00:00:01 → 00:00:05 รู้จักโรคอาหารเป็นพิษ uris มีพิษร้ายแรง
00:00:05 → 00:00:09 ที่สุดรับมือโรคอาหารเป็นพิษิึก่อน
00:00:09 → 00:00:13 อันตรายถึงชีวิตเลือกซื้ออาหารกระป๋อง
00:00:13 → 00:00:16 อย่างไรปลอดภัยไม่ปนเปื้อนเชื้อติดตาม
00:00:16 → 00:00:20 เรื่องราวทั้งหมดได้ในรายการ TNN Health
00:00:20 → 00:00:23 วัน
00:00:23 → 00:00:27 นี้สวัสดีค่ะขอต้อนรับเข้าสู่รายการ TNN
00:00:27 → 00:00:30 Health เข้าถึงทุกสาระสุขภาพเสริมภูมิ
00:00:30 → 00:00:33 คุ้มกันรู้ทันโรคไปกับ TNN Health ค่ะ
00:00:33 → 00:00:36 และดิฉันหมอดาวแพทย์หญิงฉัตดาวจังวังกร
00:00:36 → 00:00:39 แพทย์เฉพาะทางซาขาเวชศาสตร์ครอบครัวพร้อม
00:00:40 → 00:00:42 ที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการพาคุณ
00:00:42 → 00:00:48 ผู้ชมมาเข้าถึงสาระสุขภาพดีๆกันค่ะ
00:00:48 → 00:01:00 [เพลง]
00:01:00 → 00:01:02 สำหรับวันนี้นะคะเราจะมาพูดถึงเรื่องของ
00:01:02 → 00:01:06 โรคอาหารเป็นพิษโรคหนึ่งนั่นก็คือโรคิึ
00:01:06 → 00:01:10 ค่ะโรคิึนั้นนะคะอันตรายถึงชีวิตได้เลย
00:01:10 → 00:01:14 ค่ะโรคอาหารเป็นพิษิึเป็นกลุ่มอาการที่
00:01:14 → 00:01:18 เกิดจากสารพิษที่รุนแรงโดยรับประทานอาหาร
00:01:18 → 00:01:22 ที่มีการปนเปื้อนสารพิษจากคอสทิเดียม
00:01:22 → 00:01:26 โบทีโรคอาหารเป็นพิษโบทูลิซึมนั้นพบได้
00:01:26 → 00:01:30 ทั่วโลกสำหรับประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจาก
00:01:30 → 00:01:33 การรับประทานหน่อไม้อัดปี๊บที่ไม่ได้ต้ม
00:01:33 → 00:01:36 หรือหน่อไม้ต้มบรรจุถุงพลาสติกที่ชาวบ้าน
00:01:36 → 00:01:40 เรียกว่าหน่อไม้ซิ่งในหนังสือเรื่องระบาด
00:01:40 → 00:01:43 บรรลือโลกเล่มที่ 4 ของศาสตราจารย์เกียรต
00:01:43 → 00:01:46 คุณนายแพทย์ประเสริฐทองเจริญได้กล่าวถึง
00:01:46 → 00:01:49 การกำเนิดของโรคโบทูลิซึมและช่วงเวลาที่
00:01:49 → 00:01:52 มีการแพร่ระบาดไว้ว่ากำเนิดของโรค
00:01:52 → 00:01:56 โบทูลิซึมสามารถย้อนกลับไปราวคริสตศักร
00:01:56 → 00:01:59 ที่ 18 มีบันทึกการระบาดของโรคไส้กรอก
00:01:59 → 00:02:01 เป็นพิษที่แคว้น
00:02:01 → 00:02:05 บทางภาคใต้ของเยอรมนีโรคทำนองเดียวกัน
00:02:05 → 00:02:09 นั้นเกิดระบาดอีกเมื่อปีพุทธศ
00:02:09 → 00:02:13 2336 ที่เมืองบารมีผู้ป่วยจำนวน 13 คน
00:02:13 → 00:02:17 เสียชีวิต 6 คนหลังการบริโภคไส้กรอกเลือด
00:02:17 → 00:02:20 เหตุการณ์ดังกล่าวดลใจให้แพทย์ที่เมือง
00:02:20 → 00:02:23 นั้นได้ทำการศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุของโรค
00:02:23 → 00:02:27 จากข้อมูลผู้ป่วย 230 คนต่อมามีผู้เรียก
00:02:27 → 00:02:30 ชื่อโรคนี้ว่าโบท
00:02:30 → 00:02:35 ตามภาษาลาตินที่เรียกไส้กรอกว่าโบัสนั่น
00:02:35 → 00:02:39 เองขณะที่ในประเทศไทยเมื่อปีพุทธศัก
00:02:39 → 00:02:43 2549 ได้มีการระบาดโดยพบโรคโบทิมจากหน่อ
00:02:43 → 00:02:47 ไม้ปี๊บที่จังหวัดน่านมีผู้ป่วยจำนวนมาก
00:02:47 → 00:02:52 ถึง 163 คนแท้จริงแล้วโรคิึได้อุบัติขึ้น
00:02:52 → 00:02:55 ทั่วโลกโดยวิธีการต่างๆกันมาก่อนแล้ว
00:02:55 → 00:03:00 เชือกคสมบุ่มเป็นแบคทีเรียทรงแท่งขนาดโต
00:03:00 → 00:03:03 สีม่วงทนทานต่อสิ่งแวดล้อมเจริญได้ดีใน
00:03:03 → 00:03:06 ภาวะไร้ออกซิเจนมีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวด
00:03:06 → 00:03:09 ล้อมสามารถพบได้ในตะกอนดินโคลนแหล่งน้ำ
00:03:09 → 00:03:13 จืดบ่อน้ำทะเลสาบและตะกอนดินโคลนน้ำเค็ม
00:03:13 → 00:03:16 ฝุ่นตามบ้านเรือนบนอาหารทั่วไปและใน
00:03:16 → 00:03:20 บริเวณที่มีพืชผักเน่าเปื่อยดังนั้นจึงพบ
00:03:20 → 00:03:23 ได้บ้างชั่วคราวในลำไส้นกสัตว์เลี้ยงลูก
