00:00:00 → 00:00:04 อ่าหมอเจครับโอ้โหเจ้าลูสื่อชื่อดังขนาด
00:00:04 → 00:00:08 เป็นแบบคนดังดาราดังเขาเขาก็เครียดกันได้
00:00:08 → 00:00:11 หรอครับหมอเจโอ้ใช่ค่ะความเครียดเนี่ย
00:00:11 → 00:00:14 จริงๆต้องบอกก่อนค่ะว่าความเครียดเกิด
00:00:14 → 00:00:17 ขึ้นได้กับทุกคนแล้วความเครียดต้องพูด
00:00:17 → 00:00:19 อย่างงี้ก่อนค่ะความเครียดเหมือนเหมือน
00:00:19 → 00:00:22 ทุกอย่างเลยคือไม่ได้มีแต่โทษความเครียด
00:00:22 → 00:00:27 ที่เหมาะสมมีประโยชน์ค่ะคืออะไรสอย่างที่
00:00:27 → 00:00:30 มันเหมาะสมมีเหมาะสมคือใช้คำนี้นี้ค่ะไ
00:00:30 → 00:00:32 ความเครียดเนี่ยหรือภาษาอังกฤษคือสสตรงไป
00:00:32 → 00:00:35 ตรงมานะคะความเครียดที่เหมาะสมคือไม่มาก
00:00:35 → 00:00:38 เกินไปมันจะเป็นแรงผลักดันให้เป็นแรงจูง
00:00:38 → 00:00:41 ใจหรือว่าเป็นแรงผลักดันให้เราทำนู่นทำ
00:00:41 → 00:00:43 นี่คือถ้าเราไม่เครียดเลยเราก็อาจจะแบบ
00:00:43 → 00:00:46 สมมุติไม่เครียดเลยคุณโอ๊ก็อาจจะเออถึง
00:00:46 → 00:00:49 ฉันเป็นหวัดฉันก็ชิลลงานสัก 3 อาทิตย์เลย
00:00:49 → 00:00:52 อย่างเงี้ยค่ะครับมันก็จะแบบชิลเกินจนแบบ
00:00:52 → 00:00:56 เราอาจจะไม่ทำอะไรเลยแบบอีลุ่ยฉุยแฉะ
00:00:56 → 00:00:59 อย่างเงี้ยค่ะแต่ความเครียดที่มากเกินไป
00:00:59 → 00:01:02 แน่นอนค่ะแต่ว่ามันส่งผลแน่นอนทั้งต่อ
00:01:02 → 00:01:06 เรื่องของจิตใจที่เรารู้สึกโอ้โหไม่มี
00:01:06 → 00:01:09 ความสุขรู้สึกทุกข์รู้สึกรนลนหรือเรื่อง
00:01:09 → 00:01:11 ของร่างกายเครียดจนนอนไม่หลับหรือว่า
00:01:12 → 00:01:14 อย่างกรณีที่เป็นเยอะๆก็อาจจะเป็นภาวะ
00:01:14 → 00:01:16 เรียกว่า conversion disorder คือมี
00:01:16 → 00:01:20 อาการแสดงทางระบบประสาทเช่นอ่อนแรงชาชัก
00:01:20 → 00:01:23 เอ่อเดี๋ยวอันนี้จะอธิบายเพิ่มนะคะหรือ
00:01:23 → 00:01:25 บางท่านที่เราพูดง่ายๆเลยก็คือเครียดแล้ว
00:01:25 → 00:01:28 ก็เครียดลงกระเพาะเครียดไมเกรนขึ้นอะไร
00:01:28 → 00:01:32 อย่างเงี้ยค่ะคืออะไรที่มันมากไปไม่ดีแน่
00:01:32 → 00:01:35 นอนหรืออะไรที่มันน้อยไปไม่ดีแน่นอนค่ะ
00:01:35 → 00:01:38 แต่ที่หมอดเจบอกว่าเอ๊ะความเครียดมันก็มี
00:01:38 → 00:01:42 ข้อดีนะมันกดดันแล้วเราทำให้เรามุ่งมานะ
00:01:42 → 00:01:45 มากขึ้นหรือมันเป็นเพราะอะไรยังไงหรอคะ
00:01:45 → 00:01:48 หมอเจยกตัวอย่างให้เห็นภาพกว้างๆชัดเจน
00:01:48 → 00:01:52 หน่อยค่ะเอ่าใช้คำว่าจะจะใช้คำว่าความ
00:01:52 → 00:01:55 เครียดเลยมันอ่ามันอาจจะคือคนเวลาเรานึก
00:01:55 → 00:01:58 ถึงความเครียดหรือนึกถึงความเจ็ดอย่าง
00:01:58 → 00:02:00 เงี้ยมันก็จะนึกถึงแต่ลบแต่ในความจริง
00:02:01 → 00:02:04 แล้วค่ะความเครียดที่ที่เราเรานึกถึงแบบ
00:02:04 → 00:02:06 ไม่ต้องไปใส่สีให้เขาว่าเขาเป็นบวกหรือ
00:02:06 → 00:02:08 เป็นลบอ่ะค่ะความเครียดที่เป็นสสอ่ะค่ะ
00:02:08 → 00:02:12 มันจะทำให้เรามีแรงผลักดันสมมุติอย่าง
00:02:12 → 00:02:13 เช่นว่าเอาอย่างงี้แล้วกันค่ะสมมุติว่า
00:02:14 → 00:02:18 วันเนี้ยหนูเจไปตรวจ ldl ประจำปีมานไขมัน
00:02:18 → 00:02:22 ในเลือดสูงมากแบบ 100 150 ะคุณหมอก็บอก
00:02:22 → 00:02:26 ว่าเอ้ยเจต้องคุมไขมันหน่อยนะไม่งั้น
00:02:26 → 00:02:30 เดี๋ยวปีหน้าถ้ามันขึ้นอีกอาจะต้องต้อง
00:02:30 → 00:02:32 แบบกินยารสไขมันแล้วนะถ้าเจไม่เครียดเลย
00:02:32 → 00:02:37 ชิลไม่คุมเลยยังกินแบบไก่ทอดกินแบบโอ้โห
00:02:37 → 00:02:40 เฟรนช์ฟรายทุกวันอย่างเงี้ยค่ะมันก็คือ
00:02:40 → 00:02:42 คือเราไม่เครียดอะไรเลยไม่สนใจเลยอ๋ออไม่
00:02:42 → 00:02:45 เป็นไรกินยาขาย้มันก็กินไปอะไรเงี้ยค่ะไป
00:02:45 → 00:02:47 ตรวจปีหน้าก็อาจจะขึ้นเป็น 180 เป็น 200
00:02:47 → 00:02:51 แน่นอนอแต่ถ้าเราเครียดมากไปแบบโอ้โหไม่
00:02:51 → 00:02:54 กินอะไรเลยมันก็อาจจะกลายเป็นภาวะทุกข
00:02:54 → 00:02:58 โภชนาการแต่ถ้าเราเครียดกำลังดีคือรู้สึก
00:02:58 → 00:03:00 ว่าเอ้อมีมันก็จะสร้างแรงกระตุ้นแรงจูงใจ
00:03:00 → 00:03:03 ว่าเอ้ยพอเราจะกินไก่ทอดเงี้ยเราก็เริ่ม
00:03:03 → 00:03:06 คิดแล้วว่าเอ้ยกินผักดีมยหรือเปลี่ยนเป็น
00:03:06 → 00:03:09 อกไก่ส้มดีมั้ยอกไก่นึ่งดีมั้ยอย่างเงี้ย
00:03:09 → 00:03:13 ค่ะอืคือมันก็ทำให้เรามีเป็นการสร้างแรง
00:03:13 → 00:03:16 กดดันในเชิงบวกใช่เหมือนเป็นแรงแรงจูงใจ
00:03:16 → 00:03:19 ใช้คำว่า motivation ดีกว่าอเป็นแรงจูงใจ
00:03:19 → 00:03:23 ที่จะทำให้เราผลักดันเราไปในทิศทางที่ดี
00:03:23 → 00:03:27 ขึ้นถูกต้องมคหจใช่ในระดับที่เหมาะสมนะคะ
00:03:27 → 00:03:30 ค่ะอ่าแสดงในระดับที่เหมาะสมแสดงว่าถ้า
00:03:30 → 00:03:34 มากเกินไปหรือน้อยเกินไปมันก็คืออาจจะส่ง
00:03:34 → 00:03:38 ส่งผลในเชิงลบได้ใช่ค่ะอย่างที่เมื่อกี้
00:03:38 → 00:03:42 บอกไปถ้ามากเกินไปก็คือแน่นอนแหละเครียด
00:03:42 → 00:03:44 กดดันหรืออย่างบางทีอาจจะไม่ได้เป็นทาง
00:03:44 → 00:03:47 กายแต่หลายๆท่านเหมือน 2-3 วันก่อนอ่าน
00:03:47 → 00:03:49 ข่าวมีน้องเด็กป 5 กระโดดตึกอย่างเงี้ย
00:03:49 → 00:03:52 ค่ะโอโหเศร้ามากที่แบบเหมือนได้สอบได้ไม่
00:03:52 → 00:03:54 เต็มไม่ไม่ตั้งไม่ได้ไม่ได้เต็มแบบว่า
00:03:54 → 00:03:57 น้องได้คะแนนสูงมากอย่างเงี้ยค่ะเครียด
00:03:57 → 00:04:00 เกินไปมันก็ไม่ได้หรือว่าถ้าแบบเครียด
00:04:00 → 00:04:02 น้อยไปอย่างที่บอกว่าถ้าเราไม่เครียดเลย
00:04:02 → 00:04:05 สมมุติว่าลองนึกภาพว่าอุ๊ยสมมติเจมไม่
00:04:05 → 00:04:08 เครียดเลยแบบอ๋อฉันอยากจะอาบน้ำแช่สปาไม่
00:04:08 → 00:04:11 เครียดเออเข้ารายการสายไม่เป็นไรอย่าง
00:04:11 → 00:04:14 เงี้ยมันก็คงเสียการเสียงานเหมือนกันเนาะ
00:04:14 → 00:04:18 อะไรเงี้ยค่ะค่ะอืค่ะแล้วแล้วแล้วไอ้คำ
00:04:18 → 00:04:23 ว่า conversion disorder เอ่อมันคือการ
00:04:23 → 00:04:26 เครียดลักษณะไหนมันมันมันแตกต่างจากความ
00:04:26 → 00:04:30 เครียดทั่วไปยังไงคุณหมอเจอืจริงๆคนเชั
00:04:30 → 00:04:32 disorder อ่ะค่ะคือ disorder เนี่ยแปล
00:04:32 → 00:04:34 ว่าความอ่าเป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่าความ
00:04:34 → 00:04:38 ผิดปกติใช่มั้ยคะมันผิดปกติความไม่สบาย
00:04:38 → 00:04:41 เป็นภาวะที่ไม่สบายภาวะนึง conversion
00:04:41 → 00:04:44 เนี่ยจริงๆคำว่า Con conv Converse
00:04:44 → 00:04:47 เนี่ยก็คือการเปลี่ยนถูกมยคะ conver Con
00:04:47 → 00:04:50 ราสัมันทีเนี้ยมันก็คือตรงไปตรงมาว่ามัน
00:04:50 → 00:04:56 เปลี่ยนภาวะทางทางใจอ่ะค่ะให้มันกลายมา
00:04:56 → 00:04:58 เป็นออกอาการทางกายคือหมายถึงว่าหลายๆ
00:04:58 → 00:05:01 ท่านสมมุติเราสราอย่างเงี้ยค่ะเราก็อาจจะ
00:05:01 → 00:05:05 บ่นไปเลยว่าเฮ้ยฉันยุ่งฉันเบื่อฉันนู่น
00:05:05 → 00:05:08 นี่นั่นอะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่ว่าอันเนี้ย
00:05:08 → 00:05:12 เราก็เหมือนแบบแนที่เราจะแที่เราจะบ่นเรา
00:05:12 → 00:05:15 เป็นคนที่หลายๆท่านคืออย่างที่บอกว่าอ่า
00:05:15 → 00:05:17 เอาอย่างงี้ก็ได้ค่ะเหมือนเด็กๆไปโรง
00:05:17 → 00:05:20 เรียนอย่างเงี้ยเวลาจันทรถึงศุกร์ทีราย
00:05:20 → 00:05:23 เด็กไม่ได้แกล้งทำนะคะแต่จันทรถึงศุกร์ที
00:05:23 → 00:05:27 รายหนูปวดท้องหนูไม่ไปโรงเรียนได้มยอะไร
00:05:27 → 00:05:29 อย่างเงี้ยค่ะหรือกินข้าวพระอืดพระโอง
00:05:29 → 00:05:32 อะไรเงี้ยค่ะจะเห็นชัดในเด็กคือเด็กอ่ะ
00:05:32 → 00:05:36 บางทีเคเด็กยิ่งเด็กเล็กมากๆเไม่เแยก
00:05:36 → 00:05:39 อารมณ์ได้ได้ไม่ละเอียดเท่าผู้ใหญ่คือ
00:05:39 → 00:05:42 หมายถึงว่าเขารู้แค่ว่าหนูไม่ชอบเลยแต่
00:05:42 → 00:05:45 เขาไม่รู้เลยว่าคำว่าไม่ชอบคือหนูโกรธหนู
00:05:45 → 00:05:48 เกลียดหนูกลัวหนูอิจฉาหรืออย่างที่บอกอ่ะ
00:05:48 → 00:05:50 ถ้าเคยดูเรื่องเขาเรียกอะไรนะเรื่อง
00:05:50 → 00:05:52 inside out อย่างเงี้ยค่ะที่เราจะเห็น
00:05:52 → 00:05:55 ว่าตอนน้องไี่ตอนเด็กๆอารมณ์ก็มีแค่ 5
00:05:55 → 00:05:58 อันเนาะพอ inside out ภาค 2 อุ้ยน้อง
00:05:58 → 00:06:01 ไอรี่น้องไี่มีอารมณ์เพิ่มมาเฉยเลยอะไร
00:06:01 → 00:06:05 เงี้ยค่ะออ่าแบบนั้นน่ะค่ะก็คือเพราะ
00:06:05 → 00:06:08 ฉะนั้นน่ะค่ะ conversion ก็คือมันเปลี่ยน
00:06:08 → 00:06:11 มัน revere Something เนี่ยเป็นอย่าง
00:06:11 → 00:06:13 อื่นมัน Converse มัน Converse คือมันคือ
00:06:13 → 00:06:16 เปลี่ยนจากอาการทางใจแทนที่เราจะตรงไปตรง
00:06:16 → 00:06:20 มาว่าเฮ้ยคุณหมอหนูวิตกกังวลคุณหมอหนู
