00:00:00 → 00:00:03 ลองหลับตาแล้วนึกถึงมื้ออาหารในแต่ละวัน
00:00:03 → 00:00:05 เช้าอาจเป็นโจ๊กหมูที่ปรุงด้วยซีอิ๊วและ
00:00:05 → 00:00:08 พริกไทยเที่ียงเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ต้องเติม
00:00:08 → 00:00:12 พริกน้ำปลาเย็นอาจเป็นอาหารตามสั่งที่ใส่
00:00:12 → 00:00:15 น้ำปลาหรือซอสปรุงรสเพิ่มรวมด้วยขนมขบ
00:00:15 → 00:00:18 เคี้ยวกรุบกรอบหรืออาหารสำเร็จรูปที่ซื้อ
00:00:18 → 00:00:21 ง่ายกินเร็วและอร่อยแต่สิ่งที่ซ่อนอยู่
00:00:21 → 00:00:24 เงียบๆในอาหารเหล่านี้ก็คือโซเดียมใน
00:00:24 → 00:00:28 ปริมาณสูงเกลือหรือโซเดียมคลอไรด์นั้น
00:00:28 → 00:00:31 เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการจริงแต่ต้องการ
00:00:31 → 00:00:33 เพียงเล็กน้อยเท่านั้นโซเดียมมีหน้าที่
00:00:34 → 00:00:37 ช่วยรักษาสมดุลน้ำและแร่ธาตุในร่างกายรวม
00:00:37 → 00:00:39 ถึงช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาททำงานได้
00:00:39 → 00:00:42 ตามปกติแต่เมื่อเราได้รับเกินกว่าที่ร่าง
00:00:42 → 00:00:45 กายต้องการระบบทั้งหมดก็เริ่มรวนและผล
00:00:45 → 00:00:48 เสียก็จะตามมาแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปองค์การ
00:00:48 → 00:00:51 อนามัยโลกแนะนำว่าคนเราควรบริโภคโซเดียม
00:00:51 → 00:00:54 ไม่เกิน 2,000 มลกรัต่อวันหรือเทียบเท่า
00:00:54 → 00:00:57 กับเกลือแค่ช้อนชาแต่ข้อมูลจากกรมอนามัย
00:00:57 → 00:01:00 พบว่าคนไทยโดยเฉลี่ยกินโซเดียมมากกว่า
00:01:00 → 00:01:03 นั้นถึงเกือบ 2 เท่าบางคนอาจไม่รู้ตัว
00:01:03 → 00:01:06 ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้เติมเกลือเองแต่อาหาร
00:01:06 → 00:01:10 สำเร็จรูปน้ำจิ้มซอสปรุงรสหรือแม้แต่ขนม
00:01:10 → 00:01:13 กรุบกรอบก็มักมีโซเดียมซ่อนอยู่มากมายที
00:01:13 → 00:01:16 นี้ลองนึกภาพว่าทุกครั้งที่ร่างกายได้รับ
00:01:16 → 00:01:19 โซเดียมเกินมาตรฐานไตของเราต้องทำงานหนัก
00:01:19 → 00:01:22 ขึ้นทันทีหน้าที่ของไตคือกรองเอาโซเดียม
00:01:22 → 00:01:26 ส่วนเกินออกทางปัสสาวะแต่ถ้าเกินบ่อยๆไต
00:01:26 → 00:01:29 ก็ต้องทำงานแบบหารุ่งหามค่ำเหมือนไม่มี
00:01:29 → 00:01:31 เวลาพักเมื่อเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปหลาย
00:01:31 → 00:01:35 ปีก็อาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว
00:01:35 → 00:01:38 นอกจากนี้ร่างกายยังมีวิธีเอาตัวรอดจาก
00:01:38 → 00:01:41 โซเดียมสูงโดยการกักเก็บน้ำเพิ่มเพื่อ
00:01:41 → 00:01:43 เจือจางความเข้มข้นในเลือดผลที่เห็นได้
00:01:43 → 00:01:48 ชัดคืออาการบวมตาบวมหน้าบวมขาบวมบางคนคิด
00:01:48 → 00:01:51 ว่าแค่นอนน้อยแต่จริงๆแล้วอาจมาจาก
00:01:51 → 00:01:54 โซเดียมที่กินเข้าไปสิ่งที่อันตรายยิ่ง
00:01:54 → 00:01:58 กว่านั้นคือความดันโลหิตสูงเมื่อร่างกาย
00:01:58 → 00:02:00 มีน้ำไว้โซเดียมเกินความดันในหลอดเลือดก็
00:02:00 → 00:02:03 จะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติเหมือนเราพยายามสูบ
00:02:03 → 00:02:06 ลมเข้าไปในยางรถจนแน่นเกินไปเส้นเลือดของ
00:02:06 → 00:02:09 เราก็ต้องแบกรับแรงดันนี้ตลอดเวลาและนี่
00:02:09 → 00:02:12 แหละครับคือภัยเงียบของการกินเค็มมันไม่
