00:00:00 → 00:00:02 ความเชื่อของเราอ่ะมันทำให้เราเปลี่ยน
00:00:02 → 00:00:06 ร่างกายของเราได้แต่สิ่งที่ทำให้แบบไปได้
00:00:06 → 00:00:10 ไวกว่าคือNoซebไม่ได้มีตัวที่ทำให้เกิด
00:00:10 → 00:00:13 โรคแต่ความคิดทำให้เกิดโรคความคิดที่เกิด
00:00:13 → 00:00:16 ขึ้นซ้ำๆมีผลต่อร่างกายมีผลต่อชีวิตของ
00:00:16 → 00:00:19 เราด้วยตอนแรกเราป่วยแล้วมันหาสาเหตุไม่
00:00:19 → 00:00:22 ได้ก็เลยกลับมานั่งทำสมาธิกลับมาพักแล้ว
00:00:22 → 00:00:24 ก็กลับมาอยู่กับตัวเองแล้วจุดนั้นน่ะเป็น
00:00:24 → 00:00:27 จุดที่ทำให้เราอ่ะค่อยๆหายเขาเรียกว่า
00:00:27 → 00:00:30 เป็น plivo ออ่าสัมพันธ์กับจักระกระบวน
00:00:31 → 00:00:33 การmanสอ่ะไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นแบบ
00:00:34 → 00:00:37 1 วัน 2 วันมันเป็นรองเกมมันเป็นระยะยาว
00:00:37 → 00:00:39 เพราะว่า manifest มันไม่ใช่ความคิดแต่
00:00:39 → 00:00:42 คิดซ้ำๆอ่ะถึงลงมือทำลงมือทำซ้ำๆเป็น
00:00:42 → 00:00:44 นิสัยเพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เปลี่ยนนิสัยก็
00:00:44 → 00:00:47 ไม่สามารถได้รับในสิ่งนั้นได้ไม่มีทางลัด
00:00:47 → 00:00:50 เนาไม่มีทางลัดทางลัดคือทำไปเรื่อยๆทุกคน
00:00:50 → 00:00:52 ก็อยากได้แบบ Passive Income แต่ไม่ใช่
00:00:52 → 00:00:55 ทุกคนที่จะได้อยู่ที่ว่าเราลงมือทำจนเป็น
00:00:55 → 00:00:58 นิสัยความคิดที่เขากลัวร่างกายสามารถผิด
00:00:58 → 00:01:01 เพี้ยนไปได้หมดเลยตามความคิดของเขานี่มัน
00:01:01 → 00:01:03 เป็นร่างกายของเราเราเป็นคนที่อยู่กับตัว
00:01:03 → 00:01:06 เราตลอดเวลามันจะดีมยถ้าเรากลับมาบอกรัก
00:01:06 → 00:01:09 ร่างกายเอ้ยขอบคุณนะขอบคุณร่างกายความคิด
00:01:09 → 00:01:12 ที่มันส่งไปอ่ะมันส่งผลต่อเซลล์ในร่างกาย
00:01:12 → 00:01:16 การทำสิ่งเนี้ยไม่มีอะไรเสีย
00:01:16 → 00:01:22 หายเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:01:22 → 00:01:26 โรคสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ
00:01:26 → 00:01:28 เกลาแก้โรคค่ะวันนี้นะคะแพนด้าอยากจะพา
00:01:28 → 00:01:31 ทุกท่านมาดึงดูดสุขภาพดีๆไปด้วยกันค่ะแต่
00:01:31 → 00:01:33 ว่าจะดึงดูดยังไงให้ได้ผลเนี่ยต้องรบกวน
00:01:33 → 00:01:35 ปรึกษาคุณหมอท่านนี้แล้วล่ะค่ะวันนี้
00:01:35 → 00:01:37 แพนด้าอยู่กับคุณหมอฟ้าจากเพจหมอฟ้า
00:01:37 → 00:01:41 สมาธิศาสตร์ค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีค่ะ
00:01:41 → 00:01:44 น้องแพนด้าวันนี้ก็พลังงานดีๆมาเลยอ่า
00:01:44 → 00:01:47 เพราะว่าจริงๆอยากคุยในเรื่องของการที่
00:01:47 → 00:01:49 ยุคเนี้ยเราจะได้ยินเนาะอย่างปี 2024 ที่
00:01:49 → 00:01:52 ผ่านมาค่ะจะเป็นยุคของการ manifest อ่า
00:01:52 → 00:01:55 เราจะได้ยินเป็นคำประจำปีเลยเดี๋วันนี้
00:01:55 → 00:01:57 เราอยากจะคุยกันในเรื่องนี้ค่ะว่าเอ้ยเรา
00:01:57 → 00:02:01 จะสุขภาพดีได้มั้ยอ่าก่อนอื่นค่ะแพนด้า
00:02:01 → 00:02:04 อยากรู้ว่าแล้วอย่างเจ้าความคิดอ่ะค่ะ
00:02:04 → 00:02:07 ความคิดลบเนี่ยค่ะมันมีผลต่อการเจ็บไข้
00:02:07 → 00:02:10 ไม่สบายของเราได้มั้คะมีผลมากๆเลยพี่อยาก
00:02:10 → 00:02:13 จะเล่าเคสพี่แล้วกันจริงๆอ่ะค่ะช่องหมอ
00:02:13 → 00:02:16 ฟ้าสมาธิศาสตร์ไม่ได้เกิดจากการที่แบบโอ้
00:02:16 → 00:02:19 ชีวิตดีแล้วออกมาทำช่องไม่ใช่จุดเริ่มต้น
00:02:19 → 00:02:22 ของเขาเกิดมาจากการที่พี่ป่วยคือความคิด
00:02:22 → 00:02:25 ของพี่อ่ะทำให้พี่ป่วยตอนนั้นน่ะคือเราทำ
00:02:25 → 00:02:29 งานตลอดเวลา 9:00 น.เช้าถึง 20:00 น.ทำ
00:02:29 → 00:02:32 งานทุกวันอาทิตย์ละ 6 วัน 7 วันตลอดและที
00:02:32 → 00:02:34 เนี้ยมันถึงจุดที่พี่อย่าเบิร์น out ตอน
00:02:34 → 00:02:36 แรกก็แค่เบิร์น out รู้สึกแบบไม่อยากไปทำ
00:02:36 → 00:02:39 งานอะไรเงี้ยสักพักเริ่มนอนไม่ได้เริ่มมี
00:02:39 → 00:02:43 ภาวะซึมเศร้าจนสุดท้ายอ่ะพี่ไปเป็นโรคที่
00:02:43 → 00:02:45 แบบหาสาเหตุไม่ได้อ่ะเออคือหมอไม่สามารถ
00:02:45 → 00:02:48 วินิจฉัยได้ว่าเราเป็นอะไรเพราะว่าตอน
00:02:48 → 00:02:51 นั้นน่ะค่ะพี่แบบไม่ชอบชีวิตตัวเองเลยรู้
00:02:51 → 00:02:54 สึกไม่ดีไอ้ความคิดนั้นของพี่อ่ะมันทำลาย
00:02:54 → 00:02:56 พี่หรือว่าสร้างโลกให้พี่ทั้งๆที่มันไม่
00:02:56 → 00:02:58 สามารถวินิจฉัยได้แต่ถ้าเกิดว่าในเชิงของ
00:02:58 → 00:03:00 วิทยาศาสตร์อ่ะเขาจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น
00:03:00 → 00:03:04 noซbroคือ no คือไม่มีไม่ได้มีตัวที่ทำ
00:03:04 → 00:03:06 ให้เกิดโรคแต่ความคิดทำให้เกิดโรคมีคุณ
00:03:07 → 00:03:10 ลุงคนนึงชื่อคุณตาแซมลอนแต่ว่าในหลายปีมา
00:03:10 → 00:03:12 แล้วนะคะคือคุณตาเนี่ยเขาไปหาหมอหมอบอก
00:03:12 → 00:03:16 ว่าเฮ้ยเนี่ยคุณตาเป็นแบบมะเร็งหลอดอาหาร
00:03:16 → 00:03:17 คุณตาหลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งหลอด
00:03:18 → 00:03:20 อาหารน่ะค่ะจากตอนแรกอ่ะก็แบบมีความสุขดี
00:03:20 → 00:03:23 ใช่ป่ะก็คือแบบดาวลงมาเรื่อยๆคุณตาคิดว่า
00:03:23 → 00:03:26 ตัวเองเป็นและคนในบ้านก็คิดว่าคุณตาเป็น
00:03:26 → 00:03:28 มะเร็งหลอนอาหารด้วยหลังจากนั้นอีกประมาณ
00:03:28 → 00:03:32 2-3 อาทิตย์อ่ะคุณตาเสียชีวิตลงพอคุณตา
00:03:32 → 00:03:34 เสียชีวิตลงไปใช่มั้คะเขาก็เลยเอาไป
00:03:34 → 00:03:37 ชันสูตรสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคุณตาไม่ได้
00:03:37 → 00:03:40 เป็นมะเร็งหนอนอาหารคือเขาเป็นแค่แบบจุด
00:03:40 → 00:03:42 ในปอดอ่ะค่ะซึ่งสิ่งที่ทำให้คนสงสัยก็คือ
00:03:42 → 00:03:45 ว่าสิ่งที่คุณตาเป็นน่ะมันไม่สามารถทำให้
00:03:45 → 00:03:49 คนนึงอ่ะเสียชีวิตได้แต่อะไรที่ทำให้คน
00:03:49 → 00:03:52 นึงเสียชีวิตสิ่งนั้นก็คือความเชื่อของ
00:03:52 → 00:03:55 คุณตาว่าเขาจะต้องแบบแน่เลยอะไรอย่าง
00:03:55 → 00:03:57 เงี้ยแล้วสิ่งแวดล้อมก็คือทุกคนคิดว่าคุณ
00:03:57 → 00:03:59 ตาแบบไม่รอดแน่เลยอ่ะค่ะเพราะฉะนั้นความ
00:03:59 → 00:04:01 คิดอ่ะมันไม่ใช่แค่ความคิดความคิดที่เกิด
00:04:01 → 00:04:05 ขึ้นซ้ำๆมีผลต่อร่างกายมีผลต่อชีวิตของ
00:04:05 → 00:04:07 เราเลยเมื่อกี้ที่พี่ฟ้าบอกคือเขาถูก
00:04:07 → 00:04:10 วินิจฉัยตอนแรกใช่เ้าวินิจฉัยตอนแรกว่า
00:04:10 → 00:04:12 เป็นแต่เหมือนแบบมีการผิดพลาดทางการ
00:04:12 → 00:04:15 วินิจฉัยอ่ะแล้วพอพอเขาแบบไปชนสูตรตอน
00:04:15 → 00:04:17 หลังอ่ะมันไม่ได้เป็นแบบนั้นคือเหมือนกับ
00:04:17 → 00:04:19 วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแต่ว่าอาจจะเป็นแค่
00:04:19 → 00:04:21 แบบเล็กๆอ่ะที่ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้
00:04:21 → 00:04:24 คนนึงอ่ะต้องเสียชีวิตลงอืค่ะเออแพนด้า
00:04:24 → 00:04:27 ถามแทนคนที่ฟังอยู่เพราะว่าต้องมีคนหลายๆ
00:04:28 → 00:04:30 คนแย้งขึ้นมาแน่ๆว่าอ้าวก็คุณหมอเป็นคน
00:04:30 → 00:04:32 บอกเราว่าเราป่วยนี่เราก็มีสิทธิ์ที่จะ
00:04:32 → 00:04:34 เชื่อตามนั้นเพราะว่าคุณหมอเป็นคน
00:04:34 → 00:04:36 วินิจฉัยแล้วแล้วบอกว่าเราอ่ะป่วยใช่อ่า
00:04:36 → 00:04:39 คุณตาก็ไม่ผิดที่เชื่อมั้คะใช่อันเนี้ย
00:04:39 → 00:04:42 ไม่ผิดที่เชื่อแต่สิ่งเนี้ยมันบอกว่าความ
00:04:42 → 00:04:45 เชื่อของเราอ่ะมันทำให้เราเปลี่ยนร่างกาย
00:04:45 → 00:04:48 ของเราได้คือเขาอ่ะไม่ผิดที่เชื่อหมอ
00:04:48 → 00:04:50 อันเนี้ยใช่แต่ไอ้ตรงความเชื่อที่เขา
00:04:50 → 00:04:53 เชื่อกับตัวเองอ่ะมันทำให้เขาอ่ะอยู่หรือ
00:04:53 → 00:04:56 ไปได้ความเชื่อเขามีพลังมากขนาดแปลว่าถ้า
00:04:56 → 00:04:59 สมมุติเราไม่ได้เป็นอะไรเลยตอนนี้คือเรา
00:04:59 → 00:05:01 ตรวจสุขภาพมาแล้วเราก็เป็นคนที่มีร่างกาย
00:05:01 → 00:05:04 แข็งแรงคนนึงล่ะแต่ว่าเราอาจจะมีความวิตก
00:05:04 → 00:05:06 กังวลหรือว่าอย่างทุกวันนี้เห็นโรคมาก
00:05:06 → 00:05:10 ขึ้นออกไปเจอฝุ่นเจออะไรแล้วบางครั้ง
00:05:10 → 00:05:13 เนี่ยเรากังวลมากเกินกว่าความเป็นจริงใช่
00:05:13 → 00:05:17 ๆอ่าเราก็มีโอกาสที่จะป่วยใช่ใช่หรือลอง
00:05:17 → 00:05:21 นึกย้อนไปตอนโควิดจำได้มั้คะตอนโควิดอ่ะ
00:05:21 → 00:05:25 เชื้อส่วนนึงนะแต่สิ่งที่ทำให้แบบไปได้ไว
00:05:25 → 00:05:28 กว่าคือความกลัวเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่
00:05:28 → 00:05:30 เรากลัวค่ะมันจะทำให้ปุมต้านทานของมนุษย์
00:05:30 → 00:05:33 อ่ะต่ำลงพอต่ำลงปุ๊บอ่ะสิ่งที่แบบมันอาจ
00:05:33 → 00:05:36 จะเป็นอะไรเล็กๆอ่ะมันส่งผลต่อร่างกายเรา
00:05:36 → 00:05:38 มากกว่าเดิมเพราะฉะนั้นน่ะความกลัวเป็น
00:05:38 → 00:05:41 ตัวเหมือนแบบขยายโรคอ่ะอันนี้พี่ก็เลยใช้
00:05:41 → 00:05:45 ในการผ่านพ้นทุกซีรียส์ของโควิดมาทั้งๆ
00:05:45 → 00:05:47 ที่เราอ่ะทำงานเป็นหมอฟันแล้วเราแบบอยู่
00:05:47 → 00:05:51 กับปากคนแต่ว่าเราสามารถแบบเอออยู่กับเขา
00:05:51 → 00:05:53 ได้โดยที่ไม่กลัวแล้วเราก็แบบเออไม่ติด
00:05:53 → 00:05:56 โควิดจริงๆอือทั้งๆที่เราใกล้ชิดกับอาจจะ
00:05:56 → 00:05:59 มีโอกาสเป็นมากกว่าคนปกติด้วยใช่ใช่ค่ะขอ
00:05:59 → 00:06:01 แค่เราอยู่กับเขาได้อ่ะไม่ต้องกลัวหรือ
00:06:01 → 00:06:04 ว่าตื่นตระหนกอ่ะค่ะแล้วทีเนี้ยค่ะอยาก
00:06:04 → 00:06:07 ถามถึงคนสุขภาพดีบ้างว่าแพนด้าจะเคยเห็น
00:06:07 → 00:06:10 บางคนเนาะว่าเาเดินมาหรือว่าเราเจอเ้า
00:06:10 → 00:06:13 แล้วเรารู้สึกว่าเฮ้ยคนเนี้ยมีออร่าออ่า
00:06:13 → 00:06:15 ไอ้ออร่าที่เกิดขึ้นเนี่ยมันคืออะไรแล้ว
00:06:15 → 00:06:17 ออร่าเนี่ยจำเป็นมั้ที่จะต้องเกิดขึ้นกับ
00:06:17 → 00:06:20 คนสุขภาพดีเท่านั้นจริงๆแล้วอ่ะไอ้คำว่า
00:06:20 → 00:06:24 ออร่ามักจะพูดในเชิงของจิตวิญญาณเออว่า
00:06:24 → 00:06:27 อันเนี้ยแบบออร่าดีหรือว่าคนนี้ดูแบบพลัง
00:06:27 → 00:06:31 งานดีจริงๆแล้วอ่ะค่ะออร่าสัมพันธ์กับ
00:06:31 → 00:06:34 จักระจักระคือไม่ไม่ได้มีในร่างกายมนุษย์
00:06:34 → 00:06:37 นะเ้าเหมือนเป็นศูนย์ของพลังงานแต่มัน
00:06:37 → 00:06:39 เชื่อมโยงกับร่างกายมนุษย์คือเป็นระบบ
00:06:39 → 00:06:41 ฮอร์โมนถ้าเกิดว่าใครแบบได้ศึกษาเรื่อง
00:06:41 → 00:06:44 เนี้ยเขาจะบอกว่าจักรกะมันเป็น 7 จักรกะ
00:06:44 → 00:06:46 แต่จริงๆมีมากกว่านั้นนะคะแต่ศูนย์จักรกะ
00:06:46 → 00:06:49 มี 7 จักรกะแต่จุดสำคัญก็คือว่าแต่ละที่
00:06:49 → 00:06:52 สัมพันธ์กับต่อมที่สร้างฮอร์โมนของแต่ละ
00:06:52 → 00:06:55 ร่างกายเช่นจักที่ 2 จะเกี่ยวข้องกับระบบ
00:06:55 → 00:06:57 สืบพันธุ์จักกะที่ 3 เกี่ยวข้องกับช่อง
00:06:57 → 00:07:00 ท้องอย่างเงี้ยค่ะหรือว่าจักกัดที่ 4
00:07:00 → 00:07:02 เกี่ยวข้องกับหัวใจจักกะที่ 5 คือเนี่ย
00:07:02 → 00:07:04 ไทรรอยด์ก็จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
00:07:04 → 00:07:07 ไทรรอยด์จักที่ 6 อ่ะคือไเนียลแกนส่วน
00:07:07 → 00:07:09 จักกะที่ 7 คือพิทูอิตาลีแกนเพราะฉะนั้น
