00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับวันนี้ผมจะมาเล่าเกี่ยวข้องกับ
00:00:02 → 00:00:05 เรื่องของเสียงในหูนะครับหรือที่ภาษาทาง
00:00:05 → 00:00:08 การแพทย์ของเราเนี่ยเรียกว่า tinnitus นะ
00:00:08 → 00:00:11 ครับหลายๆคนอาจจะเคยมีประสบการณ์มาบ้าง
00:00:11 → 00:00:13 ว่าเวลาที่เรานั่งอยู่ในที่เงียบๆนะครับ
00:00:13 → 00:00:16 เราอาจจะได้ยินเสียงวิงอยู่ในหูเรานี่
00:00:16 → 00:00:18 แหละครับหรือบางคนก็อาจจะเป็นเสียงอย่าง
00:00:18 → 00:00:21 อื่นเสียงคล้ายๆมีเครื่องจักรหรือมีเสียง
00:00:21 → 00:00:23 แมลงอะไรเนี่ยอยู่ในหูแต่ว่ามันไม่ได้มี
00:00:23 → 00:00:25 แมลงอยู่แถวนั้นมันก็ไม่ได้มีเสียงอะไร
00:00:25 → 00:00:27 วิ้งๆอยู่ข้างนอกนั้นมันได้ยินอยู่ในหัว
00:00:27 → 00:00:30 ของเราอยู่คนเดียวนะครับมันเกิดเกิดจาก
00:00:30 → 00:00:33 อะไรได้บ้างมีภาวะไหนบ้างที่เราจำเป็นจะ
00:00:33 → 00:00:35 ต้องกังวลอาการแบบไหนที่เราจะต้องรีบไปพบ
00:00:36 → 00:00:39 แพทย์แล้วก็วิธีในการดูแลรักษามันทำยังไง
00:00:39 → 00:00:41 บ้างนะครับก็เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับพบ
00:00:41 → 00:00:43 กับผมนะครับนายแพทย์ธานีธนียวันนะครับ
00:00:43 → 00:00:45 เป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:00:45 → 00:00:47 อเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและ
00:00:48 → 00:00:51 วิกฤตบำบัดนะครับเรื่องของเสียงในหูนั้น
00:00:51 → 00:00:56 มันมีได้หลากหลายสาเหตุเลยนะครับแล้วก็
00:00:56 → 00:00:59 เวลาที่มันเกิดเนี่ยนะครับบางครั้งเสียง
00:00:59 → 00:01:02 นั้นเนี่ยมันมีอยู่จริงๆนะครับแล้วก็บาง
00:01:02 → 00:01:05 ครั้งเสียงนั้นมันไม่มีอยู่จริงในกรณีที่
00:01:05 → 00:01:08 มันไม่มีอยู่จริงนั้นมันเกิดขึ้นเพราะว่า
00:01:08 → 00:01:10 ระบบการรับรู้เสียงของเรานะครับมันมี
00:01:10 → 00:01:14 ปัญหานะครับระบบการรับรู้เสียงของเรามัน
00:01:14 → 00:01:17 ก็เริ่มตั้งแต่หูของเราแล้วก็เส้นประสาท
00:01:17 → 00:01:21 หูนะครับจนถึงสมองส่วนที่มีหน้าที่แปลผล
00:01:21 → 00:01:23 เสียงที่ได้ยินนะครับถ้าส่วนใดส่วนหนึ่ง
00:01:23 → 00:01:26 ตรงนี้เนี่ยมันเสียไปมันก็จะทำให้เรามี
00:01:26 → 00:01:29 การรับรู้เสียงที่ผิดปกติบางครั้งไม่มี
00:01:29 → 00:01:33 เสียงแต่สมองของเรามันแปลผลว่ากำลังมี
00:01:33 → 00:01:36 เสียงอยู่นะครับนั่นก็คือปัญหานะฮะเดี๋ยว
00:01:36 → 00:01:38 เราก็จะมาแบ่งสาเหตุของเรื่องพวกเนี้ยว่า
00:01:38 → 00:01:41 มันเกิดจากอะไรได้บ้างนะครับอีกแบบนึงคือ
00:01:41 → 00:01:44 มันมีเสียงจริงๆนะครับเสียงจริงๆในที่นี้
00:01:44 → 00:01:48 ก็เกิดขึ้นมาจากสิ่งแตงๆที่อยู่ในกะโหลก
00:01:48 → 00:01:50 สีหลักของเรานี่แหละครับบางครั้งมันเป็น
00:01:50 → 00:01:53 เส้นเลือดที่มันผิดปกตินะครับก็สามารถทำ
00:01:53 → 00:01:56 ให้มีเสียงได้นะครับบางครั้งมันเป็นกล้าม
00:01:56 → 00:01:58 เนื้อที่อยู่ในช่องหูของเรามันผิดปกติก็
00:01:58 → 00:02:02 มีเสียงได้บางครั้งมันเป็นท่อที่เชื่อม
00:02:02 → 00:02:04 อยู่ระหว่างโพรงจมูกของเรากับหูชั้นกลาง
00:02:04 → 00:02:06 ซึ่งเรียกว่าู Station Tube ตัวนี้มันมี
00:02:06 → 00:02:10 ปัญหามันก็เกิดเสียงที่ผิดปกติได้นะครับ
00:02:10 → 00:02:13 หรือบางกรณีมันมีก้อนเนื้องอกไปอยู่ตาม
00:02:13 → 00:02:15 บริเวณต่างๆมันก็ทำให้เกิดเสียงพวกนี้
00:02:15 → 00:02:19 ขึ้นมาได้นะครับดังนั้นเนี่ยเนื่องจากมัน
00:02:19 → 00:02:22 มีหลายสาเหตุแบบนี้แนะครับผมก็เลยอยากจะ
00:02:22 → 00:02:25 ให้เรามาทำความเข้าใจว่าแบบไหนที่มันบ่ง
00:02:25 → 00:02:28 บอกอาการอะไรนะครับผมจะเริ่มต้นด้วยแบบ
00:02:28 → 00:02:33 ที่เราเอ่อจำเป็นจะต้องรู้ก่อนนะครับแล้ว
00:02:33 → 00:02:35 ก็มันอันตรายนะฮะก็คือแบบที่เกี่ยวข้อง
00:02:35 → 00:02:39 กับระบบหลอดเลือดนั่นเองนะครับเวลาที่เรา
00:02:39 → 00:02:42 บรรยายลักษณะของเสียงที่ได้ยินเนี่ยนะ
00:02:42 → 00:02:45 ครับเราจะต้องสามารถบรรยายมันได้ชัดเจน
00:02:45 → 00:02:50 เช่นข้อแรกนะครับความถี่นะครับเสียงสูง
00:02:50 → 00:02:52 เสียงต่ำบางครั้งมันบางครั้งเป็นเสียงวิง
00:02:52 → 00:02:54 อย่างเงี้ยนะครับบางครั้งมันเหมือนเสียง
00:02:54 → 00:02:58 คนำเสียงต่ำๆหือแบบเนี้ยนะครับเสียงต่ำๆ
00:02:58 → 00:03:01 นะครับซึ่งแต่ละอย่างเนี่ยมันสามารถเอามา
00:03:01 → 00:03:03 บอกโรคได้ด้วยว่ามันเป็นอะไรนะครับบาง
00:03:03 → 00:03:07 กรณีเนี่ยบางคนรู้สึกว่ามีเสียงเนี่ยมัน
00:03:07 → 00:03:10 เต้นตามตจังหวะหัวใจนะครับหรือที่ภาษาทาง
00:03:10 → 00:03:13 อังกฤษเนี่ยเราจะเรียกว่า pti นะครับคือ
00:03:13 → 00:03:16 ฟู่ๆฟู่ๆอย่างเงี้ยเหมือนมีคนมาเป่าอะไร
00:03:16 → 00:03:18 อยู่ในหัวเราเนี่ยนะครับอาจจะได้ยินข้าง
00:03:18 → 00:03:20 ใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างเลยก็ได้นะ
00:03:20 → 00:03:24 ครับอ่าไอ้แบบเนี้ยนะครับก็สามารถบอกโรค
00:03:24 → 00:03:28 ได้บางครั้งนะครับมันอาจจะมีคล้ายๆกับ
00:03:28 → 00:03:31 เสียงเครื่องจักรเสียงคลิกนะครับติ๊กๆๆๆๆ
00:03:31 → 00:03:33 ๆเนี่ยอยู่ในหูเรานะครับแบบนี้ก็สามารถ
00:03:33 → 00:03:36 บอกโรคบางโรคได้เหมือนกันนะครับอันนี้คือ
00:03:36 → 00:03:40 เสียงเวลาที่เราใช้ในการบรรยายนะครับและ
00:03:40 → 00:03:42 พอเราบอกว่ามันเป็นเสียงสูงเสียงต่ำเสียง
00:03:42 → 00:03:46 เป็นตอนไหนเนี่ยเราก็ต้องดูด้วยว่าเออมัน
00:03:46 → 00:03:49 เป็นตลอดเวลาหรือมันเป็นบางช่วงนะครับถ้า
00:03:49 → 00:03:51 มันเป็นตลอดเวลาอันนี้ก็บอกโรคได้เหมือน
00:03:51 → 00:03:53 กันเราก็เวลาเราไปหาหมอเราต้องบอกเค้าให้
00:03:53 → 00:03:56 ได้ว่าเอ๊มันเป็นตลอดเวลาเลยแต่ส่วนใหญ่
00:03:56 → 00:03:58 แล้วคนเนี่ยมักจะได้ยินเสียงพวกนี้ตอน
00:03:58 → 00:04:01 อยู่ในบริเวณที่มันเงียบๆไม่มีเสียงอะไร
00:04:01 → 00:04:03 รบกวนนะครับมันก็จะเกิดเสียงพวกนี้แหละ
00:04:03 → 00:04:07 ครับมารบกวนทำให้เอ่อสภาพการเป็นอยู่ของ
00:04:07 → 00:04:10 เราเนี่ยมันลำบากมากขึ้นนะครับแล้วก็เกิด
00:04:10 → 00:04:13 ปัญหาขึ้นมาก็นำไปสู่การตรวจรักษานั่นเอง
00:04:13 → 00:04:15 นะครับดังนั้นต้องรู้ว่าเป็นตลอดเวลาหรือ
00:04:15 → 00:04:19 เปล่าบางคนนะครับตอนที่ออกกำลังกายเนี่ย
