 00:00:53 ก็จะมีคำแนะนำว่า ไม่ควรรับประทานเกิน 2,000 มิลลิกรัมโซเดียมต่อวัน
00:00:53 → 00:00:55 ซึ่งถ้ามองในรูปแบบของอาหาร
00:00:55 → 00:00:58 เท่าไหร่ว่าจะมีปริมาณ 2,000 มิลลิกรัม
00:00:58 → 00:01:01 อย่างเช่น ส้มตำ 1 จาน ก็จะมีปริมาณโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม
00:01:01 → 00:01:04 หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ห่อ
00:01:04 → 00:01:06 ก็จะมีปริมาณโซเดียมถึง 1,500 มิลลิกรัม
00:01:06 → 00:01:09 หรือว่าพวกน้ำผัด น้ำแกงต่าง ๆ 1 ช้อนโต๊ะ
00:01:09 → 00:01:12 ก็จะมีปริมาณโซเดียมถึง 400 มิลลิกรัม
00:01:12 → 00:01:13 สำหรับอาหารกลุ่มที่ 2
00:01:13 → 00:01:18 ก็คืออาหารที่เป็นกลุ่มพวกแป้ง ของหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
00:01:18 → 00:01:21 เพราะว่าการที่รับแป้ง น้ำตาล มากเกินไป
00:01:21 → 00:01:24 ร่างกายจะเก็บสะสมในรูปของไกลโคเจน
00:01:24 → 00:01:26 เขาเรียกว่าพลังงานสำรองภายในร่างกาย
00:01:26 → 00:01:31 1 กรัมของไกลโคเจน จะมีองค์ประกอบของน้ำ เข้าไปด้วยประมาณ 3-4 กรัม
00:01:31 → 00:01:33 และอีกประเด็นหนึ่ง ในเรื่องของน้ำตาล
00:01:33 → 00:01:36 น้ำตาลจะมีผลทำให้เกิดการหลั่งของอินซูลิน
00:01:36 → 00:01:38 ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล
00:01:38 → 00:01:41 การทำงานของมัน ถ้าเกิดหลั่งมากเกินไป
00:01:41 → 00:01:46 ก็จะทำให้มีการดึงในพวกของโซเดียมและน้ำ ที่ท่อไตกลับมาเข้าสู่ร่างกาย
00:01:46 → 00:01:49 ทำให้เกิดการกักเก็บน้ำ ภายในร่างกายที่มากเกิน
00:01:49 → 00:01:51 ทำให้เกิดภาวะตัวบวมเกิดขึ้นได้ค่ะ
00:01:51 → 00:01:53 ดังนั้น ในการรับประทานอาหารใน 1 มื้อ
00:01:53 → 00:01:57 เราจะต้องออกแบบและแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้เกิน 3 โควตาต่อ 1 มื้อค่ะ
00:01:57 → 00:02:00 ซึ่ง 1 โควตาของข้าวแป้งคือ 1 ทัพพี
00:02:00 → 00:02:02 ขนม 1 ถ้วย จะได้ 2 โควตา
00:02:02 → 00:02:05 แล้วก็ในตัวของเครื่องดื่ม 1 แก้ว จะได้ 3 โควตา
00:02:06 → 00:02:08 สำหรับกลุ่มสุดท้ายที่ทำให้เกิดภาวะตัวบวมได้
00:02:08 → 00:02:10 ก็คือในกลุ่มของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
00:02:10 → 00:02:13 ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ เป็นเหล้า หรือเป็นไวน์
00:02:13 → 00:02:16 เพราะว่าแอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ
00:02:16 → 00:02:19 การที่ร่างกายสูญเสียน้ำที่มากเกินไป
00:02:19 → 00:02:22 ทำให้ร่างกายมีการตอบสนอง โดยการกักเก็บน้ำภายในร่างกาย
00:02:22 → 00:02:24 ก็ทำให้เกิดภาวะตัวบวมได้ค่ะ
00:02:24 → 00:02:26 โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ในกลุ่มเบียร์
00:02:26 → 00:02:29 ซึ่งเบียร์จะมีทั้งตัวแอลกอฮอล์ และมีตัวของน้ำตาล
00:02:29 → 00:02:34 ซึ่งตรงนี้จะมี 2 ปัจจัยที่ทำให้เกิด การกักเก็บน้ำภายในร่างกายมากเกินไป
00:02:34 → 00:02:36 จะสังเกตว่าคนที่ดื่มเบียร์ในปริมาณมาก
00:02:37 → 00:02:39 จะมีอาการตัวบวมเกิดขึ้นค่อนข้างมากเลยค่ะ
00:02:39 → 00:02:42 สำหรับภาวะตัวบวมที่เป็นข้อควรระวัง
00:02:42 → 00:02:45 ที่อาจจะเป็นที่มาของความบกพร่อง ของโรคต่าง ๆ ภายในร่างกาย
00:02:45 → 00:02:48 มีอาการร่วมกับภาวะตัวบวมก็คือ
00:02:48 → 00:02:50 มีอาการหายใจลำบาก
00:02:50 → 00:02:52 เหนื่อยง่าย นอนราบไม่ได้ เบื่ออาหาร
00:02:52 → 00:02:55 ถ้ามีสัญญาณ 3 อย่างนี้นอกจากภาวะตัวบวม
00:02:55 → 00:02:56 ควรจะไปพบแพทย์
00:02:56 → 00:03:00 เพื่อวินิจฉัยว่าอาจจะมีสาเหตุจากความบกพร่อง ของโรคต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ค่ะ
00:03:00 → 00:03:06 [เสียงดนตรี]