00:02:12 → 00:02:16 ได้ทำให้เจ็บป่วยทันทีแต่สะสมช้าๆวันแล้ว
00:02:16 → 00:02:18 วันเล่าเหมือนเราปลูกเชื้อโรคลงในร่างกาย
00:02:19 → 00:02:22 โดยไม่รู้ตัวจนวันหนึ่งกลายเป็นโรคหัวใจ
00:02:22 → 00:02:25 โรคไตหรือเส้นเลือดสมองแตกขึ้นมาการกิน
00:02:25 → 00:02:28 เค็มจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆและไม่ใช่ใช่แค่
00:02:28 → 00:02:32 ว่าชอบรถจัดแต่คือพฤติกรรมที่กำหนดสุขภาพ
00:02:32 → 00:02:35 ในระยะยาวของเราโดยตรงในตอนนี้เราได้วาง
00:02:35 → 00:02:39 พื้นฐานให้เห็นแล้วว่าเกลือคือดาบ 2 คม
00:02:39 → 00:02:41 ที่ซ่อนอยู่ในมื้ออาหารของเราและถ้าไม่
00:02:41 → 00:02:44 ระวังมันจะกลายเป็นตัวการสำคัญที่บั่นทอน
00:02:44 → 00:02:48 สุขภาพโดยไม่รู้ตัวต่อไปเราจะเจาะลึกกัน
00:02:48 → 00:02:51 ว่าการกินเค็มนั้นทำร้ายหัวใจและหลอด
00:02:51 → 00:02:54 เลือดอย่างไรและทำไมความดันโลหิตสูงถึง
00:02:54 → 00:02:57 ถูกเรียกว่าเพชรฆาตเงียบที่คร่าชีวิตผู้
00:02:57 → 00:03:02 คนทั่วโลกหลายคนอาจคิดว่ากินเค็มก็แค่ทำ
00:03:02 → 00:03:06 ให้บวมหรือไตทำงานหนักแต่จริงๆแล้วผล
00:03:06 → 00:03:09 กระทบที่น่ากลัวที่สุดของการกินเค็มก็คือ
00:03:09 → 00:03:14 โรคหัวใจและความดันโลหิตสูงหัวใจของเรา
00:03:14 → 00:03:17 เหมือนเครื่องสูบน้ำทำงานทั้งวันทั้งคืน
00:03:17 → 00:03:20 ไม่เคยหยุดพักหน้าที่คือสูบเลือดไปเลี้ยง
00:03:20 → 00:03:24 ร่างกายเมื่อเราได้รับโซเดียมมากเกินไป
00:03:24 → 00:03:27 ร่างกายจะเก็บน้ำเพิ่มเพื่อเจือจางสด
00:03:27 → 00:03:30 โซเดียมเลือดจึงมีปริมาณมากขึ้นเหมือนเรา
00:03:30 → 00:03:34 ต้องสูบน้ำใส่ถังที่ใหญ่กว่าเดิมตลอดเวลา
00:03:34 → 00:03:37 หัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆถ้าลอง
00:03:37 → 00:03:40 นึกภาพตามนะครับหลอดเลือดก็เหมือนท่อน
00:03:40 → 00:03:44 หนามในบ้านการที่มีแรงดันสูงตลอดเวลาทำ
00:03:44 → 00:03:47 ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้นเกิดรอย
00:03:47 → 00:03:51 ร้าวเล็กๆแล้วร่างกายก็พยายามซ่อมแซมด้วย
00:03:51 → 00:03:55 การสะสมไขมันหรือหินปูนจนกลายเป็นหลอด
00:03:55 → 00:03:59 เลือดแข็งและตีบแคบแบสิ่งนี้นำไปสู่ปัญหา
00:03:59 → 00:04:02 ใหญ่ 2 อย่างโรคหัวใจขาดเลือดเมื่อเลือด
00:04:02 → 00:04:05 ไปเลี้ยงหัวใจไม่พอเกิดอาการเจ็บหน้าอก
00:04:05 → 00:04:09 ง่ายเหนื่อยไวและถ้าเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
00:04:09 → 00:04:13 เฉียบพลันก็อาจทำให้หัวใจวายได้โรคหลอด
00:04:13 → 00:04:16 เลือดสมองแรงดันที่สูงทำให้เส้นเลือดใน
00:04:16 → 00:04:19 สมองแตกหรือหลอดเลือดตีบจนเลือดไปเลี้ยง
00:04:19 → 00:04:23 สมองไม่พอก่อให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตซึ่ง
00:04:23 → 00:04:26 เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตในพริบตา
00:04:26 → 00:04:30 ที่น่ากลัวคือความดันโลหิตสูงมักไม่แสดง
00:04:30 → 00:04:34 อาการหลายคนยังรู้สึกแข็งแรงดีกินได้เดิน
00:04:34 → 00:04:37 ได้แต่จริงๆแล้วความเสียหายสะสมอยู่ข้าง
00:04:37 → 00:04:41 ในจนกว่าจะสายเกินไปจึงถูกเรียกว่า
00:04:41 → 00:04:44 เพชรฆาตเงียบข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก
00:04:45 → 00:04:48 บอกว่าทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและ
00:04:48 → 00:04:52 หลอดเลือดมากกว่า 17 ล้านคนทั่วโลกและ
00:04:52 → 00:04:55 หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญก็คือการกินเค็ม
00:04:55 → 00:04:59 เกินเกินไปในประเทศไทยเองกรมควบคุมโรคเคย
00:04:59 → 00:05:03 สำรวจพบว่าคนไทยกว่าครึ่งมีภาวะความดัน
00:05:03 → 00:05:07 โลหิตสูงแต่มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่รู้ตัว
00:05:07 → 00:05:10 ที่เหลือใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งเกิดโรค
00:05:11 → 00:05:13 หัวใจหรือเส้นเลือดสมองแตกขึ้นมาแบบไม่
00:05:14 → 00:05:17 ทันตั้งตัวดังนั้นเมื่อเราพูดถึงการลด
00:05:17 → 00:05:20 เค็มมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆหรือเรื่องของรส
00:05:20 → 00:05:24 ชาติอย่างเดียวแต่มันคือการปกป้องหัวใจปก
00:05:24 → 00:05:28 ป้องหลอดเลือดและที่สำคัญที่สุดคือปกป้อง
00:05:28 → 00:05:31 ชีวิตลองนึกถึงคนที่เรารักไม่ว่าจะเป็น
00:05:31 → 00:05:35 พ่อแม่คู่ชีวิตหรือแม้แต่ตัวเราเองไม่มี
00:05:35 → 00:05:38 ใครอยากเห็นใครต้องล้มป่วยด้วยโรคที่ป้อง
00:05:38 → 00:05:42 กันได้จากการลดเค็มแค่เล็กน้อยในแต่ละวัน
00:05:42 → 00:05:45 สังเกตง่ายๆนะครับว่าทุกครั้งที่หยิบซอส
00:05:45 → 00:05:49 น้ำปลาหรือเกลือมาปรุงเพิ่มคำถามที่ควร
00:05:49 → 00:05:52 ถามตัวเองคือจำเป็นจริงๆไหมเพราะการตัด
00:05:52 → 00:05:56 สินใจเล็กๆตรงนั้นอาจหมายถึงความแข็งแรง
00:05:56 → 00:05:59 ในอีก 10 ปีข้างหน้าของเรา
00:05:59 → 00:06:02 และนี่ก็คือสัญญาณเตือนสำคัญว่าการกิน
00:06:02 → 00:06:05 เค็มไม่ใช่เรื่องรสชาติแต่คือปัจจัย
00:06:05 → 00:06:09 เสี่ยงต่อโรคร้ายที่อาจพรากชีวิตเราไปได้
00:06:09 → 00:06:13 ถัดไปเราจะมาคุยกันเรื่องผลของการกินเค็ม
00:06:13 → 00:06:17 ต่อไตว่าทำไมโซเดียมถึงทำให้ไตเสื่อมและ
00:06:17 → 00:06:20 เมื่อไตพังแล้วชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร
00:06:20 → 00:06:23 เวลาพูดถึงเกลือหลายคนอาจจะคิดถึงเพียง
00:06:23 → 00:06:27 แค่เครื่องปรุงรสธรรมดาที่เราใช้ทุกวัน
00:06:27 → 00:06:31 บางคนยังพูดเล่นเลยว่าอาหารจืดๆกินไม่ได้
00:06:31 → 00:06:34 หรอกต้องมีน้ำปลาต้องมีเกลือถึงจะอร่อย
00:06:34 → 00:06:37 ซึ่งความจริงก็ไม่ผิดครับเพราะลิ้นของเรา
00:06:37 → 00:06:40 ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กว่ารสเค็มคือรสชาติ
00:06:40 → 00:06:43 ที่ทำให้อาหารกล่มกล่อมแต่สิ่งที่มักถูก
00:06:43 → 00:06:46 มองข้ามก็คือเบื้องหลังของเกลือและ
00:06:46 → 00:06:49 โซเดียมมันมีผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าที่
00:06:49 → 00:06:53 คิดโดยเฉพาะกับหัวใจและความดันโลหิตเมื่อ
00:06:54 → 00:06:57 เราได้รับโซเดียมมากเกินไปสิ่งแรกที่เกิด
00:06:57 → 00:07:00 ขึ้นคือร่างกายจะพยายามรักษาสมดุลของ
00:07:00 → 00:07:03 เกลือและน้ำในเลือดโซเดียมจะดึงน้ำเข้า
00:07:03 → 00:07:06 สู่กระแสเลือดทำให้ปริมาณเลือดในร่างกาย
00:07:06 → 00:07:09 เพิ่มขึ้นฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆแต่
00:07:09 → 00:07:12 ถ้าลองนึกภาพตามจะเหมือนการเอาน้ำไปเติม