00:04:19 → 00:04:21 หรือเวลาเปลี่ยนท่าทางไอ้เสียงพวกนี้มัน
00:04:21 → 00:04:24 หายไปอันนี้ก็บ่งบอกเหมือนกันนะครับว่า
00:04:24 → 00:04:26 มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับระบบหลอด
00:04:26 → 00:04:30 เลือดนะครับบางทีถ้าเรางอคอหารหันไปหันมา
00:04:30 → 00:04:32 พวกนี้เสียงมันหายไปเอ๊ะมันอาจจะเกี่ยว
00:04:32 → 00:04:33 ข้องกับระบบหลอดเลือดก็ได้นะครับซึ่ง
00:04:34 → 00:04:35 เดี๋ยวจะเล่ากันต่อไปนะครับว่ามันมาจาก
00:04:35 → 00:04:39 ไหนได้บ้างนะครับเอ่อนอกเหนือจากนี้เนี่ย
00:04:39 → 00:04:42 คืออย่างที่เมื่อกี้บอกว่ามันอาจจะมีบาง
00:04:42 → 00:04:45 กรณีเนี่ยที่เสียงมันมาพร้อมจังหวะหัวใจ
00:04:45 → 00:04:47 เลยนะครับหัวใจเรามันเต้นยังไงไอ้เสียง
00:04:47 → 00:04:50 นี้มันก็มาตามนั้นนะมันหัวใจเต้นตุ๊บๆๆ
00:04:50 → 00:04:53 ไอ้นี้มันก็ฟู่ๆๆๆอย่างเงี้ยตามจังหวะของ
00:04:53 → 00:04:56 หัวใจอันเนี้ยแบบเนี้ยกรณีนี้คือต้อง
00:04:56 → 00:04:58 กังวลต้องรีบไปตรวจนะครับมันอาจจะมีปัญหา
00:04:58 → 00:05:01 ที่ร้ายแรงซ่อนอยู่ในร่างกายเราก็ได้นะ
00:05:01 → 00:05:04 ครับกับอีกแบบนึงมันเป็นจังหวะแบบนี้แหละ
00:05:04 → 00:05:06 ครับแต่ว่ามันไม่ตามจังหวะหัวใจนะครับ
00:05:06 → 00:05:09 เช่นตึ๊กๆๆๆๆๆแบบเนี้ยพวกเนี้ยมักจะเกิด
00:05:09 → 00:05:11 จากกล้ามเนื้อที่มันมีปัญหาที่อยู่ในช่อง
00:05:11 → 00:05:15 หูแล้วถ้าเราสามารถบอกหมอได้ชัดเจนถึง
00:05:15 → 00:05:18 อาการพวกนี้นะครับหมอเจะวินิจฉัยได้ค่อน
00:05:18 → 00:05:20 ข้างที่จะง่ายเลยทีเดียวส่วนใหญ่แล้วที่
00:05:20 → 00:05:23 เราวินิจฉัยกันไม่ค่อยได้ก็เพราะว่าเรา
00:05:23 → 00:05:26 อาจจะไม่สามารถบรรยายอาการได้ถูกต้องนะ
00:05:26 → 00:05:28 ครับมันก็เลยทำให้เรายิ่งงงเข้าไปใหญ่นะ
00:05:28 → 00:05:33 ครับแต่อันนี้คือลักษณะของการบรรยายเสียง
00:05:33 → 00:05:35 ที่อยู่ในหูของเรานอกเหนือจากนั้นเนี่ย
00:05:36 → 00:05:38 เราอาจจะต้องรู้ประวัติเพิ่มเติมนะครับยก
00:05:38 → 00:05:41 ตัวอย่างเช่นเรามีอาการอย่างอื่นเพิ่มไหม
00:05:41 → 00:05:44 นะครับอาการที่เพิ่มก็ยกตัวอย่างเช่นหู
00:05:44 → 00:05:47 มันดับไปนะครับอ่าหูดับแล้วก็มีอาการ
00:05:47 → 00:05:50 เสียงวิ้งอยู่ในหูเนี่ยนะครับอันนี้ก็มัก
00:05:50 → 00:05:52 จะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับประสาทหูนะครับ
00:05:52 → 00:05:56 อ่าโรคพวกนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุนะครับ
00:05:56 → 00:05:58 ยกตัวอย่างเช่นบางคนเนี่ยมีเสียงระเบิด
00:05:58 → 00:06:01 ตู้มมาแล้วแล้วก็หูมันดับไปเลยแล้วก็มี
00:06:01 → 00:06:03 เสียงวิงนะครับอันนี้หลายๆคนเวลาดูหนัง
00:06:03 → 00:06:07 เนี่ยอาจจะเคยดูหนังพวกสงครามที่พอระเบิด
00:06:07 → 00:06:10 ลงแล้วก็ในหนังเขาตัดภาพเงียบไปเลยแล้วมี
00:06:10 → 00:06:12 เสียงวิงอย่างเงี้ยอยู่นะครับนั่นแหละ
00:06:12 → 00:06:15 ครับคืออาการที่หูมันดับจากการที่มีเสียง
00:06:15 → 00:06:18 ดังรุนแรงกระทบหูแล้วก็เส้นประสาทหูมัน
00:06:18 → 00:06:20 เสียไปนะครับบางคนอาจจะชั่วคราวบางคนก็
00:06:21 → 00:06:23 อาจจะเป็นนานกว่านั้นบางคนเป็นเพราะว่าไป
00:06:23 → 00:06:26 ดำน้ำแล้วมันมีแรงดันมากๆนะครับอันนี้ก็
00:06:26 → 00:06:28 จะเป็นได้เหมือนกันนะครับเป็นการบาดเจ็บ
00:06:28 → 00:06:31 แล้วก็ทำให้หูของเราเนี่ยมันสูญเสียการ
00:06:31 → 00:06:36 ได้ยินนะครับบางคนมีเรื่องของการที่เวียน
00:06:36 → 00:06:38 หัวมากๆนะครับเวียนหัวเหมือนบ้านหมุนเลย
00:06:38 → 00:06:40 บ้านหมุนกับเวียนหัวทั่วไปเนี่ยมันไม่
00:06:40 → 00:06:43 เหมือนกันนะครับเวียนหัวทั่วไปเนี่ยมันก็
00:06:43 → 00:06:46 เหมือนกับว่าเราอยู่เฉยๆเนี่ยมันแค่รู้
00:06:46 → 00:06:49 สึกว่าเอ้อมันมึนๆเมาๆนะครับเหมือนตอนที่
00:06:49 → 00:06:51 เราเมาเหล้าอะไรอย่างเงี้ยละครับแต่ไอ้
00:06:51 → 00:06:54 บ้านหมุนเนี่ยลักษณะของมันก็คล้ายๆกับว่า
00:06:54 → 00:06:57 ถ้าเรายืนอยู่มันมันยืนไม่ได้เลยมันเซมัน
00:06:57 → 00:07:00 เหมือนกับของรอบๆตัวเรานี่มันหมุนหมุนไป
00:07:00 → 00:07:02 รอบๆตัวหรือบางคนก็รู้สึกเหมือนตัวเรา
00:07:02 → 00:07:04 กำลังเลื่อนเลื่อนซ้ายเลื่อนขวาอย่าง
00:07:04 → 00:07:06 เงี้ยนะครับอันนี้คือเราจะเรียกว่าเป็น
00:07:06 → 00:07:10 กรณีบ้านหมุนนะครับหรือในภาษาทางการแพทย์
00:07:10 → 00:07:12 เราเรเราจะเรียกมันว่า vertical นะครับ
00:07:12 → 00:07:16 vertical นะฮะไอ้ภาวะบ้านหมุนนี้มัน
00:07:16 → 00:07:18 สามารถบอกอะไรเราบางอย่างได้นะครับเพราะ
00:07:18 → 00:07:21 ว่ามันก็มีโรคบางโรคที่มันเป็นแบบนั้น
00:07:21 → 00:07:23 เหมือนกันที่เราจำเป็นจะต้องหานะครับอ่า
00:07:23 → 00:07:26 ดังนั้นเราต้องรู้ด้วยว่าเรามีอาการอย่าง
00:07:26 → 00:07:28 อื่นร่วมมนะครับนอกเหนือจากนี้บางคนมี
00:07:28 → 00:07:31 หนองไหลออกมาจากหูมีไข้มีปวดหูพวกนี้ก็
00:07:31 → 00:07:34 ต้องสงสัยเรื่องของการติดเชื้อที่นำไปสู่
00:07:34 → 00:07:37 การเกิดเสียงในหูนะครับพวกนั้นก็มีการ
00:07:37 → 00:07:40 รักษาที่มันเฉพาะนะครับนอกเหนือจากการ
00:07:40 → 00:07:42 บรรยายพวกนี้แล้วบรรยายเรื่องของเสียงใน
00:07:42 → 00:07:47 หูความถี่สูงต่ำนะครับการที่มีเป็นอ่ามา
00:07:47 → 00:07:51 เป็นช่วงๆสม่ำเสมอตามการเต้นของหัวใจมยนะ
00:07:51 → 00:07:54 ครับหรือเป็นการเต้นแบบอยู่ๆมันมาไม่ตรง
00:07:54 → 00:07:56 มามามั่วๆอย่างเงี้ยนะครับตึ๊กๆๆๆแบบ
00:07:56 → 00:08:00 เนี้ยนะครับเราก็สามารถที่จะพอบอกได้ละ
00:08:00 → 00:08:01 เรารู้ว่าเอ๊ะมันมีอาการอย่างอื่นร่วม
00:08:01 → 00:08:05 มั้ยอันต่อไปที่จะต้องถามก็คือประวัติ
00:08:05 → 00:08:08 อย่างอื่นนะครับเช่นอะไรบ้างประวัติการ
00:08:08 → 00:08:10 บาดเจ็บมาก่อนนะครับบางคนรถชนนะครับแล้ว
00:08:10 → 00:08:13 ก็เกิดเอ่อภาษาการแพทย์เราจะเรียกว่า with
00:08:13 → 00:08:16 lash นะครับเหมือนกันการสะบัดแส้นะครับ
00:08:16 → 00:08:18 เวลาที่เราชนปุ๊บเนี่ยหัวเรามันไปข้าง
00:08:18 → 00:08:21 หน้าแล้วมันก็อย่างงี้มาข้างหลังถูกมั้ย
00:08:21 → 00:08:22 ครับการที่มันเป็นอย่างเงี้ยล่ะครับมันจะ
00:08:22 → 00:08:25 ทำให้เกิดการบาดเจ็บตรงกระดูกคอได้แล้วก็
