00:00:00 → 00:00:03 This is Thai PBS podcast view the
00:00:03 → 00:00:06 world by the voice.
00:00:06 → 00:00:09 HIV เนี่ยต้นกำเนิดมันเป็นไวรัสที่มาจาก
00:00:09 → 00:00:13 ลิงขณะที่เกิดการล่าเนี่ยลิงก็อาจจะมากัด
00:00:13 → 00:00:15 ขวนหรือจะอะไรก็แล้วแต่มันก็เลยผ่องถ่าย
00:00:15 → 00:00:18 เข้าสู่กระแสเลือดของคนได้แต่ที่ประหลาด
00:00:18 → 00:00:21 ที่สุดเลยก็คือคนที่เป็นโรคจิตแล้วมี
00:00:21 → 00:00:24 เซ็ก์กับลิงพอมันเข้ามาในร่างกายมันจะทำ
00:00:24 → 00:00:27 ให้ไอ้เม็ดเลือดขาวเาเรียกว่า CD4 ลดลงทำ
00:00:28 → 00:00:31 ให้ภูมิตั้งทายของร่างกายต่ำลงเรื่อยๆ HIV
00:00:31 → 00:00:33 นี่คือเชื้อโรคแต่ถ้าคนที่รับเชื้อ HIV
00:00:33 → 00:00:36 เข้าไปแล้วภูมิต้านทานหรือเจ้า CD4 โฟ
00:00:36 → 00:00:39 เนี่ยมันต่ำลงเรื่อยๆเรื่อยๆจนกระทั่ง
00:00:39 → 00:00:42 เกิดโรคอื่นที่เราเรียกว่าโรคฉวยโอกาสตรง
00:00:42 → 00:00:46 นี้แหละเขาจึงจะให้นิยามของคนๆนี้ว่าเป็น
00:00:46 → 00:00:48 [เพลง]
00:00:48 → 00:00:51 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:51 → 00:00:55 การโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:55 → 00:00:58 This is Thai PBS Podcast
00:00:58 → 00:01:02 คุณผู้ฟังคะเราพูดคุยกันถึงเรื่องของ HIV
00:01:02 → 00:01:04 นะคะมันมีจุดเริ่มต้นยังไงแล้วอยากรู้ถึง
00:01:04 → 00:01:07 เรื่องราวเดี๋คุยกับผู้ช่วยศาสตราจารย์
00:01:07 → 00:01:10 ดร.จันทร์วิภาดีลกสัมพันธ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
00:01:10 → 00:01:12 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาผู้
00:01:12 → 00:01:14 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวค่ะ
00:01:14 → 00:01:16 สวัสดีค่ะอาจารย์ขา
00:01:16 → 00:01:18 ค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะท่านผู้ฟังทุกท่าน
00:01:18 → 00:01:19 นะคะ
00:01:19 → 00:01:22 อเหมือนวันนี้เรามาย้อนกลับไป
00:01:22 → 00:01:25 มาทำความรู้จักกับ HIV โรคติดต่อทาง
00:01:25 → 00:01:26 เพศสัมพันธ์
00:01:26 → 00:01:29 อมันก็ทำไมมันกลับมาอีกเนี่ยเพราะว่าบาง
00:01:29 → 00:01:32 ทีอ่ะค่ะบางครั้งน่ะเราก็ลืมเรือนมันไป
00:01:32 → 00:01:33 อื
00:01:33 → 00:01:35 นะคะลืมให้ความสำคัญกับมันไปแล้วประกอบ
00:01:35 → 00:01:38 กับตอนเมันมีการเปลี่ยนแปลงแดงของโลกที่
00:01:38 → 00:01:40 มีโรคใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นกว่าเข้ามาอีก
00:01:40 → 00:01:43 เพราะฉะนั้นจริงๆน่ะสมัยแรกเลยมันเข้ามา
00:01:43 → 00:01:47 ในเมืองไทยเนี่ยประมาณปี 2527
00:01:47 → 00:01:50 นะคะที่เข้าเมืองไทยนะที่เริ่มมีครบเคส
00:01:50 → 00:01:53 แรกในเมืองไทยเนี่ยตอนนั้นอาจารย์วิภาก็
00:01:53 → 00:01:56 ยังทำงานอยู่นะคะยังสาวเอ้อๆอยู่นะก็ต้อง
00:01:56 → 00:02:00 มาเริ่มต้นกันใหม่สำหรับคนที่ไม่ทราบความ
00:02:00 → 00:02:04 เป็นมาของมันนะคะแล้วก็ไม่รู้ที่มาที่ไป
00:02:04 → 00:02:06 จนกระทั่งคนเราเนี่ยเอ่อไม่ได้ให้ความ
00:02:06 → 00:02:09 สำคัญกับมันอีกนะคะแล้วก็เกิดอะไรขึ้น
00:02:09 → 00:02:11 เดี๋ยวจะค่อยๆเล่าแล้วกันนะฮะค่ะ
00:02:12 → 00:02:15 จริงๆแล้ว HIV เนี่ยมันคือชื่อของเชื้อ
00:02:15 → 00:02:18 โรค V ตัวท้ายก็คือไวรัสนั่นแหละนะฮะ
00:02:18 → 00:02:21 เพราะฉะนั้นมันเป็นลักษณะของไวรัสชื่อ HIV
00:02:21 → 00:02:24 แต่เดิมเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ยต้นกำเนิดของ
00:02:24 → 00:02:27 ไวรัสตัวเนี้ยมันเป็นไวรัสที่มาจากลิงก์
00:02:27 → 00:02:31 นะคะเค้าก็จะมีชื่อว่า SIV
00:02:31 → 00:02:34 SIV เนี่ยมันเป็นไวรัสที่มีอยู่ในลิง
00:02:34 → 00:02:37 หลายสายพันธุ์เลยนะฮะโดยเฉพาะทางแอฟริกา
00:02:37 → 00:02:39 แอฟริกาเนี่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็น
00:02:39 → 00:02:41 ประเทศที่เกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ป่า
00:02:41 → 00:02:44 เพราะฉะนั้นเหมือนกับเป็นไวรัสอยู่ในตัว
00:02:44 → 00:02:46 ลิงแต่ลิงเ้าไม่ได้เป็นอันตรายจากไวรัส
00:02:46 → 00:02:49 ส่วนนี้เปรียบเทียบเหมือนกับคนเรามีไวรัส
00:02:49 → 00:02:51 เชื้อหวัดอย่างเงี้ยเดี๋ยวก็หายเดี๋ยวก็
00:02:51 → 00:02:54 เป็นเองอะไรอย่างเงี้ยนะคะเวลาที่ร่างกาย
00:02:54 → 00:02:57 ไม่แข็งแรงทีนี้มันอยู่ในลิงของมันดีๆอ่ะ
00:02:57 → 00:02:59 ค่ะมันก็ไม่เป็นไรแต่ปรากฏว่ามันเข้ามา
00:02:59 → 00:03:02 อยู่ในคนพอมันเข้ามาในคนแล้วเนี่ยมันแปลง
00:03:02 → 00:03:07 ตัวค่ะจาก SIV ของลิงกลายเป็น HIV ในคน
00:03:07 → 00:03:10 แล้วกลับมาทำร้ายคนแต่ลิงเนี่ยเขาอยู่
00:03:10 → 00:03:11 อย่างปกติ
00:03:11 → 00:03:13 แต่พอเข้ามาอยู่ในคนแล้วมันทำให้คนเนี่ย
00:03:13 → 00:03:14 ป่วย
00:03:14 → 00:03:17 เก็คงสงสัยว่าเอ๊ะมันเข้ามาในจากลิงมาคน
00:03:17 → 00:03:17 ได้ไงล่ะ
00:03:18 → 00:03:20 ใช่กำลังคิดอยู่ว่าเอ๊ะไปโดนข่วนหรือหรือ
00:03:20 → 00:03:21 ยังไง
00:03:21 → 00:03:23 ค่ะคำตอบก็คือมันเข้าทางบาดแผล
00:03:24 → 00:03:27 นะฮะส่วนใหญ่เนี่ยลิงก็จะเป็นผู้ถูกล่า