00:06:20 → 00:06:23 เครียดแต่บางคนคือเขาไม่รู้อย่างเด็กอ่ะ
00:06:23 → 00:06:25 ค่ะลองไปถามเด็กเล็กๆเด็กไม่รู้หรอกว่า
00:06:25 → 00:06:29 เครียดคืออะไรไปไปจับเด็กเอ่อเด็กอนุบาล
00:06:29 → 00:06:32 มาถามอ่ะเครียดคืออะไรเไม่เข้าใจถูกมั้ย
00:06:32 → 00:06:35 คะอทีเนี้เหมือนกันในขณะเดียวกันคือเรา
00:06:35 → 00:06:40 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่หลายๆคนอไม่คุ้นชินกับการ
00:06:40 → 00:06:45 ฝึกการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสมอ่ะหมาย
00:06:45 → 00:06:47 ถึงว่าเหมือนเขาเรียกว่า assertive อ่ะ
00:06:47 → 00:06:49 ค่ะภาษาอังกฤษคือเราสามารถที่จะสมมุติว่า
00:06:49 → 00:06:52 เราโกรธอ่ะไม่ใช่ว่าเราห้ามโกรธเราไม่ใช่
00:06:52 → 00:06:55 พระอิฐพระปูนเราโกรธได้แต่เราไม่ใช่โกรธ
00:06:55 → 00:06:57 แล้วเราทุบโต๊ะโมโหเขวี้ยงของเราโกรธแล้ว
00:06:57 → 00:07:00 เราอาจจะบอกตรงๆว่าเอออเนี้ยผมไม่ค่อย
00:07:00 → 00:07:04 โอเคนะคะที่คุณสมมุติว่าเออผมไม่ค่อยโอเค
00:07:04 → 00:07:08 นะที่คุณแบบมาพูดขึ้นเสียงใส่ผมอย่าง
00:07:08 → 00:07:10 เงี้ยค่ะมันไม่ต้องแบบเฮ้ยมันขื่เสียงใส่
00:07:10 → 00:07:13 ทำไมอะไรอย่างเงี้ยค่ะมันแต่ว่าหลายๆท่าน
00:07:13 → 00:07:14 น่ะ
00:07:14 → 00:07:18 เค้าไม่รู้ว่าเขาจะแสดงออกของอารมณ์โดย
00:07:19 → 00:07:23 เฉพาะอารมณ์เชิงลบออกมายังไงอมันคล้ายๆ
00:07:23 → 00:07:27 เก็บเกิดคว่าการเก็บกฎคะอืมันคล้ายๆการ
00:07:27 → 00:07:30 เก็บกฎใช่มั้ยค่ะเหมือนเก็บรธอ่ะค่ะคือ
00:07:30 → 00:07:34 เราแบบเหมือนสมมุติเราโกรธมานานๆแต่เรา
00:07:34 → 00:07:37 ไม่แสดงออกอ่ะอะไรอย่างเงี้ยค่ะอหรือเรา
00:07:37 → 00:07:40 อึดอัดมานานแต่เราเก็บๆๆเก็ไว้อย่างงั้น
00:07:40 → 00:07:43 จนมันออกมาเป็นอาการทางกายอย่างถ้าผู้
00:07:43 → 00:07:46 ใหญ่ก็เจอง่ายๆอย่างแบบอ่ะสมมุติเรากดดัน
00:07:46 → 00:07:49 ตัวเองเราจะสอบอย่างเงี้ยค่ะค่ะครับเราก็
00:07:49 → 00:07:53 กดดันตัวเองแต่เราแบบไม่อยากให้พ่อกับแม่
00:07:53 → 00:07:55 เป็นห่วงว่าเราจะสอบแล้วเรากลดดันเราก็ทำ
00:07:55 → 00:07:57 เป็นอ่านหนังสือเพราะคุณพ่อคุณแม่ถามเรา
00:07:57 → 00:08:01 ก็บอกว่าอ๋ออ่านทานรู้เรื่องทำได้อะไร
00:08:01 → 00:08:02 เงี้ยค่ะแต่ความจริงเราเครียดมากเลยแล้ว
00:08:02 → 00:08:05 ยิ่งคุณพ่อคุณแม่มาถามแล้วยิ่งแบบหยถ้า
00:08:05 → 00:08:08 แบบตกจะเป็นยังไงเนี่ยอะไรแบบเนี้ยค่ะมัน
00:08:08 → 00:08:11 ก็จะยิ่งเชๆจนบางทีพอถึงวันจริงตอนไปสอบ
00:08:11 → 00:08:15 ตื่นเช้ามาปวดหัวไปสอบไม่ได้อะไรเงี้ยค่ะ
00:08:15 → 00:08:17 ค่ะคือไม่ได้แก้งนะคือเขาอยากไปสอบแต่ว่า
00:08:17 → 00:08:21 อาการเครียดอาการทางจิตใจเหล่าเนี้ยมัน
00:08:21 → 00:08:24 เปลี่ยน Converse มันเปลี่ยนเป็นอาการทาง
00:08:24 → 00:08:29 กายครับค่ะอืถ้าเจอสถานการณ์แบบเนี้ยค่ะ
00:08:29 → 00:08:33 ว่าเอ่อเราเจอความเครียดที่ไม่สามารถจัด
00:08:33 → 00:08:36 การได้เนี่ยคุณหมอมีคำแนะนำอะไรสำหรับคน
00:08:36 → 00:08:39 ที่เพิ่งรู้จักสภาวะนี้เป็นครั้งแรกบ้าง
00:08:39 → 00:08:43 คะอหมายถึงภาวะ conversion disorder ใช่
00:08:43 → 00:08:47 มคะใช่ค่ะหรือว่าภาวะเครียดหรือภาวะไหน
00:08:47 → 00:08:49 เป็นครั้งแรกนะคะอันนี้พูดถึงเครียดหรือ
00:08:49 → 00:08:51 พูดถึง conversion disorder ที่เพิ่งรู้
00:08:51 → 00:08:53 จักเป็นครั้งแรกนะ conversion disorder
00:08:53 → 00:08:57 คค่ะเดี๋ยวขออาจจะก่อนที่จะไปถึงคำแนะนำ
00:08:57 → 00:08:59 อาจจะขอเพิ่มตรง conversion ให้เข้าใจ
00:08:59 → 00:09:02 เพิ่มขึ้นนิดนึงว่าเอ๊ะแล้วทำไมใจมันถึง
00:09:02 → 00:09:05 ไปเกิดอาการทางกายได้เมื่อกี้เหมือนเรายก
00:09:05 → 00:09:07 ตัวอย่างภาพที่เราคุ้นพิว่าออฉันเคยเห็น
00:09:07 → 00:09:11 และเด็กปวดท้องอะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่ว่า
00:09:11 → 00:09:14 หรือเด็กเด็กหายใจดั้นน่ะค่ะเวลาเด็กที่ๆ
00:09:14 → 00:09:17 ๆแล้วอยู่ๆเด็กก็หายใจด้านไปเลยเด็กเล็กๆ
00:09:17 → 00:09:20 เคยเห็นมั้ยคะอะไรเงี้ยค่ะหรือว่าเคยเจอ
00:09:20 → 00:09:23 เคสที่แบบเป็นเถียงทะเราะกับคุณแม่อยู่
00:09:23 → 00:09:25 แล้วอยู่พูดไม่ออกทีนี้ต้องอธิบายก่อนค่ะ
00:09:26 → 00:09:29 ว่าใจที่เราแบบเข้าใจว่าใจเป็นนายกายเป็น
00:09:29 → 00:09:32 บ่าวจริงๆทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายนะคะ
00:09:32 → 00:09:34 ว่ามันเป็นนายเป็นบ่าวกันยังไงต้องบอกกน
00:09:34 → 00:09:37 อย่างงี้ก่อนค่ะร่างกายเนี่ยมันจะมีระบบ
00:09:37 → 00:09:40 ประสาทเป็นตัวควบคุมอย่างเช่นตอนเนี้ยเจ
00:09:40 → 00:09:43 กำลังพูดคุยกับคุณโอ๊เจกำลังพูดคุยกับคุณ
00:09:43 → 00:09:47 ขวัญเจต้องใช้ระบบประสาทในการประมวลผลว่า
00:09:47 → 00:09:50 เอ๊ะเราจะพูดอะไรตั้งแต่สมองไปจนถึงควบ
00:09:50 → 00:09:52 คุมกล้ามเนื้อการพูดลิ้นเริ้นริมฝีปาก
00:09:53 → 00:09:55 อะไรอย่างงี้ทุกอย่างใช่มั้ยคะครับแต่ใน
00:09:55 → 00:09:58 ขณะเดียวกันนอกจากระบบประสาทที่เราคุมได้
00:09:58 → 00:10:02 อย่างเช่นจะสั่งว่าอุ้ยฉันจะอาย 2 ทีแ๊ๆ
00:10:02 → 00:10:04 อย่างเงี้ยอ่ะแต่ว่ามันก็จะมีระบบภาษาที่
00:10:04 → 00:10:08 เจคุมไม่ได้สมมุติเจบอกว่าอือเจอยากให้เจ
00:10:08 → 00:10:11 เหงื่อออกตอนเนี้ยอเจสั่งให้เหงื่อออกไม่
00:10:11 → 00:10:13 ได้ไม่เหมือนสมมุติเจบอกทุกคนว่าเออทุกคน
00:10:13 → 00:10:17 ยกมือขวากันทุกคนทำได้หมดแต่ถ้าเจบอกทุก
00:10:17 → 00:10:21 คนแบบตอนเนี้ยมาถายลมกันเหมือนทำไม่ได้
00:10:21 → 00:10:25 มันนึกออกมั้ยคะมันจะมีสิ่งอ่าทางกายการ
00:10:25 → 00:10:30 แสดงออกทางกายบางอย่างที่เราควบคุมไม่ได้
00:10:30 → 00:10:33 โดยโดยระบบประสาทที่เราเหมือนสั่งอ่ะค่ะ
00:10:33 → 00:10:35 แต่ว่ามันจะเป็นระบบประสาทที่เราเรียกว่า
00:10:35 → 00:10:38 ระบบประสาทอัตโนมัติเาจะทำหน้าที่ควบคุม
00:10:38 → 00:10:41 ระบบประสาทอัตโนมัติเหล่าเแหละอย่างเช่น
00:10:41 → 00:10:44 เวลาเราตื่นเต้นโอ้โหเราบางทีเรารู้สึกใจ
00:10:44 → 00:10:48 สั่นตัวสั่นเหงื่อออกมือชื้นค่ะหรือบางที
00:10:48 → 00:10:51 เราโกรธโกรธจนหน้าแดงเลือดขั่งหน้าอะไร
00:10:51 → 00:10:55 เงี้ยค่ะหรือเราอายเขินหน้าแดงหวานแก้ม
00:10:55 → 00:10:57 แดงเลยหรือมือกระดิ๊กกระดิ๊กเองอะไรอย่าง
00:10:57 → 00:11:00 เงี้ยค่ะพวกเนี้ยค่ะคือสิ่งที่เป็นระบบ
00:11:00 → 00:11:03 ประสาทอัตโนมัติควบคุมซึ่งก็จะเห็นว่า
00:11:03 → 00:11:05 ระบบประสาทอัตโนมัติถ้าเอาอย่างที่เห็น
00:11:05 → 00:11:08 ชัดๆอย่างเช่นหัวใจเต้นเราสมมุติเราแบบ
00:11:08 → 00:11:12 วันนี้เราเอยากหัวใจเต้น 200 แล้วไปวัด
00:11:12 → 00:11:14 ความดันแล้วเราสั่งหัวใจเราว่าเต้น 200
00:11:14 → 00:11:15 มันไม่ได้มันไม่เหมือนเราตบมือเราสามารถ
00:11:15 → 00:11:18 ตบมือเร็วก็ได้หรือเราตบมือช้าก็ได้
00:11:18 → 00:11:21 อันเนี้ยมันสั่งได้ถูกมคะแต่หัวใจดึดๆๆๆๆ
00:11:21 → 00:11:23 อย่างงี้สิเราทำไม่ได้เพราะฉะนั้น
00:11:23 → 00:11:27 อันเนี้ยก็คือระบบประสาทอัตโนมัติเขาดูแล
00:11:27 → 00:11:30 การเต้นของหัวใจของเราเองนึกออกมั้ยคะะ
00:11:30 → 00:11:33 หรือระบบปราสาทอัตโนมัติเดูแลการบีบตัว
00:11:33 → 00:11:36 ของกระเพาะของเราเองอันเนี้ยค่ะเหมือนกัน
00:11:36 → 00:11:39 ค่ะทีเนี้ยระบบอาสาสอัตโนมัติเหล่าเแหละ
00:11:39 → 00:11:43 ที่เขาดูแลร่างกายซึ่งมักจะเป็นการแสดง
00:11:43 → 00:11:46 ออกของ conversion disorder อย่างเช่น
00:11:46 → 00:11:49 การชาใช้คำนี้แล้วกันค่ะส่วนใหญ่เจจะสั่ง
00:11:50 → 00:11:52 ไม่ได้หรอกมันไม่ได้เหมือนเออสั่งให้ตัว
00:11:52 → 00:11:54 เองเจดีดนิ้วเจสั่งได้อดีตนิ้วแต่้าใจะ
00:11:55 → 00:11:59 บอกว่าสั่งให้ชานิ้วโป้งขวาอมันทำไม่ได้
00:11:59 → 00:12:03 ค่ะแต่ว่าตรงเนี้ยมันถูกการที่ชาหรืออะไร
00:12:03 → 00:12:04 มันเป็นเรื่องของความผิดผของระบบประสาท
00:12:04 → 00:12:07 โดยเฉพาะหลายๆครั้งเป็นพวกระบบประสาทมี
00:12:07 → 00:12:09 ทั้งระบบประสาทจริงๆที่เราสั่งได้ด้วย
00:12:09 → 00:12:11 แล้วก็พวกระบบประสาทอัตโนมัติด้วยแต่คำ
00:12:11 → 00:12:13 ว่าระบบประสาทเหล่าเนี้ยที่มันอยู่ในสมอง
00:12:13 → 00:12:16 ของเราอยู่ในปราสาทของเราอ่ะค่ะมันเชื่อม
00:12:16 → 00:12:19 โยงกับจิตใจอย่างจิตใจต้องบอกว่าหลายๆ
00:12:19 → 00:12:22 ท่านคนไทยเนาะพอใจก็จะไปนึกถึงมันต้อง
00:12:22 → 00:12:25 อยู่ในแบบเวลาบอกอ๊ไหนจิตใจไหนกุมจิตใจ