00:07:09 → 00:07:12 พวกเนี้ยถ้าเกิดว่าออร่าดีนั่นหมายความ
00:07:12 → 00:07:16 ว่าฮอร์โมนของเราอ่ะสมดุลถ้าเราสุขภาพดี
00:07:16 → 00:07:19 กินอิ่มนอนหลับมีความสุขฮอร์โมนเราสมดุล
00:07:19 → 00:07:22 ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นประจำเดือนปกติก่อน
00:07:22 → 00:07:24 เป็นประจำเดือนไม่ได้เหวี่ยงไม่ได้วีนเรา
00:07:24 → 00:07:27 สามารถกินได้นอนได้แสดงว่าเราอยู่ในความ
00:07:27 → 00:07:30 สมดุลถ้าอยู่ในความสมดุลฮอร์โมนก็สมดุล
00:07:30 → 00:07:33 เพราะฉะนั้นฮอร์โมนที่สมดุลออล่าก็สมดุล
00:07:33 → 00:07:35 ไปด้วยสังเกตมยอย่างเช่นอย่างผู้หญิงอ่ะ
00:07:35 → 00:07:37 ค่ะจะเห็นชัดถ้าเกิดบางคนแบบประจำเดือน
00:07:37 → 00:07:40 ไม่มาประเจิมเดือนมาไม่ปกติผิวเราก็จะไม่
00:07:40 → 00:07:42 ค่อยดีเคยเป็นมั้ยหรือว่าก่อนประจำเดือน
00:07:42 → 00:07:45 มาเราจะแบบเป็นสิวเพราะว่าฮอร์โมนมัน
00:07:45 → 00:07:48 เกี่ยวข้องกับออร่าของเราคือออร่าคือ
00:07:48 → 00:07:51 เรื่องของสมดุลฮอร์โมนมากกว่าอือืก็
00:07:51 → 00:07:53 เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเพราะว่าใช่
00:07:53 → 00:07:56 ฮอร์โมนก็มีส่วนทำให้ร่างกายเราแข็งแรง
00:07:56 → 00:07:59 หรือไม่แข็งแรงด้วยการทำงานโมากมากๆเลย
00:07:59 → 00:08:02 ค่ะฮอร์โมนนี่คือเขาเป็นสารเคมีที่วิ่ง
00:08:02 → 00:08:05 อยู่ในร่างกายเราแต่ว่าถ้าเกิดว่าชัดอ่ะ
00:08:05 → 00:08:07 จะเห็นในผู้หญิงเพราะผู้หญิงอ่ะฮอร์โมนจะ
00:08:07 → 00:08:09 มีผลเยอะเพราะว่าเรามีรอบเดือนเรามีประจำ
00:08:09 → 00:08:12 เดือนใช่มั้อืเราสังเกตถ้าเกิดว่าแบบทำไม
00:08:12 → 00:08:15 ก่อนเป็นประจำเดือนทำไมเราถึงหงุดหงิดมาก
00:08:15 → 00:08:17 แม้แต่สิ่งเล็กๆที่เราเรียกว่าแบบมันอาจ
00:08:17 → 00:08:19 จะดูไม่มีอะไรอ่ะแต่ทำไมผู้หญิงบางคนถึง
00:08:19 → 00:08:22 แบบโอปวดท้องขนาดนั้นน่ะเพราะว่าฮอร์โมน
00:08:22 → 00:08:23 มันไม่สมดุลอ่ะฮอร์โมนอาจจะเป็นเรื่อง
00:08:23 → 00:08:27 เล็กๆแต่ว่ามันส่งผลกับชีวิตเราแบบเยอะอื
00:08:27 → 00:08:30 ค่ะฮอร์โมนก็ถ้าในเชิงวิทยาศาสตร์ก็คือ
00:08:30 → 00:08:32 มันคือเรื่องของออร่าคือจักรกะอใช่
00:08:32 → 00:08:35 ฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับจักรกะจักรกะจริงๆ
00:08:35 → 00:08:37 เป็นศูนย์พลังงานที่ไม่ได้มีในร่างกายแต่
00:08:37 → 00:08:39 เกี่ยวข้องกับอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนนั้นๆ
00:08:39 → 00:08:42 เพราะฉะนั้นถ้าจักกะสมดุลฮอร์โมนก็สมดุล
00:08:42 → 00:08:45 คนก็ร่างกายแข็งแรงไปด้วยอออค่ะใครที่
00:08:45 → 00:08:47 อยู่สาย spirititual เนี่ยอาจจะเคยได้ยิน
00:08:47 → 00:08:49 เรื่องของออ่าเรื่องของจักระจริงๆก็คือ
00:08:49 → 00:08:51 มันก็เกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกายเนาะ
00:08:51 → 00:08:53 อย่างที่คุณหมอบอกไปเลยว่าบางครั้งแล้ว
00:08:53 → 00:08:57 การที่เรามาดูแลร่างกายก็จะทำให้ออร่า
00:08:57 → 00:09:00 หรือจักรกะเราดีขึ้นใช่อือจริงๆก็บน
00:09:00 → 00:09:03 เรื่องเดียวกันเรื่องเดียวกันพี่ไม่ได้
00:09:03 → 00:09:05 มองว่าแบบเอ้ย spiritual คือเรื่องนอกตัว
00:09:05 → 00:09:08 จริงๆแล้วอ่ะคือเรื่องร่างกายเราถ้าเราดู
00:09:08 → 00:09:11 แลร่างกายเราดีพลังงานเราดีออร่าเราก็ดี
00:09:11 → 00:09:14 ตามไปด้วยสมมุติว่าร่างกายเราดีอ่ะค่ะเรา
00:09:14 → 00:09:16 ก็จะรู้สึกดีกับตัวเองเวลาคนที่เข้ามาแบบ
00:09:16 → 00:09:18 ใกล้ชิดกับเราเขาก็จะสัมผัสได้ถึงพลังงาน
00:09:18 → 00:09:22 ดีๆจากเราอ่ะเอออืเราจะเคยได้ยินคำว่าคิด
00:09:22 → 00:09:25 แบบไหนก็ได้แบบนั้นแล้วมันเป็นอย่างนั้น
00:09:25 → 00:09:29 จริงๆมั้คะออันเนี้ยสำคัญถ้าคิดแล้วไม่
00:09:29 → 00:09:31 ได้คิดซ้ำๆอ่ะไม่ได้เป็นแต่สิ่งที่เรา
00:09:31 → 00:09:34 เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เราคิดซ้ำๆนำมาสู่
00:09:34 → 00:09:38 รู้สึกซ้ำๆรู้สึกแล้วทำให้เกิดการลงมือทำ
00:09:38 → 00:09:41 ลงมือทำแล้วกลายเป็นนิสัยจริงๆอ่ะคิดแล้ว
00:09:41 → 00:09:44 เป็นแบบนั้นน่ะค่ะเกิดจากการที่คิดซ้ำๆจน
00:09:44 → 00:09:48 เป็นนิสัยของเราเออเราก็เลยได้สิ่งนั้น
00:09:48 → 00:09:50 อย่างคนที่แบบมีนิสัยชอบออกกำลังกายอ่ะ
00:09:50 → 00:09:54 เขาก็มีซิแพคเห็นป่ะคิดว่าอยากมีซแพคแต่
00:09:54 → 00:09:57 เกิดจากการคิดแล้วก็ทำซ้ำๆจนมีซิแพคเขา
00:09:57 → 00:10:01 เลยเป็นคนที่มีซกแพคอคิดแล้วเลยได้สิ่ง
00:10:01 → 00:10:04 นั้นเออเห็นมั้คะมันไม่ได้เกิดจากความคิด
00:10:04 → 00:10:07 อย่างเดียวแต่คิดซ้ำๆอ่ะมันนำมาสู่
00:10:07 → 00:10:10 โมเมนตัมโมเมนตัมที่ใหญ่ขึ้นที่นำมาสู่
00:10:10 → 00:10:13 การลงมือทำและกลายเป็นการเป็นของเราแล้ว
00:10:13 → 00:10:14 อย่างอย่างเมื่อกี้เนี่ยเป็นตัวอย่างของ
00:10:14 → 00:10:17 การที่ในด้านที่ดีเนาะคิดในเชิงที่อยาก
00:10:17 → 00:10:21 พัฒนาร่างกายมีซกแพคแล้วอย่างกรณีคนที่
00:10:21 → 00:10:25 คิดซ้ำๆในด้านที่ไม่ค่อยดีอ่ามันจะได้แบบ
00:10:25 → 00:10:28 นั้นคือจะได้แบบไหนคะออย่างเช่นถ้าเรา
00:10:28 → 00:10:31 กลัวหรือว่าวิตกกังวลซ้ำๆแบบเนี้ยค่ะสิ่ง
00:10:31 → 00:10:34 ที่เกิดขึ้นก็คือพอมันเป็นซ้ำๆอ่ะจะเป็น
00:10:34 → 00:10:36 คนที่ภูมิตกหรือว่าเป็นคนที่เป็นภูมิแพ้
00:10:36 → 00:10:40 ง่ายบางอย่างไม่ควรจะแพ้ก็แพ้แบบเนี้ยค่ะ
00:10:40 → 00:10:42 เพราะว่าเราอยู่กับความกลัวหรือว่าความ
00:10:42 → 00:10:45 คิดแบบนั้นซ้ำๆอ่ะเออก็จะเป็นอันนี้แบบ
00:10:45 → 00:10:48 อาจจะยกตัวอย่างน้องฟักก็ได้ค่ะเพราะว่า
00:10:48 → 00:10:50 แบบใกล้ตัวเนาะไม่กล้าไม่กล้าไปพูดเรื่อง
00:10:50 → 00:10:53 ของคนอื่นคือน้องฟ้าน่ะอันนี้ฟักขอเขามา
00:10:53 → 00:10:55 แล้วนะมีอยู่ช่วงนึงที่เขา้าแบบเครียดเออ
00:10:55 → 00:10:59 แล้วเขาคิดซ้ำๆอ่ะแล้วเชื่อไหมว่าเค้าอ่ะ
00:10:59 → 00:11:03 เป็นแบบทอนซินอักเสบเฉยๆช็อกเข้า ICU เลย
00:11:03 → 00:11:06 อ่ะคือสิ่งที่เป็นน่ะเขาแบบไม่ได้สอด
00:11:06 → 00:11:10 คล้องกับรอยโลกอ่ะค่ะเหมือนนิดนึงแต่ว่า
00:11:10 → 00:11:12 มันส่งผลเยอะเพราะว่าอยู่ในช่วงที่เขา
00:11:12 → 00:11:14 ภูมิตกเอออาจจะมีความกลัวความกังวลแล้ว
00:11:15 → 00:11:18 ภูมิมันตกอ่ะอืเออเราก็อาจจะเป็นนิดเดียว
00:11:18 → 00:11:20 หรือช่วงเนี้ยใครที่เป็นเยอะอย่างเช่น
00:11:20 → 00:11:22 เมื่อก่อนน่ะเป็นหวัด 3-4 วันหายและ
00:11:22 → 00:11:24 เดี๋ยวเนี้ยเป็นกันเป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์
00:11:24 → 00:11:27 เพราะว่าภูมิเราตกเรากลัวหรือว่าอยู่ใน
00:11:27 → 00:11:29 สิ่งแวดล้อมที่มีความกลัวค่ะมันก็เลยทำ
00:11:29 → 00:11:31 ให้สิ่งนั้นน่ะไม่หายสักทีหรือเป็นก็เป็น
00:11:31 → 00:11:34 หนักขึ้นอย่างเงี้ยโอแม้กระทั่งมันเสมอไป
00:11:34 → 00:11:36 มั้ยคะเช่นก็เป็นคนที่กลัวนะเพราะก็ไม่
00:11:36 → 00:11:39 ได้อยากป่วยใช่มั้ยคะเก็กลัวแต่ว่าพอเา
00:11:39 → 00:11:41 เป็นอย่างอย่างเป็นหวัดเาก็ดูแลตัวเองดี
00:11:41 → 00:11:44 ค่ะคือก็มีความกลัวอยู่นะแล้วก็ก็ดูแลตัว
00:11:44 → 00:11:46 เองกินยาคือทำทุกอย่างเลยเพื่อที่จะให้
00:11:46 → 00:11:48 หายอ่ะค่ะอือ่าในเมื่อเขาดูแลตัวเองดี
00:11:49 → 00:11:50 ขนาดนี้แล้วแต่มีความกลัวอยู่ด้วยเนี่ย
00:11:50 → 00:11:52 แปลว่าเขาจะหายช้าขึ้นหรอคะใช่จับด้วย
00:11:52 → 00:11:55 ความรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอ่ะเราทำด้วย
00:11:55 → 00:11:59 ความรักหรือว่าทำด้วยความกลัวเราแบบกินดี
00:11:59 → 00:12:01 เพราะเรากลัวเพราะว่าความกลัวนั้นน่ะมัน
00:12:01 → 00:12:04 ทำให้เราแบบภูมิต้านทานเราต่ำอือให้ทำแต่
00:12:04 → 00:12:07 ว่าทำด้วยความรักเป็นก็ยอมรับแล้วก็อาจ
00:12:07 → 00:12:09 ใช้เหมือนแบบกินยาแล้วก็บอกรักตัวเองไป
00:12:09 → 00:12:11 ด้วยอะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะว่าทุกคำที่
00:12:11 → 00:12:13 สื่อสารน่ะเซลล์เขาก็ได้ยินนะให้เช็คความ
00:12:13 → 00:12:16 รู้สึกว่าเราทำด้วยความรักหรือว่าทำด้วย
00:12:16 → 00:12:18 ความกลัวถ้าทำด้วยความกลัวมันก็จะหายช้า
00:12:18 → 00:12:21 อยู่ดีอือืค่ะก็คือเป็นอีกทางเลือกนึง
00:12:21 → 00:12:23 เอ่อเพราะว่าเวลาที่เราป่วยเนี่ยเราก็
00:12:23 → 00:12:26 ต้องดูแลตัวเองอยู่แล้วล่ะต้องกินยาอยู่
00:12:26 → 00:12:28 แล้วเนาะอย่างที่หมอฟ้าบอกก็คือเพิ่มอีก
00:12:28 → 00:12:31 นิดนึงก็คือใส่ความรู้สึกขอบคุณหรือว่า
00:12:31 → 00:12:33 รู้สึกดีรู้สึกแบบว่าอยากให้เขาหายอยาก
00:12:33 → 00:12:36 ให้ร่างกายเนี้ยกลับมาเป็นปกติ
00:12:36 → 00:12:38 แล้วก็เวลาที่เราป่วยเนี่ยค่ะเราไม่ควรจะ
00:12:38 → 00:12:41 โทษร่างกายที่ป่วยด้วยใช่มั้คะใช่เรา
00:12:41 → 00:12:42 เหมือนจะต้องเป็นคนที่แบบเหมือนเป็น
00:12:43 → 00:12:45 เพื่อนน่ะเออคือถ้าเรารู้สึกว่าคนนี้เป็น
00:12:45 → 00:12:47 เพื่อนน่ะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะอยู่
00:12:47 → 00:12:50 ข้างๆเใช่มั้ยในวันที่เค้าอ่อนแอเราก็คือ
00:12:50 → 00:12:52 โอเคเราก็กลับไปอยู่กับเขาว่าเออไม่เป็น
00:12:52 → 00:12:55 ไรถึงเวลาที่จะต้องพักก็ต้องพักร่างกาย
00:12:55 → 00:12:58 เนี่ยเขามีปัญญาของเขาคือเขาแบบเขาจะค่อย
00:12:58 → 00:13:01 ๆบอกเราว่าเราควรจะทำอะไรสังเกตมั้ยคะโรค
00:13:01 → 00:13:04 ไข้หวัดใหญ่อ่ะจริงๆแล้วอ่ะไม่ได้มียา
00:13:04 → 00:13:06 รักษาเพราะว่าไข้หวัดใหญ่เขาเกิดจากไวรัส
00:13:06 → 00:13:08 อย่างบางอันเนี่ยมาจากเชื้อแบคทีเรียเขา
00:13:09 → 00:13:11 จะมีแอนตี้บอติกที่เรากินยาเข้าไปแต่เวลา
00:13:11 → 00:13:13 เป็นไข้หวัดใหญ่อ่ะเราจะรู้สึกว่าอะไรเรา
00:13:13 → 00:13:16 อยากนอนน้องแพนด้าเคยเป็นไข้หวัดใหญ่มั้
00:13:16 → 00:13:19 คะน่าจะเคยค่ะจำไม่จับไม่ได้แล้วใช่มจริง
00:13:19 → 00:13:21 ๆไข้หวัดใหญ่อ่ะค่ะเขาไม่ได้มีตัวเชื้อ
00:13:21 → 00:13:24 โรคนะเอออย่างบางโรคอ่ะก็คือมันมีเชื้อ
00:13:24 → 00:13:27 แบคทีเรียเราก็จะกินยาปฏิชีวนะแต่ไข้วัด
00:13:27 → 00:13:29 ใหญ่อ่ะลองสังเกตค่ะเวลาที่เราเป็นไข้อ่ะ
00:13:29 → 00:13:32 เราจะอยากนอนเพราะว่าร่างกายอ่ะเขากำลัง
00:13:32 → 00:13:35 พาตัวเราอ่ะมาพักเพียงแต่ว่าเราอ่ะไม่รู้
00:13:35 → 00:13:38 ว่าเอ้ยมันต้องพักอ่ะเราเป็นนิดๆอ่ะเราก็
00:13:38 → 00:13:41 แบบอุ้ยฉันไหวเออฉันไหวแล้วก็ไปต่อมันก็
00:13:41 → 00:13:43 เลยเป็นเยอะเพราะเราไม่ได้กลับมาฟังเสียง
00:13:43 → 00:13:46 ร่างกายตัวเราเองถ้าเราฟังอ่ะเราก็รู้สึก
00:13:46 → 00:13:48 ว่าอ๋อแค่ง่วงเราก็นอนพอนอนไปสักพักอ่ะ
00:13:49 → 00:13:51 เราก็จะหายโดยที่เราไม่ต้องกินยาก็ได้อื
00:13:51 → 00:13:54 เอออ๋อจริงๆร่างกายก็ค่อนข้างมหัศจรรย์
00:13:54 → 00:13:56 เนาะเค่อนข้างจะมีกลไกในการที่จะรักษาตัว
00:13:56 → 00:14:00 เองใช่อ่าเพียงแต่เราก็ต้องฟังเสียงร่าง
00:14:00 → 00:14:03 กายของเราให้ใช่ใช่ค่ะเเป็นสิ่งที่
