00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับวันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องของ
00:00:02 → 00:00:05 วิตามินตัวนึงซึ่งถือว่าเป็นวิตามินที่มี
00:00:05 → 00:00:07 ขนาดใหญ่ที่สุดและมีโครงสร้างซับซ้อนที่
00:00:07 → 00:00:10 สุดในบรรดาวิตามินทั้งหมดนั่นก็คือ
00:00:11 → 00:00:14 วิตามิน B12 ครับวิตามินตัวนี้เนี่ยเป็น
00:00:14 → 00:00:17 วิตามินที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาก่อนนะ
00:00:17 → 00:00:20 ครับแล้วก็น่าจะมีความเข้าใจที่ไม่ครบ
00:00:20 → 00:00:22 ถ้วนหรือบางอย่างไม่ถูกต้องด้วยซ้ำไปดัง
00:00:22 → 00:00:24 นั้นวันนี้ผมอยากจะมาลงรายละเอียดถึง
00:00:25 → 00:00:26 เรื่องของความสำคัญของวิตามินตัวนี้ให้
00:00:27 → 00:00:30 ฟังนะครับวิตามินตัวนี้เนี่ยมันมีมากถึง 4
00:00:30 → 00:00:32 ชนิดด้วยกันนะครับแต่ละชนิดก็มีความแตก
00:00:33 → 00:00:35 ต่างกันเราจะมาพูดถึงเรื่องของว่าถ้าเรา
00:00:35 → 00:00:38 ขาดวิตามิน B12 จะเกิดอะไรขึ้นใครบ้างที่
00:00:38 → 00:00:41 มีโอกาสในการขาดวิตามิน B12 ถ้าเรากินมัน
00:00:41 → 00:00:44 มากจนเกินไปจะมีปัญหาอะไรหรือไม่นะครับ
00:00:44 → 00:00:47 แล้วก็อะไรบ้างที่เรายังเข้าใจไม่ถูกต้อง
00:00:47 → 00:00:50 เกี่ยวข้องกับวิตามิน B12 เดี๋ยววันนี้จะ
00:00:50 → 00:00:52 เล่าให้ฟังนะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์
00:00:52 → 00:00:54 ธนีธนียวัณเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศ
00:00:54 → 00:00:56 สหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่าย
00:00:56 → 00:00:59 ปอดและวิกฤตบำบัดนะครับวิตามินวิตามิน B12
00:00:59 → 00:01:01 เนี่ยนะครับต้องนับว่าเป็นวิตามินที่มี
00:01:01 → 00:01:04 ขนาดใหญ่และซับซ้อนที่สุดในบรรดาวิตามิน
00:01:04 → 00:01:08 ทั้งหมดและมันมีความสำคัญในด้านการสร้าง
00:01:08 → 00:01:11 DNA ของคนเรานะครับมีความสำคัญในด้านการ
00:01:11 → 00:01:14 สร้างพลังงานให้กับเราในไมโตคอนเดรียและ
00:01:14 → 00:01:17 มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซม
00:01:17 → 00:01:20 ระบบประสาทของร่างกายครับถ้าเกิดว่าเรา
00:01:20 → 00:01:24 ขาดวิตามิน B12 เนี่นะครับเราจะเกิดปัญหา
00:01:24 → 00:01:27 หลายอย่างเลยทีเดียวอย่างแรกก็คือเกิด
00:01:27 → 00:01:30 โลหิตจางชนิดหนึ่งที่เรียกเรียกว่าลา
00:01:30 → 00:01:34 anemia นะครับซึ่งมีเหตุผลได้หลากหลาย
00:01:34 → 00:01:37 ชนิดนะครับหนึ่งในนั้นก็คือการขาดวิตามิน
00:01:37 → 00:01:41 B12 นะครับอันเนี้ยบางคนอาจจะเคยได้ยิน
00:01:41 → 00:01:43 คำว่า Pernicious Anemia นะครับ
00:01:43 → 00:01:46 Pernicious Anemia ก็ทำให้เป็นแบบนี้
00:01:46 → 00:01:48 ได้เหมือนกันแต่บางคนน่ะมันมีแอนติบอดี้
00:01:48 → 00:01:52 ผิดปกติทำให้เกิดการดูดซึมวิตามิน B12
00:01:52 → 00:01:54 ไม่ได้นะครับทำให้เป็นโรคนี้ขึ้นมาซึ่ง
00:01:54 → 00:01:57 เดี๋ยวเราจะลงรายละเอียดด้วยนะครับงั้น
00:01:57 → 00:02:00 อันนึงก็คือทำให้เราเกิดโลหิตจานอันที่ 2
00:02:00 → 00:02:02 บางคนนะครับเป็นรุนแรงมากจนกระทั่งไข่
00:02:02 → 00:02:05 กระดูกเนี่ยไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดแดง
00:02:05 → 00:02:07 เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดได้เพียงพอนะ
00:02:07 → 00:02:10 ครับจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า
00:02:10 → 00:02:14 แพนไซโตพีเนียนะครับก็คือเซลล์ทั้ง 3 ที่
00:02:14 → 00:02:16 มันผลิตที่ไขกระดูกเนี่ยมันผลิตได้ไม่
00:02:16 → 00:02:19 เพียงพอนะครับถ้าเราขาดเม็ดเลือดแดงเราก็
00:02:19 → 00:02:21 จะมีอาการอ่อนเพลียนะครับถ้าเราขาดเจด็ด
00:02:21 → 00:02:24 เลือดเราเลือดออกก็จะหยุดยากนะครับถ้าเรา
00:02:24 → 00:02:26 ขาดแม่เลือดขาวเราก็จะติดเชื้อง่ายกว่าคน
00:02:26 → 00:02:31 ปกตินะครับแต่นั่นไม่ใช่แค่นั้นนะครับ
00:02:31 → 00:02:34 วิตามิน B12 เนี่ยยังมีความสำคัญมากต่อ
00:02:34 → 00:02:36 เรื่องของระบบหลอดเลือดและหัวใจครับถ้า
00:02:36 → 00:02:39 เกิดคนไหนขาดวิตามิน B12 มากๆนะครับมันจะ
00:02:39 → 00:02:42 มีปัญหาอย่างนึงตามมาก็คืออาจจะมีปัญหา
00:02:42 → 00:02:44 ทางด้านของระบบหลอดเลือดหัวใจหลอดเลือด
00:02:44 → 00:02:47 สมองเพิ่มมากขึ้นกว่าคนทั่วไปอย่างที่ 3
00:02:47 → 00:02:49 ที่เจอได้นะครับก็คือเนื่องจากว่ามันมี
00:02:49 → 00:02:52 ความสำคัญต่อระบบประสาทนะครับถ้าเราขาด
00:02:52 → 00:02:56 วิตามิน B2 มากๆเนี่ยมันจะทำให้มีความจำ
00:02:56 → 00:02:58 ที่เสื่อมถอยนะครับบางคนเนี่ยเกิดอาการ
00:02:58 → 00:03:02 ทางด้านจิตทำให้เราเห็นภาพหลอนได้ยิน
00:03:02 → 00:03:04 เสียงที่มันไม่มีจริงก็คือหูแว่วนั่นเอง
00:03:04 → 00:03:06 เหมือนคนที่เป็นโรคจิตเพศหรือ
00:03:06 → 00:03:08 สกิโซฟรีเนียเลยแต่เอาจริงๆกลายเป็นว่า