00:12:25 → 00:12:28 เซิทุกคนก็จะเป็นกุมที่หน้าอกกุมที่หัวใจ
00:12:28 → 00:12:31 อค่ะอความเป็นจริงอ่ะค่ะจิตใจไม่ได้อยู่
00:12:31 → 00:12:34 ที่อวัยวะที่เป็นหัวใจครับจิตใจเนี่ยอยู่
00:12:34 → 00:12:38 ที่อวัยวะที่เป็นสมองสมองคือมีสมองหลายๆ
00:12:38 → 00:12:42 ส่วนที่ควบคุมการทำงานเอ่อจะเรียกว่าทำ
00:12:42 → 00:12:45 งานของจิตใจก็ได้คือควบคุมการรับรู้ควบ
00:12:45 → 00:12:49 คุมอารมณ์ความรู้สึกอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:12:49 → 00:12:52 สิ่งที่จิตใจมันรู้สึกอ่ะอุ๊ยฉันรู้สึก
00:12:52 → 00:12:55 ชอบเธอจังเลยฉันรู้สึกเส็บติดกาแฟจังเลย
00:12:55 → 00:12:58 อะไรเงี้ยค่ะอยู่ในสมองทั้งหมดไม่ได้อยู่
00:12:58 → 00:12:59 ที่หัวใจ
00:12:59 → 00:13:02 ทีเนี้ยสมองเหล่าเนี้ค่ะพอเพราะฉะนั้น
00:13:02 → 00:13:04 สมองเนี่ยมันไม่ได้ควบคุมแค่อารมณ์ความ
00:13:04 → 00:13:07 รู้สึกแต่อย่างที่บอกเราสั่งเรายกมือซ้าย
00:13:07 → 00:13:10 ยกมือขวาก็ควบคุมโดยสมองสมองไปสั่งกล้าม
00:13:10 → 00:13:12 เนื้อมือเพราะฉะนั้นอย่างเงี้ยค่ะมันมี
00:13:12 → 00:13:17 ความเชื่อมโยงกันระหว่างสมองที่มีผลที่ดู
00:13:17 → 00:13:19 แลเรื่องอารมณ์ใจคอมันมีความเชื่อมโยง
00:13:19 → 00:13:22 ด้วยกระแสประสาทด้วยเส้นใยประสาทด้วย
00:13:22 → 00:13:25 เซลล์ประสาทเชื่อมโยงไปยังสมองที่ทำหน้า
00:13:25 → 00:13:29 ที่ควบคุมส่วนต่างๆส่วนอื่นของร่างกาย
00:13:29 → 00:13:34 ดังนั้นอาการทางใจพอเรามีอารมณ์ผิดปกติพอ
00:13:34 → 00:13:38 เรามีความเครียดฮอร์โมนเอยเซลล์เอยหรือ
00:13:38 → 00:13:41 อะไรเอยมันก็ไปส่งสัญญาณไปยังส่วนอื่นของ
00:13:41 → 00:13:45 ร่างกายทำให้เราเกิดอาการทางกาย
00:13:45 → 00:13:50 อืค่ะค่ะอืทีนี้ก็ต้องบอกมาว่าทีเนี้ย
00:13:50 → 00:13:52 conversion ก็คือโรคเนี้แหละค่ะโรคที่มี
00:13:52 → 00:13:56 อาการทางมีความเครียดทางใจจะไปส่งผลอาการ
00:13:56 → 00:13:59 ทางกายโดยที่อาการทางกายส่วนใหญ่มักแสดง
00:13:59 → 00:14:02 ออกเป็นอาการของระบบประสาทอย่างเช่นคุณ
00:14:02 → 00:14:04 เจ้าลูซือเนี่ยค่ะเราก็จะเห็นชัดเลยใน
00:14:04 → 00:14:07 ข่าววันนี้ขออนุญาตเอ่ยชื่อนะคะเพราะว่า
00:14:07 → 00:14:10 พอดีคือเจ้าลูกซือแกก็โพสต์เองแกก็น่าจะ
00:14:10 → 00:14:12 อยากให้ทุกคนได้รู้จักแล้วก็ตระหนักถึง
00:14:12 → 00:14:15 โลกนี้มากขึ้นเนาะครับก็คืออย่างคุณเจ้า
00:14:15 → 00:14:17 ลูซืออ่ะค่ะเราจะเห็นชัดเลยว่าในข่าวอ่ะ
00:14:17 → 00:14:20 ค่ะส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่ก้ามเนื้ออ่อน
00:14:20 → 00:14:24 แรงเป็นอาการที่ชาเป็นอาการที่พูดไม่ได้
00:14:24 → 00:14:27 ถ้าเราฟังเผิงๆเราจะนึกถึงเรื่องอุ๊ยคุณ
00:14:27 → 00:14:30 เจ้าลูกซือเป็นอัมภาตหรือเปล่าเป็นสตหรือ
00:14:30 → 00:14:33 เปล่าเป็นหลอดเลือดสมองหรือเปล่านึกออก
00:14:33 → 00:14:35 มั้ยคะเราจะนึกถึงเลยว่าเฮ้ยมันเป็นอาการ
00:14:35 → 00:14:37 ทางระบบประสาทเราจะไม่ได้นึกถึงว่าอุ๊ย
00:14:37 → 00:14:40 คุณเจ้ารู้สึกเป็นโควิดแน่เลยไม่ใช่อะไร
00:14:40 → 00:14:42 เงี้ยค่ะคืออาการเหล่าเนี้ยมันจะเป็น
00:14:42 → 00:14:44 อาการที่เชื่อมโยงไปทำให้เรานึกถึงว่า
00:14:44 → 00:14:47 อุ๊ยฉันต้องไปหาหมอสมองแล้วแหละก็คือจะ
00:14:47 → 00:14:49 อธิบายย้อนไปเมื่อกี้ที่บอกว่ามันมีระบบ
00:14:49 → 00:14:51 ประสาทอัตโนมัติควบคุมเพราะฉะนั้น
00:14:51 → 00:14:54 conversion น่ะค่ะก็คือโลกที่มันมีความ
00:14:54 → 00:14:59 เครียดความกลดดันในใจแล้วเราไม่ได้แจ้งธ
00:14:59 → 00:15:02 นะคะที่สำคัญมากคุณเจ้าลูกซือหรือคนอื่น
00:15:02 → 00:15:06 ที่เป็นโรคคอชั่นให้นึกถึงเด็กน้อยที่ไม่
00:15:06 → 00:15:10 อยากไปโรงเรียนแต่เด็กก็ก็ไม่ได้แกล้งปวด
00:15:10 → 00:15:12 ท้องหรือเด็กไม่ได้แกล้งอาเจียนอ่ะค่ะมัน
00:15:12 → 00:15:15 เกิดขึ้นเองเพราะระบบประสาทอัตโนมัติ
00:15:15 → 00:15:17 เหมือนที่เจบอกว่าอุ๊ยเจสั่งให้เจเหงื่อ
00:15:17 → 00:15:20 ออกได้มั้ยเจสั่งให้เจผายลมได้มั้ยไม่ได้
00:15:20 → 00:15:23 แต่ความเครียดของเจอ่ะมันไปทำให้ร่างกาย
00:15:23 → 00:15:25 เจมันเหงื่อออกความเครียดของเจมันไปทำให้
00:15:25 → 00:15:29 ร่างกายเจใจเต้นเร็วเต้นรัวเต้นแรงครับ
00:15:29 → 00:15:31 นึกออกมคะอันนี้ก็เหมือนกันเพียงแต่ความ
00:15:31 → 00:15:34 เครียดของคนที่เป็นโรคเนี้ยมันไปทำให้
00:15:34 → 00:15:38 ร่างกายเาพูดไม่ได้ไปทำให้ร่างกายเขาอ่อน
00:15:38 → 00:15:41 แลงหรือแม้แต่ทำให้อาการร่างกายเขามี
00:15:41 → 00:15:46 อาการราวกับชักราวกับชักชักเกร็งชัก
00:15:46 → 00:15:49 กระตุกแต่ที่ใช้คำว่าราวกับก็คือมันไม่
00:15:49 → 00:15:52 ได้มีพยาธิสภาพทางกายแล้วมันอาจจะมีอาการ
00:15:52 → 00:15:54 บางส่วนที่ต่างกับคนที่เป็นลมชักหรือลม
00:15:54 → 00:15:58 บ้าหมุนครับค่ะแต่ที่สำคัญที่ต้องย้ำเลย
00:15:58 → 00:16:02 คือไม่มีใครตั้งใจไม่มีใครเสแซงไม่มีใคร
00:16:02 → 00:16:05 แกล้งธรรถ้าเขาเป็นคนโดยานแล้วคนไข้เองก็
00:16:05 → 00:16:09 ไม่ได้มีความสุขกับความที่ฉันพูดไม่ได้
00:16:09 → 00:16:12 กับความที่ฉันชากับความที่ฉันเดินไม่ได้อ
00:16:12 → 00:16:17 ครับค่ะค่ะตัวอตัวอารเหล่านี้นี่คือมัน
00:16:17 → 00:16:22 ค่อยๆสะสมมานานกับความเครียดนั้นเอ่อเป็น
00:16:22 → 00:16:25 เท่าไหร่มันพอมีความชัดชัดในเรื่องของ
00:16:25 → 00:16:29 ระยะเวลามยคะหรือว่าแล้วแต่กรณีเป็นบุคคล
00:16:29 → 00:16:32 ไปคะหมอเจอืต้องบอกอย่างงี้ค่ะว่าจริงๆ
00:16:32 → 00:16:35 conversion น่ะค่ะใช้คำว่าส่วนใหญ่หลายๆ
00:16:35 → 00:16:38 คนใช้คำว่าอืมมันเป็นการใช้คำอย่างนี้
00:16:38 → 00:16:42 ด้วยกันค่ะมันเป็นเจะเรียกว่ากลไกการป้อง
00:16:42 → 00:16:46 กันทางจิตใจค่ะครับเ่อใช้คำอย่างเอาอย่าง
00:16:46 → 00:16:49 ง่ายๆสุดสมมุติว่าเราอ่ะอืทะเลาะกับเจ้า
00:16:50 → 00:16:53 นายวันเนี้ยแต่เรารู้ว่าถ้าเราทะเลาะกับ
00:16:53 → 00:16:55 เจ้านายแล้วเราว่าเจ้านายออกไปเราโดนไล่
00:16:55 → 00:16:57 ออกแน่อย่างเงี้ยค่ะเราก็ไม่ว่าเจ้านาย
00:16:58 → 00:17:01 แต่พอเรากลับบ้านไปเราไปลงกับน้องหมาว่า
00:17:01 → 00:17:04 เฮ้ยทำไมวันนี้แงหงุดหงิดจังเ่าอยู่ได้
00:17:04 → 00:17:07 นึกออกมั้ยคะค่ะเหมือนกับว่าเป็นการระบา
00:17:07 → 00:17:09 ของเราอ่าอันเนี้ยก็จะเป็นเขาจะเรียกว่า
00:17:09 → 00:17:12 เป็นกลไกทางการป้องกันทางจิตใจเราอย่าง
00:17:12 → 00:17:14 นึงคือแทนที่เราจะไปโกรธเจ้านายเราเอา
00:17:14 → 00:17:16 ความโกรธเนี่ยยไปใส่น้องหมาเขาจะเรียก
00:17:16 → 00:17:18 กลไกการป้องกันทางจิตใจแบบเนี้หรือว่า
00:17:18 → 00:17:23 กลไกการแทนที่อ่ะค่ะแทนที่สมชก็คือแทนที่
00:17:23 → 00:17:25 ความโกรธจากเจ้านายไปใส่กับน้องหมาซึ่ง
00:17:26 → 00:17:28 มันไล่เราออกไม่ได้ค่ะหรือว่าเราโกรธแฟน
00:17:28 → 00:17:31 อยากต่อยมากเลยอยากต่อยแฟนมากแต่ันเนี้ย
00:17:31 → 00:17:35 เราไปต่อยมวยแทนอันเนี้ยค่ะมันก็จะเป็นลช
00:17:35 → 00:17:39 คือมันจะมีกลไกหลายๆอย่างที่จิตใจเราอ่ะ
00:17:39 → 00:17:41 ค่ะใช้จัดการกับความเครียดใช้อย่างงี้
00:17:41 → 00:17:44 ก่อนนะคะคือมันก็มีจิกจิตกลไกที่เรียกว่า
00:17:44 → 00:17:48 กนไกที่ถือว่าเป็นระดับที่พัฒนาแล้วอย่าง
00:17:48 → 00:17:50 เช่นอย่างเช่นที่บอกว่าเออสมมุติเรารู้
00:17:50 → 00:17:54 สึกว่าอุ้ยเราหงุดหงิดอ่ะแล้วเราก็ไปเอ้ย
00:17:54 → 00:17:57 เล่นดนตรีร็อเล่นเพลงเมัแทนแทนที่เราจะไป
00:17:57 → 00:17:59 แบบเขวี้ยงโขงอ่ะอะไรอย่างเงี้ยค่ะอ่ะ
00:17:59 → 00:18:02 เอ่าแบบนั้นน่ะค่ะมันก็จะแต่ว่าอันเนี้ย
00:18:02 → 00:18:05 เพราะฉะนั้นน่ะค่ะ conversion เองจริงๆ
00:18:05 → 00:18:07 เป็นกลไกหนึ่งในการป้องกันทางจิตใจแต่
00:18:07 → 00:18:10 เป็นกลไกที่ยังไม่พัฒนาหมายถึงว่าเป็น
00:18:10 → 00:18:12 กลไกของเหมือนของเด็กอ่ะอย่างคือคำว่าไม่
00:18:12 → 00:18:15 พัฒนาไม่ใช่แปลว่าพัฒนาในแง่ของความ
00:18:15 → 00:18:17 ศิวิไลนะคะจะพัฒนาเหมือนอย่างที่บอกว่า
00:18:17 → 00:18:20 เด็กเราจะไม่ค่อยเจอผู้ใหญ่ที่แบบตรงไป
00:18:20 → 00:18:23 ตรงมาเออไม่ไปทำงานใช่เราจะไม่ค่อยเติม
00:18:23 → 00:18:24 ผู้ใหญ่ที่เราไม่อยากไปทำงานแล้วเราปวด
00:18:25 → 00:18:29 ท้องอืยกเว้นว่าผู้ใหญ่ที่อคือแบบมีความ
00:18:29 → 00:18:33 ตรงปเมืองไม่ใช่คันะใช่ค่ะควั่นไม่ใช่
00:18:33 → 00:18:35 ป่วยการเมืองแต่ว่าเด็กอ่ะเขไม่ได้ป่วย
00:18:35 → 00:18:38 การเมืองไงเคปวดท้องจริงๆคะเพราะฉะนั้น