00:03:27 → 00:03:29 จากมนุษย์อย่างที่บอกอ่ะมีตั้งแต่ลิงชิม
00:03:29 → 00:03:33 เป็นซีลิงอะไรตอะไรหลายสายพันธุ์เลยนะคะ
00:03:33 → 00:03:39 แม้แต่ลิงกอริลล่านะอ
00:03:39 → 00:03:41 ถูก
00:03:41 → 00:03:44 ต่างๆมากมายนะคะเพราะฉะนั้นในขณะที่เกิด
00:03:44 → 00:03:47 การล่าเนี่ยบางครั้งก็มีการดิ้นรนลิงก็
00:03:47 → 00:03:50 อาจจะมากัดนะฮะหรืออาจจะขวนหรืออาจจะอะไร
00:03:50 → 00:03:53 ก็แล้วแต่แล้วเชื้อไวรัสพวกเนี้ยมันก็จะ
00:03:53 → 00:03:56 อยู่ในสารคัดหลังของลิงเช่นน้ำลายนะฮะใน
00:03:56 → 00:04:00 เลือดในน้ำมูกในอะไรพวกเนี้ยนะคะอ
00:04:00 → 00:04:02 มันก็เลยผ่องถ่ายเข้าสู่กระแสเลือดของคน
00:04:02 → 00:04:03 ได้
00:04:03 → 00:04:07 หรือบางครั้งเนี่ยกรณีของการล่าแล่เนื้อ
00:04:07 → 00:04:09 ของสัตว์เหล่านี้เพราะบางคนเขากินลิงด้วย
00:04:09 → 00:04:12 นะฮะตัวเองน่ะมีบาดแผลอาจจะมีแผลที่นิ้ว
00:04:12 → 00:04:16 แล้วก็นิ้วนั้นน่ะไปแตะต้องเนื้อของสัตว์
00:04:16 → 00:04:18 แล้วเลือดของสัตว์นั้นก็ซึมเข้าสู่บาดแผล
00:04:18 → 00:04:22 อ๋อทางก็เป็นไปได้หลายอย่างนะฮะที่เราเคย
00:04:22 → 00:04:25 เห็นบางคนน่ะค่ะรักลิงเอาลิงมาเลี้ยง
00:04:25 → 00:04:25 ค่ะ
00:04:25 → 00:04:30 นะฮะจำนุภาเคยเห็นที่เขาถ่ายสารคดีมาเอา
00:04:30 → 00:04:33 อาหารใส่ปากตัวเองแล้วก็ป้อนให้ลิงปากต่อ
00:04:33 → 00:04:39 ปากอ่ะค่ะนึกออกมั้ยอ๋อ
00:04:39 → 00:04:44 นี่เรักเด้กับลิงกินคำนึงคนกินคำนึงอย่าง
00:04:44 → 00:04:47 กล้วยอย่างอะไรเงี้ยคนกัดคำก็เอ็นดู
00:04:47 → 00:04:48 เหมือนลิงเป็นลูกอ่ะ
00:04:48 → 00:04:50 นะฮะนี้มันก็ติดกันได้
00:04:50 → 00:04:50 อ
00:04:50 → 00:04:53 แต่ที่ประหลาดที่สุดเลยก็คือคนที่เป็นโรค
00:04:53 → 00:04:57 จิตแล้วมีเซ็ก์กับลิงมันมีนะคะคนที่ชอบมี
00:04:57 → 00:04:59 เซ็ก์กับสัตว์เนี่ยเพราะฉะนั้นการที่มี
00:04:59 → 00:05:01 เซ็ก์กับสัตว์เนี่ยมันก็จะเกิดบาดแผลเกิด
00:05:01 → 00:05:05 อะไรขึ้นได้จากสัตว์มันก็สามารถที่จะเข้า
00:05:05 → 00:05:08 สู่กระแสเลือดของคนเราได้นะฮะเพราะฉะนั้น
00:05:08 → 00:05:11 เนี่ยมันก็เลยเริ่มที่จะเกิดการโยงถ่าย
00:05:11 → 00:05:14 จากลิงไปสู่คนเนี่ยประมาณศตวรรษที่ 20
00:05:14 → 00:05:17 เป็นต้นมาเนี่ยแล้วก็กระจายไปทั่วโลกซึ่ง
00:05:17 → 00:05:20 เข้าสู่ประเทศไทยเราเนี่ยประมาณปี 2527
00:05:20 → 00:05:23 ทีนี้พอมันเข้ามาแล้วเป็นยังไงนะฮะพอมัน
00:05:23 → 00:05:26 เข้ามาในร่างกายคนเราแล้วเนี่ยมันจะเข้า
00:05:26 → 00:05:30 ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคของเราค่ะคือ
00:05:30 → 00:05:33 ปกติแล้วคนเราเนี่ยมันจะมีเคยได้ยินใช่
00:05:33 → 00:05:35 มั้ยคะที่ว่าเรามีเม็ดเลือดขาวไว้ต่อสู้
00:05:35 → 00:05:38 กับเชื้อโรคนะฮะปรากฏว่าที่เข้าไปในระบบ
00:05:38 → 00:05:41 ภูมิต้านทานของคนเราแล้วเนี่ยมันจะทำให้
00:05:41 → 00:05:44 ไอ้เม็ดเลือดขาวตัวสำคัญของเราเนี่ยนะคะ
00:05:44 → 00:05:47 เา้าเรียกว่า CD4 จะทำให้เกิดลดลงทำให้
00:05:47 → 00:05:50 ภูมิต้านทายของร่างกายต่ำลงเรื่อยๆนะฮะ
00:05:50 → 00:05:52 เพราะฉะนั้นว่าภูมิต้านคลานต่ำลงเรื่อยๆ
00:05:52 → 00:05:55 เนี่ยมันก็เลยรับโรคเนี่ยได้ง่ายกว่าคน
00:05:55 → 00:05:56 อื่น
00:05:56 → 00:05:56 ค่ะ
00:05:56 → 00:05:59 นะฮะเพราะฉะนั้นจริงๆแล้วคนที่ตายจาก HIV
00:05:59 → 00:06:02 เนี่ยเค้าจะเทียบอย่างี้ค่ะ HIV นี่คือ
00:06:02 → 00:06:05 เชื้อโรคแต่ถ้าคนที่รับเชื้อ HIV เข้าไป
00:06:05 → 00:06:08 แล้วภูมิต้านทานหรือเจ้า CD4 เนี่ยมันต่ำ
00:06:08 → 00:06:11 ลงเรื่อยๆเรื่อยๆจนกระทั่งเกิดโรคอื่นที่
00:06:11 → 00:06:13 เราเรียกว่าโรคฉวยโอกาส
00:06:13 → 00:06:14 อื
00:06:14 → 00:06:17 ตรงนี้แหละเขาจึงจะให้นิยามของคนๆนี้ว่า
00:06:17 → 00:06:18 เป็น
00:06:18 → 00:06:20 ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ได้
00:06:20 → 00:06:24 เชื่อ HIV จะเป็นไม่ใช่ค่ะนะฮะมันจะมี
00:06:24 → 00:06:27 ระดับของการรับเชื้อเาจะเรียกว่าผู้ติด
00:06:27 → 00:06:28 เชื้อ HIV
00:06:28 → 00:06:29 นะฮะแต่ยังไม่ใช่เอด
00:06:29 → 00:06:32 ยังไม่เป็นแต่มันก็ถูกแบบความรู้สึกหรือ
00:06:32 → 00:06:36 ว่าใครที่รู้ก็จะคนนี้เป็นใช่ค่ะนะฮะ
00:06:36 → 00:06:39 เพราะฉะนั้นไอ้ไอการตายเนี่ยมันคือตายจาก
00:06:39 → 00:06:42 การที่เรารับเชื้อของโรคฉวยโอกาสทั้งหลาย
00:06:42 → 00:06:44 เพราะว่าพวกนี้พอมันเข้าไปแล้วเนี่ยค่ะ
00:06:44 → 00:06:48 มันจะทำให้ภูมิด้านทานต่ำการรักษายาก
00:06:48 → 00:06:50 นะฮะแล้วบางทีมันก็แปลงตัวอีกเห็นมั้ฮะ
00:06:50 → 00:06:53 ที่มันเปลี่ยนสายพันธุ์ยาอย่างเช่นคนที่
00:06:53 → 00:06:56 ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วกลายเป็นวรรณโรคปอด
00:06:56 → 00:06:59 ยาที่เคยรักษาวรรณโรคปอดได้พอมาใช้กับคน
00:06:59 → 00:07:02 ที่เป็นนะฮะแล้วเป็นวรรณโรคปอดรักษารักษา
00:07:02 → 00:07:03 ไม่ได้
00:07:03 → 00:07:05 เหมือนเชื้อมันดื้อยามันก็แปลงตัวมาสู้
00:07:05 → 00:07:06 กับเราอ่ะ
00:07:06 → 00:07:09 อความอยู่รอดของเชื้อโรคเหมือนกันค่ะแล้ว