00:03:09 → 00:03:11 ไม่ได้เป็นโรคนั้นแต่กลับเกิดจากการขาด
00:03:11 → 00:03:16 วิตามิน B12 ก็เจอมาแล้วนะครับแถมมันยัง
00:03:16 → 00:03:20 ทำให้มีปัญหาทางด้านของไข่สันหลังครับจะ
00:03:20 → 00:03:22 เกิดโรคหนึ่งที่เรียกว่า subacute
00:03:22 → 00:03:25 combine degeneration ก็คือไขสันหลัง
00:03:25 → 00:03:27 ของเราเนี่ยส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดแล้วก็
00:03:27 → 00:03:30 ส่วนด้านข้างเนี่ยมันจะเสื่อมไปจากการขาด
00:03:30 → 00:03:33 วิตามิน B12 เป็นเวลานานทำให้คนเหล่านี้
00:03:33 → 00:03:36 เนี่ยมีอาการชาตามร่างกายต่างๆนะครับแล้ว
00:03:36 → 00:03:38 เดินไม่ค่อยตรงทางเพราะว่าระบบประสาท
00:03:38 → 00:03:41 เนี่ยมันเสียทำให้การรับรู้ส่วนต่างๆของ
00:03:41 → 00:03:43 ร่างกายที่เหยียบกับพื้นที่เราเดินก้าวไป
00:03:43 → 00:03:47 ในที่ต่างๆนะครับมันผิดเพี้ยนไปนะครับพอ
00:03:47 → 00:03:49 เป็นมากกว่านั้นก็จะเกิดการอ่อนแรงของ
00:03:49 → 00:03:52 กล้ามเนื้อเป็นอย่างมากนะครับเนี่ยก็คือ
00:03:52 → 00:03:54 ปัญหาที่เกิดจากการขาดวิตามิน B12 ขึ้นมา
00:03:55 → 00:03:59 ได้นะครับทีทีนี้ B12 เนี่ยเค้าค้นพบได้
00:03:59 → 00:04:02 ยังไงเออตรงเนี้ยสำคัญแล้วนะครับต้องบอก
00:04:02 → 00:04:05 อย่างงี้ครับในประมาณปี 1800 กว่าๆเนี่ย
00:04:05 → 00:04:09 นะครับเค้ามีคนบรรจายเรื่องของการเกิด
00:04:09 → 00:04:14 โลหิตจางที่รุนแรงไว้นะครับก็คือโรคเนี่ย
00:04:14 → 00:04:16 anนemiaซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามัน
00:04:16 → 00:04:20 เกิดขึ้นได้ยังไงคนก็เสียชีวิตเยอะนะครับ
00:04:20 → 00:04:23 จนกระทั่งมีการไปเจอว่าถ้าเราเอาตับมาให้
00:04:23 → 00:04:25 คนเหล่าเนี้ยกินเข้าไปเยอะๆเนี่ยปรากฏว่า
00:04:25 → 00:04:29 มันดีขึ้นโลหิตจางดีขึ้นเลยนะฮะทำให้เค้า
00:04:29 → 00:04:31 สงสัยว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างอยู่ในตับ
00:04:31 → 00:04:34 นะครับแล้วก็เลยมีการไปศึกษาเพิ่มเติม
00:04:34 → 00:04:37 ปรากฏว่าในตับเนี่ยมันมีวิตามิน B12 สูง
00:04:37 → 00:04:40 มากๆนะครับแล้วก็เจอว่าวิตามิน B12 นี่
00:04:40 → 00:04:43 แหละเป็นตัวที่ทำให้เรื่องของโรคโลหิตจาง
00:04:43 → 00:04:46 เนี่ยมันดีขึ้นนะครับโดยคนที่สังเคราะห์
00:04:46 → 00:04:49 แล้วก็แยกวิตามิน B12 ออกมาได้ครั้งแรกนะ
00:04:49 → 00:04:52 ครับเอิ่อันนี้เขาไปเจอโดยคุณALล็กander
00:04:52 → 00:04:56 ทอในประมาณปี 1955 55 นะครับนี่คือเค้า
00:04:56 → 00:04:58 แยกไอ้ตัวนี้ออกมาได้เลยนะครับทำให้เป็น
00:04:59 → 00:05:01 ที่รู้จักกันแล้วเค้าก็ไปเจอว่าลักษณะ
00:05:01 → 00:05:03 โครงสร้างของมันเนี่ยมันมีความสลับซับ
00:05:03 → 00:05:06 ซ้อนและขนาดมันใหญ่มากๆเลยทีเดียวนะครับ
00:05:06 → 00:05:10 นี่คือที่มาที่ไปของวิตามิน B12 นะฮะที
00:05:10 → 00:05:13 นี้แล้วใครล่ะครับที่มีโอกาสขาดวิตามิน
00:05:13 → 00:05:17 B12 เออตรงนี้สำคัญแล้วนะครับการที่เรา
00:05:17 → 00:05:20 จะรู้ว่าใครขาดวิตามิน B12 นะครับเราต้อง
00:05:20 → 00:05:22 มารู้ว่าวิตามิน B12 มันถูกดูดซึมเข้าไป
00:05:22 → 00:05:25 ในร่างกายของเราได้อย่างอะไรนะครับแต่ขอ
00:05:25 → 00:05:28 บอกคร่าวๆก่อนว่าคนเหล่านี้ต่อไปนี้จะมี
00:05:28 → 00:05:32 โอกาสขาดวิตามิน B2 นะครับคนแรกคนที่กิน
00:05:32 → 00:05:35 แต่มังซวิรัสล้วนๆโดยที่ไม่ได้กินเนื้อ
00:05:35 → 00:05:37 สัตว์อะไรเลยนะครับอ่าแต่บางคนอาจจะบอก
00:05:37 → 00:05:41 ว่าเฮ้ยฉันรู้ว่าเห็ดชิตาเกะเนี่ยมันมี
00:05:41 → 00:05:44 วิตามิน B12 เยอะอ่ะส่วนหนึ่งถูกต้องครับ
00:05:44 → 00:05:46 แต่คุณต้องกินเห็ดตัวเนี้ยเข้าไปเยอะมากๆ
00:05:46 → 00:05:48 ถึงจะไม่ขาดวิตามิน B2 นะครับอันที่ 2
00:05:48 → 00:05:52 บางคนบอกว่าสาหร่ายสปรู่ามันมีวิตามิน B2
00:05:52 → 00:05:55 อันนี้ผิดครับมันมีสิ่งที่เรียกว่า
00:05:55 → 00:05:59 วิตามิน B12 ปลอมหรือ POU vitamิน B12
00:05:59 → 00:06:02 นั่นเอง Pudo Vitamin B12 คืออะไรคือ
00:06:02 → 00:06:05 ลักษณะของมันเนี่ยหน้าตาเหมือนวิตามิน B12
00:06:05 → 00:06:08 เปี๊ยบเลยแต่ว่ามันไม่สามารถทำหน้าที่
00:06:08 → 00:06:11 อะไรได้เลยทีนี้พอคุณกินสาหร่ายสปรูเulen
00:06:11 → 00:06:13 เข้าไปในร่างกายเยอะๆเนี่ยเวลาคุณไปตรวจ
00:06:13 → 00:06:16 เลือดระดับวิตามิน B12 มันจะปกติครับ
00:06:16 → 00:06:18 เพราะว่าเครื่องตรวจเนี่ยมันไม่สามารถแยก
00:06:18 → 00:06:21 ได้ระหว่าง B12 จริงกับ P12 ปลอมมันต้อง
00:06:21 → 00:06:24 ตรวจพิเศษเพื่อแยกแกมันออกมาให้ได้นะครับ
00:06:24 → 00:06:27 นี่คือปัญหาที่เราเจอแล้วก็บางคนอาจจะไป
00:06:27 → 00:06:30 เข้าใจผิดนะครับเพราะว่าเฮ้ยเราเป็นเรา
00:06:30 → 00:06:33 อยากจะได้ 2 เราไม่อยากกินเสริมเราไปกิน
00:06:33 → 00:06:35 สารจากธรรมชาติจากสาหร่ายสปรูเน่าเพราะ