00:08:25 → 00:08:27 บางคนเนี่ยจะเกิดเสียงแบบเนี้ยขึ้นมาในหู
00:08:27 → 00:08:31 ได้หลังจากที่เกิดการบาเจ็บไปนะครับนอก
00:08:31 → 00:08:33 เหนือจากนี้ถ้ามีการกระทบกระแทกบริเวณ
00:08:33 → 00:08:36 ศีรษะต่างๆพวกนี้ก็จะทำให้มีเสียงที่มัน
00:08:36 → 00:08:39 ผิดปกติได้นะครับการใช้ยาบางชนิดนะครับ
00:08:39 → 00:08:44 อ่ายานี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะครับมันมียา
00:08:44 → 00:08:46 เยอะมากเลยนะครับที่สามารถทำให้เกิดเสียง
00:08:46 → 00:08:49 ในหูได้เพราะว่ามันไปทำอันตรายต่อเส้น
00:08:49 → 00:08:53 ประสาทหูของเรานี่แหละครับและยาที่เจอกัน
00:08:53 → 00:08:58 บ่อยๆเนี่ยก็ยกตัวอย่างเช่นยาขับปัสสาวะ
00:08:58 → 00:09:00 กลุ่มที่เรียกว่า loop ไดู tic นะครับ
00:09:00 → 00:09:03 เช่น osim หรือ L ที่เราทานๆกันนี่แหละ
00:09:03 → 00:09:05 ครับโดยทั่วไปไม่ค่อยเกิดหรอกครับแต่ว่า
00:09:05 → 00:09:08 ถ้าใช้ในขนาดสูงมากๆนะครับอันเนี้ยอาจจะ
00:09:08 → 00:09:11 เกิดได้นะครับยาฆ่าเชื้อกลุ่มที่เรียกว่า
00:09:11 → 00:09:14 อิโนไลคสดนะครับตัวเนี้ยก็มันไม่ใช่ยากิน
00:09:14 → 00:09:16 นะครับมันจะเป็นยาฉีดที่หมอเขาใช้กันใน
00:09:16 → 00:09:20 โรงพยาบาลนะครับก็ยกตัวอย่างเช่นยาอ่า
00:09:20 → 00:09:23 มิเซินนะครับยาเจนทาไมซินพวกนี้นะครับก็
00:09:23 → 00:09:25 เป็นอันตรายต่อเส้นประสาทหูได้เพราดัง
00:09:25 → 00:09:28 นั้นเวลาที่เราใช้นะครับเราก็จะดูด้วยว่า
00:09:28 → 00:09:30 คนไข้มีอาการแบบนี้หรือเปล่าเพราะว่าถ้า
00:09:30 → 00:09:33 มีเราต้องรีบหยุดไม่หยุดเนี่ยมันจะเป็นหู
00:09:33 → 00:09:36 มีเสียงวิงอย่างงั้นถาวรแล้วบางคนหูดับ
00:09:36 → 00:09:38 ถาวรเลยนะครับอ่าถ้าเรามีอาการแล้วเรา
00:09:38 → 00:09:41 อยู่ในโรงพยาบาลรักษาด้วยยาพวกนี้อยู่ก็
00:09:41 → 00:09:44 ต้องรีบบอกหมอนะครับนอกเหนือจากนี้มีอีก
00:09:44 → 00:09:46 อย่างหนึ่งก็คือ aspirin เนี่ยแหละครับ
00:09:46 → 00:09:49 aspirin แล้วก็ยากลุ่มที่เรียกว่า enat
00:09:49 → 00:09:51 นะครับ nonsteroidal Anti inflammatory
00:09:51 → 00:09:54 drugs ยกตัวอย่างเช่น Ibuprofen
00:09:54 → 00:09:57 diclofenac P stan นะครับมี fenamic
00:09:57 → 00:10:01 Acid นะครับพวกเนี้ยถ้าเรากินขนาดสูงมาก
00:10:01 → 00:10:05 ๆนะครับบางคนจะเกิดพิษขึ้นมาแล้วอาการพิษ
00:10:05 → 00:10:08 แรกเลยก็คืออาการเสียงวิงที่อยู่ในหูนะ
00:10:08 → 00:10:11 ครับนอกเหนือจากนี้มันมียาอีกหลายตัวที่
00:10:11 → 00:10:14 สามารถทำให้เป็นแบบนี้ได้ดังนั้นหากว่า
00:10:14 → 00:10:17 ท่านทานยาอะไรอยู่ก็ตามแล้วหลังจากนั้น
00:10:17 → 00:10:19 เนี่ยมันเกิดอาการเสียงวิงขึ้นมาแนะนำว่า
00:10:19 → 00:10:22 ท่านควรจะต้องหยุดทานยาตัวนั้นไม่ไม่รู้
00:10:22 → 00:10:23 แหละว่าตัวไหนที่มันเป็นตัวใหม่แต่ให้
00:10:24 → 00:10:27 หยุดทานตัวนั้นแล้วรีบบอกหมอนะครับเพราะ
00:10:27 → 00:10:30 ว่าอาจจำเป็นจะต้องเปลี่ยนชนิดยาเพื่อควบ
00:10:30 → 00:10:33 คุมโรคที่ท่านจำเป็นจะต้องทานยาตัวนั้น
00:10:33 → 00:10:37 ได้อยู่นะครับอันนี้คือประวัติคร่าวๆที่
00:10:37 → 00:10:40 เราจะต้องบอกคุณหมอเค้านะครับทีนี้มาดู
00:10:40 → 00:10:44 แยกเป็นสาเหตุต่างๆเลยดีกว่าว่าอะไรคือ
00:10:44 → 00:10:48 สาเหตุของการเกิดเสียงในหูแล้วแบบไหนมัน
00:10:48 → 00:10:51 เป็นโรคอะไรแล้วเราจะต้องดูแลมันยังไงนะ
00:10:51 → 00:10:54 ครับกรณีแรกอย่างที่บอกไปคือเรื่องของ
00:10:54 → 00:10:57 ระบบหลอดเลือดก่อนนะครับระบบหลอดเลือด
00:10:57 → 00:11:00 เนี่ยมันจะมีหลายอย่างมากก็ยกตัวอย่าง
00:11:00 → 00:11:01 เช่น
00:11:01 → 00:11:05 อิเรียกเป็นอ่า arterial bru นะครับ bru
00:11:05 → 00:11:07 นี่ก็คือเป็นเสียงที่มันฟู่ๆพวกนี้แหละ
00:11:07 → 00:11:10 ครับเวลาที่หมอเตรวจร่างกายเนี่ยบางทีเขา
00:11:10 → 00:11:12 จะเอาตัวหูฟัง stethoscope เนี่ยฟังตรง
00:11:13 → 00:11:16 บริเวณต่างๆของร่างกายของหัวเราด้วยนะฟัง
00:11:16 → 00:11:20 ฟังตรงตาฟังตรงเนี้ยตรงรอบๆรอบๆหัวเราตรง
00:11:20 → 00:11:22 เนี้ยนะครับแล้วก็ตรงหูรอบๆหูเรานะครับ
00:11:23 → 00:11:25 ถ้าเขาได้ยินเสียงที่มันผิดปกตินั่นแปล
00:11:25 → 00:11:28 ว่าน่าจะมีความผิดปกติของระบบหลอดเลือดนะ
00:11:28 → 00:11:31 ครับอธิ bru เนี่ก็คือเป็นระบบหลอดเลือด
00:11:31 → 00:11:34 แดงนะครับที่ตัวเส้นเลือดเนี่ยมันตีบแคบ
00:11:34 → 00:11:37 ลงส่วนใหญ่เป็นเพราะว่ามีไขมันไปจับมันทำ
00:11:37 → 00:11:40 ให้รูของมันแคบลงนะครับแล้วคนพวกเนี้ยมัก
00:11:40 → 00:11:43 จะได้ยินเสียงในเวลาที่เงียบๆเหมือนเสียง
00:11:43 → 00:11:45 หัวใจเต้นแต่ถ้าเป็นเวลาอื่นเนี่ยก็อาจจะ
00:11:45 → 00:11:48 ไม่ค่อยได้ยินมันก็ทำให้รำคาญแต่ภาวะนี้
00:11:48 → 00:11:50 เนี่ยโดยตัวมันเองไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ
00:11:50 → 00:11:52 ครับไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษนะฮะแล้วส่วน
00:11:52 → 00:11:56 ใหญ่ก็มันจะไม่ค่อยรบกวนอะไรมากนะครับแต่
00:11:56 → 00:11:59 จะต้องไปรักษาโรคประจำตัวก็คือถ้าท่านมี
00:11:59 → 00:12:03 มีความดันสูงมีโรคไขมันสูงมีเบาหวานพวก
00:12:03 → 00:12:05 นี้ต้องไปคุมให้ดีไม่ฉะนั้นไอ้โรคพวก
00:12:05 → 00:12:07 เนี้ยมันจะเป็นมากขึ้นนะครับแล้วพอเป็น
00:12:07 → 00:12:09 มากขึ้นมันไม่ได้มันไม่ได้มีปัญหาตรงที่
00:12:10 → 00:12:12 ว่ามีเสียงในหูหรอกครับแต่ว่ามันอาจจะทำ
00:12:12 → 00:12:15 ให้เกิดเส้นเลือดสมองเนี่ยขาดเลือดเส้น
00:12:15 → 00:12:18 เลือดหัวใจมันติดตันไปก็ทำให้หัวใจเราขาด
00:12:18 → 00:12:20 เลือดได้เช่นกันดังนั้นตรงเนี้มันเหมือน
00:12:20 → 00:12:22 เป็นอาการเตือนว่าท่านอาจจะมีโรคอย่าง
00:12:22 → 00:12:25 อื่นซ่อนอยู่นะครับอันที่ 2 ก็เป็นกลุ่ม
00:12:25 → 00:12:28 ที่อันตรายขึ้นมาอีกอย่างนึงก็คือเรียก
00:12:28 → 00:12:32 ว่า A AV f นะครับ at Venus เ่อ
00:12:32 → 00:12:37 fistula นะครับก็คือมันมีช่องที่เชื่อม
00:12:37 → 00:12:39 ระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำโดย
00:12:39 → 00:12:41 ปกติมันไม่ควรมีช่องตรงนี้นะครับแต่มัน
00:12:41 → 00:12:44 ดันมีขึ้นมาเหตุผลเนี่ยก็อาจจะมีมาตั้ง
00:12:44 → 00:12:47 แต่กำเนิดนะครับหรือเกิดเพราะว่าการที่มี