00:07:12 → 00:07:15 ในถังที่เกือบเต็มอยู่แล้วความดันในถังจะ
00:07:15 → 00:07:18 เพิ่มขึ้นทันทีและหัวใจของเราก็ต้องทำ
00:07:18 → 00:07:21 หน้าที่เป็นปั๊มน้ำที่ต้องสุบฉีดเลือด
00:07:21 → 00:07:24 ซึ่งมีปริมาณมากกว่าปกติไปทั่วร่างกายกาย
00:07:24 → 00:07:27 ตอนแรกๆร่างกายอาจจะยังรับมือไหวแต่ถ้า
00:07:27 → 00:07:30 เป็นแบบนี้ทุกวันหัวใจก็เหมือนเครื่อง
00:07:30 → 00:07:33 ยนต์ที่ถูกใช้งานหนักเกินไปตลอดเวลากล้าม
00:07:33 → 00:07:37 เหนือหัวใจจะหนาขึ้นหัวใจโตขึ้นและในที่
00:07:37 → 00:07:41 สุดก็อ่อนแรงลงปัญหาคือความดันโลหิตสูง
00:07:41 → 00:07:44 ไม่ได้แสดงอาการออกมาให้เรารู้ทันทีหลาย
00:07:44 → 00:07:48 คนใช้ชีวิตตามปกติไม่รู้สึกอะไรจนวันนึง
00:07:48 → 00:07:51 ไปตรวจสุขภาพและหมอบอกว่าคุณเป็นความดัน
00:07:51 → 00:07:55 สูงนะครับหรือบางคนอาจจะรู้ตัวช้าไปกว่า
00:07:55 → 00:07:58 นั้นคือเจออาการหัวใจวายหรือเส้นเลือด
00:07:58 → 00:08:01 สมองตีบเสียก่อนซึ่งตอนนั้นการแก้ไขก็ยาก
00:08:01 → 00:08:04 และเสี่ยงมากแล้วมีข้อมูลจากองค์การ
00:08:04 → 00:08:08 อนามัยโลกที่น่าตกใจว่าการกินเค็มมากเกิน
00:08:08 → 00:08:11 ไปเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้คนหลายล้านคนทั่ว
00:08:11 → 00:08:14 โลกเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดทุก
00:08:14 → 00:08:18 ปีและถ้าลองมาดูในประเทศไทยคนไทยกินเค็ม
00:08:18 → 00:08:21 เฉลี่ยเกินกว่าที่ควรจะได้รับถึงเกือบ 2
00:08:21 → 00:08:24 เท่าไม่ใช่เรื่องเล็กเลยครับเพราะทุกเมนู
00:08:24 → 00:08:28 ที่เราคุ้นเคยทั้งน้ำปลาซีอิ๊วน้ำจิ้ม
00:08:28 → 00:08:30 หรือแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่างก็เป็น
00:08:31 → 00:08:34 แหล่งโซเดียมทั้งนั้นผมอยากให้ลองนึกภาพ
00:08:34 → 00:08:37 ตามง่ายๆว่าหลอดเลือดของเราก็เหมือนสาย
00:08:37 → 00:08:41 ยางน้ำในบ้านถ้าเราเปิดแรงดันน้ำแรงตลอด
00:08:41 → 00:08:45 เวลาไม่ปิดเลยสุดท้ายสายยางก็สึกคร่อนแตก
00:08:45 → 00:08:47 หรือรั่วได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับหลอด
00:08:47 → 00:08:50 เลือดในร่างกายที่ต้องรับแรงดันสูงจากการ
00:08:50 → 00:08:54 กินเค็มเป็นประจำพลคนที่ตามมาคือหัวใจล้ม
00:08:54 → 00:08:58 เหลวหัวใจวายหรือหลอดเลือดติดตันบางคนอาจ
00:08:58 → 00:09:01 จะสงสัยว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าความ
00:09:01 → 00:09:05 ดันของเราสูงเกินไปจริงๆแล้วอาการเตือนมี
00:09:05 → 00:09:09 อยู่แต่ไม่ชัดเจนบางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ
00:09:09 → 00:09:13 บ่อยๆโดยเฉพาะตอนเช้าบางคนเวียนหัวใจสั่น
00:09:13 → 00:09:16 หรือเหนื่อยง่ายผิดปกติซึ่งถ้าเป็นบ่อยๆ
00:09:16 → 00:09:20 ก็ควรไปตรวจวัดความดันดูอย่าปล่อยไว้จน
00:09:20 → 00:09:24 เกิดปัญหาใหญ่สิ่งที่ผมอยากจะย้ำก็คือการ
00:09:24 → 00:09:27 กินเค็มอาจไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกทันที
00:09:27 → 00:09:29 แต่เป็นตัวการเงียบที่ค่อยๆบั่นทอนหัวใจ
00:09:29 → 00:09:32 และหลอดเลือดของเราไปทุกวันยิ่งอายุมาก
00:09:33 → 00:09:36 ขึ้นความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้นเพราะฉะนั้น
00:09:36 → 00:09:39 การเริ่มเล็กๆอย่างการลดเกลือลดน้ำปลาใน