00:18:38 → 00:18:41 กลไกพวกเนี้ยมันจะเป็นกลไกที่ยังมีในความ
00:18:41 → 00:18:44 ระดับของความความมีวุฒิภาวะหรือความใช้
00:18:45 → 00:18:47 กลไกมันเกิดขึ้นได้แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่
00:18:47 → 00:18:51 มีกลไกเหล่านี้เป็นครั้งคราวประปายนานๆ
00:18:51 → 00:18:54 ครั้งจะเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะนะเกิดขึ้น
00:18:54 → 00:18:56 ได้นะคะอย่างไปยกตัวอย่างกลไกที่หลายๆคน
00:18:56 → 00:19:00 มีเป็นครั้งคราวคือฝันกลางวัน Day ดมอ่ะ
00:19:00 → 00:19:03 สมมุติเราฝันว่าอุ๊ยเดี๋ยวเราจะต้องได้ตา
00:19:03 → 00:19:06 เอียเยอะมากๆแน่ๆเลยอะไรอย่างเงี้ยมันก็
00:19:06 → 00:19:08 อาจจะเป็นความ Day dreaming ซึ่งเกิดได้
00:19:08 → 00:19:11 บ้างแต่ถ้าเราโอโหจะ daydream ทุกวันอยู่
00:19:11 → 00:19:15 ในโลกของปราสาทในอากาศมันก็อันนี้คงไม่
00:19:15 → 00:19:18 วิมานในอากาศอย่างเงี้ยมันมันไม่ใช่ที
00:19:18 → 00:19:20 เนี้ยคนที่เป็น conversion น่ะค่ะเขาเกิด
00:19:20 → 00:19:26 จากเขาใช้กลไกเนี้ยบ่อยๆหลายๆครั้งออือ
00:19:26 → 00:19:28 แต่บางครั้งอ่ะมันอาจจะไม่ได้ไม่ได้ได้
00:19:28 → 00:19:33 ออกมาเยอะหรือแรงขนาดแบบครับโอ้โหขนาดแขน
00:19:33 → 00:19:36 ทาสุดๆคือบางครั้งมันจะแบบแป๊บเดียวอ่ะ
00:19:36 → 00:19:39 ค่ะเหมือนเหมือนอย่างเช่นสมมุติว่าเรารู้
00:19:39 → 00:19:42 สึกอุ๊ยวันเนี้ยเสียงไม่ค่อยออกแต่ว่ามัน
00:19:42 → 00:19:44 เป็นแว๊บเดียวหรือรู้สึกแบบอุ๊ยวันนี้แบบ
00:19:44 → 00:19:47 สมมุติโหต้องนั่งพิมนงานเยอะๆเริ่มรู้สึก
00:19:47 → 00:19:51 ชามือและชาแบบคัจริงๆนะแต่ว่าเป็นแป๊บ
00:19:51 → 00:19:54 เดียวนะคะอาจจะเป็นแบบอยู่วันเดียวอ่ะ
00:19:54 → 00:19:56 พรุ่งนี้โอเคอะไรเงี้ยแต่ว่าอันนี้คือ
00:19:56 → 00:19:59 ต้องบอกกว่า conversion คือเราตรวจทางกาย
00:19:59 → 00:20:01 ก่อนแล้วจริงๆนะคะเพราะถ้าชามือของจริง
00:20:01 → 00:20:04 อันนี้ก็ต้องก็ต้องรักษาอันนี้อันตรายที
00:20:04 → 00:20:07 เนี้ยก็จะมาตอบคำถามว่าเออแปลว่าคอชั่น
00:20:07 → 00:20:10 เนี่ยกว่าจะเป็นมันใช้เวลานานมเพราะ
00:20:10 → 00:20:13 ฉะนั้นในเมื่อมันเป็นกลไกการป้องกันทาง
00:20:13 → 00:20:17 จิตใจซึ่งจริงๆมีแบบหลาย 10 กลไกมากนะคะ
00:20:17 → 00:20:19 มีทั้งกลไกที่เอ้ยควรฝึกกับกลไกที่เอ้ย
00:20:19 → 00:20:22 พยายามอย่าใช้ดีกว่าอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็
00:20:22 → 00:20:25 คือถ้าเป็นแบบเนี้ยก็คือเพราะฉะนั้นน่ะ
00:20:25 → 00:20:27 ค่ะตรงเนี้ยมันเกิดได้มันไม่ได้ต้องใช้
00:20:27 → 00:20:31 เวลามากขนาดนั้นแต่อย่างที่พูดว่ามันขึ้น
00:20:31 → 00:20:34 อยู่กับเรื่องเครียดที่มากระแทกอ่ะค่ะมัน
00:20:34 → 00:20:39 แรงมันตู้มมันปั้งขนาดไหนอืมเอาอย่างง่าย
00:20:39 → 00:20:42 ๆสุดอย่างบางท่านน่ะค่ะอ่าที่เกิด
00:20:42 → 00:20:44 อุบัติเหตุหนักๆแล้วเเหมือนจำจำเหตุการณ์
00:20:45 → 00:20:47 ไม่ได้เลยแบบจำไม่ได้โดยที่เขาไม่ได้หมด
00:20:47 → 00:20:49 สติอ่ะค่ะค่ะครับอ่าหรือใช้คำว่าสมมุติ
00:20:49 → 00:20:53 ว่าเจโดนเจโดนกระทำชำเราอย่างเงี้ยเจไม่
00:20:53 → 00:20:56 ได้หมดสตินะเจรู้ตัวตลอดเลยไม่ได้โดนมอม
00:20:56 → 00:20:59 ยาด้วยแต่ว่าเจโดนกระทำทำชำเราโดยคน 10
00:20:59 → 00:21:02 คนอย่างเงี้ยเจอาจจะจำเหตุการณ์ไม่ได้
00:21:02 → 00:21:05 จริงๆทั้งๆที่สมมุติว่ามีวงคามติดอยู่ใน
00:21:05 → 00:21:08 ห้องนั้นน่ะเจรู้ตัวตลอดเลยนะแต่เจจำไม่
00:21:08 → 00:21:11 ได้จริงๆเหมือนมันเป็นกลไกที่สมองเจอ่ะก็
00:21:11 → 00:21:15 ชัดดาวเพื่อเพื่อปกป้องเจไม่ให้บอกช้ำจาก
00:21:15 → 00:21:17 เหตุการณ์เหล่านั้นเหมือนกันอ๋อเหมือนกับ
00:21:17 → 00:21:21 ว่าเอ่อเมื่อมันสะเทือนใจเยอะๆร่างกายของ
00:21:21 → 00:21:24 เราจะแบบออโตจูนน่ะเหมือนกับว่าปิดไปเลย
00:21:24 → 00:21:27 ปิดสวิตช์ตัวเองใช่ค่ะใช่ค่ะมันก็คือ
00:21:27 → 00:21:29 อย่างที่บอกว่าเราถเรียกว่าเป็นกลไกการ
00:21:29 → 00:21:32 ป้องกันทางจิตใจทีนี้อย่างที่เมื่อกี้
00:21:32 → 00:21:34 เล่าให้ฟังว่าเอ้ยกลไกที่มันโอเคอย่าง
00:21:34 → 00:21:38 เช่นเอ้ยฉันฉันหงุดหงิดอ่ะฉันไปเตะบอลกับ
00:21:38 → 00:21:41 กลไกที่มันแบบโอหหงุดหงิดแล้วต่อยหน้าเลย
00:21:41 → 00:21:44 นึกออกมั้ยคะมันก็มีหลายแบบอะไรเงี้ย
00:21:44 → 00:21:46 อย่างที่บอกซึ่งถ้าคุยกันเรื่องนี้ก็ยาว
00:21:46 → 00:21:48 แต่ว่าแค่จะบอกว่าเพราะฉะนั้นคำว่า
00:21:48 → 00:21:50 conversion น่ะค่ะกว่ามันจะเป็นอาการ
00:21:50 → 00:21:52 เยอะหรือไม่เยอะอะไรเี้ยค่ะมันขึ้นอยู่
00:21:52 → 00:21:55 กับ 1 ระดับความเครียดมันขึ้นกับเครียด
00:21:55 → 00:21:58 นานมั้ยแรงกระแทกเยอะมยใช้คำว่าเหมือน
00:21:58 → 00:22:01 สมมติเรามีแก้วใบนึงอ่ะค่ะการที่น้ำล้น
00:22:01 → 00:22:05 ได้มันไม่ได้แปลว่าเราต้องใช้เวลานานหรือ
00:22:05 → 00:22:07 ใช้เวลาสั้นแต่มันขึ้นอยู่กับว่าสมมุติ
00:22:07 → 00:22:09 ว่าเราเทพรวดเดียวมันก็ล้นแต่ถ้าเราค่อยๆ
00:22:09 → 00:22:12 เททีละนิดทีละนิดทีละนิดไปเรื่อยๆมันก็
00:22:12 → 00:22:15 ล้นได้เหมือนกันแต่ตราบใดพอน้ำล้นตู้ม
00:22:15 → 00:22:19 อาการเกิดอย่างเงี้ยค่ะค่ะถ้าเป็นลักษณะ
00:22:19 → 00:22:23 นี้เนี่ยคนที่อยู่กับผู้ที่เกิดอาการ
00:22:23 → 00:22:26 conversion disorder เนี่ยเขาจะช่วย
00:22:27 → 00:22:30 เหลือคนๆนั้นได้ยังไงหรือว่าวิธีเดียวคือ
00:22:30 → 00:22:33 เราต้องรีบพาไปโรงพยาบาลเลยเพราะว่าบางคน
00:22:33 → 00:22:36 ก็ไม่ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างเงี้ยค่ะหมอเจ
00:22:36 → 00:22:39 ค่ะๆคือคิดว่าอันเนี้ยสำคัญที่สุดเลยก็
00:22:39 → 00:22:42 คืออย่างที่บอกค่ะว่าอย่าเพิ่งคิดว่าเขา
00:22:42 → 00:22:45 เป็น conversion ใช้คำนี้ก่อนนะเอาๆเอา
00:22:45 → 00:22:47 แบบเอาตรงๆนะอย่างเมื่อกี้ที่บอกว่าเอ้ย
00:22:47 → 00:22:49 อาการมันเหมือนหลอดเลือดสมองเนาะ่าอ่อน
00:22:49 → 00:22:52 แรงใช conversion เนี่ยถ้าพูดภาษาชาวบ้าน
00:22:52 → 00:22:55 ชาวบ้านสุดๆคือคอชั่นไม่ตายแต่หลอดเลือก
00:22:55 → 00:22:59 สมองเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อืออใช่เพราะ
00:22:59 → 00:23:02 ว่าเขาแค่ไม่กี่นาทีก็อาจจะเกิดอาการ
00:23:02 → 00:23:04 อัมพฤกษ์อัมพาตหรือว่าถึงแก่ชีวิตอย่าง
00:23:04 → 00:23:07 ที่หมอเจได้กล่าวไปนะคะเพราะฉะนั้นคือถ้า
00:23:07 → 00:23:10 อาการเขาไม่แน่ใจแม้แต่แพทย์แม้แต่เจ
00:23:10 → 00:23:12 อย่างเงี้ยค่ะค่ะไม่ใช่อยู่ๆจะไปวินิจฉัย
00:23:13 → 00:23:16 ว่าอุ้ยคอชั่นไม่ใช่นะคะเราต้องมั่นใจ
00:23:16 → 00:23:20 ก่อนว่าไม่มีพยาธิสภาพทางกายจริงๆค่ะแล้ว
00:23:20 → 00:23:23 โรคทางกายสมัยเนี้ยบางโรกมันสะพามันแยก
00:23:23 → 00:23:25 ยากมันเกี่ยวกับเ้าเรียกอะไรภูมิคุ้มกัน
00:23:25 → 00:23:29 วิทยาเกี่ยวกับนู่นนี่อย่างแบบิเพ sosis
00:23:29 → 00:23:32 อย่างเงี้ยมันก็โอ้โหอาการมาได้หลายแบบเจ
00:23:32 → 00:23:34 เจคิดว่า multiple sosis จะพูดชื่อไทยก็
00:23:34 → 00:23:37 นึกไม่ออกเดี๋ยวจะคอคหาให้นะคะแต่ว่าโลก
00:23:37 → 00:23:39 ทางระบบประสาทบางโลกอ่ะค่ะมันก็มีอาการ
00:23:39 → 00:23:42 แบบโอแยกยากจริงๆค่ะเพราะฉะนั้นอ่ะค่ะแม้
00:23:42 → 00:23:46 แต่หมอเองอ่ะค่ะก็ต้องตระหนักให้ชัวร์อ่ะ
00:23:46 → 00:23:49 ค่ะว่ามันว่ามันเอ้ยมันมันไม่มีพยาธิสภาพ
00:23:49 → 00:23:52 ทานกายจริงๆคำว่าให้ชัวร์คือนอกจากตรวจ
00:23:52 → 00:23:55 ร่างกายนอกจากทรัพย์ประวัติแล้วบางครั้ง
00:23:55 → 00:23:57 เราอาจจะที่จะต้องแบบเหมือนอ่าเขาคเรียก
00:23:57 → 00:24:00 ว่าทำการตรวจทางรังสีวินิจฉัยร่วมด้วย
00:24:01 → 00:24:02 หรือแม้แต่เจาะเลือดร่วมด้วยอย่างที่
00:24:02 → 00:24:04 เมื่อกี้บอกว่าโรคบางโรคทางภูมิคุ้มกัน
00:24:04 → 00:24:07 น่ะแสดงอาการแสดงมันออกมาแบบเหมือนอาการ
00:24:07 → 00:24:10 มันสะเปะสะปะไปหมดยของของทางของทางระบบ
00:24:11 → 00:24:13 ประสาทสมองเลยค่ะอ่า multiple sosis เขา
00:24:13 → 00:24:15 เรียกว่าโรคปรอกประสาทเสื่อมแข็งอย่าง
00:24:16 → 00:24:20 เงี้ยค่ะอือหรือโรค ms ฟังดูยากเนาะอะไร
00:24:20 → 00:24:21 เงี้ยค่ะก็คือหมายถึงว่าแค่จะบบว่าบางโรค
00:24:22 → 00:24:24 อ่ะมันอาการมันเป็นได้เพราะฉะนั้น 1
00:24:24 → 00:24:27 อย่างที่บอกว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปถ้าอาการ
00:24:27 → 00:24:30 เขาเยอะก็หมายถึงว่าถ้าพูดไม่ได้หรืออะไร
