00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับปัจจุบันนะครับก็มีคนไปตรวจ
00:00:03 → 00:00:06 ร่างกายกันเยอะขึ้นนะครับแล้วก็ไปเจอว่า
00:00:06 → 00:00:09 มีแคลเซียมเกาะอยู่ที่บริเวณเส้นเลือดของ
00:00:09 → 00:00:11 เรานะครับก็ได้ยินมาว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่
00:00:11 → 00:00:14 ดีอาจจะทำให้มีการอุดตันของหลอดเลือดที่
00:00:14 → 00:00:17 ไปเลี้ยงหัวใจหรือหลอดเลือดส่วนอื่นๆได้
00:00:17 → 00:00:19 ก็เลยมีความสงสัยว่าเราจะสามารถลด
00:00:19 → 00:00:22 แคลเซียมเหล่านี้ได้อย่างไรรวมทั้งมันมี
00:00:22 → 00:00:25 บริเวณอื่นในร่างกายที่จะเกิดแคลเซียมแบบ
00:00:25 → 00:00:28 นี้ขึ้นได้หรือไม่ทำไมมันถึงเกิดขึ้นแล้ว
00:00:28 → 00:00:31 เราจะป้องกันมันได้มั้ยถ้ามันเกิดขึ้นเรา
00:00:31 → 00:00:33 แก้ไขยังไงวันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังเลยนะ
00:00:33 → 00:00:36 ครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธนีธนียวันเป็น
00:00:36 → 00:00:38 อาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
00:00:38 → 00:00:40 เชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤต
00:00:40 → 00:00:43 บำบัดนะครับการเกิดแคลเซียมตามบริเวณต่าง
00:00:43 → 00:00:46 ๆของร่างกายเนี่ยจริงๆมันเป็นกลไกบาง
00:00:46 → 00:00:48 อย่างของร่างกายในการป้องกันการเกิด
00:00:48 → 00:00:51 อันตรายนะครับแต่ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ทำให้
00:00:51 → 00:00:54 มันเกิดขึ้นเนี่ยมันยังคงไม่หายไปไหนมี
00:00:54 → 00:00:57 อยู่เรื่อยๆนะครับไอ้แคลเซียมที่ไปเกาะ
00:00:57 → 00:00:59 ตามบริเวณต่างๆก็จะทำให้เกิดปัญญหา
00:01:00 → 00:01:03 ขึ้นมานะครับแคลเซียมเนี่ยมันสามารถเกาะ
00:01:03 → 00:01:06 ได้ในหลายบริเวณเช่นในหลอดเลือดของเรานะ
00:01:06 → 00:01:09 ครับหรือตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆขึ้นกับ
00:01:09 → 00:01:12 เหตุผลที่จะเกิดขึ้นเช่นถ้ามันเป็นในหลอด
00:01:12 → 00:01:14 เลือดของเราเนี่ยเหตุผลที่มันเกิดก็เพราะ
00:01:14 → 00:01:17 ว่ามีการอักเสบเรื้อหรั่งเช่นคุณมีความ
00:01:17 → 00:01:20 ดันโลหิตที่สูงอยู่ตลอดเวลานะครับเวลาที่
00:01:20 → 00:01:23 ในท่อหลอดเลือดของเราเนี่ยมันมีแรงดันสูง
00:01:23 → 00:01:25 ๆก็จะเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ง่ายนะครับ
00:01:25 → 00:01:28 นั่นก็คือเหตุผลหนึ่งยิ่งถ้าเกิดว่าคุณมี
00:01:28 → 00:01:30 เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้ได้แน่นอนว่า
00:01:30 → 00:01:33 การที่มีน้ำตาลสูงอยู่เรื่อยๆนะครับมันก็
00:01:33 → 00:01:36 จะเกิดการอักเสบที่ตัวหลอดเลือดได้เรื่อย
00:01:36 → 00:01:40 ๆบางคนไม่พอครับมีการพ่วงโรคอื่นเช่นถ้า
00:01:40 → 00:01:44 มีโรคไขมันสูงนะครับมีโรคไตนะฮะก็จะยิ่ง
00:01:44 → 00:01:46 เกิดการอักเสบในหลอดเลือดได้ง่ายกว่าคน
00:01:46 → 00:01:50 ทั่วไปบางคนเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบโดยตรง
00:01:50 → 00:01:54 นะครับเช่นในโรคกลุ่มภูมิต่อต้านตัวเองนะ
00:01:54 → 00:01:57 ครับโรค sle โรครูมาตอยหรือโรคอื่นๆที่มี
00:01:57 → 00:02:00 การอักเสบของหลอดเลือดพวกนี้เนี่ยเนี่ยก็
00:02:00 → 00:02:02 จะเกิดการบาดเจ็บของหลอดเลือดได้ง่ายนะ
00:02:02 → 00:02:05 ครับแล้วร่างกายของเราเนี่ยเวลาที่มัน
00:02:05 → 00:02:07 เกิดการบาดเจ็บของหลอดเลือดมันก็ต้องป้อง
00:02:07 → 00:02:09 กันไม่ให้หลอดเลือดของเรามันฉีกขาดออกมา
00:02:09 → 00:02:12 ถูกมั้ยครับแต่ไอ้เซลล์ของหลอดเลือดของ
00:02:12 → 00:02:15 เราเนี่ยจริงๆมันมีประกอบไปด้วยเซลล์ที่
00:02:15 → 00:02:17 เป็นอ่าเรียกว่า vascular Smooth Muscle
00:02:17 → 00:02:19 นะครับหรือกล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือด
00:02:19 → 00:02:22 เซลล์พวกนี้เนี่ยมันจะมีความยืดหยุ่นสูง
00:02:22 → 00:02:25 แต่ว่ามันจะทนแรงกระทำต่อมันหรือการ
00:02:25 → 00:02:28 อักเสบเรื่อยๆไม่ได้นะครับถ้าเกิดว่ามัน
00:02:28 → 00:02:30 ทนไม่ไหวจริงๆมันก็ต้องแปลกแงร่างกลายไป
00:02:30 → 00:02:32 เป็นกลุ่มเซลล์ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก
00:02:32 → 00:02:35 กว่านั้นในที่นี้เนี่ยมันก็จะกลายไปเป็น
00:02:35 → 00:02:38 เซลล์ตัวหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่า
00:02:38 → 00:02:40 osteoblast Like Cell นะครับอสอสนี่
00:02:41 → 00:02:42 จริงๆมันเป็นเซลล์ซึ่งอยู่ในกระดูกของเรา
00:02:43 → 00:02:45 มีหน้าที่ในการสร้างความแข็งแรงให้กับ
00:02:45 → 00:02:48 กระดูกโดยการที่อ่ามีการเกี่ยวข้องกับการ
00:02:48 → 00:02:51 อ่าเอาพวกแคลเซียมไฮดรอกซี่ปท้หรือพวก
00:02:51 → 00:02:54 เนี้ยมาทำให้กระดูกของเรามันแข็งแรงขึ้น
00:02:54 → 00:02:57 แต่ไอ้เหตุการณ์เนี้ยก็สามารถไปเกิดที่
00:02:57 → 00:03:00 อื่นได้เช่นในตัวหลอดเลือดของเรานะครับ
00:03:00 → 00:03:02 ที่มันเกิดขึ้นเนี่ยมันเกิดขึ้นในผนังของ
00:03:02 → 00:03:06 หลอดเลือดของเราเลยนะครับในผนังในตัวผนัง
00:03:06 → 00:03:09 เลยนะครับบางคนอาจจะคิดว่าเอ๊ะในตัวที่
00:03:09 → 00:03:11 มันเกิดขึ้นน่ะไม่ได้เกิดที่ผนังแต่มัน
00:03:11 → 00:03:13 เกาะอยู่ข้างเกาะอยู่กับผนังหรือเปล่า
00:03:13 → 00:03:16 แล้วถ้าไปแกะมันออกเนี่ยมันก็น่าจะหาย