00:09:39 → 00:09:43 อาหารหรือเลี่ยงอาหารแปรรูปถือว่าเป็นการ
00:09:43 → 00:09:46 ปกป้องหัวใจในระยะยาวได้จริงๆการออกกำลัง
00:09:46 → 00:09:49 กายและพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยเสริมเข้า
00:09:49 → 00:09:53 ไปด้วยสรุปง่ายๆก็คือยิ่งเรากินเค็มบ่อย
00:09:53 → 00:09:56 เท่าไหร่หัวใจเราก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้น
00:09:56 → 00:09:59 เท่านั้นและผลที่ตามมาอาจจะหนักเกินกว่า
00:09:59 → 00:10:03 ที่เราจะรับได้เวลาพูดถึงเกลือหลายคนจะ
00:10:03 → 00:10:07 นึกถึงแค่รสชาติในอาหารแต่ความจริงแล้ว
00:10:07 → 00:10:11 เกลือหรือโซเดียมที่เรากินเข้าไปมีผลต่อ
00:10:11 → 00:10:15 ไตโดยตรงไตไม่ได้เป็นแค่ตัวกรองของเสีย
00:10:16 → 00:10:18 แต่ยังเป็นตัวควบคุมสมดุลน้ำและเกลือใน
00:10:18 → 00:10:22 ร่างกายช่วยควบคุมความดันลึกเลือดและยัง
00:10:22 → 00:10:25 ผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่สำคัญต่อกระดูกและ
00:10:25 → 00:10:29 เลือดเมื่อเราได้รับโซเดียมมากเกินไปร่าง
00:10:29 → 00:10:34 กายจะพยายามรักษาสมดุลน้ำจะถูกดึงเข้าสู่
00:10:34 → 00:10:37 กระแสเลือดมากขึ้นทำให้ความดันเลือดสูง
00:10:37 → 00:10:42 ขึ้นไตต้องทำงานหนักขึ้นในการกรองโซเดียม
00:10:42 → 00:10:46 และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายการทำงานหนัก
00:10:46 → 00:10:49 ซ้ำๆทุกวันจะทำให้ไตเสื่อมประสิทธิภาพไป
00:10:50 → 00:10:51 เรื่อย
00:10:51 → 00:10:55 ลองนึกภาพตามง่ายๆไตเหมือนเครื่องกรองน้ำ
00:10:55 → 00:10:58 ถ้าใช้งานหนักเกินไปต่อเนื่องไส้กรองก็
00:10:58 → 00:11:02 เสื่อมน้ำที่กรองก็ไม่สะอาดเหมือนเดิมและ
00:11:02 → 00:11:05 เมื่อเกิดปัญหามากๆไตอาจเริ่มทำงานผิด
00:11:05 → 00:11:10 ปกติทำให้ของเสียสะสมในร่างกายหนึ่งในผล
00:11:10 → 00:11:14 เสียของไตเสื่อมคือโรคไตเรื้อรังซึ่งเป็น
00:11:14 → 00:11:17 ปัญหาสุขภาพที่เงียบๆเพราะหลายคนไม่รู้
00:11:17 → 00:11:20 ตัวจนกว่าจะเกิดอาการชัดเจน
00:11:20 → 00:11:24 เช่นบวมตามร่างกายน้ำหนักขึ้นเหนื่อยง่าย
00:11:24 → 00:11:28 หรือความดันสูงขึ้นเรื่อยๆไตเสื่อมยังทำ
00:11:28 → 00:11:31 ให้ร่างกายควบคุมความดันเลือดไม่ได้ดี
00:11:31 → 00:11:34 ฮอร์โมนที่ช่วยสร้างเซลล์เลือดลกลงทำให้
00:11:34 → 00:11:38 เกิดภาวะโลหิตจางและยังทำให้กระดูกเปราะ
00:11:38 → 00:11:41 บางขึ้นเพราะไตไม่สามารถปรับสมดุล
00:11:41 → 00:11:45 แคลเซียมและฟอสฟอรัสได้ดีหลายคนอาจสงสัย
00:11:45 → 00:11:49 ว่าทำไมฉันยังสบายดีไม่เห็นมีปัญหาอะไร
00:11:49 → 00:11:53 เลยนั่นเพราะโรคไตเรื้อรังมักไม่แสดง
00:11:53 → 00:11:56 อาการชัดเจนในระยะแรกแต่ถ้ายังปล่อยให้
00:11:56 → 00:11:59 กินเค็มแบบเดิมต่อไปผลเสียก็จะสะสมแบบ
00:11:59 → 00:12:03 เงียบๆจนกระทั่งอาการเริ่มปรากฏชัดเช่น
00:12:03 → 00:12:07 ความดันสูงอย่างต่อเนื่องอาการบวมหรือ
00:12:07 → 00:12:11 ปัสสาวะผิดปกติแล้วเราจะลดความเสี่ยงของ
00:12:11 → 00:12:15 ไตได้อย่างไรลดโซเดียมในอาหารทุกวันเริ่ม
00:12:15 → 00:12:19 จากการลดเกลือน้ำปลาซีอิ๊วและน้ำจิ้มปรุง
00:12:19 → 00:12:25 รสเลือกอาหารสดและปรุงเองเน้นผักผลไม้ปลา
00:12:25 → 00:12:28 เนื้อไม่ติดมันธัญพืช
