00:00:00 → 00:00:02 การที่เราได้ connect กับใครสักคนเนี่ย
00:00:02 → 00:00:04 มันทำให้มนุษย์เราเนี่ยสุขภาพดีคนนึง
00:00:04 → 00:00:07 ประกอบด้วย soul spiritit คือกายจิตแล้ว
00:00:07 → 00:00:09 ก็จิตวิญญาณ 0-7 เป็นช่วงเวลาที่ร่างกาย
00:00:09 → 00:00:12 ของเด็กโดยเฉพาะสมองจะพัฒนาถ้ามีเหตุ
00:00:12 → 00:00:14 การณ์อะไรไม่ว่าจะดีหรือร้ายเขาจะถือว่า
00:00:14 → 00:00:17 มันเป็นตรรกะที่เขาจะยึดไปตลอดชีวิตบางคน
00:00:17 → 00:00:20 ก็จะมีภาวะของ hisia ภาวะที่เรียกร้อง
00:00:20 → 00:00:23 เกินควรไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเองมันน่า
00:00:23 → 00:00:26 กลัวขนาดไหนถ้าเกิดว่าเขาเล่นมือถือและ
00:00:26 → 00:00:28 ถ้าเกิดมันมีคทentที่บullลี่เข้ามาครับ
00:00:28 → 00:00:31 แล้วมันฝังเขาไปตลอดตลอดชีวิตคิดว่ามันคม
00:00:31 → 00:00:34 มันเราจึงเจอเด็กในอัตราความซึมเศร้าสูง
00:00:34 → 00:00:36 อัตราค่าตัวตายสูงขึ้นมากในวัยที่ได้รับ
00:00:36 → 00:00:40 การให้ดิจิตัลmedเดียเร็วจนเกินไปคุยกัน 3
00:00:40 → 00:00:41 วินาทีไม่รู้เรื่องเขาไม่คุยแล้วหรอกนะ
00:00:41 → 00:00:44 มันเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเจนหลังๆมันฟัง
00:00:44 → 00:00:46 กันน้อยลงความสัมพันธ์ของคนสมัยนี้เปราะ
00:00:46 → 00:00:50 บางลงมันพร้อมที่จะไม่เข้าใจกันพjudิตัด
00:00:50 → 00:00:53 สินตั้งแต่ยังไม่คิดพอเราไปคบแฟนเด็กพอ
00:00:53 → 00:00:55 ไม่ถูกใจหน่อยนึงการจะบอกเลิกมันง่ายมาก
00:00:55 → 00:00:58 ต่อให้เทคโนโลยีของเราพัฒนาไปแค่ไหนอ่ะ
00:00:58 → 00:00:59 ความทุกข์ของมนุษย์มันไม่เคยจะเปลี่ยน
00:00:59 → 00:01:01 แปลงไปเลยเนาะความทุกข์เมื่อ 1000 ปีที่
00:01:01 → 00:01:03 แล้วเป็นยังไง 1000 ปีนี้ก็เป็นอย่างนั้น
00:01:03 → 00:01:06 แหละเราอยู่ในยุคที่พูดคุยกันได้ทุกวัน
00:01:06 → 00:01:08 แต่คนเหงาที่สุดกว่าทุกยุคทุกสมัยเพราะ
00:01:08 → 00:01:10 Connection นั้นไม่ใช่ Connection ที่มี
00:01:10 → 00:01:13 คุณภาพแบบมนุษย์ต่อมนุษย์นั่นเอง
00:01:13 → 00:01:19 เกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกลโรค
00:01:19 → 00:01:22 สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่รายการ
00:01:22 → 00:01:24 แก้โรคนะคะวันนี้ค่ะแพนด้าอยากจะชวนทุกๆ
00:01:25 → 00:01:26 ท่านนะคะมาคุยถึงเรื่องนึงที่เป็นเรื่อง
00:01:26 → 00:01:29 สำคัญมากๆของเรานั่นก็คือการใช้ชีวิตใน
00:01:29 → 00:01:31 ยุคออนไลน์ค่ะเพราะว่าปฏิเสธไม่ได้เลย
00:01:31 → 00:01:33 เนาะว่าทุกวันนี้เนี่ยไม่ว่าเราจะทำอะไร
00:01:33 → 00:01:35 ออนไลน์เป็นสิ่งนึงเป็นเครื่องมือนึงหรือ
00:01:35 → 00:01:38 ว่าอาจจะเป็นคอมมิใหม่เลยก็ได้ที่จะทำให้
00:01:38 → 00:01:39 เราเนี่ยดำเนินชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมาก
00:01:39 → 00:01:43 ขึ้นแต่ว่าในดีมีร้ายในร้ายมีดีเราต้องมี
00:01:43 → 00:01:45 ความรู้อะไรบ้างในการใช้ชีวิตยุคออนไลน์
00:01:45 → 00:01:47 เพื่อไม่ให้เราป่วยวันนี้แพนด้าก็ได้อยู่
00:01:47 → 00:01:49 กับคุณหมอปองนะคะนายแพทย์ทิพพทัศุนหัส
00:01:49 → 00:01:52 สวัสดีุลสวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีครับน้อง
00:01:52 → 00:01:55 บันดาอ่าต้องถามก่อนว่าคุณหมอเนี่ยปกติ
00:01:55 → 00:01:57 ใช้ออนไลน์เยอะมั้ยคะจริงๆหมอใช้เยอะนะ
00:01:57 → 00:01:59 เพราะว่าเอ่อเอ่อตั้งเป้าไว้อย่างนึงว่า
00:01:59 → 00:02:02 พอเราทำงานไปเรื่อยๆเนี่ยเอ่อเราคิดว่า
00:02:03 → 00:02:05 เราคงอยากจะมีพาร์ทนึงซึ่งอ่าทำสิ่งที่
00:02:06 → 00:02:07 เป็น Digital Health ความหมายก็คือหลัง
00:02:07 → 00:02:09 โควิดเราจะเห็นภาพชัดเจนว่าสมัยก่อนการจะ
00:02:09 → 00:02:12 ไปเจอแพทย์เนี่ยก็ต้องไปเจอที่โรงพยาบาล
00:02:12 → 00:02:15 ใช่มั้ฮะแต่ผมคิดว่าการที่เรามีการทำ T
00:02:15 → 00:02:18 consult การใช้แอปพลิเคชมันเป็นประโยชน์
00:02:18 → 00:02:22 นะในการที่จะช่วยให้หมอและคนไข้เนี่ย
00:02:22 → 00:02:24 สามารถที่จะ connect หรือเข้าถึงกันแล้ว
00:02:24 → 00:02:26 ก็ช่วยเหลือกันดูแลกันได้ดีขึ้นก็เลยทำ
00:02:26 → 00:02:28 ให้หมอเป็นหมอคนนึงที่ทำตั้งแต่เรื่องการ
00:02:28 → 00:02:31 เขียนโปรแกรมนะหมอไปเรียนเขียนโปรแกรมมา
00:02:31 → 00:02:33 มีแพลตฟอร์มด้วยเป็น Wellness Care นะฮะ
00:02:33 → 00:02:37 เป็นของบัลวีนะซึ่งเป็นกิจการสมัยรุ่นคุณ
00:02:37 → 00:02:40 พ่อคุณแม่หมอเป็นรับรับช่วงต่อนะครับแล้ว
00:02:40 → 00:02:42 ก็มีแอปพลิเคชอันนี้ก็เลยทำให้กลายเป็น
00:02:42 → 00:02:45 ว่าหมอจะใช้ดิจิตอลแอปพลิเคชเนี่ยเยอะมาก
00:02:45 → 00:02:48 เลยเหมือนกันค่ะน่าจะมีคำแนะนำดีๆแน่ๆเลย
00:02:48 → 00:02:50 ว่าแล้วเราจะใช้ออนไลน์หรือว่าดิจิทอลยัง
00:02:50 → 00:02:52 ไงให้มันไม่ทำร้ายเราเพราะว่าแพนด้าเคย
00:02:52 → 00:02:55 ได้ยินมาว่าคนเราอ่ะสามารถป่วยเพราะความ
00:02:55 → 00:02:57 คิดได้จากการที่เราเนี่ยใช้เสพเก็บสื่อ
00:02:57 → 00:03:00 โซเชียลเยอะๆอ่ะค่ะอ่าครับผมจริงๆมันมี
00:03:00 → 00:03:02 หลายประเด็นเลยเอาเป็นว่าอย่างงี้หมอใช้
00:03:02 → 00:03:05 คำว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะอืเพราะงั้น
00:03:05 → 00:03:08 การที่เราได้ Connect กับใครสักคนเนี่ย
00:03:08 → 00:03:12 จริงๆมันมีผลต่อสุขภาพด้วยออเออเพราะ
00:03:12 → 00:03:14 ฉะนั้นเนี่ยเราจะพบว่าในงานวิจัยของ
00:03:15 → 00:03:17 สิงคโปร์หรือว่าของทางอเมริกาที่หรือ
00:03:17 → 00:03:20 ยุโรปเนี่ยที่คนค่อนข้างจะเเรียกว่าต่าง
00:03:20 → 00:03:23 คนต่างอยู่แล้วพบว่าถ้าเกิดคนแก่เนี่ย
00:03:23 → 00:03:26 ต้องอยู่คนเดียวเนี่ยกับการที่มี Social
00:03:26 → 00:03:27 Connection
00:03:27 → 00:03:30 ให้เขาปรากฏว่ามันมีประโยชน์ในการทำให้คน
00:03:30 → 00:03:32 แก่ป่วยน้อยลงทางสิงคโปร์นี่ทำนโยบายออก
00:03:32 → 00:03:36 มาจนถึงขั้นที่บอกว่าถ้าลูกเนี่ยไปซื้อ
00:03:36 → 00:03:38 บ้านใหม่น่ะแล้วถ้าบ้านนั้นเนี่ยอยู่ใน
00:03:38 → 00:03:41 บริเวณใกล้เคียงกับพ่อแม่เนี่ยคุณได้ส่วน
00:03:41 → 00:03:45 ลดเป็นพิเศษนะทางรัฐจะมีการซัพพอร์ตอเงิน
00:03:45 → 00:03:48 ให้เป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ประชากรที่
00:03:48 → 00:03:51 เป็น Family Care ได้อยู่ใกล้ๆกันผมว่า
00:03:51 → 00:03:53 เป็นไอเดียที่น่าสนใจเพราะทำไมเขาถึง
00:03:53 → 00:03:55 เชื่ออย่างนั้นเพราะว่าเขาเห็นงานวิจัย
00:03:55 → 00:03:57 ออกมาแล้วว่าการ Connect กับใครสักคนมัน
00:03:57 → 00:04:00 ทำให้มนุษย์เราเนี่ยสุขภาพดีงั้นถ้าถาม
00:04:00 → 00:04:02 ว่า
00:04:02 → 00:04:05 ตัวal media มันมีประโยชน์มยเอ่อผมก็คิด
00:04:05 → 00:04:07 ว่าถ้าเราใช้มันถูกต้องเนี่ยในแง่ทำให้คน
00:04:07 → 00:04:10 เรา connect กันได้ดียิ่งขึ้นเนี่ยผมว่า
00:04:10 → 00:04:12 มันมีประโยชน์แต่ประเด็นมันจะเกิดขึ้นกับ
00:04:12 → 00:04:16 กลุ่มเอ่อคนพิเศษอยู่ 2-3 กลุ่มที่เราควร
00:04:16 → 00:04:19 จะต้องมีความระแวดระวังคราวนี้ปัญหาก็คือ
00:04:19 → 00:04:22 ว่าถ้าเราเป็นเด็กเนี่ยเราไม่รู้เลยนะว่า
00:04:22 → 00:04:25 จริงๆแล้วเนี่ยแอปพลิเคชัเนี่ยมันมีตอบ
00:04:25 → 00:04:27 ตอบโจทย์อะไรของเขาเพราะอะไรเพราะว่าเด็ก
00:04:28 → 00:04:30 เนี่ยการแพทย์ที่เรียกว่าการแพทย์องค์รวม
00:04:30 → 00:04:32 ่ะการเติบโตของเด็กมันจะมีช่วงวัยที่
00:04:32 → 00:04:35 เหมาะสมของเขาเราพูดถึงคนๆนึงประกอบด้วย
00:04:35 → 00:04:37 body soul spiritit คือกายจิตแล้วก็
00:04:37 → 00:04:40 จิตวิญญาณ 0-7 เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของ
00:04:40 → 00:04:42 เด็กโดยเฉพาะสมองจะพัฒนาสูงที่สุดเพราะ
00:04:42 → 00:04:45 ฉะนั้นถ้ามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาสู่การรับ
00:04:45 → 00:04:47 รู้ของเขาณวันนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายเขา
00:04:47 → 00:04:51 จะถือว่ามันเป็นตรรกะที่เขาจะยึดไปตลอด
00:04:51 → 00:04:54 ชีวิตโดย 0-7 สิ่งนี้สำคัญที่สุดคือการ
00:04:54 → 00:04:57 สื่อสารให้รู้ว่าโรคนี้ดีเหมือนลูกเป็ด
00:04:57 → 00:05:00 อ่ะถ้ามันฟักออกจากไข่ปุ๊บแล้วมันเจอตัว
00:05:00 → 00:05:02 อะไรอยู่เนี่ยมันจะถือว่ามันเป็นแม่เดิน
00:05:02 → 00:05:04 ตามเลยเสมอเลยค่ะไม่ว่านั้นจะเป็นแม่มัน
00:05:04 → 00:05:07 จริงๆหรือเป็นมนุษย์หรืออะไรก็แล้วแต่ถ้า
00:05:07 → 00:05:10 พูดถึงความเชื่อมั่นว่าความดีในโลกนี้คือ
00:05:10 → 00:05:12 อะไรมันจะเป็นสิ่งที่สะท้อนมาจาก
00:05:12 → 00:05:15 ประสบการณ์ชีวิต 0-7 ปีที่เขาได้รับมาลอง
00:05:15 → 00:05:18 นึกจินตนาการถึงตัวเราเองถ้าเราต้องย้อน
00:05:19 → 00:05:21 กลับไปว่าความทรงจำครั้งแรกที่สุดของเรา
00:05:21 → 00:05:26 อ่ะที่เก่าที่สุดเลยนะจำอะไรได้อือือายุ
00:05:26 → 00:05:28 ไม่เยอะน่าจะจำง่ายถ้าหมออาจจะต้องใช้
00:05:28 → 00:05:32 เวลากรอเทปเอ้ยใช้คำว่าเทปนี่ก็ยาวนานกรอ
00:05:32 → 00:05:35 ไปจนถึงความทรงจำแรกที่จำได้คืออะไรไม่
00:05:35 → 00:05:37 แน่ใจว่าเป็นความทรงจำแรกมั้ยแต่ว่าตอน
00:05:37 → 00:05:39 เด็กๆตอนนั้นเป็นเชียร์ลีเดอร์ค่ะอนุบาล 1