00:03:16 → 00:03:19 เปล่าครับไอ้พวกนี้เนี่ยบางทีนะครับมันลง
00:03:19 → 00:03:21 ลึกไปจนถึงตัวผนังเองเลยด้วยซ้ำไปแต่ก็มี
00:03:21 → 00:03:23 ส่วนที่มันเกาะอยู่ข้างนอกเหมือนกันนะ
00:03:23 → 00:03:25 ครับไอ้ส่วนที่มันเกาะอยู่ข้างนอกเนี่ย
00:03:25 → 00:03:29 เป็นตัวที่มีปัญหาได้นะครับเพราะว่าบางที
00:03:29 → 00:03:31 เนี่ยถ้ามันมีการอักเสบของหลอดเลือดเช่น
00:03:31 → 00:03:33 จากความดันที่มันสูงอยู่นานๆแล้วเราไม่
00:03:33 → 00:03:36 ยอมไปลดมันสักทีนะครับมันอาจจะมีการปริ
00:03:36 → 00:03:39 ขาดของหลอดเลือดเล็กน้อยเวลามันปริเนี่ย
00:03:39 → 00:03:41 มันจะปริด้านในก่อนนะครับหลอดเลือดของเรา
00:03:42 → 00:03:44 มันคิดดูมันเป็นหลอดกลมๆนะครับมันไม่ปริ
00:03:44 → 00:03:46 ด้านนอกมันปริด้านในก่อนเพราะว่า้าด้านใน
00:03:46 → 00:03:48 มีแรงดันใช่มั้ยมีหลมีเลือดวิ่งอยู่แรงๆ
00:03:48 → 00:03:51 มีความดันที่มันสูงพอนปริมันก็จะเป็นเป็น
00:03:52 → 00:03:54 ร่องเป็นรูอย่างนี้ขึ้นมานะครับแต่ว่ามัน
00:03:54 → 00:03:56 ยังไม่ขาดทั้งอันสิ่งที่ร่างกายมันทำพอ
00:03:56 → 00:03:58 มันเปิดอย่างนี้ขึ้นมาแล้วเนี่ยมันต้องหา
00:03:58 → 00:04:01 เอาอะไรมาอุดเช่นพวกเกล็ดเลือดต่างๆนะ
00:04:01 → 00:04:04 ครับมาอุดปุ๊บเกิดการอักเสบมีมีเกล็ด
00:04:04 → 00:04:06 เลือดมีการแข็งตัวของเลือดบริเวณนั้นนะ
00:04:06 → 00:04:08 ครับบางคนไขมันสูงมันก็มาเกาะอยู่ตรงนั้น
00:04:08 → 00:04:11 นะครับเกาะเรื่อยไปเรื่อยๆปุ๊บมันก็เกิด
00:04:11 → 00:04:13 การอักเสบเรื้อรังสุดท้ายก็จะมีแคลเซียม
00:04:13 → 00:04:15 มาเกาะเพราะว่าแคลเซียมมันเป็นสิ่งที่
00:04:15 → 00:04:17 แข็งแรงที่สุดในบรรดาของที่เรามีในร่าง
00:04:17 → 00:04:21 กายนะครับเหมือนคุณมีสายยางเส้นหนึ่งรั่ว
00:04:21 → 00:04:23 นะครับแล้วคุณเอาตอนแรกเอาปลาสเตอร์บางๆ
00:04:23 → 00:04:25 มาแปะเนี่ยมันอาจจะอยู่ไม่ได้นะครับมันก็
00:04:25 → 00:04:27 เลยต้องเอาสิ่งที่แข็งแรงกว่านั้นในที่
00:04:27 → 00:04:29 นี้ในร่างกายคนก็คือแคลเซียมนี่แหละครับ
00:04:29 → 00:04:32 ดังนั้นแคลเซียมเนี่ยมันจะมีถ้ามันมีเหตุ
00:04:32 → 00:04:35 ผลของมันเช่นการอักเสบการบาดเจ็บนะ
00:04:35 → 00:04:37 แคลเซียมก็จะมาเสริมตรงนี้เพื่อที่จะไม่
00:04:37 → 00:04:41 ให้เกิดการฉีขันของหลอดเลือดนะครับแต่
00:04:41 → 00:04:44 ระยะยาวสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแคลเซียมพวก
00:04:44 → 00:04:45 เนี้ยมันไม่ได้ยืดหยุ่นเหมือนกับผนังหลอด
00:04:45 → 00:04:47 เลือดนะครับผนังหลอดเลือดของเรานี่มันไม่
00:04:47 → 00:04:50 ใช่เป็นท่อแข็งๆนะมันมีความยืดหยุ่นมัน
00:04:50 → 00:04:53 มันขยายตัวแล้วก็หดตัวได้นะครับเป็นปกติ
00:04:53 → 00:04:55 แลไอ้เนี่ยมันเป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่สำคัญ
00:04:55 → 00:04:57 สำหรับร่างกายเราถ้ามันไม่ได้ยืดหยุ่น
00:04:57 → 00:04:59 เดี๋ยวก็จะมีปัญหาเรื่องของความดันโลหิต
00:04:59 → 00:05:02 สูงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆเรื่อยๆยิ่งเรื่อยๆ
00:05:02 → 00:05:06 มันก็จะยิ่งมีความอักเสบมีแรงดันมีการบาด
00:05:06 → 00:05:07 เจ็บต่อหลอดเลือดสูงขึ้นก็จะยิ่งมี
00:05:07 → 00:05:09 แคลเซียมเข้ามาใหญ่นะครับงั้นการที่มี
00:05:09 → 00:05:11 แคลเซียมเยอะๆเนี่ยมันก็ทำให้หลอดเลือด
00:05:11 → 00:05:14 ของเราเนี่ยไม่ยืดหยุดแล้วไม่เพียงแค่
00:05:14 → 00:05:17 นั้นแคลเซียมส่วนที่มันเกาะอยู่ในท่อหรือ
00:05:17 → 00:05:19 ในหลอดเลือดของเราเนี่ยมันอาจจะสามารถ
00:05:19 → 00:05:22 หลุดออกไปได้ถ้ามันหลุดออกไปแล้วไปอุดตัน
00:05:22 → 00:05:25 สักที่นึงก็จะเกิดโรคขึ้นมาได้เช่นเกิด
00:05:25 → 00:05:28 โรคหลอดเลหัวใจมันอุดตันในที่นี้ก็เลย
00:05:28 → 00:05:31 เป็นที่มาของการการตรวจแคลเซียมสกอที่เรา
00:05:31 → 00:05:33 บางคนอาจจะเคยได้รับการตรวจมาแล้วก็เจอ
00:05:33 → 00:05:36 แคลเซียมอยู่ตรงนั้นการเจอแคลเซียมตรง
00:05:36 → 00:05:37 นั้นมันไม่ได้บอกนะครับว่าแคลเซียมนั้น
00:05:37 → 00:05:39 มันอยู่ที่ไหนมันอาจจะอยู่ตรงผนังหลอด
00:05:39 → 00:05:43 เลือดก็ได้หรือมันอาจจะอยู่ทั้งผนังหลอด
00:05:43 → 00:05:45 เลือดข้างนอกแล้วก็ข้างในก็ได้สิ่งที่เรา
00:05:45 → 00:05:48 กลัวคือในท่อในหลอดของเลือดเนี่ยมันมี
00:05:48 → 00:05:51 แคลเซียมไปอยู่ในนั้นมันทำให้มันตีบลงไอ้
00:05:51 → 00:05:53 แบบเนี้ยน่ากลัวแต่ถ้ามันอยู่แค่ผนัง
00:05:53 → 00:05:55 อย่างเดียวเนี้ยอันนี้ยังไม่ได้น่ากลัว
00:05:55 → 00:05:57 เท่ามันอยู่ในตัวหลอดเลือดเองเพราะว่า
00:05:57 → 00:05:59 สิ่งที่อยู่ในตัวหลอดเลือดเนี่ยมันจะจะทำ
00:05:59 → 00:06:02 ให้ทางเดินของเลือดของเราเนี่ยแคบลงแล้ว
00:06:02 → 00:06:05 ถ้าโชคร้ายมันอาจจะหลุดไปอุดตันตรงบริเวณ
00:06:05 → 00:06:06 ปลายหลอดเลือดอันนี้ก็จะเกิดเรื่องขึ้นมา
00:06:06 → 00:06:09 ได้ดังนั้นการรักษาก็ขึ้นอยู่กับว่าไอ้
00:06:09 → 00:06:11 หลอดเลือดของเราเนี่ยมันมีแคลเซียมไปเกาะ
00:06:11 → 00:06:14 ตรงไหนกันแน่การตรวจแคลเซียมสกอเนี่ยมัน
00:06:14 → 00:06:16 เป็นการตรวจรวมๆตัวที่มันแบอกไม่ได้ว่าตก
00:06:16 → 00:06:18 ลงแล้วมันอยู่ตรงไหนก็ต้องมีการไปตรวจ
00:06:18 → 00:06:20 อย่างอื่นเพิ่มเติมเช่นการสวดหัวใจหรือ
00:06:20 → 00:06:23 การทำ CT แบบฉีดสีเข้าไปเพื่อที่จะดูว่า