00:12:28 → 00:12:31 อ่านฉลากอาหารเหลี่ยงอาหารแปรรูปอาหาร
00:12:31 → 00:12:35 กระป๋องขนมกรุบกรอบที่มีโซเดียมสูงดื่ม
00:12:35 → 00:12:39 น้ำเพียงพอน้ำช่วยไตกรองของเสียและรักษา
00:12:39 → 00:12:44 สมดุลน้ำและเกลือตรวจสุขภาพสม่ำเสมอตรวจ
00:12:44 → 00:12:48 ค่าครีอตินและความดันโลหิตอย่างน้อยปีละ 1
00:12:48 → 00:12:51 ครั้งนอกจากนี้การปรับรสชาติอาหารด้วย
00:12:51 → 00:12:56 สมุนไพรเครื่องเพศกระเทียมขิงหรือมะนาวจะ
00:12:56 → 00:12:59 ช่วยลดการพึ่งเกลือแต่ยังคงความอร่อยของ
00:12:59 → 00:13:03 อาหารได้การเคี้ยวช้าๆและแบ่งมื้ออาหาร
00:13:03 → 00:13:07 ให้เหมาะสมก็ช่วยให้ไตทำงานไม่หนักเกินไป
00:13:07 → 00:13:10 ลองจินตนาการชีวิตที่ทุกมื้ออาหารไม่
00:13:10 → 00:13:14 เพียงแต่เติมเต็มท้องแต่ยังปกป้องไต่ป้อง
00:13:14 → 00:13:18 กันความดันสูงลดความเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง
00:13:18 → 00:13:20 ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระในระยะ
00:13:20 → 00:13:24 ยาวไม่ต้องกังวลเรื่องการเจ็บป่วยสิ่ง
00:13:24 → 00:13:28 สำคัญคือเริ่มต้นทีละเล็กทีละน้อยลดเค็ม
00:13:28 → 00:13:33 วันละนิดๆเพิ่มผักผลไม้สมุนไพรและโปรตีน
00:13:33 → 00:13:37 ที่ดีต่อไตการปรับพฤติกรรมเล็กๆแบบนี้จะ
00:13:37 → 00:13:41 ส่งผลสะสมในระยะยาวทำให้ไตทำงานได้ดีและ
00:13:41 → 00:13:46 หัวใจแข็งแรงหลายคนอาจไม่คาดคิดว่าเกลือ
00:13:46 → 00:13:49 หรือโซโซเดียมที่เรากินทุกวันสามารถส่งผล
00:13:49 → 00:13:54 ต่อสมองโดยตรงได้การบริโภคเกลือมากเกินไป
00:13:54 → 00:13:57 ไม่ได้มีผลแค่ความดันสูงหรือหัวใจแต่ยัง
00:13:57 → 00:14:00 เกี่ยวข้องกับความจำและการทำงานของสมอง
00:14:00 → 00:14:04 ด้วยเมื่อกินเกลือมากเกินไปความดันโลหิต
00:14:04 → 00:14:07 สูงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระบบไหลเวียน
00:14:07 → 00:14:10 เลือดถูกกดดันและหลอดเลือดสมองต้องทำงาน
00:14:10 → 00:14:14 หนักขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคสมอง
00:14:14 → 00:14:18 เสื่อมและภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
00:14:18 → 00:14:21 เกลือมากเกินไปยังเชื่อมโยงกับการอักเสบ
00:14:21 → 00:14:25 ในสมองการอักเสบเรื้อรังนี้จะทำให้เซลล์
00:14:25 → 00:14:28 สมองเสื่อมสภาพและลดประสิทธิภาพของ
00:14:28 → 00:14:31 ฮิปโปแคampัสซึ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้าง
00:14:31 → 00:14:36 ความจำและเรียนรู้นอกจากนี้ผู้ที่บริโภค
00:14:36 → 00:14:39 เกลือสูงมักมีพฤติกรรมกินอาหารแปรรูปหรือ
00:14:39 → 00:14:43 ขนมกรุบกรอบบ่อยๆทำให้น้ำหนักเพิ่มอาจ
00:14:43 → 00:14:46 เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวานโรคเหล่านี้
00:14:46 → 00:14:48 ล้วนล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสมองเสื่อม
00:14:48 → 00:14:53 เช่นกันผลกระทบต่อสมองที่เห็นได้ชัดเจน
00:14:53 → 00:14:56 ความจำลดลงเริ่มจากลืมเรื่องเล็กๆราย
00:14:56 → 00:15:01 ละเอียดชีวิตประจำวันสมาธิสั้นลงการคิด
00:15:01 → 00:15:06 วิเคราะห์และโฟกัสงานยากขึ้นความคิดช้าลง
00:15:06 → 00:15:10 การประมวลผลข้อมูลไม่รวดเร็วเหมือนเดิม
00:15:10 → 00:15:13 เสี่ยงภาวะสมองเสื่อมหากปล่อยให้เกลือ