00:14:03 → 00:14:06 มหัศจรรย์ที่สุดละเมีกลไกในการปกป้องแล้ว
00:14:06 → 00:14:09 ก็ดูแลตัวเองแต่เราอ่ะไม่ได้ยินแสดงว่า
00:14:09 → 00:14:12 เวลาที่เราป่วยเราจะแค่กินยาอย่างเดียว
00:14:12 → 00:14:14 แล้วไม่ไม่ให้เวลาในการพักผ่อนพักฟื้นเลย
00:14:14 → 00:14:17 อันนี้ก็อาจจะไม่ได้ทำให้หายอาจจะพูดยาก
00:14:17 → 00:14:20 ถ้าถามว่าหายมบางทีก็หายค่ะแต่เราอาจจะ
00:14:20 → 00:14:24 ใช้ยานานกว่าเดิมเราอาจจะใช้ยาโดสแบบมาก
00:14:24 → 00:14:27 กว่าเดิมพี่รู้สึกว่ายังไงอ่ะตัวเราอ่ะ
00:14:27 → 00:14:29 การที่เราค่อยๆกลับมารักษาร่างกายหรือว่า
00:14:29 → 00:14:32 กลับมาดูแลเขาอ่ะร่วมกับยาไปด้วยมัน
00:14:32 → 00:14:34 เหมือนร่วมด้วยช่วยกันน่ะทำให้มันง่ายใช่
00:14:34 → 00:14:38 ง่วงก็นอนใช่ง่วงก็นอนแล้วก็เหนื่อยก็พัก
00:14:38 → 00:14:41 ตามจังหวะของเราอะไรอย่างเงี้ยแล้วมันจะ
00:14:41 → 00:14:44 ไม่ได้เกิดอะไรใหญ่ๆอ่ะส่วนมากโลกที่เรา
00:14:44 → 00:14:46 รู้สึกว่าเป็นอะไรใหญ่ๆอ่ะมักจะมาจาก
00:14:46 → 00:14:49 เสียงเล็กๆแต่เราไม่ได้ยินอย่างที่ตอนแรก
00:14:49 → 00:14:51 ที่แพนด้าพูดถึงเนาะว่าเอ้ยเราจะสามารถ
00:14:51 → 00:14:54 ดึงดูดหรือ manifest สุขภาพดีได้ไหมก่อน
00:14:54 → 00:14:56 อื่นต้องถามคุณหมอก่อนค่ะว่าการ manifest
00:14:56 → 00:14:58 เนี่ยคืออะไร manifest อ่ะคือการเปลี่ยน
00:14:59 → 00:15:01 ความคิดให้กลายเป็นความจริงก็คือเหมือน
00:15:01 → 00:15:03 เปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในหัวเราอ่ะให้กลาย
00:15:03 → 00:15:04 เป็นความจริงไม่ว่าเฮ้ยฉันอยากมีสุขภาพ
00:15:05 → 00:15:07 ที่ดีกว่านี้ฉันอยากมีเงินมากกว่านี้อะไร
00:15:07 → 00:15:08 อย่างเงี้ยค่ะแล้วเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เรา
00:15:08 → 00:15:11 แบบจับต้องได้เห็นในโลกที่เราเป็นจริงอัน
00:15:11 → 00:15:14 นั้นคือ manifest ใช่แต่ว่ากระบวนการของ
00:15:14 → 00:15:17 การ manifest พูดคร่าวๆมันก็คือการขอ
00:15:17 → 00:15:19 เชื่อแล้วก็รับที่เขาพูดกันใช่มั้ยคะการ
00:15:20 → 00:15:22 ขอก็คือเราต้องส่งออกไปก่อนหรือว่าเรา
00:15:22 → 00:15:25 เห็นภาพว่าเราอ่ะจะเอาอะไรเราเห็นภาพตัว
00:15:25 → 00:15:27 เองเป็นแบบไหนเช่นเราเห็นภาพตัวเองเป็นคน
00:15:27 → 00:15:30 ที่มีซิแพคอันนี้คือเราส่งออกไปละเชื่อ
00:15:30 → 00:15:32 คือการลงมือทำพอเราเห็นเสร็จปุ๊ว่าเออฉัน
00:15:33 → 00:15:36 แบบมีหุ่นแบบนี้นะฉันมีสุขภาพดีแบบนี้ฉัน
00:15:36 → 00:15:38 ก็ลงมือปรับเปลี่ยนนี่คือความเชื่อค่ะ
00:15:38 → 00:15:41 ความเชื่อไม่ใช่แบบเชื่อๆแต่เชื่อที่แท้
00:15:41 → 00:15:44 จริงอ่ะคือเราลงมือทำอ่ะฉันลงไปฟิตเนสฉัน
00:15:44 → 00:15:46 กินอาหารที่ดีขึ้นฉันกินโปรตีนกินให้ถึง
00:15:46 → 00:15:49 มันก็เลยสอดคล้องไค่ะขอก็คือเห็นภาพและ
00:15:49 → 00:15:51 เชื่อเราลงมือทำแล้วเราก็ได้รับเราทำแบบ
00:15:51 → 00:15:54 ไหนเราก็ได้รับแบบนั้นเอออืค่ะเพราะว่า
00:15:54 → 00:15:56 ขั้นตอนของความเชื่อเนี่ยถ้าจะให้เชื่อ
00:15:56 → 00:15:59 จริงๆมันต้องมีหลักฐานถูกมั้ยคะออืใช่เรา
00:15:59 → 00:16:01 ไม่ได้เชื่อจากการแบบโอ๊ยนั่งสมาธิเรา
00:16:01 → 00:16:05 เชื่อแต่มันเชื่อจากการที่เราลืมตาลงมือ
00:16:05 → 00:16:08 ทำให้สอดคล้องเราถึงจะเกิดความเชื่อขึ้น
00:16:08 → 00:16:11 มาค่ะแล้วการตั้งจิตอธิษฐานอย่างเงี้ยค่ะ
00:16:11 → 00:16:13 ถือเป็นการ manifest มั้คะการตั้งจิตอ่ะ
00:16:13 → 00:16:16 มันคือการส่งแรงปรารถนาหนาเออมันคือส่วน
00:16:16 → 00:16:19 หนึ่งของการ manifest แต่ถ้าเราส่งอย่าง
00:16:19 → 00:16:21 เดียวฉันจะเอาซpคอย่างเดียวแต่เราไม่ได้
00:16:21 → 00:16:24 ลงมือทำอ่ะมันก็ไม่สามารถเกิดในสิ่งที่
00:16:24 → 00:16:26 เราจับต้องได้เพราะฉะนั้นน่ะการตั้ง
00:16:26 → 00:16:29 จิตฐานเป็นส่วนหนึ่งแค่แบบส่วนเล็กๆอ่ะ
00:16:29 → 00:16:31 ค่ะเออแต่ไม่ใช่ทั้งหมดของการ manifest
00:16:31 → 00:16:35 manifest ไม่ได้ลงมือทำก็ไม่มีทางเกิด
00:16:35 → 00:16:37 เหมือนเรานึกภาพอยากได้ซิแพคอ่ะแต่เราไม่
00:16:37 → 00:16:39 ได้ปรับอะไรเลยอ่ะเราก็ยังเหมือนเดิมจริง
00:16:39 → 00:16:42 ๆการตั้งจิตอธิษฐานนี่ก็ต้องลงมือทำอย่าง
00:16:42 → 00:16:45 ที่บอกเพราะบางทีขออย่างเดียวมันก็ไม่ได้
00:16:45 → 00:16:47 อมันก็จะไปโทษเป็นภาระของสิ่ง
00:16:47 → 00:16:49 ศักดิ์สิทธิ์อีกใช่แต่ว่ามันจะดีตรงที่
00:16:50 → 00:16:52 ว่าเวลาที่เราตั้งจิตอธิษฐานน่ะหรือว่าขอ
00:16:52 → 00:16:54 อ่ะมันเป็นกระบวนการโฟกัสค่ะอย่างเช่นแบบ
00:16:54 → 00:16:57 มันเกิดการโฟกัสว่าฉันจะเอาซิแพคอันเนี้ย
00:16:57 → 00:16:59 เพราะฉะนั้นฉันจะได้ทำทุกอย่างเพื่อให้
00:16:59 → 00:17:02 สอดคล้องกับซกแพคอันนี้จะเอาหุ่นแบบนี้ก็
00:17:02 → 00:17:04 ต้องออกกำลังกายแบบนี้จะเอาหุ่นอีกแบบนึง
00:17:04 → 00:17:06 ก็ออกกำลังกายแบบนึงเพราะฉะนั้นน่ะมันคือ
00:17:06 → 00:17:09 การโฟกัสว่าจะเอาอะไรเฉยๆแต่ว่าโฟกัส
00:17:09 → 00:17:10 อย่างเดียวอ่ะแต่เราไม่ได้ทำอ่ะมันไม่
00:17:10 → 00:17:12 สามารถให้สิ่งนั้นน่ะมันเกิดขึ้นในแบบ
00:17:12 → 00:17:15 ชีวิตจริงของเราได้มีคำถามถามค่ะว่าแล้ว
00:17:15 → 00:17:18 อย่างเงี้ย manifest คือตัณหามั้ยคะถ้า
00:17:18 → 00:17:21 เกิดว่าตัณหาเท่ากับความอยากใช่มยอยากได้
00:17:21 → 00:17:23 ก็คือเราส่งไปจริงๆแล้วอ่ะค่ะ Manifest
00:17:24 → 00:17:27 อ่ะคือกฎแห่งธรรมชาติเราอ่ะไม่ได้ในสิ่ง
00:17:27 → 00:17:30 ที่เราอยากเราได้ในสิ่งที่เราควรพี่ยกตัว
00:17:30 → 00:17:32 อย่างง่ายๆอย่างวันเนี้ยเราอยากได้เงิน
00:17:32 → 00:17:35 ล้านเราส่งไปว่าเราอยากได้เงินล้านแต่ถ้า
00:17:35 → 00:17:38 เราเงินล้านเงินล้านเงินล้านแต่เราไม่ได้
00:17:38 → 00:17:41 กลับมาเปลี่ยน่ะเราอยู่คนละระดับกัน
00:17:41 → 00:17:43 manifest คือการจูนคลื่นหรือว่าเหมือน
00:17:43 → 00:17:45 เราจูนคลื่นวิทยุอยู่ให้อยู่ในร่องเดียว
00:17:45 → 00:17:47 กันแล้วเราได้รับในสิ่งนั้นสมมุติว่าเงิน
00:17:47 → 00:17:49 ล้านมันจูนคือ 100 อ่ะค่ะแต่เราอยากคือ
00:17:49 → 00:17:52 เราเป็นศูนย์น่ะเราไม่ได้นะคะการที่เราจะ
00:17:52 → 00:17:54 manifest ได้คือการที่เรากลับมาตัวเอง
00:17:54 → 00:17:57 ฉันทำอะไรได้ในตอนนี้แล้วลงมือทำให้มัน
00:17:57 → 00:17:59 สอดคล้องเพื่อไปจูนคลื่นเดียวกันให้มัน
00:17:59 → 00:18:01 ตรงเราถึงจะได้เพราะฉะนั้นสำหรับพี่
00:18:01 → 00:18:04 Manifest ไม่ได้เป็นความอยากอยากเป็นการ
00:18:04 → 00:18:06 ส่งแต่เราไม่ได้ในสิ่งที่อยากเราได้ใน
00:18:06 → 00:18:10 สิ่งที่เราคู่ควรที่จะได้รับเมื่อเราลง
00:18:10 → 00:18:12 มือทำสอดคล้องกับสิ่งนั้นเราถึงจะได้รับ
00:18:12 → 00:18:14 เพราะฉะนั้น Manifest ก็คือกดกฎธรรมชาติ
00:18:14 → 00:18:18 การเหตุและผลทำอะไรได้แบบนั้นอย่างเงี้ย
00:18:18 → 00:18:21 อืเรามาเพื่อสุขภาพที่ดีกันแล้วเนี่ยนะคะ
00:18:21 → 00:18:23 เราก็ต้องมาสร้างเหตุที่ดีกันด้วยค่ะด้วย
00:18:23 → 00:18:25 การดูแลร่างกายแล้วก็ดูแลผิวพรรณของเรา
00:18:25 → 00:18:28 ให้ดีนะคะหากใครที่มีปัญหาเรื่องมีเวลา
00:18:28 → 00:18:30 น้อยนะคะแล้วก็อยากหาสกินแคร์ที่มี
00:18:30 → 00:18:32 ประสิทธิภาพเนี่ยก็จะแนะนำเป็นสกินแคร์
00:18:32 → 00:18:35 ที่มีส่วนผสมของ PLA หรือว่า
00:18:35 → 00:18:38 Plaเจนและชะลอความเสื่อมของผิวค่ะ PLA
00:18:39 → 00:18:40 หรือว่า Penla เนี่ยเป็นส่วนผสมที่มีอยู่
00:18:40 → 00:18:43 ในสโคปaคล้ายๆโบท็อกค่ะแต่ว่าฮอตัวเนี่ย
00:18:43 → 00:18:46 สามารถทำให้เราใช้เพล่าได้ทุกวันเลยค่ะที
00:18:46 → 00:18:49 นี้สำหรับบางท่านที่อาจจะเคย manifest
00:18:49 → 00:18:51 หรือว่าเคยทำกระบวนการแบบนี้เนาะแล้วก็
00:18:51 → 00:18:53 เฮ้ยบางเรื่องเรา manifest สำเร็จกับบาง
00:18:53 → 00:18:56 เรื่องนะเช่นแบบว่าเราเป็นคนมีหน้าที่การ
00:18:56 → 00:18:58 งานที่โอเคละสำเร็จละแต่ทำไมกับอย่างอีก
00:18:58 → 00:19:00 บางเรื่องเช่นความสัมพันธ์ไม่สำเร็จสักที
00:19:00 → 00:19:02 นึงอ่ามันเป็นเพราะอะไรคะมันติดอยู่ที่
00:19:02 → 00:19:04 ขั้นตอนไหนหรือเปล่าส่วนมากที่เรา
00:19:04 → 00:19:06 manifest ได้มักจะเป็นเรื่องที่เราไม่
00:19:06 → 00:19:09 ค่อยคาดหวังเป็นเรื่องแบบเล็กๆลองสังเกต
00:19:09 → 00:19:12 นะคะว่าเรื่องที่เรา manifest ได้ที่เรา
00:19:12 → 00:19:15 สร้างได้มักจะเป็นเรื่องง่ายๆที่เราไม่
00:19:15 → 00:19:17 คาดหวังหรือว่าเรารู้สึกว่าเรื่องนี้เอา
00:19:17 → 00:19:19 อยู่แต่ว่าเรื่องที่เราแบบ manifest ไม่
00:19:19 → 00:19:21 ได้อ่ะมักจะเป็นเรื่องที่ใหญ่เป็นเรื่อง
00:19:21 → 00:19:24 ที่เราอยากเป็นเรื่องที่เราแบบต้องลงมือ
00:19:24 → 00:19:27 ทำมากอีกนิดนึงเกิน comfor zโซนน่าสนใจ
00:19:27 → 00:19:29 มากค่ะคือเรื่องที่เรามักจะ manifest
00:19:29 → 00:19:30 สำเร็จมันเป็นเรื่องที่เรามีความรู้สึก
00:19:30 → 00:19:33 ว่าเฮ้ยเรื่องเเราเอาอยู่เอาอยู่คือไม่
00:19:33 → 00:19:36 ได้รู้สึกกังวลอะไรกับตรงนั้นฉันจะผ่านไป
00:19:36 → 00:19:39 ได้ฉันจะทำได้แน่ๆคือการวางใจใช่มั้คะอ
00:19:39 → 00:19:42 ใช่หรือว่าเรื่องที่แบบได้ก็ได้ไม่ได้ก็
00:19:42 → 00:19:46 ไม่เป็น
00:19:46 → 00:19:50 มันก็ไม่เป็นอย่างเงี้ค่ะเราก็จะวางใจได้
00:19:50 → 00:19:53 ง่ายกว่าแต่ถ้าเกิดว่าถ้าไม่ได้เงินแสน
00:19:53 → 00:19:56 สิ้นเดือนเนี้ยไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านโอ้โห
00:19:56 → 00:19:59 มันมีความอยากมันต้องได้มันมีความเครียด
00:19:59 → 00:20:02 ตั้งแต่แรกแล้วอ่ะค่ะมันก็เลยทำให้เราอ่ะ
00:20:02 → 00:20:05 ได้ยากขึ้นมันมีแรงต้านเยอะอือืแต่มันก็
00:20:05 → 00:20:07 เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นใช่มั้ยคะไอ้
00:20:07 → 00:20:11 พลังงานพวกนี้หมายถึงเออแรงต้านต่างๆจริง
00:20:11 → 00:20:14 ๆมันก็ก็มีอยู่ตลอดนะลองไปกลับไปที่
00:20:14 → 00:20:16 เรื่องลดน้ำหนักก็ได้เราแบบลดน้ำหนักมา
00:20:16 → 00:20:18 ตั้งกี่ครั้งแล้วอ่ะการที่บอกว่าเราอ่ะจะ
00:20:18 → 00:20:20 ลดน้ำหนักได้มากกว่าเนี้ยแต่สุดท้ายพอเรา
00:20:20 → 00:20:23 ทำอ่ะเราก็กลับไปเหมือนเดิมหรือฉันจะตื่น
00:20:23 → 00:20:25 5:00 น.ฉันเขียน New Year Resolu ตอน
00:20:25 → 00:20:28 เช้าว่าฉันจะตื่น 5:00 น.มานั่งสมาธิอ่ะ
00:20:28 → 00:20:30 ค่ะเราทำไปประมาณ 1 เดือนน่ะสุดท้ายเรา
00:20:30 → 00:20:32 กลับไปเป็นเหมือนเดิมเพราะมันมีแรงต้าน
00:20:32 → 00:20:35 เออมันมีสิ่งที่ดึงเราสู่จุดเดิมอ่ะค่ะ
00:20:35 → 00:20:37 มันก็คือไอ้ตรงความเชื่อจำกัดตรงนี้นี่
00:20:37 → 00:20:40 แหละแล้วเราจะมีวิธียังไงในการที่จะลดแรง
00:20:40 → 00:20:42 ต้านตรงนั้นมั้คะเพื่อทำให้เราเนี่ย
00:20:42 → 00:20:44 manifest สำเร็จมากขึ้นน่ะสำหรับพี่นะลง
00:20:44 → 00:20:47 มือทำความเชื่อไม่ได้ถูกลบล้างด้วยการ
00:20:48 → 00:20:50 นั่งแล้วบอกว่าแบบรู้สึกดีแต่ความเชื่อ