00:06:23 → 00:06:26 สีมันเข้าไปตรงเส้นเลือดหัวใจของเราแล้ว
00:06:26 → 00:06:29 มันมีการโชว์ว่ามันตีบหรือไม่ตีบนะครับ
00:06:29 → 00:06:32 นี่คือกรณีของหลอดเลือดแต่แคลเซียมก็เกาะ
00:06:32 → 00:06:36 ที่อื่นได้อีกครับเช่นในตัวลิ้นหัวใจของ
00:06:36 → 00:06:38 เราในคนบางคนเป็นโรคลิ้นหัวใจก็จะสามารถ
00:06:38 → 00:06:41 มีแคลเซียมมาะเกาะได้คนอายุเยอะก็ยิ่งมี
00:06:41 → 00:06:43 แคลเซียมมะเกาะที่ลิ้นหัวใจได้ง่ายขึ้นนะ
00:06:43 → 00:06:46 ครับบางคนเป็นโรคไตนะครับโดยเฉพาะโรคไต
00:06:46 → 00:06:49 วายเรื้อรังพวกเนี้ยมันจะมีความผิดปกติ
00:06:49 → 00:06:52 ของสมดุลแคลเซียมคอฟอสเฟตนะครับแล้วก็สาร
00:06:52 → 00:06:55 ต่างๆในร่างกายก็จะทำให้แคลเซียมสามารถไป
00:06:55 → 00:06:58 เกาะบริเวณอื่นๆได้เช่นในปอดนะครับใน
00:06:58 → 00:07:01 กล้ามเนื้อเนื้อในเส้นเอ็นได้หมดทั้งร่าง
00:07:01 → 00:07:03 กายเลยทีเดียวนะครับภาวะนี้เนี่ยก็จะเป็น
00:07:03 → 00:07:06 ภาวะที่รักษาได้ยากมากแล้วก็บางทีทำให้
00:07:06 → 00:07:09 เกิดแผลเรื้อรังหรือว่าอาการที่ผิดปกติ
00:07:09 → 00:07:13 ได้นะครับนอกจากนี้เนี่ยการอักเสบของเรา
00:07:13 → 00:07:15 มันก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้น
00:07:15 → 00:07:19 ในร่างกายโดยตัวเองเช่นความดันโหิตสูงเบา
00:07:19 → 00:07:22 หวานความดันไขมันนะครับไม่ได้เกิดขึ้นแค่
00:07:22 → 00:07:25 นั้นนะฮะแต่มันยังมีอย่างอื่นอีกเช่นการ
00:07:25 → 00:07:28 ไม่สบายเช่นคุณเป็นวัณโรคนะวัณโรคเนี่ย
00:07:28 → 00:07:30 ร่างกายมันพยายามจะจะกำจัดแต่มันกำจัดไม่
00:07:30 → 00:07:32 ได้มันก็เลยบอกว่าเฮ้ยวรรณโรคอยู่ตรงกลาง
00:07:32 → 00:07:34 ใช่มั้ยเราสร้างเกราะที่มันเป็นแคลเซียม
00:07:34 → 00:07:36 ขึ้นมาหุ้มมันเลยจะได้ไม่แพร่ออกไปข้าง
00:07:36 → 00:07:39 นอกบางคนก็จะเกิดเป็นแคลเซียมนะครับให้
00:07:39 → 00:07:43 เราเห็นขึ้นมานะหรือบางคนที่เป็นสุขใสนะ
00:07:43 → 00:07:45 ครับถ้าเกิดว่าเจอคนไหนที่เป็นสุขใส
00:07:45 → 00:07:48 รุนแรงจนกระทั่งสุขใสมันลงไปในปอดเลย
00:07:48 → 00:07:50 เนี่ยเวลามันหายแล้วนะครับมันจะเป็นจุด
00:07:50 → 00:07:53 แคลเซียมเต็มไปหมดเลยเต็มปอดไปเลยนะครับ
00:07:53 → 00:07:55 เพราะว่าร่างกายเรามันจะพยายามกำจัดเชื้อ
00:07:55 → 00:07:57 กำจัดไม่ได้มันก็เลยสร้างแคลเซียมขึ้นมา
00:07:57 → 00:07:59 หุ้มไม่ให้เชื้อมันแพร่ออกไปที่อื่นก็เลย
00:07:59 → 00:08:02 เกิดเป็นจุดแคลเซียมพวกนี้ขึ้นมาดังนั้น
00:08:02 → 00:08:04 จะเห็นว่ากลไกของร่างกายในการสร้าง
00:08:04 → 00:08:08 แคลเซียมเนี่ยมันมีเหตุมีผลของมันครับนะ
00:08:08 → 00:08:10 ครับการไปทำลายกระบวนการนี้เนี่ยนะครับ
00:08:10 → 00:08:13 มันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเพราะว่ามันไม่ได้
00:08:13 → 00:08:17 กำจัดต้นเหตุของมันนะครับดังนั้นตอนนี้
00:08:17 → 00:08:20 เราพอรู้และว่าแคลเซียมของเราเนี่ยมันมี
00:08:20 → 00:08:22 ไว้ทำอะไรเวลามันไปกาะตามอวยวะต่างๆนะ
00:08:22 → 00:08:25 ครับแต่ในอีกแง่มุมหนึ่งคนเราก็ต้องการ
00:08:25 → 00:08:28 แคลเซียมเข้าไปเสริมที่ไหนครับกระดูกและ
00:08:28 → 00:08:31 ฟันถูกมั้ยทุกคนอยากได้แคลเซียมไปเสริม
00:08:31 → 00:08:33 เพราะว่าบางคนบอกว่าเอ้ยอายุเยอะแล้วเป็น
00:08:33 → 00:08:35 ผู้หญิงหมดประจำเดือนเดี๋ยวกระดูกพรุนเรา
00:08:35 → 00:08:37 ก็ต้องกินแคลเซียมเสริมแต่เราก็ฟังไปฟัง
00:08:37 → 00:08:40 มาก็เริ่มกลัวเฮ้ยถ้ากินแคลเซียมเสริมมัน
00:08:40 → 00:08:43 จะไปพอกในไส้เลือดของเราหรือเปล่าเออมัน
00:08:43 → 00:08:46 จะไปพอกตามอวัยวะต่างๆของเรามั้ยนะครับ
00:08:46 → 00:08:48 นี่แหละเดี๋ยววันนี้จะเล่าให้ฟังในราย
00:08:48 → 00:08:52 ละเอียดนะครับและแคลเซียมถ้ามันพอกใน
00:08:52 → 00:08:54 กระดูกเออดีมันควรจะอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ
00:08:54 → 00:08:57 แต่ถ้ามันไปพอกที่อื่นเช่นเส้นเลือดปอด
00:08:57 → 00:09:00 อวัยวะต่างๆนะครับจากการอักเสหรือจากอะไร
00:09:00 → 00:09:03 ก็ก็แล้วแต่มันจะทำให้อวัยวะนั้นเนี่ยทำ
00:09:03 → 00:09:06 หน้าที่ผิดปกติไปได้โดยเฉพาะถ้ามันพอก
00:09:06 → 00:09:09 เยอะๆนะครับปอดก็จะหายใจไม่ได้นะครับหลอด
00:09:09 → 00:09:11 เลือดก็จะไม่ยืดหยุ่นก็จะมีการอักเสบ
00:09:11 → 00:09:13 อย่างอื่นตามมาแล้วก็ยิ่งเป็นมากกว่าเดิม
00:09:13 → 00:09:16 ก็ได้เลือดก็อาจจะไปเลี้ยงบริเวณอวัยวะ
00:09:16 → 00:09:22 สูนไปไม่ดีนี่คือปัญหาทีนี้ครับถ้าเราเจอ
00:09:22 → 00:09:25 ภาวะที่หลอดเลือดมันกลายเป็นมีมีแคลเซียม
00:09:25 → 00:09:29 เกาะหรือเราอยากจะป้องกันเราทำยังไง
00:09:29 → 00:09:32 ประการแรกเลยนะครับเรามีโรคประจำตัวอะไร
00:09:32 → 00:09:35 ให้รีบรักษาซะโดยเฉพาะความดันวหิตสูงคุณ
00:09:35 → 00:09:38 ต้องรีบลดความดันลงมานะครับเบาหวานคุณ
00:09:38 → 00:09:42 ต้องคุมเบาหวานให้ได้นะฮะหรือการที่คุณมี
00:09:42 → 00:09:45 โรคไตวายเรืรังคุณต้องเข้าใจในการรักษา
00:09:45 → 00:09:47 โรคไตไวหรือลังแล้วจริงๆ 3 โรคนี้ผมเคยทำ
00:09:47 → 00:09:50 คลิปวีีดีโอไปเรียบร้อยแล้วถ้าจำไม่ได้ก็
00:09:50 → 00:09:52 ลองย้อนกลับไปฟังทั้ง 3 คลิปดูก็ได้ว่า
00:09:52 → 00:09:55 มันดูแลรักษากันยังไงนะครับแต่นี่คือต้น
00:09:55 → 00:09:58 เหตุนะฮะที่เราต้องรีบจัดการก่อนไม่