00:15:13 → 00:15:16 สะสมและมีโรคแทรกซ้อน
00:15:16 → 00:15:20 และจะทำอย่างไรให้ปกป้อนสมองจากเกลือลด
00:15:20 → 00:15:23 อาหารแปรรูปและขนมกรุบกรอบของเหล่านี้มัก
00:15:23 → 00:15:27 มีโซเดียมสูงโดยที่เราไม่รู้ตัวปรุงอาหาร
00:15:28 → 00:15:33 เองและใช้สมุนไพรกระเทียมขิงพริกไทยมะนาว
00:15:33 → 00:15:38 แทนเกลือเน้นอาหารสดและหลากหลายผักผลไม้
00:15:38 → 00:15:43 สดธัญพืชปลาและโปรตีนไม่ติดมัน
00:15:43 → 00:15:47 กินช้าช้าเคี้ยวละเอียดให้สมองรับสัญญาณ
00:15:47 → 00:15:51 ความอิ่มและสัญญาณของอาหารออกกำลังกาย
00:15:51 → 00:15:55 สม่ำเสมอเดินเบาๆหลังมืออาหารช่วยกระตุ้น
00:15:55 → 00:15:57 เลือดไปเลี้ยงสมอง
00:15:57 → 00:16:00 ตรวจสุขภาพและความดันควบคุมความดันเพื่อ
00:16:00 → 00:16:03 ลดความเสี่ยงต่อสมองเสื่อม
00:16:03 → 00:16:08 ตัวอย่างมื้ออาหารสมองแข็งแรงลดเกลือเช้า
00:16:08 → 00:16:13 ข้าวโอ๊ตผสมผลไม้หลากสีเมล็ดแฟลกวอนักลาง
00:16:13 → 00:16:17 วันปลาแซลมอนนึ่งกับผากหลากสีข้าวกล้อง
00:16:17 → 00:16:19 ซุปสมุนไพร
00:16:19 → 00:16:24 เย็นสลัดผักสดใส่เตาหุ้งหรือไข่ต้มโรย
00:16:24 → 00:16:26 สมุนไพรและน้ำมะนาว
00:16:26 → 00:16:29 การปรับรสชาติโดยสมุนไพรและเครื่องเทศแทง
00:16:29 → 00:16:33 เกลือจะทำให้อาหารอร่อยและไม่ทำร้ายสมอง
00:16:34 → 00:16:36 ลองจินตนาการชีวิตประจำวันที่ทุกมื้อ
00:16:36 → 00:16:40 อาหารไม่เพียงอิ่มแต่ยังช่วยปกป้องสมอง
00:16:40 → 00:16:43 ความจำดีขึ้นระบบคิดวิเคราะห์ทำงานไหว
00:16:43 → 00:16:47 ขึ้นและลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมสิ่ง
00:16:48 → 00:16:52 สำคัญคือเริ่มทีละเล็กทีละน้อยลดเค็ม
00:16:52 → 00:16:57 เพิ่มผักผลไม้สมุนไพรและโปรตีนดีต่อสมอง
00:16:57 → 00:17:01 สม่ำเสมอทุกวันผลสะสมเหล่านี้จะเห็นชัด
00:17:01 → 00:17:03 เจนในระยะยาว
00:17:03 → 00:17:06 ตอนนี้เราจะมาปิดท้ายเรื่องเกลือและผล
00:17:06 → 00:17:09 เสียของมันต่อร่างกายทุกอย่างที่พูดมา
00:17:09 → 00:17:12 ตั้งแต่ต้นเราจะสรุปและแนะนำแนวทาง
00:17:12 → 00:17:15 ปฏิบัติจริงที่สามารถทำได้ทุกวันลองนึก
00:17:15 → 00:17:19 ภาพชีวิตประจำวันที่มื้ออาหารทุกมื้อไม่
00:17:19 → 00:17:22 ใช่แค่กินให้อิ่มแต่เป็นโอกาสปกป้องหัวใจ
00:17:22 → 00:17:27 สมองและไตทุกคำที่เรากินมีผลต่อสุขภาพใน
00:17:27 → 00:17:30 ระยะยาวการลดเกลือไม่ได้หมายความว่าต้อง
00:17:31 → 00:17:34 กินจืดหรือไม่อร่อยเพียงปรับทีละเล็กทีละ
00:17:34 → 00:17:38 น้อยเริ่มจากอาหารที่ทำเองทำให้เราควบคุม
00:17:38 → 00:17:41 ปริมาณเกลือได้เช่นมื้อเช้าเลือกเข้าโอ๊ต
00:17:42 → 00:17:46 ผสมผลไม้ไม้สดโรยเมล็ดวานเพิ่มกรดไขมันดี
00:17:46 → 00:17:50 และสารต้านอนุมูลอิสระมื้อกลางวันปลา
00:17:50 → 00:17:54 แซลมอนนึ่งกับผักหลากสีข้าวกล้องน้ำซุป
00:17:54 → 00:17:58 สมุนไพรและมื้อเย็นสลัดผักสดกับเต้าหู้
00:17:58 → 00:18:02 โรยสมุนไพรและน้ำมะนาวแทนเกลือนอกจาก
00:18:02 → 00:18:05 เลือกอาหารแล้วการจัดมื้ออาหารก็สำคัญ
00:18:05 → 00:18:09 แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ 4-5 มื้อแทนมื้อใหญ่ 2
00:18:09 → 00:18:13 มื้อกินช้าๆเคี้ยวละเอียดเพื่อให้สมองรับ
00:18:13 → 00:18:17 สัญญาณความอิ่มลดโอกาสกินเกินนอกจากนี้