00:20:50 → 00:20:53 ถูกลบล้างเมื่อเราลงมือทำค่ะในวันที่แบบ
00:20:53 → 00:20:57 อุ๊ยเราวางซิแพคไว้ไกลมากอ่ะแต่ความเชื่อ
00:20:57 → 00:20:59 นั้นน่ะมันจะแบบเฮ้ยฉันทำได้อ่ะเมื่อเรา
00:20:59 → 00:21:01 เริ่มลงมือทำเมื่อเราลงมือทำอาจจะเล็ก
00:21:01 → 00:21:04 น้อยแค่ไหนก็ตามอาจจะออกไปเดินเปลี่ยนการ
00:21:04 → 00:21:06 กินเล็กๆน้อยๆอ่ะมันจะทำให้แรงต้านตรง
00:21:06 → 00:21:09 เนี้ยมันน้อยลงความเชื่อไม่ได้ถูกกำจัด
00:21:09 → 00:21:12 หรือว่าทำให้น้อยลงผ่านการนั่งเฉยๆผ่าน
00:21:12 → 00:21:15 การเรียนไม่ใช่ต้องทำด้วยตัวเราเองเพราะ
00:21:15 → 00:21:18 ว่าการทำอ่ะก่อให้เกิดประสบการณ์แล้วตรง
00:21:18 → 00:21:21 นั้นถึงจะค่อยๆทลายความเชื่อลงไปค่ะอ่า
00:21:21 → 00:21:24 แล้วอย่างกรณีที่เราจะ manifest อะไรสัก
00:21:24 → 00:21:27 อย่างค่ะมันจะต้องเป็นสิ่งที่เรารู้ว่า
00:21:27 → 00:21:29 สิ่งเนี้ยเป็นไปได้ด้วยมั้คะคืออย่าง
00:21:29 → 00:21:32 สมมุตินะอยู่ๆวันนี้ manifest ว่าฉันจะ
00:21:33 → 00:21:36 เป็นเจ้าของ NASA อ่าอย่างเงี้ยอืแล้วก็
00:21:36 → 00:21:39 เราจะทำสำเร็จได้มั้อ่ะอจริงๆอ่ะมันได้
00:21:39 → 00:21:42 หมดเลยอ่ะไอ้ตรงที่เราส่งไปอ่ะได้หมดเลย
00:21:42 → 00:21:45 แต่คำถามคือตอนที่เราส่งไปความเชื่อที่
00:21:45 → 00:21:48 เรามีต่อสิ่งนั้นน่ะมันได้ไหมแล้วกระบวน
00:21:48 → 00:21:50 การ manifest อ่ะไม่ใช่กระบวนการที่เกิด
00:21:50 → 00:21:54 ขึ้นแบบ 1 วัน 2 วันมันเป็นรองเกมมันเป็น
00:21:54 → 00:21:56 ระยะยาวอ่ะค่ะเพราะฉะนฉะนั้นเราอาจจะแบบ
00:21:56 → 00:21:59 เอ้ยฉันจะไปทำงานนาซ่าเอ้ยเราทำได้นะหรือ
00:21:59 → 00:22:02 ว่าเราตั้งเป้าหมายได้นะแต่ประเด็นคือพูด
00:22:02 → 00:22:04 แล้วอ่ะเรารู้สึกเชื่อได้ไหมเพราะถ้าเรา
00:22:04 → 00:22:07 เชื่อปุ๊บอ่ะเดี๋ยวเราจะหาทางสักอย่างนึง
00:22:07 → 00:22:09 เพื่อไปถึงตรงนั้นน่ะอแปลว่าตั้งแต่
00:22:09 → 00:22:12 กระบวนการขอเนี่ยถ้าตรงที่ขอเราจะรู้อยู่
00:22:12 → 00:22:14 แล้วหรอว่าอันเนี้ยเราคิดว่ามันจะเป็นไป
00:22:14 → 00:22:16 ได้จริงหรือเปล่าใช่มั้คะอ่ากับบางอย่าง
00:22:17 → 00:22:19 อย่างเมื่อกี้ที่้ายกตัวอย่างคือมันดูสุด
00:22:19 → 00:22:22 ต่งไปเลยใช่มั้สุดมากเออพอย์ก็คือว่าแบบ
00:22:22 → 00:22:25 พอมันสุดต่งมากอเราก็เชื่อไม่ได้อ่ะพอเรา
00:22:25 → 00:22:28 เชื่อในตัวเองไม่ได้จริงๆไม่ผิดเลยนะคือ
00:22:28 → 00:22:30 ส่งได้ทุกอย่างแต่ว่าพอเราเชื่อไม่ได้
00:22:30 → 00:22:33 เนี่ยมันก็ไม่เกิดการลงมือทำที่สอดคล้อง
00:22:33 → 00:22:36 อ่ะงั้นมีแบบแซ่นิดนึงค่ะพี่รู้สึกว่า
00:22:36 → 00:22:38 จริงๆแล้วกระบวนการ manifest อ่ะเวลาที่
00:22:38 → 00:22:41 เราส่งอะไรไปอ่ะมักจะเป็นสิ่งที่เรายัง
00:22:41 → 00:22:43 ไม่เคยได้รับอ่าเช่นชีวิตที่มี passive
00:22:43 → 00:22:46 income ชีวิตที่มีอิสระมีร่างกายที่อุดม
00:22:46 → 00:22:49 สมบูรณ์เพราะฉะนั้นน่ะสิ่งที่เราส่งไปอ่ะ
00:22:49 → 00:22:52 มักจะออกจากคฟตโซนเรานิดนึงแต่อย่าให้ไกล
00:22:52 → 00:22:55 เกินกว่าเราไม่เชื่อสิ่งนั้นมันไม่ใช่
00:22:55 → 00:22:57 อยู่ใน comfort โซนแน่นอนถ้าเรายังทำงาน
00:22:57 → 00:22:59 ประจำเราคงไม่ manifest ทำงานประจำอ่ะ
00:22:59 → 00:23:01 เพราะเราได้รับมันแล้วไงเราเป็นสิ่งนั้น
00:23:01 → 00:23:03 ไปแล้วส่วนมากถ้าเรายังทำงานประจำเราก็
00:23:03 → 00:23:06 อยากที่จะมีชีวิตอิสระใช่มยให้ออกจาก
00:23:06 → 00:23:09 comfort zโซนแต่อย่าไกลเกินไปที่เราไม่
00:23:09 → 00:23:12 เชื่อว่าเราจะทำได้ค่อยๆขยับจากแบบโอเคทำ
00:23:12 → 00:23:15 งานประจำอาจจะขยายหรือว่าเริ่มทำธุรกิจ
00:23:15 → 00:23:17 อ่ะสเกล 1 ล้าน 10 ล้านให้เรารู้สึกว่า
00:23:17 → 00:23:20 เอ้ยเราค่อยๆไปแบบเนี้ยค่ะอืค่ะอ๋อจริงๆ
00:23:20 → 00:23:23 อย่างที่บอกเลยเนาะว่าไม่ว่าจะขอใหญ่แค่
00:23:23 → 00:23:26 ไหนไม่ได้แปลว่าจะไม่สำแต่มันมีกระบวนการ
00:23:26 → 00:23:29 ที่ว่าอาจจะต้องถอยมาให้มันเป็นสเต็ปไป
00:23:29 → 00:23:31 ก่อนเพื่อให้เข้าใกล้สิ่งนั้นไปเรื่อยๆอ
00:23:31 → 00:23:34 ใช่จริงๆคำว่าเข้าใกล้อ่ะคือมันเป็นการ
00:23:34 → 00:23:37 พัฒนาความเชื่อเราอ่ะเฉยๆอย่างเช่นถ้าเรา
00:23:37 → 00:23:41 ไม่เคยได้ 1 ล้านเลยอ่ะแล้วเราไป manifest
00:23:41 → 00:23:44 แบบ 100 ล้านอ่ะยากที่เราแบบจะเชื่อในวัน
00:23:44 → 00:23:46 ที่แบบเราเงินเดือน 15,000 กับ 100 ล้าน
00:23:46 → 00:23:48 น่ะมันแบบมันไกลมากอ่ะค่ะแต่ถ้าเรา
00:23:48 → 00:23:52 manifest ร้านแรกแล้วเราทำล้านแรกได้อ่ะ
00:23:52 → 00:23:54 เราเปลี่ยนจากมนุษย์เงินหมื่นเป็นมนุษย์
00:23:54 → 00:23:56 เงินล้านแล้วเพราะว่าเราเชื่อว่าเราทำได้
00:23:56 → 00:23:59 แล้วอ่ะล้านนึงไป 100 ล้านมันก็เลยเหมือน
00:23:59 → 00:24:02 ทำให้เราทำมันสั้นลงอ่ะค่ะพอยคือความ
00:24:02 → 00:24:05 เชื่อของเราตัวตนเรามันถูกขยายว่าฉันทำ
00:24:05 → 00:24:09 สิ่งนี้ได้แล้วอค่ะก็มีวิธีการในการที่จะ
00:24:09 → 00:24:12 ตั้งเป้าหมายหรือว่าการขอเหมือนกันเนาะ
00:24:12 → 00:24:15 เพราะว่าบางครั้งถ้าตั้งอะไรที่มันยังไม่
00:24:15 → 00:24:17 สมควรจะตั้งในตอนนี้มันอาจจะทำให้เราเข้า
00:24:17 → 00:24:20 ใจผิดว่าเราไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำ
00:24:20 → 00:24:23 สิ่งนั้นได้เมื่อก่อนน่ะคนจะถามพี่ว่า
00:24:23 → 00:24:25 เอ้ย manifest ต้องใช้กระบวนการอะไรจะ
00:24:26 → 00:24:29 ต้องมีขั้นตอนอะไรบ้างอะไรเงี้ยแต่จริงๆ
00:24:29 → 00:24:32 แล้วอ่ะ manifest คือการเป็นการเป็นคือ
00:24:32 → 00:24:35 นิสัยเมื่อไหร่ก็ตามอ่ะค่ะสมมุติว่าเรา
00:24:35 → 00:24:38 ส่งไปว่าเราเป็นคนสุขภาพดีแต่เราจะได้รับ
00:24:38 → 00:24:41 สิ่งนั้นเมื่อเราลงมือทำใช่ป่ะจนเราเป็น
00:24:41 → 00:24:44 คนที่นิสัยสุขภาพดีคือเป็นคนกินผักเป็น
00:24:44 → 00:24:47 นิสัยเป็นคนแบบออกกำลังกายเป็นนิสัยอ่ะ
00:24:47 → 00:24:50 เราถึงได้รับสิ่งนั้นจริงๆแล้ว manifest
00:24:50 → 00:24:53 ไม่ใช่กระบวนการ manifest คือการพัฒนา
00:24:53 → 00:24:56 พัฒนาตัวเราอ่ะจนเราขยายการเป็นหรือว่า
00:24:56 → 00:24:58 เป็นนิสัยใหม่อ่ะแล้วเราจะได้รับสิ่งใหม่
00:24:58 → 00:25:00 โดยที่เราไม่ต้องใช้กระบวนการ manifest
00:25:00 → 00:25:04 เลยอืเราจะไม่กลับมาถามว่าขอแบบนี้ได้มย
00:25:04 → 00:25:07 เชื่อยังไงได้รับยังไงเราจะไม่มีกระบวน
00:25:07 → 00:25:09 การเลยเพราะว่ามันเป็นการเป็นของเราไป
00:25:09 → 00:25:12 แล้วคือ manifest เกี่ยวกับนิสัยว่าเรา
00:25:12 → 00:25:15 พัฒนาตัวเองพัฒนานิสัยเราเพื่อที่สมควรจะ
00:25:15 → 00:25:18 เป็นคนๆนั้นที่เราต้องการใช่ใช่หมายความ
00:25:18 → 00:25:20 ว่าจริงๆแล้วอ่ะคะมันก็เป็นสิ่งที่ต้อง
00:25:21 → 00:25:24 แลกเหมือนกันใช่มั้ยคะไม่ใช่ได้ฟรี
00:25:24 → 00:25:27 อือาจจะต้องถามว่าเราแลกกับอะไรมากกว่า
00:25:27 → 00:25:29 เพราะว่าสุดท้ายแล้วอ่ะสิ่งที่เรา
00:25:29 → 00:25:32 manifest ก็เป็นชีวิตที่เราต้องการอยู่
00:25:32 → 00:25:34 แล้วเราคงไม่ได้ manifest ในเชิงลบแต่
00:25:34 → 00:25:36 ส่วนใหญ่อ่ะเราจะ manifest อัตโนมัติเรา
00:25:36 → 00:25:38 จะได้ผลลบเพราะว่าสิ่งแวดล้อมหรือว่าสิ่ง
00:25:38 → 00:25:41 ที่เราอยู่อ่ะมันทำให้เรา manifest
00:25:41 → 00:25:43 อัตโนมัติจริงๆแล้วมนุษย์ทุกคน manifest
00:25:44 → 00:25:47 ตลอดเวลาอืเพียงแต่สิ่งที่เราได้รับเป็น
00:25:47 → 00:25:51 สิ่งที่เราไม่ได้เลือกเช่นเราออกไปแบบดู
00:25:51 → 00:25:53 ข่าวเราก็จะเจออะไรที่เพื่อนเป็นโซนลบ
00:25:53 → 00:25:56 หรือว่าเขาอาชญากรรมมันเลยทำให้เราอ่ะ
00:25:56 → 00:25:58 อยู่ในโซนลบเออให้รู้ไว้ว่าตอนเนี้ยเรา
00:25:58 → 00:26:01 กำลัง manifest อยู่เพียงแต่ว่าสิ่งนั้น
00:26:01 → 00:26:03 เราไม่ได้เลือกแต่เวลาที่เราแบบตั้งจิต
00:26:04 → 00:26:05 แล้วเรา manifest อ่ะเป็นชีวิตที่เรา
00:26:05 → 00:26:07 เลือกแล้วอ่ะแล้วเราลงมือทำแบบนั้นมันก็
00:26:07 → 00:26:12 เลยเป็นจุดโฟกัสอืนั่นหมายความว่าถ้า
00:26:12 → 00:26:16 สมมุติเรื่องของการมีสุขภาพดีเรา manifest
00:26:16 → 00:26:18 เนี่ยดึงดูดเลยเราอยากเป็นคนที่มีสุขภาพ
00:26:18 → 00:26:20 ดีแต่เราไม่ได้เปลี่ยนนิสัยไม่ได้เปลี่ยน
00:26:20 → 00:26:23 พฤติกรรมตัวเองระหว่างนี้ให้เป็นคนที่สม
00:26:23 → 00:26:27 ควรจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีนั่นหมายความว่า
00:26:27 → 00:26:29 เราก็คงไปไม่ถึงสิ่งที่เราต้องการนั่นเอง
00:26:29 → 00:26:31 ไม่มีทางใช่เพราะว่า manifest มันไม่ใช่
00:26:31 → 00:26:34 ความคิดอ่ะค่ะแต่คิดซ้ำๆอ่ะถึงลงมือทำลง
00:26:34 → 00:26:37 มือทำซ้ำๆเป็นนิสัยเพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้
00:26:37 → 00:26:40 เปลี่ยนนิสัยก็ไม่สามารถได้รับในสิ่งนั้น
00:26:40 → 00:26:43 ได้ไม่มีทางลัดเนาะไม่มีทางลัดทางลัดคือ
00:26:43 → 00:26:46 ทำไปเรื่อยๆค่ะมันก็เลยกลับไปตอบคำถาม
00:26:46 → 00:26:48 เดิมที่ว่าจริงๆแล้วอ่ะ manifest ไม่ใช่
00:26:48 → 00:26:51 แบบตัณหาหมายถึงว่าไม่ใช่เป็นความอยาก
00:26:51 → 00:26:53 เพราะว่าเราไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากเราอาจ
00:26:53 → 00:26:55 จะอยากหุ่นดีทุกคนก็อยากได้แบบ passive
00:26:55 → 00:26:58 income แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้อยู่ที่
00:26:58 → 00:27:01 ว่าเราลงมือทำจนเป็นนิสัยเรามยเออนิสัย
00:27:01 → 00:27:04 ความรับผิดชอบนิสัยแบบล้มแล้วลุกขึ้นมา
00:27:04 → 00:27:06 ใหม่นิสัยอะไรพวกเนี้ยค่ะที่ทำให้เราไป
00:27:06 → 00:27:08 ได้รับสิ่งนั้นน่ะคล้ายๆกับอันนึงที่เขา
00:27:08 → 00:27:11 จะบอกว่าถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์ใหม่แต่เรา
00:27:11 → 00:27:13 ยังทำวิธีการเดิมเนี่ยไม่มีทางที่มันจะ
00:27:13 → 00:27:15 เกิดผลลัพธ์ใหม่ขึ้นได้ใช่จริงๆก็คือ
00:27:15 → 00:27:17 เรื่องเดียวกันเพราะว่าเป็นเรื่องแบบ
00:27:17 → 00:27:20 ธรรมชาติเออออยากถามว่าในระหว่างที่เรา
00:27:21 → 00:27:23 ตั้งเป้าหมายแล้วค่ะแล้วก็อาจจะมีการลง
00:27:23 → 00:27:26 มือทำอย่างเข้มข้นมีวินัยมากขึ้นหรือ
00:27:26 → 00:27:27 กำลังเปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนตัวเองเปลี่ยน
00:27:27 → 00:27:30 พฤติกรรมเนี่ยค่ะมันอาจจะมีความเครียด
00:27:30 → 00:27:33 เกิดขึ้นบ้างเพราะว่ามันต้องสู้กับนิสัย
00:27:33 → 00:27:36 เดิมๆเนาะอ่าอาจจะต้องมีคำการฝืนหรือหลาย
00:27:36 → 00:27:39 ๆอย่างค่ะอยากรู้ว่าระหว่างที่ทำไปแล้ว
00:27:39 → 00:27:41 เครียดกดดันตัวเองไปด้วยก็จะได้ผลลัพธ์
00:27:41 → 00:27:45 เหมือนกันมั้ยคะมันจะติดหลูเท่าที่พี่เจอ
00:27:45 → 00:27:48 นะถ้าเกิดว่าทำแล้วแบบทำไมฉันทำไม่ได้อ่ะ
00:27:48 → 00:27:51 มันทำให้เราไปต่อไม่ได้เพราะฉะนั้นนั้น
00:27:51 → 00:27:54 น่ะมันคือการทำรับรู้ว่าเออตอนนี้ไม่ได้
00:27:54 → 00:27:57 แล้วแบบไปต่ออ่ะเหมือนกลับมาคิลิ่งตัวเอง
