00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีค่ะทุกคนกลับมาพบกับหมาฟ้าแล้วก็
00:00:02 → 00:00:05 ช่อง Blue Zone Thailand นะคะสัปดาห์
00:00:05 → 00:00:06 นี้ทุกคนไม่ต้องตกใจนะคะที่เห็นว่ามือพัน
00:00:06 → 00:00:10 แผลค่ะเพราะว่าเพิ่งโดนสดักที่บ้านกัดมา
00:00:10 → 00:00:13 นะคะอาจจะเป็นวันfullู moon อะไรของเขา
00:00:13 → 00:00:15 สักอย่างค่ะแล้วเวลาฟ้าพูดเรื่องLongจity
00:00:15 → 00:00:17 ที่ไรเนี่ยฟ้าก็จะบอกเสมอว่าอ่ะเรื่อง
00:00:17 → 00:00:19 Longจityเนี่ยมันคงไม่ใช่แค่ป้องกันตัว
00:00:19 → 00:00:21 เองจากโรคระร่างนะแต่ว่าจริงๆการอยู่ใน
00:00:21 → 00:00:24 สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเนี่ยก็เป็นสิ่งที่
00:00:24 → 00:00:26 จำเป็นนะคะอันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้ดูค่ะ
00:00:26 → 00:00:28 สัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากเรื่องที่ฟ้าโดน
00:00:28 → 00:00:30 หมากัดแล้วนะคะเรื่องที่น่าตื่นเต้น
00:00:30 → 00:00:32 เรื่องอื่นเนี่ยก็คือการที่มีการประกาศ
00:00:32 → 00:00:34 รางวัลโนเบลค่ะในสัปดาห์ที่ผ่านมาและ
00:00:34 → 00:00:37 รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์นะคะที่เขาเรียก
00:00:37 → 00:00:39 ว่า Nobel Price in Physiology and
00:00:39 → 00:00:41 Medicine เนี่ยก็ได้ประกาศออกมาแล้วค่ะ
00:00:41 → 00:00:43 ปีนี้เนี่ยได้มอบรางวัลสาขานี้นะคะให้กับ
00:00:43 → 00:00:45 นักวิทยาศาสตร์ 3 ท่านค่ะขออนุญาตอ่าน
00:00:45 → 00:00:47 ชื่อให้ฟังนะคะท่านแรกก็เป็นนัก
00:00:47 → 00:00:51 วิทยาศาสตร์ผู้หญิงค่ะชื่อดร.แมรี่บรุนโค
00:00:51 → 00:00:54 นะคะซึ่งท่านเนี่ยอยู่ที่ Seattle ประเทศ
00:00:54 → 00:00:56 สหรัฐอเมริกาค่ะท่านที่ 2 นะคะเป็นคู่หู่
00:00:56 → 00:00:59 พาร์ทเนอร์กันค่ะที่ทำงานวิจัยนะคะดร.เฟด
00:00:59 → 00:01:02 Ramsdale ค่ะก็อยู่ที่นครซานฟรนซิสโก
00:01:02 → 00:01:05 สหรัฐอเมริกานะคะและท่านที่ 3 ค่ะข้ามมา
00:01:05 → 00:01:08 อีกฝั่งหนึ่งของโลกเลยนะคะคือดร.ชิม
00:01:08 → 00:01:10 สกาากุจิค่ะอยู่ที่โอซาก้านะคะประเทศ
00:01:10 → 00:01:12 ญี่ปุ่นค่ะถามว่าทั้ง 3 ท่านเนี่ยได้
00:01:12 → 00:01:15 รางวัลโนเบลเนี่ยเนื่องจากอะไรก็เป็นจาก
00:01:15 → 00:01:18 การที่ทั้ง 3 ท่านนะคะมีคุณการในการทำงาน
00:01:18 → 00:01:22 วิจัยจนทำให้ค้นพบระบบที่ร่างกายเราเนี่ย
00:01:22 → 00:01:25 สามารถปกป้องตัวเองจากเค้าเรียกว่าสิ่ง
00:01:25 → 00:01:28 แปลกปลอมภายนอกแต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทำร้าย