00:03:23 → 00:03:27 ด้วยนมปลาและสัตว์ทะเลหลายชนิดทั้งนี้สาร
00:03:27 → 00:03:31 พิษชีวภาพที่เรียกว่าึมนั้นนะคะเป็นสาร
00:03:31 → 00:03:34 ที่น่ากลัวมากเลยเพราะว่าเขาไร้สีไร้
00:03:34 → 00:03:37 กลิ่นและไร้รส
00:03:37 → 00:03:40 ด้วยเชื่อกันโดยทั่วไปว่าสารพิษชีวภาพ
00:03:40 → 00:03:44 โบทูลิซึมมีพิษร้ายแรงที่สุดมากกว่าสาร
00:03:44 → 00:03:47 พิษชีวภาพใดๆที่รู้จักกันในปัจจุบัน
00:03:47 → 00:03:51 สำหรับสารพิษชนิด a หากคนน้ำหนัก 70 กก
00:03:51 → 00:03:54 รับประทานเข้าไปในปริมาณประมาณ 70
00:03:54 → 00:03:58 ไมโครกรัมจะทำให้เสียชีวิตได้ถ้าโดยการ
00:03:58 → 00:04:02 สูดหายใจจะใช้ปริมาณ 0.8 - 0.9
00:04:02 → 00:04:06 ไมโครกรัมและถ้าฉีดเข้าหลอดเลือดดำประมาณ
00:04:06 → 00:04:11 0.09 ถึง 0.15 ไมโครกรัมก็มากพอที่จะ
00:04:11 → 00:04:15 เสียชีวิตได้เช่นกันลักษณะของอาหารที่มี
00:04:15 → 00:04:19 ความเป็นพิษจาก uris มีลักษณะดังนี้โรค
00:04:19 → 00:04:23 อาหารเป็นพิษ uris เป็นกลุ่มอาการที่เกิด
00:04:23 → 00:04:26 จากสารพิษที่รุนแรงโดยรับประทานอาหารที่
00:04:26 → 00:04:30 ปนเปื้อนเข้าไปซึ่งแตกต่างจาก infant B
00:04:30 → 00:04:33 ที่เชื้อจะสร้างสารพิษในลำไส้สำหรับ
00:04:33 → 00:04:38 ลักษณะอาการของผู้ที่เข้าข่ายโรคบึมมีดัง
00:04:38 → 00:04:41 ต่อไปนี้ลักษณะอาการที่สำคัญจะเกิดกับ
00:04:42 → 00:04:46 ระบบประสาทของร่างกายได้แก่หนังตาตกการ
00:04:46 → 00:04:49 มองเห็นไม่ชัดหรือเห็นเป็นภาพซ้อนปากแห้ง
00:04:50 → 00:04:53 และเจ็บคอเป็นอาการนำอาการเหล่านี้อาจจะ
00:04:53 → 00:04:56 ตามมาด้วยอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ 2
00:04:56 → 00:05:00 ข้างในผู้ป่วยที่ยังรู้สติดีอาจอาการ
00:05:00 → 00:05:03 อาเจียนและท้องเดินในระยะแรกของโรคมักไม่
00:05:03 → 00:05:06 มีไข้ยกเว้นในรายที่มีการติดเชื้อแทรก
00:05:07 → 00:05:10 ซ้อนถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
00:05:10 → 00:05:13 ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยจะเสียชีวิตใน
00:05:13 → 00:05:17 เวลา 3-7 วันหลังจากที่เริ่มมีอาการจาก
00:05:17 → 00:05:21 การหายใจล้มเหลวหรือการติดเชื้อแทรกซ้อน
00:05:21 → 00:05:25 เชื้อบึมสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ถึง 7
00:05:25 → 00:05:26 ลักษณะดัง
00:05:26 → 00:05:31 นี้รับเชื้อจากบาดแผลการติดเชื้อในเด็ก
00:05:31 → 00:05:35 ทารกมีเชื้อมาอาศัยเกาะที่ผนังลำไส้ทารก
00:05:35 → 00:05:39 อายุต่ำกว่า 1 ขวบเนื่องจากในลำไส้ทารก
00:05:39 → 00:05:41 ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะป้องกัน
00:05:41 → 00:05:45 เชื้อรับเชื้อจากการบริโภคเป็นการรับ
00:05:45 → 00:05:47 เชื้อจากการบริโภคอาหารที่ถนอมไว้บริโภค
00:05:47 → 00:05:51 เช่นอาหารกระป๋องอาหารอัดปี๊บที่ผลิตโดย
00:05:51 → 00:05:52 ไม่ถูก
00:05:52 → 00:05:55 สุขลักษณะรับเชื้อผ่านทางเดินอาหารในผู้
00:05:55 → 00:05:58 ใหญ่จากบริโภคอาหารที่มีสปอของเชื้อโรคปน
00:05:58 → 00:06:02 เปื้อนในกระบวนการผลรับเชื้อจากเวท
00:06:02 → 00:06:04 ปฏิบัติเช่นการฉีด
00:06:04 → 00:06:08 บึมรักษาโรคในปริมาณที่เกินขนาดหรือใช้
00:06:08 → 00:06:13 ผลิตภัณฑ์ที่ปลอมเลียนแบบการฉีดโบนทอกซิน
00:06:13 → 00:06:16 เพื่อรักษาโรคไมเกรนโรคกล้ำเนื้อกระตุก
00:06:16 → 00:06:18 นังตากระตุกเป็น
00:06:18 → 00:06:23 ต้นการรับเชื้อบึมจากระบบทางเดินหายใจค่ะ
00:06:23 → 00:06:27 ก็ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการของโรคบึมได้เช่น
00:06:27 → 00:06:31 เดียวกันรับเชื้อจากการใจสูตรดมละอองฝอย
00:06:31 → 00:06:35 ของโบทูลิซึมก็อาจทำให้เกิดอาการได้รับ