00:09:58 → 00:10:00 ฉะนั้นเนี่ยก็จะเกิดแคลเซียมไปเกาะตาม
00:10:00 → 00:10:03 อวัยวะต่างๆโดยเฉพาะหลอดเลือดได้นะครับ
00:10:03 → 00:10:06 ต่อมาก็คือโรคหลอดเลือดอักเสบใครมีโรค
00:10:06 → 00:10:10 ภูมิต่อต้านตัวเองเนี่ยบางทีเนี่ยมันอาจ
00:10:10 → 00:10:14 จะไม่อยากกินยาใช่มยกินสตีรเพดนิโนโอกิน
00:10:14 → 00:10:17 แล้วหน้าบวมนะหน้าบวมหิวบ่อยผิวก็บาง
00:10:17 → 00:10:19 เลือดก็ออกง่ายช้ำง่ายนะครับแล้วบางทีกิน
00:10:19 → 00:10:21 แล้วก็นอนไม่หลับมีอาการกระสับกระส่าย
00:10:22 → 00:10:25 วิตกกังวลฉุนเฉียวง่ายเยอะแยะไปหมดก็เลย
00:10:25 → 00:10:27 ไม่อยากจะกินไม่ได้หรอกครับถ้าท่านไม่กิน
00:10:27 → 00:10:29 เนี่ยไอ้โรคพวกเถามหาเต็มไปหมดเลยเลยนะ
00:10:29 → 00:10:33 ครับหรือบางคนบอกว่าเอ๊ยความดันไขมันพวก
00:10:33 → 00:10:36 นี้ไม่กินยาได้มั้ยคือคุณไม่มีทางรู้นะ
00:10:36 → 00:10:38 ครับว่าในร่างกายคุณจะเกิดแคลเซียมแบบ
00:10:38 → 00:10:40 เนี้ยเร็วแค่ไหนเพราะว่าแต่ละคนก็ไม่
00:10:40 → 00:10:43 เหมือนกันนะครับคนเราเนี่ยเกิดมาหน้าตา
00:10:43 → 00:10:45 ไม่เหมือนกันอยู่แล้วดังนั้นระดับของระบบ
00:10:45 → 00:10:47 ของยีนของพันธุกรรมของเราก็ไม่เหมือนกัน
00:10:47 → 00:10:49 บางคนอาจจะเกิดแคลเซียมได้ง่ายบางคนอาจจะ
00:10:49 → 00:10:52 เกิดแคลเซียมได้ยากนะครับดังนั้นก็ไม่
00:10:52 → 00:10:54 สามารถตอบได้ว่าท่านจะเป็นแบบไหนการดูแล
00:10:54 → 00:10:57 ตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญนะครับขอเริ่ม
00:10:57 → 00:10:59 ต้นด้วยวิธีธรรมชาติก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะไป
00:10:59 → 00:11:02 ถึงยาและอาหารเสริมที่เขาจะใช้กันในกรณี
00:11:02 → 00:11:05 แบบนี้นะครับเรื่องธรรมชาติแน่นอนออก
00:11:06 → 00:11:09 กำลังกายสม่ำเสมอโดยวิธีคาร์ดิโอพวกเนี้ย
00:11:09 → 00:11:12 ช่วยได้ดีมากสำหรับการเกาะของแคลเซียมที่
00:11:12 → 00:11:14 หลอดเลือดมันจะทำให้มันไม่ค่อยเกาะนะครับ
00:11:14 → 00:11:16 ทำให้เซลล์ที่เป็นอ่า vascular Smooth
00:11:16 → 00:11:18 Muscle หรือว่าเซลล์เ่อกล้ามเนื้อเรียบ
00:11:18 → 00:11:21 ที่ผนังหลอดเลือดเนี่ยมีความแข็งแรงทนทาน
00:11:21 → 00:11:24 ต่อไอ้ต่อแรงดันพวกนี้ได้ดีขึ้นนะครับการ
00:11:24 → 00:11:27 ไม่ทำร้ายร่างกายโดยการสูบบุหรี่ไม่ว่าจะ
00:11:27 → 00:11:30 เป็นบุหรี่ไฟฟ้าบุหรี่ธรรมดาหรือจะเป็น
00:11:30 → 00:11:32 อะไรก็แล้วแต่เมื่อไหร่มีนิโคตินเมื่อ
00:11:32 → 00:11:34 นั้นไม่ปลอดภัยเพราะนิโคตินทำให้ความดา
00:11:34 → 00:11:37 โลหิตเราสูงนะครับงั้นคุณต้องแก้ไขถ้าคุณ
00:11:37 → 00:11:41 มีเบาหวานก็แน่นอนต้องจัดการนะครับรักษา
00:11:41 → 00:11:44 โรคประจำตัวไปแล้วออกกำลังกายไปแล้วนะ
00:11:44 → 00:11:46 ครับไม่ใช้บุหรี่นะครับไปอยู่กับธรรมชาติ
00:11:46 → 00:11:48 บ้างทำใจให้สงบนอนหลับให้สบายอะไรพวกเนี้
00:11:49 → 00:11:52 นะฮะมันก็ช่วยได้นะครับแต่ผมรู้ว่าทุกคน
00:11:52 → 00:11:54 น่ะอยากจะมาถึงเอ๊ะแล้วมันจะมีอาหารเสริม
00:11:54 → 00:11:57 ตัวไหนได้บ้างก็ต้องบอกว่ามันมีเหมือนกัน
00:11:57 → 00:11:58 นะครับแต่ว่าผลเนี่ยก็แล้วแต่คนว่าจะได้
00:11:58 → 00:12:02 ผลมากน้อยแค่ไหนตัวแรกก็คือแมกนีเซียม
00:12:02 → 00:12:05 ครับแมกนีเซียมเนี่ยมันจะไปขัดขวางกระบวน
00:12:05 → 00:12:08 การอันนึงของแคลเซียมในการรวมเป็นก้อนนะ
00:12:08 → 00:12:10 ครับคือแคลเซียมไฮดรอกซีอาทต
00:12:10 → 00:12:12 crystallization คือการเกิดเป็นคริสตัล
00:12:13 → 00:12:15 ของแคลเซียมไฮดรอกซีอาทตซึ่งมันจะไปเกาะ
00:12:15 → 00:12:18 ตามที่ต่างๆรวมทั้งหลอดเลือดด้วยการกิน
00:12:18 → 00:12:20 แมกนีเซียมเนี่ยมันสามารถไปต้านกระบวนการ
00:12:20 → 00:12:23 นี้ได้นะครับแมกนีเซียมผมเคยทำคลิปไปแล้ว
00:12:23 → 00:12:25 เหมือนกันนะครับสามารถย้อนไปฟังดูได้นะ
00:12:25 → 00:12:27 ครับคือโดยทั่วไปเนี่ยคุณจะเลือก
00:12:27 → 00:12:29 แมกนีเซียมฟอร์มไหนก็ได้นะครับแล้วแล้ว
00:12:29 → 00:12:31 แต่ว่าคุณชอบแบบไหนนะครับแต่ตัวที่มีการ
00:12:31 → 00:12:35 ศึกษาตัวนึงก็คือแคลเซียมเิเอ้ไม่ใช่ตัว
00:12:35 → 00:12:38 ตัวแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์นะครับก็จะเป็น
00:12:38 → 00:12:40 ตัวที่มีการศึกษาถ้าเกิดกินก็เอ่อ
00:12:40 → 00:12:42 แมกนีเซียมออกไซด์ไม่ใช่แมกนีเซียม
00:12:42 → 00:12:44 ไฮดรอกไซด์แมกนีเซียมออกไซด์ตัวเนี้ยก็จะ
00:12:44 → 00:12:47 มีการศึกษาคือกิน 400 มิลกรัมต่อวันก็
00:12:47 → 00:12:49 เพียงพอแต่ดยส่วนมากเนี่ยเราจะเริ่มเห็น
00:12:49 → 00:12:52 ผลก็คือกินไปแล้วประมาณสัก 2-3 เดือนนะ
00:12:52 → 00:12:54 ครับเห็นผลเต็มที่ก็ประมาณสัก 6 เดือนนะ
00:12:54 → 00:12:56 ครับก็ต้องกินต่อเนื่องไม่ใช่กินแป๊บ
00:12:56 → 00:12:58 เดียวแล้วหยุดนะครับแต่แมกนีเซียมก็มีข้อ
00:12:58 → 00:13:00 ห้ามเหมือนกันนะครับเช่นบางคนเป็นโรคไต
00:13:00 → 00:13:02 เนี่ยก็ต้องระวังนะครับถ้าเกิดกิน
00:13:02 → 00:13:05 แมกนีเซียมเยอะเกินไปบางทีเนี่ยมันมีผล
00:13:05 → 00:13:07 เสียต่อกระดูกนะครับทำให้เป็นภาวะหนึ่ง
00:13:07 → 00:13:10 เราเรียกว่าออสเตมาเลเชียได้นะครับก็จะทำ
00:13:10 → 00:13:12 ให้กระดูกมีปัญหาได้ดังนั้นถ้าคนไหนมีโรค
00:13:13 → 00:13:16 ไตต้องสอบถามหมอที่รักษาท่านอยู่เสมออย่า
00:13:16 → 00:13:19 ถามผมนะครับผมจะไม่สามารถตอบได้คุณต้อง