00:01:28 → 00:01:30 เนื้อเยื่อหรือว่าไม่ทำร้ายตัวเองด้วยค่ะ
00:01:30 → 00:01:32 ซึ่งภาษาอังกฤษเนี่ยเราเรียกว่า
00:01:32 → 00:01:33 Peripheral Immune Tolerance นั่นเอง
00:01:33 → 00:01:37 นะคะเราลองนึกง่ายๆค่ะว่าถ้าเมื่อไหร่ก็
00:01:37 → 00:01:40 ตามเนี่ยร่างกายเราเนี่ยมันจำว่าเซลล์ของ
00:01:40 → 00:01:41 ร่างกายเราเนี่ยหรือว่าเนื้อเยื่อของเรา
00:01:41 → 00:01:43 เนี่ยเป็นสิ่งแปลกปลอมแล้วเข้าไปจำเอ่อ
00:01:43 → 00:01:45 เข้าไปพยายามกำจัดเหมือนสิ่งแปลกปลอม
00:01:45 → 00:01:48 เนี่ยมันก็จะทำให้เกิดเค้าเรียกว่าเป็น
00:01:48 → 00:01:50 โรคต่างๆขึ้นมาโดยเฉพาะในโรคกลุ่มที่เรา
00:01:50 → 00:01:52 เรียกว่าออโติมหรือว่าภูมิแพ้ตัวเองนั่น
00:01:52 → 00:01:55 เองนะคะยิ่งถามว่าทั้ง 3 ท่านเนี่ยทำงาน
00:01:55 → 00:01:57 ด้วยกันมคำตอบคือไม่ค่ะความน่าสนใจมัน
00:01:57 → 00:02:01 อยู่ตรงนี้ค่ะโดยตอนแรกเลยเนี่ยอีกฝั่ง
00:02:01 → 00:02:03 นึงของโลกคือฝั่งเอเชียของเราเนี่ยดร.
00:02:03 → 00:02:06 ชิมอนซากุจินะคะทำงานวิจัยเนี่ยสนใจ
00:02:06 → 00:02:08 เกี่ยวกับเรื่องภูมิแพ้ตัวเองค่ะแต่ทำงาน
00:02:08 → 00:02:11 ศึกษาในหนูนะคะแล้วเแล้วท่านก็ไปเจอว่า
00:02:11 → 00:02:14 เวลาเราตัดต่อมอันนึงของหนูไปก็คือต่อม
00:02:14 → 00:02:17 ไทมัสสค่ะซึ่งต่อมไทมัสสเนี่ยพอตัดออกไป
00:02:17 → 00:02:20 ปุ๊บเนี่ยมันมีผลค่ะต่อเรื่องโรคภูมิแพ้
00:02:20 → 00:02:23 ตัวเองในหนูค่ะท่านก็เลยศึกษาต่อว่าเอ๊ะ
00:02:23 → 00:02:25 แล้วทำไมตัดต่อมไทมัสไปเนี่ยมันถึงมีผล
00:02:25 → 00:02:27 อันนี้เกิดขึ้นก็ไปเจอเซลล์เม็ดเลือดขาว
00:02:27 → 00:02:30 ชนิดนึงค่ะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ท่าน
00:02:30 → 00:02:33 ตั้งชื่อในเวลาต่อมาว่าเป็น regulatory T
00:02:33 → 00:02:37 sal หรือว่าชื่อย่อๆก็คือTกนะคะ Treg
00:02:37 → 00:02:39 ซึ่งเจ้า Treg นี้เองค่ะที่ท่านพบว่าน่า
00:02:39 → 00:02:42 จะเป็นกลไกสำคัญค่ะที่ส่งผลต่อเรื่องของ
00:02:42 → 00:02:45 การที่หนูเนี่ยจะเป็นเรื่องของโรคภูมิแผล
00:02:45 → 00:02:47 ตัวเองหรือว่าไม่เป็นค่ะส่วนอีกฝั่งนึง
00:02:47 → 00:02:50 ค่ะของโลกค่ะทางฝั่งดร.ชิมอนเนี่ยพยายาม
00:02:50 → 00:02:52 ศึกษาที่ระดับเซลล์ใช่มั้คะว่าเซลล์อะไร
00:02:52 → 00:02:55 เนี่ยที่เป็นสาเหตุส่วนอีกฝั่งนึงค่ะเค้า
00:02:55 → 00:02:58 ไปศึกษาที่ระดับพันธุกรรมหรือว่าระดับยีน
00:02:58 → 00:03:01 นั่นเองโดยดร.แมี่บูนโคนะคะก็เป็นคนไปค้น
00:03:01 → 00:03:03 พบค่ะว่าในกลุ่มที่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง
00:03:03 → 00:03:05 เนี่ยนะคะไม่ว่าจะเป็นโรคที่เราเรียกว่า
00:03:05 → 00:03:07 ไexหรือว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มาจาก
00:03:07 → 00:03:09 ภูมิแพ้ตัวเองเนี่ยมันมีความเกี่ยวข้อง
00:03:09 → 00:03:13 กับยีนชนิดนึงค่ะที่เรียกว่า Fox P3
00:03:13 → 00:03:15 Jean ก็เป็นอยู่ในตระกูลของ Fox เอ่อ
00:03:15 → 00:03:17 โปรteนะคะแล้วก็ชื่อภาษาอังกฤษเขาเรียก
00:03:17 → 00:03:20 ว่า FOP แล้วก็เป็นเลข 3 ค่ะโดยไอ้ Fox
00:03:20 → 00:03:23 P3 ตัวนี้เนี่ยทางดม Sal ก็เป็นคนเอามา
00:03:23 → 00:03:25 connect ได้ค่ะเพราะว่าเห็นงานที่ใจจาก
00:03:25 → 00:03:27 ทางฝั่งดร.ชิมอนนะว่าเฮ้ยมันมีเซลล์ตัว
00:03:27 → 00:03:30 นึงนะที่มันเกี่ยวกับไอ้เรื่องของโรคภูม
00:03:30 → 00:03:32 แพ้ตัวเองนี่แหละส่วนเพื่อนของฉันก็ไปเจอ
00:03:32 → 00:03:34 ว่าเอ้ยมันมียีนตัวนี้ดร. FR RAM Sal
00:03:34 → 00:03:36 เนี่ยก็เลยมา Connect the Dot ได้นะคะ
00:03:36 → 00:03:39 ในงานวิจัยว่าอ๋อไอ้เจ้า Fox P3G เนี่ย
00:03:39 → 00:03:42 มันเป็นตัวที่ควบคุมการทำงานของไอ้ตัว
00:03:42 → 00:03:44 เม็ดเล็กขาวที่เรียกว่า TXL นั่นเองค่ะ
00:03:44 → 00:03:47 แล้วถามว่ามันมีประโยชน์ยังไงลองเพื่อนๆ
00:03:47 → 00:03:49 ลองนึกย้อนไปถึงเรื่องของเม็ดเล็ดขาวก่อน
00:03:50 → 00:03:52 เม็ดเลขาวเนี่ยมันก็จะมีอยู่ 2 แบบนะคะ
00:03:52 → 00:03:55 ที่เราเรียกว่าBซลซึ่งBเซลเนี่ยจะเป็น
00:03:55 → 00:03:56 เม็ดเล็กขาวชนิดที่กระตุ้นให้เกิดการ
00:03:56 → 00:03:59 สร้างแอนตี้บอดี้ค่ะในขณะที่เจ้าTเซล
00:03:59 → 00:04:02 เนี่ยมันก็จะมีแบ่งไปอีกนะคะเป็นเช่น
00:04:02 → 00:04:04 ไซตอกTซellหรือว่าไอ้ตัวเราจะเขียนเป็น
00:04:04 → 00:04:06 ตัว T แล้วมี C ตัวเล็กเนี่ยมันหมายความ
00:04:06 → 00:04:09 ว่าถ้าเจอสิ่งแตกความปุ๊บไอ้ตัวไซโตท็อก
00:04:09 → 00:04:11 Tเซลเนี่ยก็จะเข้าชาร์จจัดการสัตว์
00:04:11 → 00:04:13 ประหลาดที่เจอทันทีค่ะส่วนอีกตัวนึงเรา
00:04:13 → 00:04:15 เรียกว่า T Helper Sal TER Sal เนี่ย
00:04:15 → 00:04:17 จัดการสัตว์ประหลาดหรือว่าสิ่งแฟมเองไม่
00:04:17 → 00:04:20 ได้แต่เขาจะส่งสัญญาณไปบอกBเซลที่เป็นคน
00:04:20 → 00:04:22 ผลิตแอนตี้บอดี้ว่าเฮ้ยมันมีสิ่งแปลกปลอม
00:04:22 → 00:04:25 เข้ามานะรีบมาช่วยร่างกายจัดการซะส่วนตัว
00:04:25 → 00:04:28 ที่มันคุ้มให้ไอ้เจ้าเม็ดเลือดขาวต่างๆเย
00:04:28 → 00:04:31 ทำงานเป็นปกติแล้วไม่จำผิดว่าไอ้สิ่งแวด
00:04:31 → 00:04:33 ล้อมสิ่งแตกปลอมสัตว์ประหลาดเนี่ยเนี่ย
00:04:33 → 00:04:35 มันคือเนื้อเยื่อของตัวเองก็คือเจ้า TXEL