00:06:35 → 00:06:38 เชื้อจากการก่อการร้ายทางชีวภาพเป็นการ
00:06:38 → 00:06:41 ตั้งใจทำร้ายจากคนบางกลุ่มโดยนำเอาสาร
00:06:41 → 00:06:45 ชีวพิษไปใช้เป็นอาวุธชีวภาพเอาไปปนเปื้อน
00:06:45 → 00:06:51 ลงในอาหารน้ำนมหรือนำไปฉีดพ่นตามจุดต่างๆ
00:06:51 → 00:06:54 นับว่าเป็นการก่อการร้ายทางชีวภาพเช่นใน
00:06:54 → 00:06:57 สงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นก็เคย
00:06:58 → 00:07:02 ใช้กับเชลยศึกด้วยวิธีการนี้ได้รับทราบ
00:07:02 → 00:07:05 เรื่องของโรคอาหารเป็นพิษโบทิมกันไปบ้าง
00:07:05 → 00:07:08 แล้วนะคะในช่วงนี้นะคะเราจะไปลงลึกถึงราย
00:07:08 → 00:07:11 ละเอียดของโรคอาหารเป็นพิษโบ tourism กับ
00:07:11 → 00:07:14 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาก
00:07:14 → 00:07:17 ขึ้นสวัสดีค่ะอาจารย์ขอเริ่มที่คำถามแรก
00:07:17 → 00:07:19 เลยนะ
00:07:19 → 00:07:25 [เพลง]
00:07:25 → 00:07:30 คะภาวะิึจากอาหารค่ะคืออะไรคะอาจารย์โรค
00:07:30 → 00:07:33 ิึนะครับมีอาการที่รุนแรงครับแต่ว่าเราพบ
00:07:33 → 00:07:36 ได้ไม่บ่อยนะครับซึ่งเกิดจากสารพิษหรือ
00:07:36 → 00:07:38 ว่าท็อกซินซึ่งสารพิษตัวนี้เนี่ยผลิตมา
00:07:38 → 00:07:40 จากแบคทีเรียที่ชื่อว่าคอิ botulinum
00:07:40 → 00:07:43 ครับแล้วสารพิษของมันเนี่ยชื่อว่า urin
00:07:43 → 00:07:45 นรทกินทำให้เกิดอาการอัมพาดนะครับกล้าม
00:07:45 → 00:07:48 เนื้ออ่อนแรงผู้ป่วยโรคนี้จะมีการอ่อนแรง
00:07:48 → 00:07:50 ของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายครับโดยเฉพาะ
00:07:50 → 00:07:52 บริเวณใบหน้าแล้วก็กล้ามเนื้อที่ใช้ในการ
00:07:52 → 00:07:55 หายใจทำให้ผู้ป่วยมีภาวะหายใจล้มเหลวครับ
00:07:55 → 00:07:58 แล้วก็เสียชีวิตได้หนึ่งในช่องทางที่สาร
00:07:58 → 00:08:00 พิษเหล่านี้จะเข้าสู่สร่างกายก็คือการกิน
00:08:00 → 00:08:03 แล้วก็จะปนเปื้อนมากับอาหารนั่นเองครับ
00:08:03 → 00:08:09 อาจารย์คะแล้วเชื้อโรคิึคืออะไร uris นะ
00:08:09 → 00:08:10 ครับเป็นชื่อของโรคนะครับหรือว่าชื่อของ
00:08:10 → 00:08:13 อาการแต่ว่าสารพิษที่เรียกว่า botulinum
00:08:13 → 00:08:16 นทินซึ่งสารพิษนี้สร้างจากแบคทีเรียชื่อ
00:08:16 → 00:08:18 ว่าคอิ botulinum ครับเป็นแบคทีเรียที่ปน
00:08:18 → 00:08:21 เปื้อนอยู่ในธรรมชาติโดยเฉพาะในดินนะครับ
00:08:21 → 00:08:23 ฟังชื่อแล้วอาจจะคล้ายๆกับโบท็อกซ์ที่เรา
00:08:23 → 00:08:26 เอาไว้ฉีดรักษาโรคหรือว่าฉีดหน้าด้านความ
00:08:26 → 00:08:29 งามนะครับซึ่ง ulum นูรินก็คือเป็นตัว
00:08:29 → 00:08:33 เดียวกันเลยครับสารพิษโบทิมค่ะเกี่ยวข้อง
00:08:33 → 00:08:36 กับอาหารได้อย่างไรคะเชื้อโรคเหล่านี้นะ
00:08:36 → 00:08:38 ครับเป็นเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในดินอยู่ใน
00:08:38 → 00:08:40 ธรรมชาติทั่วไปอยู่แล้วครับแต่ว่าเมื่อ
00:08:40 → 00:08:42 เรานำสิ่งเหล่านั้นมาทำอาหารนะครับปรุง
00:08:42 → 00:08:45 ไม่สุกหรือว่าไม่สะอาดก็จะมีเชื้อโรคที่
00:08:45 → 00:08:47 ปนเปื้อนมาจากดินเนี่ยแล้วก็พิษของเชื้อ
00:08:47 → 00:08:49 โรคเหล่านี้ก็จะมาปนเปื้อนในอาหารจนก่อ
00:08:49 → 00:08:53 ให้เกิดโรคได้ครับทำไมสารพิษโบทูลิซึม
00:08:53 → 00:08:57 ส่วนใหญ่มักพบในอาหารกระป๋องคะกระบวนการ
00:08:57 → 00:08:59 การผลิตอาหารกระป๋องในปัจจุบันนะครับถือ
00:08:59 → 00:09:02 ว่าทันสมัยแล้วก็ได้มาตรฐานนะครับแต่ว่า
00:09:02 → 00:09:04 หากกระป๋องเหล่านั้นมีรอยบุบรอยรั่วนะ
00:09:04 → 00:09:07 ครับก็จะมีเชื้อโรคจากภายนอกสามารถปน
00:09:07 → 00:09:09 เปื้อนเข้าไปสู่ในกระป๋องได้ครับและเมื่อ
00:09:09 → 00:09:11 เชื้อนั้นเจริญเติบโตนะครับก็จะสร้างสาร
