00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับเรื่องของโภชนาการนั้นนับได้
00:00:03 → 00:00:05 ว่าเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจครับ
00:00:05 → 00:00:07 ดังที่เราจะเห็นว่าปัจจุบันเนี่ยมี
00:00:07 → 00:00:10 influencer สายสุขภาพขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
00:00:10 → 00:00:14 เลยทีเดียวแล้วก็หมอหลายคนนะครับก็มีความ
00:00:14 → 00:00:17 เห็นเกี่ยวข้องกับเรื่องของโภชนาการที่
00:00:17 → 00:00:20 อาจจะไม่ตรงกันซะทีเดียวแต่ผมมั่นใจข้อ
00:00:20 → 00:00:23 นึงครับทุกคนที่เล่าให้เราฟังเนี่ยเามี
00:00:23 → 00:00:25 ความหวังดีอยากจะให้เรามีสุขภาพที่ดีมี
00:00:25 → 00:00:29 ชีวิตที่ยืนยาวแต่เนื่องจากว่าความเห็น
00:00:30 → 00:00:33 มันเป็นคนละทิศคนละทางก็จะทำให้คนที่ฟัง
00:00:33 → 00:00:37 เนี่ยมีความสับสนนะครับวันนี้ครับผมได้
00:00:37 → 00:00:40 รับคลิปวีดีโอคลิปหนึ่งซึ่งพูดเกี่ยวข้อง
00:00:40 → 00:00:43 กับเรื่องของอาหารโภชนาการนะครับแต่เท่า
00:00:43 → 00:00:46 ที่ผมฟังดูแล้วเนี่ยมันค่อนข้างที่จะไม่
00:00:46 → 00:00:48 ถูกต้องหลายประเด็นเลยทีเดียวนะครับถึง
00:00:48 → 00:00:52 แม้ว่าคนพูดจะมีความหวังดีต่อผู้ฟังก็
00:00:52 → 00:00:54 จริงนะครับแต่ว่าสิ่งที่พูดนั้นมันอาจจะ
00:00:54 → 00:00:57 ไม่ถูกต้องซะทีเดียวงั้นวันนี้ผมจะเอา
00:00:57 → 00:01:00 เรื่องนี้มาวิเคราะห์ให้ฟังเป็นประเด็น
00:01:00 → 00:01:02 ประเด็นไปเลยนะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์
00:01:02 → 00:01:04 ธานีธนียวันเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่
00:01:04 → 00:01:06 ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการ
00:01:06 → 00:01:10 ปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับผมต้องขอ
00:01:10 → 00:01:12 อภัยอย่างนึงนะครับคือผมไม่สามารถที่จะ
00:01:12 → 00:01:15 เอาคลิปวีดีโอต้นทางเนี่ยมาโพสต์ให้เราดู
00:01:15 → 00:01:18 ได้แล้วผมก็ไม่สามารถทิ้งลิงก์ไว้ที่นี่
00:01:18 → 00:01:20 ได้นะครับคุณจะต้องไปฟังเอาเองนะครับ
00:01:20 → 00:01:22 เนื่องจากว่าถ้าผมเอามาโพสต์ตรงนี้อาจจะ
00:01:22 → 00:01:25 เป็นการหมิ่นประมาทก็ได้นะครับก็จะไม่
00:01:25 → 00:01:28 สามารถทำแบบนั้นได้นะครับแล้วก็คลิป
00:01:28 → 00:01:30 วีดีโอนี้อาจจะมีความยาวสักสักนิดนึงนะ
00:01:30 → 00:01:32 ครับแต่ผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับ
00:01:32 → 00:01:36 หลายๆคนที่ฟังจนจบนะครับผมได้ลิสต์
00:01:36 → 00:01:39 ประเด็นที่พูดในคลิปนั้นมาทั้งหมดแล้วผม
00:01:39 → 00:01:42 จะชี้แจงไปเป็นประเด็นประเด็นไปนะครับ
00:01:42 → 00:01:46 ประเด็นแรกนะครับผู้พูดเนี่ยเขาบอกว่าคน
00:01:46 → 00:01:49 เอเชียเนี่ยมีการขาดน้ำย่อยนมก็คือขาด
00:01:49 → 00:01:53 แลคเตสนะครับไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส
00:01:53 → 00:01:57 ที่ึมันอยู่ในนมได้ถ้าเราดื่มนมเข้าไปนะ
00:01:57 → 00:02:00 ครับก็จะเกิดปัญหาต่างๆขึ้นมาเช่นเกิด
00:02:00 → 00:02:03 เชื้อราในลำไส้นะครับเขาใช้คำว่าปลูก
00:02:03 → 00:02:06 เชื้อราในลำไส้นะครับแล้วก็ทำให้เกิด
00:02:06 → 00:02:11 รังแคผื่นแพ้ภูมิแพ้ต่างๆในเด็กนะครับทำ
00:02:11 → 00:02:14 ให้เกิดอาการท้องผูกอาหารไม่ย่อยต่างๆผม
00:02:14 → 00:02:17 ต้องขอบอกอย่างนี้ก่อนนะครับว่านมเนี่ยนะ
00:02:17 → 00:02:21 ฮะมันไม่ได้ทำให้เกิดเชื้อราในลำไส้ครับ
00:02:21 → 00:02:24 มันไม่ทำให้เป็นแบบนั้นเลยนะฮะแล้วมันก็
00:02:24 → 00:02:26 ไม่ได้ทำให้เราเกิดภูมิแพ้อะไรขึ้นมาขนาด
00:02:26 → 00:02:29 นั้นด้วยนะครับโอเคในสมัยก่อนอาจจะมีคน
00:02:29 → 00:02:33 ที่เขาทำงานวิจัยแล้วสงสัยว่านมวัวเนี่ย
00:02:33 → 00:02:35 นะฮะมันจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดภูมิ
00:02:35 → 00:02:37 แพ้แต่มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นครับแล้วมันก็
00:02:37 → 00:02:41 มีงานวิจัยที่ออกมาคัดค้านอันนั้นซะด้วย
00:02:41 → 00:02:43 ถ้าเกิดว่าเราจะเลือกเฉพาะงานวิจัยที่มัน
00:02:43 → 00:02:46 เห็นตรงกับเราเนี่ยอันเนี้ยก็เป็นอคติ
00:02:46 → 00:02:51 อย่างที่ไม่สมควรจะทำนะครับต่อมามีการบอก
00:02:51 → 00:02:57 ว่าถ้าเราอ่ารับประทานนมเนยชีสน้ำตาลผงฟู
00:02:57 → 00:03:00 หรือแอลกอฮอล์เนี่ยจะทำให้เกิดคความไม่
00:03:00 → 00:03:04 สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรานะครับ
00:03:04 → 00:03:07 แล้วก็นำไปสู่โรคต่างๆนะครับแล้วยังบอก
00:03:07 → 00:03:09 อีกว่าเด็กเดี๋ยวเนี้ยหรือคนปัจจุบัน
00:03:09 → 00:03:11 เนี้ยท้องผูกกันเยอะแยะเลยเหตุผลก็เพราะ
00:03:11 → 00:03:14 ว่ากินของพวกนี้เข้าไปก็ต้องขอบอกครับว่า
00:03:14 → 00:03:16 มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนะครับมันไม่ได้ทำ
00:03:17 → 00:03:19 ให้จุลินทรีย์ในลำไส้ของเราเนี่ยมีปัญหา
00:03:19 → 00:03:22 แต่อย่างใดนะครับจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรา
00:03:22 → 00:03:26 เนี่ยมันมีหลากหลายชนิดนะครับบางคนมีบาง
00:03:26 → 00:03:28 ประเภทมากกว่าบางคนก็มีอีกประเภทหนึมาก
00:03:28 → 00:03:31 กว่าทั้งหมดเนี่ยอาจจะมีความเกี่ยวข้อง
00:03:31 → 00:03:34 กับอาหารสิ่งแวดล้อมที่แต่ละคนจะไม่