00:06:35 → 00:06:39 เขาโฆษณาว่ามีวิตามิน B2 สูงอ่าท่านก็โดน
00:06:39 → 00:06:41 หลอกไปเรียบร้อยแล้วครับเป็นความเข้าใจ
00:06:41 → 00:06:44 ที่ไม่ถูกต้องนะครับงั้นคนแรกก็คือคนที่
00:06:44 → 00:06:46 กินเฉพาะพืชอย่างเดียวโดยที่ไม่กิน
00:06:46 → 00:06:48 ผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลยคนนี้มีโอกาสเสี่ยง
00:06:48 → 00:06:51 มากที่สุดอันที่ 2 คนสูงอายุครับคนสูง
00:06:51 → 00:06:54 อายุเนี่ยน่าจะสำคัญมากๆเพราะว่าเค้า
00:06:54 → 00:06:56 เนี่ยหลายครั้งก็จะกินได้ไม่เพียงพออยู่
00:06:56 → 00:06:59 แล้วตั้งแต่แรกนะครับแล้วเราก็จะรู้ว่าคน
00:06:59 → 00:07:01 สูงอายุเนี่ยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
00:07:01 → 00:07:03 ความจำเสื่อมใช่มั้ฮะมีโรคประจำตัวอะไร
00:07:03 → 00:07:06 เต็มไปหมดเลยเวลาเ้าป่วยขึ้นมาเนี่ยเราก็
00:07:06 → 00:07:08 อาจจะคิดว่าเฮ้ยอันเนี้ยน่าจะเป็นจากอายุ
00:07:08 → 00:07:10 เป็นอัลไซเมอร์หรือเปล่านะครับหรือเป็น
00:07:10 → 00:07:12 โรคประจำตัวอะไรอย่างอื่นโดยที่เราลืมไป
00:07:12 → 00:07:15 ครับว่าเฮ้ยเขาอาจจะขาดวิตามิน B12 ก็ได้
00:07:15 → 00:07:18 นะอ่าคนสูงอายุก็จะมีโอกาสเกิดโดยเฉพาะคน
00:07:18 → 00:07:20 ที่ไม่ได้รับประทานอาหารให้เพียงพอแล้วคน
00:07:20 → 00:07:23 พวกเนี้ยบางทีเเบื่ออาหารก็ไม่ได้กินเยอะ
00:07:23 → 00:07:26 เค้าก็มีโอกาสในการขาดวิตามิน B2 ได้อัน
00:07:26 → 00:07:29 ที่ 3 ครับคนที่รับประทานยาหลั่งกรดต่างๆ
00:07:29 → 00:07:32 นะครับไม่ว่าจะเป็นยาในกลุ่มเ่อ Histamine
00:07:32 → 00:07:36 2 Blocker นะครับร้านนิทินนะครับพวกนี้
00:07:36 → 00:07:41 เป็นต้นหรือคนที่รับประทานโปรตอนปัมิเอร์
00:07:41 → 00:07:44 ยาหลั่งกรดนะครับโอเมโซนPantropซนนะครับ
00:07:44 → 00:07:47 หรือ S omโมราซนหรือตัวอื่นๆก็แล้วแต่นะ
00:07:47 → 00:07:49 ครับเพราะกรดเนี่ยมีความจำเป็นต่อการดูด
00:07:49 → 00:07:52 ซึมวิตามิน B12 มากซึ่งเดี๋ผมจะพูดต่อไป
00:07:52 → 00:07:55 ว่ามันสำคัญยังไงนะครับอันที่ 3 คนกินยา
00:07:55 → 00:07:58 เบาหวานครับเม็ดฟอมินถ้าคนกินไประยะเวลา
00:07:58 → 00:08:01 นานๆหลายๆปีเนี่ยโอกาสขาดวิตามิน B2
00:08:01 → 00:08:05 เนี่ยจะสูงขึ้นกว่าคนปกตินะครับต่อมาคือ
00:08:05 → 00:08:09 คนที่มีปัญหาการถูกตัดลำไส้เล็กส่วนปลาย
00:08:09 → 00:08:12 ซึ่งเรียกว่า terminal อีiumนะครับเช่นคน
00:08:12 → 00:08:14 ไหนที่เกิดอุบัติเหตุแล้วต้องตัดมันออกไป
00:08:14 → 00:08:15 คนที่เป็นมะเร็งแล้วต้องตัดมันออกไปหรือ
00:08:15 → 00:08:17 ในต่างประเทศจะมีคนที่มีโรคอันนึงเรียก
00:08:17 → 00:08:20 ว่าโน disease นะครับอาจจะถูกตัดส่วน
00:08:20 → 00:08:23 บริเวณนี้ออกไปทำให้การดูดซึมวิตามิน B12
00:08:23 → 00:08:27 เนี่ยมันเสียไปนะครับต่อมาคนที่มีตับอัก
00:08:27 → 00:08:30 อ่อนอักเสบเรื้อรังนะครับอ่าคนที่กิน
00:08:30 → 00:08:32 เหล้าบ่อยๆนะครับมีโอกาสขาดได้มีตับอ่อน
00:08:32 → 00:08:35 อักเสบเรื้อรังก็มีโอกาสขาดวิตามิน B12
00:08:35 → 00:08:38 ได้นะฮะยังไม่จบแค่นั้นครับคนไหนก็แล้ว
00:08:38 → 00:08:42 แต่ที่เคยมีการฉายแสงบริเวณศีรษะลำคอนะ
00:08:42 → 00:08:45 ครับจะทำให้ไม่มีน้ำลายอันเนี้ยก็มีโอกาส
00:08:45 → 00:08:48 ที่จะขาดวิตามิน B12 ได้เช่นกันคนที่มี
00:08:48 → 00:08:51 โรคพิเศษเช่นโรคหนังแข็งนะครับคนที่เป็น
00:08:51 → 00:08:53 โรคหนังแข็งเนี่ยจะมีภาวะแทรกซ้อนอย่าง
00:08:53 → 00:08:57 นึงนะครับก็คือโรคกรดไหลย้อนนะครับแล้ว
00:08:57 → 00:09:00 ถ้าเกิดเป็นมากๆเาก็จะต้องได้กินยาลดกรด
00:09:00 → 00:09:02 แล้วยาลดกรดเมื่อตะกี้เราบอกว่ามันมีความ
00:09:02 → 00:09:06 สำคัญต่อการดูดซึมวิตามิน B12 ก็จะมี
00:09:06 → 00:09:09 โอกาสขาดพวกนี้ได้มากนะครับนี่คือเหตุผล
00:09:09 → 00:09:12 ต่างๆที่คนมีโอกาสขาดวิตามิน B2 ได้นะ
00:09:12 → 00:09:16 ครับถ้าใครอยู่ในกลุ่มพวกนี้อาจจะต้องมี
00:09:16 → 00:09:18 การไปตรวจเช็คแล้วเดี๋เราจะบอกได้ว่านะ
00:09:18 → 00:09:20 ครับมันจะต้องตรวจอะไรบ้างเพราะว่าบาง
00:09:20 → 00:09:23 ครั้งเราตรวจวิตามิน B2 ออกมาแล้วมันปกติ
00:09:23 → 00:09:27 แต่มันไม่ได้แปลว่าเราไม่ขาดวิตามิน B2
00:09:27 → 00:09:33 ครับอ่าอันนี้ผมขอพูดเพิ่มเติมนิดนึง
00:09:33 → 00:09:36 สำหรับคนที่จะไปตรวจนะครับมันจะมีตรวจ
00:09:36 → 00:09:39 อะไรได้บ้างนะครับอย่างแรกคือตรวจวิตามิน
00:09:39 → 00:09:42 B2 ตรงๆนะครับตรวจไปตรงๆเลยซึ่งวิตามิน
00:09:42 → 00:09:46 B2 ตรงๆเนี่ยถ้าเราไม่มีอาการอะไรเลยนะ
00:09:46 → 00:09:48 ครับไม่มีไม่มีโลหิตจางไม่มีปัญหาเรื่อง
00:09:48 → 00:09:50 ระบบประสาทแล้วเราตรวจออกมาปกติปกติเนี่ย
00:09:50 → 00:09:53 อันเนี้ยสบายใจได้ว่ามันปกติแต่ถ้าเรามี
00:09:53 → 00:09:56 ความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยแล้วเราตรวจ