00:13:19 → 00:13:21 เอาไปถามคุณหมอที่คุณรักษาอยู่ด้วยว่าจะ
00:13:21 → 00:13:23 กินเนี่ยคุณกินได้มยนะครับไม่ต้องถามผม
00:13:23 → 00:13:25 เลยนะฮะผมเห็นมีหลายคนพยายามจะถามเอาค่า
00:13:25 → 00:13:28 ไตมาให้ผมดูบ้างอะไรเงี้ยถามหมอที่รักษา
00:13:28 → 00:13:29 คุณอยู่ก่อนเลยนะครับเรื่องของการกิน
00:13:29 → 00:13:32 แมกนีเซียมถ้าจะกินนะอีกกลุ่มนึงที่ต้อง
00:13:32 → 00:13:35 ระวังการกินแมกนีเซียมคือกลุ่มคนที่มีโรค
00:13:35 → 00:13:37 กล้ามเนื้ออ่อนแรงต่างๆไม่ว่าจะเป็นอะไร
00:13:37 → 00:13:40 ก็แล้วแต่โดยเฉพาะ My acinic gravis
00:13:40 → 00:13:42 หรือ mg นะครับภาวะนี้เนี่ยบางคนมีกล้าม
00:13:42 → 00:13:44 เนื้ออ่อนแรงถ้าเกิดกินแมกนีเซียมขนาดที่
00:13:44 → 00:13:47 มันสูงจนเกินไปก็จะเกิดปัญหาได้แต่โดน
00:13:47 → 00:13:49 ส่วนใหญ่บอกว่าผมจะบอกว่ามันไม่ค่อยเกิด
00:13:49 → 00:13:51 หรอกครับแมกนีเซียมที่ควรระวังในคนที่
00:13:51 → 00:13:54 เป็นไคือแมกนีเซียมแบบฉีดเข้าเส้นเลือดซะ
00:13:54 → 00:13:56 มากกว่าถ้าแบบกินเนี่ยไม่ค่อยมีปัญหาเท่า
00:13:56 → 00:13:58 ไหร่ก็สามารถที่จะกินได้แต่อย่างไรก็ตาม
00:13:58 → 00:14:01 คนไหนที่มีปัญหาเป็น mg กำเริบบ่อยก็อาจ
00:14:02 → 00:14:04 จะต้องระวังการกินแมกนีเซียมนิดนึงนะครับ
00:14:04 → 00:14:06 จะเลือกแมกนีเซียมฟอร์มไหนเลือกไปเลยนะ
00:14:06 → 00:14:08 ครับเลือกซักฟอร์มที่เรารู้สึกว่ากินแล้ว
00:14:08 → 00:14:10 มันไม่มีปัญหาบางคนกินแล้วท้องเสียเยอะก็
00:14:10 → 00:14:12 อาจจะต้องไปเลือกฟอร์มที่ไม่ค่อยท้องเสีย
00:14:12 → 00:14:15 เช่นอ่าแมกนีเซียมกิตแมกนีเซียม amin
00:14:15 → 00:14:17 Acid คีย Rate ต่างๆนะครับก็เลือกตัวที่
00:14:17 → 00:14:19 เราชอบนะ magnesium alate บางคนบอกว่า
00:14:19 → 00:14:22 เอ้ยกินแล้วหลับดีจะเป็นตัวนี้ก็ได้นะ
00:14:22 → 00:14:24 ครับแมกนีเซียมอยากจะกินตอนไหนได้หมดทุก
00:14:25 → 00:14:27 ตอนนะครับจะท้องว่างท้องอิ่มนะครับหรือจะ
00:14:27 → 00:14:29 กินก่อนนอนจะกินตอนเช้า
00:14:29 → 00:14:32 แล้วแต่ชอบเลยแต่บางคนเนี่ยที่เอ่อท้องมี
00:14:32 → 00:14:34 ความไวมากๆกินเข้าไปมันอาจจะท้องเสียพวก
00:14:35 → 00:14:37 เนี้ยแนะนำว่าให้กินหลังอาหารแทนนะครับ
00:14:37 → 00:14:40 ตัวแรกแมกนีเซียมตัวที่ 2 ผมว่าหลายคนเคย
00:14:40 → 00:14:43 ได้ยินแล้วผมก็เคยพูดไปแล้ววิตามิน K2 นะ
00:14:43 → 00:14:48 ครับอ่าวิตามิน K2 Min quinone 7 นะ
00:14:48 → 00:14:52 ครับคือมันมีวิตามิน K2 24 กับ 27 ก็มี
00:14:52 → 00:14:54 หลายตัวนะ 27 เนี่ยมันอยู่ในร่างกายได้
00:14:54 → 00:14:57 นานกว่านะครับตัวนี้เนี่ยมันก็จะสามารถ
00:14:57 → 00:14:59 ที่จะไปกระตุ้น
00:14:59 → 00:15:03 เอ่อตัวนึงซึ่งชื่อว่า Matrix GL รนนะ
00:15:03 → 00:15:05 ครับตัวนี้เนี่ยเวลามันโดนกระตุ้นแล้ว
00:15:05 → 00:15:08 เนี่ยมันจะป้องกันการเกิดอ่าแคลเซียมไป
00:15:08 → 00:15:11 เกาะตรงบริเวณหลอดเลือดนะครับในขณะเดียว
00:15:11 → 00:15:14 กันไอ้วิตามิน K2 เนี่ยมันก็สามารถไป
00:15:14 → 00:15:17 กระตุ้นสิ่งสิ่งนึงซึ่งชื่อว่าออสติ
00:15:17 → 00:15:19 แคลซีนตรงกระดูกของเราทำให้แคลเซียมไป
00:15:19 → 00:15:22 อยู่ตรงนั้นก็คือมันลดการเกิดแคลเซียมที่
00:15:22 → 00:15:24 เส้นเลือดแต่ไปเพิ่มการเกิดแคลเซียมที่
00:15:24 → 00:15:28 กระดูกก็ดูแล้วดีนะฮะผมเคยทำคลิปไปแล้ว
00:15:28 → 00:15:30 แต่ตอนนั้นเนี่ยผมบอกว่าเอ่อขนาดที่กิน
00:15:30 → 00:15:33 เนี่ยคือ 200-400 ไมโครกรัมต่อวันนะครับ
00:15:34 → 00:15:36 แต่ผมไปอ่านงานวิจัยมาเพิ่มเติมในเรื่อง
00:15:36 → 00:15:39 เนี้ยโดยเฉพาะเลยนะครับเพบว่าคนที่ใช้
00:15:39 → 00:15:43 วิตามิน K2 ในระดับที่น่าจะช่วยนะครับมัน
00:15:43 → 00:15:46 ค่อนข้างสูงจะถึง 720 ไมโครกรัมต่อวันเลย
00:15:46 → 00:15:49 ทีเดียวนะครับอย่างไรก็ตามข้อมูลตรงนี้
00:15:49 → 00:15:52 ยังไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นนะครับก็จะกินก็
00:15:52 → 00:15:55 ต้องมีข้อควรระวังอย่างหนึ่งสิ่งนั้นก็
00:15:55 → 00:15:58 คือคนไหนที่กินยาต้านลิ่มเลือดชื่อว่าวา
00:15:58 → 00:16:02 ฟินอยู่หรือคูดินเป็นยาตัวเดียวกันอย่าไป
00:16:02 → 00:16:05 กินตัวนี้เพราะมันจะไปทำให้ยฤทธิ์ของยา
00:16:05 → 00:16:08 เนี่ยหมดนะทำอะไรไม่ได้แต่ถ้าสำหรับคน
00:16:08 → 00:16:11 อื่นไม่ได้มีปัญหาอะไรตัวเนี้ยไม่ได้ทำ
00:16:11 → 00:16:13 ให้เกิดลิ่มเลือดในร่างกายนะครับถ้าไม่
00:16:13 → 00:16:16 นับคนที่กินวาฟารินอยู่นะคนอื่นๆคนทั่วไป
00:16:16 → 00:16:18 คนที่เคยมีลิ่มเลือดมาก่อนกินได้มยได้
00:16:18 → 00:16:20 เพราะบางคนกังวลเอ๊ะวิตามิน K มันเกิด
00:16:20 → 00:16:23 ลิ่มเลือดได้แต่ในกรณีทั่วไปเช่นบางคนอ่ะ
00:16:23 → 00:16:25 เคยเป็นลิ่มเลือดมาก่อนจะกินได้ยได้ครับ
00:16:25 → 00:16:28 คุณกินยาคุมอยู่มันโอกาสเกิดลิ่มเลือดสูง
00:16:28 → 00:16:30 ขึ้้นกตัวนี้จะสูงขึ้นกว่าเดิมมั้ยไม่
00:16:30 → 00:16:34 ครับกินได้นะครับกินได้นะฮะในงานเค้า
00:16:34 → 00:16:37 เขียนไว้กินถึง 720 ไมโครกรัมต่อวันนะแต่
00:16:37 → 00:16:40 ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอ่ากินแบบนั้นจะ
00:16:40 → 00:16:42 มีปัญหาอะไรขนาดไหนยเท่าที่ดูในงานวิจัย
00:16:42 → 00:16:45 ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับอย่างไงก็ตามคนเรา