00:12:47 → 00:12:50 อะไรไปทำให้เราบาดเจ็บทางศีรษะนะครับการ
00:12:50 → 00:12:52 กระทบกระแทกหรือการติดเชื้ออะไรพวกนี้ก็
00:12:52 → 00:12:54 ได้นะครับจะสามารถทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้นมา
00:12:54 → 00:12:57 ได้ภาวะนี้เนี่ยก็คือเหมือนกันในระบบหล่อ
00:12:57 → 00:13:00 เลือดหมอเจะเอาหูฟังมาฟังตามที่ต่างๆนะ
00:13:00 → 00:13:02 ครับตรงตาตรงหน้าผากของเราตรงเอ่อ
00:13:02 → 00:13:06 กระหม่อมของเรานะครับตรงนี้แล้วก็รอบๆหู
00:13:06 → 00:13:08 ของเราเนี่ยเขาจะฟังหมดทุกที่ถ้าฟังแล้ว
00:13:08 → 00:13:10 ได้ยินเนี่ยเขาคก็จะต้องตรวจเพิ่มแล้วว่า
00:13:10 → 00:13:12 มันเป็นแบบไหนถ้ามันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า
00:13:12 → 00:13:16 AV fistula ตัวนี้มันจะอันตรายมากเหตุ
00:13:16 → 00:13:20 ผลเพราะว่าถ้ามีภาวะนี้แล้วมันเป็นภาวะ
00:13:20 → 00:13:24 นี้จริงๆนะครับมันมีโอกาสเกิดโรคหลอด
00:13:24 → 00:13:26 เลือดในสมองเนี่ยมันแตกแล้วก็ดเลือดเกิด
00:13:26 → 00:13:31 เลือดออกในสมองได้นะครับอีกกรณีนึงก็คือ
00:13:31 → 00:13:34 มันสามารถทำให้เกิดลิ่มเลือดในระบบเลือด
00:13:34 → 00:13:38 ดำของสมองได้ซึ่งภาวะนี้เนี่ยอันตรายมาก
00:13:38 → 00:13:41 แล้วไม่ได้แปลว่ารักษาแล้วจะดีขึ้นทุกราย
00:13:41 → 00:13:44 นะครับดังนั้นถ้าเราตรวจเจอภาวะนี้เรา
00:13:44 → 00:13:47 ต้องแก้ไขตั้งแต่แรกนะครับถ้าเป็นเรื่อง
00:13:48 → 00:13:50 ของหลอดเลื่อนเนี่ยเสียงมันมักจะฟู่ๆเป็น
00:13:50 → 00:13:52 เสียงต่ำไม่ไม่ใช่เสียงสูงนะครับไม่ใช่
00:13:52 → 00:13:55 วิ่งอย่างเงี้ยนะครับมันจะฟู่ๆๆเป็นเสียง
00:13:55 → 00:13:57 ต่ำๆนะครับพวกเนี้ยเหมือนมีคนเอาลมมาเป่า
00:13:57 → 00:14:00 ข้างๆหูเราประประมาณนั้นเลยนะครับอ่าถ้า
00:14:00 → 00:14:04 แบบเนี้ยจะต้องไปตรวจละนะครับอันนี้คือ
00:14:04 → 00:14:07 กรณีของ AV fistula ซึ่งอันตรายนะครับ
00:14:07 → 00:14:10 อีกอย่างนึงเอ่อเป็นกลุ่มโรคที่เราเรียก
00:14:10 → 00:14:13 ว่า paraganglioma นะครับอันนี้ชื่อมัน
00:14:13 → 00:14:16 แปลกหน่อย paraganglioma มันเป็นเซลล์
00:14:16 → 00:14:19 ชนิดพิเศษนะครับซึ่งเราเจอได้เอ่อเท่าที่
00:14:19 → 00:14:22 ผมจำไม่ผิดนะครับมันมีอยู่ 2 ที่หลักๆใน
00:14:22 → 00:14:24 ในหัวเรานี่แหละครับก็คือตรงเส้นเลือดที่
00:14:24 → 00:14:27 เรียกว่าคิของเราเป็นเส้นเลือดแดงใหญ่ตรง
00:14:27 → 00:14:30 นี้นะครับมันจะมีปกติเส้นเลือดแดงใหญ่ของ
00:14:30 → 00:14:32 เราเนี่ยขึ้นมาตรงคอที่เราคำชีพจรตรงนี้
00:14:32 → 00:14:35 นะครับมันจะแยกเป็น 2 หัวนะครับหัวอันนึง
00:14:35 → 00:14:37 หัวอันนึงเนี่ยเข้าไปในกะโหลกของเราและ
00:14:37 → 00:14:39 หัวนึงออกมาข้างนอกไอ้ตรงที่มันกำลังแยก
00:14:39 → 00:14:42 ตรงเนี้ยมันจะมีมันจะมีอ่ากระเปาะอันนึง
00:14:42 → 00:14:44 เรียกว่าเป็นบัฟในเซลล์ตรงนั้นเนี่ยนะ
00:14:44 → 00:14:47 ครับถ้ามันเกิดกลายเป็นเซลล์ผิดปกติเนี่ย
00:14:47 → 00:14:50 มันจะกลายไปเป็นตัวที่ทำให้เราเกิดเสียง
00:14:50 → 00:14:54 ในหูได้บางคนเนี่ยมันจะได้ยินเสียงตู้บๆ
00:14:54 → 00:14:56 ในหูเลยบางคนเหมือนไม่ใช่เป็นฟู่ๆนะครับ
00:14:56 → 00:14:59 เป็นตู้บๆนะฮะอยู่ในหัวเหมือนหัวหัวใจ
00:14:59 → 00:15:01 เต้นแต่มันอยู่ในหัวเราเลยอ่ะอยู่ตรงหู
00:15:01 → 00:15:04 เราเลยตุ๊บๆๆอย่างเงี้ยอยู่ในหัวนะครับ
00:15:04 → 00:15:09 อันนี้เนี่ยเราจะเรียกว่า glomus jugular
00:15:09 → 00:15:12 นะครับ glomus jugular glomus ก็คือ
00:15:12 → 00:15:14 เป็นอะไรกลมๆนี่แหละครับแล้วก็ jugular
00:15:14 → 00:15:18 มาจากไอ้ตัวเนี้ยนะเซลล์มันผิดปกติพวกนี้
00:15:18 → 00:15:20 หมอเคส่องเข้าไปในหูเนี่ยเจะเห็นไอ้หลอด
00:15:20 → 00:15:22 เลือดตรงนี้มันโปร่งพองคล้ายๆเป็นรูปพระ
00:15:22 → 00:15:25 อาทิตย์ขึ้นมานะครับสีมันจะแปลกๆอาจจะสี
00:15:25 → 00:15:28 น้ำเงินน้ำงนแดงๆแดงแบบเข้มๆหน่อยอยู่ใน
00:15:28 → 00:15:30 หูของเราเลยนะตอนส่องหูแล้วจะเห็นนะครับ
00:15:30 → 00:15:33 แล้วพวกนี้ต้องไปแก้ไขนะครับต้องไปผ่าตัด
00:15:33 → 00:15:36 แก้ไขหรืออาจจะต้องอ่ายิงสายอะไรเข้าไป
00:15:36 → 00:15:39 เพื่ออุดมันไม่ให้มันมันเกิดเรื่องได้นะ
00:15:39 → 00:15:43 ครับแล้วก็อ่ามีอีกอย่างนึงคือไอ้เซลล์
00:15:43 → 00:15:48 ตัวเนี้ยมันจะมีที่ตรงเอิ่มตรงใกล้ๆกับ
00:15:48 → 00:15:51 ผนังในหูนี่แหละครับนะตรงนั้นมันจะมีอีก
00:15:51 → 00:15:54 ที่นึงเหมือนกันชื่อว่าโมสายตัวนี้ก็ทำ
00:15:54 → 00:15:57 ให้เกิดเสียงในหูแบบนี้ได้ซึ่งพวกเนี้ย
00:15:57 → 00:15:59 การแก้ไขเนี่ยมันแก้ไขแล้วหายได้นะครับก็
00:15:59 → 00:16:02 ต้องไปปรึกษาคุณหมอว่าจะต้องแก้ไขด้วย
00:16:02 → 00:16:04 วิธีอะไรที่มันเหมาะสมกับเรามากที่สุดนะ
00:16:04 → 00:16:06 ครับ
00:16:06 → 00:16:08 เอิ่มนอกเหนือจากนี้เอ่อมีอีกอย่างนึง
00:16:08 → 00:16:10 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นเลือดเพราะว่าเมื่อ
00:16:10 → 00:16:12 กี้เราพูดถึง arterial bl ไปแล้วว่ามัน
00:16:12 → 00:16:15 ไม่อันตราย AV fistula นี่อันตรายต้อง
00:16:15 → 00:16:17 แก้ไขนะครับเ่า paraganglioma อันนี้ก็
00:16:17 → 00:16:20 ต้องแก้ไขเหมือนกันแล้วก็สุดท้ายมีคำว่า
00:16:20 → 00:16:23 เ่อ Venus ัอ่ะอันนี้ Venus H เนี่ยมัน
00:16:23 → 00:16:26 เป็นเส้นเลือดดำของเรานี่แหละครับแต่ว่า
00:16:26 → 00:16:29 ความดันในเส้นเลือดดำมันสูงขึ้น
00:16:29 → 00:16:34 เราจะเจอเสียงที่มันคงที่มันจะไม่ใช่แ
00:16:34 → 00:16:37 ตุ๊บๆเหมือนหัวใจแล้วมันจะฟู่แบบต่ำๆ
00:16:37 → 00:16:40 เนี่ยเสียงต่ำตลอดเวลานะครับตลอดเวลาจะ
00:16:40 → 00:16:43 เป็นเสียงต่ำตลอดเวลาฟู่ๆเหมือนมีลมเป่า
00:16:43 → 00:16:46 ตลอดเวลานะครับตรงนี้เนี่ยบางครั้งนะครับ
00:16:46 → 00:16:49 การเปลี่ยนท่าทางของศีรษะเช่นเราก้มคอมัน
00:16:49 → 00:16:51 อาจจะหายไปก็ได้นะครับหรือถ้าเราไปเอา
00:16:51 → 00:16:55 นิ้วอุดตรงเส้เลือดดำเสียงมันหายไปได้นะ
00:16:55 → 00:16:57 ครับเส้เลือดดำตรงคอเรามันอยู่ตรงไหนนะ
00:16:57 → 00:16:59 ครับคือเคยเห็นคนร้องเพลงมั้ยครับเวลา
00:16:59 → 00:17:01 ร้องเพลงแล้วตะเบ็งมากๆเนี่ยไอ้เส้นเลือด
00:17:01 → 00:17:04 ดำมันโปร่งขึ้นมาตรงคออ่าไอ้เส้นนั้นแหละ