00:27:57 → 00:27:59 แล้วก็แบบไปต่อเพราะฉะนั้นถ้าเกิดทำแล้ว
00:27:59 → 00:28:02 แบบเครียดทำด้วยความอยากทำไมฉันทำไม่ได้
00:28:02 → 00:28:04 ดีมากกว่าเนี้ยค่ะมันจะทำให้เราอยู่โซน
00:28:05 → 00:28:07 ล่างอ่ะอยู่ในอารมณ์ที่แบบเป็นเชิงลบอ่ะ
00:28:07 → 00:28:09 แล้วมันทำให้เราไปต่อไม่ได้นั่นหมายความ
00:28:10 → 00:28:12 ว่าระหว่างที่เรากำลังเปลี่ยนกำลังปรับ
00:28:12 → 00:28:14 เราก็ต้องมีการวางใจด้วยมั้คะโออันนี้
00:28:14 → 00:28:17 สำคัญมากจริงๆเป็นกระบวนการที่แบบคนแบบ
00:28:17 → 00:28:20 80-90% ติดเพราะว่ากระบวนการวางใจอ่ะ
00:28:20 → 00:28:22 เวลา Manifest อ่ะค่ะเรา manifest สิ่ง
00:28:22 → 00:28:24 ที่ยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะฉะนั้นน่ะสิ่งที่
00:28:24 → 00:28:26 คนติดคือความอยากแก้ด้วยการแบบรู้สึกวาง
00:28:26 → 00:28:30 ใจแต่เราจะวางใจไม่ได้นะคะถ้าเราอยู่เฉยๆ
00:28:30 → 00:28:32 เราจะวางใจได้เมื่อเราลงมือทำเท่านั้นมัน
00:28:32 → 00:28:35 ทำให้ระยะสั้นลงเพราะว่าพอลงมือทำปุ๊บอ่ะ
00:28:35 → 00:28:37 มันกลับมาเติมความเชื่อเราพอมาเติมความ
00:28:37 → 00:28:39 เชื่อมันทำให้ไอ้เส้นที่มันเคยแบบ 100
00:28:39 → 00:28:41 กก.ตัวอ่ะมันลดเหลือเหลือแบบ 80 อ่ะแล้ว
00:28:41 → 00:28:43 มันสั้นลงไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นการวางใจ
00:28:43 → 00:28:46 ไม่ได้เกิดจากการที่นั่งเฉยๆแล้วบอกตัว
00:28:46 → 00:28:49 เองว่าวางใจแต่เกิดจากการลืมตาไปใช้ชีวิต
00:28:49 → 00:28:53 แล้วก็ลงมือทำไปเรื่อยๆค่ะทำให้ความเชื่อ
00:28:53 → 00:28:56 แข็งแรงขึ้นการวางใจจะมากขึ้นอค่ะการวาง
00:28:56 → 00:28:57 ใจก็เหมือนกับที่เราคุยกันไปก่อนหน้านี้
00:28:57 → 00:29:00 ว่าบางเรื่องที่มัน manifest สำเร็จก็คือ
00:29:00 → 00:29:02 เพราะว่าเราคิดเราวางใจเราเชื่อว่าเราเอา
00:29:02 → 00:29:04 อยู่อ่าอันนี้ก็เช่นกันคือระหว่างกระบวน
00:29:04 → 00:29:06 การขั้นตอนที่เราจะไปถึงสิ่งที่เราตั้งใจ
00:29:06 → 00:29:09 เรากำลังเปลี่ยนหรืออะไรก็ตามขอให้เชื่อ
00:29:09 → 00:29:12 มั่นละกันว่าเออวันนึงเราจะไปถึงแหละใช่
00:29:12 → 00:29:15 อ่าอย่างตอนแรกค่ะที่เราคุยกันแล้วคุณหมอ
00:29:15 → 00:29:18 ฟ้าพูดถึงเรื่องของ noble คือคนที่ไม่ได้
00:29:18 → 00:29:20 ป่วยแต่ว่าคิดว่าป่วยก็เลยเกิดเอฟเฟคกับ
00:29:20 → 00:29:23 ร่างกายทีนี้อยากรู้ว่าแล้วมีคนไหนที่เขา
00:29:23 → 00:29:27 ป่วยจริงๆแล้วสามารถหายได้ด้วยการทำสมาธิ
00:29:27 → 00:29:30 หรือว่าสามารถหายได้ด้วยพลังใจบ้างมอ่ะ
00:29:30 → 00:29:33 ค่ะอืพี่เองนี่แหละเออคือตอนแรกเราป่วย
00:29:33 → 00:29:36 แล้วมันหาสาเหตุไม่ได้พอหาสาเหตุไม่ได้
00:29:36 → 00:29:38 เนี่ยหมอเขาก็เลยเหมือนแบบเออจะต้องพัก
00:29:38 → 00:29:41 นิดนึงและไอ้ช่วงนั้นน่ะด้วยความที่มัน
00:29:41 → 00:29:43 ไม่มีทางแก้ในโลกข้างนอกแล้วอ่ะคะพี่ก็
00:29:43 → 00:29:46 เลยกลับมานั่งทำสมาธิคือกลับมาอาจจะแบบ
00:29:46 → 00:29:48 ไม่ได้นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนนะคะแต่
00:29:48 → 00:29:51 กลับมาพักแล้วก็กลับมาอยู่กับตัวเองแล้ว
00:29:51 → 00:29:55 จุดนั้นน่ะเป็นจุดที่ทำให้เราอ่ะค่อยๆหาย
00:29:55 → 00:29:57 จากตอนแรกอ่ะเรานอนเองไม่ได้เริ่มกลับมา
00:29:57 → 00:30:01 นอนเองได้เออแล้วก็เริ่มลดยาวิตกกังวลไป
00:30:01 → 00:30:04 เรื่อยๆอ่ะค่ะแล้วแค่ระยะเวลาประมาณ 2-3
00:30:04 → 00:30:06 เดือนอะไรประมาณเนี้ยไอ้ตรงโรคที่เราแบบ
00:30:06 → 00:30:09 เป็นอยู่ตรงนั้นน่ะมันหายเองพี่เลยมี
00:30:09 → 00:30:11 inspiration ตรงนั้นน่ะเป็นจุดศึกษาว่า
00:30:11 → 00:30:13 เฮ้ยจริงๆแล้วความคิดของเราหรือว่าสิ่ง
00:30:13 → 00:30:15 ที่เรารู้สึกอ่ะมันไม่ใช่แค่ความรู้สึก
00:30:15 → 00:30:17 แล้วนะมันสามารถทำให้เราป่วยแล้วมันไม่มี
00:30:17 → 00:30:20 ขับวินิจฉัยได้และเป็นสิ่งที่ทำให้เราหาย
00:30:20 → 00:30:22 ได้ซึ่งอันเนี้ยพอเราไปศึกษาเขาเรียกว่า
00:30:22 → 00:30:25 เป็นplaซไอ้ตอนที่แบบความคิดทำให้เราป่วย
00:30:25 → 00:30:28 เขาเรียกว่าnoซiboแต่ความคิดทำให้เราหาย
00:30:28 → 00:30:31 เขาเรียกว่า passible เออ passible ก็คือ
00:30:31 → 00:30:33 มันเป็นการทดลองเหมือนเขาเรียกว่ายาหลอก
00:30:33 → 00:30:36 คือเหมือนแบ่งคนไข้ออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่ม
00:30:36 → 00:30:39 นึงอ่ะได้ยาจริงเช่นคนไข้เป็นเบาหวานแล้ว
00:30:39 → 00:30:41 ก็ให้ยาจริงๆค่ะแล้วก็วัดปริมาณน้ำตาล
00:30:41 → 00:30:45 ส่วนคือให้นางกินแป้งแต่ผลก็คือน้ำตาลรด
00:30:45 → 00:30:48 เหมือนกันอันนี้คือยาหลอกแป้งที่บอกนี่
00:30:48 → 00:30:51 คือไม่ใช่แบบว่ากินกินแป้งนะคะเป็นเม็ด
00:30:51 → 00:30:55 แป้งที่ทำเป็นเหมือนยาแล้วคนไข้อ่ะเข้าใจ
00:30:55 → 00:30:58 ว่าอันนี้คือยาแต่จริงๆไม่ใช่ยาเป็นแค่
00:30:58 → 00:31:02 เม็ดแป้งเฉยๆแต่สิ่งที่รักษาเขา้าอ่ะคือ
00:31:02 → 00:31:05 จิตใจหรือว่าความคิดของเขาเองมีเคสไหนอีก
00:31:05 → 00:31:08 มั้คะที่รักษาด้วยในในฐานะที่พี่เป็นหมอ
00:31:08 → 00:31:11 ฟันเนาะอาจจะแบบไม่ไม่ใช่เป็นเชิงรักษา
00:31:11 → 00:31:14 แต่ว่าเล่าแบบตลกๆแล้วกันค่ะส่วนมากเนี่ย
00:31:14 → 00:31:18 คนจะกลัวเวลามาหาหมอฟันมีความทรงจำอันเลว
00:31:18 → 00:31:20 ร้ายอะไรอย่างเงี้ยโดยเฉพาะพารทแบบผ่าฟัน
00:31:20 → 00:31:23 ครุดอ่ะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนไข้เดินมา
00:31:23 → 00:31:25 ด้วยความกลัวนะยาชาไม่เคยชาเลย
00:31:25 → 00:31:29 ประสบการณ์ตรงเลยคือยาชาปกติฉีดแล้วอ่ะ
00:31:29 → 00:31:33 ต้องชาเพราะว่ามันเป็นเฉพาะที่ไงคะมันไม่
00:31:33 → 00:31:36 ควรมีกลไกอื่นแล้วอ่ะแต่พี่เคยเจอแบบคน
00:31:36 → 00:31:39 ไข้ปวดแล้วแบบกลัวกลัวพอกลัวปุ๊บอ่ะเรา
00:31:39 → 00:31:42 ใส่ยาชาไปแบบ 3 หลอด 4 หลอดแล้วอ่ะคนไข้
00:31:43 → 00:31:45 ไม่ชาค่ะเพราะว่าความกลัวที่คนไข้สร้าง
00:31:45 → 00:31:48 ขึ้นความคิดที่เขากลัวมันทำให้ระบบการช้า
00:31:48 → 00:31:51 ไม่ช้าร่างกายสามารถผิดเพี้ยนไปได้หมดเลย
00:31:51 → 00:31:55 ตามความคิดของเขาออือืแหลกเหมือนกันนะเออ
00:31:55 → 00:31:59 ใช่โหทีนี้จริงๆอันนี้เป็นสิ่งที่เกิด
00:31:59 → 00:32:02 ขึ้นจริงๆเนาะที่เรามาพูดก็คือมีคนที่หาย
00:32:02 → 00:32:05 ได้ด้วยการทำสมาธิหรือหายได้ด้วยพลังใจ
00:32:05 → 00:32:08 แต่ว่าเราก็ไม่ได้หมายความว่าท่านที่
00:32:08 → 00:32:11 กำลังมีการรักษาอยู่จะหยุดการรักษาแล้วมา
00:32:11 → 00:32:14 ทำแบบนี้เลยอย่างี้ใช่มั้คะอ๋อใช่อันนี้
00:32:14 → 00:32:18 พี่แบบไม่สนับสนุนมากๆถ้ามีโรคอะไรอยู่
00:32:18 → 00:32:21 หรือว่าดูแลตัวเองยังไงไปหาหมอแบบไหนอ่ะ
00:32:21 → 00:32:24 ค่ะทำไปตามนั้นเพียงแต่ว่าที่เรามาคุยกัน
00:32:24 → 00:32:26 ในวันเนี้ยค่ะเพื่อเป็นจุดว่าอ๋อจริงๆ
00:32:26 → 00:32:29 แล้วเนี่ยความคิดเราเขาสามารถรักษาร่าง
00:32:29 → 00:32:32 กายเราได้เราช่วยคุณหมอเขาด้วยเออคือนี่
00:32:32 → 00:32:35 มันเป็นร่างกายของเราเราอาจจะไปเจอหมอแบบ
00:32:35 → 00:32:37 เดือนละครั้งอ่ะแต่เราเป็นคนที่อยู่กับ
00:32:38 → 00:32:41 ตัวเราตลอดเวลามันจะดีมยถ้าโอเคเราได้กิน
00:32:41 → 00:32:44 ยาซึมเศร้านะเรามีภาวะวิโตกังวลนะเรากิน
00:32:44 → 00:32:47 ไปแต่ว่าเรากลับมาบอกรักร่างกายเรามยเรา
00:32:47 → 00:32:49 กลับมาดูแลร่างกายในส่วนที่เราทำได้เพื่อ
00:32:49 → 00:32:52 เสริมเค้าอ่ะค่ะและถ้าตรงนี้เค้าดีอ่ะ
00:32:52 → 00:32:54 เดี๋ยวคุณหมอเขาจะเป็นคนลดยาเองไม่ได้
00:32:54 → 00:32:56 สนับสนุนว่าโอ้ทุกคนจะต้องลุกขึ้นมาทำ
00:32:57 → 00:33:00 สมาธิแล้วจะต้องมาแบบรักษาตัวเองค่อยๆไป
00:33:00 → 00:33:02 ตามจังหวะถ้าอะไรที่ต้องอยู่ในวงการแพทย์
00:33:02 → 00:33:06 ทำตามนั้นแต่ช่วยร่างกายเราด้วยจากที่แบบ
00:33:06 → 00:33:08 โอ๊ยเราอาจจะกินยายาวกว่านี้เราอาจจะกิน
00:33:08 → 00:33:10 ยาสั้นลงแล้วเดี๋ยวคุณหมอเขาจะลดไปเองค่ะ
00:33:10 → 00:33:13 ถ้าอาการดีเขาจะปล่อยแบบลดยาเองแต่ไม่
00:33:13 → 00:33:16 ต้องแบบไปทำเองอะไรอย่างเงี้ยอยากรู้ว่า
00:33:16 → 00:33:19 สมาธิเนี่ยเ้ามีกระบวนการยังไงที่ทำให้
00:33:19 → 00:33:23 อาการป่วยดีขึ้นได้อ่าคือทำงานยังไงกับ
00:33:23 → 00:33:26 ร่างกายอ่ะค่ะออืจริงๆอ่ะสมาธิอ่ะเป็นจุด
00:33:26 → 00:33:29 ของปัจจุบันขณะอืไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
00:33:29 → 00:33:33 สมมุติว่าเราเคยป่วยแบบนี้เราจะมีความคิด
00:33:33 → 00:33:36 แบบนี้จนทำให้เราป่วยอย่างบางคนคิดมากอ่ะ
00:33:36 → 00:33:38 เราจะคิดวนอยู่กับเรื่องเดิมๆแล้วพอเรา
00:33:38 → 00:33:41 คิดวนอยู่ซ้ำๆอ่ะค่ะมันทำให้เราว่าวนซ้ำๆ
00:33:41 → 00:33:43 อันเนี้ยทำให้เราเป็นโรคนี้แต่เวลาที่เรา
00:33:43 → 00:33:45 ฝึกสมาธิอ่ะเวลามีความคิดเรากลับมาที่ลม
00:33:46 → 00:33:48 หายใจเวลามีความคิดเรากลับมาที่จุดศูนย์
00:33:48 → 00:33:51 กลางมันทำให้เราอ่ะไม่ได้ไปเลือกไอ้ความ
00:33:51 → 00:33:54 คิดวนนั้นและทำให้เราเลือกเส้นทางใหม่เฉย
00:33:54 → 00:33:57 ๆงั้นพี่มองว่าสมาธิคือจุดสำคัญที่ทำให้
00:33:57 → 00:33:59 เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะเพื่อให้เรา
00:33:59 → 00:34:02 ไม่ได้ไปเลือกในสิ่งที่เราเคยเลือกแล้ว
00:34:03 → 00:34:05 มันสร้างโลกให้เราอ่ะอ่าทำให้เราแบบเลือก
00:34:05 → 00:34:09 ใหม่และอีกจุดนึงที่สำคัญมากๆคือเวลาที่
00:34:09 → 00:34:11 เราฝึกสมาธิอ่ะค่ะมันเกี่ยวข้องกับลมหาย
00:34:11 → 00:34:14 ใจคือเราจะสังเกตมถ้าเราทำสมาธิไปเรื่อยๆ
00:34:14 → 00:34:17 ลมหายใจเราจะช้าลงเราจะหายใจได้แบบ
00:34:17 → 00:34:20 ละเอียดขึ้นพอลมหายใจดีอ่ะมันดันไปสอด
00:34:20 → 00:34:23 คล้องกับการทำงานของร่างกายก็คล้ายๆกับ
00:34:23 → 00:34:26 เราคุยกันไปแล้วใน EP ที่แล้วเนาะว่าลม
00:34:26 → 00:34:28 หายใจสัมพันธ์สอดคล้องกับการทำงานของร่าง
00:34:28 → 00:34:31 กายยังไงถ้าท่านไหนยังไม่ได้ฟังนะคะก็ตาม
00:34:31 → 00:34:33 ไปฟังกันได้นะคะสุดท้ายค่ะแพนด้ามีคำถาม
00:34:33 → 00:34:35 นึงอยากถามคุณหมอมากมากแล้วแพนด้าว่าคุณ
00:34:35 → 00:34:38 หมอน่าจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ตรงด้วยก็
00:34:38 → 00:34:41 คือการขอบคุณร่างกายเนี่ยสำคัญยังไงและ
00:34:41 → 00:34:43 การขอบคุณร่างกายเนี่ยจะทำให้เราสุขภาพดี
00:34:44 → 00:34:46 ขึ้นได้ด้วยไหมอันเนี้ยมันอาจจะไม่ได้มี
00:34:46 → 00:34:49 แบบโอวิจัยที่ออกมาชัดเจนเพราะว่ามันทำ
00:34:49 → 00:34:53 กับร่างกายมนุษย์นะคะแต่ว่าสิ่งที่พี่ทำ
00:34:53 → 00:34:55 มาโดยตลอดตอนนั้นน่ะตัวที่พี่แบบว่ามี
00:34:55 → 00:34:58 ภาวะซึมเศร้าอ่ะแล้วขึ้นมาได้อ่ะเกิดจาก
00:34:58 → 00:35:01 การกลับมาขอบคุณร่างกายเพราะว่าเรารู้ว่า
00:35:01 → 00:35:03 ทุกเสียงทุกความคิดที่มันส่งไปอ่ะมันส่ง
00:35:04 → 00:35:06 ผลต่อเซลล์ในร่างกายหลายคนอาจจะแบบเอ้ย