00:09:11 → 00:09:14 พิษสะสมอยู่ในอาหารกระป๋องเหล่านั้นพอเอา
00:09:14 → 00:09:16 อาหารนั้นไปทำอาหารกินไม่ได้มาตรฐานต่างๆ
00:09:17 → 00:09:19 ก็จะเกิดอาการได้แต่ว่าสำหรับอาหาร
00:09:19 → 00:09:21 กระป๋องอีกแบบนึงนะครับที่เป็นอันตราย
00:09:21 → 00:09:23 แล้วก็ต้องน่าเฝ้าระวังนั่นก็คืออาหาร
00:09:23 → 00:09:26 กระป๋องที่ทำเองครับทำที่บ้านกันเองแบบ
00:09:26 → 00:09:28 ไม่ได้มาตรฐานรวมถึงหน่อไม้ปี๊บก็เช่น
00:09:28 → 00:09:30 เดียวกันนะครับที่เคยเป็นข่าวว่าป่วยกัน
00:09:30 → 00:09:32 แบบยกหมู่บ้านแม้ว่าอาหารเหล่านั้นนะครับ
00:09:32 → 00:09:35 จะผ่านความร้อนจนถึงจุดเดือดคือ 100 อง
00:09:35 → 00:09:38 เซซแล้วนะครับเชื้อโรคตายครับแต่ว่าสปอ
00:09:39 → 00:09:41 ของเชื้อยังไม่ตายเพราะว่าสปอของเชื้อ
00:09:41 → 00:09:44 นั้นทนอุณหภูมิสูงถึง 120 องศาดังนั้น
00:09:44 → 00:09:46 เนี่ยจึงเป็นสาเหตุที่พอเมื่ออาหาร
00:09:46 → 00:09:49 กระป๋องหรือว่าหน่อไม้ปี๊บเย็นลงหลังจาก
00:09:49 → 00:09:51 การต้มสุกแล้วนะครับสปอที่อยู่ในภาชนะที่
00:09:51 → 00:09:54 บรรจุปิดสนิทดีแล้วก็เจริญเติบโตกลายเป็น
00:09:54 → 00:09:56 เชื้อโรคแล้วก็สร้างสารพิษขึ้นมายิ่งอยู่
00:09:57 → 00:09:59 ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจนเข้าด้วย
00:09:59 → 00:10:01 นะครับสปอก็จะโตกลายเป็นเชื้อและเชื้อก็
00:10:01 → 00:10:03 กลายเป็นแบคทีเรียและแบคทีเรียก็จะสร้าง
00:10:03 → 00:10:07 สารพิษออกมาสู่ขนไข้นั่นเองครับสารพิษโบ
00:10:07 → 00:10:10 tourism ค่ะเข้าสู่ร่างกายได้ทางใดบ้าง
00:10:10 → 00:10:13 คะถ้าพูดถึงโรคิึนะครับแบ่งได้หลายแบบนะ
00:10:13 → 00:10:15 ครับแต่ถ้าเกิดว่าเราแบ่งตามความเข้าใจจ
00:10:15 → 00:10:18 ง่ายๆแบ่งตามช่องทางการเข้าสู่ร่างกายของ
00:10:18 → 00:10:21 มนุษย์นะครับแบ่งออกได้ทั้งหมด 5 แบบครับ
00:10:21 → 00:10:23 แบบแรกเราเรียกว่า Food Ball tourism
00:10:23 → 00:10:25 นะครับหรือว่าโรคโบทูลิซึมที่เกิดจาก
00:10:25 → 00:10:28 อาหารที่มีโบทูลินัมนิโรธกิจจัดเป็นชนิด
00:10:28 → 00:10:31 ที่พบได้บ่อยมากที่สุดซึ่งอาหารก็เป็น
00:10:31 → 00:10:34 สาเหตุของโรคนะครับแล้วก็ิึมักเป็นอาหาร
00:10:34 → 00:10:36 ที่ผ่านกระบวนการการถนอมอาหารแล้วก็ประจุ
00:10:36 → 00:10:39 พันธ์ที่ไม่ได้มาตรฐานเช่นอาหารกระป๋อง
00:10:39 → 00:10:41 ที่มีการบุบรั่วหรือว่าหน่อไม้ปี๊บนั่น
00:10:41 → 00:10:44 เองนะครับอันที่ 2 ครับ intestinal B
00:10:44 → 00:10:46 tourism นะครับซึ่งเป็นโรคโบทูลิซึมที่
00:10:46 → 00:10:49 เกิดจากผู้ป่วยได้กินสปอของเชื้อคอซีโบั
00:10:49 → 00:10:51 เข้าไปแล้วเชื้อเหล่านี้ก็ไปเจริญเติบโต
00:10:51 → 00:10:54 ในลำไส้พอเจริญเติบโตแล้วก็สร้างสารพิษ
00:10:54 → 00:10:59 urin นรทิพย์
00:10:59 → 00:11:02 ในผู้ใหญ่ครับแบบที่ 3 ครับเราเรียกว่า
00:11:02 → 00:11:05 Won bism ตามชื่อเลยครับเป็นโรค bism
00:11:05 → 00:11:07 ที่เกิดจากแผลที่มีการติดเชื้อปนเปื้อน
00:11:07 → 00:11:10 คิมโบันะครับเช่นเรามีแผลที่เท้าไปเดิน
00:11:10 → 00:11:13 เหยียบย่ำดินเข้ามาแล้วก็ติดเชื้อแล้วก็
00:11:13 → 00:11:16 เกิดเชื้อโรคขึ้นมาจนเกิดโรคโบ tourism
00:11:16 → 00:11:18 นั่นเองอันที่ 4 นะครับ biological
00:11:18 → 00:11:22 Weapon นะครับซึ่งเป็นการผลิต urin นทิน
00:11:22 → 00:11:25 เพื่อใช้เป็นอาวุธในสงครามชีวภาพสิ่ง
00:11:25 → 00:11:26 เหล่านี้เกิดขึ้นจริงตั้งแต่สมัยสงคราม
00:11:26 → 00:11:28 โลกครั้งที่ 2 นะครับก็มีการใช้ท็อกซิน
00:11:28 → 00:11:31 นี้ในการทำสงครามในการก่อการร้ายโดย
00:11:31 → 00:11:34 ท็อกซินก็จะมีการแพร่กระจายอยู่ในอากาศ
00:11:34 → 00:11:37 แล้วก็อาหารครับส่วนอันที่ 5 iatrogenic