00:05:40 → 00:05:43 อนุบาล 1 เเดอร์น่ารักอ่าแล้วแล้วขึ้นไป
00:05:43 → 00:05:46 แล้วมันมันเก้ๆกังหรือมันอื้อหือดีใจจัง
00:05:46 → 00:05:49 เลยมันใช่เลยความฝันใช่ๆเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:05:49 → 00:05:51 ต้องบอกว่าน้องแพนด้าเป็นคนโชคดีถ้า
00:05:51 → 00:05:53 ประสบการณ์ที่เราจำได้ครั้งแรกสุดปิ๊งผลด
00:05:53 → 00:05:56 ขึ้นมาในความมโนสำนึกของเราเนี่ยคือโอ้ย
00:05:56 → 00:06:00 โลกนี้มันแบบน่าสนุกเนาะอือืเพราะฉะนั้น
00:06:00 → 00:06:03 เนี่ยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเติบโตมาจะให้เจอ
00:06:03 → 00:06:06 ความทุกข์แต่แพนด้าก็จะมองความเปลี่ยน
00:06:06 → 00:06:09 แปลงใหม่ๆว่าอืมันน่าสนุกชอบหาคำตอบใช่
00:06:09 → 00:06:11 ป่ะใช่ป่ะถ้าเจอเรื่องใหม่ๆมันจะรู้สึก
00:06:11 → 00:06:14 ตื่นเต้นอ่ะคือแบบอย่าคือมันไม่ลังเล่อ่ะ
00:06:14 → 00:06:17 ใช่อฮแต่มันจะมีเด็กอีกกลุ่มนึงซึ่งซึ่ง
00:06:17 → 00:06:19 ไม่ได้โชคดีขนาดนั้นเช่นพ่อแม่เอาไปฝาก
00:06:19 → 00:06:22 ไว้สถานเลี้ยงเด็กส่วนใหญ่นะความจำถ้า
00:06:22 → 00:06:24 เฉลี่ยเนี่ยมันจะประมาณ 3 ขวบไม่มากไม่
00:06:24 → 00:06:25 น้อยไปกว่านั้นประมาณ 3 ขวบจะเป็นความทรง
00:06:25 → 00:06:28 จำแรกที่สมมุติเรานึกภาพมีเด็กคนนึงพ่อ
00:06:28 → 00:06:30 แม่พาไปฝากสถานเลี้ยงเด็กเจอคนเลี้ยงเด็ก
00:06:30 → 00:06:33 ตัวใหญ่ๆแบบหน้าตาไม่คุ้นมาถึงเอ้ยอะไรวะ
00:06:33 → 00:06:36 อพ่อแม่อยู่ไหนหายไปแล้วแล้วก็ร้องไห้
00:06:36 → 00:06:39 ทั้งวันเราคิดว่าเรู้สึกยังไงไม่ปลอดภัย
00:06:39 → 00:06:41 ความไม่ปลอดภัยเหตุการณ์เอาจจะจำไม่ได้
00:06:41 → 00:06:43 แต่ความรู้สึกตรงนั้นเนี่ยมันจะทำให้เค้า
00:06:43 → 00:06:46 รู้สึกว่าโลกเนี้ยไม่ปลอดภัยอะไรที่ไม่
00:06:46 → 00:06:49 แน่ใจอะไรเป็นของใหม่มันไม่ปลอดภัยอเราจะ
00:06:49 → 00:06:51 เจอเพื่อนบางคนที่เฮ้ยเจอเรื่องใหม่ๆไป
00:06:51 → 00:06:55 ลองหน่อยมั้ยมีอะไรป่าวะคือเราไม่ไม่รู้
00:06:55 → 00:06:57 ตัวแต่ถ้าเราย้อนไปอยากจะเจอคนกลุ่มนี้
00:06:57 → 00:06:59 คือความทรงจำแรกเ้ามันไม่ดีเลยมันเหมือน
00:06:59 → 00:07:02 กับมันมีอะไรก็ไม่รู้ที่เราเรารู้สึกมัน
00:07:02 → 00:07:05 มันไม่น่าจะดีอ่ะถึงเขาจะลืมไปแล้วแต่ว่า
00:07:05 → 00:07:08 นั่นน่ะคือบุคคลภาพว่าโลกนี้ดีหรือเปล่า
00:07:08 → 00:07:09 เราพร้อมที่จะเป็น introvert หรือ
00:07:09 → 00:07:12 extrovert บางทีมันถูกสร้างนั้นอือุ้ย
00:07:12 → 00:07:14 แต่อย่างกรณีแพนด้าอย่างเงี้ยแพนด้า
00:07:14 → 00:07:17 แพนด้าก็เป็น introvert นะคะอ่าคือ
00:07:17 → 00:07:18 introvert มันมันอาจจะเป็น definition
00:07:18 → 00:07:20 ที่อาจจะทำให้ท่านผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายแต่
00:07:20 → 00:07:23 ว่า introvert มันมีรายละเอียดในเชิงของ
00:07:23 → 00:07:25 การการอยู่คนเดียวทำให้เราชาร์จพลังหรือ
00:07:25 → 00:07:28 การไม่แต่เอาง่ายๆคือบางทีบางเรื่องที่
00:07:28 → 00:07:31 บอกว่าเราคุยกับคนบางคนน่ะแล้วใช้ตรรกะ
00:07:31 → 00:07:34 เหตุผลว่าเฮ้ยอย่ากลัวเลยลองดูก่อนอะไร
00:07:34 → 00:07:36 เงี้ยแล้วเขาไม่เชื่อบางทีมันไม่ใช่เพราะ
00:07:36 → 00:07:39 ว่าเา้าไม่เข้าใจแต่ความรู้สึกของเขาที่
00:07:39 → 00:07:41 มันฝังมาตั้งแต่เด็กมันทำให้เกิดสิ่งที่
00:07:41 → 00:07:44 เรียกว่าถ้าทางพูดว่าสัญญาเก่าอ่ะการเจอ
00:07:44 → 00:07:48 สิ่งใหม่ในช่วงนั้นโลกเนี้ยมันจะดีหรือ
00:07:48 → 00:07:50 ไม่ดีวะซึ่งมันจึงเป็นภูมิต้านทานอย่าง
00:07:50 → 00:07:52 นึงถ้าเกิดเราให้ประสบการณ์ในช่วง 0-7
00:07:52 → 00:07:55 เป็นประสบการณ์ที่สวยงามจะทำให้คนๆนั้น
00:07:55 → 00:07:57 ต่อให้ไปเจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตในอนาคต
00:07:57 → 00:07:59 เขาจะเชื่อลึกๆอยู่เสมอว่าเดี๋ยวมันจะดี
00:07:59 → 00:08:02 ขึ้นถามแทนคนดูนิดนึงค่ะคุณหมอว่าแล้ว
00:08:02 → 00:08:04 อย่างเนี้ยแพนด้าเชื่อว่าหลายๆท่านนะน่า
00:08:04 → 00:08:06 จะกำลังนั่งนึกอยู่ว่าอืความทรงจำแรกที่
00:08:06 → 00:08:08 เราจำได้คืออะไรแล้วเราจะมั่นใจได้ยังไง
00:08:08 → 00:08:10 ค่ะว่าสิ่งที่มันผุดขึ้นมานั้นคือความทรง
00:08:10 → 00:08:13 จำแรกจริงๆอ่ะสาระสำคัญมันไม่ใช่สาระ
00:08:13 → 00:08:15 สำคัญของการที่เราจำได้หรือไม่ได้แต่ความ
00:08:15 → 00:08:18 รู้สึกตอนนั้นที่มันฝังอยู่อ่ะมันจะกำหนด
00:08:18 → 00:08:21 บุคลิกภาพที่ลึกของเราที่เปลี่ยนแทบไม่
00:08:21 → 00:08:24 ได้ไปตลอดชีวิตถ้าเป็นช่วงวัยที่ 2 คือ
00:08:24 → 00:08:27 7-14 จะเป็นช่วงวัยที่โซหรือดวงจิตของ
00:08:27 → 00:08:30 เราจะเริ่มตื่นเราจะเริ่มเป็นเด็กนึกถึง
00:08:30 → 00:08:32 ตอนเป็นเด็กประถมเนี่ยมันจะเป็นช่วงวัย
00:08:32 → 00:08:35 ที่ดราม่ามากมีเพื่อนรักสุดๆที่ฉันจะไม่
00:08:35 → 00:08:37 อยากจากกับเธอไปแล้วเหมือนอ่านมานีไปติชู
00:08:37 → 00:08:40 ใจก็คือว่าแก๊งฉันน่ะเอ่อแก๊งไอติมของฉัน
00:08:40 → 00:08:44 นี่รักมากๆอ่ะเราจะไม่จากกันคนวันตายอ่ะ
00:08:44 → 00:08:47 มีมั้มันต้องช่วงประถมใช่มั้ใช่ค่ะเออ
00:08:47 → 00:08:49 แล้วจะมีศัตรูคู่แค้นถ้าเกิดไม่ชอบมัน
00:08:49 → 00:08:52 เนี่ยนะไอ้นี่อยู่ไอ้แก๊งแงตรงกันข้ามนี่
00:08:52 → 00:08:55 เราจะอยู่ร่วมกันไม่ได้อย่างเด็ดขาดแค้น
00:08:55 → 00:08:58 ก็แค้นสุดๆรักก็รักสุดๆแล้วเราก็จะมองทุก
00:08:58 → 00:09:00 อย่างเหมือนกับเป็นละครเรื่องนึงที่เรา
00:09:00 → 00:09:02 อยากจะเป็นตัวเอกเราอยากจะมีแอคชั่นเรา
00:09:02 → 00:09:05 อยากจะสวมบทบาทอะไรต่างๆเยอะแยะเต็มไปหมด
00:09:05 → 00:09:07 เพราะว่านั่นเป็นช่วงที่ soul หรือดวงจิต
00:09:07 → 00:09:09 ของเรามันกำลังเรียน cibrate กำลังเรียน
00:09:09 → 00:09:12 รู้วิธีการบริหารจัดการกับคลื่นอารมณ์ที่
00:09:12 → 00:09:15 มันเข้ามาท้าโถมเข้ามาแล้วถ้าอะไรจะเกิด
00:09:15 → 00:09:18 ขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายมันจะเป็นมุมมอง
00:09:18 → 00:09:22 ฝังหัวต่อเราในการที่มองว่าโลกนี้มันงาม
00:09:22 → 00:09:25 หรือเปล่ามันมีแง่งามมั้ยความสวยงามของ
00:09:25 → 00:09:28 ชีวิตคืออะไรประเด็นก็คือถ้าในช่วงวัยดัง
00:09:28 → 00:09:31 กล่าวนึกถึงเด็กประถมนะพ่อแม่เลิกลากัน
00:09:31 → 00:09:33 พ่อแม่ก็ด่ากันทุกวันสิ่งที่เกิดขึ้นคือ
00:09:33 → 00:09:37 อะไรมีความกลัวเกิดขึ้นอ่าเค้าจะเบรมตัว
00:09:37 → 00:09:40 เองฮะเด็กจะไม่แน่ใจหรอกว่าพ่อแม่เถียง
00:09:40 → 00:09:42 กันหรืออะไรเค้าไม่รู้เค้ารู้เป็นพ่อฉัน
00:09:42 → 00:09:45 หรือเปล่าโทษตัวเองพ่อฉันอยู่ตรงนี้หรือ
00:09:45 → 00:09:47 เปล่าจึงทำให้พ่อแม่ทะเลาะกันอ๋อความรัก
00:09:47 → 00:09:49 คือการทะเลาะกันใช่มั้ยคือคือมันไม่เค้า
00:09:49 → 00:09:52 ไม่รู้หรอกว่าเหตผลคืออะไรแต่อ๋อความรัก
00:09:52 → 00:09:54 มันคือต้องการมีอย่างนี้ใช่มั้แล้วเรานึก
00:09:54 → 00:09:57 ภาพถ้าเด็กคนนี้เป็นตัวเป็นสาวเป็นหนุ่ม
00:09:57 → 00:09:59 แล้วไปมีแฟนเพราะฉะนั้นเด็กกลุ่มนี้จะมี
00:09:59 → 00:10:02 ความไม่เชื่อในความสัมพันธ์ไม่ว่าเราจะ
00:10:02 → 00:10:04 กรอกูฉันรักเธอฉันรักเธอฉันรักเธอก็จะมี
00:10:04 → 00:10:07 คนที่ถามว่าอีกวันนึงตกลงเธอรักฉันหรือ
00:10:07 → 00:10:10 เปล่าหรือมาแล้วเรทไปหน่อยนึงนี่เธอไม่
00:10:10 → 00:10:13 รักฉันหรือเปล่าเกิดภาวะไม่มั่นคงทาง
00:10:13 → 00:10:16 อารมณ์และความรู้สึกโลกนี้มันไม่มีความ
00:10:16 → 00:10:19 โรแมนติกหรือความสวยงามที่เขาจะเชื่อมัน
00:10:19 → 00:10:21 ได้อ่ะรวมทั้งมันก็อาจจะสื่อไปถึงเรื่อง
00:10:21 → 00:10:24 บางคนก็จะมีภาวะของ hisia ภาวะที่เรียก
00:10:24 → 00:10:29 ร้องเกินควรหรือบางคนก็อาจจะมีภาวะของการ
00:10:29 → 00:10:33 ที่เราเราไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเองถาม
00:10:33 → 00:10:36 ทุกๆวันแล้วก็ก็ dependency คือต้องให้มี
00:10:36 → 00:10:38 การย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาคนเหล่านี้ไม่ได้
00:10:38 → 00:10:41 มีน้อยนะจริงๆมันมีเยอะมากมันเป็นบางที
00:10:41 → 00:10:43 มันแค่เหตุการณ์เล็กๆอือฮึเล็กนิดเดียว
00:10:43 → 00:10:47 อ่ะเช่นเด็กคนนึงไปเที่ยวทัศนศึกษาซื้อ
00:10:47 → 00:10:51 ของฝากมาฝากแม่ไอ้ที่ชายแดนอ่ะตรงแถวพม่า
00:10:51 → 00:10:54 อ่ะเสร็จแล้วก็ไปได้ในได้ตลาดนตลาดเนาะ
00:10:54 → 00:10:57 ค่ะตลาดที่มันเป็นตลาดขายของป่าเงี้ยก็ไป
00:10:57 → 00:11:00 ซื้อเขี้ยวสร้อยอันนึงมันเป็นเขี้ยวสัตว์
00:11:00 → 00:11:02 แล้วก็คนขายบอกเนี่ยเขี้ยวเสือไอ้หนู
00:11:02 → 00:11:05 เดี๋ยวเอาไปฝากแม่แบบดีนะอะไรเงี้ยก็ซื้อ
00:11:05 → 00:11:09 เสร็จปุ๊บก็เอาห่อกระดาษก็เป็นกระดาษเ้า
00:11:09 → 00:11:11 ยังจำได้นะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วก็
00:11:11 → 00:11:14 เอาไปถึงบ้านก็ยืดให้แม่อ้าวแม่เวลาลูก
00:11:14 → 00:11:18 กลับมาที่บ้านเนี่ยคือเอาของมาฝากแล้วจะ
00:11:18 → 00:11:21 รู้สึกยังไงแม่ก็น่าจะดีใจไคะเออแม่ก็
00:11:21 → 00:11:24 เด็กก็คิดว่าหืแบบต้องแบบโหดีมากลูกมีไป
00:11:24 → 00:11:27 เที่ยวยังนึกถึงป่ะแม่แกะออกมานี่มัน
00:11:27 → 00:11:29 เขี้ยวเสือปอเนี่ยอ