00:07:09 → 00:07:12 บางคนก็ทำให้เป็นมะเร็งชนิดต่างๆได้ง่าย
00:07:12 → 00:07:15 ขึ้นเนี่ยค่ะมักจะเสียชีวิตตอนที่เป็นที่
00:07:15 → 00:07:17 เราเรียกว่าเป็นเต็มขั้นนี่แหละ
00:07:17 → 00:07:19 บางทีลืมไปแล้วจริงๆนะคะถ้าเกิดไม่ได้คุย
00:07:19 → 00:07:20 เรื่องนี้อีกแล้วลืมไปแล้ว
00:07:20 → 00:07:23 เพราะฉะนั้นตรงเนี้ยได้ให้เข้าใจว่าจริงๆ
00:07:23 → 00:07:26 แล้วก็คือ HIV เป็นเชื้อไวรัสนะคะใครได้
00:07:26 → 00:07:29 รับเชื้อไปก็เรียกว่าผู้ติดเชื้อ HIV พอ
00:07:29 → 00:07:32 ภูมิต้านทานต่ำมากๆจนกลายเป็นโรคอื่น
00:07:32 → 00:07:34 เนี่ยนะฮะซึ่งมันมีได้สารพัดทุกระบบเลย
00:07:34 → 00:07:37 เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าคนที่เป็นเอ่อได้
00:07:37 → 00:07:40 ได้การรับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นแล้ว
00:07:40 → 00:07:43 เนี่ยก็คือพวกที่ได้รับเชื้อ HIV จน
00:07:43 → 00:07:44 กระทั่งปรากฏโรค
00:07:44 → 00:07:48 นะฮะมีหลายแบบหลายละอย่างมากเลยแตกต่าง
00:07:48 → 00:07:51 กันไปแล้วแต่ว่าเราป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส
00:07:51 → 00:07:52 อะไรที่เข้ามา
00:07:52 → 00:07:55 เออแต่ส่วนใหญ่เวลาที่จะจะระบุไปว่าแบบ
00:07:55 → 00:07:57 อย่างสมมุติมีการเสียชีวิตอย่างเงี้ยค่ะ
00:07:57 → 00:08:00 เขาจะไม่ได้ระบุว่าเป็นโดยตรงแต่เขาก็จะ
00:08:00 → 00:08:02 ระบุไอ้โรคที่ฉวยโอกาสใช่มั้ก็เป็นได้นะ
00:08:02 → 00:08:05 ฮะอันนี้ก็อาจจะเพราะจริงๆแล้วมันตายด้วย
00:08:05 → 00:08:07 โรคเนี้ยถูกมั้ฮะเพราะฉะนั้นแล้วก็บางที
00:08:07 → 00:08:10 มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีขึ้นกับญาติกับ
00:08:10 → 00:08:11 อะไรอย่างเงี้ย
00:08:11 → 00:08:13 ใช่มั้ฮะเพราะเราบอกโอ้เป็นเอดสไตล์ฟัง
00:08:13 → 00:08:15 แล้วมัน
00:08:15 → 00:08:19 นะฮะทีนี้มันก็มีวิธีการติดต่อที่สำคัญ
00:08:19 → 00:08:21 สำคัญเพราะจริงๆเราทราบอยู่แล้วว่าเชื้อ
00:08:21 → 00:08:25 เนี่ยมันจะมีตั้งแต่ในน้ำลายน้ำโมกนะคะใน
00:08:25 → 00:08:28 เลือดในสารคัดหลังช่องคลอดในน้ำอสุจิใน
00:08:28 → 00:08:31 น้ำนมมันมีหมดแต่ปริมาณของเชื้อในแต่ละ
00:08:31 → 00:08:34 จุดไม่เท่ากันนะฮะที่มากที่สุดที่จะทำให้
00:08:34 → 00:08:36 เกิดการติดเชื้อได้มากที่สุดก็คือการมี
00:08:36 → 00:08:39 เพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันคือไม่สม
00:08:39 → 00:08:41 ถุงยางอนามัยเพราะว่าทั้งน้ำคัดหลังทาง
00:08:41 → 00:08:44 ทวารหนักหรือในช่องคลอดไม่ว่าจะเป็นเซ็ก์
00:08:44 → 00:08:47 ระหว่างชายกับชายหญิงกับหญิงหรือชายกับ
00:08:47 → 00:08:50 หญิงนะคะโอกาสติดเชื้อเหมือนกันหมดเพราะ
00:08:50 → 00:08:53 ฉะนั้นเราพบว่าคนที่ติดเชื้อ HIV เนี่ย
00:08:53 → 00:08:56 ส่วนใหญ่ 80% ค่ะที่มาจากการมี
00:08:56 → 00:08:57 เพศสัมพันธ์
00:08:57 → 00:09:00 ต่อให้แบบว่าจะเล่นโสดยังไงหรือทำอalติด
00:09:00 → 00:09:04 ได้อ่าอกเดี๋เราต้องพูดกันยาวอีกนิดนึงนะ
00:09:04 → 00:09:07 คะนะคะว่าใครเป็นคนที่อันตรายระหว่างคนทำ
00:09:07 → 00:09:09 กับผู้ถูกกระทำนะคะ
00:09:09 → 00:09:12 แล้วแล้วคนที่แบบเ้ามีเชื้อ HIV อยู่
00:09:12 → 00:09:15 เนี่ยเค้ายังไม่รู้ตัวหรือว่ายังไงหรือ
00:09:15 → 00:09:16 ว่าแบบ
00:09:16 → 00:09:19 ไม่รู้ตัวค่ะคืออย่างงี้อาการของเค้า
00:09:19 → 00:09:22 เนี่ยนะคะขอแบ่งเป็น 3 ระยะแล้วกันนะฮะคน
00:09:22 → 00:09:26 ที่ระยะเริ่มแรกเนี่ยมันขึ้นกับรับเชื้อ
00:09:26 → 00:09:29 HIV เนี่ยบางคนเนี่ยอยู่ในระยะฟักตัวนาน
00:09:29 → 00:09:31 บางคนเนี่ยเนี่ยเอ่อระยะเริ่มแรกเนี่ยเา
00:09:31 → 00:09:35 ให้ตั้งแต่ 2-12 weคคือ 12 อาทิตย์นะฮะก็
00:09:36 → 00:09:38 คือในช่วงแรกเนี่ยอาจจะเชื้อยังไม่มากและ
00:09:38 → 00:09:41 ยังไม่ได้มีการสร้างภูมิต้านทานอะไรเกิด
00:09:41 → 00:09:43 ขึ้นทั้งนั้นนะคะเพราะฉะนั้นอาจจะยังตรวจ
00:09:43 → 00:09:46 หาไม่พบด้วยซ้ำไปนะฮะอากาศเนี่ยจะเหมือน
00:09:46 → 00:09:49 กับไข้หวัดธรรมดาหรืออะไรเงี้ยค่ะเช่น
00:09:49 → 00:09:53 หนาวสั่นเจ็บคอปวดเมื่อยตามตัวมีผื่นขึ้น
00:09:53 → 00:09:56 นะฮะต่อมน้ำเหลืองที่คอโตนะฮะอาจจะมี
00:09:56 → 00:10:00 คลื่นไส้อาเจียนถ่ายเหลวน้ำหนักลดเกิดฝ้า
00:10:00 → 00:10:03 ขาวในปากสักประมาณ 1-2 อาทิตย์แล้วก็หาย
00:10:03 → 00:10:06 ไปนะฮะเพราะฉะนั้นคนไข้เนี่ยก็คิดว่าเป็น
00:10:06 → 00:10:09 หวัดทั่วไปหรือเป็นไข้ทั่วไปธรรมดาก็ซื้อ
00:10:09 → 00:10:12 ยากินเองโดยไม่ได้มีการวินิจฉัยหรือตรวจ
00:10:12 → 00:10:16 สอบหาเชื้อก็ไม่มีการรักษาปล่อยผ่านไปมา
00:10:16 → 00:10:18 เข้าสู่ระยะที่ 2 เป็นระยะติดเชื้อแบบไม่
00:10:19 → 00:10:21 มีอาการคนส่วนใหญ่เนี่ยจะอยู่ระยะเนี้นะ
00:10:21 → 00:10:25 คะ 5-10 ปีนะฮะประมาณสซัก 85%
00:10:25 → 00:10:25 อื
00:10:25 → 00:10:29 อีก 10% เนี่ยจะประมาณ 2-3 ปีนะฮะจึงจะ
00:10:29 → 00:10:31 แสดงอาการนะคะ
00:10:31 → 00:10:34 แล้วก็อีกประมาณ 5% เนี่ยอยู่ที่ 5-15 ปี
00:10:34 → 00:10:37 เห็นมั้ยคะยาวนานมากเลยอันเนี้นะคะก็เป็น