00:17:04 → 00:17:06 ครับคือถ้าเราเอานิ้วไปกดมันเบาๆเนี่ยนะ
00:17:06 → 00:17:09 ฮะเสียงพวกเมันหายไปได้ถ้าเป็นกรณีเยนะ
00:17:09 → 00:17:13 ครับมันเป็นเสียงวีนัสัซึ่งไม่อันตรายไม่
00:17:13 → 00:17:16 ต้องทำอะไรแต่มันมันจะบ่งบอกเราว่าเรามี
00:17:16 → 00:17:18 โรคอะไรซ่อนอยู่นะครับโรคที่ทำให้เกิด
00:17:18 → 00:17:21 วนัสธที่เจอบ่อยๆเลยนะครับก็จะเป็นโรค
00:17:21 → 00:17:23 ความดันโหสูงของเรานี่แหละครับคือเราก็
00:17:23 → 00:17:26 ต้องไปแก้ความดาเลยสูงนะครับกับโรคอีก
00:17:26 → 00:17:29 อย่างนึงซึ่งทำให้เป็นได้ก็คือเป็นความ
00:17:29 → 00:17:32 ดันในสมองมันสูงขึ้นนะครับอ่าความดันใน
00:17:32 → 00:17:35 สมองมันสูงขึ้นในภาษาอาการแพทย์ที่เราแบบ
00:17:35 → 00:17:38 บางทีหาสาเหตุไม่เจอเราจะเรียกว่าไเป็น
00:17:38 → 00:17:42 เอิ่ม pud tumor CBR นะครับ pud tumor
00:17:42 → 00:17:46 ก็คือเหมือนจริงๆมันมันเป็นการที่เราตรวจ
00:17:46 → 00:17:48 เจอลักษณะที่ว่ามันควรจะมีเนื้องอกอยู่ใน
00:17:48 → 00:17:50 สมองแต่มันไม่มีอ่ะครับและไอ้เนื้องอก
00:17:50 → 00:17:52 เนี่ยมันไปทำให้ความดันในสมองมันสูงขึ้น
00:17:52 → 00:17:54 ในคนพวกเนี้ยเราจะเจอว่าความสมองสูงขึ้น
00:17:54 → 00:17:56 มันน่าจะมีเนื้องอกนะแต่ตรวจแล้วมันไม่มี
00:17:56 → 00:17:58 เนื้องอกสรุปว่ามันไม่ใช่มะเร็งไม่ใช่
00:17:58 → 00:18:00 อะไรนะเป็นเรียกเรียกว่าูด tumor CBR นะ
00:18:00 → 00:18:03 ครับก็เกิดได้จากหลายสาเหตุนะครับแล้วก็
00:18:03 → 00:18:06 สาเหตุนึงอ่าจะเล่าให้ฟังสาเหตุนึงคือคน
00:18:06 → 00:18:08 ที่ชอบกินวิตามินมากๆนะครับแล้วไปกิน
00:18:08 → 00:18:11 วิตามิน a เยอะๆเนี่ยมันสามารถเกิดภาวะ
00:18:11 → 00:18:14 นี้ได้นะครับอ่าดังนั้นเนี่ยบางทีมัน
00:18:14 → 00:18:15 เกี่ยวข้องกหลายๆอย่างนะครับเรื่อง
00:18:15 → 00:18:17 วิตามินเอไม่เคยมีคนมาเตือนว่าเอ้มันเกิด
00:18:17 → 00:18:20 อะไรได้นะครับภาวะนี้ก็เกิดได้แล้วก็
00:18:20 → 00:18:23 วิตามินเอเกินบางคนก็มีปัญหาเรื่องปวด
00:18:23 → 00:18:25 กระดูกเรื่องแคลเซียมมีปัญหาได้เหมือนกัน
00:18:25 → 00:18:27 นะครับดังนั้นถ้าท่านจะกินอาหารเสริมอะไร
00:18:27 → 00:18:30 พวกนี้ก็ศึกษาดีๆก็ก่อนนะครับมันไม่ได้มี
00:18:30 → 00:18:33 การบอกไว้ที่ฉลากทุกอย่างนะครับอ่าอันนี้
00:18:33 → 00:18:37 ก็เป็นเรื่องของระบบหลอดเลือดที่มันมี
00:18:37 → 00:18:39 ลักษณะพิเศษแตกต่างกันไปนะครับ
00:18:39 → 00:18:44 อ่ะทีนี้ถ้านอกเหนือจากระบบหลอดเลือดแล้ว
00:18:44 → 00:18:47 เนี่ยก็มีอย่างอื่นอะไรมที่มันเฉพาะเจาะ
00:18:47 → 00:18:51 จงนะครับอ่ะอย่างแรกเลยคือเฉพาะเจาะจงคือ
00:18:51 → 00:18:54 ไอ้ท่อที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางกับโพรง
00:18:54 → 00:18:56 จมูกของเราตัวเนี้ยชื่อว่าู Station Tube
00:18:56 → 00:18:59 นะครับมันเป็นท่อที่เอาไว้ปรับความดันนะ
00:18:59 → 00:19:01 ฮะเวลาที่เราขึ้นเครื่องบินเนี่ยเราจะ
00:19:01 → 00:19:03 สังเกตว่าหูเรามันอื้อใช่มั้ยเราต้องอ้า
00:19:03 → 00:19:05 ปากหรือเคี้ยวหมากฝรั่งเนี่ยให้ไอ้ท่อเี่
00:19:05 → 00:19:07 มันเปิดแล้วก็ปรับความดันหูเรามันจะได้
00:19:07 → 00:19:10 ไม่อื้อนะครับหรือในกรณีที่เราดำน้ำเนี่ย
00:19:10 → 00:19:13 ก็จะต้องมีการเหมือนเขาจะเรียกว่าเคลียร์
00:19:13 → 00:19:16 หูนะครับคือเหมีการเบ่งแล้วก็ให้หูตรงเ
00:19:16 → 00:19:18 ปรับความดันไอ้ท่อเี่แหละครับที่มันมี
00:19:18 → 00:19:22 ปัญหาถ้ามันเปิดไว้ตลอดเวลาเนี่ยมันจะมี
00:19:22 → 00:19:25 ปัญหานะครับถ้ามันเปิดไว้ตลอดเวลาลักษณะ
00:19:25 → 00:19:27 ของเราที่เราจะได้ยินเสียงก็คือเหมือนเรา
00:19:27 → 00:19:29 จะได้ยินเสียงพูดของตัวเองอ่ะดังขึ้นในหู
00:19:29 → 00:19:33 ข้างนั้นอ่านะครับมันจะเหมือนเราได้ยิน
00:19:33 → 00:19:35 เสียงพูดตรงนั้นดังขึ้นนะครับแล้วก็ได้
00:19:35 → 00:19:37 ยินเสียงหายใจของตัวเองชัดขึ้นในหูข้าง
00:19:37 → 00:19:40 นั้นนะครับพวกนี้นี่แก้ไขไม่ได้ยากอะไร
00:19:40 → 00:19:43 มากมายบางทีหมอเเอาตัวยาไปจี้ข้างในหรือ
00:19:43 → 00:19:45 ว่าต้องใส่ซิลิโคนไปอุดไอ้ตัวท่อตัวนี้
00:19:45 → 00:19:48 ไว้มันก็จะดีขึ้นนะครับอันนี้เป็นเา้า
00:19:48 → 00:19:50 เรียกว่า US Station Tube dysfunction
00:19:50 → 00:19:54 นะครับก็ไปแก้ไขภาวะนี้มันก็หายได้นะครับ
00:19:54 → 00:19:57 อ่าเสียงพวกนี้อย่างที่บอกเป็นเสียงในหู
00:19:57 → 00:19:59 แต่ว่าลักษณะของเสียงมันไม่วิงนะครับมัน
00:19:59 → 00:20:01 จะเหมือนเสียงหายใจของเราแล้วเราก็ได้ยิน
00:20:01 → 00:20:03 เสียงของตัวเองมันชัดมากขึ้นในหูข้างนั้น
00:20:03 → 00:20:06 เสียงมันก้องๆพี่กลนะครับอ่าอันนี้เรา
00:20:06 → 00:20:09 เป็นปัญหาทางด้านของตัวหูนะครับอีกอย่าง
00:20:09 → 00:20:12 นึงเมื่อกี้ตอนเริ่มต้นผมพูดถึงเสียงที่
00:20:12 → 00:20:15 มันเกิดแบบติ๊กๆๆๆๆอยู่ในหูเนี่ยนะครับ
00:20:15 → 00:20:17 มันเป็นจังหวะนะครับแต่มันเร็วกว่าหัวใจ
00:20:17 → 00:20:22 เต้นนะครับพวกนี้นะครับมันมี 2 โรคที่
00:20:22 → 00:20:24 สมัยผมเรียนเนี่ยแล้วก็เจอได้ก็คือเป็น
00:20:24 → 00:20:28 โรคชื่อชื่อว่าไมนัสนะครับไมโคโคนัท
00:20:28 → 00:20:30 เนื้อสูนที่เรียกว่า palatal Muscle ก็
00:20:30 → 00:20:33 คือเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บนเพดานช่องปาก
00:20:33 → 00:20:36 ของเรานะครับกล้ามเนื้อตนี้เนี่ยมันจะไป
00:20:36 → 00:20:38 ยึดใกล้ๆกับไอ้ตัวู Station Tube เมื่อ
00:20:38 → 00:20:41 ตะกี้นะครับแล้วพอมันเกิดไมนัสก็คือมันมี
00:20:41 → 00:20:44 การกระตุกอย่างเงี้ยติ๊กๆๆๆๆอย่างเงี้ยนะ
00:20:44 → 00:20:46 ครับการกระตุกของมันนี่แหละครับทำให้เกิด
00:20:47 → 00:20:49 เสียงแล้วเราก็จะได้ยินนะครับอ่านี้คือ1ึ
00:20:49 → 00:20:53 ในนั้นแล้ววิธีแก้ไขมันต้องไปผ่าตัดไอ้
00:20:54 → 00:20:55 ตรงเนี้ยนะครับไปแกะมันออกแล้วมันก็หาย
00:20:55 → 00:20:58 เลยนะครับไม่ต้องใช้ยานะครับต้องไปผ่ามัน
00:20:58 → 00:21:03 ถึงจะหายอันที่ 2 มันมีเส้นประสาทเอ่อที่
00:21:03 → 00:21:06 ควบคุมกล้ามเนื้อแล้วกล้ามเนื้อตรงนี้มัน
00:21:06 → 00:21:10 จะอยู่ตรงบริเวณแก้วหูของเรานะครับก็เป็น
00:21:10 → 00:21:13 กล้ามเนื้อเอ่ออันนี้อาจจะเป็นชื่อทางการ