00:03:34 → 00:03:36 เหมือนกันแต่มันไม่ใช่ประเด็นเรื่องนี้
00:03:36 → 00:03:40 อย่างเดียวนะครับอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า
00:03:40 → 00:03:42 มันจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงไม่
00:03:42 → 00:03:44 ได้แปลว่าคุณควรจะไปกินของพวกนี้เข้าไป
00:03:44 → 00:03:47 เยอะๆนะครับทั้งนมเนยชีสแอลกอฮอล์ผงฟู
00:03:47 → 00:03:50 เนี่ยกินเข้าไปเยอะๆมันก็มีปัญหาได้แล้ว
00:03:50 → 00:03:54 ก็ไม่ได้แปลว่าคุณเนี่ยถ้าไม่อยากดื่มนม
00:03:54 → 00:03:57 แล้วมันจะเกิดปัญหานะครับหรือบางคนบอกว่า
00:03:57 → 00:04:00 เฮ้ยเออนมเนี่ย
00:04:00 → 00:04:03 มันไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คนๆนี้เขาพูด
00:04:03 → 00:04:06 อย่างงั้นเราก็กินเข้าไปได้เรื่อยๆก็อาจ
00:04:06 → 00:04:09 จะไม่ตรงไปตรงมาซะทีเดียวนะครับอย่างแรก
00:04:09 → 00:04:11 ถ้าเกิดว่าคุณขาดเอนไซมแลคเตสซึ่งคน
00:04:11 → 00:04:14 เอเชียส่วนใหญ่เวลาโตขึ้นมาเนี่ยจะขาดการ
00:04:14 → 00:04:17 ดื่มนมเข้าไปเนี่ยแน่นอนครับบางคนท้องอืด
00:04:17 → 00:04:20 คลื่นไส้ท้องเสียได้อันนี้เป็นปกติไม่ใช่
00:04:20 → 00:04:23 ท้องผุกนะครับท้องเสียนะฮะถ้าอยากจะกินนม
00:04:23 → 00:04:26 ต่ออาจจะต้องกินเอนไซมแลคเตสที่มันเป็น
00:04:26 → 00:04:28 แคปซูลเข้าไปเพื่อที่จะย่อยนมตรงนั้นได้
00:04:28 → 00:04:30 นะครับ
00:04:30 → 00:04:34 แต่จะไม่กินนมได้มคำตอบคือได้ครับคุณไม่
00:04:34 → 00:04:38 ได้จำเป็นจะต้องกินนมวัวเพราะว่าคุณ
00:04:38 → 00:04:40 สามารถได้สารอาหารที่มีอยู่ในนมเนี่ยจาก
00:04:40 → 00:04:44 แหล่งอื่นได้ครับจากงาดำก็ได้นะครับ
00:04:44 → 00:04:46 โปรตีนก็ได้จากแหล่งอื่นเหมือนกัน
00:04:46 → 00:04:49 แคลเซียมก็มาจากงาดำจากตัวปลาที่เรากิน
00:04:49 → 00:04:52 เข้าไปทั้งก้างได้นะครับดังนั้นนมเนี่ย
00:04:52 → 00:04:54 ไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นจะต้อง
00:04:54 → 00:05:00 กินนะครับในนี้ยังบอกอีกว่าถ้าเราดื่มนม
00:05:00 → 00:05:03 บ่อยๆแล้วเราชอบดื่มนมเนี่ยเราจำเป็นจะ
00:05:03 → 00:05:06 ต้องกินโปรไบโอติกเข้าไปเพราะว่านมมันทำ
00:05:06 → 00:05:09 ให้จุลินทรีย์ในลำไส้ของเราเนี่ยมันผิด
00:05:09 → 00:05:13 ปกติไปคำกล่าวนี้ไม่ถูกต้องเลยครับนมไม่
00:05:13 → 00:05:15 ได้ทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้ของเราผิดปกติ
00:05:15 → 00:05:18 ไปแต่อย่างไรไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนะครับ
00:05:18 → 00:05:22 ถ้าคุณจะกินโปรไบโอติกเข้าไปกินได้ครับ
00:05:22 → 00:05:24 แต่มันไม่ได้กินเพราะว่าคุณดื่มนมบ่อยๆ
00:05:24 → 00:05:26 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโปรไบโอติกไม่เกี่ยว
00:05:26 → 00:05:30 กันนะครับอ่า
00:05:30 → 00:05:34 ที่สำคัญยังมีการเขียนพูดออกมาอีกนะครับ
00:05:34 → 00:05:38 ว่าโรค sle หรือโรคพุ่มพวงนะครับโรค
00:05:38 → 00:05:40 autoimmune disease โรคภูมิต่อต้านตัว
00:05:40 → 00:05:44 เองนะครับไขข้ออักเสบเขาบอกว่ามีจุด
00:05:44 → 00:05:46 กำเนิดมาจากน้ำตาลนะครับแล้วก็มีความ
00:05:46 → 00:05:48 เกี่ยวข้องกับน้ำตาลแลคโตสที่ย่อยไม่ได้
00:05:49 → 00:05:52 นะฮะมาจากนมสัตว์นะครับต้องบอกว่าไม่
00:05:52 → 00:05:55 เกี่ยวกันเลยนะครับข้อความนี้ไม่มีความ
00:05:55 → 00:05:58 จริงเลยแม้แต่อย่างเดียวนะครับนม
00:05:58 → 00:06:01 ผลิตภัณฑ์จากนมนมหรือจากสัตว์ไม่ได้ทำให้
00:06:01 → 00:06:04 คุณเป็นโรคภูมิต่อต้านตัวเองไม่เกี่ยวกับ
00:06:04 → 00:06:07 อะไรกับ sle ไม่เกี่ยวกับโรคไขข้อครับดัง
00:06:07 → 00:06:11 นั้นอันนี้ถ้าไปฟังมาจากไหนข้อความเนี้ย
00:06:11 → 00:06:14 ไม่มีหลักฐานทางวิชาการตรงไหนสนับสนุนเลย
00:06:14 → 00:06:16 ครับมีแต่คิดขึ้นมาเองล้วนๆเลยนะฮะดัง
00:06:16 → 00:06:20 นั้นอันนี้ไม่ถูกต้องนะครับอ่าโอเคมี
00:06:21 → 00:06:24 อย่างนึงบอกว่าเดี๋ยวเเวลาที่เราทานอาหาร
00:06:24 → 00:06:27 เนี่ยนะครับเราควรจะเน้นผักสดโอเคอันนี้
00:06:27 → 00:06:30 เห็นด้วยนะครับแลถ้าเราได้ผักหลายๆสีนะ
00:06:30 → 00:06:32 ครับไม่ว่าจะเป็นสีเขียวเขียวอ่อนเหลือง
00:06:32 → 00:06:35 แดงส้มขาวครบทุกอย่างม่วงด้วยอ่าอันนี้
00:06:36 → 00:06:37 เป็นสิ่งที่ดีและอันนี้เห็นด้วยนะครับ
00:06:37 → 00:06:40 เพราะปัจจุบันเนี่ยอาหารที่ดีที่สุดคือ
00:06:40 → 00:06:42 อาหารที่เราเรียกว่าเป็นอาหารให้มัน
00:06:42 → 00:06:46 Balance สมดุลนะครับแล้วก็เน้นพืชผันะฮะ
00:06:46 → 00:06:49 แต่ไม่ได้แปลว่าเนื้อมันกินไม่ได้นะครับ
00:06:49 → 00:06:54 เนื้อกลิ่นได้ในนี้ยังมีการบอกว่าถ้าเรา
00:06:54 → 00:06:58 เอาเนื้อสัตว์นะครับมารับประทานไม่ควรจะ
00:06:59 → 00:07:01 รับประทานให้มันใหญ่กว่า 1 ฝ่ามือคือขนาด
00:07:01 → 00:07:03 ที่มันใหญ่กว่า 1 ฝ่ามือเนี่ยถ้าเรารับ
00:07:03 → 00:07:06 ประทานเข้าไปจะทำให้ร่างกายของเราเป็นกรด
00:07:06 → 00:07:09 นะฮะและยังบอกอีกว่าทุกๆอย่างที่เรารับ
00:07:09 → 00:07:12 ประทานไปที่ไม่ใช่มาจากธรรมชาตินั้นจะทำ
00:07:12 → 00:07:14 ให้ร่างกายของเราเป็นกรดเช่นเนื้อสัตว์
00:07:14 → 00:07:18 ที่มากเกินไปนะครับเช่นจากพืชถ้าเอาไปทอด
00:07:18 → 00:07:21 นะครับหรือถ้าเราใช้อุณหภูมิเกิน 100