00:24:30 → 00:24:33 เงี้ยก็มาโรงพยาบาลก่อนให้คุณหมอเขาช่วย
00:24:33 → 00:24:36 ตรวจก่อนคุณหมอเองบางทีช่วงนี้บางทีเราก็
00:24:36 → 00:24:39 อาจจะแบบอยใจใจเย็นๆนิดนึงเอาให้ชัวร์
00:24:39 → 00:24:40 อย่างที่พูดว่าถ้าเป็นโรคทางกายมัน
00:24:40 → 00:24:44 อันตรายถึงชีวิตได้ยิ่งสมมุติชักอ่ะค่ะ
00:24:44 → 00:24:46 conversion แล้วอาการออกมาเป็นอาการคัก
00:24:46 → 00:24:49 อย่างเงี้ยอันตรายนะคะถึงชีวิตเพราะ
00:24:49 → 00:24:52 ฉะนั้นปวดให้แน่ใจก่อนจริงๆว่าไม่มีพญา
00:24:52 → 00:24:56 ชี้สภาพทางกายค่ะอือเอ่อแล้วก็สิ่งที่คน
00:24:56 → 00:24:59 ใกล้ชิดควรทำก็คือนอกจากที่แบบมาาพามาดู
00:24:59 → 00:25:02 ซิเป็นอะไรสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้า
00:25:02 → 00:25:04 ใจอย่างที่เมื่อกี้ย้ำตั้งแต่แรกแล้วว่า
00:25:04 → 00:25:07 เา้าไม่ได้แกล้งรรมเไม่ได้เสแสร้งเค้า
00:25:07 → 00:25:11 เป็นอย่างนั้นจริงๆครับโดยที่เขาก็ไม่รู้
00:25:11 → 00:25:14 ตัวเหมือนเหมือนอย่างที่เจบอกอ่ะย้อนไป
00:25:14 → 00:25:17 ว่าสมมุติเจโดนเจโดนกระทำชำเรารุมอย่าง
00:25:17 → 00:25:20 เงี้ยเจเป็นอย่างงั้นจริงๆเจลืมจริงๆอ่ะอ
00:25:20 → 00:25:23 ลืมไปเลยว่าเคยมีเหตุการณ์นี้ในชีวิตเจ
00:25:23 → 00:25:27 จริงๆอย่างเงี้ยค่ะอืซึ่งไม่ได้แกล้งด้วย
00:25:27 → 00:25:29 ครับอะไรอย่างเงี้ยค่ะอือันนี้ก็เหมือน
00:25:29 → 00:25:33 กันคือเสมมติเแขนอ่อนแรงจริงๆเพูดไม่ได้
00:25:33 → 00:25:36 จริงๆอย่างเงี้ยค่ะก็คืออย่าไปตัดสินว่า
00:25:36 → 00:25:38 แกล้งหรือว่าอะไรเงี้ยค่ะอันนี้ต้องพูด
00:25:38 → 00:25:40 ก่อนนะคะว่าในกที่เป็น conversion
00:25:40 → 00:25:43 disorder แต่มันจะมีโรคที่คล้ายกันค่ะมี
00:25:43 → 00:25:46 โรคที่ป่วยการเมืองป่วยการเมืองภาษาไทย
00:25:46 → 00:25:49 เงี้ค่ะถ้าภาษาอังกฤษก็เรียกง่ายๆเลยเขา
00:25:49 → 00:25:54 ก็จะเรียกว่าอ่าเป็นเรื่องของมาิ girling
00:25:54 → 00:25:56 อันนี้ก็จะอีกโลคนึงและคือมีอาการแบบ
00:25:56 → 00:25:59 เดียวกันแต่ฉันฉันป่วยการเมืองอันนี้คือ
00:25:59 → 00:26:03 มีเจตนาเลยว่าสมมุติอุ้ยขอป่วยหน่อยแล้ว
00:26:03 → 00:26:07 กันเราจะได้ค่าชดเชยประกันวันละเท่านู้น
00:26:07 → 00:26:11 เท่านี้บาทโดยที่เราเรารู้ตัวค่ะอ๋อนึออก
00:26:11 → 00:26:14 มคะหรือขอป่วยหน่อยแล้วกันแบบวันลามัน
00:26:14 → 00:26:17 เหลือเยอะจังอะไรอย่างเงี้ยค่ะอันเนี้ยก็
00:26:17 → 00:26:19 จะเป็นมาิ girling ซึ่งไม่ใช่ conversion
00:26:20 → 00:26:23 disorder ค่ะมันจะแยกย่อยไปอีกมันเป็นคน
00:26:24 → 00:26:26 ละเรื่องกันใช่มั้ยคะคุณหมอแยกที่เจตนา
00:26:26 → 00:26:30 ใช่ค่ะออซึ่ง้าคุณถูกวินิจฉัยเป็น
00:26:30 → 00:26:32 conversion อย่างคุณเจ้าลูซือเงี้ยไม่
00:26:32 → 00:26:34 ใช่แล้วเขาไม่ได้แบบอุ้ยฉันขอป่วยหน่อย
00:26:34 → 00:26:36 แล้วกันฉันจะได้ไม่ต้องเล่นไหนไม่ใช่อัน
00:26:36 → 00:26:38 นี้เขาไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นแต่เขาป่วย
00:26:38 → 00:26:42 จริงๆี้คะอืออืแล้วก็จะมีอีกตัวนึงที่
00:26:42 → 00:26:45 เกือบคล้ายกันอันเนี้ยจะอยู่ให้จะได้ว่า
00:26:45 → 00:26:47 อยู่ตรงกลางระหว่าง maling girling หรือ
00:26:47 → 00:26:49 ป่วยการเมืองกับ conversion ที่คุณเจ้า
00:26:49 → 00:26:52 รู้ซือเป็นไตัวเนี้ยจะชื่อว่า practi
00:26:52 → 00:26:56 disorder ตรงนี้ก็เป็นความเหมือนมีเจตนา
00:26:56 → 00:26:59 ให้ป่วยเหมือนกันแต่แต่เขาไม่ได้ต้องการ
00:26:59 → 00:27:02 เงินไม่ได้ต้องการลายหยุดไม่ได้ต้องการ
00:27:02 → 00:27:07 สิทธิประโยชน์จากความเป็นผู้ป่วยแบบในใน
00:27:07 → 00:27:10 แง่ของรูปแบบของอะไรที่เป็นอ่าสิ่ง้อง
00:27:10 → 00:27:13 ทรัพย์สินอะไรเงี้ยค่ะแต่ว่าสิ่งที่หรือ
00:27:13 → 00:27:16 ว่ากข้อยกเว้นบางอย่างอย่างเช่นสมมุติว่า
00:27:16 → 00:27:18 เออไม่ต้องเกณฑ์ทหารอย่างเงี้ยอะไรเงี้ย
00:27:18 → 00:27:21 ค่ะแต่ว่าอันเนี้ยเขจะเป็น factitious
00:27:21 → 00:27:25 เขาจะแบบมีเจตนาที่เขาต้องการคือเขา
00:27:25 → 00:27:29 ต้องการความใส่ใจอ่ะค่ะเหมือนความสนใจ
00:27:29 → 00:27:33 อย่างเช่นแบบอยากให้แฟนสนใจแต่เราก็ตั้ง
00:27:33 → 00:27:36 ใจเราเรารู้เรามีเจตนาเลยว่าอุ้ยเดี๋ยว
00:27:36 → 00:27:40 เราขอดูป่วยนิดนึงแล้วกันแฟนจะได้เป็น
00:27:40 → 00:27:42 ห่วงอะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่ว่ามันไม่ใช่แค่
00:27:42 → 00:27:46 แบบไม่ใช่แค่แบบในระดับที่เราขอแบบให้มัน
00:27:46 → 00:27:48 เป็นจริตจะก้านให้น่ารักในสีสันความ
00:27:49 → 00:27:51 สัมพันธ์แต่ว่ามันเป็นแบบเป็นจนมันดูเยอะ
00:27:51 → 00:27:54 เกินไปอ่ะคะอันเนี้ยก็จะเป็นโรคตรงกลาง
00:27:54 → 00:27:55 ที่เรียกว่า
00:27:55 → 00:27:58 Fac ก็คือจะย้อนกลับไปว่าอ่ะมันจะมี 3
00:27:58 → 00:28:02 อันที่ที่อาการออกมาเป็นอาการทางกายแล้ว
00:28:02 → 00:28:05 ก็สัมพันธ์กับจิตใจเหมือนกันทั้งมาริก
00:28:05 → 00:28:06 ป่วยการเมืองหรือว่าทั้ง factitious
00:28:06 → 00:28:09 disorder อันนี้ก็เป็นโรคทางใจเหมือนกัน
00:28:09 → 00:28:11 ค่ะเพียงแต่อย่างที่บอกเจตนามันไม่ต่าง
00:28:11 → 00:28:14 มันต่างกันเจตนาที่เขาป่วยอ่ะค่ะมันมี
00:28:14 → 00:28:19 เจตนามีความตระหนักความรู้ตัวความจงใจ
00:28:19 → 00:28:24 หรือความไม่จงใจที่ต่างกันออือค่ะอืค่ะ
00:28:24 → 00:28:28 อืมและลักษณะของการป่วยแบบเอ่อเอ่อสมมุติ
00:28:28 → 00:28:34 นะความเครียดแบบภาวะแบบเอ่อคเอ่อ Version
00:28:34 → 00:28:35 distancing เนี่ยครับเอ่อไม่ใช่
00:28:35 → 00:28:37 conversion disorder disorder เ่า
00:28:37 → 00:28:40 conversion disorder เอ่อลักษณะแบบ
00:28:40 → 00:28:46 เนี้ยหมอเจเอ่อมันค่อนข้างที่จะต้องใช้
00:28:46 → 00:28:50 ระยะเวลาในการฟื้นตัวมยหมายถึงว่ามันมัน
00:28:50 → 00:28:53 หนักกระเทือนิดใจค่อนข้างหนักมยแล้วก็มัน
00:28:54 → 00:28:56 สามารถที่จะฟื้นตัวได้ได้เร็วช้าขนาดไหน
00:28:56 → 00:29:00 อ่ะหมอเจอืค่ะต้องบอกอย่างงี้ก่อนค่ะว่า
00:29:00 → 00:29:03 ตัว conversion เองตัวโรคเองเป็นโรคที่
00:29:03 → 00:29:07 หลายๆครั้งเราพบร่วมกับโรกของใจโรคอื่น
00:29:07 → 00:29:10 ได้ครับบ่อยเหมือนกันเพราะว่าอย่างที่บอก
00:29:10 → 00:29:14 แล้วว่ามันมีความเจ็บปวดทางใจจนมันแสดง
00:29:14 → 00:29:17 ออกมาเป็นความเจ็บปวดทางกายเพราะฉะนั้น
00:29:17 → 00:29:20 มันก็ขึ้นอยู่กับว่ามีโรคร่วมมด้วยก่อน
00:29:20 → 00:29:22 โรคร่วมที่พบบ่อยๆอ่ะขอยกตัวอย่างอย่าง
00:29:22 → 00:29:25 คุณเจ้าลูซือเลยคุณเจ้าลูซือบอกเองเลยว่า
00:29:25 → 00:29:28 ฉันเป็นซึนเศร้าตั้งแต่ปี 2019
00:29:28 → 00:29:31 10 อ่าครับคือหมายถึงว่าเหมือนเหมือนคน
00:29:31 → 00:29:33 เราเหมือนเอาโรคพื้นฐานที่เราก็ไม่จำเป็น
00:29:33 → 00:29:34 ต้องเป็นเบาหวานโลกเดียวหอาจจะเป็นทั้ง
00:29:34 → 00:29:37 เบาหวานความดันไขมันอย่างเงี้ยค่ะครับอ่า
00:29:37 → 00:29:39 แต่อันเนี้ยก็เหมือนกันเราไม่จำเป็นต้อง
00:29:39 → 00:29:43 เป็น conversion โรคเดียวแต่ว่าเรามหลายๆ
00:29:43 → 00:29:44 ท่านน่ะค่ะเป็น
00:29:44 → 00:29:48 conversion บวกกับแพนิคบางท่านเป็น
00:29:48 → 00:29:51 conversion ร่วมกับวิตกกังวลบางท่านเป็น
00:29:51 → 00:29:54 คอชั่นร่วมกับซึมเศร้าหรือบางท่านมาหมด
00:29:54 → 00:29:59 ทุกโลกเลยอเป็นได้นะคะค่ะอืทีเนี้ยก็ต้อง
00:29:59 → 00:30:02 บอกค่ะค่ะขอนิดเดียวค่ะหมอเจคือเหมือนกับ
00:30:02 → 00:30:06 ว่าเ่อความดันไขมันเอ่อมันจะเป็นนำพามา
00:30:06 → 00:30:10 ซึ่งโรคหัวใจหรือโรคอื่นๆที่แบบดูร้ายแรง
00:30:10 → 00:30:13 กว่าแบบ ncd เหมือนอย่างกรณี conversion
00:30:13 → 00:30:17 disorder เนี่ยเหมือนมันจะเป็นเอ่อตัว
00:30:17 → 00:30:19 ซึมเศร้าจะเป็นตัวนำทางให้ไปสู่
00:30:19 → 00:30:23 conversion disorder ไมคะอืถ้าถามว่า
00:30:23 → 00:30:26 การที่ทุกคนเป็นซึมเศร้าจะเป็น conversion
00:30:26 → 00:30:29 มยพูดว่าวันพบด้วยร่วมกันได้แต่ว่ามันจะ
00:30:29 → 00:30:32 ใช้คำว่านำทางเ่ออาจจะไม่ได้ใช้คำว่านำ
00:30:32 → 00:30:35 ทางอ่ะค่ะค่ะอแต่ว่าต้องใช้อย่างที่บอก
00:30:35 → 00:30:37 ว่าด้วยความเหตุที่มันพบร่วมกันได้ก็คือ
00:30:37 → 00:30:39 ตรงไปตรงมาว่าเราย้อนกลับไปที่กลไกการ
00:30:39 → 00:30:43 ป้องกันทางจิตอ่ะค่ะค่ะหลายๆคนที่เขามี
00:30:43 → 00:30:46 คามซึมเศร้าเวลาเรียนเลยเนี่ยเราจะเรียน
00:30:46 → 00:30:49 ว่า Anger Turn against Self คือเวลา