00:18:17 → 00:18:21 หลังมื้ออาหารเดินเล่น 10-15 นาทีหรือทำ
00:18:21 → 00:18:24 การดืดเหยียดเบาๆจะช่วยให้ระบบย่อยอาหาร
00:18:24 → 00:18:27 ทำงานดีขึ้นและเพิ่มการไหลเวียนเลือดไป
00:18:27 → 00:18:31 เลี้ยงสมองอีกเรื่องที่หลายคนมักมองข้าม
00:18:31 → 00:18:35 คือการติดตามสุขภาพตรวจความดันเป็นประจำ
00:18:35 → 00:18:38 สังเกตน้ำหนักตัวและปรับอาหารตามความ
00:18:38 → 00:18:41 เหมาะสมความสม่ำเสมอเหล่านี้ช่วยลดความ
00:18:41 → 00:18:45 เสี่ยงโรคหัวใจไตและสมองเสื่อมบางครั้ง
00:18:45 → 00:18:49 แค่เปลี่ยนเครื่องปรุงเช่นใช้กระเทียมขิง
00:18:49 → 00:18:54 พริกไทยสมุนไพรน้ำมะนาวแทนเกลือหรือเลือก
00:18:54 → 00:18:58 ผักผลไม้ตามฤดูกาลก็ช่วยให้รสชาติอาหารดี
00:18:58 → 00:19:02 ขึ้นและยังลดโซเดียมได้ลองคิดภาพชีวิตที่
00:19:02 → 00:19:06 เรากินอาหารอย่างมีสติทุกคำเป็นการลงทุน
00:19:06 → 00:19:10 ในสุขภาพมื้อเช้าให้สมองทำงานเต็มที่มื้อ
00:19:10 → 00:19:14 กลางวันบำรุงหัวใจและไตมื้อเย็นฉวยฟื้นฟู
00:19:14 → 00:19:17 กล้ามเนื้อและระบบย่อยอาหารการปรับทีละ
00:19:17 → 00:19:20 น้อยนี้เมื่อทำอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลชัด
00:19:20 → 00:19:24 เจนในระยะยาวและนี่ก็คือซีรียส์เรื่องข้อ
00:19:24 → 00:19:28 เสียของการกินเค็มหวังว่าคุณจะได้แนวทาง
00:19:28 → 00:19:31 และเทคนิคต่างๆไปลองปรับใช้ในชีวิตประจำ
00:19:31 → 00:19:35 วันไม่ว่าจะเป็นการลดโซเดียมปรุงรสด้วย
00:19:35 → 00:19:39 สมุนไพรแทนเกลือเลือกอาหารสดแทนอาหารแปร
00:19:39 → 00:19:42 รูปและจัดมื้ออาหารให้เหมาะสมสิ่งเหล่า
00:19:42 → 00:19:45 นี้แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่เมื่อทำอย่าง
00:19:45 → 00:19:49 สม่ำเสมอจะช่วยให้หัวใจไตและสมองของคุณทำ
00:19:49 → 00:19:54 งานได้เต็มที่จำไว้ว่าการลดเค็มคือการลง
00:19:54 → 00:19:57 ทุนในสุขภาพตัวเองเริ่มจากสิ่งเล็กๆเช่น
00:19:57 → 00:20:00 ใช้สมุนไพรแทนเกลือหรือเดินเล่นหลังมื้อ
00:20:01 → 00:20:04 อาหารและสังเกตผลลัพธ์ในวันถัดไปคุณจะ
00:20:04 → 00:20:07 เริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างทั้งร่างกายและ
00:20:07 → 00:20:11 พลังชีวิตขอบคุณที่ฟังพcสของเราถ้าชอบ
00:20:11 → 00:20:15 เนื้อหาอย่าลืมกดติดตามกดไลค์และแชร์ให้
00:20:15 → 00:20:18 เพื่อนๆหรือคนในครอบครัวเพื่อให้ทุกคนได้
00:20:18 → 00:20:23 มีหัวใจไตและสมองที่แข็งแรงขึ้นแล้วพบกัน
00:20:23 → 00:20:27 ใหม่ในตอนถัดไปครับกินดีลดเค็มใช้ชีวิต
00:20:27 → 00:20:32 ยืนยาวสุขภาพแข็งแรงทุกวันสรุปง่ายๆก็คือ
00:20:32 → 00:20:37 การลดเค็มเพิ่มผักผลไม้โปรตีนดีและ
00:20:37 → 00:20:41 สมุนไพรทำให้หัวใจแข็งแรงสมองทำงานดีความ
00:20:41 → 00:20:45 จำไม่ลดลงและไตทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
00:20:45 → 00:20:48 นี่คือวิธีง่ายๆที่จะมีชีวิตยืนยาวและ
00:20:48 → 00:20:52 สุขภาพดีสุดท้ายแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่
00:20:52 → 00:20:55 เมื่อทำต่อเนื่องทุกวันมันคือการลงทุน
00:20:55 → 00:20:58 ชีวิตที่คุ้มค่าทุกคำที่กินคือการปกป้อง
00:20:58 → 00:21:02 ร่างกายและทุกการเคลื่อนไหวคือการเพิ่ม
00:21:02 → 00:21:05 คุณภาพชีวิต