00:07:21 → 00:07:23 องศาจะทำให้ร่างกายของเราเป็นกรดหรือยา
00:07:23 → 00:07:25 ชนิดต่างๆที่เรากินเข้าไปจะทำให้ร่างกาย
00:07:25 → 00:07:29 ของเราเป็นกรดอันเนี้ยไม่จริงนะครับไม่
00:07:29 → 00:07:32 จริงเลยนะแล้วก็ไม่มีหลักฐานทางวิชาการ
00:07:32 → 00:07:35 อะไรขนาดนั้นด้วยถ้าจะบอกว่าเป็นกรดเนี่ย
00:07:35 → 00:07:37 มีอยู่อย่างเดียวสมมุติคุณกินเนื้อเนื้อ
00:07:37 → 00:07:40 แดงผลิตภัณฑ์จากเนื้อเยอะๆโอเคเนื้อมัน
00:07:40 → 00:07:43 อาจจะมีซัลเฟอร์นะครับมีฟอสฟอรัสอยู่ใน
00:07:43 → 00:07:44 นั้นซึ่งบางครั้งมันทำให้ร่างกายของเรา
00:07:44 → 00:07:48 เป็นกรดได้แต่น้อยมากน้อยเพราะว่าร่างกาย
00:07:48 → 00:07:52 ของเราสามารถจัดการกับมันได้นะครับแล้ว
00:07:52 → 00:07:55 ที่สำคัญคือการที่บอกว่าเลือดเป็นกรด
00:07:55 → 00:07:58 เนี่ยในนี้ยังบอกว่ามันมีความเกี่ยวข้อง
00:07:58 → 00:08:01 กับการเกิดโรคไตเพราะว่าไตจะต้องทำงาน
00:08:01 → 00:08:05 หนักนะครับขับกรดแล้วสุดท้ายไตวายนะซึ่ง
00:08:05 → 00:08:07 นี้ไม่ถูกต้องนะทำให้กระดูกพรุนก็ไม่ถูก
00:08:07 → 00:08:10 ต้องอีกเหมือนกันนะครับมันไม่มีหลักฐาน
00:08:10 → 00:08:13 ทางการแพทย์ว่ามันเป็นเช่นนั้นนะฮะการที่
00:08:13 → 00:08:16 เรากินเนื้อสัตว์เข้าไปนะครับโอเคมันจะทำ
00:08:16 → 00:08:20 ให้ร่างกายของเรามีกรดเพิ่มมากขึ้นนะครับ
00:08:20 → 00:08:23 ในคนที่ไตปกติคนที่แข็งแรงเนี่ยกินเข้าไป
00:08:23 → 00:08:26 คุณไม่เกิดอะไรขึ้นไม่ได้ทำให้เป็นโรคไต
00:08:26 → 00:08:30 แต่ถ้าเกิดคุณเป็นโรคไตระยะท้ายๆเช่นระยะ
00:08:30 → 00:08:33 3 ระยะ 4 ระยะ 5 อย่างเงี้ยนะครับพวกนี้
00:08:33 → 00:08:36 การกินเนื้อที่เยอะเกินไปจะทำให้ร่างกาย
00:08:36 → 00:08:40 ของเราเป็นกรดอย่างไรก็ตามไม่ได้แปลว่า
00:08:40 → 00:08:43 เราแก้ไขไม่ได้ครับเราก็มีวิธีในการแก้ไข
00:08:43 → 00:08:45 ในคนที่เป็นโรค
00:08:45 → 00:08:49 ไตการขาดโปรตีนในคนที่เป็นโรคไตต่างหากล
00:08:49 → 00:08:52 ครับที่ทำให้คุณเนี่ยมีปัญหาได้เราพบนะ
00:08:52 → 00:08:54 ครับว่าถ้าเกิดคุณเป็นโรคไตแล้วคุณได้รับ
00:08:54 → 00:08:58 โปรตีนไม่เพียงพออาจจะทำให้ชีวิตของเรา
00:08:58 → 00:08:59 เนี่ยสั้นลง
00:09:00 → 00:09:05 นะครับสมัยก่อนในเนี้ยนะครับสมัยก่อนบอก
00:09:05 → 00:09:10 ว่าคนที่เป็นโรคไตไม่ควรกินโปรตีนเกิน 0.6
00:09:10 → 00:09:13 กรัมต่อกิกัต่อวันนั่นคือสมัยก่อนแต่เรา
00:09:13 → 00:09:16 พบว่าเดี๋ยวนี้ทำแบบนั้นเนี่ยคุณภาพชีวิต
00:09:17 → 00:09:19 ไม่ดีอัตราการตายเพิ่มมากขึ้นแล้วก็โรค
00:09:19 → 00:09:22 แทรกซ้อนต่างๆเยอะขึ้นดังนั้นปัจจุบันคำ
00:09:22 → 00:09:25 แนะนำอันเนี้ยจึงล้าสมัยไปแล้วนะ
00:09:25 → 00:09:30 ครับโดยสรุปตรงนี้นะครับอาหารที่มาจาก
00:09:30 → 00:09:34 ธรรมชาตินะครับกินได้แล้วมันก็เป็นสิ่ง
00:09:34 → 00:09:37 ที่ดีเนื้อคุณกินได้ไม่ได้มีปัญหาอะไรมัน
00:09:37 → 00:09:40 ไม่ได้ทำให้ร่างกายของเราเป็นกรดขนาดนั้น
00:09:40 → 00:09:43 ยายิ่งไม่เกี่ยวอะไรกันเลยครับผมเคยทำ
00:09:43 → 00:09:46 คลิปว่าการรับประทานยามากๆแล้วมันจะเป็น
00:09:46 → 00:09:50 ไตวายตับวายหรือเปล่านะครับลองกลับไปย้อน
00:09:50 → 00:09:53 ดูมันขึ้นกับชนิดของยานะครับยาโดยทั่วไป
00:09:53 → 00:09:56 ที่แพทย์ให้กินเนี่ยมันเป็นสิ่งที่จำเป็น
00:09:56 → 00:09:59 ต่อร่างกายนะครับตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร
00:09:59 → 00:10:01 ด้วยซ้ำไปสามารถที่จะกนได้นะครับตราบใดก็
00:10:01 → 00:10:05 แล้วแต่ที่ทางการแพทย์เนี่ยมันมีข้อแนะนำ
00:10:05 → 00:10:08 ให้รับประทานยาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เรา
00:10:08 → 00:10:10 สามารถทำได้แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างกาย
00:10:10 → 00:10:12 ของเราเป็นกรดแต่อย่างใดครับไม่เกี่ยวกัน
00:10:12 → 00:10:15 เลยนะครับงั้นไอ้ของพวกเนี้ยไม่ได้ทำให้
00:10:15 → 00:10:18 ร่างกายเราเป็นกรดจนกระทั่งเราต้องกังวล
00:10:18 → 00:10:20 สิ่งเหล่านี้ที่แนะนำมาจึงเป็นสิ่งที่ไม่
00:10:20 → 00:10:23 ถูกต้องเลยนะครับไม่ถูกต้องเลยสักนิด
00:10:23 → 00:10:27 เดียวนะครับมิฉะนั้นถ้าเราฟังคำคำนี้ไป
00:10:27 → 00:10:30 เรื่อยๆทำให้ต่อไปเราไม่กินยา
00:10:30 → 00:10:33 แล้วเกิดอะไรขึ้นครับโรคเราต่างๆกำเริบ
00:10:33 → 00:10:35 มันมีคนเคยเชื่อแบบนี้มาแล้วนะครับบอกว่า
00:10:35 → 00:10:38 กินยาจะทำให้ตับวายไตวายได้นะครับแล้วก็
00:10:38 → 00:10:41 พาไม่กินยาไปหาอะไรก็ไม่รู้มากินแล้วสุด
00:10:41 → 00:10:46 ท้ายก็โรคกำเริบอาการก็แย่ลงได้ดังนั้น
00:10:46 → 00:10:48 ตรงนี้ต้องระวังมากๆนะครับถ้าใครรับ
00:10:48 → 00:10:50 ประทานยาอยู่แล้วไปเชื่อเรื่องพวกนี้แล้ว
00:10:50 → 00:10:53 หยุดทานยาโดยกันทานหันอาจจะเป็นอันตราย
00:10:53 → 00:10:57 ได้เลยนะครับต่อมาคำว่าเลือดเป็นกรดตรง
00:10:57 → 00:11:01 เนี้ยอยากจะอธิบายนนนึงเพราะว่าพอเลือด
00:11:01 → 00:11:04 เป็นกรดเนี่ยนะครับคนเนี้ยเค้าก็อธิบาย
00:11:04 → 00:11:06 ว่าเลือดเป็นกรดทำให้เราเป็นมะเร็งเลือด
00:11:06 → 00:11:09 เป็นกรดทำให้เป็นกระดูกผุ่นเลือดเป็นกรด
00:11:09 → 00:11:13 ทำให้ตายวายแล้วก็ทำให้มีโรคต่างๆมากมาย
00:11:13 → 00:11:15 เรื่องของมะเร็งเนะครับไม่เกี่ยวอะไรกับ