00:10:37 → 00:10:40 ระยะที่ไม่มีอาการคนไข้จะแข็งแรงเป็นปกติ
00:10:40 → 00:10:42 เลยไม่มีอาการอะไรเลย
00:10:42 → 00:10:44 แต่ถ้าตรวจเลือด
00:10:44 → 00:10:44 เมื่อไหร่ล่ะก็
00:10:44 → 00:10:47 เมื่อไหร่จะพบ HIV
00:10:47 → 00:10:49 ซึ่งเป็นระยะที่สามารถแพร่เชื้อได้ด้วย
00:10:49 → 00:10:51 และเป็นพาหะเป็นแครอรได้
00:10:51 → 00:10:51 ค่ะ
00:10:51 → 00:10:55 นะฮะตรงเนี้ยที่น่ากลัวคือคนเราไม่รู้ตัว
00:10:55 → 00:10:58 แล้วเราก็ผ่องถ่ายไปให้ใครต่อใครมากมาย
00:10:58 → 00:11:00 เพราะฉะนั้นเนี่ยเนี่ยค่ะถึงเป็นข้อเตือน
00:11:00 → 00:11:02 ใจว่าจะมีเซ็ก์ทุกครั้งเนี่ยไม่ว่ากับใคร
00:11:03 → 00:11:05 นะคะควรจะใช้ถุงยางอนามัยต่อให้เราไม่มี
00:11:05 → 00:11:08 อาการเราก็ไม่รู้หรอกว่าเราไปรับจากใครมา
00:11:08 → 00:11:11 เพราะว่าเดี๋ยวนี้เนี่ยณสังคมปัจจุบัน
00:11:11 → 00:11:15 เราจะเจอแบบstandนใช่มั้คะความสัมพันธ์
00:11:15 → 00:11:19 แบบชั่วข้ามคืนผู้หญิงก็ดูดีๆผู้ชายก็ดู
00:11:19 → 00:11:22 หล่อๆสวยๆไม่เห็นมีอาการผิดปกติเลยแต่เรา
00:11:22 → 00:11:25 ไม่รู้ได้หรอกว่าในตัวเขามีเชื้อมั้ย
00:11:25 → 00:11:25 ค่ะ
00:11:25 → 00:11:28 เพราะการไม่ใช้ถุงยาอนามัยแม้เพียงครั้ง
00:11:28 → 00:11:30 เดียวก็ติดเชื้อได้
00:11:30 → 00:11:30 อื
00:11:30 → 00:11:33 นะคะหรือแม้แต่การทำอxกอะไรพวกเนี้ยที่
00:11:33 → 00:11:35 เราบอกว่าเดี๋ยวมาพูดถึงกันอีกทีเนี่ย
00:11:35 → 00:11:36 ค่ะ
00:11:36 → 00:11:39 มันก็ติดเชื้อได้เหมือนกันนะคะทีนี้ระยะ
00:11:39 → 00:11:41 ที่ 3 นะฮะที่เรียกว่าติดเชื้อแล้วมี
00:11:41 → 00:11:44 อาการอันเนี้จะมากจะน้อยก็ขึ้นกับระบบ
00:11:44 → 00:11:47 ภูมิต้านทานที่บอกอ่ะค่ะว่า CD4 เนี่ยมัน
00:11:47 → 00:11:50 มากหรือมันน้อยนะฮะถ้ามีอาการเล็กน้อย
00:11:50 → 00:11:52 เนี่ยเขาจะนับคำนวณ CD4 จากการเจาะเลือด
00:11:52 → 00:11:56 เนี่ยนะคะจะมากกว่า 500 เซลล์ต่อ 1 ลูก
00:11:56 → 00:11:59 บาทมิลลิเมตรเจะจะมีวิธีนับของทางการ
00:11:59 → 00:12:01 แพทย์อ่ะนะคะพวกเนี้ยอาการจะเล็กน้อยนี่
00:12:01 → 00:12:04 ก็จะเริ่มจากต่อมน้ำเหลืองโตที่คอโตเล็ก
00:12:04 → 00:12:07 น้อยนะฮะมีเชื้อราที่เล็บแผลร้อนในช่อง
00:12:07 → 00:12:12 ปากนะคะผิวหนังอักเสบนะคะมีกฤตรังแคที่ไร
00:12:12 → 00:12:13 ผมนะคะ
00:12:14 → 00:12:17 เอ่อมีฝ้าที่ข้างๆจมูกหรือริมฝีปากบางที
00:12:17 → 00:12:20 จะเห็นเป็นฝ้าหรือเป็นแผ่นดำๆอะไรเงี้ยนะ
00:12:21 → 00:12:24 คะอาจจะมีฝ้าที่ข้างลิ้นบางทีก็ถ้าใครเคย
00:12:25 → 00:12:27 เป็นโรคสะเก็ดเงินเนี่ยมันจะกำเริบขึ้นมา
00:12:27 → 00:12:30 อีกครั้งนึงทีนี้ถ้ามีอาการที่เ้าเรียก
00:12:30 → 00:12:32 ว่าอาการปานกลางเนี่ยพวกนี้จะมี CD4
00:12:32 → 00:12:35 เนี่ยนะคะจำนวนประมาณ 200-500 เซลล์ต่อ 1
00:12:35 → 00:12:38 ลูกบาทมิลลิเมตรก็อาจจะมีเริมที่ริมฝีปาก
00:12:38 → 00:12:42 หรือที่อวยเพศนะคะมีการกำเริบบ่อยๆมีแผล
00:12:43 → 00:12:45 เรื้อรังนะคะลักษณะของงูสวัสดิ์เคยได้ยิน
00:12:45 → 00:12:48 ใช่มั้ยคะนะฮะมีเชื้อราในช่องปากในช่อง
00:12:48 → 00:12:51 คลอดท้องเสียบ่อยๆหรือเรื้อรังเกิน 1
00:12:51 → 00:12:55 เดือนมีอาการไข้เป็นหายๆติดต่อกันทุกวัน
00:12:55 → 00:12:58 เกิน 1 เดือนนะคะมีต่อมน้ำเหลืองโตมาก
00:12:58 → 00:13:01 กว่า 1 บริเวณคือที่พบบ่อยก็คือที่คอที่
00:13:01 → 00:13:04 รักแร้ที่ขนีบอะไรพวกเนี้ยนะคะเป็นนานมาก
00:13:04 → 00:13:08 กว่า 3 เดือนนะคะน้ำหนักลดลงมากกว่า 10%
00:13:09 → 00:13:12 ของน้ำหนักตัวนะคะโดยไม่ทราบสาเหตุมีการ
00:13:12 → 00:13:15 ปวดกล้ามเนื้อและข้อมีไซนัสอักเสบเรื้อ
00:13:15 → 00:13:19 รังนะคะปอดอักเสบจากแบคทีเรียนะคะอันนี้
00:13:19 → 00:13:21 คืออาการน้อยกับอาการปานกลางทีนี้มาดู
00:13:21 → 00:13:24 ระยะป่วยเป็นล่ะนะฮะที่บอกว่าแพทย์เขาจะ
00:13:24 → 00:13:28 วินิจฉัยจากจำนวนบน CD4 ใช่มั้ยคะพบว่า
00:13:28 → 00:13:31 CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์
00:13:31 → 00:13:34 ต่อ 1 ลูกบาทมิลลิเมตรเนี่ยนะคะมันจะทำ
00:13:34 → 00:13:36 ให้ระบบภูมิกันโรคเนี่ยเสื่อมลงอย่างเต็ม
00:13:36 → 00:13:40 ที่นะคะก็จะทำให้รับเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง
00:13:40 → 00:13:43 ๆที่เข้ามารุมเร้าได้มากมายอย่างที่บอก
00:13:43 → 00:13:45 ว่าจริงๆแล้วเชื้อมันลอยอยู่ในอากาศเนี่ย
00:13:45 → 00:13:47 แต่ถ้าเราแข็งแรงเรามีภูมิต้านทานกับมัน
00:13:47 → 00:13:50 ได้แต่ถ้าไม่แข็งแรงเจะรับมันเข้าสู่ร่าง
00:13:50 → 00:13:52 กายได้อย่างดีเลยนะคะ
00:13:53 → 00:13:54 เพราะฉะนั้นการติดเชื้อฉวยอากาศเนี่ยเช่น
00:13:54 → 00:13:57 ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียไวรัสเชื้อรา
00:13:58 → 00:14:02 โปโตซัวนะฮะหรือวัณโรคปอดมันมาได้หมดเลย
00:14:02 → 00:14:02 นะคะ
00:14:03 → 00:14:05 เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วเนี่ยรักษาค่อน
00:14:05 → 00:14:08 ข้างยากนะฮะอาการติดเชื้อก็จะเป็นเชื้อ
00:14:08 → 00:14:12 เดิมๆนะฮะซ้ำๆนะคะทั้งๆที่เคยใช้ยานี้ได้
00:14:12 → 00:14:14 ผลก็ไม่ได้ผลและต้องเปลี่ยนยาใหม่อะไร