00:35:06 → 00:35:08 แล้วมันมีแบบงานวิจัยมั้ยหรืออะไรมั้ย
00:35:08 → 00:35:10 สำหรับพี่พี่รู้สึกว่าการทำสิ่งเนี้ยไม่
00:35:10 → 00:35:14 มีอะไรเสียหายพี่หายมาได้จากการที่เรา
00:35:14 → 00:35:16 กลับมาขอบคุณเค้าแล้วเวลาที่เราขอบคุณไป
00:35:16 → 00:35:20 เรื่อยๆอ่ะเรากำลังฝึกตัวเองให้ชินกับการ
00:35:20 → 00:35:22 ขอบคุณซึ่งสิ่งนั้นน่ะมันเป็นคลื่นพลัง
00:35:22 → 00:35:24 งานบวกอยู่แล้วงั้นพอเราเริ่มชินกับการ
00:35:24 → 00:35:28 ขอบคุณน่ะสารเคมีในร่างกายเราก็ชินกับ
00:35:28 → 00:35:30 พลังงานบวกเราก็เลยค่อยๆแบบรู้สึกดีขึ้น
00:35:30 → 00:35:32 แล้วก็ใช้สิ่งเในการกลับมา healing หรือ
00:35:32 → 00:35:35 ว่ากลับมาเยียวยาร่างกายได้ค่ะแล้วเราจะ
00:35:35 → 00:35:37 มีวิธีในการขอบคุณร่างกายที่คุณหมออยาก
00:35:37 → 00:35:40 แนะนำแล้วก็สามารถทำตามได้ง่ายๆบ้างไหมคะ
00:35:40 → 00:35:43 ตอนนั้นที่พี่ทำนะคือตอนเช้ากับก่อนนอน
00:35:43 → 00:35:46 น่ะพี่จะกลับมาที่ร่างกายก่อนเออแล้วก็
00:35:46 → 00:35:49 กลับมาแบบเอ้ยขอบคุณนะขอบคุณร่างกายอะไร
00:35:49 → 00:35:52 อย่างเงี้ยค่ะแล้วก็ใช้แบบทุกกิจวัตรหรือ
00:35:52 → 00:35:54 ว่าสิ่งที่เราทำอ่ะเป็นการกลับมาขอบคุณ
00:35:54 → 00:35:57 ทุกอย่างเลยเช่นในวันที่กินข้าวเราต้อง
00:35:57 → 00:36:00 กินข้าวอยู่แล้วใช่มั้ยคะเวลากินข้าวเรา
00:36:00 → 00:36:02 จะกินด้วยความภาวนาหรือว่ากินด้วยความ
00:36:02 → 00:36:04 ขอบคุณเพราะว่าจริงๆข้าวก็มาจากแผ่นดิน
00:36:04 → 00:36:06 น่ะค่ะเค้าหล่อเลี้ยงเราเพราะฉะนั้นน่ะ
00:36:07 → 00:36:10 เรากินเหมือนแบบค่อยๆกินไม่ต้องรีบแล้วก็
00:36:11 → 00:36:14 ขอบคุณในขณะที่กินข้าวดื่มน้ำหรือว่าทำ
00:36:15 → 00:36:16 อะไรถ้าเรานึกได้เราจะให้เหมือนกับคำ
00:36:17 → 00:36:19 ขอบคุณเนี้ยอยู่ในวิถีชีวิตเราเลยไม่ว่า
00:36:19 → 00:36:21 เราจะทำอะไรก็ตามอย่างเงี้ยไปเรื่อยๆอ่ะ
00:36:21 → 00:36:24 แรกๆมันก็ดูขัดๆอ่ะแต่พอทำไปเรื่อยๆทุก
00:36:24 → 00:36:26 ครั้งที่เรากินข้าวแล้วก็แบบทำสิ่งนี้จน
00:36:26 → 00:36:29 มันชินไปแล้วอ่ะเพื่อสร้างเส้นทางในสมอง
00:36:29 → 00:36:32 ใหม่สร้างสารเคมีในร่างกายใหม่อ่ะเอออค่ะ
00:36:32 → 00:36:35 โอเป็นการขอบคุณขอบคุณทั้งร่างกายขอบคุณ
00:36:35 → 00:36:38 ทุกอย่างเออมันจะทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ
00:36:38 → 00:36:41 แล้วเราก็เป็นคนนึงที่ได้รับและเป็นเออ
00:36:41 → 00:36:44 เพราะว่าบางครั้งเนี่ยเรามีหลายๆอย่างแต่
00:36:44 → 00:36:46 พอเราไม่เคยขอบคุณหรือแม้กระทั่งร่างกาย
00:36:46 → 00:36:49 ตัวเองที่เราก็มีอยู่อย่างจริงๆอ่ะแต่ว่า
00:36:49 → 00:36:52 เราพอเราไม่ได้ขอบคุณเนาะเรามองข้ามเขา
00:36:52 → 00:36:56 เกินไปอ่าจริงๆก็มีผลต่อกันหมดเลยอใช่ค่ะ
00:36:56 → 00:36:58 ทั้งหมดที่เราคุยกันมาในวันนี้ค่ะใน
00:36:58 → 00:37:01 เรื่องของการที่จะดึงดูดสุขภาพดีเนี่ย
00:37:01 → 00:37:04 เอ่อจริงๆแล้วทุกๆคนสามารถที่จะทำได้อ่า
00:37:04 → 00:37:07 แต่ว่าจะมา manifest ยังไงให้สำเร็จหรือ
00:37:07 → 00:37:08 อะไรก็ตามอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องไปถาม
00:37:09 → 00:37:13 ตัวเองแล้วก็ขอในสิ่งที่เราก็คิดว่าเฮ้ย
00:37:13 → 00:37:17 เราจะมีความเชื่อว่าเราจะได้รับแล้วก็ลง
00:37:17 → 00:37:20 มือทำนิสัยเปลี่ยนพฤติกรรมให้เรามีความ
00:37:20 → 00:37:23 เชื่อมีหลักฐานในการเชื่อแล้ววันนึงมันก็
00:37:23 → 00:37:26 จะสำเร็จแล้วก็ในการขอสิ่งใดสิ่งนั้นก็
00:37:26 → 00:37:28 ต้องเป็นสิ่งที่เราก็คือออกจากเซฟโซนออก
00:37:28 → 00:37:30 จาก comfort โซนหน่อยอ่าแต่อาจจะไม่ใช่
00:37:30 → 00:37:33 สิ่งที่ไกลตัวมากเกินไปเพราะว่าพอเราตั้ง
00:37:33 → 00:37:35 อะไรที่ไกลตัวมากเกินอาจจะทำให้บั่นทอน
00:37:35 → 00:37:38 ตัวเองอ่าค่ะอันนี้ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
00:37:38 → 00:37:42 เนาะรวมถึงเรื่องของnoซo plo ด้วยความคิด
00:37:42 → 00:37:45 ของเราเนี่ยมีผลต่อร่างกายของเราแม้ว่า
00:37:45 → 00:37:47 ตอนนี้เราอาจจะไม่ได้เจ็บป่วยแต่ว่าเรามี
00:37:47 → 00:37:49 ความคิดที่ว่าเราป่วยหรือคิดไม่ดีคิดเชิง
00:37:49 → 00:37:52 ลบกับสุขภาพร่างกายก็เอ้ยเราก็อาจจะป่วย
00:37:52 → 00:37:54 ขึ้นมาจริงๆกับอีกอย่างนึงคือถ้าสมมุติ
00:37:54 → 00:37:57 เราป่วยอยู่ก็อาจจะลอง plo มันคือการวาง
00:37:57 → 00:37:59 ใจแล้วก็เชื่อว่าร่างกายเนี้ยจะ healing
00:37:59 → 00:38:02 จะรักษาตัวเขาเองได้ในขณะเดียวกันคือท่าน
00:38:02 → 00:38:05 ไหนที่มีการรักษาอยู่ก็ทำควบคู่กันไปนะคะ
00:38:05 → 00:38:08 ไม่ได้บอกให้หยุดการรักษาอะไรเนาะเพราะ
00:38:08 → 00:38:10 ว่าทำควบคู่กันไปไม่มีอะไรเสียหายแล้ววัน
00:38:10 → 00:38:12 นี้ค่ะเชื่อว่าคุณหมอน่าจะได้ใช้สิ่งนี้
00:38:12 → 00:38:15 ทางกรองมีหมวกมามอบให้ค่ะอ่าเอาไว้ใส่ไป
00:38:16 → 00:38:18 สถานที่ต่างๆหรือว่าเข้าป่าอะไรอย่างี้
00:38:18 → 00:38:21 เนาะไว้บังแดดค่ะสมมุติท่านไหนนะคะที่สน
00:38:21 → 00:38:24 ใจหมวกแบบนี้นะคะสามารถสั่งซื้อได้ที่ใต้
00:38:24 → 00:38:27 description นี้นะคะแล้วก็ยังมีเสื้อนะ
00:38:27 → 00:38:29 คะแล้วก็กระเป๋าผ้าของเราด้วยค่ะฝากอุด
00:38:29 → 00:38:31 หนุนเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะ EP นี้
00:38:31 → 00:38:33 นะคะฝากฟังแล้วเป็นยังไงกันบ้างอยากให้
00:38:33 → 00:38:36 ช่วยคอมเมนต์บอกหน่อยเนาะว่าเฮ้ยฟัง EP
00:38:36 → 00:38:38 นี้แล้วเนี่ยได้อะไรกันบ้างหรือว่าทุกๆ
00:38:38 → 00:38:41 ท่านตั้งใจจะ manifest สุขภาพเรื่องไหน
00:38:41 → 00:38:43 คอมเมนต์บอกกันเอาไว้ได้นะคะเป็นการตั้ง
00:38:43 → 00:38:46 แบบสัจจะอธิษฐานกับพวกเราอะไรประมาณนั้น
00:38:46 → 00:38:48 เนาะอย่าลืมกดไลก์กดแชร์นะคะเป็นกำลังใจ
00:38:49 → 00:38:50 ให้พวกเราด้วยนะแล้วก็กด Subscribe เอา
00:38:50 → 00:38:53 ไว้นะคะเพราะว่าเรายังมี EP ต่อไปของหมอ
00:38:53 → 00:38:55 ฟ้าให้ทุกท่านได้ฟังอีกแน่นอนค่ะแล้วก็
00:38:55 → 00:38:58 ถ้าท่านไหนนะคะยังไม่จุใจเนาะจริงๆคุณหมอ
00:38:58 → 00:39:01 ก็มีอ่าเรื่องของสมาธิศาสตร์แล้วก็เรื่อง
00:39:01 → 00:39:04 ของหลายหลายอย่างที่สามารถไปติดตามกันได้
00:39:04 → 00:39:07 ทางแฟนเพจค่ะช่องหมอฟ้าสมาธิศาสตร์ค่ะค่ะ
00:39:07 → 00:39:10 ก็ติดตามกันได้นะคะเพราะว่าการพัฒนาตัว
00:39:10 → 00:39:12 เองหรือการ manifest จริงๆเราต้องทำไป
00:39:12 → 00:39:14 เรื่อยๆอ่าใช่แล้วค่ะสำหรับวันนี้ก็ต้อง
00:39:14 → 00:39:17 ขอขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะขอบคุณค่ะ
00:39:17 → 00:39:19 ขอบคุณค่ะ
00:39:19 → 00:39:43 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:02 ความเชื่อของเราอ่ะมันทำให้เราเปลี่ยน
00:00:02 → 00:00:06 ร่างกายของเราได้แต่สิ่งที่ทำให้แบบไปได้
00:00:06 → 00:00:10 ไวกว่าคือNoซebไม่ได้มีตัวที่ทำให้เกิด
00:00:10 → 00:00:13 โรคแต่ความคิดทำให้เกิดโรคความคิดที่เกิด
00:00:13 → 00:00:16 ขึ้นซ้ำๆมีผลต่อร่างกายมีผลต่อชีวิตของ
00:00:16 → 00:00:19 เราด้วยตอนแรกเราป่วยแล้วมันหาสาเหตุไม่
00:00:19 → 00:00:22 ได้ก็เลยกลับมานั่งทำสมาธิกลับมาพักแล้ว
00:00:22 → 00:00:24 ก็กลับมาอยู่กับตัวเองแล้วจุดนั้นน่ะเป็น
00:00:24 → 00:00:27 จุดที่ทำให้เราอ่ะค่อยๆหายเขาเรียกว่า
00:00:27 → 00:00:30 เป็น plivo ออ่าสัมพันธ์กับจักระกระบวน
00:00:31 → 00:00:33 การmanสอ่ะไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นแบบ
00:00:34 → 00:00:37 1 วัน 2 วันมันเป็นรองเกมมันเป็นระยะยาว
00:00:37 → 00:00:39 เพราะว่า manifest มันไม่ใช่ความคิดแต่
00:00:39 → 00:00:42 คิดซ้ำๆอ่ะถึงลงมือทำลงมือทำซ้ำๆเป็น
00:00:42 → 00:00:44 นิสัยเพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เปลี่ยนนิสัยก็
00:00:44 → 00:00:47 ไม่สามารถได้รับในสิ่งนั้นได้ไม่มีทางลัด
00:00:47 → 00:00:50 เนาไม่มีทางลัดทางลัดคือทำไปเรื่อยๆทุกคน
00:00:50 → 00:00:52 ก็อยากได้แบบ Passive Income แต่ไม่ใช่
00:00:52 → 00:00:55 ทุกคนที่จะได้อยู่ที่ว่าเราลงมือทำจนเป็น
00:00:55 → 00:00:58 นิสัยความคิดที่เขากลัวร่างกายสามารถผิด
00:00:58 → 00:01:01 เพี้ยนไปได้หมดเลยตามความคิดของเขานี่มัน
00:01:01 → 00:01:03 เป็นร่างกายของเราเราเป็นคนที่อยู่กับตัว
00:01:03 → 00:01:06 เราตลอดเวลามันจะดีมยถ้าเรากลับมาบอกรัก
00:01:06 → 00:01:09 ร่างกายเอ้ยขอบคุณนะขอบคุณร่างกายความคิด
00:01:09 → 00:01:12 ที่มันส่งไปอ่ะมันส่งผลต่อเซลล์ในร่างกาย
00:01:12 → 00:01:16 การทำสิ่งเนี้ยไม่มีอะไรเสีย
00:01:16 → 00:01:22 หายเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:01:22 → 00:01:26 โรคสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ
00:01:26 → 00:01:28 เกลาแก้โรคค่ะวันนี้นะคะแพนด้าอยากจะพา
00:01:28 → 00:01:31 ทุกท่านมาดึงดูดสุขภาพดีๆไปด้วยกันค่ะแต่
00:01:31 → 00:01:33 ว่าจะดึงดูดยังไงให้ได้ผลเนี่ยต้องรบกวน
00:01:33 → 00:01:35 ปรึกษาคุณหมอท่านนี้แล้วล่ะค่ะวันนี้
00:01:35 → 00:01:37 แพนด้าอยู่กับคุณหมอฟ้าจากเพจหมอฟ้า
00:01:37 → 00:01:41 สมาธิศาสตร์ค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีค่ะ
00:01:41 → 00:01:44 น้องแพนด้าวันนี้ก็พลังงานดีๆมาเลยอ่า
00:01:44 → 00:01:47 เพราะว่าจริงๆอยากคุยในเรื่องของการที่
00:01:47 → 00:01:49 ยุคเนี้ยเราจะได้ยินเนาะอย่างปี 2024 ที่
00:01:49 → 00:01:52 ผ่านมาค่ะจะเป็นยุคของการ manifest อ่า
00:01:52 → 00:01:55 เราจะได้ยินเป็นคำประจำปีเลยเดี๋วันนี้
00:01:55 → 00:01:57 เราอยากจะคุยกันในเรื่องนี้ค่ะว่าเอ้ยเรา
00:01:57 → 00:02:01 จะสุขภาพดีได้มั้ยอ่าก่อนอื่นค่ะแพนด้า
00:02:01 → 00:02:04 อยากรู้ว่าแล้วอย่างเจ้าความคิดอ่ะค่ะ
00:02:04 → 00:02:07 ความคิดลบเนี่ยค่ะมันมีผลต่อการเจ็บไข้
00:02:07 → 00:02:10 ไม่สบายของเราได้มั้คะมีผลมากๆเลยพี่อยาก
00:02:10 → 00:02:13 จะเล่าเคสพี่แล้วกันจริงๆอ่ะค่ะช่องหมอ
00:02:13 → 00:02:16 ฟ้าสมาธิศาสตร์ไม่ได้เกิดจากการที่แบบโอ้
00:02:16 → 00:02:19 ชีวิตดีแล้วออกมาทำช่องไม่ใช่จุดเริ่มต้น
00:02:19 → 00:02:22 ของเขาเกิดมาจากการที่พี่ป่วยคือความคิด
00:02:22 → 00:02:25 ของพี่อ่ะทำให้พี่ป่วยตอนนั้นน่ะคือเราทำ
00:02:25 → 00:02:29 งานตลอดเวลา 9:00 น.เช้าถึง 20:00 น.ทำ
00:02:29 → 00:02:32 งานทุกวันอาทิตย์ละ 6 วัน 7 วันตลอดและที
00:02:32 → 00:02:34 เนี้ยมันถึงจุดที่พี่อย่าเบิร์น out ตอน
00:02:34 → 00:02:36 แรกก็แค่เบิร์น out รู้สึกแบบไม่อยากไปทำ
00:02:36 → 00:02:39 งานอะไรเงี้ยสักพักเริ่มนอนไม่ได้เริ่มมี
00:02:39 → 00:02:43 ภาวะซึมเศร้าจนสุดท้ายอ่ะพี่ไปเป็นโรคที่
00:02:43 → 00:02:45 แบบหาสาเหตุไม่ได้อ่ะเออคือหมอไม่สามารถ
00:02:45 → 00:02:48 วินิจฉัยได้ว่าเราเป็นอะไรเพราะว่าตอน
00:02:48 → 00:02:51 นั้นน่ะค่ะพี่แบบไม่ชอบชีวิตตัวเองเลยรู้
00:02:51 → 00:02:54 สึกไม่ดีไอ้ความคิดนั้นของพี่อ่ะมันทำลาย