00:30:49 → 00:30:52 เรามีความโกรธหรือมีอารมณ์ทางลบหรืออะไร
00:30:52 → 00:30:55 ก็ตามอ่ะค่ะอารมณ์ทางลบที่เรามีต่อคนอื่น
00:30:55 → 00:30:58 เราเก็บมาแบกแบกโลกทั้งใบไว้หมดเลยอืแบก
00:30:58 → 00:31:02 ความอึดอัดความไม่พอใจความโกรธความน้อยใจ
00:31:02 → 00:31:05 ความผิดหวังเราแบกคือ Turn against S
00:31:05 → 00:31:08 ใส่ตัวเราหมดเลยอย่างเงี้ยค่ะค่ะมันก็เลย
00:31:08 → 00:31:11 เก็บกฎซึ่งอันเนี้ยก็คือบอกว่าคนเหล่าคน
00:31:11 → 00:31:14 คนกลุ่มเนี้ยคือจริงๆเขาไม่ได้ผิดนะคะแต่
00:31:14 → 00:31:17 ว่าด้วยการเติบโตหรือด้วยอะไรก็ตามเหมือน
00:31:17 → 00:31:19 เหมืออย่างเจเป็นคนเขียนไม่สวยเลยอะไร
00:31:19 → 00:31:22 เงี้ยมันก็คือเราไม่จำเป็นต้องมีทักษะทุก
00:31:22 → 00:31:24 ด้านเนาะแต่ว่าถ้าเราอยากมีเราต้องฝึก
00:31:24 → 00:31:28 อะไรเงี้ยค่ะทีเนี้ยพอเมีความคุ้นชินกับ
00:31:28 → 00:31:32 การใช้กลไกทางจิตใจในรูปแบบนี้ครับเอ่อ
00:31:32 → 00:31:34 เรียกว่ากลไกทางจิตใจที่ยังยังไม่ได้เป็น
00:31:34 → 00:31:37 กลไกทางจิตใจที่ถูกฝึกอย่างที่เจบอกอ่ะ
00:31:37 → 00:31:39 ถ้าถูกฝึกเราโกรธเราก็อาจจะไปต่อยมวยค่ะ
00:31:39 → 00:31:41 อะไรอย่างเงี้ยค่ะหมายถึงว่าไปเล่นกีฬา
00:31:41 → 00:31:43 อะไรอย่างเงี้ยเราก็จะไม่แบกโลกไว้อะไ
00:31:44 → 00:31:46 เงี้ยค่ะอือหรือไม่แบบไม่โกรธแล้วมากรีด
00:31:46 → 00:31:49 แขนตัวเองหรือบางคนโกรธโกรธคนอื่นแต่ตบ
00:31:49 → 00:31:51 หน้าตัวเองเคยเห็นมั้ยคะอะไรอย่างเงี้ย
00:31:52 → 00:31:54 คือถ้าเราโกรธเราจะไม่ทำหมายถึงว่าถ้าเรา
00:31:54 → 00:31:59 ถูกฝึกกลไกการทางจิตใจที่มันเ่ออ่าใช้ได้
00:31:59 → 00:32:01 ดีกว่าเราก็จะไม่ทำแบบนั้นแต่หลายๆคนน่ะ
00:32:01 → 00:32:04 ค่ะพอเขาคุ้นชินกับกลไกทางจิตใจเหล่า
00:32:04 → 00:32:07 เนี้ยมันก็จะมันกลไกทางติจที่เราคุ้นชิง
00:32:07 → 00:32:09 เหล่าเนี้ยมันก็เป็นปัจจัยนึงที่มันทำให้
00:32:09 → 00:32:11 เกิดความไม่สบายเพราะฉะแล้วกลไกเหล่านี้
00:32:11 → 00:32:15 หลายๆอันมันเป็นรากคล้ายๆว่ารากเดียวกัน
00:32:15 → 00:32:17 น่ะค่ะที่มันจะกลายเป็นเออรากเราคุ้นชิ
00:32:17 → 00:32:20 แบบเนี้ยก็เลยเป็นซึมเราคุ้นชินแบบเนี้ย
00:32:20 → 00:32:22 ก็เลยเป็น conversion เหมือนสมมุติเจเป็น
00:32:22 → 00:32:27 คนขี้เกียจชอบแบบนั่งๆนอนๆกินอาหารแบบ
00:32:27 → 00:32:30 อาหารจังฟู้อย่างเงี้ยมันคือมีรากเดียว
00:32:30 → 00:32:32 กันที่อ้าอ๋อมันก็เลยโผล่มาหมดเลยไงไขมัน
00:32:32 → 00:32:36 ความดันเบาหวานนึกออกมั้ยคะคือมันมีรากมี
00:32:36 → 00:32:39 ปัจจัยปัจจัยเสี่ยงร่วมกันเออใช้คำนี้ดี
00:32:39 → 00:32:42 กว่าอืๆมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกันเพราะฉะนั้น
00:32:42 → 00:32:45 ก็คือใช้คำเนี้ค่ะว่าถ้าถามว่าเอ่อซึม
00:32:45 → 00:32:48 เศร้าจะนำไปสู่ conversion มยอาจจะใช้คำ
00:32:48 → 00:32:52 ว่าไม่ใช่โดยตรงแต่ซึมเศร้าและ conversion
00:32:52 → 00:32:56 มีปัจจัยเสี่ยงร่วมกันในหลายๆปัจจัยอค่ะ
00:32:56 → 00:33:03 ค่ะออแสดงว่าไอ้ตัวถ้าถ้าเป็นลักษณะเอ๊ะ
00:33:03 → 00:33:05 ตอนหลายคนอาจจะฟังอยู่เช่นเป็นซึมเศร้า
00:33:05 → 00:33:08 แล้วก็ไม่ต้องหวาดวิตกก็ได้คือก็รักษา
00:33:08 → 00:33:12 อาการซึมเศร้าของตัวเองไปตามที่คุณหมอให้
00:33:12 → 00:33:15 คำแนะนำไม่ถึงขั้นมันจะนำพาไปซึ่ง
00:33:15 → 00:33:19 conversion disorder ไม่ใช่อไม่ใช่ค่ะ
00:33:19 → 00:33:23 ซึมเศ้ารักษาได้ค่ะรักษาได้นะคะแล้วก็ทำ
00:33:23 → 00:33:26 ให้กลับมามีคุณภาพชีวิตได้ดีเลยค่ะนะคะ
00:33:26 → 00:33:30 เอ่อทีนี้้าขอตอบคำถามคุณขวัญกับคุณโอ๊
00:33:30 → 00:33:32 ค่ะว่าที่บอกว่าเอ๊ะแล้ว conversion
00:33:32 → 00:33:34 รักษาได้มยก็ต้องบอกเหมือนกันค่ะว่า
00:33:34 → 00:33:37 conversion รักษาได้ถ้า conversion ที่
00:33:37 → 00:33:40 มีโรคร่วมอย่างที่บอกไปแล้วเรารักษาโรค
00:33:40 → 00:33:43 ร่วมค่ะหมายถึงเรารักษาทั้ง 2 โรคเหมือน
00:33:43 → 00:33:45 เราเป็นเบาหวานความดันไขมันเราก็ไม่ใช่
00:33:45 → 00:33:47 รักษาแต่เบาหวานแล้วก็รักษาความดันกับไข
00:33:47 → 00:33:50 มันด้วยทีนี้ถ้ามีโรคร่วมซึมเศร้าอะไรเรา
00:33:50 → 00:33:52 ก็รักษาซึมเศร้าไปมีวิตกกังวลอะไรก็รักษา
00:33:52 → 00:33:55 ไปซึ่งเหล่าเนี้ยคุณเศร้าวิตกกังวลก็จะมี
00:33:55 → 00:33:57 การใช้ยาด้วยใช้ติตบำบัดด้วยอันนี้เดี๋ยว
00:33:57 → 00:34:00 ้าจะคุยอาจจะในหลายๆอันเนาะแต่ว่าใน
00:34:00 → 00:34:03 conversion เองอ่ะค่ะถ้าเป็น conversion
00:34:03 → 00:34:06 อย่างเดียวจริงๆมันไม่มียาแต่ว่าหลายๆเพะ
00:34:06 → 00:34:09 มันเป็นกลไกทางจิตใจค่ะแต่หลายๆครั้งอ่ะ
00:34:09 → 00:34:12 ค่ะลักษณะคนไข้ที่มักจะเป็น conversion
00:34:12 → 00:34:15 เอ่อมักจะเป็นคนไข้ที่เขาจะเรียกว่า
00:34:15 → 00:34:18 suggest อ่ะค่ะคือคนไข้ที่แบบเหมือนโน้ม
00:34:18 → 00:34:22 น้าได้ง่ายอ่ะค่ะอเหมือนไม่ถึงเด็กอ่ะค่ะ
00:34:22 → 00:34:25 อย่างที่บอกอย่างที่ย้อนกลับไปคือเอ่อการ
00:34:25 → 00:34:28 พัฒนาในจิตใจของเด็กก็ก็ก็ไม่ได้ไม่มี
00:34:28 → 00:34:31 ความเติบโตเท่าผู้ใหญ่อย่างเงี้ยค่ะเพราะ
00:34:31 → 00:34:33 ฉะนั้นในเด็กเนี่ยสมมุติเราโน้มน้าวว่า
00:34:33 → 00:34:37 อุ้ยเดี๋ยวหมว่าเดี๋ยวหนูอ่ะไปโรงเรียน
00:34:37 → 00:34:39 อ่ะนึกถึงลูกปวดท้องไงค่ะหม่าม้าว่า
00:34:39 → 00:34:42 เดี๋ยวหนูไปโรงเรียนหนูเล่นกับเพื่อนหนู
00:34:42 → 00:34:45 ก็หายปวดเองมาไปโรงเรียนกันเถอะนู่นนี่
00:34:45 → 00:34:48 นั่นเด็กที่ปวดท้องตอนเช้ายายๆๆยๆจนลงรถ
00:34:48 → 00:34:51 แต่ว่าพอซัก 10:00 นเราโทรไปถามคุณครูเ
00:34:51 → 00:34:54 น้องเป็นไงบ้างคะอ๋อน้องเล่นกับเพื่อน
00:34:54 → 00:34:57 อยู่ในห้องเด็กเล่นค่ะครับน้องหัวเราะกับ
00:34:57 → 00:34:59 เพื่อนใหญ่เลยนึกออกมั้ยคะคือหมายถึงว่า
00:34:59 → 00:35:02 พอเราโน้มน้าอ่ะค่ะอาการเหล่าเนี้ยมันมัด
00:35:02 → 00:35:04 จะหายไปเพราะอย่างที่บอกว่าอาการเหล่า
00:35:04 → 00:35:09 เนี้ยมันไม่ได้มีพยาธิสภาพทางกายครับแต่
00:35:09 → 00:35:12 ทีเนี้ยมันก็จะย้อนกลับมาถามคำถามว่า
00:35:12 → 00:35:16 รักษาหายากมยถ้าเราเป็นบ่อยเป็นเรื้อรัง
00:35:16 → 00:35:19 จนอย่างอย่างเช่นถ้าเราเป็นแค่สมมุติเรา
00:35:19 → 00:35:23 แค่รู้สึกอุ๊ยชาชามซ้ายอ่ะค่ะครับกับเรา
00:35:23 → 00:35:27 รู้สึกชามันครึ่งซีกเลยอย่างเงี้ยค่ะอมัน
00:35:27 → 00:35:30 ไอ้คชาครึ่งซีกอ่ะรักษาช้ากว่าเพราะว่า
00:35:30 → 00:35:36 มันเหมือนเราคุ้นชินกับกับกลไกการแสดงออก
00:35:36 → 00:35:39 การทดแทนแบบเนี้ยภายในระดับของจิตไร้
00:35:39 → 00:35:43 สำนึกของเราอ่ะค่ะอืเหมือนนึเหมือนเรา
00:35:43 → 00:35:46 เป็นจนมันเป็นเยอะมันก็จะแต่มันรักษาหาย
00:35:46 → 00:35:48 ได้นะคะคืออย่างที่ตัวเองเคยเจอตอนสมัย
00:35:49 → 00:35:51 เรียนแต่ว่าอันนั้นจะเป็นคนไข้ที่ของของ
00:35:51 → 00:35:53 ในกลุ่มที่เราเรียนกันอย่างเงี้ยค่ะมีคุณ
00:35:53 → 00:35:56 ผู้หญิงท่านนึงก็คือเป็นนานจนแบบนั่งวิว
00:35:56 → 00:35:59 แชร์เลยอย่างเงี้ยค่ะครับอืคือหมายถึงว่า
00:35:59 → 00:36:02 แล้วท่านคุณผู้หญิงก็คือแบบอุ๊หาหลายที่
00:36:02 → 00:36:05 มากหาหมอระบบประสาทเก่งๆทั้งนั้นแต่ก็คือ
00:36:05 → 00:36:08 ไม่ได้พบอ่าสาเหตุแต่ว่าในที่สุดคุณผู้
00:36:08 → 00:36:10 หญิงท่านนั้นก็กลับมาเดินได้นะคะพอเรา
00:36:10 → 00:36:14 ค่อยๆค่อยๆเหมือนแบบให้ดูเรื่องใจเรื่อง
00:36:14 → 00:36:18 อะไรไปอย่างเงี้ยค่ะค่ะแต่ใช้เวลาแต่อาจ
00:36:18 → 00:36:19 จะต่างกันกับ
00:36:19 → 00:36:23 เอ่อต่างกันกับเหมือนบางคนอย่างอันเนี้ย
00:36:23 → 00:36:25 ตัวเองเจอเองเลยสมัยก่อนเคยทำงานห้อง
00:36:25 → 00:36:28 ฉุกเฉินตอนเรียนตอนเรียนติดแพนี่แหละทำ
00:36:28 → 00:36:31 งานต้องฉุกเฉิตัวเองเลยเป็นเด็กเด็กวัย
00:36:31 → 00:36:34 รุ่นอายุ 1718 อย่างเงี้ยค่ะเด็กผู้หญิง
00:36:34 → 00:36:37 ทะเลาะกับคุณแม่มาทะเลาะทะเลาะทะเลาะอยู่
00:36:37 → 00:36:40 กี๊ดๆๆๆโวยวายวยวายกันอยู่ทั้งคุณแม่ทั้ง
00:36:40 → 00:36:43 คุณลูกอยู่ๆมาโรงพยาบาลเพาบอกว่าลูกกี๊ดๆ
00:36:43 → 00:36:46 อยู่แล้วเสียงหายอย่าเงี้ยค่ะเหมือนเสียง
00:36:46 → 00:36:48 หายเหมือนเจพูดๆอยู่อย่างเงี้ยเสียงหาย
00:36:48 → 00:36:51 ออะเอพูดไม่ได้ละอย่างเงี้ยค่ะอือ
00:36:51 → 00:36:54 อันเนี้ยเราก็บอกน้องเไปเอ้ยตรวจนู่นนี่
00:36:54 → 00:36:58 นั่นอ๋อไม่มีอะไรอันนี้เดี๋ยวค่อยๆไอไหน
00:36:58 → 00:37:00 ลองให้เค้าไอดูซิอย่างคนปกติอ่ะค่ะถ้ามัน