00:11:37 → 00:11:39 bism นะครับซึ่งปัจจุบันเนี่ยเรามีการ
00:11:39 → 00:11:43 ใช้โบท็อกซ์นะครับหรือว่าิันรทกินชนิด a
00:11:43 → 00:11:46 ในการรักษาโรคบางชนิดเช่นโรคคอบิดเกร็งนะ
00:11:46 → 00:11:48 ครับโรคใบหน้ากระตุกหรือบางคนใช้ในความ
00:11:48 → 00:11:51 งามแต่ถ้าเกิดว่าได้สารพิษเหล่านี้มากจน
00:11:51 → 00:11:54 เกินไปหรือผิดข้อผงชี้ก็สามารถเกิดโรคโบ
00:11:54 → 00:11:57 tourism ได้ครับและอาการค่ะเมื่อรับสาร
00:11:57 → 00:12:00 พิษโบ tourism เข้าสู่ร่างกายแล้วจะเป็น
00:12:00 → 00:12:03 อย่างไรคะอย่างแรกเลยนะครับอาการแรกคนไข้
00:12:03 → 00:12:05 จะมีอาการอาเจียนมีอาการท้องเดินในระยะ
00:12:05 → 00:12:08 แรกของโรคครับส่วนใหญ่มักจะไม่มีไข้นะ
00:12:08 → 00:12:10 ครับลักษณะอาการที่สำคัญเลยนะครับจะเกิด
00:12:10 → 00:12:13 ขึ้นกับระบบประสาทของร่างกายได้แก่หนังตา
00:12:13 → 00:12:15 ตกการมองเห็นไม่ชัดหรือว่าเห็นเป็นภาพ
00:12:15 → 00:12:18 ซ้อนตามมาด้วยอาการกลืนลำบากพูดเสียง
00:12:18 → 00:12:20 เปลี่ยนเสียงขึ้นจมูกอาการเหล่านี้นะครับ
00:12:20 → 00:12:22 ก็จะตามกันมาเรื่อยๆด้วยอาการอ่อนแดงของ
00:12:22 → 00:12:25 กล้ามเนื้อผู้ป่วยนั้นจะยังรู้ตัวดีนะ
00:12:25 → 00:12:28 ครับสติสัมปชัญญะ 100% รู้ตัวตลอดเวลาแต่
00:12:28 → 00:12:30 สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของโรคนี้ครับคือ
00:12:30 → 00:12:32 กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจหรือว่ากระบัง
00:12:32 → 00:12:34 ลมของเราเนี่ยมันจะอ่อนแรงจนกระทั่งไม่
00:12:35 → 00:12:38 สามารถหายใจเองได้และเข้าสู่ภาวะการหายใจ
00:12:38 → 00:12:41 ล้มเหลวนั่นเองครับอาจารย์คะความน่ากลัว
00:12:41 → 00:12:44 ของสารพิษโบทูลิซึมค่ะคือมีการกล่าวกัน
00:12:44 → 00:12:48 ว่าสารชีวพิษนี้มีพิษร้ายแรงที่สุดมาก
00:12:48 → 00:12:51 กว่าสารชีวพิษใดๆที่รู้จักกันในปัจจุบัน
00:12:51 → 00:12:54 เป็นอย่างไรคะในประวัติศาสตร์โลกนะครับมี
00:12:54 → 00:12:57 การที่หลายประเทศได้พัฒนาโบนัมนิโรธกิจ
00:12:58 → 00:13:00 ภาพนะครับเพราะว่าใช้ปริมาณสารพิษที่น้อย
00:13:00 → 00:13:04 ไร้สีไร้กลิ่นไร้รสชาตินะครับทำให้ตรวจ
00:13:04 → 00:13:07 จับได้ยากก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกาย
00:13:07 → 00:13:09 ที่ร้ายแรงแล้วก็ถึงแก่ชีวิตได้ซึ่งมัน
00:13:09 → 00:13:12 ผลิตง่ายเคลื่อนย้ายสะดวกเพราะว่ามันเล็ก
00:13:12 → 00:13:14 มากนะครับแล้วก็ผู้บาดเจ็บจากพิษเนี่ย
00:13:14 → 00:13:17 ต้องการการรักษาที่อย่างใกล้ชิดแล้วก็ต่อ
00:13:17 → 00:13:18 เนื่องยาวนานดังนั้นจึงบอกได้ว่าเป็น
00:13:19 → 00:13:21 อาวุธชีวภาพชนิดนึงได้เลยครับและจะ
00:13:22 → 00:13:24 วินิจฉัยได้อย่างไรคะว่าอาหารเป็นพิษค่ะ
00:13:24 → 00:13:28 จากสารพิษโบทูลิซึมสิ่งที่สำคัญเลยนะครับ
00:13:28 → 00:13:30 นั่นคือประวัติของคนคนไข้ครับโดยเฉพาะ
00:13:30 → 00:13:33 เรื่องของอาหารการกินชนิดอาหารระยะเวลา
00:13:33 → 00:13:35 ที่กินไปแล้วจนเริ่มเกิดอาการขึ้นนะครับ
00:13:35 → 00:13:38 มีใครที่กินกับเราบ้างมีใครที่มีอาการ
00:13:38 → 00:13:40 บ้างแล้วก็สิ่งเหล่านั้นเนี่ยถ้าเกิดเก็บ
00:13:40 → 00:13:42 ตัวอย่างอาหารมาได้จะเป็นสิ่งที่เป็น
00:13:42 → 00:13:44 ประโยชน์มากที่สุดรวมถึงลำดับอาการในการ
00:13:44 → 00:13:46 เป็นนะครับว่ามีอาการอะไรบ้างที่เกิดขึ้น
00:13:46 → 00:13:49 กับระบบประสาทนั่นเองครับต้องมีอาการของ
00:13:49 → 00:13:52 อาหารเป็นพิษระดับไหนคะถึงจะต้องไปพบ
00:13:52 → 00:13:55 แพทย์หากสงสัยนะครับว่าเป็นิึนะครับให้
00:13:55 → 00:13:57 รีบไปพบแพทย์ครับเพราะว่าการรักษาที่เร็ว