00:02:54 → 00:02:56 พี่หรือว่าสร้างโลกให้พี่ทั้งๆที่มันไม่
00:02:56 → 00:02:58 สามารถวินิจฉัยได้แต่ถ้าเกิดว่าในเชิงของ
00:02:58 → 00:03:00 วิทยาศาสตร์อ่ะเขาจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น
00:03:00 → 00:03:04 noซbroคือ no คือไม่มีไม่ได้มีตัวที่ทำ
00:03:04 → 00:03:06 ให้เกิดโรคแต่ความคิดทำให้เกิดโรคมีคุณ
00:03:07 → 00:03:10 ลุงคนนึงชื่อคุณตาแซมลอนแต่ว่าในหลายปีมา
00:03:10 → 00:03:12 แล้วนะคะคือคุณตาเนี่ยเขาไปหาหมอหมอบอก
00:03:12 → 00:03:16 ว่าเฮ้ยเนี่ยคุณตาเป็นแบบมะเร็งหลอดอาหาร
00:03:16 → 00:03:17 คุณตาหลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งหลอด
00:03:18 → 00:03:20 อาหารน่ะค่ะจากตอนแรกอ่ะก็แบบมีความสุขดี
00:03:20 → 00:03:23 ใช่ป่ะก็คือแบบดาวลงมาเรื่อยๆคุณตาคิดว่า
00:03:23 → 00:03:26 ตัวเองเป็นและคนในบ้านก็คิดว่าคุณตาเป็น
00:03:26 → 00:03:28 มะเร็งหลอนอาหารด้วยหลังจากนั้นอีกประมาณ
00:03:28 → 00:03:32 2-3 อาทิตย์อ่ะคุณตาเสียชีวิตลงพอคุณตา
00:03:32 → 00:03:34 เสียชีวิตลงไปใช่มั้คะเขาก็เลยเอาไป
00:03:34 → 00:03:37 ชันสูตรสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคุณตาไม่ได้
00:03:37 → 00:03:40 เป็นมะเร็งหนอนอาหารคือเขาเป็นแค่แบบจุด
00:03:40 → 00:03:42 ในปอดอ่ะค่ะซึ่งสิ่งที่ทำให้คนสงสัยก็คือ
00:03:42 → 00:03:45 ว่าสิ่งที่คุณตาเป็นน่ะมันไม่สามารถทำให้
00:03:45 → 00:03:49 คนนึงอ่ะเสียชีวิตได้แต่อะไรที่ทำให้คน
00:03:49 → 00:03:52 นึงเสียชีวิตสิ่งนั้นก็คือความเชื่อของ
00:03:52 → 00:03:55 คุณตาว่าเขาจะต้องแบบแน่เลยอะไรอย่าง
00:03:55 → 00:03:57 เงี้ยแล้วสิ่งแวดล้อมก็คือทุกคนคิดว่าคุณ
00:03:57 → 00:03:59 ตาแบบไม่รอดแน่เลยอ่ะค่ะเพราะฉะนั้นความ
00:03:59 → 00:04:01 คิดอ่ะมันไม่ใช่แค่ความคิดความคิดที่เกิด
00:04:01 → 00:04:05 ขึ้นซ้ำๆมีผลต่อร่างกายมีผลต่อชีวิตของ
00:04:05 → 00:04:07 เราเลยเมื่อกี้ที่พี่ฟ้าบอกคือเขาถูก
00:04:07 → 00:04:10 วินิจฉัยตอนแรกใช่เ้าวินิจฉัยตอนแรกว่า
00:04:10 → 00:04:12 เป็นแต่เหมือนแบบมีการผิดพลาดทางการ
00:04:12 → 00:04:15 วินิจฉัยอ่ะแล้วพอพอเขาแบบไปชนสูตรตอน
00:04:15 → 00:04:17 หลังอ่ะมันไม่ได้เป็นแบบนั้นคือเหมือนกับ
00:04:17 → 00:04:19 วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแต่ว่าอาจจะเป็นแค่
00:04:19 → 00:04:21 แบบเล็กๆอ่ะที่ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้
00:04:21 → 00:04:24 คนนึงอ่ะต้องเสียชีวิตลงอืค่ะเออแพนด้า
00:04:24 → 00:04:27 ถามแทนคนที่ฟังอยู่เพราะว่าต้องมีคนหลายๆ
00:04:28 → 00:04:30 คนแย้งขึ้นมาแน่ๆว่าอ้าวก็คุณหมอเป็นคน
00:04:30 → 00:04:32 บอกเราว่าเราป่วยนี่เราก็มีสิทธิ์ที่จะ
00:04:32 → 00:04:34 เชื่อตามนั้นเพราะว่าคุณหมอเป็นคน
00:04:34 → 00:04:36 วินิจฉัยแล้วแล้วบอกว่าเราอ่ะป่วยใช่อ่า
00:04:36 → 00:04:39 คุณตาก็ไม่ผิดที่เชื่อมั้คะใช่อันเนี้ย
00:04:39 → 00:04:42 ไม่ผิดที่เชื่อแต่สิ่งเนี้ยมันบอกว่าความ
00:04:42 → 00:04:45 เชื่อของเราอ่ะมันทำให้เราเปลี่ยนร่างกาย
00:04:45 → 00:04:48 ของเราได้คือเขาอ่ะไม่ผิดที่เชื่อหมอ
00:04:48 → 00:04:50 อันเนี้ยใช่แต่ไอ้ตรงความเชื่อที่เขา
00:04:50 → 00:04:53 เชื่อกับตัวเองอ่ะมันทำให้เขาอ่ะอยู่หรือ
00:04:53 → 00:04:56 ไปได้ความเชื่อเขามีพลังมากขนาดแปลว่าถ้า
00:04:56 → 00:04:59 สมมุติเราไม่ได้เป็นอะไรเลยตอนนี้คือเรา
00:04:59 → 00:05:01 ตรวจสุขภาพมาแล้วเราก็เป็นคนที่มีร่างกาย
00:05:01 → 00:05:04 แข็งแรงคนนึงล่ะแต่ว่าเราอาจจะมีความวิตก
00:05:04 → 00:05:06 กังวลหรือว่าอย่างทุกวันนี้เห็นโรคมาก
00:05:06 → 00:05:10 ขึ้นออกไปเจอฝุ่นเจออะไรแล้วบางครั้ง
00:05:10 → 00:05:13 เนี่ยเรากังวลมากเกินกว่าความเป็นจริงใช่
00:05:13 → 00:05:17 ๆอ่าเราก็มีโอกาสที่จะป่วยใช่ใช่หรือลอง
00:05:17 → 00:05:21 นึกย้อนไปตอนโควิดจำได้มั้คะตอนโควิดอ่ะ
00:05:21 → 00:05:25 เชื้อส่วนนึงนะแต่สิ่งที่ทำให้แบบไปได้ไว
00:05:25 → 00:05:28 กว่าคือความกลัวเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่
00:05:28 → 00:05:30 เรากลัวค่ะมันจะทำให้ปุมต้านทานของมนุษย์
00:05:30 → 00:05:33 อ่ะต่ำลงพอต่ำลงปุ๊บอ่ะสิ่งที่แบบมันอาจ
00:05:33 → 00:05:36 จะเป็นอะไรเล็กๆอ่ะมันส่งผลต่อร่างกายเรา
00:05:36 → 00:05:38 มากกว่าเดิมเพราะฉะนั้นน่ะความกลัวเป็น
00:05:38 → 00:05:41 ตัวเหมือนแบบขยายโรคอ่ะอันนี้พี่ก็เลยใช้
00:05:41 → 00:05:45 ในการผ่านพ้นทุกซีรียส์ของโควิดมาทั้งๆ
00:05:45 → 00:05:47 ที่เราอ่ะทำงานเป็นหมอฟันแล้วเราแบบอยู่
00:05:47 → 00:05:51 กับปากคนแต่ว่าเราสามารถแบบเอออยู่กับเขา
00:05:51 → 00:05:53 ได้โดยที่ไม่กลัวแล้วเราก็แบบเออไม่ติด
00:05:53 → 00:05:56 โควิดจริงๆอือทั้งๆที่เราใกล้ชิดกับอาจจะ
00:05:56 → 00:05:59 มีโอกาสเป็นมากกว่าคนปกติด้วยใช่ใช่ค่ะขอ
00:05:59 → 00:06:01 แค่เราอยู่กับเขาได้อ่ะไม่ต้องกลัวหรือ
00:06:01 → 00:06:04 ว่าตื่นตระหนกอ่ะค่ะแล้วทีเนี้ยค่ะอยาก
00:06:04 → 00:06:07 ถามถึงคนสุขภาพดีบ้างว่าแพนด้าจะเคยเห็น
00:06:07 → 00:06:10 บางคนเนาะว่าเาเดินมาหรือว่าเราเจอเ้า
00:06:10 → 00:06:13 แล้วเรารู้สึกว่าเฮ้ยคนเนี้ยมีออร่าออ่า
00:06:13 → 00:06:15 ไอ้ออร่าที่เกิดขึ้นเนี่ยมันคืออะไรแล้ว
00:06:15 → 00:06:17 ออร่าเนี่ยจำเป็นมั้ที่จะต้องเกิดขึ้นกับ
00:06:17 → 00:06:20 คนสุขภาพดีเท่านั้นจริงๆแล้วอ่ะไอ้คำว่า
00:06:20 → 00:06:24 ออร่ามักจะพูดในเชิงของจิตวิญญาณเออว่า
00:06:24 → 00:06:27 อันเนี้ยแบบออร่าดีหรือว่าคนนี้ดูแบบพลัง
00:06:27 → 00:06:31 งานดีจริงๆแล้วอ่ะค่ะออร่าสัมพันธ์กับ
00:06:31 → 00:06:34 จักระจักระคือไม่ไม่ได้มีในร่างกายมนุษย์
00:06:34 → 00:06:37 นะเ้าเหมือนเป็นศูนย์ของพลังงานแต่มัน
00:06:37 → 00:06:39 เชื่อมโยงกับร่างกายมนุษย์คือเป็นระบบ
00:06:39 → 00:06:41 ฮอร์โมนถ้าเกิดว่าใครแบบได้ศึกษาเรื่อง
00:06:41 → 00:06:44 เนี้ยเขาจะบอกว่าจักรกะมันเป็น 7 จักรกะ
00:06:44 → 00:06:46 แต่จริงๆมีมากกว่านั้นนะคะแต่ศูนย์จักรกะ
00:06:46 → 00:06:49 มี 7 จักรกะแต่จุดสำคัญก็คือว่าแต่ละที่
00:06:49 → 00:06:52 สัมพันธ์กับต่อมที่สร้างฮอร์โมนของแต่ละ
00:06:52 → 00:06:55 ร่างกายเช่นจักที่ 2 จะเกี่ยวข้องกับระบบ
00:06:55 → 00:06:57 สืบพันธุ์จักกะที่ 3 เกี่ยวข้องกับช่อง
00:06:57 → 00:07:00 ท้องอย่างเงี้ยค่ะหรือว่าจักกัดที่ 4
00:07:00 → 00:07:02 เกี่ยวข้องกับหัวใจจักกะที่ 5 คือเนี่ย
00:07:02 → 00:07:04 ไทรรอยด์ก็จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
00:07:04 → 00:07:07 ไทรรอยด์จักที่ 6 อ่ะคือไเนียลแกนส่วน
00:07:07 → 00:07:09 จักกะที่ 7 คือพิทูอิตาลีแกนเพราะฉะนั้น
00:07:09 → 00:07:12 พวกเนี้ยถ้าเกิดว่าออร่าดีนั่นหมายความ
00:07:12 → 00:07:16 ว่าฮอร์โมนของเราอ่ะสมดุลถ้าเราสุขภาพดี
00:07:16 → 00:07:19 กินอิ่มนอนหลับมีความสุขฮอร์โมนเราสมดุล
00:07:19 → 00:07:22 ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นประจำเดือนปกติก่อน
00:07:22 → 00:07:24 เป็นประจำเดือนไม่ได้เหวี่ยงไม่ได้วีนเรา
00:07:24 → 00:07:27 สามารถกินได้นอนได้แสดงว่าเราอยู่ในความ
00:07:27 → 00:07:30 สมดุลถ้าอยู่ในความสมดุลฮอร์โมนก็สมดุล
00:07:30 → 00:07:33 เพราะฉะนั้นฮอร์โมนที่สมดุลออล่าก็สมดุล
00:07:33 → 00:07:35 ไปด้วยสังเกตมยอย่างเช่นอย่างผู้หญิงอ่ะ
00:07:35 → 00:07:37 ค่ะจะเห็นชัดถ้าเกิดบางคนแบบประจำเดือน
00:07:37 → 00:07:40 ไม่มาประเจิมเดือนมาไม่ปกติผิวเราก็จะไม่
00:07:40 → 00:07:42 ค่อยดีเคยเป็นมั้ยหรือว่าก่อนประจำเดือน
00:07:42 → 00:07:45 มาเราจะแบบเป็นสิวเพราะว่าฮอร์โมนมัน
00:07:45 → 00:07:48 เกี่ยวข้องกับออร่าของเราคือออร่าคือ
00:07:48 → 00:07:51 เรื่องของสมดุลฮอร์โมนมากกว่าอือืก็
00:07:51 → 00:07:53 เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเพราะว่าใช่
00:07:53 → 00:07:56 ฮอร์โมนก็มีส่วนทำให้ร่างกายเราแข็งแรง
00:07:56 → 00:07:59 หรือไม่แข็งแรงด้วยการทำงานโมากมากๆเลย
00:07:59 → 00:08:02 ค่ะฮอร์โมนนี่คือเขาเป็นสารเคมีที่วิ่ง
00:08:02 → 00:08:05 อยู่ในร่างกายเราแต่ว่าถ้าเกิดว่าชัดอ่ะ
00:08:05 → 00:08:07 จะเห็นในผู้หญิงเพราะผู้หญิงอ่ะฮอร์โมนจะ
00:08:07 → 00:08:09 มีผลเยอะเพราะว่าเรามีรอบเดือนเรามีประจำ
00:08:09 → 00:08:12 เดือนใช่มั้อืเราสังเกตถ้าเกิดว่าแบบทำไม
00:08:12 → 00:08:15 ก่อนเป็นประจำเดือนทำไมเราถึงหงุดหงิดมาก
00:08:15 → 00:08:17 แม้แต่สิ่งเล็กๆที่เราเรียกว่าแบบมันอาจ
00:08:17 → 00:08:19 จะดูไม่มีอะไรอ่ะแต่ทำไมผู้หญิงบางคนถึง
00:08:19 → 00:08:22 แบบโอปวดท้องขนาดนั้นน่ะเพราะว่าฮอร์โมน
00:08:22 → 00:08:23 มันไม่สมดุลอ่ะฮอร์โมนอาจจะเป็นเรื่อง
00:08:23 → 00:08:27 เล็กๆแต่ว่ามันส่งผลกับชีวิตเราแบบเยอะอื
00:08:27 → 00:08:30 ค่ะฮอร์โมนก็ถ้าในเชิงวิทยาศาสตร์ก็คือ
00:08:30 → 00:08:32 มันคือเรื่องของออร่าคือจักรกะอใช่
00:08:32 → 00:08:35 ฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับจักรกะจักรกะจริงๆ
00:08:35 → 00:08:37 เป็นศูนย์พลังงานที่ไม่ได้มีในร่างกายแต่
00:08:37 → 00:08:39 เกี่ยวข้องกับอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนนั้นๆ
00:08:39 → 00:08:42 เพราะฉะนั้นถ้าจักกะสมดุลฮอร์โมนก็สมดุล
00:08:42 → 00:08:45 คนก็ร่างกายแข็งแรงไปด้วยอออค่ะใครที่
00:08:45 → 00:08:47 อยู่สาย spirititual เนี่ยอาจจะเคยได้ยิน
00:08:47 → 00:08:49 เรื่องของออ่าเรื่องของจักระจริงๆก็คือ
00:08:49 → 00:08:51 มันก็เกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกายเนาะ
00:08:51 → 00:08:53 อย่างที่คุณหมอบอกไปเลยว่าบางครั้งแล้ว
00:08:53 → 00:08:57 การที่เรามาดูแลร่างกายก็จะทำให้ออร่า
00:08:57 → 00:09:00 หรือจักรกะเราดีขึ้นใช่อือจริงๆก็บน
00:09:00 → 00:09:03 เรื่องเดียวกันเรื่องเดียวกันพี่ไม่ได้
00:09:03 → 00:09:05 มองว่าแบบเอ้ย spiritual คือเรื่องนอกตัว
00:09:05 → 00:09:08 จริงๆแล้วอ่ะคือเรื่องร่างกายเราถ้าเราดู
00:09:08 → 00:09:11 แลร่างกายเราดีพลังงานเราดีออร่าเราก็ดี
00:09:11 → 00:09:14 ตามไปด้วยสมมุติว่าร่างกายเราดีอ่ะค่ะเรา
00:09:14 → 00:09:16 ก็จะรู้สึกดีกับตัวเองเวลาคนที่เข้ามาแบบ
00:09:16 → 00:09:18 ใกล้ชิดกับเราเขาก็จะสัมผัสได้ถึงพลังงาน
00:09:18 → 00:09:22 ดีๆจากเราอ่ะเอออืเราจะเคยได้ยินคำว่าคิด
00:09:22 → 00:09:25 แบบไหนก็ได้แบบนั้นแล้วมันเป็นอย่างนั้น
00:09:25 → 00:09:29 จริงๆมั้คะออันเนี้ยสำคัญถ้าคิดแล้วไม่
00:09:29 → 00:09:31 ได้คิดซ้ำๆอ่ะไม่ได้เป็นแต่สิ่งที่เรา
00:09:31 → 00:09:34 เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เราคิดซ้ำๆนำมาสู่
00:09:34 → 00:09:38 รู้สึกซ้ำๆรู้สึกแล้วทำให้เกิดการลงมือทำ
00:09:38 → 00:09:41 ลงมือทำแล้วกลายเป็นนิสัยจริงๆอ่ะคิดแล้ว
00:09:41 → 00:09:44 เป็นแบบนั้นน่ะค่ะเกิดจากการที่คิดซ้ำๆจน
00:09:44 → 00:09:48 เป็นนิสัยของเราเออเราก็เลยได้สิ่งนั้น