00:14:15 → 00:14:15 ต่างๆ
00:14:15 → 00:14:17 เพราะฉะนั้นอาการเนี่ยมันจะเรื้อรังไปหมด
00:14:17 → 00:14:22 อ่ะค่ะป่วยเป็นเดือนเป็นหายๆเช่นไอเรื้อ
00:14:22 → 00:14:25 รังหายใจเหนื่อยหอบนะคะจากพวกเป็นทีบปอด
00:14:25 → 00:14:27 เป็นอะไรพวกเนี้ยนะนะคะเอ่อมีท้องเสีย
00:14:27 → 00:14:31 เรื้อรังนะคะมีปวดท้องขึ้นไส้อาเจียนกลืน
00:14:31 → 00:14:34 ลำบากสายตาพร่ามัวมองเห็นไม่ชัดนะคะเห็น
00:14:34 → 00:14:37 เป็นเงาอยากย้ายลอยไปลอยมาแต่อันนี้ต้อง
00:14:37 → 00:14:40 แยกกันให้ได้นะคะกับไอ้โรคสายตาปกตินะคะ
00:14:40 → 00:14:43 แล้วก็ตกขาวในผู้หญิงมีผื่นคันที่ผิวหนัง
00:14:43 → 00:14:48 ซีดมีจุดจ้ำเขียวนะคะหรือมีเลือดออกเป็น
00:14:48 → 00:14:51 ลักษณะของภาวะเก็ดเลือดต่ำนะคะแล้วก็มี
00:14:51 → 00:14:54 สับสนความจำเสื่อมหลงลืมไม่มีสมาธิ
00:14:54 → 00:14:57 พฤติกรรมแปลกแตกไปจากเดิมนะคะอันนี้ก็
00:14:57 → 00:15:00 เป็นความผิดปกติทางสมองนะคะอาจจะมีอาการ
00:15:00 → 00:15:04 ปวดหัวรุนแรงชักสับสนซึมหมดสตินะคะจากการ
00:15:04 → 00:15:07 ติดเชื้อในสมองทั้งสิ้นนะคะถ้าเป็นมะเร็ง
00:15:07 → 00:15:10 อยู่แล้วบางทีก็จะมีอาการมะเร็งหรือเกิด
00:15:10 → 00:15:13 โรคแทรกซ้อนที่มันรุนแรงขึ้นเช่นเป็น
00:15:13 → 00:15:16 มะเร็งที่ผนังหลอดเลือดหรือต่อมน้ำเหลือง
00:15:16 → 00:15:19 ในสมองนะคะเป็นมะเร็งปากมุดลูกอะไรอย่าง
00:15:19 → 00:15:22 นี้เป็นต้นรวมทั้งมะเร็งที่เอ่อทวันหนัก
00:15:22 → 00:15:24 ก็เป็นได้นะคะอันนี้ก็จากที่บอกอ่ะว่า
00:15:24 → 00:15:27 แล้วแต่เรามีเพศสัมพันธ์กันแบบไหนเช่นบาง
00:15:27 → 00:15:29 คนมีเพศสัมพันธ์ทางทวันหนักเพราะฉะนั้น
00:15:29 → 00:15:32 เนี่ยอาการเนี่ยมันจะคล้ายคลึงกับโรคอื่น
00:15:32 → 00:15:35 ไปหมดเลยมันมีวิธีเดียวที่จะแยกโรคได้ก็
00:15:35 → 00:15:37 คือเจาะเลือดหา HIV
00:15:37 → 00:15:37 อ
00:15:37 → 00:15:40 เราไม่รู้หรอกค่ะเราป่วยเป็นอะไรทำไมทำไม
00:15:40 → 00:15:42 พอไปโรงพยาบาลแล้วคุณหมอเขออนุญาตเจาะ
00:15:42 → 00:15:45 เลือด HIV เพราะมันต้องอนุมัติใช่มั้ยคะ
00:15:45 → 00:15:47 เราต้องยอมให้เขาเจาะใช่มั้คะเพราะมัน
00:15:47 → 00:15:49 เป็นเรื่องของบุคคลนะคะ
00:15:49 → 00:15:51 ใช่เอ๊ะอาจารย์คะแล้วอย่างเวลาตรวจสุขภาพ
00:15:51 → 00:15:55 โดยปกติทั่วไปเงี้ยค่ะมีเจาะเลือดไปตรวจ
00:15:55 → 00:15:59 โ่าตับค่า LDL อะไรพวกมันมันสามารถเอา
00:15:59 → 00:16:02 เลื่อนเเอาไปเช็คหมายถึงว่าเราก็ต้องแอด
00:16:03 → 00:16:05 onอเข้าไปใช่มว่าเราขอตรวจเพิ่ม
00:16:05 → 00:16:08 ขอตรวจค่ะขอตรวจแล้วเราต้องอนุญาต
00:16:08 → 00:16:08 อือๆ
00:16:08 → 00:16:11 HIV นี่ไม่ใช่ว่าเราเห็นแล้วจับตรวจเลย
00:16:11 → 00:16:15 ไม่ได้นะคะต้องบอกคนไข้ก่อนว่าขอตรวจ HIV
00:16:15 → 00:16:18 อ๋อต่อให้อย่างของของรีแบบตัวสุขภาพประจำ
00:16:18 → 00:16:19 ปีเอาไป
00:16:19 → 00:16:19 อือ
00:16:19 → 00:16:22 คุณหมออุ๊ยสงสัยเป็น HIV เอาไปตรวจเลยไม่
00:16:22 → 00:16:23 ได้
00:16:23 → 00:16:24 คือมันละเอียดหรอ
00:16:24 → 00:16:27 มันเกี่ยวข้องกับทางถ้าคุณไม่ได้อนุญาต
00:16:27 → 00:16:30 แล้วอยู่ๆผลเลือดออกมาแล้วใครไปเห็นส่อง
00:16:30 → 00:16:31 เห็นผลเลือดคุณเนี่ย
00:16:31 → 00:16:32 เป็น HIV ขึ้นมา
00:16:32 → 00:16:33 อ่าเป็นเรื่องเลย
00:16:33 → 00:16:33 อ
00:16:33 → 00:16:36 ใช่คะมันถูกฟ้องร้องได้อะไรได้อะไรอย่าง
00:16:36 → 00:16:38 เงี้ยเพราะฉะนั้นก็ต้องอนุญาตด้วยกันทั้ง
00:16:38 → 00:16:41 2 ฝ่ายเช่นบอกว่าเอ๊ะอาการอย่างเนี้ยมัน
00:16:41 → 00:16:44 แล้วเรามีประวัติสมมุตินะคะบางคนบอกออไม่
00:16:44 → 00:16:46 มีฉันรักเดียวใจเดียวฉันอยู่กับภรรยาฉัน
00:16:46 → 00:16:49 มา 10 กว่าปีแล้วแต่ก่อนหน้า 10 กว่าปี
00:16:49 → 00:16:52 นั้นน่ะคุณเคยซุกซนมั้ยคุณเคยไปเที่ยว
00:16:52 → 00:16:53 น้องโสมั้ยค่ะ
00:16:53 → 00:16:55 คุณเคยกับใครมั้ย
00:16:56 → 00:16:58 เล่นสดมั้ยอะไรอย่างเงี้ยเพราะว่าอาการ
00:16:58 → 00:17:00 เมื่อกี้ที่อาจารย์บอกคุณผู้ฟังไปว่าบาง
00:17:00 → 00:17:03 ทีมันไม่รู้เลย 10-1 ปียังไม่รู้เลยอ่ะ
00:17:03 → 00:17:06 ใช่ใช่ค่ะมันต้องเดามันต้องเสี่ยงดวงกัน
00:17:07 → 00:17:09 ไงแล้วยิ่งเดี๋ยวเนี้ยที่บอกว่าทำไมมัน
00:17:09 → 00:17:11 ถึงได้มากมายขึ้นจริงๆแล้วตัวเลขมันเยอะ
00:17:11 → 00:17:12 ขึ้นนะคะ
00:17:12 → 00:17:13 อือฮึ
00:17:13 → 00:17:15 ว่าเด็กวัยรุ่นเราเนี่ยเป็นกันเยอะขึ้น
00:17:15 → 00:17:16 มาก
00:17:16 → 00:17:19 แต่เรามองไม่เห็นคำว่ามองไม่เห็นก็คือว่า
00:17:19 → 00:17:22 เราเห็นในเรื่องของการขอโทษนะคะเจอปุ๊บ
00:17:22 → 00:17:26 รักปั๊บไปนอนกันแป๊บแล้วก็ผ่านกันไปเป็น
00:17:26 → 00:17:29 เรื่องปกติเพราะเราไปรับเอาสังคมตะวันตก
00:17:29 → 00:17:30 เข้ามา
00:17:30 → 00:17:32 แล้วสื่อต่างๆเนี่ยมันก็มีเรื่องของเร้า
00:17:32 → 00:17:35 ทางเพศเนี่ยเยอะแยะไปหมดนะคะจนเราไม่เห็น
00:17:35 → 00:17:37 ความสำคัญของสิ่งนี้
00:17:37 → 00:17:40 แต่เราอย่าลืมว่าสิ่งที่เราได้มาเนี่ยบาง
00:17:40 → 00:17:44 ทีดูไซสผู้หญิงคนนี้ไซสซื่อดูน่ารักน่า