00:04:35 → 00:04:37 นั่นเองซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนตำรวจคอย
00:04:38 → 00:04:39 ตรวจตานั่นเองค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้า
00:04:39 → 00:04:42 ตำรวจเนี่ยแข็งแรงมีปริมาณเพียงพอใช่มั้
00:04:42 → 00:04:45 คะทำงานได้ดีก็จะจับโจรได้ค่ะแต่ถ้าเมื่อ
00:04:45 → 00:04:47 ไหร่ก็ตามเนี่ยตำรวจเนี่ยค่อนข้างอ่อนแอ
00:04:47 → 00:04:50 ปุ๊บเนี่ยหรือว่า active เกินไปตำรวจกลาย
00:04:50 → 00:04:52 เป็นโจรซะเองเนี่ยไปทำร้ายประชากรด้วย
00:04:52 → 00:04:55 เนี่ยก็แน่นอนว่าสังคมเมีปัญหาก็ลองนึก
00:04:55 → 00:04:57 ภาพง่ายๆตามก็จะเป็นแบบนั้นนะคะซึ่งคุณ
00:04:57 → 00:04:59 อุปการเนี่ยจากการที่ทั้ง 3 ท่านเนี่ยเจอ
00:04:59 → 00:05:02 กระบวนการนี้ค่ะว่าร่างกายเราเนี่ยมี
00:05:02 → 00:05:04 กระบวนการในการแยกสิ่งแปลกปลอมออกจาก
00:05:04 → 00:05:07 เซลล์ของตัวเองอย่างไรเนี่ยมันเป็นตัวที่
00:05:07 → 00:05:10 เค้าเรียกว่าช่วยส่องแสงค่ะทำให้มันมีงาน
00:05:10 → 00:05:12 วิจัยอย่างอื่นเพิ่มเติมขึ้นมาซึ่งน่าจะ
00:05:12 → 00:05:15 ช่วยทำให้เราเนี่ยหาทางรักษาคนที่เป็น
00:05:15 → 00:05:17 กลุ่มโรคภูมิแพ้ตัวเองได้ช่วยให้เข้าใจ
00:05:17 → 00:05:19 การทำงานของภูมิคุ้มกันมากขึ้นก็อาจจะส่ง
00:05:19 → 00:05:22 ผลต่อในเรื่องของการรักษาพวกมะเร็งได้ใน
00:05:22 → 00:05:24 ปัจจุบันเนี่ยก็มีงานวิจัยค่ะที่พยายามจะ
00:05:24 → 00:05:27 ศึกษาเรื่องของกลไกการรักษาเรื่องภูมิแพ้
00:05:27 → 00:05:29 ตัวเองเนี่ยผ่านกระบวนการที่เราเรียกว่า
00:05:29 → 00:05:31 peripheral immotolerance เนี่ยมากกว่า
00:05:31 → 00:05:34 200 งานวิจัยเลยทีเดียวในเรื่องราวดีๆ
00:05:34 → 00:05:36 อันนี้นะคะฟาว่าเป็นเรื่องดีมากๆว่าดูสิ
00:05:36 → 00:05:39 ขนาดเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่คนละฝั่งโลก
00:05:39 → 00:05:41 กันเลยเนาะแต่ว่าสามารถเค้าเรียกว่า
00:05:41 → 00:05:43 contribute ค่ะสร้างงานวิจัยดีๆได้มันก็
00:05:43 → 00:05:45 เป็นตัวอย่างว่าเวลาเราทำงานวิจัยเนี่ย
00:05:45 → 00:05:47 ที่มีคุณภาพดีแล้วก็มีการเปิดเผยหรือว่า
00:05:47 → 00:05:50 เผยแพร่มีการตีพิมพ์เนี่ยมันก็จะจุด
00:05:50 → 00:05:52 ประกายให้คนอีกฝั่งนึงซึ่งสนใจในเรื่อง
00:05:52 → 00:05:54 เดียวกันเนี่ยช่วยขยายผลต่อจนในที่สุด
00:05:54 → 00:05:56 เนี่ยเป็นเค้าเรียกว่าจุดประกายความหวัง
00:05:56 → 00:05:59 ทำให้แนวทางการรักษาทางการแพทย์อ่ะดีขึ้น
00:05:59 → 00:06:01 แล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชากรทุกคนนั่น
00:06:01 → 00:06:04 เองค่ะ