00:37:00 → 00:37:03 เป็นความผิดปกติของกล่องเสียงนึกถึงคนที่
00:37:03 → 00:37:06 เามีความผิดปกติของการสื่อสารหรือว่าที่
00:37:06 → 00:37:09 เขาอ่าเป็นบ้าอย่างเงี้ยค่ะค่ะมันมันไม่
00:37:09 → 00:37:11 มีเสียงอะไรออกมาเลยอ่ะค่ะหมายถึงว่าให้
00:37:11 → 00:37:15 เขาอายหรือให้เขาแบบอื้ออ้าอะไรเงี้ยมัน
00:37:15 → 00:37:17 ก็จะไม่ออกเลยคือถ้ามันไม่ออกอย่างงั้น
00:37:17 → 00:37:20 น่ะค่ะแต่ว่าของ conversion บางทีก็คือ
00:37:20 → 00:37:23 อาจจะเป็นเหมือนแบบพูดไม่ได้แต่พอให้อายแ
00:37:23 → 00:37:26 เสียงชัดเลยอะไรอย่างเงี้ยค่ะคือเไม่ได้
00:37:26 → 00:37:28 แกล้งนะคะเไม่ได้แกล้งคือคือเพูดไม่ได้
00:37:28 → 00:37:31 จริงๆณโมเมนต์นั้นี้ค่ะแต่ว่าอย่างที่บอก
00:37:31 → 00:37:33 พอเป็นอย่างเงี้ยอ้าเรารู้ะเราก็คือ
00:37:33 → 00:37:36 เหมือนให้ความมั่นใจน้องไปว่าเอออันเนี้ย
00:37:36 → 00:37:39 ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวเสียงจะค่อยๆกลับมาไม่
00:37:39 → 00:37:42 ต้องตกใจคุยกับคุณพ่อคุณแม่คุยกับพี่ๆ
00:37:42 → 00:37:45 ญาติเขาไปอะไรเงี้ยค่ะถ่ความมั่นใจแล้ว
00:37:45 → 00:37:48 น้องก็คือไม่ได้มีโรคร่วมอื่นอ่าเพราะว่า
00:37:48 → 00:37:50 ก็คืออย่างที่บอกทะเลาะทะเลาะแล้วก็เสียง
00:37:50 → 00:37:53 หายอะไรเงี้ยค่ะเด็กเด็เด็กวัยรุ่นเอง
00:37:53 → 00:37:56 เงี้ยค่ะอแล้วเราก็เค่อยๆอ่ะไอพอไอเอ๊ะ
00:37:56 → 00:37:58 เห็นมั้ยเนี่ยนักเสียงหนูเริ่มโอเคนะ
00:37:58 → 00:38:00 เริ่มไออันนะยังมีเสียงอยู่นะอะไรเี้ค่ะ
00:38:00 → 00:38:03 คือเหมือนคล้ายๆให้ความมั่นใจที่ที่อย่าง
00:38:03 → 00:38:05 ที่มื่อกี้บอกว่าคนกลุ่มเนี้ยส่วนนึงอ่ะ
00:38:05 → 00:38:07 ค่ะจะเป็นกลุ่มคนที่มักจะถูกโน้มน้าวใจ
00:38:07 → 00:38:11 หรือ success โน้มน้าวใจได้ง่ายอ่าที
00:38:11 → 00:38:13 เนี้ยน้องอ่ะไม่ได้หายทันทีที่ห้อง
00:38:13 → 00:38:15 ฉุกเฉินนะคะแต่น้องก็ดูผ่อนคลายลง
00:38:15 → 00:38:18 ครอบครัวดูผ่อนคลายลงแล้วเราก็นัดต่ออีก
00:38:18 → 00:38:20 ประมาณแบบ 3 วัน 5 วันน่ะค่ะน้องก็กลับมา
00:38:20 → 00:38:24 พูดได้ปกติอืค่ะคุณแม่บอกว่าเออพอน้อง
00:38:24 → 00:38:28 ตื่นมาวันรุ่งคื้นน้องก็ดูแบบเริ่มพูดได้
00:38:28 → 00:38:31 แต่เป็นพูดแบบเสียงแหบๆอะไรเงี้ยค่ะเสียง
00:38:31 → 00:38:34 แหบๆแต่พอพอแบบวันที่เรามานัดอ่ะค่ะก็
00:38:34 → 00:38:37 ปกติก็คือจะบอกว่าโอ้มันหายแบบดู
00:38:38 → 00:38:40 ปาฏิหาริย์เลยก็มีแต่อย่างที่พูดเขาว่า
00:38:40 → 00:38:44 อีกกรณีนึงถ้าเป็นแบบโอ้เป็นมาเป็นปีแล้ว
00:38:44 → 00:38:46 เป็นมาเยอะๆอย่างเงี้ยค่ะหรืออย่างกรณี
00:38:46 → 00:38:48 ของคุณเจ้าลู่ซื้อก็ได้เราก็จะเห็นว่าคุณ
00:38:48 → 00:38:51 เจ้าลู่ซื้อค่อยๆดีขึ้นอย่างเงี้ยค่ะค่ะ
00:38:51 → 00:38:56 อือคุณหมอคะตัวการรักษาของเอ่อ conversion
00:38:56 → 00:38:58 disorder เนี่ยคือด้วยที่คุณหมอบอกว่า
00:38:58 → 00:39:01 มันเป็นโรคทางจิตใจขวัญก็เลยมีความสงสัย
00:39:01 → 00:39:04 ว่าถ้าอยู่ในกระบวนการรักษาเนี่ยเอ่อมี
00:39:04 → 00:39:07 ความจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลมั้แต่ว่า
00:39:07 → 00:39:09 เมื่อสักครู่คุณหมอพูดถึงกรณีน้องที่ไม่
00:39:09 → 00:39:12 มีเสียงนี่บอกว่าก็มีเ่อมีการนัดมาดู
00:39:12 → 00:39:15 อาการอีกครั้งนึงเอ่อมันมีกรณีที่ต้อง
00:39:15 → 00:39:19 อยู่โรงพยาบาลมยหรือว่ารักษาให้กลับบ้าน
00:39:19 → 00:39:24 ไปดูแลกันได้แล้วถ้าไปดูแลครอบครัวต้องดู
00:39:24 → 00:39:28 แลอย่างไรบ้างคะครับอขอ่าอันนี้ก็คือ
00:39:28 → 00:39:30 เหมือนโรคอื่นๆใช้คำว่าเหมือนโรคอื่นๆ
00:39:30 → 00:39:33 อย่างเช่นโรคซึมเศร้าแล้วกันเนาะโรคอื่นๆ
00:39:33 → 00:39:35 คือโรคทางใจเนาะเป็นหนักก็อยู่โรงพยาบาล
00:39:35 → 00:39:39 เป็นแม่หนักก็กลับบ้านได้กินยาซึมเศร้าก็
00:39:39 → 00:39:41 บอกคนไข้บอกว่าโอฉันจะกระโดดตึกะอยู่โรง
00:39:41 → 00:39:45 พยาบาลแน่นอนค่ะแต่ซึมเศร้าที่บอกว่าอือ
00:39:45 → 00:39:48 ก็ยังมีสติอยู่นะยังพอที่จะแบบปอบตัวเอง
00:39:48 → 00:39:50 ขึ้นมาได้ครอบครัวดูแลดีอย่างเงี้ยค่ะ
00:39:50 → 00:39:53 หลายๆท่านก็ไม่ได้ต้องอยู่โรงพยาบาลอัน
00:39:53 → 00:39:55 นี้ก็เหมือนกันค่ะเหมือนถ้าเราเป็นหนัก
00:39:55 → 00:39:58 คือหมายถึงอย่างบางท่านถ้าเโอโหเดินไม่
00:39:58 → 00:40:02 ได้เลยกินไม่ได้เลยอันเนี้ยมันส่งผลมันจะ
00:40:02 → 00:40:05 อันตรายแก่กายแล้วสมมุติว่าเจกินไม่ได้
00:40:05 → 00:40:08 อ่ะเป็น conversion แบบที่กลืนไม่ลงอ่ะอ
00:40:08 → 00:40:11 ครับค่ะบ้านมันก็กลืนไม่ลงแล้วมันก็มี
00:40:11 → 00:40:14 อาการอื่นเต็มไปหมดโอ้โหจะหยิบช้อนเหมือน
00:40:14 → 00:40:16 คุณเจ้ารู้ึเงี้ค่ะจะหยิบช้อนก็หยิบไม่
00:40:16 → 00:40:18 ได้อย่างเงี้ยมันก็คือถ้าอาการเยอะก็ต้อง
00:40:18 → 00:40:22 อยู่โรงพยาบาลค่ะค่ะเหมือนกันเหมือนซึม
00:40:22 → 00:40:24 เศร้าถ้าอาการเยอะก็ต้องอยู่โรงพยาบาลย้ำ
00:40:24 → 00:40:27 คิดย้ำทำถ้าล้างมือวันละ 50 รอบออบอาบน้ำ
00:40:27 → 00:40:30 วันละ 3 ช่วโมงต่อครั้งก็ต้องอยู่โรง
00:40:30 → 00:40:34 พยาบาลเนี่ยเหมือนกันค่ะขึ้นขึ้ขึ้กับว่า
00:40:34 → 00:40:37 ความเยอะความความหนักความเบาของอาการค่ะ
00:40:37 → 00:40:40 ส่วนใหญ่อาการน่ะค่ะอย่างที่บอกว่ามันไม่
00:40:40 → 00:40:43 ได้นำไปสู่การอ่าเป็นสรกจริงๆไม่ได้นำไป
00:40:43 → 00:40:46 สู่การเป็นหลอดเลือดสมองจริงๆไม่ได้นำไป
00:40:46 → 00:40:49 สู่การเป็นโรคลมชักจริงๆไม่ได้นำไปสู่การ
00:40:49 → 00:40:52 เสียชีวิตจริงๆแต่อาการที่เป็นถ้าเป็น
00:40:52 → 00:40:56 เยอะมันส่งผลกับคุณภาพชีวิตอืหมายถึงเรา
00:40:56 → 00:40:59 ลองนึกดูว่าถ้าเราอ่ะบางท่านตาบอดหมายถึง
00:40:59 → 00:41:01 ว่าเป็น conversion แล้วตาบอดอย่างเงี้ย
00:41:01 → 00:41:04 ค่ะค่ะคือเค้ามองไม่เห็นจริงๆหมายถึงว่า
00:41:04 → 00:41:07 แต่ตรวจตามปกติอ่ะนะคะแต่เา้ามองไม่เห็น
00:41:07 → 00:41:09 จริงๆอ่ะลองทึกดูว่าแค่เราแบบสมมุติเรา
00:41:09 → 00:41:12 ลองเอาภาพมาปิดตาเงี้ยโเดินชนนู่นชนนี่
00:41:12 → 00:41:15 คือมันส่งผลกับคุณภาพชีวิตอย่างเงี้ยค่ะ
00:41:15 → 00:41:18 ค่ะเราก็ต้องรับตัวไว้ในโรงพยาบาลอย่าง
00:41:18 → 00:41:21 เงี้ค่ะแต่ถ้ามันไม่ได้ส่งผลมากมายนัก
00:41:22 → 00:41:25 อย่างเช่นสมมุติควัแล้วบอกว่าเออมันชามือ
00:41:25 → 00:41:28 ขวาเป็นพักๆอันนี้จะอึให้ความหมั่นใจลอง
00:41:28 → 00:41:31 กลับบ้านมั้ยอะไรอย่างเงี้ยค่ะค่ะก็ขึ้น
00:41:31 → 00:41:34 อยู่กับตรงนั้นด้วยทีนี้ตอบคำถามคุณขวัญ
00:41:34 → 00:41:37 ค่ะว่าถ้ากลับบ้านญาติต้องดูแลยังไงอย่าง
00:41:37 → 00:41:40 ที่บอกเลยค่ะการเข้าใจและการให้ความมั่น
00:41:40 → 00:41:44 ใจว่าเดี๋ยวดีขึ้นอันเนี้ยสำคัญมากจริงๆ
00:41:44 → 00:41:48 แล้วก็การที่ให้พื้นที่เค้าได้อได้ปลด
00:41:48 → 00:41:51 ปล่อยความเพียดทางจิตใจจคือคงไม่ได้แปล
00:41:52 → 00:41:54 ว่าต้องให้เค้าแบบโอไป
00:41:54 → 00:41:59 แบบต่อยมวยี้คงไม่ใช่แต่ว่าการที่เรานิ่ง
00:41:59 → 00:42:01 บ้างฟังบ้างเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เค้าอ่ะ
00:42:01 → 00:42:04 ค่ะเค้าก็จะเริ่มเรียนรู้เหมือนอย่างที่
00:42:04 → 00:42:08 เจบอกว่าเอ้ยเราแสดงออกถึงความโกรธได้นะ
00:42:08 → 00:42:10 แต่มันต้องแสดงออกให้เหมาะสมอ่ะอย่างเช่น
00:42:10 → 00:42:12 เจบอกว่าอื
00:42:12 → 00:42:15 เนี่ยทำไมวันเนี้ยคุณพูดไม่เพราะกับเรา
00:42:16 → 00:42:19 เลยเรารู้สึกว่าไม่โอเคนะค่ะมันมันสามารถ
00:42:19 → 00:42:22 พูดได้ค่ะแต่ว่าคนบางคนน่ะเไม่รู้ด้วยซ้ำ
00:42:22 → 00:42:25 ว่าเฮ้ยจริงหรอพูดแบบนี้กับเจ้านายได้
00:42:25 → 00:42:27 ด้วยหรอ
00:42:27 → 00:42:29 สมมิเราเริมแบบเจ้านายหงุดหงิดอะไรเราก็
00:42:29 → 00:42:31 ไม่รู้แล้วมาขึ้นเสียงใส่เราอ่ะอาจจะแบบ
00:42:31 → 00:42:34 นี่ทำไมคนนู่นนี่นั่นอย่างเงี้ยบางคนคุณ
00:42:34 → 00:42:36 คิดว่าอุ๊ยเจ้านายเราต้องเป็นพระเจ้าเลย
00:42:36 → 00:42:39 เงี้ยนึกออกมยคะแต่การที่ถ้าเราให้เขา
00:42:39 → 00:42:41 เริ่มเรียนรู้ว่าเอ้ยถ้าเจ้านายไม่น่ารัก
00:42:41 → 00:42:46 เราก็แบบเออขอโทษนะครับผมคิดว่าแบบอันนี้
00:42:46 → 00:42:50 มันเยอะไปมยครับหรืออันนี้มันดูไม่เป็น
00:42:50 → 00:42:55 อันนี้มันคงดูดูไม่เหมาะสมกับไม่ใช่ไม่
00:42:55 → 00:42:57 ใช่เรื่องที่ไม่ใช่อันที่จะเหมาะสมกับ
00:42:57 → 00:43:01 บริบทของที่ทำงานนะครับถ้าเขาคยังขึ้นอีก