00:11:15 → 00:11:17 เลือดเป็นกรดนะครับเลือดเป็นกรดไม่ได้ทำ
00:11:17 → 00:11:19 ให้คุณเป็นมะเร็งแล้วปกติเลือดของเรามัน
00:11:19 → 00:11:21 ก็ไม่เป็นกรดอยู่แล้วครับเพราะว่าอะไรรู้
00:11:21 → 00:11:24 มั้ยร่างกายเรามีสิ่งนึงซึ่งเรียกว่า
00:11:24 → 00:11:28 บัฟเฟอร์ครับบัฟเฟอร์เนี่ยมันจะควบคุมทำ
00:11:28 → 00:11:31 ให้่าพิของเลือดของเราอยู่ที่ 7.35 -
00:11:31 → 00:11:35 7.45 บัฟเฟอร์ในร่างกายมีหลักๆ 3 ระบบ 1
00:11:35 → 00:11:39 ปอดครับถ้าร่างกายเราเป็นกรดเยอะเราก็จะ
00:11:39 → 00:11:41 หายใจขับกรดออกมาอย่างรวดเร็วไม่ได้ทำให้
00:11:41 → 00:11:45 ปอดทำงานหนักครับอันที่ 2 กระดูกครับมัน
00:11:45 → 00:11:47 สามารถที่จะบัฟเฟอร์กับสารที่อยู่ใน
00:11:47 → 00:11:50 กระดูกได้นะฮะพวกนี้เนี่ยกระดูกคุณจะไม่
00:11:50 → 00:11:53 ได้เสียไปหรอกครับยกเว้นคุณจะเป็นโรคไต
00:11:53 → 00:11:56 ระยะท้ายๆเท่านั้นที่การรับประทานกรดเข้า
00:11:56 → 00:11:59 ไปเยอะๆอาจจะมีปัญหากับคุณได้แต่คนทั่วไป
00:11:59 → 00:12:01 ไปไม่ต้องกลัวตรงนี้ครับมันไม่เกิดขึ้น
00:12:01 → 00:12:04 หรือไตก็ทำหน้าที่ในการขับกรดโอเคอาจจะ
00:12:04 → 00:12:07 ขับกรดได้อ่าในคนทั่วไปไม่เกิดอะไรขึ้น
00:12:08 → 00:12:09 แต่ในคนที่เป็นโรคไตถ้าได้รับกดเข้าไป
00:12:09 → 00:12:13 เยอะๆร่างกายก็ขับไม่ได้ทั้งหมดทั้งมวล
00:12:13 → 00:12:14 ไอ้บัฟเฟอร์นี่มันจะทำอะไรมันจะทำให้
00:12:14 → 00:12:18 เลือดของเรามีพีอยู่ที่ 7.35 - 7.45
00:12:18 → 00:12:22 จริงๆก็อยู่ประมาณ 7.4 เป๊ะๆนะครับผมลอง
00:12:22 → 00:12:24 ให้คุณลองไปหาดูสิครับถ้าคนกินเนื้อเข้า
00:12:24 → 00:12:27 ไปแล้วไปเจาะเลือดดูเนี่ยพในเลือดจะ
00:12:27 → 00:12:28 เปลี่ยน
00:12:28 → 00:12:31 มอ่ามันไม่เปลี่ยนหรอกครับมันเหมือนเดิม
00:12:31 → 00:12:33 มันเหมือนเดิมเป๊ะๆเลยด้วยนะครับมันไม่
00:12:33 → 00:12:35 ได้ทำให้เลือดของคุณเป็นกรดแต่อย่างใดนะ
00:12:35 → 00:12:37 ฮะดังนั้นการที่จะเปลี่ยนให้เลือดมันเป็น
00:12:37 → 00:12:40 กรดเนี่ยมันแทบเป็นไปไม่ได้นะ
00:12:40 → 00:12:43 ครับเลือดเป็นกรดเกี่ยวอะไรกับมะเร็งมย
00:12:43 → 00:12:47 สมัยก่อนมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าตรง
00:12:47 → 00:12:49 บริเวณที่มะเร็งมันอยู่เนี่ยมันจะมีความ
00:12:49 → 00:12:53 เป็นกรดสูงแต่ไม่เกี่ยวอะไรกับเลือดครับ
00:12:53 → 00:12:55 เพราะว่าอะไรรู้มยมะเร็งเนี่ยมันจะมี
00:12:55 → 00:12:58 เมตาบอลิซึมของมันที่มีความผิดปกติทำให้
00:12:58 → 00:13:01 ที่อยู่รอบๆของมันนั้นเป็นกรดครับมันไม่
00:13:01 → 00:13:03 ได้เกี่ยวกับเลือดเป็นกรดร่างกายเป็นกรด
00:13:03 → 00:13:06 แล้วมันจะเกิดมะเร็งขึ้นมันเกิดมะเร็ง
00:13:06 → 00:13:08 ขึ้นแล้วมะเร็งมันสร้างกรดขึ้นมาอยู่รบๆ
00:13:08 → 00:13:10 ตัวมันนั่นแหละนะครับดัง
00:13:10 → 00:13:14 นั้นข้อแรกนะคุณทำให้เลือดเป็นกรดน่ะมัน
00:13:14 → 00:13:16 แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วต่อให้มันเป็น
00:13:16 → 00:13:19 มันก็เป็นน้อยมากจนกระทั่งไม่มีความสำคัญ
00:13:19 → 00:13:21 และ้ามันเป็นไปได้จริงๆก็ไม่เกี่ยวอะไร
00:13:21 → 00:13:24 กับมะเร็งเช่นกันนะครับแล้วมันก็ไม่ทำให้
00:13:24 → 00:13:27 กระดูกขนพุนด้วยไม่ได้ทำให้ไตคุณวายอีก
00:13:27 → 00:13:30 ต่างหากนะครับดังนั้นเรือเรื่องของการคิด
00:13:30 → 00:13:32 ว่าเลือดเป็นกรดทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นมา
00:13:32 → 00:13:35 นั้นจึงไม่ถูกต้องนะครับ
00:13:35 → 00:13:39 อ่าต่อมาบอกว่าคนที่กินมังสวิรัสจะมี
00:13:39 → 00:13:41 โอกาสขาดธาตุเหล็กกับขาด B12 อันเนี้ยอัน
00:13:41 → 00:13:44 นี้ผมเห็นด้วยนะครับเป็นอย่างนั้นจริงๆ
00:13:44 → 00:13:46 ถ้าเรารับประทานมังงเสาวิรัตโอกาสขาดธาตุ
00:13:46 → 00:13:49 เหล็กเนี่ยจะสูงมากนะครับการที่เราจะกิน
00:13:49 → 00:13:52 พวกผักคะน้าหรือว่าอะไรที่มันมีธาตุเหล็ก
00:13:52 → 00:13:55 เยอะๆเนี่ยมันต้องกินเยอะมากๆเนาะถึงจะ
00:13:55 → 00:13:57 ได้เข้าไปเพียงพอในกรณีแบบเนี้อาจจะต้อง
00:13:57 → 00:14:00 รับประทานธาตุเหล็กที่เป็นวิตามินเสริม
00:14:00 → 00:14:02 เข้าไปนะครับอาจจะต้องทานวิตามิน B2
00:14:02 → 00:14:04 เสริมเข้าไปนะฮะอันเนี้ยอันนี้เห็นด้วยนะ
00:14:04 → 00:14:06 ฮะ
00:14:06 → 00:14:09 เอ่ออันต่อมาบอก
00:14:09 → 00:14:12 ว่าถ้าเราอยากจะให้ร่างกายของเราเป็นด่าง
00:14:12 → 00:14:15 เนี่ยเราจะต้องกินพืชเข้าไปเยอะๆนะครับ
00:14:15 → 00:14:18 กลิ่นพืชเพราะว่ามันมีโซเดียมมี
00:14:18 → 00:14:21 โพแทสเซียมแมกนีเซียมแคลเซียมนะครับแล้ว
00:14:21 → 00:14:24 ก็น้ำแร่นะฮะโดยเฉพาะน้ำด่างมันจะทำให้
00:14:24 → 00:14:29 ร่างกายเราเป็นด่างหรือกินโซดามินท์
00:14:29 → 00:14:31 ทำให้ร่างกายเราเป็นด่างโอเคคุณกินโซลิน
00:14:31 → 00:14:33 ร่างกายมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้นถูกต้องนะ
00:14:33 → 00:14:36 ครับแต่มันไม่ไม่เป็นด่างมากหรอกครับ
00:14:36 → 00:14:38 เพราะว่าร่างกายเราต้องควบคุมพีให้มัน
00:14:38 → 00:14:42 อยู่ที่ 7.4 นะครับหรือ 7.35 - 7.45
00:14:42 → 00:14:45 มันจะเปลี่ยนไปจากช่วงนี้ไม่ได้ต่อให้คุณ
00:14:45 → 00:14:47 กินด่างเข้าไปยังไงมันก็ยังอยู่ที่เท่า
00:14:47 → 00:14:49 นี้มันไม่ได้ทำให้ร่างกายของคุณเป็นด่าง