00:13:57 → 00:13:59 ได้รับยาต้านพิษหรือว่าแอนตี้วักซีนที่
00:13:59 → 00:14:01 เร็วนะครับมักจะมีการตอบสนองต่อการรักษา
00:14:01 → 00:14:04 ได้ดีลดอัตราการตายได้อย่างชัดเจนครับ
00:14:04 → 00:14:06 ทั้งนี้ต้องบอกว่าไม่จำเป็นเลยนะครับที่
00:14:06 → 00:14:08 ต้องรอผลการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ
00:14:08 → 00:14:11 ก่อนหรือว่ารอให้อาการหนักแล้วค่อยมา
00:14:11 → 00:14:14 รักษาให้รักษาได้เลยครับยิ่งรักษาเร็ว
00:14:14 → 00:14:18 ยิ่งดีครับอาหารเป็นพิษจากสารพิษโบทิมค่ะ
00:14:18 → 00:14:22 รักษาได้อย่างไรคะนอกจากที่เราจะรีบทำการ
00:14:22 → 00:14:24 วินิจฉัยแล้วก็รีบให้การรักษาด้วยแอนตี้
00:14:24 → 00:14:27 ท็อกซินแล้วนะครับยังต้องเฝ้าสังเกตอาการ
00:14:27 → 00:14:29 ของผู้ป่วยโดยเฉพาะอาการทางระบบประสาท
00:14:29 → 00:14:32 เช่นหนังตาตกเห็นภาพซ้อนพูดไม่ชัดกลืน
00:14:32 → 00:14:34 ลำบากแล้วก็ทางเดินหายใจล้มเหลวนะครับหาย
00:14:34 → 00:14:37 ใจเองไม่ไหวหายใจเองไม่ได้ต้องใช้เครื่อง
00:14:37 → 00:14:39 ชั่วหายใจหรืออาจจะต้องมีการเจาะคอในผู้
00:14:39 → 00:14:41 ป่วยที่ต้องใช้เครื่องหายใจเป็นระยะเวลา
00:14:41 → 00:14:44 ที่ค่อนข้างจะนานขณะเดียวกันครับต้องมี
00:14:44 → 00:14:46 การสืบสวนโรคโดยการจัดการแหล่งต้นตอของ
00:14:46 → 00:14:49 อาหารนะครับเช่นมีกินหน่อไม้ปี๊บหรือ
00:14:49 → 00:14:51 เปล่ามีอาหารกระป๋องในล็อตเดียวกันที่ไม่
00:14:51 → 00:14:53 ได้ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเปล่าเพื่อเป็น
00:14:53 → 00:14:56 การจำกัดวงของการแพร่ระบาดนั่นเองครับ
00:14:56 → 00:14:59 สาเหตุการเสียชีวิตของคนที่อาหารเป็นพิษ
00:14:59 → 00:15:01 เกิดจากอะไรคะอาจารย์เนื่องจากโรค
00:15:02 → 00:15:04 โบทูลิซึมนะครับมีผลต่อระบบประสาททำให้
00:15:04 → 00:15:06 ระบบประสาทเป็นอัมพาตทั้งที่ผู้ป่วยนั้น
00:15:06 → 00:15:09 ยังคงมีสติรู้ตัวยังคงรับรู้สิ่งต่างๆได้
00:15:09 → 00:15:11 เหมือนเดิมนะครับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
00:15:11 → 00:15:14 มักจะมีภาวะหายใจล้มเหลวครับซึ่งกินระยะ
00:15:14 → 00:15:16 เวลานานกว่าเกือบๆ 2 เดือนได้เลยนะครับ
00:15:16 → 00:15:18 ดังนั้นระหว่างที่ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลและ
00:15:19 → 00:15:21 มีภาวะหายใจล้มเหลวเนี่ยมีโอกาสที่จะเกิด
00:15:21 → 00:15:24 การติดเชื้อแล้วก็มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้
00:15:24 → 00:15:27 นะครับซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 20
00:15:27 → 00:15:29 กว่าเปอร์แต่ว่าในปัจจุบันนะครับเรามี
00:15:29 → 00:15:31 วิวัฒนาการทางการแพทย์มีแอนตี้ท็อกซินถ้า
00:15:31 → 00:15:34 รู้เร็วรักษาเร็วโอกาสการเสียชีวิตก็น้อย
00:15:34 → 00:15:37 ลงแทบจะไม่มีล่ะครับอยากให้อาจารย์ฝากคุณ
00:15:37 → 00:15:40 ผู้ชมขาว่าจะทำอย่างไรให้ห่างไกลจากอาหาร
00:15:40 → 00:15:42 เป็นพิษค่ะอยากจะแนะนำทุกท่านนะครับให้
00:15:43 → 00:15:45 รับประทานอาหารที่สุขสดสะอาดสำหรับอาหาร
00:15:45 → 00:15:48 กระป๋องต้องได้มาตรฐานไม่มีรอยบุบรอยรั่ว
00:15:48 → 00:15:50 หรือว่ากระป๋องบวมนะครับหากพบว่าอาหาร
00:15:50 → 00:15:53 กระป๋องนั้นรั่วบวมให้ทิ้งเลยครับอย่า
00:15:53 → 00:15:54 เสียดายนะครับเพราะว่าหากมีเชื้อ
00:15:55 → 00:15:57 โบทูลินัมจนก่อเกิดโรคโบทูลิซึมแล้ว
00:15:57 → 00:16:00 อันตรายถึงแก่ชีวิตได้สุดท้ายเลยครับให้
00:16:00 → 00:16:03 กินร้อนช้อนกลางล้างมือสุขสดสะอาดได้
00:16:03 → 00:16:06 มาตรฐานครับขอบพระคุณอาจารย์นะคะที่มาให้
00:16:06 → 00:16:09 ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโรคอาหาร
00:16:09 → 00:16:13 เป็นพิษโบทูลิซึมค่ะในช่วงนี้ค่ะคุณผู้ชม
00:16:13 → 00:16:15 เราจะมารู้วิธีกันว่าจะเลือกซื้ออาหาร
00:16:15 → 00:16:18 กระป๋องอย่างไรให้ปลอดภัยจากสารพิษ
00:16:18 → 00:16:23 โบทูลิซึมไปชมพร้อมๆกันค่ะดูวันเดือนปี
00:16:23 → 00:16:26 ที่ผลิตและวันเดือนปีที่หมดอายุสามารถดู
00:16:26 → 00:16:30 ได้จากฉลากที่ติดอยู่ที่ตัวผลิตัเรื่อง
00:16:30 → 00:16:33 วันเดือนปีถือเป็นสิ่งสำคัญดังนั้นควรดู
00:16:33 → 00:16:36 ทุกครั้งที่ทำการเลือกซื้อเพราะถ้าอาหาร
00:16:36 → 00:16:39 กระป๋องที่ซื้อมาหมดอายุแล้วเรารับประทาน
00:16:39 → 00:16:42 เข้าไปจะทำให้เกิดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
00:16:42 → 00:16:45 ของเราได้และควรเลือกกระป๋องที่ยังผลิตมา
00:16:45 → 00:16:49 ไม่นานค่ะโดยดูที่วันเดือนปีที่
00:16:49 → 00:16:54 ผลิตสังเกตดูสถานที่ผลิตแหล่งผลิตนะคะรวม
00:16:54 → 00:16:57 ไปถึงสถานที่กักเก็บสถานที่จัดจำหน่าย
00:16:57 → 00:16:59 ด้วยว่าเป็นแหล่งที่ที่เชื่อถือได้หรือ
00:16:59 → 00:17:02 ไม่มีความชัดเจนของข้อมูลหรือไม่ด้วยค่ะ
00:17:02 → 00:17:06 ไม่ควรซื้ออาหารกระป๋องที่ไม่มีแหล่งผลิต
00:17:06 → 00:17:09 ที่ชัดเจนแน่นอนเพราะการผลิตอาจจะไม่ได้
00:17:09 → 00:17:12 มาตรฐานซึ่งเมื่อซื้อมาบริโภคแล้วอาจจะ
00:17:12 → 00:17:16 ก่อให้เกิดอันตรายกับสุขภาพของเราได้ฉลาก
00:17:16 → 00:17:19 มีชื่อและส่วนผสมส่วนประกอบต่างๆของอาหาร
00:17:19 → 00:17:22 อยู่อย่างชัดเจนรวมไปถึงปริมาตรน้ำหนัก
00:17:22 → 00:17:26 สุทธิและเลขจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข
00:17:26 → 00:17:29 และควรมีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย
00:17:29 → 00:17:33 จากองค์การอาหารและยานอกจากนี้ควรซื้อ
00:17:33 → 00:17:36 อาหารกระป๋องที่มีชื่อหรือยี่ห้อที่เป็น
00:17:36 → 00:17:40 ที่รู้จักกันโดยทั่วไปดูภาชนะที่บรรจุ
00:17:40 → 00:17:44 ต้องไม่บุบไม่โป่งไม่มีบวมไม่มีรอยรั่ว
00:17:44 → 00:17:48 หรือเป็นสนิมถ้ามีลักษณะดังที่กล่าวมาไม่
00:17:48 → 00:17:51 ควรซื้อมารับประทานเด็ดขาดเพราะบ่งบอกถึง
00:17:51 → 00:17:54 การเก็บรักษาที่ไม่ดีแลเมื่อเปิดกระป๋อง
00:17:54 → 00:17:57 ออกมาแล้วอาหารต้องไม่มีกลิ่นเหม็นหรือ
00:17:57 → 00:18:00 ภายในกระป๋องต้องไม่มีรอยหรือเป็นสนิมถ้า
00:18:00 → 00:18:03 มีอากาศพุ่งออกมาจากภายในกระป๋องห้ามกิน
00:18:03 → 00:18:06 อาหารในกระป๋องนั้นเด็ดขาดนอกจากนี้ค่ะ
00:18:06 → 00:18:09 การรับประทานอาหารกระป๋องเป็นประจำนะคะก็
00:18:09 → 00:18:13 จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ดังต่อไปนี้ค่ะใน
00:18:13 → 00:18:16 อาหารกระป๋องมักมีปริมาณของโซเดียมที่สูง
00:18:16 → 00:18:19 เนื่องจากมีการใส่เกลือลงไปในกระบวนการ
00:18:19 → 00:18:21 ผลิตเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและปรับปรุง
00:18:22 → 00:18:25 รสชาติการบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจเพิ่ม
00:18:25 → 00:18:29 ความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเช่นอาจทำให้
00:18:29 → 00:18:31 เกิดโรคความดันโลหิตสูงเพราะในอาหาร
00:18:31 → 00:18:34 กระป๋องนั้นมักมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ
00:18:34 → 00:18:37 ซึ่งโซเดียมเป็นสารที่เป็นสาเหตุที่ทำให้
00:18:37 → 00:18:39 เกิดโรคความดันโลหิตสูงทำให้ผนังกล้าม
00:18:39 → 00:18:42 เนื้อหัวใจหนาขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการ
00:18:42 → 00:18:46 เกิดโรคหัวใจและภาวะไตเสื่อมได้นอกจากนี้
00:18:46 → 00:18:49 นะคะโซเดียมค่ะยังทำให้เกิดโรคหัวใจแล้ว