00:17:44 → 00:17:46 เอ็นดูเหลือเกินแต่เราไม่รู้เลยว่าเธอ
00:17:46 → 00:17:48 ผ่านศึกมาแค่ไหนแล้วอ
00:17:48 → 00:17:51 ใช่มั้ยคะหรือเธอเคยอาจพลาดพลั้ง
00:17:51 → 00:17:54 ที่ไปโดนล่วงละเมิดทางเพศโดนข่มขืนโดน
00:17:54 → 00:17:56 อะไรก็แล้วแต่ที่ผ่านมาเธอก็อาจจะรับ
00:17:56 → 00:17:58 เชื้อมาก็ได้
00:17:58 → 00:18:01 นะฮะยิ่งผู้ชายไม่ต้องพูดถึงเลยนะคะก็จะ
00:18:01 → 00:18:04 มีการหาประสบการณ์ทางเพศกันได้อย่างมาก
00:18:04 → 00:18:05 มายอ
00:18:05 → 00:18:08 ใช่มั้คะเช่นไปซื้อก็ได้ไปหาซื้อก็ได้พอ
00:18:08 → 00:18:11 ใจกันก็วันนstandนไปด้วยกันแล้วเชื้อ
00:18:11 → 00:18:14 เหล่าเนี้ยมันอยู่ในตัวเราได้เป็น 10 ปี
00:18:14 → 00:18:15 โดยไม่บอกไม่กล่าว
00:18:15 → 00:18:16 ค่ะ
00:18:16 → 00:18:18 นะฮะเพราะฉะนั้นเราไม่รู้หรอกถ้าจะไม่ให้
00:18:18 → 00:18:20 บาปเนี่ยใช้ถุงยางเถอะค่ะ
00:18:20 → 00:18:20 อ่า
00:18:20 → 00:18:24 นะฮะไม่ว่าจะอะไรก็ตามและที่เราเคยพูดว่า
00:18:24 → 00:18:28 oral sex ล่ะ oral เนี่ยถ้าเราใช้ปาก
00:18:28 → 00:18:31 กับเจ้าของอวัยวเพศเอางี้แล้วกันนะคะเจ้า
00:18:31 → 00:18:33 ของอวัยวเพศกับเจ้าของปากใครอันตรายกว่า
00:18:33 → 00:18:35 กันคุณสุริพรว่า
00:18:35 → 00:18:36 ปาก
00:18:36 → 00:18:40 อ่าถูกต้องสมมุตินะคะสำเร็จความใคร่แล้ว
00:18:40 → 00:18:43 มีการหลั่งน้ำในปากของอีกฝ่ายนึงเนี่ย
00:18:43 → 00:18:45 ฝ่ายเจ้าของปากเนี่ยอันตรายกว่าเยอะค่ะ
00:18:45 → 00:18:45 อื
00:18:46 → 00:18:48 เพราะในปากฟันเราเนี่ยเวลาที่เราแปรงฟัน
00:18:48 → 00:18:50 เคยมั้คะเราบ้วนน้ำออกมาแล้วมีเลือดออกมา
00:18:50 → 00:18:51 ด้วย
00:18:51 → 00:18:55 เคยนั่นแสดงว่าเราอ่ะมีแผลตามซอกฟันหรือ
00:18:55 → 00:18:58 ตามขอบเหงือกถ้าเชื้อ HIV อยู่ในน้ำกาม
00:18:58 → 00:19:00 ของฝ่ายอีกฝ่ายนึง
00:19:00 → 00:19:04 มันก็สามารถที่จะเข้าสู่บาดแผลในปากเราก็
00:19:04 → 00:19:05 ติดเชื้อเอดสได้ทันที
00:19:05 → 00:19:06 อื
00:19:06 → 00:19:08 นะคะนี้ในเรื่องของอal sex เนี่ยบางคนบอก
00:19:08 → 00:19:12 อูยดีจะตายมันแฮปปี้มีความสุขแต่ไม่ใช่
00:19:12 → 00:19:14 ทุกคนนะคะเพราะฉะนั้นบางคนเนี่ยเขาไม่ชอบ
00:19:14 → 00:19:18 oral sex เพราะฉะนั้นการที่คู่รักจะมี
00:19:18 → 00:19:20 oral sex กันหรือไม่มีเนี่ยให้ตกลงกัน
00:19:20 → 00:19:23 ก่อนคุยกันก่อนว่าได้แค่ไหนแค่ไหนอะไร
00:19:24 → 00:19:26 อย่างเงี้ยนะคะเพราะไม่อย่างนั้นแล้วมัน
00:19:26 → 00:19:28 จะกลายเป็นอะไรที่ไม่โอเคการมีเซ็ก์ที่ดี
00:19:28 → 00:19:33 มันต้อง You โอ I โอ VR โอโหิเลกิ๊บๆนะคะ
00:19:33 → 00:19:36 เราพอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายแต่ถ้าฝ่ายใด
00:19:36 → 00:19:39 ฝ่ายหนึ่งชอบแต่อีกฝ่ายนฝ่ายใดไม่ชอบ
00:19:39 → 00:19:41 มันก็ต้องจำกัดเป็นอย่างอื่นไป
00:19:41 → 00:19:44 นะฮะเพราะว่าคนเราถูกเลี้ยงดูมาแตกต่าง
00:19:44 → 00:19:47 กันบางคนอาจจะรู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งนี้
00:19:47 → 00:19:50 นะฮะแต่อย่างไรก็ตามเนี่ยค่ะสำหรับคนที่
00:19:50 → 00:19:54 ชอบอซกจริงๆเนี่ยเค้าก็มีอุปกรณ์ขาย
00:19:54 → 00:19:54 อื
00:19:54 → 00:19:58 นะฮะที่จะช่วยมันเป็นคล้ายๆแผ่นฟิล์มกึ่ง
00:19:58 → 00:20:01 พลาสติกสังเคราะห์อะไรเงี้ยนะคะที่จะใช้
00:20:01 → 00:20:03 ในพวกอซกโดยเฉพาะเนี่ย
00:20:03 → 00:20:03 อ๋อ
00:20:03 → 00:20:07 นะคะก็ลองไปหาดูเดี๋ยวนี้มันเสิร์ชทางทาง
00:20:07 → 00:20:10 เน็ตอ่ะนะคะหาดูได้หมดแหละแต่ขอให้ใช้
00:20:10 → 00:20:14 อุปกรณ์ป้องกันดีกว่าที่จะใช้สดๆ
00:20:14 → 00:20:16 ปากเราสดๆ
00:20:16 → 00:20:19 อวัยวะเขาสดๆอย่างเงี้ยค่ะมันอันตราย
00:20:19 → 00:20:21 แต่ว่าถ้าเกิดบางคนบอกว่าอ่ะถ้าเกิดถ้า
00:20:21 → 00:20:23 งั้นใช้ถุงยางแล้วแบบว่าออโรเซกแบบก็ไม่
00:20:23 → 00:20:25 ได้อีกใช่มั้คะฟิลมันไม่ได้
00:20:25 → 00:20:28 อืมมันก็แล้วแต่คู่นะคะอยากจะบอกว่าไม่
00:20:28 → 00:20:31 ได้ก็ไม่เชิงจริงๆแล้วเนี่ยถุงยางอนามัย
00:20:31 → 00:20:35 เนี่ยมันครอบถึงโคนถูกมั้ยคะโคนของออยวเ
00:20:35 → 00:20:38 เพศชายมันมีส่วนอื่นที่ให้แตะต้องสัมผัส
00:20:38 → 00:20:40 กันได้อีกเพราะฉะนั้นบางทีเขาก็มาใส่ถุง
00:20:40 → 00:20:43 ยางเอาช่วงที่แข็งตัวเต็มที่อะไรอย่างนี้
00:20:43 → 00:20:46 เป็นต้นก็ได้มันก็อยู่ที่เทคนิคค่ะ
00:20:47 → 00:20:48 ในเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของศิลปะและ
00:20:48 → 00:20:52 เทคนิคนะคะในการแตะต้องสัมผัสที่จะทำให้
00:20:52 → 00:20:56 อารมณ์ของคู่นอนนะคะเราเพลิดไปได้แค่ไหน
00:20:56 → 00:20:58 นะคะมันเป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้น
00:20:58 → 00:21:02 วิทยาศาสตร์จนเกินไปนะเป็นเหตุเป็นผลจน
00:21:02 → 00:21:05 เกินไปแต่ว่าก็ให้อยู่บนพื้นฐานของความ
00:21:05 → 00:21:07 ปลอดภัยดีที่สุด
00:21:07 → 00:21:09 อ่าใช่เราไม่รู้ว่าโอ้โหโรคมันตั้งฝังไว้
00:21:10 → 00:21:12 อยู่ในนั้นตั้งนานไม่รู้ไม่ออกตัวมาเลยพอ
00:21:12 → 00:21:13 มารู้อีกทีนึงเอ้า