00:09:56 → 00:09:58 วิตามิน B12 ออกมาได้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
00:09:58 → 00:10:01 อันเนี้ยถือว่าปกติไม่ได้ครับไม่ได้มันจะ
00:10:01 → 00:10:04 ต้องมีการตรวจพิเศษอื่นๆเช่นตรวจตัวที่
00:10:04 → 00:10:07 เรียกว่า MMA Metal Malonic Acid นะ
00:10:07 → 00:10:10 ครับ Home Hosisten นะครับเป็นต้นนะแล้ว
00:10:10 → 00:10:14 ก็อาจจะมีHโลทสโคบาลินตัวนี้ก็เป็นอีกตัว
00:10:14 → 00:10:16 นึงซึ่งสามารถตรวจแล้วก็ยืนยันได้ว่าตกลง
00:10:16 → 00:10:19 แล้วเรามีการขาดวิตามิน B12 หรือไม่นะ
00:10:19 → 00:10:22 ครับตัวนี้เป็นสิ่งสำคัญนะอย่างที่บอกถ้า
00:10:22 → 00:10:25 คนไหนที่เป็นแล้วกินสาหร่ายสปลู่าเพราะ
00:10:25 → 00:10:28 ว่าหวังว่าจะได้ B12 เยอะๆคุณอาจจะได้ B12
00:10:28 → 00:10:30 เทียมเข้าไปในร่างกายผลตรวจออกมาก็ปกติ
00:10:30 → 00:10:33 แต่ถ้าตรวจตัวอื่นน่ะมันจะผิดปกติครับ
00:10:33 → 00:10:35 นะงั้นอันนี้คือสิ่งที่เราควรจะต้องรู้นะ
00:10:35 → 00:10:38 ฮะและแน่นอนครับมันต้องมีบางคนที่ไปตรวจ
00:10:38 → 00:10:40 แล้วเฮ้ยทำไมวิตามิน B2 ในร่างกายของฉัน
00:10:40 → 00:10:44 มันสูงจังเลยสูงจนเกินไปอันตรายหรือเปล่า
00:10:44 → 00:10:47 ต้องบอกอย่างงี้ครับว่าไม่ได้อันตรายครับ
00:10:47 → 00:10:49 แต่สาเหตุที่ทำให้มันสูงนั่นแหละอาจจะ
00:10:49 → 00:10:52 อันตรายได้เช่นอะไรได้บ้างถ้าคุณมี
00:10:52 → 00:10:54 วิตามิน B12 สูงในร่างกายนะครับข้อแรกก็
00:10:54 → 00:10:56 คือเค้าต้องไปดูก่อนว่าคุณกินวิตามิน B2
00:10:56 → 00:10:59 เข้าไปหรือเปล่านะครับถ้ากินเข้าไปฉีด
00:10:59 → 00:11:00 เข้าไปหรืออะไรก็แล้วแต่อันเนี้ยไม่ได้
00:11:00 → 00:11:03 ถือว่าอันตรายแค่เราหยุดมันก็หายนะครับ
00:11:03 → 00:11:06 แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่การที่เราได้
00:11:06 → 00:11:08 วิตามินบีม 2 เสริมล่ะมันเกิดจากอะไรได้
00:11:08 → 00:11:10 บ้างต้องบอกว่ามันเกิดอย่างนี้ครับเราอาจ
00:11:10 → 00:11:13 จะมีโรคตับโรคไต่ซึ่งถ้ามันเป็นมากๆก็จะ
00:11:13 → 00:11:16 ทำให้เราไม่สามารถขับวิตามิน B12 ออกจาก
00:11:16 → 00:11:19 ร่างกายได้ก็จะเกินอยู่ในร่างกายหรือคน
00:11:19 → 00:11:20 ที่เป็นมะเร็งอะไรสักอย่างพวกนี้บางคน
00:11:20 → 00:11:24 วิตามิน B12 ก็จะสูงได้ตัววิตามิน B12
00:11:24 → 00:11:27 ที่สูงไม่เกิดปัญหาครับแต่ตัวที่ทำให้
00:11:27 → 00:11:29 วิตามิน B12 มันสูงตั้งแต่แรกเนี่ยทำให้
00:11:29 → 00:11:33 มีปัญหานะครับอ่ะตรงนี้สำคัญขั้นต่อมาผม
00:11:33 → 00:11:35 อยากจะมาเล่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของการ
00:11:35 → 00:11:38 ดูดซึมวิตามิน B2 ว่ามันเข้าไปในร่างกาย
00:11:38 → 00:11:41 เราได้ยังไงแล้วเวลามันผิดปกติเนี่ยมันก็
00:11:41 → 00:11:45 จะทำให้มีปัญหาของการดูดซึมวิตามิน B2 นำ
00:11:45 → 00:11:48 ไปสู่การที่เราขาดวิตามิน B12 ได้นะครับ
00:11:48 → 00:11:50 แต่สิ่งหนึ่งซึ่งทุกคนต้องรู้นะครับบางคน
00:11:50 → 00:11:53 อาจจะเคยได้ยินว่าไอ้ตัวแบคทีเรียที่อยู่
00:11:53 → 00:11:55 ในลำไส้เราเนี่ยมันสามารถสังเคราะห์
00:11:55 → 00:11:57 วิตามิน B2 ได้ใช่มั้ยแต่เราดูดซึมมันไม่
00:11:57 → 00:12:00 ได้ครับเออดูดซึมไม่ได้เริ่มอย่างนี้ก่อน
00:12:01 → 00:12:04 นะครับอาหารที่มีวิตามิน B12 เนี่ยเนื้อ
00:12:04 → 00:12:07 สัตว์ครับในตับเนี่ยมีเยอะมากเยอะมากกว่า
00:12:07 → 00:12:09 อาหารชนิดอื่นด้วยซ้ำไปถ้าเราอยากจะได้
00:12:09 → 00:12:11 วิตามินบีม 2 จากธรรมชาตินะครับตับนี่
00:12:11 → 00:12:14 แหละครับมีเยอะสุดและทีนี้เวลาที่เรากิน
00:12:14 → 00:12:17 เข้าไปเกิดอะไรขึ้นเรากินเนื้อกินตับเข้า
00:12:17 → 00:12:20 ร่างกายเรามันจะทำการย่อยทำการย่อยเนี่ย
00:12:20 → 00:12:23 ต้องใช้กรดในกระเพาะครับใช้กรดในกระเพาะ
00:12:23 → 00:12:26 เพื่อแยกตัวเนื้อสัตว์กับวิตามิน B2 ออก
00:12:26 → 00:12:29 มานะครับต้องแยกกันออกมาดังนั้นถ้าเราไม่
00:12:29 → 00:12:33 มีกรดในกระเพาะล่ะเช่นคุณเป็นโรคที่มันมี
00:12:33 → 00:12:35 แอนติบอดี้ไปทำลายกรดในกระเพาะนะครับ
00:12:35 → 00:12:37 เซลล์ที่สร้างกรดมันสร้างไม่ได้หรือคุณ
00:12:37 → 00:12:41 กินยาลดการหลั่งกรดก็จะมีโอกาสในการขาด
00:12:41 → 00:12:43 วิตามิน B12 ได้เพราะว่าอาหารที่คุณกิน
00:12:43 → 00:12:46 มันไม่สามารถแยกออกจากวิตามิน B12
00:12:46 → 00:12:48 วิตามิน B12 เนี่ยถ้ามันอยู่ของมันเดี่ยว
00:12:48 → 00:12:52 ๆมันจะโดนทำลายโดยกรดดังนั้นจึงมีสารตัว
00:12:52 → 00:12:57 นึงนะครับมีชื่อว่า R Binder หรือ
00:12:57 → 00:13:00 Transโคบamin One นะครับจับเสร็จปุ๊บ
00:13:00 → 00:13:01 เนี่ยมันจะป้องกันไม่ให้กรดมาทำลาย
00:13:01 → 00:13:05 วิตามิน B12 แล้วหลังจากนั้นมันก็จะวิ่ง
00:13:05 → 00:13:07 เข้าไปสู่ลำไส้เล็กส่วนต้นที่เราเรียกว่า
00:13:07 → 00:13:11 Duโอดinัมนะครับในส่วนนี้น้ำย่อยโปรตีน