00:14:49 → 00:14:52 ครับงั้นโอกาสที่จะร่างกายเป็นด่างมัน
00:14:52 → 00:14:54 เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะฮะคุณกินเข้าไปยัง
00:14:54 → 00:14:56 ไงมันก็ยังอยู่เท่าเดิมนั่นแหละยกเว้นคุณ
00:14:57 → 00:14:59 มีความผิดปกติในร่างกายเยอะๆนั่นแหละแหละ
00:14:59 → 00:15:01 ถึงคุณจะมีปัญหาแล้วบางทีการกินด่างมากจน
00:15:01 → 00:15:04 เกินไปก็เกิดปัญหาได้นะครับโดยเฉพาะคนที่
00:15:04 → 00:15:08 มีโรคตับแข็งกินด่างมากเกินไปอ่าคุณอาจจะ
00:15:08 → 00:15:10 ชักก็ได้นะครับต้องระวังตรงนี้ไว้ดีๆด้วย
00:15:10 → 00:15:11 นะ
00:15:11 → 00:15:16 ครับที่สำคัญนะครับพืชคุณกินเข้าไปเยอะๆ
00:15:16 → 00:15:18 มันไม่ได้ทำให้ร่างกของคุณเป็นด่างครับ
00:15:18 → 00:15:21 แล้วโซเดียมโพแทสเซียมแมกนีเซียมแคลเซียม
00:15:21 → 00:15:23 ก็ไม่ได้ทำให้คุณเป็นด่างเหมือนกันอีกอัน
00:15:23 → 00:15:26 นึงซึ่งผมขำมากๆเลยอันนี้ดูตลกมากก็คือ
00:15:26 → 00:15:28 บอกว่าการกินน้ำมะนาวทำให้ร่างกายของเรา
00:15:28 → 00:15:31 เป็นด่างแล้วเหตุผลที่บอกว่าเป็นเช่นนั้น
00:15:31 → 00:15:34 ก็คือมะนาวมันเป็นพืชมันถึงทำให้คุณเป็น
00:15:34 → 00:15:37 ด่างอันนี้ไม่รู้เหตุผลอะไรเลยครับไม่ถูก
00:15:37 → 00:15:40 ต้องคือคุณกินกรดมันจะไปเปลี่ยนเป็นด่าง
00:15:40 → 00:15:43 ในร่างกายมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเป็นไป
00:15:43 → 00:15:45 ไม่ได้เลยด้วยเหตุผลประการทั้งปวงนะครับ
00:15:45 → 00:15:48 ดังนั้นมะนาวไม่ได้ทำให้ร่างกายเราเป็น
00:15:48 → 00:15:50 ด่างนะครับแล้วเหตุผลที่ว่าเพราะมันเป็น
00:15:50 → 00:15:53 พืชก็ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่ครับตรงนี้
00:15:53 → 00:15:57 คือเ่อไม่ถูกต้องนะครับไม่ถูกต้องเลยนะ
00:15:57 → 00:16:01 ครับต่อมาบอกว่าน้ำอัดลมนะฮะมีความเป็น
00:16:01 → 00:16:03 กรดสูงอันนี้เห็นด้วยน้ำอัดลมเนี่ยพีอยู่
00:16:03 → 00:16:07 ที่ประมาณ 2.5 -3.5 นะครับถ้าเรากินน้ำ
00:16:07 → 00:16:10 อัดลมเข้าไป 1 กระป๋องเนี่ยนะครับมันจะทำ
00:16:10 → 00:16:13 ให้ร่างกายของเราเป็นกรดแบบสูงมากๆเลยนะ
00:16:13 → 00:16:16 แล้วจะต้องดื่มน้ำด่างเข้าไปแบบอย่างเยอะ
00:16:16 → 00:16:18 เลยเพื่อที่จะทำให้กรดเนี้ยมันกลายเป็น
00:16:18 → 00:16:22 กลางร่างกายของเราจึงจะไม่เป็นกรดผิดครับ
00:16:22 → 00:16:26 ผิดล้วนๆเลยคือต่อให้คุณดื่มกรดแบบนั้น
00:16:26 → 00:16:27 เข้าไปนะครับร่างกายของคุณมันก็ไม่กลาย
00:16:27 → 00:16:29 เป็นกรดครับเนื่องจากระบบบัฟเฟอร์อย่าง
00:16:29 → 00:16:32 ที่ผมเล่าไปตอนแรกแล้วถ้าคุณไม่เชื่อคุณ
00:16:32 → 00:16:34 ลองดื่มน้ำอลงแล้วไปเจาะเลือดดูพีในร่าง
00:16:34 → 00:16:36 กายคุณสิครับมันไม่เปลี่ยนแปลงครับมัน
00:16:36 → 00:16:39 เหมือนเดิมน่ะแล้วถ้าคิดง่ายๆนะครับคิด
00:16:39 → 00:16:42 ง่ายกว่านั้นอีกในกระเพาะคุณเนี่ยมันมี
00:16:42 → 00:16:44 กรดมั้ยครับ
00:16:44 → 00:16:50 มีกดรุนแรงซะด้วยกดไฮโดรคลอริก pH เนี่ย 1
00:16:50 → 00:16:53 หรือ 2 อะไรเงี้ยนะครับคุณสร้างของคุณ
00:16:53 → 00:16:56 ขึ้นมาเองแล้วคุณคิดว่าไอ้กรดพวกนั้นที่
00:16:56 → 00:16:59 คุณสร้างของคุณด้วยตัวเองเนี่ยมันทำให้
00:16:59 → 00:17:00 ร่างกายคุณเป็นกรดมั้ย
00:17:00 → 00:17:06 ครับก็ไม่ใช่มยคุณทำ fasting กรดคุณออกมา
00:17:06 → 00:17:10 ได้แล้วร่างกายจะเป็นกรดมยก็ไม่ไม่เกี่ยว
00:17:10 → 00:17:13 อะไรกันเลยนะครับดังนั้นเรื่องนี้เนี่ย
00:17:13 → 00:17:17 จึงไม่ถูกต้องนะครับ
00:17:17 → 00:17:21 เอิ่มต่อมาบอกว่าเดี๋ยวนี้เนี่ย PM 2.5
00:17:21 → 00:17:23 มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบค่อนข้างเยอะนะ
00:17:23 → 00:17:26 ครับเวลาไปตรวจโลหะหนักในคนไหนก็เจอว่าคน
00:17:26 → 00:17:29 ๆนั้นมีโลหะหนักในปริมาณที่สูง
00:17:29 → 00:17:32 สุดท้ายทำให้ร่างกายเป็นกรดเพราะว่าโลหะ
00:17:32 → 00:17:36 หนักมันเยอะแล้วก็ทำให้ไตทำงานหนักค่าไต
00:17:36 → 00:17:39 ขึ้นนำไปสู่ไตวนตรงนี้ก็ต้องบอกว่ามีส่วน
00:17:39 → 00:17:42 จริงและส่วนไม่จริงครับ PM 2.5 มีส่วน
00:17:42 → 00:17:45 ประกอบของโลหะเพิ่มมากขึ้นจริงครับเพราะ
00:17:45 → 00:17:47 ว่าเนื่องด้วยอุตสาหกรรมในปัจจุบันนะครับ
00:17:47 → 00:17:50 มีทั้งยา่าแมลงแล้วก็สารปนเปื้อนต่างๆนะ
00:17:50 → 00:17:53 ครับทำให้โลหะหนักเนี่ยมันลอยอยู่ใน PM
00:17:53 → 00:17:56 2.5 จริงๆนะครับแต่ถามว่าไปเจาะเลือด
00:17:56 → 00:17:59 แล้วก็เจอว่าทุกๆคนที่เจาะเนี่ยมีมีโลหะ
00:17:59 → 00:18:02 หนักปริมาณที่สูงจริงมั้ยอันเนี้ยต้อง
00:18:02 → 00:18:06 ระวังมากๆนะครับส่วนใหญ่มันไม่จริงแล้ว
00:18:06 → 00:18:08 ไอ้ที่จริงที่เจาะมาแล้วมันสูงหรือตรวจมา
00:18:08 → 00:18:11 แล้วมันสูงเนี่ยต้องบอกเลยครับว่ามันไม่
00:18:11 → 00:18:15 ได้มีความหมายอะไรโดยปกติในทางการแพทย์
00:18:15 → 00:18:20 เราจะรักษาคนที่มีภาวะโลหะหนักเกินในร่าง
00:18:20 → 00:18:23 กายก็ต่อเมื่อเขามีอาการหรือตรวจพบความ
00:18:23 → 00:18:27 ผิดปกติบางอย่างเช่นโลหิตวิทยามีความผิด
00:18:27 → 00:18:31 ปกตินะครับมีปกติจากตัวโลหหนักที่อธิบาย
00:18:31 → 00:18:34 อาการของเขาได้ไม่ใช่ว่าโลหหนักเกินมานิด
00:18:35 → 00:18:36 นึงแล้วเราคิดว่าคนนั้นเป็นพิษจากโลหหนัก