00:21:13 → 00:21:14 ใช่ค่ะ
00:21:14 → 00:21:16 แล้วก็ติดกันง่ายๆด้วยใช่มั้
00:21:16 → 00:21:19 ใช่แล้วก็ทีนี้ถุงยางทำไมผู้ชายในเบอกให้
00:21:19 → 00:21:23 ใส่ก่อนเนี่ยเพราะว่าก่อนที่ผู้ชายจะแข็ง
00:21:23 → 00:21:25 ตัวแล้วก็มีการสอดใส่และเสียดสีเนี่ยน้ำ
00:21:25 → 00:21:28 กามมันเคลื่อนแล้วไงคะถึงแม้จะเคลื่อน
00:21:28 → 00:21:31 เพียง 1-2 หยดแต่ใน 1-2 หยดนะก็มีทั้ง
00:21:31 → 00:21:34 อสุจิแล้วก็มีทั้งเชื้อเอดสได้เหมือนกัน
00:21:34 → 00:21:37 คือโอกาสท้องก็มีโอกาสติดเชื้อเอก็มี
00:21:37 → 00:21:40 ใช่นะฮะเพราะฉะนั้นสิ่งเหล่าเนี้ยก็ควรจะ
00:21:40 → 00:21:43 ท่องไว้เลยค่ะ No condom No se
00:21:43 → 00:21:43 อื
00:21:43 → 00:21:47 นะฮะสำหรับตอนนี้นะคะสำหรับตอนเมันดีที่
00:21:47 → 00:21:49 สุดแล้วสำหรับตอนนี้มันยังไม่มีมันยังไม่
00:21:49 → 00:21:53 มีวิธีการอื่นเพราะว่า HIV ป้องกันไม่ได้
00:21:53 → 00:21:55 ยังไม่มีวัคซีน
00:21:55 → 00:21:58 นะฮะมันมีวัคซีนตัวอื่นที่ป้องกันโรคอื่น
00:21:58 → 00:22:00 ๆได้เช่นตอนเนี้ออกมาแล้วงูสวัดเงี้ยออก
00:22:00 → 00:22:02 มาแล้วซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของอาการของ
00:22:02 → 00:22:04 HIV นะคะ
00:22:04 → 00:22:07 แต่ตัว HIV นี่ยังไม่ได้ขณะนี้เรามีเพียง
00:22:07 → 00:22:10 ยาที่ช่วยต้านเชื้อ HIV ซึ่งอันนี้
00:22:10 → 00:22:13 อาจารย์วิภาภูมิใจมากเลยนะคะเพราะว่ารุ่น
00:22:13 → 00:22:16 พี่ที่โรงเรียนราชินีท่านเป็นคนคิดค้นทำ
00:22:16 → 00:22:19 ให้ไทยเราแล้วก็ประเทศยากจนทั้งหลายเได้
00:22:19 → 00:22:21 ใช้ยาที่ถูกลง
00:22:21 → 00:22:24 ไม่ต้องไปเป็นขี้ค่าฝรั่งที่ให้มันโก่ง
00:22:24 → 00:22:26 ราคาแพงก็คือ
00:22:26 → 00:22:29 ท่านอาจารย์กฤษนาไกรสินที่ท่านไปช่วยที่
00:22:29 → 00:22:32 แอฟริกาที่อะไรอย่างเงี้ยค่ะชีวิตท่านน่า
00:22:32 → 00:22:34 สนใจมากท่านเป็นรุ่นพี่ที่ท่านวิภาภูมิใจ
00:22:34 → 00:22:35 มากเลย
00:22:35 → 00:22:38 นะคะแล้วท่านอุทิศตนที่ทำให้ประเทศยากจน
00:22:39 → 00:22:41 ทั้งหลายลมทั้งไทยด้วยเนี่ยคนไข้ได้รับ
00:22:41 → 00:22:46 การดูแลที่ดีได้ยาต้าน HIV ในราคาถูกหลาย
00:22:46 → 00:22:49 ร้อยเท่าเลยค่ะจากที่ฝรั่งขายเรา
00:22:49 → 00:22:51 อันนี้เป็นสิ่งที่เรามาเป็นข้อมูลไว้ให้
00:22:51 → 00:22:53 จริงๆมันมีมานานและอาจจะ
00:22:53 → 00:22:57 มีเงียบไปมีโรคอื่นแทนให้เราตื่นเต้นแทน
00:22:57 → 00:22:59 แต่จริงๆตัวเลขมันมีขึ้นเรื่อยๆในใน
00:22:59 → 00:23:00 ปัจจุบันนะคะ
00:23:00 → 00:23:03 อยากจะให้หนุ่มสาวสมัยเนี้ยสังวรไว้นะฮะ
00:23:03 → 00:23:06 ว่าคุณเห็นเค้าสวยๆหล่อๆเอย่าคิดว่าเค้า
00:23:06 → 00:23:07 ไม่มีโรค
00:23:07 → 00:23:07 ค่ะ
00:23:07 → 00:23:09 นะคะแล้วบางทีมันไปปรากฏผลในเมื่อเรามี
00:23:09 → 00:23:11 ลูกมีเมียแล้วอ่ะนึกออกมั้ย
00:23:11 → 00:23:12 เออือ
00:23:12 → 00:23:15 แล้วมันจะมีผลถึงลูกถึงภรรยาด้วย
00:23:15 → 00:23:15 ใช่
00:23:15 → 00:23:17 นะฮะภรรยาเองก็เหมือนกันคือทั้งหญิงหญิง
00:23:17 → 00:23:20 ทั้งชายอ่ะตอนนี้เาก็นิยมที่อาจารย์อยู่
00:23:20 → 00:23:23 ด้วยกันก่อนแต่งหรือว่าอ่าทดลองมี
00:23:23 → 00:23:25 เพศสัมพันธ์กันก่อนอะไรอย่างเงี้ยนะคะก็
00:23:25 → 00:23:27 เป็นไปตาม
00:23:27 → 00:23:30 สังคมบริบทของแต่ละยุคสมัยแต่ยังไงก็ตาม
00:23:30 → 00:23:33 เชื้อโรคมันไม่ได้ทันสมัยไปกับเราด้วยนะ
00:23:33 → 00:23:36 คะเพราะฉะนั้นก็ควรจะต้องดูแลตัวเองให้ดี
00:23:36 → 00:23:37 ค่ะ
00:23:37 → 00:23:39 อนะคะก็เป็นสิ่งที่เราฝากไว้สำหรับคุณผู้
00:23:39 → 00:23:42 ฟังในวันนี้นะคะขอบคุณอาจารย์จันทร์วิภา
00:23:42 → 00:23:44 ค่ะยินดีค่ะ
00:23:44 → 00:23:46 อ่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่
00:23:46 → 00:23:49 ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทาง Thaai PBS
00:23:49 → 00:23:52 Podcast นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ
00:23:52 → 00:23:55 This is Thai PBS Podcast
00:23:55 → 00:23:57 ลักษณะหรือพฤติกรรมของคนเก่งที่มีความ
00:23:57 → 00:23:59 เป็นพิษต่อเพื่อนร่วมงานและองค์กรเป็น
00:23:59 → 00:24:02 อย่างไรทำไมอาการหมดไฟเป็นสาเหตุที่ทำให้
00:24:02 → 00:24:04 เกิดพฤติกรรมนี้ดร.สุวุฒิวงทางสวัสดิ์นัก
00:24:04 → 00:24:08 จิตวิทยาการปรึกษามาเล่าให้ฟังครับ
00:24:08 → 00:24:10 เก่งกับท็อกสิคอันนี้ชัดเจนครับก็คือมัน
00:24:10 → 00:24:12 มีคำว่าเก่งกับคำว่าท็อกสิคเนาะเก่งเนี่ย
00:24:12 → 00:24:14 มันหมายถึงว่าประสิทธิผลในการทำงาน
00:24:14 → 00:24:16 ประสิทธิภาพในการได้งานหรืออาจจะเป็น
00:24:16 → 00:24:19 เรื่องตัวเลขที่วัดผลได้ความสำเร็จในงาน
00:24:19 → 00:24:21 เนี่ยอาจจะมีความสูงคือทุกอย่างทำอะไรก็
00:24:21 → 00:24:23 สำเร็จทำอะไรก็ก้าวหน้า
00:24:23 → 00:24:26 แต่วิธีการที่ได้มาซึ่งความก้าวหน้าหรือ
00:24:26 → 00:24:28 ระหว่างทางที่เขาทำงานเนี่ยครับเขาอาจจะ
00:24:28 → 00:24:31 สร้างความเสียหายให้กับบุคคลรอบตัวคนที่
00:24:31 → 00:24:34 จะรู้สึกว่าถูกพิษถูกท็อกสิคถูกสาดกรดใส่