00:21:13 → 00:21:16 แพทย์นิดนึงนะครับมันชื่อ tensor ายนะ
00:21:16 → 00:21:19 ครับแล้วก็อ่า steeped Muscle นะครับมัน
00:21:19 → 00:21:21 มีอยู่ 2 มัดตัวนี้นะฮะ tensor Tim รู้
00:21:21 → 00:21:23 สึกว่าจะเป็นตัวที่มันควบคุมโดยเส้น
00:21:23 → 00:21:25 ประสาทสมองคู่ที่ 5 แล้วก็สบีเนี่ยควบคุม
00:21:25 → 00:21:29 โดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 นะครับถ้าไอ้
00:21:29 → 00:21:31 ตรงนี้มีปัญหาแล้วมันไปกระตุกเนี่ยนะครับ
00:21:31 → 00:21:34 มันก็จะทำให้มีเสียงติ๊กๆๆๆเมื่อกี้ขึ้น
00:21:34 → 00:21:36 มาได้เหมือนกันนะครับอันเนี้ยหมอเขส่องหู
00:21:36 → 00:21:39 ดูก็อาจจะพอบอกได้แล้วก็สามารถมีเครื่อง
00:21:39 → 00:21:41 ที่ตรวจทางหูแล้วก็จะสามารถบอกภาวะนี้ได้
00:21:41 → 00:21:44 เหมือนกันนะครับไอ้ภาวะพวกนี้เนี่ยแก้ไข
00:21:44 → 00:21:47 ได้ไม่ยากนะครับแต่จะต้องไปหาโรคร่วมนะ
00:21:47 → 00:21:50 ครับเพราะว่าบางคนมีโรคบางโรคที่ทำให้
00:21:50 → 00:21:53 เป็นอันนี้นะครับโรคที่เป็นก็ยกตัวอย่าง
00:21:53 → 00:21:56 เช่นโรคกลุ่มที่เรียกว่า multiple
00:21:56 → 00:21:59 sclerosis นะครับอันนี้อาจจะ
00:21:59 → 00:22:01 ผมยังไม่เคยเอาเรื่องโรคนี้มาพูดนะครับ
00:22:01 → 00:22:03 แต่ว่ามันเป็นปัญหาที่สมองนะครับแล้วก็
00:22:03 → 00:22:05 อาจจะทำให้เกิดภาวะเนี้ยได้นะครับเป็น
00:22:05 → 00:22:07 เสียงในหูแต่มันจะไม่ใช่เสียงิงแต่มันจะ
00:22:07 → 00:22:10 เป็นเสียงแบบติ๊กๆๆๆๆอย่างเงี้ยหรือตึกๆๆ
00:22:10 → 00:22:14 ๆๆในหูเราบางคนจะคิดคิดแบบว่าเฮ้ยมันมีคน
00:22:14 → 00:22:17 มาย่ำเท้าอยู่ใกล้ๆหูเราตลอดเวลาอะไร
00:22:17 → 00:22:19 อย่างเงี้ยนะครับหรืออยู่ดีๆมันก็เงียบไป
00:22:19 → 00:22:22 อยู่ดีๆก็เหมือนคนตึกๆๆเดินๆรอบๆเราแล้ว
00:22:22 → 00:22:25 ถ้ามันไปเกิดเวลากลางคืนก็คิดว่าผีนะครับ
00:22:25 → 00:22:27 เปล่าเลยครับมันเป็นไอ้กล้ามเนื้อมัน
00:22:27 → 00:22:29 กระตุกในหัวเราเนี่ยนะครับมันไม่ได้อะไร
00:22:29 → 00:22:33 ขนาดนั้นนะครับนั่นก็คือเป็นเอ่อภาวะนึง
00:22:33 → 00:22:35 ซึ่งแก้ไขได้นะครับกลุ่มนี้ก็คือเป็น
00:22:35 → 00:22:38 กลุ่มที่โรคที่เกิดขึ้นในเ่อหูกลุ่มที่
00:22:38 → 00:22:41 ชั้นนอกกับชั้นกลางพวกนี้นะครับ
00:22:41 → 00:22:45 เอิ่มแล้วก็อย่างอื่นอ้ออย่างอื่นเนี่ย
00:22:45 → 00:22:48 มันอาจจะเป็นเรื่องของการบาดเจ็บอย่างที่
00:22:48 → 00:22:50 เมื่อกี้ผมบอกนะครับก็คือถ้าเราเจอเสียง
00:22:51 → 00:22:52 ระเบิดเสียงดังอะไรพวกเนี้ยก็อาจจะเกิด
00:22:52 → 00:22:55 การบาดเจ็บได้การที่เกิดวิปแลชเววลาที่รถ
00:22:55 → 00:22:57 เราชนนะครับหัวเรามันเป็นเงี้ยแล้วก็ปึ๊ก
00:22:57 → 00:23:01 ไปก็ได้หรือบางคนเป็นไอ้ตัวกระดูกตรงกาม
00:23:01 → 00:23:03 เรานะข้อต่อกามตรงเนี้ยนะครับที่อยู่ข้าง
00:23:03 → 00:23:07 หูตรงเมันอักเสบขึ้นมาเราเรียกว่า tmj
00:23:07 → 00:23:09 หรือ tempor manul joint dysfunction
00:23:09 → 00:23:11 นะครับหรือ disorder ก็ได้นะครับมันก็
00:23:11 → 00:23:14 สามารถทำให้เรามีภาวะ tinnitus หรือเสียง
00:23:14 → 00:23:16 ในหูได้เหมือนกันนะครับตรงนี้ก็ต้องไปแก้
00:23:16 → 00:23:20 ไขนะครับว่าท่านเป็นอะไรนะครับอ่ะตรง
00:23:20 → 00:23:22 เนี้ยที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยมันเป็นสาเหตุ
00:23:22 → 00:23:28 ที่มันแก้ได้แล้วก็มันเจอได้ไม่บ่อยนะ
00:23:28 → 00:23:30 ครับดังนั้นมันอาจจะเป็นทั้งโชคดีและโชค
00:23:30 → 00:23:33 ร้ายคือโชคดีเนี่ยคือมันเป็นสาเหตุที่พอ
00:23:33 → 00:23:36 แก้ได้นะครับโชคร้ายคือมันเจอไม่บ่อยแต่
00:23:36 → 00:23:39 ไอ้ตัวที่เจอบ่อยกว่าเนี่ยมันมักจะเป็น
00:23:39 → 00:23:42 ตัวที่แก้ไม่ค่อยได้ก็คือเรื่องของเส้น
00:23:42 → 00:23:46 ประสาทในหูแล้วก็สมองการรับรู้นะครับโดย
00:23:46 → 00:23:49 พวกนี้เนี่ยลักษณะของมันเนี่ยจะเป็นเสียง
00:23:49 → 00:23:52 วิงเหมือนที่เราเคยได้ยินแล้วครับวิงแบบ
00:23:52 → 00:23:54 นี้เลยนะครับมีอยู่ภาวะนึงเท่านั้นที่มัน
00:23:54 → 00:23:58 จะเป็นเสียงเสียงต่ำมันมันจะไม่ใช่เหมือน
00:23:58 → 00:23:59 เสียงเสียงเป่าเมื่อกี้นะครับเมื่อกี้
00:23:59 → 00:24:02 เสียงเป่าเนี่ยคล้ายๆกับมีคนเอาเอาหลอดมา
00:24:02 → 00:24:03 เป่าข้างๆหูเราอันเนี้ยจะเป็นเสียงของ
00:24:03 → 00:24:05 เส้นเลือดซะส่วนใหญ่นะครับแต่ถ้ามันเป็น
00:24:05 → 00:24:09 เสียงเสียงต่ำเช่นอืแบบเนี้ยนะครับ
00:24:09 → 00:24:12 อันเนี้ยมันจะคนละอย่างกับ Wi เมื่อกี้
00:24:12 → 00:24:15 ถูกมั้ยครับไอ้เสียงต่ำๆแบบนี้ถ้าเรามี
00:24:15 → 00:24:18 อาการที่ว่าหูข้างนั้นน่ะเราไม่ค่อยได้
00:24:18 → 00:24:21 ยินนะครับเหมือนมีอะไรมาอุดๆอุดตันอยู่ใน
00:24:21 → 00:24:23 หูนะครับแล้วก็มีเสียงหือย่างเงี้ยรวม
00:24:24 → 00:24:26 ทั้งเรามีอาการเวียนหัวบ้านหมุนด้วย
00:24:26 → 00:24:28 อันเนี้ยจะเป็นภาวะพิเศษซึ่งเรียกเรียก
00:24:28 → 00:24:31 ว่า minar disease นะครับซึ่งก็จะต้องมี
00:24:31 → 00:24:34 การตรวจรักษากับคุณหมอเอ่อเป็นหมอทางด้าน
00:24:34 → 00:24:36 หูคอจมูกนะครับเป็นหลักเาก็จะสามารถบอก
00:24:36 → 00:24:38 ได้ว่าเป็นภาวะนี้หรือเปล่าแล้วมีการ
00:24:38 → 00:24:42 รักษาที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างจากภาวะอื่นนะ
00:24:42 → 00:24:45 ครับแต่ถ้ามันเป็นวิงไปเลยเนี่ยนะครับมัน
00:24:45 → 00:24:47 มีหลายสาเหตุเลยนะครับสาเหตุที่เราเจอ
00:24:47 → 00:24:50 บ่อยๆก็คือการบาดเจ็บทางหูที่เกิดขึ้นจาก
00:24:50 → 00:24:54 เสียงดังเป็นเวลานานนะครับถ้าเราเป็นคน
00:24:54 → 00:24:58 ที่ชอบเปิดเพลงดังๆชอบเข้าผับเวลาฟังก็
00:24:58 → 00:25:01 ใส่บลูทธแล้วก็เปิดให้มันดังดังๆไปเลย
00:25:01 → 00:25:03 หรือนั่งในรถแล้วก็เปิดให้เบสหนักๆเสียง
00:25:03 → 00:25:06 ดังๆพวกนี้แหละครับหูมันจะเสื่อมเสื่อม
00:25:06 → 00:25:09 เร็วกว่าไวด้วยนะครับอ่าแล้วพอมันเป็น
00:25:09 → 00:25:11 ขึ้นมาก็จะวิงไม่หยุดแล้วครับนะอันนี้ก็
00:25:11 → 00:25:15 คือเป็นภาวะหูเสื่อมซึ่งเกิดจากเสียงดังๆ
00:25:15 → 00:25:18 อีกอย่างนึงก็คือโรคที่เกิดขึ้นอ่าจาก
00:25:18 → 00:25:21 เสียงพวกเนี้ยแต่ว่ามันเกิดขึ้นในคนอายุ
00:25:21 → 00:25:23 เยอะนะครับเราจะเรียกว่า presbycusis นะ