00:13:11 → 00:13:13 จากตับอ่อนหรือที่เราเรียกว่าโปรตีเอส
00:13:13 → 00:13:16 เนี่ยจะมาย่อยให้วิตามิน V2 2 แยกกับ
00:13:16 → 00:13:18 ตัวinder
00:13:18 → 00:13:20 นะครับเมื่อกี้นะครับต้องบอกว่ามันมีอยู่
00:13:20 → 00:13:23 ในน้ำลายมีอยู่ในสิ่งขั้นหลั่งในกระเพาะ
00:13:23 → 00:13:25 นะครับเป็นหลักเลยดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณ
00:13:25 → 00:13:28 ไม่มีน้ำลายล่ะเช่นคุณฉายแสงในปากคุณเป็น
00:13:28 → 00:13:31 โรคโจเรนคุณไม่มีน้ำลายเป็นไงครับมีโอกาส
00:13:31 → 00:13:35 ขาดอัลไบเดอร์ได้อ่ะพอมันลงมาถึงตับอ่อน
00:13:35 → 00:13:37 ลำไส้เล็กส่วนต้นเนี่ยต้องได้เอนไซม์จาก
00:13:37 → 00:13:39 ตับอ่อนนั้นแปลว่าถ้าเกิดคุณมีตับอ่อน
00:13:39 → 00:13:41 อักเสบเรื้อรังไม่สามารถสร้างเอนไซม์ได้
00:13:41 → 00:13:44 มันก็ไม่สามารถแยกวิตามิน B2 ออกจาก
00:13:44 → 00:13:48 อารบidเดอร์ได้ก็มีปัญหาอีกถูกมั้ยครับ
00:13:48 → 00:13:51 อ่านี่แหละหลังจากมันแยก B12 ออกจากเสร็จ
00:13:51 → 00:13:55 ป๊บ B12 มันอยู่เดี่ยวๆของมันไม่ได้ครับ
00:13:55 → 00:13:57 มันจะต้องจับกับสารตัวนึงชื่อว่า
00:13:57 → 00:13:58 Intrinsic Factor ซึ่งสร้างมาจาก
00:13:58 → 00:14:01 กระเพาะกลายเป็นวิตามิน B2 อยู่กับ
00:14:01 → 00:14:02 Intrinsic Factor เพื่อป้องกันการโดน
00:14:02 → 00:14:05 ทำลายหลังจากนั้นมันก็วิ่งเข้าไปที่ลำไส้
00:14:05 → 00:14:07 เล็กส่วนปลายที่เรียกว่าไiemนะครับ
00:14:08 → 00:14:11 Terminal isiem ตรงเนี้ยจะมีตัวรับ B12
00:14:11 → 00:14:14 กับ Intensive Factor นะครับตัวเนี้ยจะ
00:14:14 → 00:14:19 ชื่อว่าin amniess complex จับปุ๊บมันก็
00:14:19 → 00:14:22 จะถูกดึงเข้าไปในเซลล์ของลำไส้ในเซลล์ของ
00:14:22 → 00:14:25 ลำไส้มันก็ต้องส่งไปไหนครับกระแสเลือด
00:14:25 → 00:14:28 ครับกระแสเลือดเนี่ยก็จะไปจับกับโปรตีน
00:14:28 → 00:14:30 อีกตัวนึงก็คือกลายเป็นวิตามิน B2 กับ
00:14:30 → 00:14:36 ทรสโคปาิน 2 นะเป็นสารชื่อว่าHโลสโคปิน
00:14:36 → 00:14:39 อ่าพอจับเสร็จปุ๊บไปไหนครับมันก็วิ่งไป
00:14:39 → 00:14:42 ตามที่ต่างๆในร่างกายโดย 50% ของมันเนี่ย
00:14:42 → 00:14:45 จะถูกเก็บอยู่ที่ตับมันจะไปจับกับตัวรับ
00:14:45 → 00:14:48 ตัวนึงชื่อว่า CD 320 นะครับจับแล้วมัน
00:14:48 → 00:14:51 ก็เข้าไปในเซลล์อีก 50% ก็จะไปอยู่ตามที่
00:14:51 → 00:14:53 อื่นนะครับในระบบประสาทหรือในไขกระดูก
00:14:53 → 00:14:57 อะไรพวกนี้เป็นต้นนะครับนี่แหละคือการดูด
00:14:57 → 00:15:01 ซึมวิตามิน B2 ทั้งหมดถ้ามีการผิดปกติของ
00:15:01 → 00:15:03 อะไรสักอย่างในทั้งหมดเนี่ยก็จะทำให้คุณ
00:15:03 → 00:15:08 ขาดวิตามิน B2 ได้ครับทีนี้หลังจากที่มัน
00:15:08 → 00:15:10 ดูดซึมเข้าไปในร่างกายแล้วยังไงต่อเรา
00:15:10 → 00:15:13 ต้องมารู้ครับว่าวิตามิน B12 เนี่ยมีทั้ง
00:15:13 → 00:15:15 หมด 4 ชนิดชนิดด้วยกันแต่ละชนิดไม่เหมือน
00:15:15 → 00:15:19 กันเลยนะครับตัวนึงชื่อเมทิลโคบาลินตัว
00:15:19 → 00:15:22 ที่ 2 adดิโนซิลโคบาลินตัวที่ 3
00:15:22 → 00:15:24 ไฮดรอกโซโคบาลินและตัวที่ 4
00:15:24 → 00:15:27 ไซanโนโคบาลิน
00:15:27 → 00:15:30 เอองงและมันเกี่ยวอะไรกันมันเกี่ยวครับ
00:15:30 → 00:15:33 เพราะว่าเมทิลโคบาลินกับadดิโนซิลโคบาลิน
00:15:33 → 00:15:36 2 ตัวนี้เป็นฟอร์มที่เป็นรูปแบบธรรมชาติ
00:15:36 → 00:15:39 ที่ร่างกายของเรามันมีนะครับแต่ไอ้ 2
00:15:39 → 00:15:41 ฟอร์มหลังเนี่ยไฮดรอกโซโคบาินกับ
00:15:41 → 00:15:44 ไซโนโคปาินเนี่ยมันเป็นฟอร์มที่เรามีน้อย
00:15:44 → 00:15:46 และไซยโนโคปารามินเนี่ยคือเราสังเคราะห์
00:15:46 → 00:15:49 ขึ้นมาซะเป็นส่วนใหญ่นะครับเมทิล
00:15:49 → 00:15:51 โคปารามินเนี่ยมันมีความสำคัญในแง่ของการ
00:15:51 → 00:15:54 สร้าง DNA ครับadดิโนซิลโคปามินตัวเนี้ย
00:15:54 → 00:15:57 มันจะอยู่ในไมโตคอนเดรียของเรามีความ
00:15:57 → 00:16:00 สำคัญต่อการสร้างพลังงานส่วนไอ้ 2 ตัว
00:16:00 → 00:16:02 หลังเนี่ยมันเกิดขึ้นได้น้อยมากทีนี้
00:16:02 → 00:16:05 วิตามิน B12 ไม่ว่าคุณจะกินฟอร์มไหนเข้า
00:16:05 → 00:16:07 ไปก็แล้วแต่นะครับมันเข้าไปสู่เซลล์ของ
00:16:07 → 00:16:10 เรานั้นเนี่ยมันจะแยกตัวออกจากหมู่พวก
00:16:10 → 00:16:13 เมื่อกี้นะครับโคบาลามิน
00:16:13 → 00:16:16 กับหมู่ต่างๆเช่นหมู่adดิโนซิลเมทิลอะไร
00:16:16 → 00:16:19 พวกเมันจะแยกออกจากกันเป็นโคบาลินเดี่ยวๆ
00:16:19 → 00:16:21 แล้วร่างกายของเรามันจะเป็นคนคิดเองว่าจะ
00:16:21 → 00:16:25 เอามันไปรวมกับหมูอะไรถ้ามันต้องการในการ
00:16:25 → 00:16:27 เข้าไปสร้างพลังงานก็จะเอาไปรวมกับหมู
00:16:27 → 00:16:30 adดิโนซิลไปไว้ในเรียแบบนี้นะครับงั้นไม่
00:16:30 → 00:16:33 ว่าคุณจะใช้ฟอร์มไหนเข้าไปในร่างกายมันก็
00:16:33 → 00:16:35 จะกลายไปเป็นฟอร์มเดียวกันแล้วร่างกายจะ
00:16:35 → 00:16:37 เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะทำยังไงกับมันนะ
00:16:37 → 00:16:42 ครับแต่แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ไอ้ 4 ชนิด
00:16:42 → 00:16:44 เนี่ยเนี่ยนะครับมันไม่เหมือนกันเวลาที่
00:16:44 → 00:16:48 คุณจะรับเข้าไปในร่างกายโดยถ้าเป็นเมทิล
00:16:48 → 00:16:52 โคบาลินนะครับกับadดิซิลโคบลินเมิโคบาลิน
00:16:52 → 00:16:54 เนี่ยบางคนจะเรียกว่ามีโคบาลินนะครับมัน
00:16:54 → 00:16:56 ตัวเดียวกันนะไอ้ 2 ตัวเนี้ยจะดูดซึมได้
00:16:57 → 00:17:00 ดีที่สุดไฮดรอกโซโคบาินเนี่ยเราใช้ในการ
00:17:00 → 00:17:03 รักษาโรคพิษจากไซยานไนายส่วนใหญ่จะใช้
00:17:03 → 00:17:05 เป็นยาฉีดนะครับสีของมันเนี่ยสีบานเย็นนะ
00:17:05 → 00:17:08 ครับถ้าฉีดเข้าไปในร่างกายก็เอ่อเวลาเรา
00:17:08 → 00:17:10 ตรวจเลือดเราจะเห็นสีเลือดมันเป็นสีบาน
00:17:10 → 00:17:14 เย็นเลยนะครับอันนั้นก็เป็นเมทิลเป็นตัว
00:17:14 → 00:17:16 ไฮดรอกโซโคบาลินแลเรายังใช้
00:17:16 → 00:17:19 ไฮดรอกโซโคบาลินในกรณีที่มีอาการช็อกจาก
00:17:19 → 00:17:21 เส้นเลือดเนี่ยมันขยายเราเรียกว่า
00:17:21 → 00:17:24 เวโซพลีจียในกรณีที่เป็นอาการรุนแรงมากๆ
00:17:24 → 00:17:27 เช่นถ้าเราต้องผ่าตัดใหญ่นานๆนะครับมีการ
00:17:27 → 00:17:30 ใช้เครื่องปอดหัวใจเทียมนะครับหรือมีโรค
00:17:30 → 00:17:32 ตับรุนแรงเราก็จะใช้ตัวนี้เป็นหลักนะครับ
00:17:32 → 00:17:35 อันเนี้ยส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ใช้กันแต่
00:17:35 → 00:17:38 อาหารเสริมเนี่ยมันมีทั้ง 4 รูปแบบเลยนะ
00:17:38 → 00:17:42 ถ้าให้แนะนำก็จะมีเมทิลโคปามินกับซิโคบิน
00:17:42 → 00:17:44 2 ตัวเนี้ยจะเป็นอาหารเสริมที่ค่อนข้าง
00:17:44 → 00:17:47 จะดีกว่าตัวอื่นนะครับไฮดรอกโซโคบารามีน
00:17:47 → 00:17:49 มีคนทำเป็นอาหารเสริมเหมือนกันแต่ว่ามัน
00:17:49 → 00:17:52 ก็สู้ 2 ตัวแรกไม่ได้ตัวสุดท้ายจะเป็นตัว
00:17:52 → 00:17:54 ที่ทุกคนเนี่ยอาจจะเคยได้ยินแล้วก็เคย
00:17:54 → 00:17:58 เรียนสมัยที่เราเป็นนักเรียนอ่าอาจจะเป็น
00:17:58 → 00:18:00 บางคนได้ยินตั้งแต่ประถมบางคนได้ยินม.ต้น
00:18:00 → 00:18:02 บางคนได้ยินม.ปลายคือไซยาโนโคปารามินนะ
00:18:02 → 00:18:07 ครับมันเป็นอนุพันธ์อันหนึ่งที่มีสาร
00:18:07 → 00:18:09 ไซยานไนายเป็นตัวประกอบนะครับแล้วก็เป็น
00:18:09 → 00:18:13 วงแหวนที่มีโคบออยู่ตรงกลางนะครับตัว
00:18:13 → 00:18:15 เนี้ยเป็นตัวที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพราะว่า
00:18:15 → 00:18:17 มันทำให้อยู่ในร่างกายเราได้นานนะครับ
00:18:17 → 00:18:20 แล้วก็ใช้เป็นอาหารเสริมเป็นยาฉีดมานานนะ
00:18:20 → 00:18:23 ครับแต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ
00:18:23 → 00:18:25 ไซยาโนโคบาลามินเนี่ยเวลามันเข้าไปในร่าง
00:18:25 → 00:18:28 กายอย่างที่ผมบอกมันต้องมีการแยกตัวออก
00:18:28 → 00:18:30 จากหมู่ใช่มั้ยครับหมู่ไซยานไนายนมันจะ
00:18:30 → 00:18:34 แยกออกจากหมู่มูโคบาลามินแปลว่าคุณจะมี
00:18:34 → 00:18:37 โอกาสมีไซยานไนายเกินในร่างกายได้ครับถ้า
00:18:37 → 00:18:39 เกิดคุณเป็นคนปกติไม่มีปัญหาครับแต่ถ้า
00:18:39 → 00:18:43 เกิดคุณเป็นคนที่มีโรคไตวายไม่ควรได้
00:18:43 → 00:18:45 ฟอร์มนี้เข้าไปครับเพราะว่าคุณไม่สามารถ
00:18:45 → 00:18:48 ขับไซยานไนายออกได้เหมือนคนทั่วไปครับมี
00:18:48 → 00:18:51 โอกาสที่คุณจะมีไซยนายเกินในร่างกายแล้ว
00:18:51 → 00:18:54 ฟอร์มเนี้ยไซยาโนโคปารามินถ้าเกิดคนไหน
00:18:54 → 00:18:56 เป็นโรคไตได้เข้าไปในร่างกายนะครับโอกาส
00:18:56 → 00:18:58 ที่มันจะดูดซึมได้เนี่ยมันจะน้อยกว่า 2
00:18:58 → 00:19:02 ฟอร์มที่เมื่อกี้เราเล่าไปนะครับงั้นตรง
00:19:02 → 00:19:07 นี้เป็นสิ่งที่เราต้องเข้าใจนะฮะทีนี้พอ
00:19:07 → 00:19:09 เรารู้มาถึงตรงนี้และสิ่งที่เราต้องรู้
00:19:10 → 00:19:13 ต่อไปว่าแล้วเราถ้าเราขาดแล้วเราไปตั๋ว
00:19:13 → 00:19:14 เราว่าขาดเนี่ยหรือมีอาการคล้ายแบบเมื่อ
00:19:14 → 00:19:18 กี้แล้วเฮ้ยเราจะต้องกินยังไงรักษายังไง
00:19:18 → 00:19:20 กินเดี่ยวๆหรือต้องกินกับอย่างอื่นนะครับ
00:19:20 → 00:19:23 ต้องบอกอย่างงี้ครับว่าปกติคนเราทั่วไป
00:19:23 → 00:19:25 เนี่ยวิตามิน B12 ที่เราต้องการแต่ละวัน
00:19:25 → 00:19:28 คือประมาณ 2.4 4 ไมโครกรัมต่อวันและ
00:19:28 → 00:19:31 โอกาสจะขาดมันเนี่ยยากมากๆถ้าเกิดคุณกิน
00:19:31 → 00:19:34 อาหารทั่วไปปกติคุณไม่ได้ขาดสารอาหารคุณ
00:19:34 → 00:19:37 ไม่ได้กินเม็ดฟอมินระยะเวลานานๆคุณไม่ได้
00:19:37 → 00:19:39 อ่ากินยารดกรดหรือว่ามีโรคประจำตัวอะไร
00:19:39 → 00:19:41 ที่ต้องตัดลำไส้พวกเนี้ยหรือคนที่กิน
00:19:41 → 00:19:43 แอลกอฮอล์เยอะๆไม่ได้มีปัญหาเรื่องตับ
00:19:43 → 00:19:46 อ่อนอักเสบนั้นๆคุณโอกาสขาดเนี่ยแทบไม่มี
00:19:46 → 00:19:48 มันอยู่ในร่างกายเราได้เป็นหลายเดือนกว่า
00:19:48 → 00:19:51 จะขาดเนี่ยคุณต้องมีปัญหาที่คุณเป็นอย่าง