00:18:36 → 00:18:39 อันนี้ไม่ถูกต้องนะครับดังนั้นเราจะเห็น
00:18:39 → 00:18:43 ว่ามีคนพยายามขายคส kation ให้กับเราซึ่ง
00:18:43 → 00:18:45 ผมเคยทำคลิป kation ไปแล้วถ้าใครจำไม่ได้
00:18:45 → 00:18:48 ก็ลองกลับไปดูนะครับว่ามันมีเทคนิคอย่าง
00:18:48 → 00:18:51 หนึ่งคือการตรวจโลหะหนักแล้วเกินมานิดนึง
00:18:51 → 00:18:54 เขาคก็จะให้ยาขับโลหาหนักคือคีชขายเป็น
00:18:54 → 00:18:57 คอสราคาแพงนอกเหนือจากมันไม่ได้ช่วยอะไร
00:18:57 → 00:19:00 คุณแล้วมันยังอาจมีอันตรายแล้วก็เสียเงิน
00:19:00 → 00:19:03 ของคุณด้วยนะครับตรงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูก
00:19:03 → 00:19:06 ต้องนะครับโลหะหนักมีจริงใน PM 2.5 แต่
00:19:06 → 00:19:08 การไปตรวจแล้วโลหะหนักเกินไม่จำเป็นว่า
00:19:08 → 00:19:11 คุณต้องรักษามันแล้วก็ไม่ใช่แปลว่าคุณมี
00:19:11 → 00:19:13 อาการอะไรแล้วไปโทษโลหะหนักตลอดเวลาเพราะ
00:19:13 → 00:19:15 ว่าส่วนใหญ่แล้วมันไม่ใช่มันไม่เกี่ยว
00:19:15 → 00:19:18 อะไรกันไม่งั้นบางคนจะบอกอุ้ยเรามึนหัว
00:19:18 → 00:19:21 เพลียไปหาหมอมาหลายเจ้าแล้วก็ไม่รู้เป็น
00:19:21 → 00:19:23 อะไรนะครับแล้วไปตรวจโลหหนักเกินเค้าก็
00:19:23 → 00:19:26 เลยให้ไปทำคีชอันเนี้ยไม่ถูกต้องละโลห
00:19:26 → 00:19:27 หนักไม่ได้ทำให้คุณมีอาการแบบนั้นถ้าคุณ
00:19:27 → 00:19:30 จะมีอาการเพลียอะไรพวกนี้จากโลหะหนัก
00:19:30 → 00:19:32 เนี่ยผลเลือดคุณจะต้องผิดปกติมหาศาลไม่
00:19:32 → 00:19:34 ได้เกี่ยวข้องกับโลหะหนักอย่างเดียวครับ
00:19:34 → 00:19:37 ดังนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะ
00:19:37 → 00:19:41 ครับต่อมาเรื่องของวิตามินซีครับอ่าตรง
00:19:41 → 00:19:45 นี้แหละมีการอ้างงานศึกษาชนิดอ่างานศึกษา
00:19:45 → 00:19:49 1 ในประมาณปี 1990 นะครับที่ศึกษานัก
00:19:49 → 00:19:53 ศึกษานะครับว่าจะให้รับประทานวิตามินซี
00:19:53 → 00:19:57 เข้าไปเยอะๆนะครับอ่าตอนแรกเนี่ยเขาบอก
00:19:57 → 00:19:59 ว่าผมไปดูงานศึกษาอันนี้เลยซึ่งงานศึกษา
00:19:59 → 00:20:02 อันนี้เนี่ยเค้าพูดไม่ตรงกับที่เค้าพูด
00:20:02 → 00:20:04 อยู่ในคลิปนะครับงานศึกษานี้ทำในนักศึกษา
00:20:04 → 00:20:08 ประมาณ 200 กว่าคนนะครับโดยเค้าเนี่ยมี
00:20:08 → 00:20:12 การเปรียบเทียบกลุ่มนึงเวลาที่ป่วยขึ้นมา
00:20:12 → 00:20:14 เนี่ยให้ทานวิตามินซี megadose หมายความ
00:20:14 → 00:20:16 ว่าทุกชั่วโมงเลยเป็นเวลา 6 ชมงนะครับ
00:20:16 → 00:20:19 หลังจากนั้นให้กินเช้ากรางวันเย็นไป
00:20:19 → 00:20:21 เรื่อยๆเ้าพบว่าคนที่กินวิตามินซีแบบ
00:20:21 → 00:20:24 เนี้ยอาการจะน้อยกว่าและสามารถป้องกันทำ
00:20:24 → 00:20:29 ให้อาการต่างๆลดลงได้ถึง 85% นะครับ
00:20:29 → 00:20:32 ซึ่งจริงๆตอนเนี้ยพอออกมาแบบนี้ปุ๊บทุกคน
00:20:32 → 00:20:35 โอโหวิตามินซีมันต้องดีขนาดนั้นแน่ๆเลย
00:20:35 → 00:20:38 สามารถลดอาการได้ทำให้ทุกๆอย่างดีขึ้นคุณ
00:20:38 → 00:20:39 รู้อะไรมครับว่าหลังจากนั้นเนี่ยมีงาน
00:20:39 → 00:20:42 วิจัยออกมาเยอะแยะไปหมดเพื่อที่จะต้องตอบ
00:20:42 → 00:20:45 โจทย์ตรงนี้ว่าวิตามินซีมันสามารถป้องกัน
00:20:45 → 00:20:47 โรคไข้หวัดไข้หวัดใหญ่หรือว่าทำให้ไข้
00:20:47 → 00:20:49 หวัดไข้หวัดใหญ่มันอาการดีขึ้นได้ไหม
00:20:49 → 00:20:52 ปรากฏว่าอะไรรู้มั้ยครับงานวิจัยใหญ่ๆที่
00:20:52 → 00:20:56 ออกมาหลังจากนั้นเนี่ยค้านงานวิจัยตัวนี้
00:20:56 → 00:20:57 หมด
00:20:57 → 00:20:59 เลยแสดงแสดงว่าคนที่เขาเชื่อเรื่องของ
00:20:59 → 00:21:03 วิตามินซีจริงๆเนี่ยเค้าก็เลือกเฉพาะงาน
00:21:03 → 00:21:05 ที่มันไปตรงกับความเชื่อของเขาเท่านั้น
00:21:05 → 00:21:08 แต่งานอื่นที่มันใหญ่กว่าเนี่ยเาปิดตาปิด
00:21:08 → 00:21:11 หูปิดจมูกปิดปากไม่ฟังไม่ดูไม่เห็นเลย
00:21:11 → 00:21:14 อันเนี้ยไม่ถูกต้องนะครับไม่ถูกต้องเลยนะ
00:21:14 → 00:21:17 ฮะแถมเอาไปเปรียบเทียบกับนี่อีกนะครับบอก
00:21:17 → 00:21:21 ว่าเอ่อด an fy นะครับเค้ามีการเก็บ
00:21:21 → 00:21:24 สถิติตั้งแต่ปี 200 -29 บอกว่าวัคซีน
00:21:24 → 00:21:26 ป้องกันไข้หวัดใหญ่นะครับป้องกันได้แค่
00:21:26 → 00:21:29 40% ดังนั้นถ้าเกิดว่าว่าเรากินวิตามิน
00:21:29 → 00:21:31 ซีมันป้องกันได้ 84 85% แต่ไอ้นี่ได้แค่
00:21:31 → 00:21:35 40% เองดังนั้นไม่ต้องฉีดวัคซีนสิอันนี้
00:21:35 → 00:21:38 ไม่ถูกต้องด้วยประการหลายประการเลยนะครับ
00:21:38 → 00:21:41 ข้อแรกนะฮะงานวิจัยที่คุณเอามาอ้างตอนแรก
00:21:41 → 00:21:44 เนี่ยมันถูกตีตกไปแล้วด้วยงานวิจัยที่
00:21:44 → 00:21:47 ใหญ่กว่าหลังจากนั้นอีกหลายงานวิตามินซี
00:21:47 → 00:21:50 ไม่ได้ช่วยเรื่องของไข้หวัดไขหวัดใหญ่ที่
00:21:50 → 00:21:52 ให้มันหายเร็วขึ้นหรือป้องกันมันได้มัน
00:21:52 → 00:21:57 ป้องกันไม่ได้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
00:21:57 → 00:22:00 มันป้องกันอาการหนักจากไขวใหญ่ครับป้อง
00:22:00 → 00:22:03 กันได้ดีเสียด้วยนะฮะงั้นตรงนี้เนี่ยเอา
00:22:03 → 00:22:04 มาเทียบกันไม่ได้เลยตั้งแต่แรกเนื่องจาก
00:22:04 → 00:22:07 ว่างานวิจัยตอนแรกมันก็ invalid ไปแล้ว
00:22:07 → 00:22:09 มันใช้ไม่ได้มันจะเอามาเทียบกันอย่างนี้
00:22:09 → 00:22:12 ก็ผิดแล้วล่ะครับนะฮะถ้าจะเทียบวัคซีนกับ