00:11:29 → 00:11:33 ลูกก็เจิ่นแล้วก็อืดับฝันเลยแต่แต่ปกติ
00:11:33 → 00:11:35 เค้าเรักกันดีนะค่ะแต่โตขึ้นมาเค้ายังจำ
00:11:35 → 00:11:37 เรื่องนี้ได้อแล้วตั้งแต่นั้นมาเค้าไม่
00:11:37 → 00:11:39 เคยซื้อของขวัญให้ใครอีกเลยนะเพราะว่าอ๋อ
00:11:39 → 00:11:42 กลัวผิดหวังกลัวผิดหวังค่ะแต่มันเป็น
00:11:42 → 00:11:45 นิสัยที่มันฝังต่อไปวิธีมองโลกว่าโลกนี้
00:11:45 → 00:11:48 มันความงามมันคืออะไรอ่ะบางทีแบบพอพอเลิก
00:11:48 → 00:11:51 กันปุ๊บนี่โอ้โหโรคมันพังทลายคนที่มีจุด
00:11:51 → 00:11:54 อ่อนแบบนี้มันจะทำให้แบบมันเกิดภาวะที่
00:11:54 → 00:11:57 เวลาอกหักอกหักแรงโรคมันไม่เหลืออะไรอีก
00:11:57 → 00:12:00 ต่อไปแล้วฆ่าตัวตายเห็นมั้ว่าแค่ 1 คำ
00:12:00 → 00:12:02 เล็กๆถ้าเราไม่มี awareness ไม่มีความ
00:12:02 → 00:12:04 ตระหนักรู้ว่าเขากำลังอยู่ในภาวะที่กำลัง
00:12:04 → 00:12:07 เรียนรู้สิ่งเหล่าเนี้ยมันฝังไปเลยนะแต่
00:12:07 → 00:12:09 ว่าถ้าเราโชคดีชีวิตไม่ยับเยินจนเกินไป
00:12:09 → 00:12:12 ผ่านมาจนถึงอายุ 14-21 มันจะเป็นครั้งแรก
00:12:12 → 00:12:16 ที่ธาตุไฟหรือว่า 7 จำนงเราจะตื่นขึ้นเรา
00:12:16 → 00:12:19 จะลุกขึ้นมาที่จะตัดสินใจและอยากจะเป็น
00:12:19 → 00:12:21 ผู้ใหญ่คนนึงเราเรียกว่ามี self
00:12:21 → 00:12:24 responsibility ซึ่งถ้าเด็กที่อยู่ใน
00:12:24 → 00:12:26 เป็นเลี้ยงเป็นไข่ในหินพ่อแม่บอกไม่ต้อง
00:12:26 → 00:12:29 ทำไม่ต้องแตะเดี๋ยวทำเองเลยอแล้วเไม่เคย
00:12:29 → 00:12:32 ทำอะไรเลยในช่วง 14-21 สิ่งที่มันจะตามมา
00:12:32 → 00:12:35 คืออะไรมั้เค้าก็จะเป็นคนที่พอโตมาเสร็จ
00:12:35 → 00:12:38 ปุ๊บก็อยากได้โน่นก็จะสั่งเอาแล้วบางทีพอ
00:12:38 → 00:12:40 เกิดการเปลี่ยนแปลงในสำคัญสำคัญในชีวิต
00:12:40 → 00:12:42 ที่เขาต้องตัดสินใจบางทีนี้เตัดสินใจไม่
00:12:42 → 00:12:44 ได้เนาเพราะเขาไม่เคยถูกฝึกตัดสินใจใน
00:12:44 → 00:12:46 เรื่องเล็กๆอ่ะหมอมีอีกเคสนึงที่เป็นตัว
00:12:46 → 00:12:50 อย่างก็คือว่ามีแม่วัยรุ่นคนนึงนะเป็นแม่
00:12:50 → 00:12:53 เลี้ยงเดี่ยวลูกก็โดดเรียนทุกวันโดดเรียน
00:12:53 → 00:12:55 เอ่อไปเตะบอลจนครูเรียกจะต้องย้ายโรง
00:12:55 → 00:12:57 เรียนน่ะเพราะว่าเรียนต่อไม่ได้แล้วเสร็จ
00:12:57 → 00:12:59 แล้วเก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะลูกก็ก็เป็น
00:12:59 → 00:13:01 วัยรุ่นแล้วก็แบบไม่ฟังจนมีอยู่มาวันนึง
00:13:01 → 00:13:04 แม่เ้าเบินไปต่างประเทศแล้วปรากฏว่าคุณ
00:13:04 → 00:13:08 ยายมีอาการหายใจไม่ออกแน่นขึ้นมาทันที
00:13:08 → 00:13:10 เจ้าเด็กคนนี้ปกติจะมี
00:13:10 → 00:13:14 มีคนใช้ช่วยดูใช่มั้ยแต่วันนั้นไม่อยู่ทำ
00:13:14 → 00:13:18 ไงดีอืก็เลยตัดสินเจยกมือหูโทรศัพท์เรียก
00:13:18 → 00:13:22 ฉุกเฉินแล้วก็ตามคนมาก็มาช่วยคุณยายเสร็จ
00:13:22 → 00:13:26 ปุ๊บเอาไปโรงพยาบาลพ่นยาหายแม่เ้าได้ข่าว
00:13:26 → 00:13:28 เนี่ยก็รีบกลับมานะก็พอดีเป็นวันที่กลับ
00:13:28 → 00:13:32 พอดีมาถึงปุ๊บก็เจอลูกแล้วก็เก็เลยโอ้ไป
00:13:32 → 00:13:34 กอดขอบคุณมากเลยแบบอืลูกแบบช่วยแม่ได้
00:13:35 → 00:13:38 เยอะเลยแค่คำนี้คำเดียวในวัยรุ่นนะถ้ามัน
00:13:38 → 00:13:40 มีปรากฏการณ์แค่ครั้งเดียวนะเค้าบอกว่า
00:13:40 → 00:13:42 ตั้งแต่นั้นลูกของเขานี่คือรับผิดชอบตัว
00:13:42 → 00:13:44 เองขึ้นเยอะเลยอืเพราะมันเป็นช่วงหัว
00:13:44 → 00:13:46 เลี้ยวหอที่เค้าตัดสินใจว่าในความเป็น
00:13:46 → 00:13:48 ความตายฉันไม่มีใครช่วยฉันแล้วฉันต้อง
00:13:48 → 00:13:51 เป็นผู้ใหญ่คนนั้นที่จัดการ 1 2 3 4
00:13:51 → 00:13:55 มันคือมุมมองที่ว่าโลกนี้ฉันต้องทำอะไร
00:13:55 → 00:13:58 แล้วถ้ามันไม่มีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้นมันก็
00:13:58 → 00:14:01 จะมีกรณีของคนที่เป็นคนที่ฉุ่ยแฉะคนที่
00:14:01 → 00:14:04 ไม่เอาไหนคนที่แบบเหมือนพ่อพวงมาลัยที่เ
00:14:04 → 00:14:06 บอกว่าลอยไปลอยมาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรก็
00:14:06 → 00:14:09 ได้นี่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาในเด็กรุ่น
00:14:09 → 00:14:12 ใหม่หลายๆคนถูกมั้ฮะค่ะไอ้สิ่งเหล่าเนี้ย
00:14:12 → 00:14:15 บางทีมันเป็นเหตุการณ์แค่ 1 เหตุการณ์ที่
00:14:15 → 00:14:17 เรายังจำไม่ได้เลยคราวนี้กลับมาที่คำถาม
00:14:17 → 00:14:22 ว่าแล้วใช้ดิจิอลโซเชียลดีมยเราคิดว่ามัน
00:14:22 → 00:14:24 น่ากลัวขนาดไหนถ้าเกิดว่าลูกของเรายังไว
00:14:24 → 00:14:27 ถึง 7 แล้วเราให้เาเล่นมือถือน่าจะน่า
00:14:27 → 00:14:31 กลัวมากเพราะว่าอาจจะยังแยกแยะไม่ได้อ่า
00:14:31 → 00:14:33 แต่ว่ารับมาโดยที่สำหรับแพนด้าแพน้าคิด
00:14:33 → 00:14:36 ว่าเราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะจำความ
00:14:36 → 00:14:38 ทรงจำไหนไปใช่เพราะว่ามันมีสิ่งที่เรียก
00:14:38 → 00:14:41 ว่าเป็น Stranger in the home อืสมัย
00:14:41 → 00:14:42 ก่อนถ้าเกิดว่ามีใครเราเลี้ยงลูกของเรา
00:14:42 → 00:14:44 อยู่ดีๆแล้ววันนึงมีคนมานั่งกันอยู่ข้างๆ
00:14:45 → 00:14:47 แล้วก็มีคนแปลกหน้าแล้วมาพูดไว้ลูกเรา
00:14:47 → 00:14:50 เนี่ยเราไม่รู้เราพูดอะไรเรากังวลมั้ยก็
00:14:50 → 00:14:53 กังวลอยู่น่ากังวลใช่มั้ยแต่นี่คือสิ่ง
00:14:53 → 00:14:56 ที่มันอยู่ในหน้าจอที่เราไม่รู้เราคุมไม่
00:14:56 → 00:14:58 ได้เลยอ่ะแล้วเสร็จแล้วเราโยนสิ่งนี้ให้
00:14:58 → 00:15:00 ลูกที่ยังไม่มีประสาทสัมผัสในการที่จะปก
00:15:00 → 00:15:02 ป้องตัวเองแล้วถ้าเกิดมันมีคทentที่
00:15:02 → 00:15:05 บullลี่เข้ามาแล้วมันฝังเขาไปตลอดชีวิต
00:15:05 → 00:15:09 คุณคิดว่ามันคุ้มมั้ยไม่คุ้มและมีเด็ก
00:15:09 → 00:15:11 หลายๆคนที่เจอประสบการณ์แบบนั้นแต่คุณพ่อ
00:15:11 → 00:15:14 คุณแม่ก็อาจจะบอกว่าก็เพราะว่าไม่รู้ไม่
00:15:14 → 00:15:17 รู้ว่าใช่ก็ความไม่รู้แต่เมื่อเราต้องมา
00:15:17 → 00:15:19 นึกย้อนเสียใจคำว่าไม่รู้มันอาจจะเป็น
00:15:19 → 00:15:23 สิ่งที่มันไม่คุ้มอ่ะอือค่ะถูกมั้ยฮะดัง
00:15:23 → 00:15:25 นั้นเนี่ยอีกอันนึงก็คือว่าเด็กวัย 0-7
00:15:25 → 00:15:28 เป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนาคราวนี้เนี่ย
00:15:28 → 00:15:31 สมัยก่อนถ้าเป็นรุ่นหมอทีวีเนี่ย 1 บ้าน
00:15:31 → 00:15:34 มี 1 เครื่องต้องเป็นจอแบบเเรียกจอตึก
00:15:34 → 00:15:37 เนอะอย่างงี้นะแต่หนาเท่านี้ค่ะใช่ป่ะ
00:15:37 → 00:15:41 หรือถ้ามีเกมก็จะเป็นเกมแบบเหมือนไอ้
00:15:41 → 00:15:44 FICOM ใช่มต่อหน้าจอเสร็จปุ๊บก็มีพี่กับ
00:15:44 → 00:15:49 น้องนั่งอยู่ด้วยกันถามว่าดีมยมันก็ถ้า
00:15:49 → 00:15:52 ไม่ได้ติดเกมจนเกินไปทำงานการบ้านได้ก็ก็
00:15:52 → 00:15:54 โอเคเนาะแต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งนึงที่หมอ
00:15:54 → 00:15:56 รู้ก็คือเกมสมัยก่อนมันไม่ได้ciiveมันไม่
00:15:56 → 00:15:58 ได้แบบดูเหมือนจริงมากเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:15:58 → 00:16:01 เรารู้หรอกว่าภาพในจอคือเกมแล้วเราเล่น
00:16:01 → 00:16:03 เรามีเพื่อนเล่นอยู่นะเพราะฉะนั้นเราไม่
00:16:03 → 00:16:05 ได้discอเnectออกไปจากใครแต่ต่อมาเนี่ยพอ
00:16:05 → 00:16:07 หน้าจอมันเล็กลงเล็กลงหมายความว่าอะไร
00:16:07 → 00:16:09 ครับหมายความว่าเวลาเราเล่นเนี่ยเอ่อ
00:16:09 → 00:16:12 ทัศนะของเรามันจะไม่ได้ไปงี้มันจะอยู่แค่
00:16:12 → 00:16:14 ตรงนี้เหมือนมาครับเวลาม้าแข่งเพื่อให้
00:16:14 → 00:16:17 มันแบบไม่วอกแวกมันจะแบบต้องปิดตาวิ่ง
00:16:17 → 00:16:19 เด็กที่อยู่ในช่วงวัยประสาทสัมผัสกำลัง
00:16:19 → 00:16:22 ถูกพัฒนาในช่วง 0-7 แล้วถ้าได้รับจอเร็ว
00:16:22 → 00:16:24 เกินไปมั้ฮะสโคปความคิดเจะอยู่แค่นี้แล้ว
00:16:24 → 00:16:27 เขาจะรู้สึกว่ามันหลงลืมไอ้การคเnectกับ
00:16:27 → 00:16:30 คนจริงๆรอบข้างมันอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า
00:16:30 → 00:16:33 พอเราเจอเด็กเจนหลังเวลาทำงานเอ๊ะทำไมมัน
00:16:33 → 00:16:36 ดูแบบไม่ค่อยสื่อสารสนใจใครเนาะทำไมมัน
00:16:36 → 00:16:38 ไม่รู้สึกฟลิ่งแบบอืคุยกับแล้วรู้สึกต่อ
00:16:38 → 00:16:42 ติดอ่ะออเพราะอาจจะเป็นเพราะว่ามีหลายๆคน
00:16:42 → 00:16:45 ในเจนนั้นมองอยู่แค่สโคปแค่ตรงนี้อืแล้ว
00:16:45 → 00:16:47 โลกทั้งใบของเขาเหลืออยู่แค่เนี้ยมีเด็ก
00:16:47 → 00:16:51 คนนึงตอนช่วงโควิดเป็นเด็กประถมแล้วก็ถูก
00:16:51 → 00:16:55 ส่งมาจากพ่อแม่ให้ดูแลเด็กคนนี้มาด้วย
00:16:55 → 00:16:58 ปัญหาอยากจะฆ่าตัวตายโหก็เรื่องใหญ่เนาะ
00:16:58 → 00:17:01 พยายามจะทำแต่ไม่สำเร็จก็เลยถามว่าแล้ว
00:17:01 → 00:17:03 ทำไมหนูอยากฆ่าตัวตายเพราะที่บ้านมีปัญหา
00:17:03 → 00:17:04 หรือเปล่าคือแอบแอบตั้งประเด็นไว้ก็ไม่
00:17:05 → 00:17:07 ใช่เพราะพ่อแม่ก็รักกันดีซักไปซักมาเบอก
00:17:07 → 00:17:10 ว่าอืมที่เ้ารู้สึกไม่อยากอยู่แล้วเพราะ
00:17:10 → 00:17:13 เพื่อนสนิทเค้าเนี่ยฆ่าตัวตายอือโควิดน่ะ
00:17:13 → 00:17:15 อะไรอย่าเงี้ครับก็เลยบอกว่าอ้าออเหรอเอา
00:17:15 → 00:17:17 งี้ก็เป็นเรื่องใหญ่สิเพราะว่าถ้าอย่าง
00:17:17 → 00:17:19 งี้โรงเรียนก็ต้องเดือดร้อนถูกมั้เพราะ