00:25:23 → 00:25:26 ครับ presbycusis พวกนี้มันก็จะเป็นเสียง
00:25:26 → 00:25:28 วิงเหมือนกันแต่เกิดขึ้นในคนแก่นะครับ
00:25:28 → 00:25:30 อายุเยอะๆเพราะว่าคาดว่าน่าจะเกิดจาก
00:25:30 → 00:25:32 ประสาทหูเสื่อมเพราะว่าเราใช้งานมามาตลอด
00:25:32 → 00:25:35 ชีวิตนะครับถ้าเราได้ยินเสียงยิ่งดังมัน
00:25:35 → 00:25:38 ก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นภาวะนี้ได้ง่ายขึ้นนะ
00:25:38 → 00:25:41 ครับ presbycusis ก็จะเจอได้ง่ายขึ้นนะ
00:25:41 → 00:25:44 ครับยาเมื่อตะกี้ที่บอกไปแล้วก็สามารถทำ
00:25:44 → 00:25:46 ให้เกิดเสียงวิงอย่างเงี้ยตลอดต่อเนื่อง
00:25:46 → 00:25:49 ได้นะครับแล้วถ้าเริ่มเป็นก็จะต้องหยุดยา
00:25:49 → 00:25:52 ตัวใหม่ที่ทานอยู่ทันทีแล้วรีบโทรปรึกษา
00:25:52 → 00:25:53 คุณหมอนะครับเพราะว่าบางครั้งเราอาจจะ
00:25:53 → 00:25:57 ต้องใช้ยาตัวอื่นมฉะนั้นถ้าเราหยุดไปเลย
00:25:57 → 00:25:59 โรคประจำตัวของเราที่มันคุมได้ด้วยยาตัว
00:25:59 → 00:26:02 นั้นมันอาจจะคุมไม่ได้นะครับแล้วก็มี
00:26:02 → 00:26:05 ปัญหาเช่นกันแต่ถ้าเราไม่หยุดมันก็อาจจะ
00:26:05 → 00:26:08 มีอาการหูดับถาวรก็ได้นะครับอันนี้เป็น
00:26:08 → 00:26:10 สิ่งที่น่ากลัวมากที่เราจะต้องระวังตัว
00:26:10 → 00:26:15 เองนะครับอ่าเอิ่มมีอะไรอย่างอื่นมั้ยอ๋อ
00:26:15 → 00:26:17 มีอีกอย่างนึงก็คือเรื่อง
00:26:17 → 00:26:21 ของเนื้องอกอ่ามันจะมีเนื้องอกที่อยู่ตรง
00:26:21 → 00:26:24 เส้นประสาทหูของเรานี่นะครับเนื้องอกตัว
00:26:24 → 00:26:26 เนี้ยเขาจะเรียกว่าเป็น vestibular CH
00:26:26 → 00:26:29 norma นะครับถ้ามันมีเนื้องอกตรงเนี้ยก็
00:26:29 → 00:26:31 จะมีเสียงวิงนะครับบางคนก็จะมีหูดับข้าง
00:26:31 → 00:26:34 นั้นไปด้วยนะครับนี่อย่างงี้เราจะเห็นว่า
00:26:34 → 00:26:37 การที่เราสามารถบอกเสียง Win ว่ามันเป็น
00:26:37 → 00:26:40 สูงเป็นต่ำแล้วมีอาการร่วมด้วยคือหูดับ
00:26:40 → 00:26:43 มันทำให้เราสงสัยว้พวกนี้เพิ่มขึ้นได้อ่า
00:26:43 → 00:26:45 ถูกมั้ยครับงั้นเราต้องบอกหมอเให้ชัดเจน
00:26:45 → 00:26:47 ว่าเรามีอาการอย่างอื่นรวมด้วยหรือเปล่า
00:26:47 → 00:26:49 บางคนเคยมีคนมาถามผมว่าเนี่ยมันวิงอยู่
00:26:49 → 00:26:51 ตลอดเวลาเราไม่รู้เป็นอะไรอผมก็ไม่รู้
00:26:51 → 00:26:53 เหมือนกันนะครับเพราะว่าถ้าบรรยายไม่
00:26:53 → 00:26:55 ละเอียดเนี่ยเราก็บอกไม่ได้ว่าตกลงมัน
00:26:55 → 00:26:58 เป็นอะไรกันแน่มันเป็นงมันเป็นเสียงอืม
00:26:58 → 00:27:00 หรือมันเป็นเสียงเป่าๆหรือมันเป็นเสียง
00:27:00 → 00:27:03 ที่มันมาพร้อมกับการเต้นของหัวใจซึ่งมัน
00:27:03 → 00:27:05 ไม่เหมือนกันสักโรคนะครับเราก็ต้องรู้
00:27:05 → 00:27:09 ด้วยว่ามันเป็นอะไรบ้างนะครับเอิ่มมีอีก
00:27:09 → 00:27:13 อย่างนึงก็คือตัวปกติเนี่ยเราเคยท่องเด็ก
00:27:14 → 00:27:16 ๆมครับว่ามันมีกระดูกเล็กๆอยู่ในหูของเรา
00:27:16 → 00:27:19 ค้อนทั่งโกนนะครับอ่าเคยคุ้นๆมั้ยครับมัน
00:27:19 → 00:27:23 จะมีกระดูกโกรนแล้วเนี่ยไปแปะอยู่กับตรง
00:27:23 → 00:27:26 เยื่อแก้วหูของเรานะฮถ้าไอ้กระดูกตัวนี้
00:27:26 → 00:27:29 มันเสียคือมันมีการผิดปกปกติของตัวกระดูก
00:27:29 → 00:27:31 เนี่ยมันทำให้ไอ้ตรงเนี้ยเสียไปหมดเลยนะ
00:27:31 → 00:27:33 ครับทำให้การได้ยินของเราเสียไปแล้วบางคน
00:27:33 → 00:27:35 มีเสียงวิงอย่างในหูด้วยนะครับการไปผ่า
00:27:35 → 00:27:39 ตัดพวกเก็จะสามารถทำให้มันเอ่อดีขึ้นได้
00:27:39 → 00:27:41 นะครับตรงนี้ก็จะเป็นภาวะที่เราเรียกว่า
00:27:41 → 00:27:45 โอ sclerosis นะครับอ่าโอ sclerosis โอโต
00:27:45 → 00:27:47 นี่ก็แปลว่าหูสริเนี่แปลว่าแข็งนะครับ
00:27:48 → 00:27:51 โอสิแปลว่าหูแข็งแต่มันไม่ใช่หูข้างนอก
00:27:51 → 00:27:52 ของเราแข็งมันอยู่ข้างในนะครับเป็นจาก
00:27:52 → 00:27:56 แคลเซียมจากกระดูกผิดปกตินะครับอ่าพวกนี้
00:27:56 → 00:27:59 นะครับก็คือสาเหตุหลักๆของทั้ง
00:27:59 → 00:28:02 หมดทีนี้ถ้ามันไม่ใช่กลุ่มที่เป็นเส้น
00:28:02 → 00:28:04 เลือดไม่ใช่กลุ่มเนื้องอกไม่ใช่อะไรพวก
00:28:04 → 00:28:07 นี้ละมันก็มีกลุ่มอื่นๆอีกบางกรณีที่ผม
00:28:07 → 00:28:10 อาจจะไม่ได้กล่าวถึงนะครับพวกน้าก็จะต้อง
00:28:10 → 00:28:13 ไปปรึกษาหมอหูเขาจมกหมอหูเขาจมูกะว่ามัน
00:28:13 → 00:28:15 มีอะไรอย่างอื่นอีกมยบางคนเป็นจากการที่
00:28:15 → 00:28:19 ตัวสมองของเราเนี่ยมันมีความผิดปกติก็คือ
00:28:19 → 00:28:21 เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่าง
00:28:21 → 00:28:24 เรียกที่เราจะเรียกว่า ky malformation
00:28:24 → 00:28:26 นะครับคือตัวสมองสมองข้างล่างเรามัน
00:28:26 → 00:28:28 เลื่อนลงมาอะไอย่างเงี้ยมันทำให้ไอ้ตัว
00:28:28 → 00:28:31 เส้นประสาทสมองเรามันโดนโดนดึงรั้งแล้วก็
00:28:31 → 00:28:34 จะเกิดเสียงวิงอย่างนี้ขึ้นมานั้นพวกพวก
00:28:34 → 00:28:36 นี้โดยทั่วไปไปหาหมอเนี่ยเขาจะตรวจเรื่อง
00:28:36 → 00:28:39 ของการได้ยินตรวจช่องหูของเราว่ามีลักษณะ
00:28:39 → 00:28:42 ผิดปกติอะไรยนะครับดูว่าเรามีการมึนหัวมี
00:28:42 → 00:28:44 ประวัติอะไรที่มันเกิดการบาดเจ็บตรงหัว
00:28:44 → 00:28:46 ของเราหรือเปล่านะครับถ้าตรวจทุกอย่าง
00:28:46 → 00:28:49 แล้วยังไม่มีอะไรแล้วก็เจอว่ามีิงอย่าง
00:28:49 → 00:28:51 เดียวโดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรชัดเจนนะครับ
00:28:51 → 00:28:54 พวกนี้ล่ะครับจะเป็นพวกที่หลายๆคนรำคาญ
00:28:54 → 00:28:57 เออแล้วมันรักษายังไงผมต้องบอกอย่างงี้
00:28:57 → 00:29:01 ก่อนเลยนะครับว่ามันยังไม่มียาใดๆในโลก
00:29:01 → 00:29:05 นี้ไม่มีวิตามินไม่มีสมุนไพรไม่มีวิธีการ
00:29:05 → 00:29:08 ใช้ยาอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เสียงวิงอย่าง
00:29:08 → 00:29:12 นี้มันหายไปได้นะครับหลายคนไปลองตัวนั้น
00:29:12 → 00:29:15 ตัวนี้มามันไม่หายหรอกครับกินวิตามินบี
00:29:15 → 00:29:20 กินคอเปอร์กินซิงค์กินอิจิโก boba พวก
00:29:20 → 00:29:23 เนี้ยนะครับไม่หายไม่แปลกครับเพราะว่าคนเ
00:29:23 → 00:29:26 ทดลองกันมาหมดแล้วครับมันไม่หายนะครับเออ
00:29:26 → 00:29:28 แล้วเราทำยังไงกับมันดีนะครับในทางการ
00:29:28 → 00:29:31 แพทย์เนี่ยเราจะมีวิธีที่เรียกว่า
00:29:31 → 00:29:34 tinnitus retraining