00:16:45 → 00:16:47 ทุกคนมันไม่ได้อยู่ในงานวิจัยนั้นคุณอาจ
00:16:47 → 00:16:50 จะมีปัญหาก็ได้ดังนั้นก็ต้องดูแลตัวเองนะ
00:16:50 → 00:16:52 ครับเพราะว่าเรื่องนี้ยังไม่มีคำแนะนำออก
00:16:52 → 00:16:54 มาจากการแพทย์แบบชัดเจนเนื่องจากข้อมูล
00:16:54 → 00:16:56 บางทีมันยังได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างถ้าจะ
00:16:56 → 00:16:58 กินก็พิจารณาเอาด้วยตัวเองแล้วกันนะครับ
00:16:58 → 00:17:02 นี่คือวิตามิน K2 นะที่อาจะพอใช้ได้ส่วน
00:17:02 → 00:17:04 ใหญ่ใช้เวลาก็เหมือนกันครับประมาณ 3-6
00:17:04 → 00:17:06 เดือนถึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจนว่ามันทำหน้า
00:17:06 → 00:17:11 ที่นะครับต่อมา statin ครับ statin ตัว
00:17:11 → 00:17:14 ที่ influencer หลายๆคนเนี่ยไม่ชอบนั้น
00:17:14 → 00:17:20 แหละครับเราจะใช้ในคนที่มีโรคต่างๆเช่นไข
00:17:20 → 00:17:22 มันสูงแล้วไขมันเนี่ยจะสูงแค่ไหนต้องกิน
00:17:22 → 00:17:24 สแตตินขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของคุณนะครับ
00:17:24 → 00:17:27 ผมเคยทำคลิปไปแล้วเช่นกันนะครับให้ไปฟัง
00:17:27 → 00:17:29 คลิปเรื่องสอนอัผลไข่มันในนั้นก็จะบอก
00:17:29 → 00:17:31 วิธีในการคำนวณความเสี่ยงดูซิว่าคุณ
00:17:31 → 00:17:34 เสี่ยงแค่ไหนแล้วเป้าหมายของ ldl คุณจะ
00:17:34 → 00:17:36 เป็นเท่าไหร่นะครับเช่นสมมุติว่าคุณเป็น
00:17:36 → 00:17:40 เบาหวาน ldl ของคุณจะต้องต่ำกว่า 70 ถ้า
00:17:40 → 00:17:42 เกิดว่าคุณเพิ่งจะมีโรคหล่อเลือดหัวใจ
00:17:42 → 00:17:44 ขึ้นมาเพิ่งใส่สนเลยเนี่ยอันเนี้ยคุณต้อง
00:17:44 → 00:17:47 เอาให้ต่ำเลยต่ำกว่า 50 ได้ยิ่งดีนะครับด
00:17:47 → 00:17:50 นั้นแต่ละคนก็จะมีเป้าหมายของ ldl ที่ไม่
00:17:50 → 00:17:52 เหมือนกันจะจะกินยาเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่
00:17:52 → 00:17:54 กับว่าคุณมีโรคความเสี่ยงมั้ยเช่นถ้าเกิด
00:17:54 → 00:17:56 ว่าคุณเบีย์เบาหวานด้วยแล้วไปเจอว่าคุณมี
00:17:56 → 00:17:59 แคลเซียมสกอสูงด้วยแบบนี้เนี่ยคุณไม่กิน
00:17:59 → 00:18:02 สตินมันก็ไม่ได้เพราะว่ามันก็จะเกิดการ
00:18:02 → 00:18:04 อักเสบของหลอดเลือดไปเรื่อยๆแล้วก็จะเกิด
00:18:04 → 00:18:07 เรื่องบางคนรู้มากกว่านั้นแต่ผมก็เคย
00:18:07 → 00:18:10 อธิบายไปแล้วนะว่าสตินสามารถทำให้หลอด
00:18:10 → 00:18:12 เลื่อนของหัวใจเนี่ยมันเกิดแคลเซียมไป
00:18:12 → 00:18:15 เกาะได้ก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ยอย่างนี้มัน
00:18:15 → 00:18:17 ย้อนแย้งนี่นะมันควรจะมาป้องกันร่างกาย
00:18:17 → 00:18:20 เราทำไมตอนนี้มันถึงมาเกิดเรื่องนะครับก็
00:18:20 → 00:18:22 ต้องบอกว่าจริงๆเรื่องนี้ผมเคยเล่าไปแล้ว
00:18:22 → 00:18:24 นะครับถ้าใครจำไม่ได้เนี่ยไปฟังคลิปที่
00:18:24 → 00:18:27 เกี่ยวข้องกับเรื่องของอ่าแคลเซียมสกอก็
00:18:27 → 00:18:29 ได้นะครับผมเคยเล่าไว้ในคลินั้นนะฮะแต่
00:18:29 → 00:18:35 เอาคร่าวๆนะครับสินเนี่ยมันช่วย stabilize
00:18:35 → 00:18:38 PL นะครับ PL ก็คือพวกตะกันที่ไปเกาะ
00:18:38 → 00:18:40 อยู่ในหลอดเลือดของเราเนี่ยคือโดยรวมนะ
00:18:40 → 00:18:42 ครับเมื่อกี้บอกว่ามีหลอดเลือดมีตะกันไป
00:18:42 → 00:18:45 เกาะข้างในซึ่งอาจจะมีแคลเซียมได้นะครับ
00:18:45 → 00:18:47 ตัวสตินเนี่ยทำให้ไอ้พลาตัวนี้มันเกาะ
00:18:47 → 00:18:50 แน่นโดยไม่หลุดออกไปแล้วไปอุดตันหลอด
00:18:50 → 00:18:52 เลือดส่วนปลายนะครับแล้วก็ทำให้มันเล็กลง
00:18:52 → 00:18:55 ด้วยแคลเซียมที่เกิดขึ้นเนี่ยเป็นสิ่งที่
00:18:55 → 00:18:58 ทำให้พลาหรือว่าตากันพวกเนี้ยมันมีความ
00:18:58 → 00:19:01 เหนียวแข็งแรงทนทานแล้วไม่หลุดออกจากที่
00:19:01 → 00:19:04 นี่คือเหตุผลที่สตินน่ะมันไปทำให้เกิด
00:19:04 → 00:19:06 แคลเซียมในหลอดเลื่อนตรงบริเวณนั้นโดย
00:19:06 → 00:19:09 เฉพาะจริงๆอันนั้นก็คือเป็นวิธีกลไกการ
00:19:09 → 00:19:12 ป้องกันร่างกายของสตินด้วยซ้ำไปนะครับมัน
00:19:12 → 00:19:15 ไม่ได้ทำให้เส้นเลือดของคุณตีบลงนะครับ
00:19:15 → 00:19:18 นอกเหนือจากมันทำให้ตะกันแข็งแรงขึ้นแล้ว
00:19:18 → 00:19:20 มันยังลดขนาดตะกันนะครับคือตะกันเล็กลง
00:19:20 → 00:19:23 อ่าหลอดเลือดก็จะเปิดมากขึ้นนะครับมี
00:19:23 → 00:19:24 เลือดไหลเว้นได้ง่ายขึ้นแล้วตะกันพวก
00:19:24 → 00:19:26 เนี้ยมันยังหลุดยากขึ้นมาอีกต่างหากทำให้
00:19:26 → 00:19:28 มันไม่หลุดไปอุดเส้นเลือดส่วนปลายดังนั้น
00:19:28 → 00:19:32 สสตินจะยังได้ผลดีในกรณีนี้อยู่นะครับ
00:19:32 → 00:19:36 อ่างั้นตรงเนี้ยสตินก็จะมีประโยชน์ในแง่
00:19:36 → 00:19:39 นี้เหมือนกันนะครับยาที่ใช้ก็จะเป็นสิน
00:19:39 → 00:19:42 หลายๆตัวโดยเฉพาะตัวที่เราเรียกว่าเป็น H
00:19:42 → 00:19:44 potency statin นะครับก็คือ atas
00:19:44 → 00:19:47 statin นะครับหรืออ่า rutin หรือบางคนจะ
00:19:47 → 00:19:50 ใช้ยากลุ่ม pitavastatin ก็ได้นะครับตัว
00:19:50 → 00:19:53 อื่นๆมันมักจะฤทธไม่ค่อยแรงเท่าไอ้ตัวพวก
00:19:53 → 00:19:56 เนี้ยนะครับก็อาจจะไม่ค่อยได้ผลในกรณี
00:19:56 → 00:19:58 อยากจะลดหรือป้องกันการเกิดแคลเซียมที่ไป
00:19:58 → 00:20:02 เกาะตามบริเวณต่างๆนะครับอ้ออีกอย่างนึง
00:20:02 → 00:20:04 ผมลืมไปเรื่องของแคลเซียมแล้วก็วิตามิน D3