00:43:01 → 00:43:04 เราก็บอกเลยว่าเออผมว่าเดี๋ยวผมขอตัวก่อน
00:43:04 → 00:43:07 แล้วกันครับขอบคุณครับยกมือไหว้เดินออก
00:43:07 → 00:43:11 จากห้องจบหมายถึงว่ามันสามารถทำแบบนี้ได้
00:43:11 → 00:43:13 อย่างเงี้ยค่ะไม่จำเป็นที่จะต้องแบบยืน
00:43:13 → 00:43:17 ฟังเแบบทำร้ายเราอะไรอย่างเงี้ยค่ะอันนี้
00:43:17 → 00:43:19 ก็เหมือนกันทีเนี้ยครอบครัวค่ะเราก็ต้อง
00:43:19 → 00:43:20 เป็นแบบนั้นเหมือนกันค่อยๆเป็นพื้นที่
00:43:20 → 00:43:24 ปลอดภัยค่อยๆให้คนที่ไม่สบายอันเนี้ยได้
00:43:24 → 00:43:28 เรียนรู้กลไกการป้องกันทางจิตในรูปแบบ
00:43:28 → 00:43:31 ใหม่ๆคือไม่ต้องไปถ่ายทอดออกมาในอาการของ
00:43:31 → 00:43:35 ทางกายโดยโดยระดับจิตไร้สำนึกอ่ะนะคะพอเ
00:43:35 → 00:43:37 เรียนรู้มันก็จะเกิดความคุ้นชินเกิดความ
00:43:37 → 00:43:40 เป็นอัตโนมัติเองว่าเอ้อมันก็พูดได้หนี
00:43:40 → 00:43:43 เรื่องอารมณ์เออมันก็รู้สึกได้หนีแล้วก็
00:43:43 → 00:43:47 ไม่ต้องรู้สึกผิดที่เรารู้สึกโกรธถ้ามัน
00:43:47 → 00:43:50 สมเหตุนะคะหมายถึงถ้ามันสมเหตุอย่างเช่น
00:43:50 → 00:43:52 มีคนมาต่อยเราอย่างเงี้ยจะบอกว่าออต่อย
00:43:52 → 00:43:55 เลยต่อยอีกมันก็คงไม่ใช่รเงี้ยค่ะแต่ถ้า
00:43:55 → 00:43:58 มันไม่สมเหตุมันก็คงมันก็แบบจะโกรธทำไม
00:43:58 → 00:44:01 เนี่ยอะไรอย่างเงี้ยค่ะอือแต่ว่ามันก็ป
00:44:01 → 00:44:03 ประมาณนั้นน่ะค่ะคือเอาให้ความมั่นใจเา
00:44:03 → 00:44:05 แล้วแล้วก็ให้พื้นที่ปลอดภัยทางใจแล้วก็
00:44:05 → 00:44:08 ให้ความมั่นใจเเหมือนบอกถ้าอย่างที่พูด
00:44:08 → 00:44:10 ว่าให้ความมั่นใจต่อเมื่อเรามั่นใจว่ามัน
00:44:10 → 00:44:13 ไม่มีพยาิสภาพทางกายก็ให้ความมั่นใจเได้
00:44:13 → 00:44:17 เลยว่าเ้ยเดี๋ยวก็ดีขึ้นนี่ไงเห็นมยตรง
00:44:17 → 00:44:20 นี้แบบมันเริ่มช้าน้อยลงแล้วนะตอนแรกมัน
00:44:20 → 00:44:22 ช้า 5 นิ้วเลยอันนี้เหมือนนิ้วก้อยก็
00:44:22 → 00:44:25 เริ่มเขยิบได้แล้วนี่อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:44:25 → 00:44:27 ค่ะอ๋อ
00:44:27 → 00:44:29 ความกำลังใจให้ความมั่นใจให้ความรู้สึก
00:44:29 → 00:44:33 แบบว่าใช่ให้ให้ความรู้สึกแนวมดีขึนมันดี
00:44:33 → 00:44:37 ขึ้นมันมันไปในทิศทางเชิงบวกนะใช่ค่ะใช่
00:44:37 → 00:44:41 ค่ะแล้วก็ห้ามเลยห้ามแบบเฮ้ยแกล้งทำหรือ
00:44:41 → 00:44:43 เปล่าสงสัยนู่นนี่นั่นเพราะอย่างที่บอก
00:44:43 → 00:44:46 ว่าถ้าเขาเป็น conversion ที่ไม่ใช่มาิ
00:44:46 → 00:44:48 girling ไม่ใช่ป่วยการเมืองเขาไม่ได้
00:44:48 → 00:44:52 แกล้งค่ะค่ะอือเอ่อในช่วงต้นน่ะค่ะหมอเจ
00:44:52 → 00:44:54 เราคุยกันถึงเรื่องระบบประสาทอัตโนมัติ
00:44:54 → 00:44:58 คุณประชิตค่ะมีคำถามจากทางบ้านบอกว่าเอ่อ
00:44:58 → 00:45:02 สงสัยนะคะว่าระบบประสาทอัตโนมัติเนี่ยรวม
00:45:02 → 00:45:05 ถึงระบบภูมิคุ้มกันและระบบของน้ำเหลือง
00:45:05 → 00:45:09 ด้วยหรือเปล่าอืต้องอธิบายอย่างนี้ก่อน
00:45:09 → 00:45:13 ค่ะว่าเอ่อระบบประาอ่าระบบประสาทเอาเอา
00:45:13 → 00:45:16 งี้ก่อนนะคะระบบในร่างกายมันก็จะแบ่งเป็น
00:45:16 → 00:45:19 ใหญ่ๆอย่างเช่นพวกระบบหัวใจและหลอดเลือด
00:45:19 → 00:45:25 ระบบหายใจระบบสืบพ่านระบบทางเดินอาหาร
00:45:25 → 00:45:28 ระบบประสาทระบบประหรือระบบประสาหรือระบบ
00:45:28 → 00:45:31 ภูมิคุ้มกันก็เป็นระบบใหญ่ๆในนั้นคือจริง
00:45:31 → 00:45:36 ๆแล้วใช้คำว่ามันมันไม่ได้เป็นอยู่ในอัน
00:45:36 → 00:45:38 เดียวกันแต่มันมีความเชื่อมโยงกันใช้
00:45:38 → 00:45:40 อย่างนี้แล้วกันค่ะเหมือนเหมือที่เมื่อ
00:45:40 → 00:45:42 กี้เจเล่าว่า
00:45:42 → 00:45:46 อืมระบบประสาทเนี่ยมันไปควบคุมการเต้นของ
00:45:46 → 00:45:49 หัวใจค่ะก็คือระบบประสาทมันไปมีความ
00:45:49 → 00:45:52 เชื่องโยมกับระบบหัวใจแล้วหลอดเรือแต่ใน
00:45:52 → 00:45:55 ระบบประสาทใหญ่ๆของระบบประสาทมันก็แยก
00:45:55 → 00:45:58 เป็นระบบประสาทกอนมัติก็แยกอีกนะเป็นระบบ
00:45:58 → 00:46:00 ประสาทอนมัติที่ชื่อซิมพาเทติกหรือพาติ
00:46:00 → 00:46:03 หรือระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อเรียบ
00:46:03 → 00:46:05 กล้ามเนื้อลายนู่นนี่นั่นทีเนี้ยถ้าตอบคำ
00:46:05 → 00:46:08 ถามก็คือมันคนละอันกันแต่มันมีการทำงาน
00:46:08 → 00:46:12 ที่เชื่อมโยงกันอืหมายถึงระบบฮอร์โมนระบบ
00:46:12 → 00:46:14 ภูมิคุ้มกันก็เป็นระบบนึงเหมือนกับระบบ
00:46:14 → 00:46:18 ไหลเวียนโลหิตก็เป็นระบบนึงมันไม่ได้ไม่
00:46:18 → 00:46:22 ได้ไม่ได้อยู่ในอันเดียวกันแต่ว่ามันเป็น
00:46:22 → 00:46:24 เพื่อนบ้านกันใช้คำนี้แล้วกันค่ะมันเป็น
00:46:24 → 00:46:26 เพื่อนมันเป็นเพื่อนร่วมทีมกันแล้วมันก็
00:46:27 → 00:46:31 ทำงานร่วมกันประสานสอดคล้องกันคือหมายถึง
00:46:31 → 00:46:33 ว่าอย่างที่เมื่อกี้เจเล่าว่าอืเวลาเรา
00:46:33 → 00:46:36 เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาค่ะมันส่งสัญญาณ
00:46:36 → 00:46:39 ผ่านเซลล์ประสาทผ่านฮอร์โมนผ่านสารสื่อ
00:46:39 → 00:46:44 ประสาทเหล่าเนี้ยมันทำงานร่วมกันค่ะค่ะ
00:46:44 → 00:46:47 สุดท้ายค่ะหมอเจขาอยากจะให้หมอเจฝากถึง
00:46:47 → 00:46:52 อ่าอาการของ conversion disorder ความ
00:46:52 → 00:46:55 น่ากังวลของเรื่องนี้มันน่าห่วงกังวลมั้ย
00:46:55 → 00:46:58 หรือว่ารับสถานการณ์นี้ยังไงสรุปในภาพรวม
00:46:58 → 00:47:02 ให้คุณผู้ฟังเราหน่อยค่ะหมอเจอืก็คือต้อง
00:47:02 → 00:47:04 บอกว่าความน่ากังวลของ conversion dis
00:47:04 → 00:47:07 ออเดอร์ก็คือก็เหมือนโรคหลายๆโรคอ่ะค่ะ
00:47:07 → 00:47:10 ว่าที่ก็ต้องเป็นห่วงเนาะเพราะว่ามันก็
00:47:10 → 00:47:15 แปลว่าเขาต้องมีความไม่สบายใจเยอะเลยแหละ
00:47:15 → 00:47:18 ในระดับที่มันล้นออกมาอย่างที่เจบอก
00:47:18 → 00:47:21 เหมือนน้ำมันล้นแก้วมันล้นออกมาจนมันออก
00:47:21 → 00:47:24 มาในอาการแสดงทางกายอ่ะค่ะเนาะแต่ว่า
00:47:24 → 00:47:29 อย่างที่บอกว่าหายได้อืแล้วก็คือควรจะ
00:47:29 → 00:47:32 ต้องมาหามาหาให้หายได้แล้วก็ที่สำคัญคือ
00:47:32 → 00:47:35 อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าใครๆเป็น conversion
00:47:35 → 00:47:38 เพราะว่าถ้ามีพยาธิสภาพทางกายจริงๆ
00:47:38 → 00:47:43 อันตรายค่ะถึงชีวิตได้นะคะค่ะอือแล้วก็
00:47:43 → 00:47:46 สิ่งที่สำคัญจริงๆก็อย่างที่บอกค่ะว่าการ
00:47:46 → 00:47:50 ที่เราให้ความเข้าใจไม่ตัดสินไม่ได้ไป
00:47:50 → 00:47:53 วิจารณ์เค้าอะไรอย่างเงี้ยค่ะให้ความเข้า
00:47:53 → 00:47:58 ใจให้ความเห็นใจให้ความมั่นใจอืเนาะค่ะ
00:47:58 → 00:48:00 แล้วก็การที่เราเป็นน่ะไม่ได้แปลกเพราะ
00:48:00 → 00:48:03 จริงๆต้องบอกเลยว่าความชุกของโลกเนี้ย
00:48:03 → 00:48:06 จริงๆในเมืองนอกเค้าเบอกว่าคนที่ไปหาหมอ
00:48:06 → 00:48:08 สมองอย่างที่บอกนะคะอาการส่วนใหญ่มันมา
00:48:08 → 00:48:11 อาการทางสมองและระบบประสาทหลายๆครั้งอ่ะ
00:48:11 → 00:48:14 พบว่าเป็นคอชั่นในเมืองนอกค่ะเป็น 10%
00:48:14 → 00:48:18 20% เลยนะคะอืค่ะเหมือนเอ้ยทำไมชาแต่มัน
00:48:18 → 00:48:21 ไปตรวจแล้วมันไม่เจออะไรเลยไปตรวจคือแบบ
00:48:21 → 00:48:25 สมมุติว่าเข้า MRI แล้วตรวจแบบตัวตรวจการ
00:48:25 → 00:48:28 วิ่งการเหนี่ยวนำของการนำกระแสประสาทเ
00:48:28 → 00:48:30 conduction velocity แล้วก็มันไม่เจอ
00:48:30 → 00:48:33 จริงๆอ่ะค่ะไม่เจอพาทิสภาพทางกจริงๆคือ
00:48:33 → 00:48:35 เมืองนอกเนี่ยพบแบบประมาณ 10 20% เลย
00:48:36 → 00:48:39 เมืองไทยเองอ่ะค่ะเป็นอุบัติกาสมัยแบบ 10
00:48:39 → 00:48:43 ปีก่อนที่หาอ้างอิงได้นะคะเาก็บอกว่าโอพบ
00:48:43 → 00:48:46 ได้บางที 5% 5% ถึง 15% เลยอย่างเงี้ย
00:48:46 → 00:48:51 ค่ะแค่บว่าถ้าเป็นพบโลกของอ่ะค่ะโอวันนี้
00:48:51 → 00:48:53 หมดเวลาแล้วจริง
00:48:53 → 00:48:57 ๆขอบคุณมากเลยค่ะที่มาพูดคุยกันในรายการ
00:48:57 → 00:48:59 ของเราวันนี้แล้วโอกาสหน้าไว้คุยกันใหม่
00:48:59 → 00:49:01 นะคะหมอเจเดี๋ยวผมจะเชิญมาใหม่นะหมอเจนะ
00:49:02 → 00:49:04 ขอโทษด้วยค่ะเลยแบบพูดยาวมากเลยอ่ะโอไม่
00:49:04 → 00:49:07 เป็นไรเลยครับขอบคณขอบพระคุณมากค่ะสวัสดี
00:49:07 → 00:49:11 ค่ะหมเจสวัสดีครับครักษาสุขภาพกันด้วยค่ะ
00:49:11 → 00:49:16 ครับค่ะเมื่อสักครู่เราคุยกับแพทย์หญิง
00:49:16 → 00:49:20 เพ็ญชาติวัฒนาพันธ์ค่ะแพทย์ผู้ชำนาญด้าน
00:49:20 → 00:49:23 จิตวิทยาศูนย์สุขภาพใจโรงพยาบาลวิมุตค่ะ
00:49:23 → 00:49:26 เดี๋ยว