00:24:34 → 00:24:37 อะไรเงี้ยครับก็จะเป็นคนที่อยู่รอบตัว
00:24:37 → 00:24:39 ซึ่งอาจจะหมายถึงเพื่อนร่วมงานอาจจะหมาย
00:24:39 → 00:24:42 ถึงลูกน้องที่ไม่สามารถต่อกอนได้
00:24:42 → 00:24:43 อ
00:24:43 → 00:24:45 ไม่สามารถเจรจาต่อรองหรือไม่สามารถป้อง
00:24:45 → 00:24:46 กันตัวเองได้
00:24:46 → 00:24:48 เพราะว่าคนที่สาดพิสัยเาเนี่ยเป็นพวกที่
00:24:48 → 00:24:50 มีอิทธิพลมากกว่า
00:24:50 → 00:24:50 ค่ะ
00:24:50 → 00:24:52 หรือถ้าไม่ใช่มีอิทธิพลมากกว่าก็คือมักจะ
00:24:52 → 00:24:54 มีบุคลิกลักษณะบางอย่างที่มีความเชื่อ
00:24:54 → 00:24:56 มั่นในตัวเองสูงเชื่อมั่นในตัวเองสูงไม่
00:24:56 → 00:24:59 พอเนาะยังอาจจะมีความค่อนข้างมีทัศนคติ
00:25:00 → 00:25:02 ทางลบกับคนอื่นรู้สึกว่าคนอื่นไม่เก่งรู้
00:25:02 → 00:25:04 สึกว่าคนอื่นกระจอกทำไมคนอื่นทำงานได้ไม่
00:25:04 → 00:25:07 ดีแล้วก็ไม่ได้มีความโอบอ้อมอารีหรือมี
00:25:07 → 00:25:10 น้ำใจหรือมีความอ่อนโยนในการสอนงานหรือ
00:25:10 → 00:25:11 ถ่ายทอดงานเท่าไหร่
00:25:11 → 00:25:11 อ
00:25:11 → 00:25:13 แต่จะเป็นลักษณะของการจี้ไปที่ตัวตนว่า
00:25:13 → 00:25:16 คุณมันไม่เก่งคุณมันไม่ดีทำไมแค่นี้คุณทำ
00:25:16 → 00:25:18 ไม่ได้ให้เด็กมาทำดีกว่าทรงอย่างเงี้ย
00:25:18 → 00:25:21 ครับนี่คือนี่คือมลพิษที่มีต่อกันมากกว่า
00:25:21 → 00:25:22 นั้นคือไม่ใช่แค่ทำร้ายจิตใจครับบางที
00:25:22 → 00:25:24 สำหรับการว่าท็อกสิคเนี่ยมันมีเรื่องการ
00:25:24 → 00:25:27 ขโมยผลงานด้วยนะหรือเป็นการโยนความผิดให้
00:25:27 → 00:25:30 คนอื่นตัวเองเก่งอยู่คนเดียวอ่ะเสร็จปุ๊บ
00:25:30 → 00:25:32 ทำอะไรผิดปั๊บโยนไอ้คนนั้นทำคนนี้ทำก็ไอ้
00:25:32 → 00:25:35 คนนั้นคนนู้นคนนี้ผิดแต่ตัวเองไม่เคยผิด
00:25:35 → 00:25:37 สักอย่างก็มีเป็นการใส่ร้ายเป็นการเลื่อย
00:25:37 → 00:25:39 เลื่อยขาเก้าอี้ก็มีเหมือนกันเพราะงั้น
00:25:39 → 00:25:41 อะไรก็ตามที่เาค้าสามารถทำงานได้ดีผลลัพธ
00:25:41 → 00:25:44 เหมือนจะดูดีในเชิงงานแต่ไอ้รอบๆโตเนี่ย
00:25:44 → 00:25:47 โอ้โหหายนะกันหมดจิตใจย่ำแย่คนเกลียดชัง
00:25:47 → 00:25:49 กันอย่างเงี้ยฮะนั่นน่ะมันเป็นสัญญาณที่
00:25:49 → 00:25:51 สะท้อนแล้วว่ามีตัวละครที่ท็อกสิคอยู่ใน
00:25:51 → 00:25:53 องค์กรของเราบางทีการท็อกสิคอาจจะเกิด
00:25:53 → 00:25:56 ขึ้นจากความพลาดไม่ตั้งใจก็ได้เช่นบางคน
00:25:56 → 00:25:59 อาจจะเติบโตมากับวัฒนธรรมหรือภาษาที่แบบ
00:25:59 → 00:26:01 อย่างเช่นเค้าเกิดมาในตระกูลที่แบบพ่อแม่
00:26:01 → 00:26:03 ชอบวิจารณ์ตัวเโอเคเขาอาจจะรู้สึกว่าแบบ
00:26:03 → 00:26:05 เขาไม่เคยเห็นตัวอย่างภาษาที่ดีกว่านี้
00:26:05 → 00:26:07 เลยพอวันนึงเมาทำงานเาก็เลยใช้ประโยคแบบ
00:26:07 → 00:26:10 เนี้ยไปใช้กับคนอื่นอาจจะชินกับภาษาที่
00:26:10 → 00:26:12 เขาเติบโตมาแน่นอนตอนที่เขาพูดสิ่งนี้ใส่
00:26:12 → 00:26:15 คนอื่นเขาอาจจะลืมตัวด้วยอารมณ์ก็ได้แต่
00:26:15 → 00:26:17 สมมุติหลังจากพูดเสร็จอารมณ์หายไปแล้ว
00:26:17 → 00:26:19 เนี่ยขึ้นกับว่าตัวเค้าอ่ะมีโอกาสได้กลับ
00:26:19 → 00:26:21 มาถามตัวเองทบทวนตัวเองมั้ว่าเอ๊ะที่ฉัน
00:26:21 → 00:26:24 พูดไปตะกี้มันแรงไปมั้ยนะถ้าเขามีเสี้ยว
00:26:24 → 00:26:25 นั้นที่รู้สึกว่าเฮ้ยบางทีประโยชน์พวกนี้
00:26:25 → 00:26:28 ก็แรงไปเขาจะมีความรู้สึกไม่อยากทำซ้ำ
00:26:28 → 00:26:31 หรือหรืออาจจะมีการไปขอโทษอ่าแสดงว่า
00:26:31 → 00:26:32 อันเนี้ยเนี่ยเค้าไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเอง
00:26:32 → 00:26:35 คนเดียวเค้าอาจจะมีข้อจำกัดเรื่องภาษาที่
00:26:35 → 00:26:37 เขาเติบโตมาคนเราพออโอวอร์โหลดหรือ burn
00:26:37 → 00:26:39 out เนี่ยครับโดยส่วนใหญ่จะนึกถึงตัวเอง
00:26:39 → 00:26:41 เหมือนกันแต่ฐานการนึกถึงตัวเองเนี่ยมัน
00:26:41 → 00:26:43 จะไม่เหมือนคนเทียานคนเชียทยทยานจะอยาก
00:26:43 → 00:26:45 ขึ้นที่สูง
00:26:45 → 00:26:47 แต่คนเบิร์น out เนี่ยอยากจะพักแล้วแล้ว
00:26:47 → 00:26:49 พอพักมาได้สักทีเพราะว่ามันมีคนทำงานยัง
00:26:49 → 00:26:52 ไม่ดีอ่ะเขาจะรู้สึกว่าแกเพิ่มงานให้ฉัน
00:26:52 → 00:26:54 แกทำให้ฉันต้องอยู่ในนรกนี้ต่อไปยังไม่
00:26:54 → 00:26:55 ได้พักซักที
00:26:55 → 00:26:56 ก็จะกลายเป็นความก้าวร้าวบางอย่างไอ้ความ
00:26:56 → 00:26:58 ก้าวร้าวนั่นแหละก็จะเกิดเป็นทอกสิคในการ
00:26:58 → 00:27:01 ไปตำหนิคนอื่นอันนี้ก็เป็นหนึ่งในทอกสิค
00:27:01 → 00:27:03 เหมือนกันแต่แค่เหมือนที่ชวนให้ดูครับว่า
00:27:03 → 00:27:06 ฐานภายในของผู้กระทำมันมีที่มาไม่เหมือน
00:27:06 → 00:27:08 กัน
00:27:08 → 00:27:09 [เพลง]
00:27:09 → 00:27:14 This is Thai PBS Podcast
00:27:14 → 00:27:17 ติดตามรายการของ Thai PBS Podcast ได้
00:27:17 → 00:27:19 ทางเว็บไซต์ www.thaipspodcast.com
00:27:19 → 00:27:21 thapbspodcast.com
00:27:21 → 00:27:25 แอปพลิเคช Thai PBBS Podcast รวมถึงฟัง
00:27:25 → 00:27:29 ผ่านพcastช่องทางอื่นๆ Spotify YouTube
00:27:29 → 00:27:32 Apple Podcast และ Soundcloud เอ้า
00:27:32 → 00:27:35 [เพลง]