00:19:51 → 00:19:53 เงี้ยเรื้อรังไปหลายๆเดือนคุณถึงจะขาด
00:19:53 → 00:19:57 วิตามิน B12 ได้นะครับดังงั้นถ้าเกิดคุณ
00:19:57 → 00:19:59 เป็นคนปกติไม่ต้องกลัวครับแต่ถ้าเกิดคุณ
00:19:59 → 00:20:02 มีอาการอย่างที่ผมเล่าไปตอนต้นคลิปก็ควร
00:20:02 → 00:20:05 ไปตรวจถ้าตรวจแล้วเจอว่ามันต่ำนะครับก็
00:20:05 → 00:20:07 รักษาแต่ถ้าเกิดตรวจวิตามิน B2 ออกมาแล้ว
00:20:07 → 00:20:11 มันไม่ต่ำอย่าลืมตรวจตัวอื่นที่ผมบอกไป
00:20:11 → 00:20:13 เพราะว่าถ้าคุณมีอาการมีเม็ดและแดงมันตัว
00:20:13 → 00:20:16 ใหญ่มีโลหิตจางนะครับมีปัญหาทางระบบ
00:20:16 → 00:20:19 ประสาทคุณตรวจแค่ B12 ธรรมดาไม่ได้นะครับ
00:20:19 → 00:20:23 คุณจะต้องมีการตรวจตัวอื่นนะฮะเช่น
00:20:23 → 00:20:26 metalonic acid เช่นตรวจอ่าอ่าโฮโมซินะ
00:20:26 → 00:20:29 ครับพวก 2 ตัวเนี้ยมันจะสูงนะครับแล้วก็
00:20:29 → 00:20:32 อาจจะตรวจโฮโลทโคปารamินตัวเนี้ยก็จะต่ำ
00:20:32 → 00:20:36 นะครับอันเนี้ยเป็นตัวที่เราต้องตรวจนะพอ
00:20:36 → 00:20:39 ถ้าเราต่ำเสร็จปุ๊บเนี่ยวิธีการรักษาเออ
00:20:40 → 00:20:42 เราก็ต้องกินเสริมเข้าไปโดยทั่วไปถ้าเรา
00:20:42 → 00:20:44 ขาดเนี่ยเราก็จะมีวิธีในการเสริมโดยการ
00:20:44 → 00:20:47 กินนะครับการกินเนี่ยเราก็จะใช้ประมาณสัก
00:20:47 → 00:20:50 100-1,000 ไมโครกรัมต่อวันนะครับนี่คือ
00:20:50 → 00:20:54 การกินเสริมนะฮะอย่างไรก็ตามอันนี้จะใช้
00:20:54 → 00:20:57 ได้ในคนที่มีปัญหาเรื่องของการได้รับเข้า
00:20:57 → 00:21:00 ไปในร่างกายไม่พอเท่านั้นแต่ถ้าเกิดใคร
00:21:00 → 00:21:03 ที่มีปัญหาทางด้านการดูดซึมเนี่ยอ่าบางที
00:21:03 → 00:21:06 การใช้ขนาดสูงอย่างเดียวมันอาจจะไม่พอนะ
00:21:06 → 00:21:08 ครับอาจจะต้องใช้วิธีพิเศษเช่นการอมใต้
00:21:08 → 00:21:11 ลิ้นมันจะมี B12 บางฟอร์มเนี่ยอมใต้ลิ้น
00:21:11 → 00:21:12 เพื่อให้มันดูดซึมเข้ากระแสเลือดโดยตรง
00:21:12 → 00:21:15 โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการในลำไส้ของเรานะ
00:21:15 → 00:21:17 ครับอันนั้นก็เป็นอีกวิธีนึงหรือจะใช้
00:21:17 → 00:21:20 วิธีฉีดเข้าไปก็เป็นอีกวิธีนึงซึ่งจะทำ
00:21:20 → 00:21:22 ให้เราไม่จำเป็นจะต้องใช้การดูดซึมทาง
00:21:22 → 00:21:25 เดินอาหารนะครับอันเนี้ยก็จะให้หมอเ้า
00:21:25 → 00:21:28 เป็นคนคิดแล้วว่าจะใช้แบบไหนดีส่วนมันจะ
00:21:28 → 00:21:33 มีบางคนครับมีแอนตี้บอดี้ผิดปกติทำให้ไป
00:21:33 → 00:21:35 จับกับตัวที่ชื่อว่า Intrinsic Factor
00:21:35 → 00:21:37 เมื่อตะกี้ที่ผมบอกซึ่งมันสร้างมาจาก
00:21:37 → 00:21:39 เซลล์เนี่ยกระเพาะนะครับถ้าไปจับกับ
00:21:39 → 00:21:40 Intrinsic Factor มันจะทำให้เราไม่
00:21:40 → 00:21:43 สามารถดูดซึมวิตามิน B12 ได้พวกนี้เนี่ย
00:21:43 → 00:21:46 กินเข้าไปมันก็ไม่เข้าไปในร่างกายครับคุณ
00:21:46 → 00:21:48 อาจจะต้องฉีดมันเข้าไปหรือว่าอมใต้ลิ้น
00:21:48 → 00:21:50 ให้มันดูดซึมเข้าในกระแสเลือดผ่านทางเส้น
00:21:50 → 00:21:54 เลือดใต้ลิ้นไปโดยตรงนะครับนี่คือวิธีนะ
00:21:54 → 00:21:58 ทีนี้ครับถ้าใครฟังมาถึงตรงเนี้ยผมจะให้
00:21:58 → 00:22:01 โบนัสข้อนึงซึ่งถ้าใครฟังมาไม่ถึงตรงนี้
00:22:01 → 00:22:04 นะครับเราไม่ต้องไปบอกเค้านะครับอ่ามัน
00:22:04 → 00:22:07 เป็นส่วนที่เก็บไว้ในส่วนนี้นั่นก็คือคน
00:22:07 → 00:22:11 ที่มีอาการทางระบบประสาทต่างๆเช่นคุณเป็น
00:22:11 → 00:22:15 เบาหวานแล้วมีอาการชาตามที่ต่างๆหรือมี
00:22:15 → 00:22:19 ปัญหาทางด้านของอ่าอาการชาชนิดต่างๆไม่
00:22:19 → 00:22:22 ว่าจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่แล้วเราเคยได้
00:22:22 → 00:22:24 ยินคนที่ให้วิตามิน B1 162 มั้ยแล้วมัน
00:22:25 → 00:22:29 ไม่หายมีมั้ยมีครับหลายคนเนี่ยมีอาการชา
00:22:29 → 00:22:32 แล้วไปหาหมอก็ให้วิตามิน B62 มาเยอะแยะไป
00:22:32 → 00:22:35 หมดแล้วทำไมมันไม่หายอ่ะ
00:22:35 → 00:22:38 มันไม่หายเพราะว่าขนาดมันไม่ถึงครับโดย
00:22:38 → 00:22:41 ปกติคนที่มีปัญหาเรื่องชาโดยเฉพาะที่เป็น
00:22:41 → 00:22:43 เบาหวานกินเม็ดฟอมินมานานๆแล้วมีอาการเบา
00:22:43 → 00:22:45 หวานคุมไม่ได้แล้วมันชาพวกเนี้ยมันอาจจะ
00:22:45 → 00:22:47 หายได้หรืออาจจะดีขึ้นได้ถ้าเราให้
00:22:47 → 00:22:50 วิตามินบีม 2 ที่ขนาดสูงพอสูงพอเนี่ย
00:22:50 → 00:22:52 เมื่อตะกี้เราบอกแล้วว่าถ้าเราขาดวิตามิน
00:22:52 → 00:22:56 บีม 2 เฉยๆเรากินเข้าไป 100-1,000
00:22:56 → 00:22:59 ไมโครกรัมก็พอแต่พวกเนี้ยอาจจะต้องสูงถึง
00:22:59 → 00:23:02 3,000 ไมโครกรัมการกินวิตามิน B2 ที่สูง
00:23:02 → 00:23:04 เยอะๆเนี่ยไม่เกิดปัญหากับร่างกายนะคุณ
00:23:04 → 00:23:09 กินได้คุณกินได้เลยจะกิน 1,500-3,000
00:23:09 → 00:23:12 ไมโครโกกรัมในกรณีนี้นะครับแต่เราจะไม่
00:23:12 → 00:23:15 ให้แค่ B12 อย่างเดียวเราจะให้คู่กับ