00:17:20 → 00:17:21 ว่ามีเด็กฆ่าโดนตายบอกเปล่าไม่ใช่เพื่อน
00:17:21 → 00:17:23 ที่โรงเรียนบอกเ้าไม่ใช่เพื่อนที่โรง
00:17:23 → 00:17:25 เรียนแล้วเพื่อนที่ไหนป่ะอ๋อเป็นเพื่อน
00:17:25 → 00:17:28 ที่แชทคุยกันน่ะอยู่อเมริกาฆ่าตัวตายอค่ะ
00:17:28 → 00:17:30 ซึ่งมันน่าตกใจมั้ถ้าเกิดเป็นเพื่อนเรา
00:17:30 → 00:17:33 ที่ที่เรานั่งเรียนกันมาตลอด 10 ปีแล้ว
00:17:33 → 00:17:36 เกิดเราฆ่าตัวตายก็แล้วเราซึมเศร้านี่มัน
00:17:36 → 00:17:38 ก็เรื่องนึงนี่เป็นเด็กที่ไม่เคยเจอกัน
00:17:38 → 00:17:41 เลยนะครับอยู่ในหน้าจอฮะคุยกันผ่านแชท
00:17:42 → 00:17:44 แล้วคนหนึ่งฆ่าถัตายรู้สึกซึมเศร้าแล้ว
00:17:44 → 00:17:46 ฆ่าตัวตายตามเพราะอะไรถ้าผมอธิบายก็คือ
00:17:46 → 00:17:50 ว่าผมเป็นคน gen x ตอนปลายเจน y ตอนต้น
00:17:50 → 00:17:52 นะฟังดูแล้วแบบแก่
00:17:52 → 00:17:56 เลย gen x ตอนyจนปลายตอนต้นผมเชว่าผมได้
00:17:56 → 00:17:58 รับเกียรติแล้วกันนะเป็นเจนรุ่นสุดท้าย
00:17:58 → 00:18:00 ที่ได้เล่นกันในสนามกับเพื่อนๆแล้วก็เป็น
00:18:01 → 00:18:04 เจนแรกที่ได้ใช้สมาร์ทโฟนเพราะฉะนั้นผม
00:18:04 → 00:18:07 เกิดมาในโลก 2 ใบคือมีโลกของ
00:18:07 → 00:18:12 ออนไลนครึ่งนึงแล้วก็มีโรคonsไซต
00:18:12 → 00:18:13 ที่เป็นโรคจริงๆอยู่ครึ่งนึงเพราะฉะนั้น
00:18:13 → 00:18:15 สมมุติถ้าเกิดผมไปเล่น Facebook แล้วโดน
00:18:15 → 00:18:18 บullลี่โดนทัวร์ลงออย่างเงี้ยเป็นไงซึม
00:18:18 → 00:18:20 เศร้ามั้ยไม่เอมันก็อาจจะเศร้าอยู่สักชัก
00:18:20 → 00:18:24 แต่ถ้ามันทนไม่ไหวก็ปิดaccเคาก่อนอ๋อแล้ว
00:18:24 → 00:18:26 กลับไปอยู่กับโลกจริงๆกับเพื่อนเราจริงๆ
00:18:26 → 00:18:29 เออโอเคไม่กระทบก็คือเราเราไม่ได้เป็น
00:18:29 → 00:18:31 100% อยู่ในนั้นแต่เด็กตั้งแต่ Genz
00:18:31 → 00:18:34 ขึ้นมาเนี่ยเป็นไงฮะเเกิดมาปุ๊บมันก็มี
00:18:34 → 00:18:35 สิ่งเหล่านี้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นเกือบ
00:18:35 → 00:18:39 100% โลกทั้งใบของเา้าอ่ะอ่ะมันคือโลก
00:18:39 → 00:18:42 Virtuual Reality อือืมค่ะคราวนี้ถ้า
00:18:42 → 00:18:44 เกิดว่า 0-7 เนี่ยผมเรียกว่าเป็นวัย
00:18:44 → 00:18:47 จินตนาการคือมันยังจินตนาการแยกระหว่าง
00:18:47 → 00:18:50 ความจริงกับโลกในความคิดกับโลกจริงๆเนี่ย
00:18:50 → 00:18:52 ไม่ออกมันเบนกันอยู่แล้วสังเกตเด็กเป็น
00:18:52 → 00:18:54 เด็กช่างฝันมั้งก็จะได้รับสื่อออนไลน์
00:18:54 → 00:18:56 เข้าไปแล้วเขาคิดว่ามันจริงจังมากโดน
00:18:56 → 00:18:58 บullลี่อ่ะมันคือโลกทั้งใบของเขาเนาะที่
00:18:58 → 00:19:01 มันพังคืนเราจึงเจอเด็กในอัตราความซึม
00:19:01 → 00:19:04 เศร้าสูงอัตราค่าตัวตายสูงขึ้นมากในวัย
00:19:04 → 00:19:08 ที่ได้รับการให้ดิจิตัลmedเดียเร็วจนเกิน
00:19:08 → 00:19:09 ไปอย่างน้อยที่สุดผมคิดว่าเด็กต้องแยก
00:19:10 → 00:19:11 ระหว่างความฝันกับความจริงออกจากกันได้
00:19:11 → 00:19:14 ก่อนที่จะเริ่มเข้าไปสู่โลกออนไลน์นะครับ
00:19:14 → 00:19:17 อันนี้เป็นสิ่งที่น่าห่วงต่อไปที่น่าส่วง
00:19:17 → 00:19:19 กว่านั้นอ่าอันนี้คือร้ายแรงแล้วต่อมา
00:19:19 → 00:19:22 เด็ก 14-21 หรือ 21 เป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว
00:19:22 → 00:19:25 บรรลุนิติภาวะไปแล้วใช้สื่อแล้วมันมีผล
00:19:25 → 00:19:29 ต่อสุขภาพหรือเปล่าถ้าเอาแบบสุขภาพทางกาย
00:19:29 → 00:19:32 เราก็อาจจะเคยได้ยินว่าบางคนเนี่ยไถก้ม
00:19:32 → 00:19:35 ทั้งวันก็อาจจะมีการปวดคอนะเค้าเรียก tech
00:19:35 → 00:19:37 next syrมก็ก็แบบว่าใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ
00:19:38 → 00:19:40 ถูกมั้ยบางคนแบบไถจนนิ้วโป้งอักเสบเออตอน
00:19:40 → 00:19:43 นิ้วล็อคอ่าก็คือเป็นการใช้ร่างกายผิด
00:19:43 → 00:19:45 เพี้ยนไปก็อาจจะต้องบอกว่าต้องมีเวลาพัก
00:19:45 → 00:19:47 มีเบรคมีการยืดเหยียดมีexer์ซiseอย่าง
00:19:47 → 00:19:50 อื่นด้วยนะครับแต่ถ้าทางใจเนี่ยมีสิ่ง
00:19:50 → 00:19:52 หนึ่งซึ่งถ้าเราไม่สังเกตเราจะไม่รู้เลย
00:19:52 → 00:19:56 ตอนที่ผมเริ่มเข้าสู่วงการเทคเนี่ยก็จับ
00:19:56 → 00:19:58 ตาเรื่องนี้อยู่หมอนึกย้อนกลับไปตอนที่
00:19:58 → 00:20:01 หมอเรียนรู้เรื่อง Marketing ใหม่ๆตอน
00:20:02 → 00:20:04 นั้นก็เป็นช่วงที่เรียกว่าทีวีดิจิตอล
00:20:04 → 00:20:07 เริ่มมา YouTube เริ่มมานะก็มีครูที่เ้า
00:20:07 → 00:20:11 สอนmarติ้เนี่ยเก็ก็บอกว่าหมอหมออย่าไปทำ
00:20:11 → 00:20:14 รายการ YouTube แบบในการนั่งสัมภาษณ์นะ
00:20:14 → 00:20:18 อ่าอย่าไปทำแบบตอนที่หมอแบบไปสัมภาษณ์ไอว
00:20:19 → 00:20:21 โหตอนนั้นกล้องยังกล้องแบกโหต้องมี
00:20:21 → 00:20:25 อารัมภบทนะเออเกริ่นนำไม่ได้หมอให้ใน 9
00:20:25 → 00:20:29 วินาทีของคลิป YouTube เนี่ยคนฟังฟังปุ๊บ
00:20:29 → 00:20:31 ต้องรู้แล้วว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงอ 9
00:20:31 → 00:20:35 วินาทีท้าทายเหมือนกันเนาะอ่าโอเคโอก็ฝึก
00:20:35 → 00:20:38 อย่างงั้นมาเรื่อยปรากฏว่ามายุคสมัยนี้ทำ
00:20:38 → 00:20:40 คลิป TikTok จะเห็นเห็นว่าคลิป TikTok จะ
00:20:40 → 00:20:43 ไม่เหมือนคลิป YouTube ฮะคลิป YouTube
00:20:43 → 00:20:46 ยังมีแบบสวัสดีครับท่านผู้ชมรายการของเรา
00:20:46 → 00:20:49 มีแบบอินโทroแต่ถ้าเราไปดูคลิป TikTok 5
00:20:49 → 00:20:52 อย่างที่คุณจะพลาดไม่ได้สำหรับการตลาดแบบ
00:20:52 → 00:20:55 ดิจิตอลคือมันต้องแบบมาโจบเพราะอะไรเพราะ
00:20:55 → 00:20:58 ทฤษฎีบอกว่าเดี๋ยวนี้เนี่ยภายใน 3 วินาที
00:20:58 → 00:21:01 ของคลิปต้นคลิปคนที่ดู TikTok ต้องรู้
00:21:01 → 00:21:04 แล้วไม่งั้นเขาจะไถผ่านบอกโอ้มันเร็วขึ้น
00:21:04 → 00:21:06 เยอะนะมันเร็วขึ้น 3 เท่าหมายความว่า
00:21:06 → 00:21:10 เดี๋ยวนี้คนเราเนี่ยถ้าเราเจอกันในโลก
00:21:10 → 00:21:12 ออนไลน์คุยกัน 3 วินาทีไม่รู้เรื่องเ้า
00:21:12 → 00:21:15 ไม่คุยแล้วหรอกนะอืเออเราตัดสินกันเร็ว
00:21:15 → 00:21:19 ขึ้นแต่ค่ะเราไม่ได้ใช้สิ่งนี้ตอนเฉพาะ
00:21:19 → 00:21:23 อยู่ออนไลน์เราถูกสอนโดยอัลเกอิึมของ
00:21:23 → 00:21:26 โซเชียลมีว่าให้ใน 3 วินาทีคุณคิดยังไง
00:21:26 → 00:21:28 ให้ใน 3 วิธีคุณชอบให้ใน 3 วิธีคุณไม่ชอบ
00:21:28 → 00:21:33 คุณต้องตึ๊บๆๆๆบางทีเนี่ยผมเองก็เป็นนะ
00:21:33 → 00:21:36 ถ้าช่วงไหนเนี่ยใช้tiิtอกเยอะๆอ่ะแล้ว
00:21:36 → 00:21:39 กลับไปดู YouTube อ่ะบางทีผมอาจจะดูไม่จบ
00:21:39 → 00:21:41 ก็ได้นะผมเลื่อนผ่านรู้สึกว่ามันช้าไปละ
00:21:41 → 00:21:44 ไม่รู้คลิปเราคนยังดูอยู่หรือ
00:21:44 → 00:21:47 เปล่าแต่แต่หมายถึงว่าเราถูกเราถูก
00:21:47 → 00:21:49 เทรนนิ่งซ้ำๆให้ชินว่าภายใน 3 วินาทีฉัน
00:21:50 → 00:21:52 ฉันไม่ได้ไม่รู้สึกได้ประโยชน์อะไรกับ
00:21:52 → 00:21:55 สิ่งนี้ฉันก็พร้อมจะเลื่อนผ่านฉันพร้อมจะ
00:21:55 → 00:21:57 ไม่อยู่กับเธอะแต่ปัญหาก็คืออย่างที่ผม
00:21:57 → 00:22:00 บอกผมเป็นคน 2 โลกคือเราก็รู้ว่าตอนอยู่
00:22:00 → 00:22:02 ในtiิTokเราต้องทำตัวยังไงถึงจะสอดคล้อง
00:22:02 → 00:22:05 กับไอ้ค่านิยมของของโซเชียลmedดีiaนั้น
00:22:05 → 00:22:08 ใช่มั้ยแต่พอเรามาอยู่กับโลกแห่งความเป็น
00:22:08 → 00:22:11 จริงเวลาคุยกับคนไข้คุยกับคนรู้จักเราก็
00:22:11 → 00:22:14 จะไม่ได้ไวขนาดเราออมันเป็นคนละอันเรา
00:22:14 → 00:22:16 ต้องอันนี้ต้องค่อยๆคุยต้องใช้เวลาอะไร
00:22:16 → 00:22:19 เงี้ยนะแต่ถ้าเกิดรุ่นใหม่ไม่ใช่เค้าชิน
00:22:19 → 00:22:21 กับจังหวะแบบนั้นถ้าเป็นคลื่นสมองก็เป็น
00:22:21 → 00:22:24 คลื่นสมองที่แบบๆๆแบบไปเร็วมากเลยเพราะ
00:22:24 → 00:22:26 ฉะนั้นมันเลยเกิดภาวะที่บางทีเราเห็นเด็ก
00:22:26 → 00:22:29 ๆอ่ะคุยกัน 3 วินาทีแบบเอ้ยไม่ใช่ะไม่คุย
00:22:29 → 00:22:32 ต่อมันเลยอาจจะไม่รู้เหมือนกันว่ามันเชิง
00:22:32 → 00:22:34 ลึกแล้วอ่ะมันเป็นปัจจัยหลักหรือปัจจัย
00:22:34 → 00:22:37 ย่อยที่ทำให้คนเจนหลังๆมันฟังกันน้อยลง
00:22:37 → 00:22:39 เพราะแค่ 3 วินฉันฉันไม่ชอบเธอฉันก็ติ๊ก
00:22:39 → 00:22:44 ในหัวและไม่ชอบเธอแพนด้าแพนด้าฉันคุยกับ
00:22:44 → 00:22:46 เธอไม่ได้แล้วยังไม่ทันอธิบายอะไรเลยอ่ะ
00:22:46 → 00:22:49 หรือคบๆกันอยู่เกิดแบบถูกใจกันมา
00:22:49 → 00:22:52 โปรโมชั่นอยู่ 6 เดือนพูดไม่ถูกหูสัก 3
00:22:52 → 00:22:56 วินาทีไม่ใช่แหละเลิกและความสัมพันธ์ของ
00:22:56 → 00:22:59 คนสมัยนี้มันจึงเปราะบางลงเยอะขึ้นเรื่อย
00:22:59 → 00:23:02 ๆมันพร้อมที่จะไม่เข้าใจกันมันพร้อมที่จะ
00:23:02 → 00:23:06 ตัดสินน่ะภาษาอังกฤษเรียกว่าพีudิjudิ
00:23:06 → 00:23:08 เนี่ยรากสคำว่า judge หมายความว่าตัดสิน
00:23:08 → 00:23:11 พจิสหมายความว่าก่อนจะตัดสินตัดสินตั้ง
00:23:11 → 00:23:13 แต่ยังไม่คิดอ่ะเอ่อหรือภาษาบางคนอาจจะ
00:23:13 → 00:23:17 ใช้เลเบลเหรอเอ่อไม่รู้ภาษาของเอ่อรุ่นคน
00:23:17 → 00:23:20 แพนด้าว่ายังไงอุยไม่ค่อยเป็นคนรุ่นใหม่
00:23:20 → 00:23:22 เท่าไหร่ค่ะใช้เซ้นอย่างเงี้ยหรอคะเอออือ
00:23:22 → 00:23:25 ๆเหมือนเหมือนกับว่ามาถึงก็แปะหน้ามันไว้
00:23:25 → 00:23:27 แล้วว่าออคนนี้ไม่น่าไม่น่าอะไรเอออะไร
00:23:27 → 00:23:29 อย่างเงี้ยเราเราจะมีความอดอดทนอดกลั้น