00:22:12 → 00:22:15 วิตามินซีคุณต้องเป็นงานศึกษาชิ้นเดียว
00:22:15 → 00:22:19 กันเช่นคุณมีคนทั้งหมด 1,000 คนนะครับอ่า
00:22:19 → 00:22:22 จริงๆเอาัก 1,200 คนแล้วกันแบ่งเป็น 3
00:22:22 → 00:22:25 กลุ่มนะครับกลุ่มละ 400 กลุ่มนี้ได้
00:22:25 → 00:22:28 วัคซีนกลุ่มนี้ได้วิตามินซีอีกกลุ่มนึง
00:22:28 → 00:22:29 ไม่ได้อะไรเลยแล้วมาเทียบกันดูว่ามันเป็น
00:22:29 → 00:22:31 ยังไงอันเงี้ยถึงจะเปรียบเทียบกันได้นะ
00:22:32 → 00:22:34 ครับไม่ใช่การเอาสึการศึกษาที่มันไม่แน่
00:22:34 → 00:22:36 ไม่นอนแล้วมาเปรียบเทียบกันอันนี้ไม่ถูก
00:22:36 → 00:22:41 ต้องนะครับอีกอย่างนึงบอกว่าการได้วัคซีน
00:22:41 → 00:22:44 ไข้หวัดใหญ่นั้นถ้าเราได้วัคซีนไข้หวัด
00:22:44 → 00:22:47 ใหญ่ต่อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หนึถ้าเราไป
00:22:47 → 00:22:50 ติดว่าไข้หวัดใหญ่อีกสายพันธุ์จะทำให้เรา
00:22:50 → 00:22:53 มีโอกาสเป็นปอดอักเสบรุนแรงมากขึ้นอัตรา
00:22:53 → 00:22:55 การตายสูงขึ้นมากกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด
00:22:55 → 00:23:00 วัคซีนค่วัดใหญ่อันเนี้ยผิดเลยผิดไม่จริง
00:23:00 → 00:23:02 ไม่มีความจริงเลยแม้แต่นิดเดียวนะครับดัง
00:23:02 → 00:23:05 นั้นถ้าเราจะหาเหตุผลไม่ฉีดวัคซีนไข้หวัด
00:23:05 → 00:23:09 ใหญ่นี้เพราะว่าเรากินวิตามินซีแล้วมันจะ
00:23:09 → 00:23:11 ป้องกันเพราะว่าเราไปเชื่อว่าการฉีด
00:23:11 → 00:23:13 วัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หนึ่งจะทำให้
00:23:13 → 00:23:15 เราติดอีกสายพันธุ์นึงและอาการรุนแรง
00:23:15 → 00:23:18 อันเนี้ยผิดเราใช้เหตุผลนี้ไม่ได้แต่ถ้า
00:23:18 → 00:23:21 เราจะไม่อยากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพราะ
00:23:21 → 00:23:23 ว่าเรากลัวเข็มเรากลัวผลข้างเคียงเรากลัว
00:23:23 → 00:23:25 ปวดอันนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนผมไม่ได้
00:23:26 → 00:23:28 มาขยันคยอหรือว่าแนะนำว่าคุณจำเป็นจะต้อง
00:23:28 → 00:23:31 ฉีดวัคซีนแค่วัดใหญ่นะถ้าไม่ฉีดจะเป็น
00:23:31 → 00:23:33 นั่นเป็นนี่คือตรงเนี้ยผมว่ามันแล้วแต่
00:23:33 → 00:23:36 คุณนะครับแต่คุณจะเอาเหตุผลที่ว่าวัคซีน
00:23:36 → 00:23:39 ไข้หวัดใหญ่มันประสิทธิภาพด้อยกว่า
00:23:39 → 00:23:42 วิตามินซีหรือวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้นมันจะ
00:23:42 → 00:23:44 ทำให้เราไปติดอีกสายพันธุ์ที่มีอาการทำ
00:23:44 → 00:23:47 ให้อาการรุนแรงเป็นปลออเสบได้เอามาเป็น
00:23:47 → 00:23:50 เหตุผลอันเนี้ยไม่ถูกต้องนะครับ
00:23:50 → 00:23:55 อ่าต่อมาคือเรื่องของฮอร์โมนอาหารเสริม
00:23:55 → 00:23:57 ที่ถูกต้องนะครับฮอร์โมนนี้คือ
00:23:57 → 00:23:59 bioidentical ฮอโมนหมายความว่าฮอร์โมน
00:23:59 → 00:24:01 ที่มีลักษณะเหมือนธรรมชาติมากที่สุดกับ
00:24:01 → 00:24:05 อาหารเสริมที่ถูกต้องสามารถทำให้เราเนี่ย
00:24:05 → 00:24:09 ย้อนไวได้แก้กระดูกพรุนได้ทำให้ค่าไตของ
00:24:09 → 00:24:13 เราดีขึ้นทำให้เบาหวานของเราดีขึ้นโอเค
00:24:13 → 00:24:16 ตรงนี้เนี่ยต้องบอกว่ามันอาจจะพอมีส่วน
00:24:16 → 00:24:20 ว่างนะครับอาจจะพอมีส่วนว่างแต่เรื่องของ
00:24:20 → 00:24:23 อาหารเสริมนะครับกับเรื่องของ
00:24:23 → 00:24:25 bioidentical ฮอร์โมนอย่างเดียวไม่
00:24:25 → 00:24:28 สามารถทำได้ครับไม่สามารถทำได้มันจะต้อง
00:24:28 → 00:24:31 อาศัยการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตตั้งแต่
00:24:31 → 00:24:33 การออกกำลังกายการนอนหลับพักผ่อนที่มัน
00:24:33 → 00:24:36 เหมาะสมนะครับการที่ไม่ใช้สารที่มันเป็น
00:24:36 → 00:24:39 พิษเข้าไปในร่างกายเช่นบุหรี่นะครับ
00:24:39 → 00:24:42 แอลกอฮอล์ยาเสพติดชนิดต่างๆนะครับพวก
00:24:42 → 00:24:46 เนี้ยจะต้องแก้ไขทั้งหมดเลยไม่ใช่แค่เรา
00:24:46 → 00:24:48 ใช้ฮอร์โมนที่ถูกต้องอาหารเสือที่ถูกต้อง
00:24:48 → 00:24:51 แล้วทุกๆอย่างจะดีขึ้นมันไม่ดีขึ้นครับนะ
00:24:51 → 00:24:54 งั้นมีส่วนจริงบ้างแต่ว่าก็มีส่วนไม่จริง
00:24:54 → 00:24:55 เหมือนกันนะ
00:24:55 → 00:25:00 ครับอีกอันนึงคือว่าสมดุลกรดด่างในร่าง
00:25:00 → 00:25:01 กายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดโอเคตรงนี้เห็น
00:25:01 → 00:25:04 ด้วยนะครับแต่ว่าเราไปยุ่งอะไรกับมันไม่
00:25:04 → 00:25:07 ได้นะร่างกายของเราทำโดยอัตโนมัติอยู่
00:25:07 → 00:25:09 แล้วไม่ได้ทำด้วยการกินอะไรเข้าไปทำให้
00:25:09 → 00:25:11 สมดุลกรดดังมันเสียนะครับบอกว่าถ้ากรด
00:25:11 → 00:25:14 เยอะไตทำงานหนักพอไตทำงานหนักไตเนี่ยมัน
00:25:15 → 00:25:17 มีหน้าที่เปลี่ยนวิตามิน D จากฟอร์มที่
00:25:17 → 00:25:19 มันไม่ Active ก็คือวิตามิน d2 ให้ไปเป็น
00:25:19 → 00:25:22 วิตามิน D3 ซึ่งเป็น Active ฟร์มถ้าเกิด
00:25:22 → 00:25:24 ว่าเรามีกรดเข้าไปในร่างกายทำให้ไตทำงาน
00:25:24 → 00:25:26 หนักไตไม่สามารถเปลี่ยนวิตามินดีได้จึง
00:25:26 → 00:25:29 เป็นกระดูกพรุนอันนี้ไม่จริงไม่เกี่ยว
00:25:29 → 00:25:31 อะไรกันเลยด้วยนะครับไม่เกี่ยวอะไรกันเลย
00:25:31 → 00:25:35 ด้วยนะฮะคนที่ไม่สามารถเปลี่ยนวิตามินดี
00:25:35 → 00:25:38 เป็น Active form ได้
00:25:38 → 00:25:43 นั้นมีแค่คนที่มีโรคไตระยะท้ายๆเท่านั้น