00:20:04 → 00:20:07 นะครับแคลเซียมเนี่ยอย่าไปกินเสิร์ฟเยอะ
00:20:07 → 00:20:10 จนเกินไปถ้าวันนึงคุณกินนไม่เกิน 1,200
00:20:10 → 00:20:12 มิลกรัมเนี่ยยังถือว่าโอเคอยู่แต่ถ้าเกิด
00:20:12 → 00:20:14 คุณอยากแบบเฮ้ยเราอยากจะกระดูกแข็งแรงอ่ะ
00:20:14 → 00:20:17 กินไปเลย 5 เม็ดได้มยอันนี้ไม่ได้ครับมัน
00:20:17 → 00:20:20 จะยิ่งมีปัญหาส่วนวิตามิน D3 ที่เดี๋ยว
00:20:20 → 00:20:22 เนี้ย influencer หลายๆคนชอบบอกว่าเฮ้ย
00:20:22 → 00:20:24 กินไป 5,000 10,000 ต่อวันเนี่ยไม่เป็น
00:20:24 → 00:20:26 ไรหรอกนะผมการันตีอย่างงั้นอย่างงี้นะ
00:20:26 → 00:20:29 ครับอ่าต้องระวังนะครับเพราะว่าวิตามิน D3
00:20:29 → 00:20:31 ที่มันเยอะเกินไปสิ่งที่เกิดขึ้นในร่าง
00:20:31 → 00:20:33 กายก็คือมันจะทำให้เกิดการดูดแคลเซียม
00:20:33 → 00:20:35 เข้ามาจากทางเดินอาหารเยอะนะครับแล้วนั่น
00:20:35 → 00:20:37 แหละครับถ้าคุณมีแคลเซียมเยอะมันก็สามารถ
00:20:37 → 00:20:40 ตกตะกอนตามบริเวณต่างๆได้เยอะการที่เราจะ
00:20:40 → 00:20:43 กินวิตามินดีเนี่ยถ้าเป็นไปได้นะครับไป
00:20:43 → 00:20:46 ตรวจซะก่อนดีกว่าเราจะได้รู้ว่าเรากินแค่
00:20:46 → 00:20:48 ไหนดีกินเสร็จปุ๊บก็ไปตรวจซ้ำนะครับเเช่น
00:20:48 → 00:20:50 กินไปสักเดือนนึงแล้วไปตรวจสักทีนึงซิว่า
00:20:50 → 00:20:53 อ่ามันยังโอเคอยู่มยบางคนมันโอเคแล้วก็
00:20:53 → 00:20:56 ไม่ต้องทำอะไรนะครับกินต่อไปบางคนมันยัง
00:20:56 → 00:20:58 ระดับต่ำอยู่เลยแปลว่าเฮ้ยอันนี้เราอาจจะ
00:20:58 → 00:21:01 ต้องกินขนาดสูงขึ้นนะหรือบางคนโอ้ขนาดมัน
00:21:01 → 00:21:03 ออกมาปุ๊บวิตามิน D เป็น100รอะไรอย่างงี้
00:21:03 → 00:21:05 อันนี้ก็ต้องหยุดกินไปนะครับไม่ฉะนั้นก็
00:21:05 → 00:21:08 จะเกิดแคลเซียมไปเกาะตามบริเวณที่เราไม่
00:21:08 → 00:21:10 ต้องการได้นะครับเราไม่สามารถบอกให้มันไป
00:21:10 → 00:21:13 เกาะแค่กระดูกอย่างเดียวได้ครับบางคนบอก
00:21:13 → 00:21:15 จะกินวิตามิน K2 D3 ด้วยกันจะช่วยได้
00:21:15 → 00:21:18 มั้ยเพราะว่าวิตามิน K2 ก็จะเป็นการเอา
00:21:18 → 00:21:20 แคลเซียมไปไว้ที่กระดูกแต่ไม่ไว้ที่หลอด
00:21:20 → 00:21:23 เลือดนะครับอันเนี้ยก็เป็นวิธีวิธีหนึ่ง
00:21:23 → 00:21:25 ซึ่งบางคนเาทำนะครับก็คือเป็นอ่าในงาน
00:21:25 → 00:21:28 วิจัยมันก็มีบางคนเทำแบบนั้นเหมือนกันถ้า
00:21:28 → 00:21:30 จะกินแบบนี้ก็ได้ครับแต่ว่าแนะนำว่าควรจะ
00:21:30 → 00:21:32 ตรวจวิตามินดีอยู่ดีนั่นแหละครับอย่าให้
00:21:32 → 00:21:34 มันสูงจนเกินไปมิฉะนั้นก็มีปัญหาส่ว
00:21:34 → 00:21:37 วิตามินดีนั้นคุณจะกินแบบไหนบางคนบอกว่า
00:21:37 → 00:21:39 5,000 มิลิกรัมเอ่อทุกวันได้มั้ยอันนี้
00:21:40 → 00:21:42 เออ 5,000 International Unit ทุกวัน
00:21:42 → 00:21:45 ได้มยก็ได้นะครับหรือบางคนก็อาจจะเป็น
00:21:45 → 00:21:47 4,000 คือ 4,000 เนี่ยเซฟที่สุดถ้าจะมาก
00:21:47 → 00:21:49 กว่านั้นเนี่ยบางทีอาจจะต้องไปตรวจนิดนึง
00:21:49 → 00:21:51 นะครับจะได้ไม่มีปัญหาทีหลังนะครับไม่
00:21:51 → 00:21:55 งั้นก็อาจจะลำบากได้นะฮะนอกเหนือจากนั้น
00:21:55 → 00:21:57 มันก็จะมี
00:21:57 → 00:22:00 เอิ่มยยากลุ่มใหม่นะครับยากลุ่มใหม่นี่
00:22:00 → 00:22:03 ต้องบอกว่ายังไม่ออกมานะครับมีตัวนึง
00:22:03 → 00:22:06 เนี่ยผมลืมพูดไปคือเราอยากจะไปกระตุ้นตัว
00:22:06 → 00:22:09 ที่ทำให้ป้องกันการเกิดแคลเซียมซึ่งจริงๆ
00:22:09 → 00:22:12 กลไกการเกิดแคลเซียมเนี่ยมันมีสารอยู่ 2
00:22:12 → 00:22:16 ตัวในร่างกายเราที่ทำให้เอ่อแคลเซียมมัน
00:22:16 → 00:22:19 เกิดขึ้นได้นะครับอย่างเช่นเมื่อกี้เรา
00:22:19 → 00:22:22 พูดถึงแริ GL โปรตีนถ้าเราสามารถกระตุ้น
00:22:22 → 00:22:24 มันได้เช่นเอาวิตามิน K2 ไปกระตุ้นมันจะ
00:22:24 → 00:22:26 ไปยับยั้งการเกิดแคลเซียมที่หลอดเลือดเรา
00:22:26 → 00:22:29 ได้อีกตัวนึงคือ fuin a นะครับตัวเนี้
00:22:29 → 00:22:31 ถ้าเราไปกระตุ้นมันได้มันก็จะป้องกันการ
00:22:31 → 00:22:34 เกิดไอ้แคลเซียมไปเกาะตามที่ต่างๆได้ยา
00:22:34 → 00:22:37 ที่ไปกระตุ้นไอ้ 2 ตีนี้โดยตรงเนี่ยยัง
00:22:37 → 00:22:41 อยู่ในขั้นทดลองอยู่นะครับแต่ก็มียาอีก 2
00:22:41 → 00:22:43 ตัวเหมือนกันที่เขากำลังคิดค้นกันอยู่นะ
00:22:43 → 00:22:48 ครับเอิมตัวนึงชื่อ snf 472 นะครับ snf
00:22:49 → 00:22:52 472 เนี่ยมันเป็นตัวที่ไปป้องกันการเกิด
00:22:52 → 00:22:56 แคลเซียมไฮดรอกซีอาทคริสตัลนะครับเพราะ
00:22:56 → 00:22:58 แคลเซียมก่อนจะไปเกาะที่ไหนได้มันไม่ไป
00:22:58 → 00:23:01 ตัวเดียวมันต้องมีเอาพวกไปเกาะด้วยไอ้ตัว
00:23:01 → 00:23:03 snf 472 เนี่ยจะไปป้องกันกระบวนการนี้
00:23:04 → 00:23:07 นะครับแล้วก็มีอีกตัวนึงคือเอิ่มตัว tnap
00:23:07 → 00:23:10 inhibitor นะครับเป็นทิชชู non specific
00:23:10 → 00:23:13 alc phosphate inhibitor ตัวเนี้ยก็จะ
00:23:13 → 00:23:17 เป็นตัวที่ถ้าเราไปยับยั้งมันไปนับยั้ง
00:23:17 → 00:23:20 ตัว tnap เนี่ยนะครับมันก็จะทำให้ร่างกาย
00:23:20 → 00:23:22 ไม่สามารถเอาแคลเซียมไปแปะอยู่ตรงหลอด
00:23:22 → 00:23:26 เลือดได้นะครับอย่างไรก็ตามข้อเสียของที่
00:23:26 → 00:23:28 เราต้องระวังนะถ้าเกิดว่าคุณไม่ได้รักษา
00:23:28 → 00:23:30 โรคประจำตัวของคุณเมื่อกี้เราบอกว่า
00:23:30 → 00:23:34 แคลเซียมวทำอะไรแคลเซียมมันไปสมสมมุติใน
00:23:34 → 00:23:36 หลอดเลือดนะมันไปป้องกันไม่ให้หลอดเลือด