00:23:29 → 00:23:34 ต่อการที่จะพยายามฟังเ้าดูซิพยายามที่จะ
00:23:34 → 00:23:38 มองลึกลงไปมากกว่าสิ่งที่เพูดกิริยท่าทาง
00:23:38 → 00:23:41 เพื่อที่จะเห็นอกเห็นใจกันน่ะเพราะฉะนั้น
00:23:41 → 00:23:43 มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับว่าถ้าเราเคย
00:23:43 → 00:23:47 ชินกับการปฏิบัติต่อผู้คนบนโซเชียลมีแล้ว
00:23:47 → 00:23:49 เลยอาจจะบอกว่าเลยมีคำว่าคนที่เป็นเกรียน
00:23:49 → 00:23:53 คีย์บอร์ดคือเบางทีเอยู่แต่กับคอมเคุย
00:23:53 → 00:23:57 ผ่านสื่อเพียงอย่างเดียวโดยพอเขามาอยู่
00:23:57 → 00:23:59 กับโลกความเป็นจริงไอ้สกิลที่มันเป็น
00:23:59 → 00:24:02 human skิในการจะสื่อสารจะปฏิสัมพันธ์
00:24:02 → 00:24:05 กันมันก็น้อยลงประเด็นถัดไปที่เรานึกไม่
00:24:05 → 00:24:09 ถึงเลยก็ก็คือเราซื้ออุปกรณ์แก๊สเก็ต
00:24:09 → 00:24:11 เดี๋ยวเนี้ยเราซ่อมกันมั้ยครับไม่ค่อยค่ะ
00:24:11 → 00:24:15 พังก็ซื้อใหม่เคยส่งไปร้านบอกว่าจอขอ
00:24:15 → 00:24:18 เปลี่ยนจอเปลี่ยนที่เสียบที่ชาร์จมั้ยอื
00:24:18 → 00:24:22 ไม่เคยอ่ะนี่เป็นคนรุ่นใหม่จริง
00:24:22 → 00:24:25 ๆสมัยหมอนี่แบบกว่าจะมีมือถือเครื่องแรก
00:24:25 → 00:24:29 เนี่ยนะโอเก็บตังค์เงินเดือนนะพอจะเสีย
00:24:30 → 00:24:32 เนี่ยต้องซ่อมก่อนสักรอบนึงส่งไปล้านอะไร
00:24:32 → 00:24:35 ก็แล้วแต่ตรงเนี้ยมันมีวัฒนธรรมที่ทำให้
00:24:35 → 00:24:38 เกิดความรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะอยู่กับ
00:24:38 → 00:24:41 ความไม่สมบูรณ์แล้วถ้ามีอะไรที่สักอย่าง
00:24:41 → 00:24:43 ที่ไม่ได้ดั่งใจเราพร้อมที่จะลองพยายาม
00:24:43 → 00:24:45 ซ่อมมันดูเพราะฉะนั้นสังเกตว่าคนโบราณ
00:24:45 → 00:24:48 เวลาเา้าแต่งงานแล้วมีลูกเรักกันมันก็มี
00:24:48 → 00:24:50 เรื่องไม่ถูกใจแน่นอนอ่ะใช่มั้อยู่กันมา
00:24:50 → 00:24:52 ตั้ง 10 ปีถ้ามันถูกใจกันหมดนี่ผมต้อง
00:24:52 → 00:24:56 ตั้งประเด็นแปลกๆแล้วแบบเอ๊ะใช่หรอมัน
00:24:56 → 00:24:58 ต้องมีเรื่องขัดใจกันบ้างอ่ะแต่ว่าไอ้
00:24:58 → 00:25:01 ความขัดใจเล็กๆน้อยๆในความสัมพันธ์เนี่ย
00:25:01 → 00:25:03 คนสมัยก่อนเป็นไงเอ้ยวันนี้ว่างขอคุย
00:25:03 → 00:25:06 หน่อยสิเรื่องนี้แบบรู้สึกไม่สบายใจเลย
00:25:06 → 00:25:10 แต่ถ้าเกิดว่าเราชินว่าซื้อ iPhone มา
00:25:10 → 00:25:12 iPhone 15 ยังดียังไม่ทันจะพังอนะมันดู
00:25:12 → 00:25:16 แบบว่ารุ่นใหม่มามันแบบอะไรนะเกิดขึ้นมา
00:25:17 → 00:25:19 แล้วเฮ้ยของใหม่มันก็ยังใช้ได้อยู่แล้ว
00:25:19 → 00:25:20 แต่แบบแรมมันเริ่มจะเต็มแล้วอ่ะไม่เป็นไร
00:25:20 → 00:25:22 เปลี่ยนเลยแล้วกันอะไรเงี้คือคือมันแบบ
00:25:22 → 00:25:25 ง่ายกว่าที่เราจะจะซื้อเปลี่ยนมันน่ะมัน
00:25:25 → 00:25:27 ก็ไม่แปลกใจนะถ้าเราชินอยู่กับวัฒนธรรม
00:25:27 → 00:25:30 ที่เปลี่ยนมากกว่าซ่อมแล้วเห็นมั้ฮะว่าพอ
00:25:30 → 00:25:33 เราไปคบแฟนเด็กรุ่นหลังๆอ่ะพอไม่ถูกใจ
00:25:33 → 00:25:35 หน่อยนึงคือแบบการจะบอกอือเลิกมันง่ายมาก
00:25:36 → 00:25:38 เลยเนาฉันจะไม่ทนน่ะค่ะเก็จะรู้สึกว่าไม่
00:25:38 → 00:25:41 ต้องเสียเวลากันทั้ง 2 ฝ่ายเออก็อย่าง
00:25:41 → 00:25:44 งั้นก็ได้แต่ว่าถามว่าถึงจุดหนึ่งเมื่อ
00:25:44 → 00:25:46 เราอายุมากขึ้นเรื่อยๆแล้วบอกว่าไม่เคย
00:25:46 → 00:25:49 เสียเวลากับใครเลยแล้วรอว่าจะมีคนสักคน
00:25:49 → 00:25:52 นึงที่เราแมตช 100% น่ะกับเรายอมเสียเวลา
00:25:53 → 00:25:56 กับคนที่แมตชกับเราสัก 90% และอีก 10%
00:25:56 → 00:26:00 เราค่อยมาซ่อมๆมันหน่อยนิดนึงเทรนนิ่งสัก
00:26:00 → 00:26:03 หน่อยนะอะไรอย่างเงี้ยให้เค้าเข้ามาทาง
00:26:03 → 00:26:06 ความพอใจของเรามากขึ้นเนี่ยคิดว่าอะไรดี
00:26:06 → 00:26:08 กว่ากันครับแบบที่ 2 ถ้าถ้าสมมุติว่าเรา
00:26:08 → 00:26:12 มองเห็นประโยชน์มากกว่าอืต้องมีเช็คลิสต์
00:26:12 → 00:26:16 เอออ่าแต่แต่เข้าใจมั้ยเป็นหมอถ้าเกิดว่า
00:26:16 → 00:26:19 เราเราไม่มีความอดทนในการที่จะรออะไรบาง
00:26:19 → 00:26:21 อย่างด้วยความที่เราชินกับสปีดของการรีบ
00:26:22 → 00:26:26 ตัดสินใน 3 วินถ้าเป็นมัดซ้ายปัดขวาเป็น
00:26:26 → 00:26:29 คนปัดเร็วมากเราจะเอียนหน่อยอืมันอาจจะมี
00:26:29 → 00:26:33 มุมอื่นเนาะมันอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่
00:26:33 → 00:26:35 เขาทำอย่างนี้เนาะมันอาจจะทำให้ความ
00:26:35 → 00:26:37 สัมพันธ์มันแข็งแรงขึ้นผมคิดว่าตรงนี้
00:26:37 → 00:26:39 เป็นประเด็นที่โดยไม่รู้ตัวโซเชียล Media
00:26:39 → 00:26:42 หรือดิจิอลไฟ life ของเราเนี่ยมันค่อยๆ
00:26:42 → 00:26:45 เปลี่ยนผู้คนไปไม่มากก็น้อยอืค่ะทีเนี้ย
00:26:45 → 00:26:48 ทั้งหมดที่เราพูดกันมาอแพนด้ามีคำถามว่า
00:26:48 → 00:26:52 ถ้าอย่างบางคนที่เรานึกย้อนกลับไปความทรง
00:26:52 → 00:26:54 จำครั้งแรกหรือความทรงจำที่เราจำได้ไม่
00:26:54 → 00:26:57 ว่าครั้งไหนแต่ว่าอาจจะสมมุตินะว่าไม่ใช่
00:26:57 → 00:26:59 ความทรงจำที่ดีอ่ะค่ะอือแล้วอาจจะ
00:26:59 → 00:27:02 direction หรืออยู่ตรงไหนไม่รู้แหละเรา
00:27:02 → 00:27:04 ก็นำพาชีวิตเรามาตอน
00:27:04 → 00:27:07 เป็นตัวเราตอนนี้เขาจะมีวิธีแก้ไงคะถ้า
00:27:07 → 00:27:09 สมมติคือมันย้อนกลับไปแก้ตรงนั้นไม่ได้
00:27:09 → 00:27:13 อ่ะผมใช้คำว่าเราไม่สามารถแก้ไขอดีตแต่
00:27:13 → 00:27:16 เราสามารถจะเข้าใจมันได้ยกตัวอย่างอาม่า
00:27:16 → 00:27:18 ผมเองแต่ก่อนเเวลาไปเครื่องบินน่ะเขึ้น
00:27:18 → 00:27:21 เครื่องบินใช่พาคนส่งอายุเที่ยวเขาก็จะมี
00:27:21 → 00:27:24 เสิร์ฟอาหารมีเซตเซตเสิร์ฟเป็นเซ็ตกาแฟมี
00:27:24 → 00:27:27 ถาดมีขนมจันทเอามาเนี่ยจะมีนิสัยอย่างนึง
00:27:27 → 00:27:30 คือเเสิร์ฟเสร็จปุ๊บแกจะเก็บใส่กระเป๋าก็
00:27:30 → 00:27:34 เอาลงดีไม่เอาเสื้อชูชีพ
00:27:34 → 00:27:36 แล้วลูกหลานก็อายมากจะเอาไปทำไมเนี่ยคือ
00:27:36 → 00:27:39 มันไม่ได้มีค่าขนาดนั้นอะไรเงี้ยก็แบบ
00:27:39 → 00:27:41 หงุดหงิดเล็กๆอ่ะยังอยู่ในช่วงที่ผมยัง
00:27:41 → 00:27:44 เป็นวัยรุ่นอยู่ก็เอ้ยหงุดหงิดเสร็จแล้ว
00:27:44 → 00:27:47 ผมก็พอเราโตขึ้นเนี่ยพอเราเจอคนผู้คนเจอ
00:27:47 → 00:27:50 คนไข้แล้วก็ซักประวัติอาม่าหลายคนเออมัน
00:27:50 → 00:27:53 ก็เป็นอย่างี้ทุกบ้านคือมันไม่ใช่เป็นแค่
00:27:53 → 00:27:55 เฉพาะอาม่าเรานะแต่ว่าสิ่งนึงที่ผมเข้าใจ
00:27:55 → 00:27:59 มากขึ้นเวลามองย้อนกลับไปก็คือว่าอ๋อ
00:27:59 → 00:28:01 อาม่าผมมาโตที่เมืองไทยแต่ว่าเป็นคนจีน
00:28:01 → 00:28:04 พ้นทะเลเองแล้วเสร็จแล้วก็มีความลำบากยาก
00:28:04 → 00:28:07 แค้นมากแล้วก็อยู่กับอากงเนี่ยก็คือเสือ
00:28:07 → 00:28:09 ผืนหมอนใบเนี่ยตั้งตัวมานานเพราะฉะนั้น
00:28:09 → 00:28:11 เนี่ยชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอนเพราะงั้น
00:28:11 → 00:28:15 มีอะไรก็ตามที่สามารถที่จะเซฟได้หรือมัน
00:28:15 → 00:28:18 จะเก็บเล็กเก็บน้อยอ่ะเป็นนินิสัยเก็บ
00:28:18 → 00:28:20 เล็กผสมน้อยแกจะทำคราวนี้ประเด็นวันนี้
00:28:20 → 00:28:21 มันเป็นปัญหามันไม่ได้เป็นปัญหาเรื่องของ
00:28:21 → 00:28:25 การที่ว่าเอ่อแกจะเก็บเล็กผสมน้อยแต่ว่า
00:28:25 → 00:28:29 พอในวันเวลาที่ลูกหลานโตแล้วเนี่ยคือบ้าน
00:28:29 → 00:28:31 ก็หลังใหญ่รถก็มีแล้วบ้านก็ไม่ต้องผ่อน
00:28:31 → 00:28:34 แล้วเนี่ยมันควรจะ delete นะสัญญาถ้าภาษา
00:28:34 → 00:28:36 ท่านพุทธคือความจำคือสัญญาเมoryี่อันเก่า
00:28:36 → 00:28:40 มันควรจะแบบคิดใหม่ได้ละแต่ว่าเมoryเต็ม
00:28:40 → 00:28:43 มันก็เลยเกิดพฤติกรรมแบบอย่างเงี้ยถามว่า
00:28:43 → 00:28:45 พอเรามองอย่างงี้เราก็น่าสงสารแกเนาะมอง
00:28:45 → 00:28:47 แกแบบเข้าใจมันมันเป็นความพอเราเข้าใจ
00:28:47 → 00:28:50 ปุ๊บทุกคนยังเหมือนเดิมนะแต่ความทุกข์เรา
00:28:50 → 00:28:53 เองในเชิงอับอายในเชิงความไม่ได้ดังใจ
00:28:53 → 00:28:55 ความหงุดหงิดมันจะหายไปเพราะเราทำความ
00:28:55 → 00:28:57 เข้าใจกับเหตุการณ์ที่มันผ่านมานะก็ยังดี
00:28:57 → 00:28:59 ว่าเข้าใจแกตอนที่ตอนที่แกยังมีชีวิตอยู่
00:28:59 → 00:29:03 ก็ก็หลังๆก็เลยโอเคดูแลกันแบบอย่างดีโดย
00:29:03 → 00:29:06 ที่ไม่ได้หงุดหงิดอะไรอือนี้เห็นมั้ฮะว่า
00:29:06 → 00:29:10 การทำความเข้าใจอดีตมันทำให้ความสบายใจ
00:29:10 → 00:29:13 มันดีขึ้นอันนี้ประเด็นที่ยากหน่อยก็คือ
00:29:13 → 00:29:15 ว่าถ้าเกิดว่าคนนั้นไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้
00:29:15 → 00:29:19 เรารู้สึกผิดกับโอคุณพ่อคุณแม่เออแต่ว่า
00:29:19 → 00:29:21 ท่านไม่อยู่แล้วอ่ะทำยังไงผมจะบอกให้ว่า
00:29:21 → 00:29:23 ข่าวดีและข่าวร้ายฮะในมุมมองการแพทย์
00:29:23 → 00:29:26 มนุษยปรัชญาเนี่ยเ้าบอกว่าเหตุการณ์ที่
00:29:26 → 00:29:28 เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราเนี่ยมันไม่ได้
00:29:28 → 00:29:30 เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญเหมือนพุทธนะไม่
00:29:30 → 00:29:32 มีความบังเอิญเราเลือกโจทย์บางอย่างที่จะ
00:29:32 → 00:29:36 มาเกิดนี่แหละแล้วตราบใดที่เราไม่แก้
00:29:36 → 00:29:38 ปัญหานั้นด้วยความเข้าใจเดี๋ยวมันจะมี