00:25:43 → 00:25:46 ครับระยะหนึ่งระยะ 2 เตินแบบ 1.3 1.4
00:25:46 → 00:25:48 เงี้ยไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับโน่นต้อง
00:25:48 → 00:25:50 เครติน 2 3 อย่างเงี้ขึ้นไปเออนี้อาจจะ
00:25:51 → 00:25:53 มีปัญหาละนะครับซึ่งพวกนั้นเนี่ยหมอโรค
00:25:53 → 00:25:56 ไตยเค้าก็ดูแลอยู่เาก็จะรู้เลยว่าคนๆ
00:25:56 → 00:25:59 เนี้ยอาจจะต้องกินวิตามินดีชนิดพิเศษนะ
00:25:59 → 00:26:02 ครับเสริมเข้าไปนะฮะเรียกว่า One Alpha
00:26:02 → 00:26:05 ตรงเนี้ยคืออาจจะช่วยเป็นวิตามินดีที่
00:26:05 → 00:26:07 Active form เข้าไปนะครับตรงนี้คือมี
00:26:07 → 00:26:11 ความสำคัญที่จะต้องรู้มันมีทั้งความรู้
00:26:11 → 00:26:14 ที่ถูกและผิดปนๆกันไปดังนั้นเท่าที่ดูมา
00:26:14 → 00:26:18 ทั้งหมดนะครับอ่าตอนสุดท้ายเนี่ยเห็นบอก
00:26:18 → 00:26:23 ว่าเค้าจะไม่แนะนำให้กินตเอานี้เตัวเขา
00:26:23 → 00:26:25 ไม่เชื่อในยาสักตัวเดียวคือจะไม่กินยาจะ
00:26:25 → 00:26:28 ไม่ใช้วัคซีนทุกอย่างนะครับเพราะว่าเชื่อ
00:26:28 → 00:26:31 ในการรับประทานอาหารที่ดีมีคุณค่ามีคุณ
00:26:31 → 00:26:33 ประโยชน์ดูแลตัวเองออกกำลังกายนอนหลับพัก
00:26:33 → 00:26:35 ผ่อนให้เพียงพอลดความเครียดซึ่งส่วนหนึง
00:26:35 → 00:26:39 นะผมเห็นด้วยในเรื่องของการออกกำลังกาย
00:26:39 → 00:26:42 พักผ่อนเพียงพอทานอาหารให้มันสมดุลนะครับ
00:26:42 → 00:26:45 แต่เหตุผลของการทานอาหารของเหตุผลเรื่อง
00:26:45 → 00:26:47 ของเลือดเป็นกรดเนี้ยอันนี้อาจจะไม่ถูก
00:26:47 → 00:26:48 ต้องนะ
00:26:48 → 00:26:51 ครับการที่ไม่เชื่อเรื่องยาอันเนี้ยเป็น
00:26:51 → 00:26:54 สิทธิส่วนบุคคลและแต่การที่จะบอกว่ายาพวก
00:26:54 → 00:26:56 เทำให้เลือดเป็นกรดแล้วเกิดโรคต่างๆ
00:26:56 → 00:26:58 อันเนี้ยผิดมันไม่ถูกต้องนะครับการการที่
00:26:58 → 00:27:00 จะไม่ฉีดวัคซีนอะไรเลยเพราะว่าเรามีวิธี
00:27:00 → 00:27:02 ทำให้ร่างกายของเรามีภูมิต้านทานที่ดี
00:27:02 → 00:27:04 ขึ้นจากการกินวิตามินซีหรืออาหารเสริม
00:27:04 → 00:27:06 ต่างๆอันเนี้ยก็ไม่เห็นด้วยเพราะว่ามันทำ
00:27:06 → 00:27:08 ไม่ได้มันไม่ถูกต้องนะครับคุณจะไม่ฉีด
00:27:08 → 00:27:12 วัคซีนมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่จำเป็นจะ
00:27:12 → 00:27:15 ต้องทำตามผมหรือทำตามใครที่แนะนำฉีด
00:27:15 → 00:27:17 วัคซีนตัวนั้นตัวนี้คุณไม่ฉีดไม่เป็นไร
00:27:17 → 00:27:20 มันไม่ได้มีปัญหาแต่จะเอาเหตุผลของการไม่
00:27:20 → 00:27:24 ฉีดมาบอกว่ามันเป็นเพราะว่าวิตามินซีป้อง
00:27:24 → 00:27:26 กันได้ดีกว่าหรือการกินอาหารทำให้เราป้อง
00:27:26 → 00:27:29 กันโรคนั้นโรคนี้ได้อันนี้ไม่จริงครับและ
00:27:29 → 00:27:31 ต้องบอกว่าตอนนี้เนี่ยเดี๋ยวเราอาจจะเจอ
00:27:31 → 00:27:34 ศึกหนักนะครับเพราะว่าที่อเมริกา Robert
00:27:34 → 00:27:38 f kenedy ได้มาคุมเรื่องของสาธารณสุข
00:27:38 → 00:27:41 อย่างเต็มตัวและคนๆนี้แี้ sci มากๆไม่
00:27:41 → 00:27:44 เชื่อในวิทยาศาสตร์และไม่เชื่อมากไปกว่า
00:27:44 → 00:27:48 นั้นก็คือไม่เชื่อว่าโรคต่างๆเช่นโรคหัด
00:27:48 → 00:27:51 เยอรมันเกิดจากเชื้อโรคเค้าไม่เชื่อใน
00:27:51 → 00:27:55 germ theory เดี๋ยวะประเทศไทยคนที่ไม่
00:27:55 → 00:27:59 เชื่ออะไรซักอย่างนะครับต่อต้านวัคซีนนะ
00:27:59 → 00:28:03 เชื่อในเรื่องของกัญชาสมุนไพรต่างๆนะครับ
00:28:03 → 00:28:06 หรือบอกว่าเดี๋ยว MRI เอ M วัคซีนจะถูก
00:28:06 → 00:28:08 ถอดถอนอะไรอย่างโง้นอย่างงี้จากทาง
00:28:08 → 00:28:11 อเมริกาเดี๋ยวคนพวกเนี้ยก็จะสร้างปัญหา
00:28:11 → 00:28:13 ให้กับสังคมอีกมากมายเลยทีเดียวพวกเราก็
00:28:13 → 00:28:16 จะต้องออกมาให้ความรู้ที่มันถูกต้องแล
00:28:16 → 00:28:19 กระจ่างกระจ่างแจ้งเพราะว่าอเมริกาเนี่ย
00:28:19 → 00:28:21 แน่นอนนะครับพอ Robert f kenedy ขึ้นมา
00:28:21 → 00:28:24 จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างแล้ว
00:28:24 → 00:28:26 ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ความรู้ทางด้านสุขภาพ
00:28:26 → 00:28:30 เนี่ยมันสับสนโอมานไปเยอะเลยทีเดียวนะ
00:28:30 → 00:28:34 ครับวันนี้ผมก็มาชี้แจงประเด็นต่างๆเท่า
00:28:34 → 00:28:38 นี้นะครับดังนั้นทั้งหมดที่พูดมาผมมั่นใจ
00:28:38 → 00:28:41 อย่างหนึ่งคือคนที่เาพูดในคลิปวีีดีโอ
00:28:41 → 00:28:45 นั้นมีความหวังดีต่อทุกคนจริงๆนะครับเขาค
00:28:45 → 00:28:48 ตั้งใจดีจริงๆนะครับตัวเค้าก็ทำแบบที่เขา
00:28:48 → 00:28:51 พูดจริงๆเาไม่ได้หลอกลวงใครนะครับแต่สิ่ง
00:28:51 → 00:28:56 ที่พูดนั้นมันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
00:28:56 → 00:28:58 นะครับแล้วหลักฐานก็ชี้ไปในทางตรงกันข้าม
00:28:58 → 00:29:01 กับสิ่งที่เขาพูดมันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูก
00:29:01 → 00:29:03 ต้องนะครับวันนี้ผมก็ชี้แจงเพียงเท่านี้
00:29:03 → 00:29:06 นะครับถ้าใครสงสัยอะไรก็สอบถามกันเข้ามา
00:29:06 → 00:29:09 ผมจะไม่สามารถโพสต์ลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับ
00:29:09 → 00:29:12 คลิปวีีดีโอนี้ได้ถ้าท่านอยากรู้ก็ต้องไป
00:29:12 → 00:29:15 หาเอาเองนะครับวันนี้เล่าเพียงเท่านี้นะ
00:29:15 → 00:29:20 ครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