00:29:34 → 00:29:38 therapy นะครับอ่ามันเป็นวิธีในการที่
00:29:38 → 00:29:41 เราทำให้เราสามารถอยู่กับเสียงพวกนี้ได้
00:29:41 → 00:29:43 โดยที่มันไม่สร้างความรำคาญให้กับเรานะ
00:29:43 → 00:29:48 ครับวิธีเนี่ยจะต้องบำบัดโดยแพทย์แล้วก็
00:29:48 → 00:29:50 นักกายภาพบำบัดทางหูเป็นพิเศษเลยผมไม่แน่
00:29:50 → 00:29:52 ใจว่าที่ไทยมีหรือเปล่าเพราะสมัยผมเรียน
00:29:52 → 00:29:54 ผมก็ไม่เคยเห็นตัวนี้เหมือนกันนะครับแต่
00:29:54 → 00:29:58 ว่าที่อเมริกามีนะครับมันจะมีเครื่องที่
00:29:58 → 00:30:01 เราใส่ตรงหูแล้วเครื่องตัวเนี้ยมันจะ
00:30:01 → 00:30:03 ปล่อยเสียงเป็น background noise ก็คือ
00:30:03 → 00:30:05 คล้ายๆกับ White noise เวลาที่เราเปิด
00:30:05 → 00:30:07 ให้เด็กฟังตอนเด็กนอนนี่แหละครับหรือบาง
00:30:07 → 00:30:10 ครั้งก็เป็นเสียงเพลงเสียงธรรมชาตินะครับ
00:30:10 → 00:30:13 เพื่อกลบไอ้ตัวเสียงวิงของเรานี่แหละครับ
00:30:13 → 00:30:17 อ่าเพื่อกลบตัวเสียงิของเรารวมทั้งเราใส่
00:30:17 → 00:30:19 ไว้ให้มันนานที่สุดแล้วก็จะมีการมาคุยกับ
00:30:19 → 00:30:23 คุณหมอเป็นระยะเวลาอ่าต่างๆนานานะครับ
00:30:23 → 00:30:27 แล้วก็แก้ไขภาวะที่เราตอบสนองต่อเสียงพวก
00:30:27 → 00:30:29 นี้นะครับเพราะว่าบางครั้งเวลามีเสียง
00:30:29 → 00:30:31 แล้วเราจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญเราบางคนซึม
00:30:31 → 00:30:33 เศร้าไปเลยนะครับเราก็ต้องมาแก้ไขวิธีใน
00:30:33 → 00:30:36 การมองโลกกับเสียงพวกนี้นะครับซึ่งมันไม่
00:30:36 → 00:30:39 ได้แก้ไขได้ในเวลา 1 อาทิตย์นะครับมันใช้
00:30:39 → 00:30:42 เวลาหลายเดือนจนถึงปีนึงเลยแล้วต้องทำทุก
00:30:42 → 00:30:45 วันถ้าไม่ทำเนี่ยนะครับมันก็ไม่หายนะครับ
00:30:45 → 00:30:48 ดังนั้นตรงนี้ต้องไปฝึกแล้วต้องปรึกษาคุณ
00:30:48 → 00:30:51 หมอนะครับอีกอย่างนึงถ้าท่านเป็นจาก
00:30:51 → 00:30:54 ปราสาทหูเสื่อมก็คือเป็นกลุ่มที่เอ่อมี
00:30:54 → 00:30:56 การได้ยินที่มันลดลงไปด้วยนะครับแล้วก็
00:30:57 → 00:31:00 ไม่ได้ตรวจเจอว่ามีโรคอะไรอันตรายพวกนี้จ
00:31:00 → 00:31:02 ประหาประสาทหูเสื่อมก็อาจจะต้องใส่
00:31:02 → 00:31:04 เครื่องช่วยฟังบางคนใส่เครื่องช่วยฟัง
00:31:04 → 00:31:08 ปุ๊บเสียงวิงหายไปทันทีหายเลยนะครับบางคน
00:31:08 → 00:31:10 อาจจะต้องฝังเครื่องช่วยฟังไว้ข้างในนะ
00:31:10 → 00:31:12 ครับแล้วก็หายเลยนะอันนี้มีเหมือนกันนะ
00:31:12 → 00:31:15 ครับก็ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุของท่านมัน
00:31:15 → 00:31:19 เป็นจากอะไรนะครับอ่าอันนี้ก็วิธีคร่าวๆ
00:31:19 → 00:31:21 แต่ถ้าเกิดว่าที่เมืองไทยท่านไม่สามารถ
00:31:21 → 00:31:25 ที่จะเข้าถึงหมอหรือนักกายภาพบำบัดที่เขา
00:31:25 → 00:31:27 จะสามารถช่วยในแง่ของเสียงวิงในหูได้นะ
00:31:27 → 00:31:30 ครับแล้วก็ก็ตรวจแล้วไม่เจอโรคอันตรายใดๆ
00:31:30 → 00:31:33 ทั้งสิ้นวิธีนี้ที่ท่านอาจจะพอทำได้นะ
00:31:33 → 00:31:36 ครับก็คือการใช้ White noise นะครับหรือ
00:31:36 → 00:31:38 การเอาเสียงธรรมชาติเสียงอะไรพวกเนี้ยมา
00:31:38 → 00:31:41 ฟังติดกับหูไว้ตลอดเวลาไม่ใช่ฟังไม่ใช่
00:31:41 → 00:31:43 แบบเปิดมันไว้ข้างนอกนะครับบางทีเปิดข้าง
00:31:43 → 00:31:45 นอกมันมันช่วยได้บ้างแต่ว่ามันไม่เต็มที่
00:31:45 → 00:31:48 ถ้าเป็นไปได้ต้องเอาติดหูไว้เลยนะครับติด
00:31:48 → 00:31:50 หูไว้เลยเหมือนกับซื้อไอ้ตัวหูฟังเนี่ย
00:31:50 → 00:31:53 แล้วก็เปิดมาไว้ตลอดเวลานะครับพยายามเปิด
00:31:53 → 00:31:56 มันให้นานที่สุดนะฮะแล้วก็ในช่วงที่ท่าน
00:31:56 → 00:31:58 รู้สึกรำคาญท่านก็จะต้องพยายามอดทนอยู่
00:31:58 → 00:32:00 กับมันนะครับมองโลกในแง่ดีไปเรื่อยๆนะ
00:32:00 → 00:32:04 ครับพวกนี้พอนานวันนานวันเข้าเรื่อยๆแล้ว
00:32:04 → 00:32:06 สมองของเราเนี่ยมันเก่งมันจะสามารถปรับ
00:32:06 → 00:32:08 ตัวเข้ากับไอ้เสียงพวกนี้ได้ด้วยตัวเองนะ
00:32:08 → 00:32:12 ครับโดยที่เราอาจจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ที่
00:32:12 → 00:32:14 สำคัญคนเหล่านี้มักจะมีภาวะอย่างอื่นร่วม
00:32:14 → 00:32:18 ด้วยเช่นซึมเศร้าวิตกกังวลนอนไม่หลับซึ่ง
00:32:19 → 00:32:21 ก็ต้องไปแก้ไขพวกนี้เหมือนกันนะครับถ้าคน
00:32:21 → 00:32:24 ไหนมีโรคเบาหวานความดันไขมันสูงหรืออะไร
00:32:24 → 00:32:26 พวกนี้ก็ต้องไปแก้ไขมันจะทำให้โรคของท่าน
00:32:26 → 00:32:29 คุมได้ดีมากขึ้นนะครับอ่ะวันนี้เราก็พูด
00:32:29 → 00:32:32 กันมาเยอะมากเลยนะครับเรื่องของเสียงในหู
00:32:32 → 00:32:34 เพราะว่าจริงๆมันไม่ใช่เรื่องที่ผมเชี่ยว
00:32:34 → 00:32:37 ชาญอะไรนักนะครับผมก็จะทราบแค่ประมาณเท่า
00:32:37 → 00:32:39 นี้แหละครับถ้าท่านต้องการทราบรายละเอียด
00:32:39 → 00:32:41 ที่มันมากไปกว่านี้นะครับก็อาจจะต้อง
00:32:41 → 00:32:45 ปรึกษาคุณหมอหูคอจมูกเป็นหลักเลยนะครับ
00:32:45 → 00:32:47 ถ้าสงสัยอะไรก็ถามเค้าให้เรียบร้อยก่อน
00:32:47 → 00:32:50 ที่จะออกมาจากห้องตรวจนะครับและอย่าลืม
00:32:50 → 00:32:54 เวลาที่ท่านมีเสียงวิงอยู่ในหูท่านจะต้อง
00:32:54 → 00:32:56 บรรยายลักษณะเสียงให้ชัดเจนนะครับคุณหมอ
00:32:56 → 00:32:59 เขจะได้วินิจฉัยได้ถูกต้องนะครับว่ามัน
00:32:59 → 00:33:02 เป็นเสียงสูงเสียงต่ำเสียงคล้ายมีคนเป่า
00:33:02 → 00:33:04 นะครับเสียงนั้นมันมาตามจังหวะการเต้นของ
00:33:04 → 00:33:07 หัวใจตามชีพจรเราหรือเปล่าอ่านะครับหรือ
00:33:07 → 00:33:09 มันมาเป็นจังหวะจังวะแต่ว่ามันไม่ตาม
00:33:09 → 00:33:12 ชีพจรของเราเลยนะครับมันเกิดขึ้นกับท่า
00:33:12 → 00:33:15 ทางไหนบ้างนะครับถ้าเรานอนลงมันมันดีขึ้น
00:33:15 → 00:33:17 มั้ยถ้าเรานั่งขึ้นเรางอหัวอย่าเงี้ครับ
00:33:17 → 00:33:20 มันดีขึ้นหรือเปล่าเรามีอาการอื่นร่วม
00:33:20 → 00:33:22 ด้วยหรือเปล่าเช่นมีอาการหูดับมีอาการปวด
00:33:22 → 00:33:26 หูมีไข้มีบ้านหมุนอะไรอย่างงี้มั้ยนะครับ
00:33:26 → 00:33:28 ถ้าเรามีอ่าพวกนี้เราบอกหมอเให้ราละเอียด
00:33:28 → 00:33:30 เค้าก็จะวินิจฉัยของเราวินิจฉัยเราได้
00:33:30 → 00:33:34 ง่ายมากขึ้นนะครับอ่าวันนี้ก็เท่านี้แล้ว
00:33:34 → 00:33:36 กันนะครับถ้าใครมีอะไรสงสัยก็สอบถามมานะ
00:33:36 → 00:33:40 ครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