00:29:38 → 00:29:41 โจทย์คล้ายๆกันเนี่ยมาให้เราทำอยู่เรื่อย
00:29:41 → 00:29:43 ๆอืนั่นคือเหตุผลว่าคนเรามีเรื่องอยู่
00:29:44 → 00:29:45 ประมาณสซักแค่ 12 เรื่องเท่านั้นแหละที่
00:29:45 → 00:29:48 มันจะทุกข์ได้เนี่ยคน 108,900 มีอยู่ 12
00:29:48 → 00:29:50 เรื่องแล้วถ้าเกิดมันเสียเรื่องไหนนะมัน
00:29:50 → 00:29:53 จะเป็นเรื่องนั้นซ้ำๆเช่นมีผู้หญิงคนนึง
00:29:54 → 00:29:58 ก็มาด้วยเรื่องเป็นมะเร็งเต้านมสามีก็แย่
00:29:59 → 00:30:01 มากเลยเพราะว่ากินเหล้าสุกบุหรี่แล้วก็
00:30:01 → 00:30:05 ทุบตีมาขโมยเงินอีกไม่ทำทำงานทำไงดีฮะ
00:30:05 → 00:30:07 ชีวิตชีวิตมันเศร้าเกินไปอ่ะเราจะทำยังไง
00:30:07 → 00:30:12 ดีอ่ะถ้าไม่สามีอย่างเงี้ยเลิกมั้ยอือแต่
00:30:12 → 00:30:16 เธอเลิกแบบไหนมั้ยเธอก็เลยไปคบกับผู้ชาย
00:30:16 → 00:30:19 คนนึงแล้วก็หนีหนีตามกันหอบหิ้วกันไปโอ
00:30:19 → 00:30:23 แบบชีวิตรอดแล้วเออเราหาผ่านได้แล้วปรากฏ
00:30:23 → 00:30:27 ว่าพอหนีตามกันเลิกกับสามีคนเก่าสามีคน
00:30:27 → 00:30:29 ใหม่ก็กินเหล้ามาติดเหล้าเหมือนเดิมตบตี
00:30:29 → 00:30:31 เหมือนเดิมก็เลยเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
00:30:31 → 00:30:34 กับชีวิตผมก็บอกว่าก็เพราะว่าเราไม่ได้
00:30:34 → 00:30:37 แก้ปัญหามันด้วยสติไม่ได้แก้ปัญหาในแบบ
00:30:37 → 00:30:40 ที่มันเป็นธรรมะมากเพียงพอคือถ้าเกิดคุณ
00:30:40 → 00:30:43 จะเลิกกับเค้าก็ก็เลิกแล้วต่อกันเหมือน
00:30:43 → 00:30:44 ตกลงกันที่ให้เรียบร้อยจะแบ่งสมบัติอะไร
00:30:44 → 00:30:47 ก็แล้วแต่แต่คงไม่ใช่วิธีการหนีตามใครสัก
00:30:47 → 00:30:49 คนหรือเปล่าซึ่งผมก็ไม่ได้ไม่ได้พูด
00:30:49 → 00:30:51 ประเด็นนี้เพราะว่ามันอาจจะมีหลายเรื่อง
00:30:51 → 00:30:53 ที่ต้องเป็นดูแลในเรื่องของสุขภาพนะแต่
00:30:53 → 00:30:55 ว่ามันเข้าใจได้เลยว่ามันนำไปสู่ความเจ็บ
00:30:55 → 00:30:59 ป่วยเพราะว่าเรื่องของเต้านมเนี่ยมันเป็น
00:30:59 → 00:31:00 ส่วนที่มันเกี่ยวเกี่ยวกับเรื่องของทรวง
00:31:00 → 00:31:04 อกเกี่ยวกับเรื่องของใจมันอัดอั้นตันใจมา
00:31:04 → 00:31:08 นานเค้าเรียกอกไหม้ไส้ขมเป็นระทมอยู่มัน
00:31:08 → 00:31:10 เลยเป็นก้อนอันนี้เป็นอันนึงที่เราพบได้
00:31:10 → 00:31:12 ด้วยเหมือนกันเนาะแต่ว่าตอนหลังเนี่ยเธอ
00:31:12 → 00:31:15 ก็ทนไม่ไหวกับสามีคนที่ 2 เธอก็เลยบอกเอา
00:31:15 → 00:31:17 งี้ต้องการบ้านต้องการรถเดี๋ยวเซ็นยกให้
00:31:18 → 00:31:20 อ้าแยกย้ายกันอย่างดีนะสามีก็บอกโอเคเอา
00:31:20 → 00:31:22 มาฉันอยากจะกินเหล้าอยู่แล้วแล้วก็เสร็จ
00:31:22 → 00:31:25 แล้วก็เลิกไปหลังจากนั้นก็ชีวิตสงบสุขราบ
00:31:25 → 00:31:28 รื่นโดยไม่มีปัญหาอีกเลยผมจึงบอกว่าท่วง
00:31:29 → 00:31:31 ทำนองของวิธีที่เราจะเข้าไปย้อนอดีตหรือ
00:31:31 → 00:31:35 แก้ปัญหาชีวิตมันมักจะทดสอบเราอยู่เรื่อย
00:31:35 → 00:31:39 ๆเพราะฉะนั้นถ้าเราคิดว่าในอดีตเราทำ
00:31:39 → 00:31:41 เรื่องนี้ยังไม่สมบูรณ์แล้วทุกวันนี้มี
00:31:41 → 00:31:44 ความทุกข์อะไรที่มันสั่นพ้องหรือใกล้
00:31:44 → 00:31:46 เคียงกับเรื่องในอดีตลองใช้ประเด็นโจทย์
00:31:46 → 00:31:49 เหล่าเนี้ยแก้มันแต่แก้ด้วยวิธีที่ใช้สติ
00:31:49 → 00:31:52 ใช้หลักที่มันถูกต้องค่อยๆแก้อืแล้วเชื่อ
00:31:52 → 00:31:55 เถอะเมื่อคุณแก้โจทย์นี้ผ่านเหมือนคุณสอบ
00:31:55 → 00:31:57 ผ่านมันจะได้เคลื่อนชั้นค่ะนี่คือข่าวดี
00:31:57 → 00:31:59 อือฮึเนาะแต่ข่าวร้ายคือจดใหม่อาจจะยาก
00:31:59 → 00:32:03 กว่าเดิมจนกว่าเราจะหลุดพ้นจาก
00:32:03 → 00:32:06 วัตถงสารค่ะเออเราสามารถสรุปได้อย่างนี้
00:32:06 → 00:32:09 ว่าคือแน่นอนว่าชีวิตเราแต่ละคนเนี่ยมัน
00:32:09 → 00:32:12 คงจะเจอเรื่องราวที่ต่างกันแล้วก็คงจะมี
00:32:12 → 00:32:15 บางอย่างที่มาทดสอบเราที่ต่างกันแต่ว่า
00:32:15 → 00:32:17 ไอ้บางอย่างที่มันเป็นอดีตไปแล้วที่จะมัน
00:32:17 → 00:32:20 ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แต่ให้สังเกตชีวิต
00:32:20 → 00:32:22 ปัจจุบันว่ามันมีปัญหาอะไรที่มันยังเป็น
00:32:22 → 00:32:25 แพทเทิร์นคล้ายๆเดิมให้เราจัดการตรงนี้
00:32:25 → 00:32:28 แก้ตรงนี้พอเราเหมือนคลายล็อคตรงนี้ได้
00:32:28 → 00:32:30 ที่เหลือมันจะคายหมดเลยใช่มั้ยคะค่อนข้าง
00:32:30 → 00:32:34 จะเป็นเรื่องนั้นอ่าแต่ว่าแน่นอนบางคนมี
00:32:34 → 00:32:37 หลายโจทย์เนาะอแต่ว่าก็ผมเชื่อว่าอย่าง
00:32:37 → 00:32:41 นึงฮะเมื่อเรามีมุมมองที่พบว่าเฮ้ยเรามี
00:32:41 → 00:32:44 อิสระหรือทางเลือกการที่มนุษย์มีสติมัน
00:32:44 → 00:32:46 หมายความว่าทำให้เรามีความยับยั้งช่างชั
00:32:46 → 00:32:50 ที่จะเอ๊ะทำนี้ใช่หรอเราเคยแก้ปัญหาอย่าง
00:32:50 → 00:32:54 นี้ะถ้าเราเอ๊ะแล้วเราไม่ทำตามสัญชาตญาณ
00:32:54 → 00:32:57 ดิบๆแล้วเราเลือกที่จะลองทำในสิ่งที่ดี
00:32:58 → 00:33:00 กว่าเดิมเมื่อคุณผ่านมาได้ 1 ครั้งคุณจะ
00:33:00 → 00:33:03 เกิดความมั่นใจลึกๆอย่างว่าเราดีขึ้นได้
00:33:03 → 00:33:06 เราสามารถเป็นคนใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ไอ้
00:33:06 → 00:33:09 พลังอันนี้มันสำคัญซะยิ่งกว่าขอให้มีแค่
00:33:09 → 00:33:11 สักครั้งนึงในชีวิตที่เราเอาชนะอุปสรรค
00:33:11 → 00:33:14 ดั้งเดิมที่เราเคยแพ้ได้ 1 ครั้งเราจะพบ
00:33:14 → 00:33:16 ว่าเฮ้ยเป็นไปได้แหละทุกอย่างหลังจากนี้
00:33:16 → 00:33:19 ในชีวิตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราพร้อมที่
00:33:19 → 00:33:22 จะเปลี่ยนมันด้วยหลักการที่ดีมันเหมือน
00:33:22 → 00:33:26 กับความรู้สึกเป็นอิสระว่าที่ผ่านมาเป็น
00:33:26 → 00:33:28 ไงไม่รู้แหละแต่ตอนนี้เริ่มต้นใหม่ใช่ใช่
00:33:28 → 00:33:30 เพราะฉะนคำว่า freedom ในมุมมองของหมอ
00:33:30 → 00:33:32 เนี่ยหรืออิสรภาพมันไม่ใช่อิสรภาพจากการ
00:33:32 → 00:33:34 ไม่รับผิดชอบกรรมดั้งเดิมเรานะค่ะแต่เป็น
00:33:34 → 00:33:38 อิสรภาพที่จะเลือกได้ว่าเราจะกลับไปต่อ
00:33:38 → 00:33:41 กรรมหรือทำสิ่งที่แย่กระแทกใส่กันหรือเรา
00:33:41 → 00:33:42 เลือก
00:33:42 → 00:33:47 เชื่ออ่ะทำอย่างี้มันจะดีกว่าแล้วผ่านมัน
00:33:47 → 00:33:49 ไปได้ซึ่งแต่ก่อนผมก็พูดด้วยความไม่มั่น
00:33:49 → 00:33:52 ใจแต่หลายๆเรื่องหลายๆราวในชีวิตพอผมผ่าน
00:33:52 → 00:33:54 มันมาได้ผมก็เลยบอกว่าเป็นไปได้นั่นคือ
00:33:54 → 00:33:57 อิสรภาพของเราที่จะเลือกจะต่อกรรมหรือ
00:33:57 → 00:34:00 สร้างกรรมอันใหม่ที่ทำให้ตัวเราได้พัฒนา
00:34:00 → 00:34:02 ขึ้นไปกว่าเดิมทีนี้จากตอนแรกเรื่อง
00:34:02 → 00:34:04 โซเชียลแล้วก็มากันไกลเนาะแต่ถามว่า
00:34:05 → 00:34:07 เกี่ยวข้องกันยังไงไม่น่าอยากรู้ว่าแล้ว
00:34:07 → 00:34:09 ทุกวันเนี้ค่ะที่ทุกอย่างมันไวโดยปฏิเสธ
00:34:09 → 00:34:13 ไม่ได้อ่าแต่ว่าเราจะแน่นอนแหละเราอาจจะ
00:34:13 → 00:34:15 อยากมีช่วงเวลาที่เราห่างจากโซเชียลบ้าง
00:34:15 → 00:34:18 ทีนี้มันจะมีอย่างนึงที่อาจจะเกิดขึ้นกับ
00:34:18 → 00:34:21 หลายๆคนคือพอเราห่างจากโซเชียลอ่ะค่ะคุณ
00:34:21 → 00:34:23 หมอเราจะเริ่มมีความรู้สึกกังวลอืออยู่
00:34:23 → 00:34:25 ไม่เป็นสุขและเพราะว่าเหมือนตรงนั้นน่ะ
00:34:25 → 00:34:27 มันก็คือโรคความจริงของเราอีกโลกนึงไป
00:34:27 → 00:34:31 แล้วอ่ะทีนี้คุณหมอมีคำแนะนำยังไงดีคะผม
00:34:31 → 00:34:34 มองใน 2 แง่ถ้าเอาแบบเป็นเทรนด์เลยแล้ว
00:34:35 → 00:34:37 กันเนาะจริงๆแล้วฝรั่งก็มีปัญหาแบบเดียว
00:34:37 → 00:34:39 กับเรานี่แหละเพราะฉะนั้นฝรั่งเนี่ยจึงมี
00:34:39 → 00:34:42 เหมือนกับ challenge ที่ชวนกันคนใน
00:34:42 → 00:34:44 อินเทอร์เน็ตทำกันเล่นๆอย่างนึงก็คือ
00:34:44 → 00:34:47 เรื่องของโดineท็อกซ์โดineคืออะไรโดine
00:34:47 → 00:34:49 คือสารสื่อภาษาที่เรียกว่าเป็น
00:34:49 → 00:34:52 neurotransmitter มีชื่อเล่นว่า
00:34:52 → 00:34:54 rewarding neurotransmitter เป็นความ
00:34:54 → 00:34:57 รู้สึกฟินฮะทุกฟินฟินทุกครั้งที่ทำอย่าง
00:34:57 → 00:34:59 นี้สำเร็จกินช็อกโกแลตแล้วฟินเพราะ
00:34:59 → 00:35:02 ช็อกโกแลตไปทำให้โดบามีนขึ้นอือเลยติด
00:35:02 → 00:35:05 ช็อกโกแลตกินแล้วกินอีกกินน้ำตาลแล้วชอบ
00:35:05 → 00:35:07 เพราะมันไปกระตุ้นโดมีนขึ้นอันนี้เป็น
00:35:07 → 00:35:09 เรื่องปกติสารเสพติดเกือบทุกชนิดกระตุ้น
00:35:09 → 00:35:11 โดปามีนไปหมดเลยแต่ว่าเดี๋ยวนี้เรากำลัง
00:35:11 → 00:35:14 พูดถึงปัญหาเรื่องของตัว behavioral
00:35:14 → 00:35:16 addiction ก็คือไม่ได้เศษสันเสพติดแต่
00:35:16 → 00:35:19 เราติดพฤติกรรมบางอย่างซึ่งปัญหามันเกิด
00:35:19 → 00:35:22 ขึ้นหลังรุนแรงเมื่อเรามีalกอิึมของ
00:35:23 → 00:35:26 โซเชียล media ที่กระตุ้นให้เราติดมันกดไ
00:35:26 → 00:35:30 ใช่ชอบกดไใช่กดแชร์ถ้าเราเป็นคนเสพสื่อ
00:35:30 → 00:35:34 เนี่ยก็อาจจะได้ประโยชน์ในแง่ของสมมุติ
00:35:34 → 00:35:36 โพสต์ Instagram แล้วมีคนมากดไลก์เยอะแยะ
00:35:36 → 00:35:39 เลยอะไรอย่างเงี้ยเราก็จะคอยเฝ้าดูว่ามา
00:35:39 → 00:35:42 แล้วมาแล้วนะเอ่อไลฟ์ขึ้นไปเท่านี้แล้วนะ
00:35:42 → 00:35:45 ฟินน่ะไอ้ความฟินนี่แหละคือโดปามีนก็จะ
00:35:45 → 00:35:48 รุนแรงขึ้นไปอีกในกรณีที่เราเริ่มมีผลได้