00:23:36 → 00:23:39 มันฉีกขาดใช่มั้ยคุณใช้ยาพวกนี้ถ้าต่อมา
00:23:39 → 00:23:42 มีในอนาคตบอกว่ามียาที่มันทำงี้ได้คุณใช้
00:23:42 → 00:23:45 เขไปหรือคุณกินวิตามิน K2 ก็ได้อ่ะสมมุติ
00:23:45 → 00:23:47 K2 มันได้ผลดีมากๆคุณกินเข้าไปเยอะๆเลย
00:23:47 → 00:23:50 นะครับเช่น 700-800 ไมโครกรัมต่อวันกิน
00:23:50 → 00:23:52 เข้าไปแล้วเกิดอะไรขึ้นคุณความดันยังสูง
00:23:52 → 00:23:54 เหมือนเดิมใช่มั้ยคราวนี้หล่อเลือดไม่มี
00:23:54 → 00:23:57 อะไรป้องกันแล้วครับอาจจะฉี่ขาดก็ได้นี่
00:23:57 → 00:23:59 ผมพูดว่าอาจจะจะเพราะว่ามันยังไม่มีผลล
00:23:59 → 00:24:01 การยืนยันอย่างนี้แต่ถ้าเราคิดตามตรรก
00:24:01 → 00:24:04 วิชาแล้วเนี่ยเรารู้ว่าแคลเซียมมันเอาไว้
00:24:04 → 00:24:08 ทำอะไรนะครับแล้วเรารู้ว่าเราสามารถไปยับ
00:24:08 → 00:24:12 ยั้งกลไกการเกิดแคลเซียมเกาะได้แต่ปัญหา
00:24:12 → 00:24:14 ต้นทางเรายังไม่หายไปไหนดังนั้นแปลว่าตอน
00:24:14 → 00:24:16 นี้ปัญหาต้นทางก็ไม่มีอะไรมายับยั้งมัน
00:24:16 → 00:24:18 แล้วคุณก็มีปัญหาขึ้นมาได้อาจจะเส้นเลือด
00:24:18 → 00:24:20 สมองมันแตกไปเลยก็ได้ใครจะไปรู้นะครับ
00:24:20 → 00:24:24 งั้นอันเนี้ยก็เล่าให้ฟังในเชิงทฤษฎีแต่
00:24:24 → 00:24:26 ว่าในทางปฏิบัติจริงๆอาจจะต้องไปหาอ่า
00:24:26 → 00:24:28 อย่างอื่นนะครับคือจริงๆถ้าใครมีโรคประจำ
00:24:28 → 00:24:31 ตัวก็ไปตรวจซะดีกว่านะมันจะได้ครอบคลุมนะ
00:24:31 → 00:24:34 ครับงั้นโดยสรุปแล้วเนี่ยแคลเซียมในร่าง
00:24:34 → 00:24:37 กายนะครับคือมันก็มีเหตุผลที่มันเกิดขึ้น
00:24:37 → 00:24:39 เช่นเป็นการป้องกันร่างกายจากการอักเสบ
00:24:39 → 00:24:41 แล้วก็บาดเจ็บมากจนกระทั่งอวัยวะเนี่ยมัน
00:24:41 → 00:24:44 เสียไปแต่ถ้าเกิดว่าสิ่งหรือเหตุผลที่ทำ
00:24:44 → 00:24:46 ให้แคลเซียมมันออกมาเนี่ยไม่ยอมหายไปไหน
00:24:46 → 00:24:48 สุดท้ายร่างกายมันสร้างแคลเซียมเยอะเกิน
00:24:48 → 00:24:50 ไปก็จะทำให้อวัยวะที่แคลเซียมไปก่อนเนี่ย
00:24:50 → 00:24:53 ทำหน้าที่ไม่ได้นะครับงั้นเวลาที่เราจะ
00:24:53 → 00:24:55 รักษาภาวะพวกนี้หรือป้องกันไม่ให้มันเกิด
00:24:55 → 00:24:57 ขึ้นเนี่ยไม่ใช่ไปเริ่มที่อาหารเสริมแต่
00:24:57 → 00:25:01 เริ่มที่การออกกำลังกายสม่ำเสมอนะครับโดย
00:25:01 → 00:25:04 เฉพาะคาร์ดิโอนะครับอย่าไปสูบุหรี่พวกนี้
00:25:04 → 00:25:06 มีปัญหานะนิโคตินทั้งหมดมีปัญหานะครับการ
00:25:06 → 00:25:09 กินแคลเซียมก็อย่าไปกินยนตเยอะเกินไปมาก
00:25:09 → 00:25:12 ที่สุดก็ 1,200 มิลลิกรัมต่ออ่าต่อวันนะ
00:25:12 → 00:25:14 ครับนี่คือหมายถึงแคลเซียมเสริมนะถ้าเกิด
00:25:14 → 00:25:16 คุณกินแคลเซียมจากอาหารไม่มีปัญหาวิตามิน
00:25:16 → 00:25:19 ดีก็เหมือนกันก็ถ้าจะกินก็ตรวจซะหน่อยก็
00:25:19 → 00:25:21 ดีนะครับตรวจประจำปีเราก็จะได้รู้ไปด้วย
00:25:21 → 00:25:23 ว่าเรามีโรคประจำตัวอะไรอย่างอื่นที่ทำ
00:25:23 → 00:25:25 ให้เกิดแคลเซียมเกาะไม้ถ้ามีรีบรักษาครับ
00:25:25 → 00:25:28 อย่าชะล่าใจเพราะถ้าชะล่าใจรอแบบขอคุมเอง
00:25:28 → 00:25:30 ก่อนได้มั้ยมันอาจจะเกิดเรื่องไปก่อนที่
00:25:30 → 00:25:33 คุณจะได้คุมสำเร็จแล้วก็ได้นะ
00:25:33 → 00:25:36 ครับอาหารเสริมที่บอกไปเมื่อกี้มี
00:25:36 → 00:25:39 แมกนีเซียมมีวิตามิน K2 นะครับที่อาจจะพอ
00:25:39 → 00:25:42 ใช้ได้นะแล้วก็ยาก็จะมีสตินที่เราใช้ได้
00:25:42 → 00:25:44 ส่วนยาตัวใหม่ๆนั้นก็ขอไม่พูดซ้ำแล้วกัน
00:25:44 → 00:25:46 เพราะว่ามันยังไม่มีให้ใช้ในปัจจุบันนี้
00:25:46 → 00:25:49 นะครับอาหารการกินคุณจะกินแคลเซียมเข้าไป
00:25:49 → 00:25:52 มันไม่ได้ไปพอกอยู่ที่เส้นเลือดหรือตรง
00:25:52 → 00:25:54 บริเวณที่คุณไม่ต้องการนะครับคือสิ่งที่
00:25:54 → 00:25:57 มันจะไปพอดคือคุณกินอย่างอื่นมากจนเกินไป
00:25:57 → 00:26:00 เช่นแคลเซียมเสริมและสมมุติว่าคุณไม่กิน
00:26:00 → 00:26:04 แคลเซียมเลยจากไอ้พวกอ่าพวกอาหารเสริม
00:26:04 → 00:26:07 ต่างๆไม่กินแคลเซียมเลยถามว่ามันจะสามารถ
00:26:07 → 00:26:10 เกิดแคลเซียมเกาะในหลอดเลือดได้มยคำตอบก็
00:26:10 → 00:26:13 คือได้ครับได้อยู่ดีถ้าเกิดว่าเหตุผลที่
00:26:13 → 00:26:16 ทำให้แคลเซียมไปเกาะมันยังอยู่แคลเซียม
00:26:16 → 00:26:18 ไม่มีในสิ่งที่คุณกินเข้าไปมันเอามาจาก
00:26:18 → 00:26:23 ไหนล่ะกระดูกของคุณนั่นละครับนะฮะกระดูก
00:26:23 → 00:26:25 คุณเนี่ยเป็นที่เก็บแคลเซียม 90 กว่า
00:26:25 → 00:26:27 เปอร์เลยทีเดียวถ้าเกิดว่าในร่างกาย
00:26:27 → 00:26:28 ต้องการแคลเซียมแล้วคุณไม่กินมันเข้าไป
00:26:28 → 00:26:31 มันก็ไปสลายคุณออกมาใช้นั่นแหละก็เป็นการ
00:26:31 → 00:26:32 ย้ายที่แคลเซียมจากที่หนึ่งมาไว้อีกที่
00:26:32 → 00:26:35 หนึ่งนั่นแหละนะครับงั้นตรงเนี้ก็คือเหตุ
00:26:35 → 00:26:38 ผลที่ผมอยากจะให้คุณสบายใจกินอาหารที่มี
00:26:38 → 00:26:40 แคลเซียมสูงไม่ได้ทำให้แคลเซียมในร่างกาย
00:26:40 → 00:26:41 ของคุณมีปัญหาแต่อย่างใดแต่ว่าอย่าไป
00:26:41 → 00:26:44 เสริมมากจนเกินไปคือกินจากอ่าอาหารเสริม
00:26:44 → 00:26:46 ที่เป็นแคลเซียมสูงๆอันนี้อาจจะอันตราย
00:26:46 → 00:26:48 ได้นะครับโอเควันนี้ก็เล่าให้ฟังเพียง
00:26:48 → 00:26:50 เท่านี้นะครับถ้าใครมีอะไรสงสัยก็สอบถาม
00:26:50 → 00:26:54 มานะครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