00:00:00 → 00:00:02 สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลเครื่องดื่ม
00:00:02 → 00:00:05 ศูนยแควดีจริงไหมสำหรับคนที่มีโรคประจำ
00:00:05 → 00:00:08 ตัวและคนที่กำลังลดน้ำหนักและที่ได้ยิน
00:00:08 → 00:00:11 ว่าสารเหล่านี้กินมากๆแล้วจะก่อมะเร็ง
00:00:11 → 00:00:19 จริงหรือเปล่าคลิปนี้มีคำตอบ
00:00:20 → 00:00:23 ค่ะสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่อง B
00:00:23 → 00:00:25 Health by do Pin เราจะผอมและมีความ
00:00:25 → 00:00:28 สุขนะคะถ้าชอบคลิปนี้อย่าลืมกดไลคแล้วก็
00:00:28 → 00:00:30 กดติดตามช่องเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะคะ
00:00:30 → 00:00:34 แอสปาแตมหรือสารให้ความหวานนิยมใช้ทดแทน
00:00:34 → 00:00:36 น้ำตาลเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม
00:00:36 → 00:00:39 แอสปาแตมจะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 180
00:00:39 → 00:00:43 -200 เท่าแอสปาแตม 1 กรัมจะให้พลังงาน 4
00:00:43 → 00:00:46 แคลอรีแต่การที่มีความหวานมากจึงใช้ใน
00:00:46 → 00:00:49 ปริมาณที่น้อยทำให้แอสปาแตมที่เป็นส่วน
00:00:49 → 00:00:51 ผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มให้พลังงานน้อย
00:00:51 → 00:00:55 มากหรือแทบจะไม่ให้พลังงานเลยปัจจุบัน
00:00:55 → 00:00:57 แอสปาแตมใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารเพื่อ
00:00:58 → 00:01:00 สุขภาพเครื่องดื่มแคลอรีต่ต่ำหรือเครื่อง
00:01:00 → 00:01:03 ดื่ศูนยแควนอกจากนี้ก็ยังเป็นส่วนผสมใน
00:01:03 → 00:01:08 ลูกอมหมากฝรั่งยาสีฟันไอศกรีมโยเกิร์ตซอส
00:01:08 → 00:01:11 ปรุงรสและขนมอีกหลายชนิดแต่ในวันที่ 14
00:01:11 → 00:01:15 กรกฎาคม 2566 หรือว่าในปีนี้ก็มีข่าวที่
00:01:15 → 00:01:18 ทำให้คนรักสุขภาพสายหวานต้องฝันสลายนะคะ
00:01:18 → 00:01:21 เนื่องจาก Who ได้ออกมาประกาศว่าแอสปาแตม
00:01:21 → 00:01:25 มีสารที่มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็ง
00:01:25 → 00:01:27 แต่ก็ไม่ได้ห้ามกินนะคะสามารถที่จะกินได้
00:01:27 → 00:01:30 อย่างปลอดภัยถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด
00:01:30 → 00:01:33 สำหรับรายละเอียดจากประกาศของ Who ได้
00:01:33 → 00:01:36 ระบุว่าแอสปาแตมเป็นสารที่มีความเป็นไป
00:01:36 → 00:01:39 ได้ที่จะก่อมะเร็งซึ่งตีความได้ว่า
00:01:39 → 00:01:42 ปัจจุบันหลักฐานที่บ่งชี้ว่าแอสปาแตมก่อ
00:01:42 → 00:01:45 มะเร็งในมนุษย์ยังมีอยู่ในระดับที่จำกัด
00:01:45 → 00:01:48 ยังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับ
00:01:48 → 00:01:51 อันตรายที่เกิดจากแอสปาแตมและยังคงแนะนำ
00:01:51 → 00:01:54 ให้ผู้บริโภคสามารถกินแอสปาแตมได้ใน
00:01:54 → 00:01:57 ปริมาณไม่เกิน 40 กกต่อน้ำหนักตัว 1 กล
00:01:57 → 00:02:00 ต่อวันซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยสำหรับการ
00:02:00 → 00:02:03 บริโภคที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี
00:02:03 → 00:02:06 1981 ถ้าจะบรรยายให้เห็นภาพนะคะก็คือคน
00:02:06 → 00:02:09 ที่มีน้ำหนักตัว 60-70 กจะต้องกินน้ำอัน
00:02:09 → 00:02:13 ลมที่มีส่วนผสมของแอสปาแตม 9-14 กระป๋อง
00:02:13 → 00:02:15 ต่อวันถึงจะเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อ
00:02:15 → 00:02:19 สุขภาพในขณะเดียวกันจสกบังก้าหัวหน้าฝ่าย
00:02:19 → 00:02:23 โภชนาการของ Who ก็กล่าวว่า Who ไม่ได้
00:02:23 → 00:02:25 เรียกร้องให้ผู้ผลิตบริษัทต่างๆนำ
00:02:25 → 00:02:28 แอสปาแตมออกจากผลิตภัณฑ์ของตนเองทั้งหมด
00:02:28 → 00:02:31 แต่เรียกร้องให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเดิน
00:02:31 → 00:02:35 ทางสายกลางคือไม่ใช้แอสปาแตมมากจนเกินควร
00:02:35 → 00:02:38 สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักนะคะการกินสาร
00:02:38 → 00:02:40 ที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลถึงแม้ว่าเราจะ
00:02:40 → 00:02:43 รู้สึกว่าหวานแต่ว่าสมองที่ต้องการพลัง
00:02:43 → 00:02:46 งานจากน้ำตาลกลับไม่ได้รับน้ำตาลจริงๆทำ
00:02:46 → 00:02:49 ให้สมองส่งสัญญาณมาในรูปแบบของความหิวอาจ
00:02:49 → 00:02:51 จะทำให้เรากินมากกว่าเดิมแล้วก็ยังมีงาน
00:02:51 → 00:02:54 วิจัยอีกหลายงานนะคะที่พบว่าคนที่กิน
00:02:54 → 00:02:56 อาหารและเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวาน
00:02:56 → 00:02:59 เทียมมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่กิน
00:02:59 → 00:03:03 น้ำตาจริงในปริมาณที่เท่ากันดังนั้นสาร
00:03:03 → 00:03:05 ที่ให้ความหวานเทียมไม่ได้เป็นผลดีสำหรับ
00:03:05 → 00:03:09 คนที่กำลังลดน้ำหนักนะคะโดยสรุปนะคะ Who
00:03:09 → 00:03:11 ได้ประกาศว่าแอสปาแตมซึ่งเป็นสารที่ให้
00:03:11 → 00:03:14 ความหวานเทียมเป็นสารที่มีความเป็นไปได้
00:03:14 → 00:03:17 ที่จะก่อมะเร็งแต่หลักฐานที่บ่งชี้ว่าก่อ
00:03:17 → 00:03:19 มะเร็งในมนุษย์ยังมีอยู่ในระดับที่จำกัด
00:03:19 → 00:03:22 ดังนั้นจึงสามารถกินได้แต่ว่าไม่ควรจะกิน
00:03:22 → 00:03:25 ในปริมาณที่มากเกินไปค่ะสำหรับความเห็น
00:03:25 → 00:03:28 ส่วนตัวนะคะถ้าเกิดว่าเราจะกินอาหารหรือ
00:03:28 → 00:03:31 เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของปตมก็สามารถ
00:03:31 → 00:03:33 กินได้ค่ะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแต่ก็ไม่
00:03:33 → 00:03:35 ต้องไปเน้นนะคะว่าจะต้องกินทุกวันกินใน
00:03:36 → 00:03:38 ทุกมื้ออาหารเพราะว่าในระยะยาวเนี่ยเราก็
00:03:38 → 00:03:41 อาจจะต้องรอหลักฐานทางวิชาการต่อไปว่าจะ
00:03:41 → 00:03:45 ส่งผลอะไรกับร่างกายบ้างแล้วพบกันใน EP
00:03:45 → 00:03:57 ถัดไปนะคะบ๊าย
00:03:57 → 00:04:00 บาย