00:35:48 → 00:35:51 ผลเสียเนาะเอ่อเป็นinfluenซอร์แล้วก็
00:35:51 → 00:35:54 ต้องการอะไรนะยอดวิวอะไรเงี้ยอันนี้ก็จะ
00:35:54 → 00:35:57 แบบยิ่งยิ่งยิ่งตอบโจทย์เราเราก็ยิ่งเป็น
00:35:57 → 00:35:59 ทาสของไอ้อกอิธึมเหล่านี้เพราะฉะนั้น
00:35:59 → 00:36:02 เนี่ยบรรดาinfluenซerของต่างประเทศเนี่ย
00:36:02 → 00:36:06 มีปัญหาเยอะมากชีวิตพังเพราะว่าติดไอ้ตัว
00:36:06 → 00:36:08 การติดตามโซเชียลเยอะจนเกินไปเขาจึง
00:36:08 → 00:36:11 รณรงค์กันด้วยแคมเปญที่เรียกว่าโดมีน
00:36:11 → 00:36:13 ดีท็อกซ์ก็หมายความว่าเอาล่ะฉันประกาศตัว
00:36:13 → 00:36:16 เองโพสต์แปะไว้ในหน้าเอ่อโซเชียลของฉัน
00:36:17 → 00:36:20 ว่าฉันจะไม่ใช้โซเชียลเป็นระยะเวลา 7 วัน
00:36:20 → 00:36:23 โซเชียลท็อกซ์โซเชียลท็อกซ์ใช่มั้แบบว่า
00:36:23 → 00:36:26 อยู่กับตัวเองไปทำกิจกิจกรรมโยคะไปออก
00:36:26 → 00:36:30 กำลังกายไปเดินป่าไปเทกิ้งแต่จะไม่แตะไอ้
00:36:30 → 00:36:34 ตัวโซเชียล Media ก็เป็นลักษณะที่การที่
00:36:34 → 00:36:36 เราหน่วงเวลาแล้วไม่ต้องถูกrewardดing
00:36:36 → 00:36:39 ตลอดเวลาจากการถูกกดไลก์ถูกกดแชร์เนี่ย
00:36:39 → 00:36:41 มันทำให้โดปามีนของเราค่อยๆลดลงลดลงล
00:36:42 → 00:36:44 เพราะฉะนั้นพอเรากลับมาแตะไอ้ตัวสื่ออัน
00:36:44 → 00:36:47 นั้นอันใหม่อ่ะมันก็ความหวือหวาหรือความ
00:36:47 → 00:36:51 รู้สึกฟินมันก็จะน้อยลงก็อ่าก็ช่วยได้นะ
00:36:51 → 00:36:53 ไอ้นี้เป็นเป็นชหนึ่งถ้าเกิดใครอยากลองทำ
00:36:53 → 00:36:57 ผมก็แนะนำมาลองแปะไว้ที่หน้าเฟซตัวเองตอน
00:36:57 → 00:36:59 นี้โซเชียลดีท็อกซ์อะไรเงี้ยเออแต่มันก็
00:36:59 → 00:37:02 ไม่ง่ายนะคะบางคนถ้าติดเราเราติดเล่น
00:37:02 → 00:37:04 โซเชียลมากๆอ่ะถึงแม้เราจะมีเจตนาที่เรา
00:37:04 → 00:37:06 อยากจะโซเชียลดีท็อกซ์แต่พอเราห่างปุ๊บ
00:37:06 → 00:37:09 มันจะมีความกังวลอยู่แรกๆก่อนจะตัดได้
00:37:09 → 00:37:12 อย่างเงี้ยเออใช่มั้ยอือมันก็นี่แหละ
00:37:12 → 00:37:16 โดบามีนนะคราวนี้การที่เราจะทำอย่างนั้น
00:37:16 → 00:37:19 ได้เนี่ยจริงๆมันจะกลับไปที่พื้นฐานผมถึง
00:37:19 → 00:37:22 ใช้คำพูดว่าจริงๆแล้วต่อให้เทคโนโลยีของ
00:37:22 → 00:37:25 เราพัฒนาไปแค่ไหนอ่ะความทุกข์ของมนุษย์
00:37:25 → 00:37:26 มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยเนาะความทุกข์
00:37:26 → 00:37:28 เมื่อ 1000 ปีที่แล้วเป็นยังไง 1000 ปี
00:37:29 → 00:37:31 นี้ก็เป็นอย่างนั้นแหละส่วนใหญ่ก็ทุกข์
00:37:31 → 00:37:34 เลยอยากกินไม่ได้กินอยากถูกรักไม่ได้รัก
00:37:34 → 00:37:36 ใช่มั้ยฮะอยากมีเกียรติไม่ได้รับเกียรติ
00:37:36 → 00:37:39 อ่าใช่มั้ฮะเพราะฉะนั้นบางทีเถ้าเราเข้า
00:37:39 → 00:37:41 ใจมันน่ะมันอาจจะกลับมาที่การที่เรามี
00:37:41 → 00:37:44 awareness มาฝึกว่าอ๋อมันก็เป็นเช่นนั้น
00:37:44 → 00:37:47 เองอ่ะ content นี้ได้รับการกดไลก์มันก็
00:37:47 → 00:37:50 ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปถูกมั้ฮะการอยู่กับ
00:37:50 → 00:37:53 ปัจจุบันการฝึกลมหายใจเพราะอะไรเพราะว่า
00:37:53 → 00:37:56 ถึงที่สุดแล้วเนี่ยพอเราฝึกสมาธิไปถึงจุด
00:37:56 → 00:38:00 นึงจนมันเป็นศีลผมชอบใช้คำว่าศีลในแง่ของ
00:38:00 → 00:38:02 ว่ามันเป็นความเคยชินน่ะเราจะร่วมรู้สึก
00:38:02 → 00:38:05 ว่าการทำอะไรที่เราเคยชินน่ะมันง่ายแต่
00:38:05 → 00:38:07 การที่เราพยายามฝืนทำอะไรที่ไม่คุ้นชิน
00:38:07 → 00:38:10 มันยากคราวนี้เราเริ่มจากเบสลนของการที่
00:38:10 → 00:38:13 เราชินกับการใช้โซเชียล Media เราจะรู้
00:38:13 → 00:38:15 สึกว่ามันยากมากในการที่เราจะโซเชียล
00:38:15 → 00:38:19 ดีท็อกอือแต่เอาใหม่ถ้าเราเกิดว่าเราฝึก
00:38:19 → 00:38:21 กับการอยู่กับความนิ่งความสงบแล้วเราต้อง
00:38:22 → 00:38:24 ไปดูสื่อหรือโซเชียล Media ผมมาเป็นคนนึง
00:38:24 → 00:38:28 เหมือนกันนะที่จะมีpreferลฟอร์มของตัวเอง
00:38:28 → 00:38:30 อยู่เหมือนกันคือบางแพลตฟอร์มที่มันเร็ว
00:38:30 → 00:38:31 มากๆผมฟังแล้วผมจะปวดหัวผมผมไม่อยากจะดู
00:38:32 → 00:38:33 อ่ะมันมันเร็วเกินเพราะผมไม่ชินกับจังหวะ
00:38:34 → 00:38:36 อันนั้นเราอาจจะต้องค่อยๆโทนดาวมาอยู่กับ
00:38:36 → 00:38:40 ตัวเองมาอยู่กับความช้าบ้างมาทำศิลปะ
00:38:40 → 00:38:43 breed in breed out จนชินในชีวิตปกติ
00:38:43 → 00:38:45 ก่อนแล้วเราจะพบว่าโดยอัตโนมัติไม่ใช่
00:38:45 → 00:38:49 เป็นการฝืนนะเมื่อเรามีความชินของศีลปกติ
00:38:49 → 00:38:52 ของเราคือการที่แบบอยู่เงียบๆก็ได้อ่าสงบ
00:38:52 → 00:38:54 ๆก็ได้เพราะฉะนั้นการที่เราต้องไปแตะ
00:38:54 → 00:38:56 โซเชียลมันจะเป็นเรื่องของการงานเป็น
00:38:56 → 00:38:59 เรื่องของหน้าที่ที่เรารู้สึกว่าถ้าเลือก
00:38:59 → 00:39:03 ได้อ่ะเราใช้สักพักนึงเราจะรู้สึกพอแล้ว
00:39:03 → 00:39:05 ฉันวางมันแล้วฉันจะไปทำอย่างงี้ตอนนี้
00:39:05 → 00:39:07 เป็นการฝึกตัวเองเพราะฉะนั้นเนี่ยไม่ต้อง
00:39:07 → 00:39:10 แปลกใจถ้าเราไปเจอครูบาอาจารย์ที่เป็นสาย
00:39:10 → 00:39:12 สมาธิแล้วท่านบอกว่าอย่าไปเล่น
00:39:12 → 00:39:15 โซเชียลมีดีเยอะท่านมีเหตุผลตรงนี้นะ
00:39:15 → 00:39:18 เพราะเราจะชินกับการที่ความสงบหรือเปล่า
00:39:18 → 00:39:20 ถ้าเราทุกอย่างมันยังไหวถ้าเราอยากมีความ
00:39:20 → 00:39:24 ก้าวหน้าในการฝึกปฏิบัติสมาธิหรือสติบาง
00:39:24 → 00:39:28 ทีการลิมิตเฉพาะโซเชียล Media ที่เราเป็น
00:39:29 → 00:39:31 งานเป็นการอ่ะโอเคก็ถ้าบางคนต้องแบบหา
00:39:31 → 00:39:33 เลี้ยงชีพจากกันเป็น content creator ก็
00:39:33 → 00:39:36 ใช้เฉพาะงานพอจบงานเสร็จปุ๊บก็ควรจะเลิก
00:39:36 → 00:39:39 แต่ผมสงสารอยู่ทีมนึงที่น่าห่วงผมห่วงมาก
00:39:39 → 00:39:41 ๆเพราะว่าผมทำงานกับเด็กเยอะก็คือ
00:39:41 → 00:39:44 influencer ที่เขาใช้ลูกมาเป็นมาเป็น
00:39:44 → 00:39:46 contทentน่ะอันนั้นน่าห่วงจริงๆเพราะว่า
00:39:46 → 00:39:48 มันเหมือนกับว่าพอแทนที่จะเป็นโซเชียล
00:39:48 → 00:39:51 life ที่พอปิดหน้าจอแล้วแล้วก็อยู่กับ
00:39:51 → 00:39:54 ครอบครอบครัวเห็นว่าทุกเหตุการณ์ทุกการ
00:39:54 → 00:39:56 กระทำอ่ะเอาเด็กมาแสดงอยู่หน้าจอคือโอเค
00:39:56 → 00:39:59 ผมเข้าใจอ่ะมันมันบางทีมันเป็นรายรับของ
00:39:59 → 00:40:01 เขานะแต่ถ้ามันเยอะเกินไปอ่ะเราเฉพาะเด็ก
00:40:01 → 00:40:04 จะเริ่มมีปัญหาบางอย่างที่เขาแบบกลัว
00:40:04 → 00:40:06 โซเชียลไปเลยนะเรานึกถึงภาพเราเป็นเด็กคน
00:40:06 → 00:40:08 นึงพูดกลับไปที่เรื่อง 3 ขวบกำลังตัวเล็ก
00:40:08 → 00:40:11 ๆอยู่เดินไปแล้วมีคนแหโวดีจังเลยดูน่ารัก
00:40:11 → 00:40:14 มากก็แล้วเราก็รู้สึกว่าไอ้ขอบเขตของเรา
00:40:14 → 00:40:17 มันถูกinvวageอยู่ตลอดเวลาอันเนี้ยผมไม่
00:40:17 → 00:40:19 ค่อยเห็นด้วยถ้าเป็นเด็กเล็กนะครับก็ต้อง
00:40:19 → 00:40:21 ช่วยกันดูแลและผมเชื่อว่ามันมีวิจัยมา
00:40:21 → 00:40:23 backอจนขนาด tiok เองอ่ะถ้าเกิดว่าเด็กจะ
00:40:23 → 00:40:25 มาไลฟ์จะต้องเอาผู้ปกครองมันอยู่ด้วย
00:40:25 → 00:40:28 เพราะอะไรเพราะมันมีimpพactบางอย่างมันมี
00:40:28 → 00:40:29 เหตุการณ์บางอย่างที่มันเกิดเป็นผลเสีย
00:40:29 → 00:40:31 ขึ้นมาแล้วไงจริงๆทั้งหมดที่เราพูดกันมา
00:40:32 → 00:40:34 อาจจะรู้สึกว่าหลายๆท่านฟังอาจจะรู้สึก
00:40:34 → 00:40:36 ว่าเฮ้ยมันเกี่ยวกับการเจ็บป่วยตรงไหนมัน
00:40:36 → 00:40:39 มันอาจจะยังดูไม่ใช่เป็นโรคที่ระบุได้ชัด
00:40:39 → 00:40:41 ขนาดนั้นแต่จริงๆแล้วเนี่ยพฤติกรรมการใช้
00:40:41 → 00:40:44 โซเชียลอ่ะค่ะมันไม่ได้มันไม่ได้อันตราย
00:40:44 → 00:40:46 แค่แค่กับเด็กเนาะที่เราพูดกันจริงๆผู้
00:40:46 → 00:40:49 ใหญ่ทุกวันเนี้ยเป็นสมาธิสั้นเยอะอืใช่
00:40:49 → 00:40:51 มั้ยคะครับค่ะแล้วทีเนี้ยนะเราจะมีวิธี
00:40:51 → 00:40:54 สังเกตตัวเองได้ยังไงบ้างเพราะเราอ่ะทุก
00:40:54 → 00:40:56 คนเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะใช้โซเชียลมีดี
00:40:56 → 00:40:58 ครับอ่าเราเริ่มจะเป็นสมาธิสั้นหรือยัง
00:40:58 → 00:41:01 อ่ะก็ผมใช้คำว่าสังเกตจากคนข้างๆง่ายที่
00:41:01 → 00:41:04 สุดเลยคือถ้าเกิดว่าเราเริ่มรู้สึกว่าคน
00:41:05 → 00:41:07 ข้างๆนี้เ้าคุยไม่รู้
00:41:07 → 00:41:09 เรื่องมันเป็นสัญญาณที่ชัดนะคือบางทีแบบ
00:41:09 → 00:41:13 เป็นเป็นตลกร้ายอ่ะเวลาผมไปสอนนักศึกษา
00:41:13 → 00:41:15 แพทย์หรือสอนมหาลัยแล้วก็มีก็จะมีนัก
00:41:15 → 00:41:20 ศึกษาที่มาเร็วมาช้าถูกป่ะคราวนี้เอ่อพอ
00:41:20 → 00:41:25 พอสอนพอเริ่มสอนพนะเอ่อตัวนักศึกษายังมา
00:41:25 → 00:41:27 น้อยๆอยู่ก็จะบอกว่าเอตามเพื่อนอ่ะถามว่า
00:41:27 → 00:41:30 ตามเพื่อนปกติสมัยรุ่นเราเราใช้วิธีอะไร
00:41:30 → 00:41:32 ตามเพื่อนแต่จะรุ่นแพนด้าก็มี Line แล้ว
00:41:32 → 00:41:35 นะคะอ๋อโทรมั้ยไม่ค่อยไม่ค่อย
00:41:35 → 00:41:39 โทรคนละรุ่นนะคุณหมอได้ฮัลโหลอาจารย์ด่า
00:41:39 → 00:41:41 เรายังได้ยินเสียงยังไม่ได้คอนแทคอะไร
00:41:41 → 00:41:43 อย่างงี้ถูกมั้แต่ถ้าเป็นรุ่นรุ่นถัดมา
00:41:43 → 00:41:47 นี่จิ้มไลายอืแล้วเสร็จแล้วพอเสร็จปุ๊บ
00:41:47 → 00:41:50 สอนเสร็จกำลังจะกลับบางคนจะเริ่มออกแล้ว