00:23:15 → 00:23:20 อย่างอื่นเช่นโฟลิค 1 มลกันะครับอ่าอาจจะ
00:23:20 → 00:23:24 มีการให้คู่กับ B6 100 มกั B6 เนี่ยอย่า
00:23:24 → 00:23:26 ไปกินเกินนะครับ 100 คือ 100 คุณจะกิน
00:23:26 → 00:23:29 ตั้งแต่ 50- 100 ต่อวันเท่านั้นอย่าไป
00:23:29 → 00:23:30 กินมากกว่านั้นเพราะว่ามันจะเกิดปัญหากับ
00:23:31 → 00:23:33 ร่างกายขึ้นมาได้นะครับต้องระวังตรงนี้
00:23:34 → 00:23:38 อะไรที่กินเกินได้คือ B12 แต่ว่าตัว B6
00:23:38 → 00:23:41 อย่ากินเกินนะครับโฟลิกินเกินได้โฟลิคไม่
00:23:41 → 00:23:43 มีปัญหาส่วนใหญ่ก็กินที่ 1-5 มิลกรัม
00:23:43 → 00:23:46 สามารถกินได้นะครับพวกนี้กินด้วยกันแล้ว
00:23:46 → 00:23:49 ก็จะต้องมีตัวนึงคือแอลฟ่าไโปอิ Acid
00:23:49 → 00:23:51 Alphaic Acid เนี่ยจะต้องกินประมาณสัก
00:23:51 → 00:23:55 300-6 600 มกรัต่อวันนะครับอ่า 300-600
00:23:55 → 00:24:00 มกัต่อวันและตัวสุดท้ายคือตัวอ่าlคanนตัว
00:24:00 → 00:24:04 นี้จะกินที่ 500-1,000 มกรัต่อวันนะของ
00:24:04 → 00:24:06 พวกเนี้ยกินคู่กันได้ทั้งหมดโดยเฉพาะคน
00:24:06 → 00:24:08 ที่มีปัญหาทางด้านของระบบประสาทมากๆนะ
00:24:08 → 00:24:11 ครับมันจะช่วยฟื้นฟูระบบประสาทได้เร็วมาก
00:24:11 → 00:24:14 ขึ้นนะครับอันนี้เป็นวิธีพิเศษซึ่งถ้าใคร
00:24:14 → 00:24:17 ไปอ่านงานวิจัยมาหลายๆงานเนี่ยจะรู้วิธี
00:24:17 → 00:24:19 นี้แต่ถ้าเกิดคนที่ไม่ได้อ่านงานวิจัยพวก
00:24:19 → 00:24:22 นี้มาเนี่ยแล้วให้วิตามิน B160 12 โดย
00:24:22 → 00:24:24 ที่ไม่ได้คิดอะไรมากนะครับอ่าส่วนใหญ่ให้
00:24:24 → 00:24:26 ไปก็ไม่ค่อยเกิดอะไรขึ้นเพราะว่าขนาดมัน
00:24:26 → 00:24:29 ไม่ถึงแล้วก็ไม่ได้เป็นการให้ร่วมกับยา
00:24:29 → 00:24:31 หรือวิตามินตัวอื่นๆที่มันมีความจำเป็น
00:24:31 → 00:24:34 ต่อการเสริมสร้างระบบประสาทด้วยนะครับอ่ะ
00:24:34 → 00:24:36 วันนี้ผมหวังว่าจะเป็นการรีวิวเรื่องของ
00:24:36 → 00:24:40 วิตามิน B12 ที่ครบถ้วนที่สุดใน YouTube
00:24:40 → 00:24:42 นะครับเพราะเท่าที่ผมไปฟังมาหลายๆที่
00:24:42 → 00:24:45 เนี่ยยังไม่มีอะไรที่พูดได้ครบขนาดคลิป
00:24:45 → 00:24:48 นี้มาก่อนนะครับถ้าใครฟังมาถึงตรงนี้ท่าน
00:24:48 → 00:24:51 ก็โชคดีแล้วนะครับเพราะว่าจะได้รู้ตัวว่า
00:24:51 → 00:24:54 B12 คืออะไรมีกี่ฟอร์มแต่ละฟอร์มต่างกัน
00:24:54 → 00:24:57 แบบไหนกินเท่าไหร่ใครที่มีโอกาสขาดบ้างนะ
00:24:57 → 00:25:00 ครับแล้วก็วิตามิน B12 ปลอมคืออะไรเรียก
00:25:00 → 00:25:02 ว่าสูโดวิตามตามิน B12 ไม่ได้มีแค่
00:25:02 → 00:25:05 สาหร่ายสปลู่านะครับแต่ว่าอาหารอื่นๆก็มี
00:25:05 → 00:25:07 ปัญหาเหมือนกันนะครับที่มันมีวิตามิน B12
00:25:07 → 00:25:10 ปลอมที่คุณตรวจเลือดแล้วมันก็ออกมาปกติ
00:25:10 → 00:25:13 ได้คุณต้องตรวจพิเศษถึงจะรู้ว่ามันคือ
00:25:13 → 00:25:15 อะไรนะครับแล้วนอกจากนี้บางคนบอกว่าถ้า
00:25:15 → 00:25:17 เรากินโปรไบโอติกกินอะไรพวกเนี้ยเข้าไป
00:25:17 → 00:25:19 แล้วมันสามารถสร้างวิตามิน B12 ขึ้นมาใน
00:25:19 → 00:25:21 ร่างกายได้มั้มั้ยได้ครับแต่คุณดูดซึมไม่
00:25:21 → 00:25:25 ได้เพราะว่าการดูดซึมจะต้องเกิดขึ้นที่
00:25:25 → 00:25:28 terminal ไอumหรือลำไส้เล็กส่วนปลายเท่า
00:25:28 → 00:25:30 นั้นแต่ไอ้พวกโปรไบอติกของคุณเนี่ยมัน
00:25:30 → 00:25:33 อยู่ที่ไหนครับลำไส้ใหญ่ครับแล้วลำไส้
00:25:34 → 00:25:36 ใหญ่มันต้องไปไหนล่ะคุณถ่ายอุจจาระออกมา
00:25:36 → 00:25:39 มันไม่มีการย้อนคืนกับเขาไปที่บริเวณลำ
00:25:39 → 00:25:42 ไส้เล็กส่วนปลายครับเพราะว่าตรงนั้นมันมี
00:25:42 → 00:25:45 ลิ้นอันนึงกั้นอยู่ระหว่างลำไส้ใหญ่กับลำ
00:25:45 → 00:25:48 ไส้เล็กส่วนปลายมันให้อาหารไปทางเดียวมัน
00:25:48 → 00:25:50 ไม่ควรจะย้อนกลับมา
00:25:50 → 00:25:53 นะงั้นโอกาสที่คุณจะกินโปรไบโอติกกินอะไร
00:25:53 → 00:25:54 พวกนี้เข้าไปแล้วให้มันสร้างวิตามิน B12
00:25:54 → 00:25:56 ให้กับร่างกายของคุณนะครับแล้วก็ดูดซึม
00:25:56 → 00:25:59 เข้าไปได้เนี่ยมันเป็นไปไม่ได้ครับนะงั้น
00:25:59 → 00:26:01 วันนี้เราจะได้เข้าใจทุกๆอย่างที่เกี่ยว
00:26:01 → 00:26:05 ข้องกับมันแล้วก็ไม่ถูกหลอกลวงทางด้านของ
00:26:05 → 00:26:07 การค้าต่างๆถ้าใครจะใช้วิตามิน B2 ก็ใช้
00:26:07 → 00:26:09 ตามนี้นะครับตัวนี้เป็นตัวที่กินเกินก็
00:26:09 → 00:26:11 ไม่ได้อันตรายอะไรนะครับแต่ถ้าใครไปตรวจ
00:26:11 → 00:26:14 เจอในเลือดแล้วมันสูงเนี่ยต้องไปหาสาเหตุ
00:26:14 → 00:26:16 อย่างที่ผมบอกไปนะครับโรคตับโรคไตกินเกิน
00:26:16 → 00:26:18 ไปหรือเปล่านะครับที่ทำให้มันสูงหรือคน
00:26:18 → 00:26:21 บางคนมีโรคมะเร็งบางอย่างที่ทำให้มันสูง
00:26:21 → 00:26:23 ก็ต้องไปตรวจให้เจอนะครับโอเควันนี้ก็
00:26:23 → 00:26:25 เล่าให้ฟังเพียงเท่านี้นะครับถ้าใครมี
00:26:25 → 00:26:27 อะไรสงสัยก็สอบถามมานะครับขอบคุณมากครับ
00:26:27 → 00:26:29 สวัสดี