00:18:49 → 00:18:52 ก็เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้อีกด้วยนะคะดัง
00:18:52 → 00:18:55 นั้นคุณผู้ชมควรที่จะรับประทานโซเดียม
00:18:55 → 00:18:57 อย่างเหมาะสมหรือระวังเรื่องของโซเดียม
00:18:57 → 00:19:01 ถ้ากรณีที่คุณผู้ชมมีโรคดังต่อไปนี้นะคะ
00:19:01 → 00:19:03 เพื่อหลีกเลี่ยงการบริโภคโซเดียมที่มาก
00:19:03 → 00:19:06 เกินไปควรเลือกรับประทานอาหารกระป๋องที่
00:19:06 → 00:19:08 มีปริมาณโซเดียมต่ำหรือไม่มีโซเดียมเลย
00:19:09 → 00:19:11 โดยสามารถตรวจสอบปริมาณโซเดียมได้ด้วยการ
00:19:11 → 00:19:15 อ่านฉลากโภชนาการของผลิตภัณฑ์ควรเลือก
00:19:15 → 00:19:19 ผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมน้อยกว่า 200 มกร
00:19:19 → 00:19:22 ต่อหน่วยบริโภคทั้งนี้ผลไม้กระป๋องบาง
00:19:22 → 00:19:24 ชนิดอาจมีน้ำเชื่อมซึ่งเป็นน้ำตาลที่เติม
00:19:24 → 00:19:27 เข้าไปในกระบวนการผลิตการบริโภคที่มาก
00:19:27 → 00:19:30 เกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ
00:19:30 → 00:19:35 เช่นโรคอ้วนโรคเบาหวานและโรคหัวใจเพื่อ
00:19:35 → 00:19:37 หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปควร
00:19:37 → 00:19:40 เลือกผลไม้กระป๋องที่บรรจุในน้ำเปล่าหรือ
00:19:40 → 00:19:44 น้ำผลไม้แท้แทนที่จะรับประทานผลไม้ที่มี
00:19:44 → 00:19:47 น้ำเชื่อมในขณะเดียวกันโซเดียมฟอสเฟตที่
00:19:48 → 00:19:50 อยู่ในอาหารกระป๋องอาจก่อให้เกิดอันตราย
00:19:50 → 00:19:53 ต่อสุขภาพได้เนื่องจากผู้ผลิตมักใส่
00:19:53 → 00:19:56 โซเดียมฟอสเฟตลงไปในอาหารกระป๋องเพื่อ
00:19:56 → 00:19:59 ช่วยในการถนอมอาหารและเพิ่มรถรสชาติแม้
00:19:59 → 00:20:02 ว่าฟอสเฟตจะจำเป็นสำหรับการรับประทาน
00:20:02 → 00:20:05 อาหารแต่ฟอสเฟตอินทรีย์ที่ใช้ในอาหาร
00:20:05 → 00:20:10 กระป๋องมักพบว่ารบกวนการควบคุมฮอร์โมนและ
00:20:10 → 00:20:13 เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
00:20:13 → 00:20:16 โรคไตและการสูญเสียกระดูกเพื่อหลีกเลี่ยง
00:20:16 → 00:20:19 การบริโภคฟอสเฟตที่มากเกินไปควรอ่านฉลาก
00:20:19 → 00:20:22 โภชนาการของผลิตภัณฑ์และเลือกอาหาร
00:20:22 → 00:20:27 กระป๋องที่มีฟอสเฟตต่ำหรือไม่มีฟอสเฟตเลย
00:20:27 → 00:20:30 เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระสุขภาพดีๆที่
00:20:30 → 00:20:33 TNN นำมาฝากคุณผู้ชมในวันนี้หวังเป็น
00:20:34 → 00:20:36 อย่างยิ่งค่ะว่าคุณผู้ชมจะสามารถนำสาระ
00:20:36 → 00:20:39 สุขภาพดีๆที่ได้นะคะไปดูแลตัวเองและ
00:20:39 → 00:20:43 ครอบครัวให้สุขภาพกายแข็งแรงสุขภาพใจ
00:20:43 → 00:20:46 แจ่มใสท่วมหน้าค่ะและขอขอบคุณคุณผู้ชมที่
00:20:46 → 00:20:49 ติดตามรับชมรายการ TNN Health มาโดยตลอด
00:20:49 → 00:20:53 ค่ะอย่าลืมนะคะติดตามรับชมรายการ TNN He
00:20:53 → 00:20:57 เป็นประจำได้ทุกวันเสาร์เวลาดี 15 น-
00:20:57 → 00:21:01 15:30 นที่นี่ TNN ช่อง 16 ค่ะที่สำคัญ
00:21:01 → 00:21:04 นะคะต้องไม่ลืมค่ะกดไลค์กดแชร์กด
00:21:04 → 00:21:07 Subscribe กดกระดิ่งติดตามกิ้งๆด้วย
00:21:07 → 00:21:09 เพื่อเป็นกำลังใจให้หมอดาวและทีมงาน TNN
00:21:09 → 00:21:13 He ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆไม่ว่าจะ
00:21:13 → 00:21:15 เป็น YouTube tiktok Facebook
00:21:15 → 00:21:17 Instagram และ LINE official เพื่อที่
00:21:17 → 00:21:20 จะเข้าถึงทุกสาระสุขภาพเสริมภูมิคุ้มกัน
00:21:20 → 00:21:23 รู้ทันโรคไปด้วยกันค่ะและสำหรับวันนี้นะ
00:21:23 → 00:21:26 คะหมอดาวและทีมงาน TNN Heal ต้องขอตัวลา
00:21:26 → 00:21:29 คุณผู้ชมไปก่อนค่ะสำสำหรับวันนี้สวัสดี
00:21:29 → 00:21:30 ค่ะ
00:21:30 → 00:22:06 [เพลง]
00:22:06 → 00:22:09 A