00:41:50 → 00:41:52 เอ้ยเดี๋ยวก่อนอาจารย์มีเรื่องประเด็นนี้
00:41:52 → 00:41:55 ช่วยบอกเพื่อนตามกลับมาหน่อยซิถ้าเป็น
00:41:55 → 00:42:00 รุ่นเราเป็นไงฮะเค้ายังไineเหมือนเดิมไลฟ
00:42:00 → 00:42:03 ถ้ารุ่นวิ่งออกไปตามแล้วก็ตามมานะอ๋อเออ
00:42:03 → 00:42:05 แต่ว่านี่ก็จะไลแล้วก็เสร็จแล้วอาจารย์ก็
00:42:05 → 00:42:08 จะงงๆตกลงที่บอกไปนี่คือตามอยู่ใช่มั้ย
00:42:08 → 00:42:10 คือมันทำให้เกิดว่ากลายเป็นเราคุยกันผ่าน
00:42:10 → 00:42:14 ไอ้โซเชียลอ่ะอืเยอะกว่าที่จะคุยกันตรงๆ
00:42:14 → 00:42:15 อ่ะเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้สึกอะไรนะแต่
00:42:15 → 00:42:17 สำหรับคนรุ่นเจนบูomมอรมันเป็นปัญหาเยอะ
00:42:17 → 00:42:20 มากเลยนะมันทำให้ความรู้สึกว่าเฮ้ยเราไม่
00:42:20 → 00:42:23 ได้คุยกันเราdiscอnectเนี่ยมันเยอะและ
00:42:23 → 00:42:25 อย่างที่หมอบอกว่าปัจจัย 6 6 ด้านที่ทำ
00:42:25 → 00:42:27 ให้สุขภาพแข็งแรงระยะยาวคือเรื่องความ
00:42:27 → 00:42:29 สัมพันธ์ซึ่ง healthy ด้วยถ้าเป็นความ
00:42:29 → 00:42:32 สัมพันธ์แบบไม่ Healthy คุยกันผ่าน Line
00:42:32 → 00:42:35 บางทีอ่ะมันทำให้เกิดภาวะโรคต่างๆตามมา
00:42:35 → 00:42:39 ความจำก็จะเริ่มเบลอๆอ่าคุยไม่ไปติดประ
00:42:39 → 00:42:43 ต่อหรือบางทีก็จะมีปัญหาเรื่องของการที่
00:42:43 → 00:42:46 เหมือน depression มีความรู้สึกเหงาอะไร
00:42:46 → 00:42:49 ต่างๆนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เข้าไปดูสถิติ
00:42:49 → 00:42:51 ทั่วโลกเนี่ยโลกทางจิตใจเหล่าเมันจะเพิ่ม
00:42:51 → 00:42:55 ขึ้นเรื่อยๆถ้าเราใช้วิธีการสื่อสารแต่
00:42:55 → 00:42:56 โซเชียลเพียงอย่างเดียวเพราะยังไงก็ตาม
00:42:56 → 00:42:59 มนุษย์ต้องการผัสสะด้านอื่นผัสสะของการอบ
00:42:59 → 00:43:03 กอดผัสสะถ้าอย่างเ่อน้องแพนได้เรียนมาทาง
00:43:04 → 00:43:06 การแสดงเราจะรู้ว่าจริงๆแล้วการพูดของเรา
00:43:06 → 00:43:10 เนี่ยในการสื่อสารมันมีผลอยู่แค่ 30% อื
00:43:10 → 00:43:12 ค่ะอีก 70% เป็นเรื่องของภาษาไกลค่ะถูก
00:43:12 → 00:43:16 มั้ยครับเอ่อถ้าเป็นเด็กที่ถ้าเป็นเด็ก
00:43:16 → 00:43:19 ออทิสติวิธีวินวินิจฉัยไม่ยากอย่างนึงคือ
00:43:19 → 00:43:22 เวลาพูดเราจะสังเกตว่าเาพูดด้วยภาษากาย
00:43:22 → 00:43:26 หรือเปล่าถ้าเด็กทั่วไปขอก็จะแบมือไม่
00:43:26 → 00:43:29 อย่างงี้นะแต่เด็กออซิสติเวลาพูดเราจะ
00:43:29 → 00:43:32 สังเกตว่าภาษากายเน้อยมากเจะ
00:43:32 → 00:43:36 อืขออะไเงี้คือมันมันการ express อารมณ์
00:43:36 → 00:43:39 ต่างๆเมันน้อยดังนั้นการรักษานึงบางทีผม
00:43:39 → 00:43:41 จะส่งไปทำ drama thapy ฝึกให้เขา express
00:43:42 → 00:43:44 ลงเ่อแต่ eventually กลับมาที่เรื่องของ
00:43:44 → 00:43:47 ตัวการสื่อสารด้วยอวจนะภาษาดังนั้นเนี่ย
00:43:47 → 00:43:50 มนุษย์เนี่ยจะรู้สึกรู้สึกไม่เข้าใจกัน
00:43:50 → 00:43:55 เมื่อเราพูดผ่านสื่อแล้วเราไม่เห็นภาษา
00:43:55 → 00:43:57 ท่าทางและ movement ที่เข้ามายกตัวอย่าง
00:43:57 → 00:44:01 เช่นสมมุติผมมาเจอน้องแพนด้าแล้วบอกว่า
00:44:01 → 00:44:05 น้องแพนด้าขอยืมรถหน่อยอ่ะยืมรถอีกค่ะอ่า
00:44:05 → 00:44:09 แล้วผมว่าผมเป็นน้องแพนด้าเออก็ยืมเลยสิอ
00:44:09 → 00:44:13 อ่าแต่กแต่กอดอกนะเออยืมดิอือจะยืมมั้ย
00:44:13 → 00:44:16 อ่ะก็ดูก็ไม่แน่ใจอ่ะอยากให้ยืมจริงหรือ
00:44:16 → 00:44:18 เปล่าเออถ้าเป็นเราเราก็แบบเออไม่เป็นไร
00:44:18 → 00:44:22 ไม่ไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องก็ได้เออค่ะเออแต่
00:44:22 → 00:44:25 ถ้าเ้านี่ยืมๆยืมเลยไม่เป็นไรอ่ะเดี๋ยวไป
00:44:25 → 00:44:27 ตรงนี้นะกุญแจอยู่นี่อือฮึจริงๆตัวที่มัน
00:44:27 → 00:44:30 เป็นสื่อสารหลักมันคือภาษากายค่ะเเรียก
00:44:30 → 00:44:32 ว่า sense of movement มันต้องไปด้วย
00:44:32 → 00:44:34 กันทั้งหมดเพราะฉะนเมื่อไหร่ก็ตามคำพูด
00:44:34 → 00:44:37 ของเราเหลืออยู่แค่จิ้มอย่างเงี้การ
00:44:37 → 00:44:39 เคลื่อนไหวมันเหลือน้อยมากเหลือแค่ไฟ
00:44:39 → 00:44:42 movement น่ะความคิดของเราจะเริ่มไม่
00:44:42 → 00:44:45 connect กับร่างกายนั่นคือเหตุผลว่าจาก
00:44:45 → 00:44:48 การวิจัยล่าสุดเนี่ยเวลาเราไปวิจัยใจ
00:44:48 → 00:44:50 เรื่องการเรียนการเขียนบนกระดาษมันมี
00:44:50 → 00:44:53 ประสิทธิผลต่อการพิมพ์ดีดแล้วการเขียนบน
00:44:53 → 00:44:55 iPad ยังไงเออยังไม่มีวิจัยเปรียบเทียบ
00:44:55 → 00:44:56 แต่มันเริ่มเห็นว่าเพราะอะไรเพราะการ
00:44:56 → 00:44:59 เขียนคือการที่เราจะมี movement ไปพร้อม
00:44:59 → 00:45:02 กับการทำงานของความคิดความจำดังนั้นเมื่อ
00:45:02 → 00:45:05 ไหร่ก็ตามที่เราได้อย่างเป็นธรรมชาติความ
00:45:05 → 00:45:08 คิดเราจะไม่ติดขัดมีพูดเหมือนกันว่าถ้า
00:45:08 → 00:45:10 เกิดว่ามีงานรู้จักอีกอันนึงเอามือมัดไว้
00:45:10 → 00:45:13 กับพูดสื่อสารกับมือปล่อยคิดว่าใครสื่อ
00:45:13 → 00:45:17 สารได้ดีกว่ากันทำสกอร์ปล่อยมือค่ะใช่การ
00:45:17 → 00:45:19 เคลื่อนไหวเนี่ยสำคัญมากๆแล้วถ้าเรามี
00:45:19 → 00:45:21 ความตระหนักรู้เราจะเริ่มเห็นปัญหาว่าไอ้
00:45:21 → 00:45:24 หน้าจอเล็กๆนี่แหละมันจะค่อยๆทำให้ความ
00:45:24 → 00:45:27 คิดจิตใจเรื่องของการสื่อสารเรื่องของการ
00:45:27 → 00:45:29 ปฏิสัมพันธ์ต่างๆของมนุษย์จะเริ่มหายไป
00:45:29 → 00:45:32 มันเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องใหม่มากๆแต่ว่า
00:45:32 → 00:45:34 ถ้าเราเข้าใจมันว่าปัญหาของมนุษย์เนี่ย
00:45:34 → 00:45:37 1000 ปียังไงก็เป็น 1000 ปีแบบนี้เมื่อ
00:45:37 → 00:45:40 ไหร่ก็ตามโซเชียลมีดีเข้ามาอย่างใช้อย่าง
00:45:40 → 00:45:41 ไม่เหมาะสมหรือเยอะจนเกินไปเราจะ lost
00:45:42 → 00:45:44 connection ถึงแม้ว่ามันเลยมีคำพูดว่า
00:45:44 → 00:45:47 เราอยู่ในยุคที่พูดคุยกันได้ทุกวันแต่คน
00:45:47 → 00:45:49 เหงาที่สุดกว่าทุกยุคทุกสมัยเพราะ
00:45:49 → 00:45:51 Connection นั้นไม่ใช่ Connection ที่มี
00:45:51 → 00:45:54 คุณภาพแบบมนุษย์ต่อมนุษย์นั่นเองอืจบได้
00:45:55 → 00:45:58 คมมากค่ะวันนี้นะคะโอ้โหเราเราคุยกันหลาย
00:45:58 → 00:46:01 เรื่องมากๆแล้วก็เชื่อว่าตัวแพนด้าเองก็
00:46:01 → 00:46:04 ได้รีเช็คตัวเองไปด้วยแล้วก็เชื่อว่าคุณ
00:46:04 → 00:46:06 ผู้ชมทุกคนนี่เรียกว่าคุณผู้ชมก็จะได้
00:46:06 → 00:46:08 รีเช็คตัวเองไปด้วยเช่นกันในแต่ละช่วง
00:46:08 → 00:46:11 อายุว่าเฮ้ยเราเราเคยมีประสบการณ์แบบไหน
00:46:11 → 00:46:13 แล้วสิ่งนั้นมันส่งผลต่อชีวิตเรายังไง
00:46:13 → 00:46:17 บ้างแต่ว่าถ้าตรงไหนที่อาจจะยังไม่เข้าใจ
00:46:17 → 00:46:20 หรือยังไม่หนำใจนะคะก็สามารถติดตามได้ที่
00:46:20 → 00:46:23 เพจของคุณหมอนะคะเพจหมอปองนะคะแล้วก็อย่า
00:46:23 → 00:46:25 ลืมนะคะว่าตอนนี้คุณหมอกำลังมีหนังสือ
00:46:25 → 00:46:29 ครับผมก็ถ้าเกิดว่าเอ่อใครไปติดตามที่เพจ
00:46:29 → 00:46:32 หรือเว็บไซต์ wwwb.com นะ
00:46:32 → 00:46:35 blv.com หมอจะเปิดตัวการพิมพ์ครั้งที่ 2
00:46:35 → 00:46:38 ของหนังสือเรื่อง 12 sense เลี้ยงลูกให้
00:46:38 → 00:46:40 มีพัฒนาการก็ยินดีฮะมีอะไรก็ติดตามข่าว
00:46:40 → 00:46:43 ทางเพจก็ได้ครับอืค่ะเชื่อว่าวันนี้เนาะ
00:46:43 → 00:46:46 นอกจากที่เราจะได้รู้แล้วว่าเฮ้ยบางอย่าง
00:46:46 → 00:46:48 อาการปุป่วยหรือสิ่งที่เราเป็นอยู่หรือ
00:46:48 → 00:46:50 อาจจะยังแบบหาสาเหตุไม่เจอมันอาจจะเกิด
00:46:50 → 00:46:54 จากเอ้ยอดีตเราเคยมีประสบการณ์แบบไหนขึ้น
00:46:54 → 00:46:56 มาแต่ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆอีกอย่างนึงใน
00:46:56 → 00:46:58 วันนี้คือการสร้างกรรมใหม่อย่างที่เราคุย
00:46:58 → 00:47:02 กันมาโดยตลอดว่าเฮ้ยอดีตเป็นยังไงโอเครู้
00:47:02 → 00:47:04 ไว้แต่ว่าณวันนี้เรามาทำสิ่งที่ดีต่อ
00:47:04 → 00:47:06 สุขภาพด้วยกันเอ่อ 6 อย่างที่คุณหมอแนะนำ
00:47:07 → 00:47:09 อยู่เสมอแล้วก็อีกอย่างนึงก็น่าจะเป็น
00:47:09 → 00:47:12 เรื่องของการที่โซเชียลเนี่ยเราใช้กัน
00:47:12 → 00:47:14 อยู่แล้วแต่ว่าเราจะใช้ยังไงให้รู้เท่า
00:47:14 → 00:47:17 ทันแล้วก็ไม่เกิดผลเสียไม่ทำให้เราเนี่ย
00:47:17 → 00:47:21 ป่วยทั้งกายแล้วก็ทั้งใจค่ะวันนี้นะคะก็
00:47:21 → 00:47:24 ทางเกลายังมีเสื้อค่ะมามอบให้คุณหมอ
00:47:24 → 00:47:27 ขอบคุณมากเลยเป็นเสื้อเกลาซึ่งน่าจะใช้
00:47:27 → 00:47:29 ใส่แล้วก็เตือนตัวเราได้ทุกวันอ่าเพราะ
00:47:29 → 00:47:32 เราต้องเกาตัวเองเรานิสัยอันตรายอโอเค
00:47:32 → 00:47:35 ครับผมยินดีมากๆเลยครับถ้าใครสนใจเสื้อ
00:47:35 → 00:47:37 สวยๆแบบนี้นะคะสามารถสั่งซื้อได้ทางใต้
00:47:38 → 00:47:40 description นี้เลยนะคะมีตะกร้าให้เลือก
00:47:40 → 00:47:42 ช้อปปิ้งอยู่ค่ะง่ายๆเลยแล้วก็ยังมี
00:47:42 → 00:47:44 ผลิตภัณฑ์อื่นๆของทางเกลาด้วยนะคะฝากอุด
00:47:44 → 00:47:46 หนุนเราด้วยนะสำหรับวันนี้นะคะก็ต้องขอ
00:47:46 → 00:47:49 ขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะถ้ามีโอกาสเดี๋ยว
00:47:49 → 00:47:51 เรามาคุยกันอีกใน EP ต่อๆไปนะคะครับยินดี
00:47:52 → 00:47:53 ครับขอบคุณค่ะขอบคุณ
00:47:53 → 00:48:14 [เพลง]