00:09:48 → 00:09:50 อย่างคนที่แบบมีนิสัยชอบออกกำลังกายอ่ะ
00:09:50 → 00:09:54 เขาก็มีซิแพคเห็นป่ะคิดว่าอยากมีซแพคแต่
00:09:54 → 00:09:57 เกิดจากการคิดแล้วก็ทำซ้ำๆจนมีซิแพคเขา
00:09:57 → 00:10:01 เลยเป็นคนที่มีซกแพคอคิดแล้วเลยได้สิ่ง
00:10:01 → 00:10:04 นั้นเออเห็นมั้คะมันไม่ได้เกิดจากความคิด
00:10:04 → 00:10:07 อย่างเดียวแต่คิดซ้ำๆอ่ะมันนำมาสู่
00:10:07 → 00:10:10 โมเมนตัมโมเมนตัมที่ใหญ่ขึ้นที่นำมาสู่
00:10:10 → 00:10:13 การลงมือทำและกลายเป็นการเป็นของเราแล้ว
00:10:13 → 00:10:14 อย่างอย่างเมื่อกี้เนี่ยเป็นตัวอย่างของ
00:10:14 → 00:10:17 การที่ในด้านที่ดีเนาะคิดในเชิงที่อยาก
00:10:17 → 00:10:21 พัฒนาร่างกายมีซกแพคแล้วอย่างกรณีคนที่
00:10:21 → 00:10:25 คิดซ้ำๆในด้านที่ไม่ค่อยดีอ่ามันจะได้แบบ
00:10:25 → 00:10:28 นั้นคือจะได้แบบไหนคะออย่างเช่นถ้าเรา
00:10:28 → 00:10:31 กลัวหรือว่าวิตกกังวลซ้ำๆแบบเนี้ยค่ะสิ่ง
00:10:31 → 00:10:34 ที่เกิดขึ้นก็คือพอมันเป็นซ้ำๆอ่ะจะเป็น
00:10:34 → 00:10:36 คนที่ภูมิตกหรือว่าเป็นคนที่เป็นภูมิแพ้
00:10:36 → 00:10:40 ง่ายบางอย่างไม่ควรจะแพ้ก็แพ้แบบเนี้ยค่ะ
00:10:40 → 00:10:42 เพราะว่าเราอยู่กับความกลัวหรือว่าความ
00:10:42 → 00:10:45 คิดแบบนั้นซ้ำๆอ่ะเออก็จะเป็นอันนี้แบบ
00:10:45 → 00:10:48 อาจจะยกตัวอย่างน้องฟักก็ได้ค่ะเพราะว่า
00:10:48 → 00:10:50 แบบใกล้ตัวเนาะไม่กล้าไม่กล้าไปพูดเรื่อง
00:10:50 → 00:10:53 ของคนอื่นคือน้องฟ้าน่ะอันนี้ฟักขอเขามา
00:10:53 → 00:10:55 แล้วนะมีอยู่ช่วงนึงที่เขา้าแบบเครียดเออ
00:10:55 → 00:10:59 แล้วเขาคิดซ้ำๆอ่ะแล้วเชื่อไหมว่าเค้าอ่ะ
00:10:59 → 00:11:03 เป็นแบบทอนซินอักเสบเฉยๆช็อกเข้า ICU เลย
00:11:03 → 00:11:06 อ่ะคือสิ่งที่เป็นน่ะเขาแบบไม่ได้สอด
00:11:06 → 00:11:10 คล้องกับรอยโลกอ่ะค่ะเหมือนนิดนึงแต่ว่า
00:11:10 → 00:11:12 มันส่งผลเยอะเพราะว่าอยู่ในช่วงที่เขา
00:11:12 → 00:11:14 ภูมิตกเอออาจจะมีความกลัวความกังวลแล้ว
00:11:15 → 00:11:18 ภูมิมันตกอ่ะอืเออเราก็อาจจะเป็นนิดเดียว
00:11:18 → 00:11:20 หรือช่วงเนี้ยใครที่เป็นเยอะอย่างเช่น
00:11:20 → 00:11:22 เมื่อก่อนน่ะเป็นหวัด 3-4 วันหายและ
00:11:22 → 00:11:24 เดี๋ยวเนี้ยเป็นกันเป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์
00:11:24 → 00:11:27 เพราะว่าภูมิเราตกเรากลัวหรือว่าอยู่ใน
00:11:27 → 00:11:29 สิ่งแวดล้อมที่มีความกลัวค่ะมันก็เลยทำ
00:11:29 → 00:11:31 ให้สิ่งนั้นน่ะไม่หายสักทีหรือเป็นก็เป็น
00:11:31 → 00:11:34 หนักขึ้นอย่างเงี้ยโอแม้กระทั่งมันเสมอไป
00:11:34 → 00:11:36 มั้ยคะเช่นก็เป็นคนที่กลัวนะเพราะก็ไม่
00:11:36 → 00:11:39 ได้อยากป่วยใช่มั้ยคะเก็กลัวแต่ว่าพอเา
00:11:39 → 00:11:41 เป็นอย่างอย่างเป็นหวัดเาก็ดูแลตัวเองดี
00:11:41 → 00:11:44 ค่ะคือก็มีความกลัวอยู่นะแล้วก็ก็ดูแลตัว
00:11:44 → 00:11:46 เองกินยาคือทำทุกอย่างเลยเพื่อที่จะให้
00:11:46 → 00:11:48 หายอ่ะค่ะอือ่าในเมื่อเขาดูแลตัวเองดี
00:11:49 → 00:11:50 ขนาดนี้แล้วแต่มีความกลัวอยู่ด้วยเนี่ย
00:11:50 → 00:11:52 แปลว่าเขาจะหายช้าขึ้นหรอคะใช่จับด้วย
00:11:52 → 00:11:55 ความรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอ่ะเราทำด้วย
00:11:55 → 00:11:59 ความรักหรือว่าทำด้วยความกลัวเราแบบกินดี
00:11:59 → 00:12:01 เพราะเรากลัวเพราะว่าความกลัวนั้นน่ะมัน
00:12:01 → 00:12:04 ทำให้เราแบบภูมิต้านทานเราต่ำอือให้ทำแต่
00:12:04 → 00:12:07 ว่าทำด้วยความรักเป็นก็ยอมรับแล้วก็อาจ
00:12:07 → 00:12:09 ใช้เหมือนแบบกินยาแล้วก็บอกรักตัวเองไป
00:12:09 → 00:12:11 ด้วยอะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะว่าทุกคำที่
00:12:11 → 00:12:13 สื่อสารน่ะเซลล์เขาก็ได้ยินนะให้เช็คความ
00:12:13 → 00:12:16 รู้สึกว่าเราทำด้วยความรักหรือว่าทำด้วย
00:12:16 → 00:12:18 ความกลัวถ้าทำด้วยความกลัวมันก็จะหายช้า
00:12:18 → 00:12:21 อยู่ดีอือืค่ะก็คือเป็นอีกทางเลือกนึง
00:12:21 → 00:12:23 เอ่อเพราะว่าเวลาที่เราป่วยเนี่ยเราก็
00:12:23 → 00:12:26 ต้องดูแลตัวเองอยู่แล้วล่ะต้องกินยาอยู่
00:12:26 → 00:12:28 แล้วเนาะอย่างที่หมอฟ้าบอกก็คือเพิ่มอีก
00:12:28 → 00:12:31 นิดนึงก็คือใส่ความรู้สึกขอบคุณหรือว่า
00:12:31 → 00:12:33 รู้สึกดีรู้สึกแบบว่าอยากให้เขาหายอยาก
00:12:33 → 00:12:36 ให้ร่างกายเนี้ยกลับมาเป็นปกติ
00:12:36 → 00:12:38 แล้วก็เวลาที่เราป่วยเนี่ยค่ะเราไม่ควรจะ
00:12:38 → 00:12:41 โทษร่างกายที่ป่วยด้วยใช่มั้คะใช่เรา
00:12:41 → 00:12:42 เหมือนจะต้องเป็นคนที่แบบเหมือนเป็น
00:12:43 → 00:12:45 เพื่อนน่ะเออคือถ้าเรารู้สึกว่าคนนี้เป็น
00:12:45 → 00:12:47 เพื่อนน่ะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะอยู่
00:12:47 → 00:12:50 ข้างๆเใช่มั้ยในวันที่เค้าอ่อนแอเราก็คือ
00:12:50 → 00:12:52 โอเคเราก็กลับไปอยู่กับเขาว่าเออไม่เป็น
00:12:52 → 00:12:55 ไรถึงเวลาที่จะต้องพักก็ต้องพักร่างกาย
00:12:55 → 00:12:58 เนี่ยเขามีปัญญาของเขาคือเขาแบบเขาจะค่อย
00:12:58 → 00:13:01 ๆบอกเราว่าเราควรจะทำอะไรสังเกตมั้ยคะโรค
00:13:01 → 00:13:04 ไข้หวัดใหญ่อ่ะจริงๆแล้วอ่ะไม่ได้มียา
00:13:04 → 00:13:06 รักษาเพราะว่าไข้หวัดใหญ่เขาเกิดจากไวรัส
00:13:06 → 00:13:08 อย่างบางอันเนี่ยมาจากเชื้อแบคทีเรียเขา
00:13:09 → 00:13:11 จะมีแอนตี้บอติกที่เรากินยาเข้าไปแต่เวลา
00:13:11 → 00:13:13 เป็นไข้หวัดใหญ่อ่ะเราจะรู้สึกว่าอะไรเรา
00:13:13 → 00:13:16 อยากนอนน้องแพนด้าเคยเป็นไข้หวัดใหญ่มั้
00:13:16 → 00:13:19 คะน่าจะเคยค่ะจำไม่จับไม่ได้แล้วใช่มจริง
00:13:19 → 00:13:21 ๆไข้หวัดใหญ่อ่ะค่ะเขาไม่ได้มีตัวเชื้อ
00:13:21 → 00:13:24 โรคนะเอออย่างบางโรคอ่ะก็คือมันมีเชื้อ
00:13:24 → 00:13:27 แบคทีเรียเราก็จะกินยาปฏิชีวนะแต่ไข้วัด
00:13:27 → 00:13:29 ใหญ่อ่ะลองสังเกตค่ะเวลาที่เราเป็นไข้อ่ะ
00:13:29 → 00:13:32 เราจะอยากนอนเพราะว่าร่างกายอ่ะเขากำลัง
00:13:32 → 00:13:35 พาตัวเราอ่ะมาพักเพียงแต่ว่าเราอ่ะไม่รู้
00:13:35 → 00:13:38 ว่าเอ้ยมันต้องพักอ่ะเราเป็นนิดๆอ่ะเราก็
00:13:38 → 00:13:41 แบบอุ้ยฉันไหวเออฉันไหวแล้วก็ไปต่อมันก็
00:13:41 → 00:13:43 เลยเป็นเยอะเพราะเราไม่ได้กลับมาฟังเสียง
00:13:43 → 00:13:46 ร่างกายตัวเราเองถ้าเราฟังอ่ะเราก็รู้สึก
00:13:46 → 00:13:48 ว่าอ๋อแค่ง่วงเราก็นอนพอนอนไปสักพักอ่ะ
00:13:49 → 00:13:51 เราก็จะหายโดยที่เราไม่ต้องกินยาก็ได้อื
00:13:51 → 00:13:54 เอออ๋อจริงๆร่างกายก็ค่อนข้างมหัศจรรย์
00:13:54 → 00:13:56 เนาะเค่อนข้างจะมีกลไกในการที่จะรักษาตัว
00:13:56 → 00:14:00 เองใช่อ่าเพียงแต่เราก็ต้องฟังเสียงร่าง
00:14:00 → 00:14:03 กายของเราให้ใช่ใช่ค่ะเเป็นสิ่งที่
00:14:03 → 00:14:06 มหัศจรรย์ที่สุดละเมีกลไกในการปกป้องแล้ว
00:14:06 → 00:14:09 ก็ดูแลตัวเองแต่เราอ่ะไม่ได้ยินแสดงว่า
00:14:09 → 00:14:12 เวลาที่เราป่วยเราจะแค่กินยาอย่างเดียว
00:14:12 → 00:14:14 แล้วไม่ไม่ให้เวลาในการพักผ่อนพักฟื้นเลย
00:14:14 → 00:14:17 อันนี้ก็อาจจะไม่ได้ทำให้หายอาจจะพูดยาก
00:14:17 → 00:14:20 ถ้าถามว่าหายมบางทีก็หายค่ะแต่เราอาจจะ
00:14:20 → 00:14:24 ใช้ยานานกว่าเดิมเราอาจจะใช้ยาโดสแบบมาก
00:14:24 → 00:14:27 กว่าเดิมพี่รู้สึกว่ายังไงอ่ะตัวเราอ่ะ
00:14:27 → 00:14:29 การที่เราค่อยๆกลับมารักษาร่างกายหรือว่า
00:14:29 → 00:14:32 กลับมาดูแลเขาอ่ะร่วมกับยาไปด้วยมัน
00:14:32 → 00:14:34 เหมือนร่วมด้วยช่วยกันน่ะทำให้มันง่ายใช่
00:14:34 → 00:14:38 ง่วงก็นอนใช่ง่วงก็นอนแล้วก็เหนื่อยก็พัก
00:14:38 → 00:14:41 ตามจังหวะของเราอะไรอย่างเงี้ยแล้วมันจะ
00:14:41 → 00:14:44 ไม่ได้เกิดอะไรใหญ่ๆอ่ะส่วนมากโลกที่เรา
00:14:44 → 00:14:46 รู้สึกว่าเป็นอะไรใหญ่ๆอ่ะมักจะมาจาก
00:14:46 → 00:14:49 เสียงเล็กๆแต่เราไม่ได้ยินอย่างที่ตอนแรก
00:14:49 → 00:14:51 ที่แพนด้าพูดถึงเนาะว่าเอ้ยเราจะสามารถ
00:14:51 → 00:14:54 ดึงดูดหรือ manifest สุขภาพดีได้ไหมก่อน
00:14:54 → 00:14:56 อื่นต้องถามคุณหมอก่อนค่ะว่าการ manifest
00:14:56 → 00:14:58 เนี่ยคืออะไร manifest อ่ะคือการเปลี่ยน
00:14:59 → 00:15:01 ความคิดให้กลายเป็นความจริงก็คือเหมือน
00:15:01 → 00:15:03 เปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในหัวเราอ่ะให้กลาย
00:15:03 → 00:15:04 เป็นความจริงไม่ว่าเฮ้ยฉันอยากมีสุขภาพ
00:15:05 → 00:15:07 ที่ดีกว่านี้ฉันอยากมีเงินมากกว่านี้อะไร
00:15:07 → 00:15:08 อย่างเงี้ยค่ะแล้วเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เรา
00:15:08 → 00:15:11 แบบจับต้องได้เห็นในโลกที่เราเป็นจริงอัน
00:15:11 → 00:15:14 นั้นคือ manifest ใช่แต่ว่ากระบวนการของ
00:15:14 → 00:15:17 การ manifest พูดคร่าวๆมันก็คือการขอ
00:15:17 → 00:15:19 เชื่อแล้วก็รับที่เขาพูดกันใช่มั้ยคะการ
00:15:20 → 00:15:22 ขอก็คือเราต้องส่งออกไปก่อนหรือว่าเรา
00:15:22 → 00:15:25 เห็นภาพว่าเราอ่ะจะเอาอะไรเราเห็นภาพตัว
00:15:25 → 00:15:27 เองเป็นแบบไหนเช่นเราเห็นภาพตัวเองเป็นคน
00:15:27 → 00:15:30 ที่มีซิแพคอันนี้คือเราส่งออกไปละเชื่อ
00:15:30 → 00:15:32 คือการลงมือทำพอเราเห็นเสร็จปุ๊ว่าเออฉัน
00:15:33 → 00:15:36 แบบมีหุ่นแบบนี้นะฉันมีสุขภาพดีแบบนี้ฉัน
00:15:36 → 00:15:38 ก็ลงมือปรับเปลี่ยนนี่คือความเชื่อค่ะ
00:15:38 → 00:15:41 ความเชื่อไม่ใช่แบบเชื่อๆแต่เชื่อที่แท้
00:15:41 → 00:15:44 จริงอ่ะคือเราลงมือทำอ่ะฉันลงไปฟิตเนสฉัน
00:15:44 → 00:15:46 กินอาหารที่ดีขึ้นฉันกินโปรตีนกินให้ถึง
00:15:46 → 00:15:49 มันก็เลยสอดคล้องไค่ะขอก็คือเห็นภาพและ
00:15:49 → 00:15:51 เชื่อเราลงมือทำแล้วเราก็ได้รับเราทำแบบ
00:15:51 → 00:15:54 ไหนเราก็ได้รับแบบนั้นเอออืค่ะเพราะว่า
00:15:54 → 00:15:56 ขั้นตอนของความเชื่อเนี่ยถ้าจะให้เชื่อ
00:15:56 → 00:15:59 จริงๆมันต้องมีหลักฐานถูกมั้ยคะออืใช่เรา
00:15:59 → 00:16:01 ไม่ได้เชื่อจากการแบบโอ๊ยนั่งสมาธิเรา
00:16:01 → 00:16:05 เชื่อแต่มันเชื่อจากการที่เราลืมตาลงมือ
00:16:05 → 00:16:08 ทำให้สอดคล้องเราถึงจะเกิดความเชื่อขึ้น
00:16:08 → 00:16:11 มาค่ะแล้วการตั้งจิตอธิษฐานอย่างเงี้ยค่ะ
00:16:11 → 00:16:13 ถือเป็นการ manifest มั้คะการตั้งจิตอ่ะ
00:16:13 → 00:16:16 มันคือการส่งแรงปรารถนาหนาเออมันคือส่วน
00:16:16 → 00:16:19 หนึ่งของการ manifest แต่ถ้าเราส่งอย่าง
00:16:19 → 00:16:21 เดียวฉันจะเอาซpคอย่างเดียวแต่เราไม่ได้
00:16:21 → 00:16:24 ลงมือทำอ่ะมันก็ไม่สามารถเกิดในสิ่งที่
00:16:24 → 00:16:26 เราจับต้องได้เพราะฉะนั้นน่ะการตั้ง
00:16:26 → 00:16:29 จิตฐานเป็นส่วนหนึ่งแค่แบบส่วนเล็กๆอ่ะ
00:16:29 → 00:16:31 ค่ะเออแต่ไม่ใช่ทั้งหมดของการ manifest
00:16:31 → 00:16:35 manifest ไม่ได้ลงมือทำก็ไม่มีทางเกิด
00:16:35 → 00:16:37 เหมือนเรานึกภาพอยากได้ซิแพคอ่ะแต่เราไม่
00:16:37 → 00:16:39 ได้ปรับอะไรเลยอ่ะเราก็ยังเหมือนเดิมจริง
00:16:39 → 00:16:42 ๆการตั้งจิตอธิษฐานนี่ก็ต้องลงมือทำอย่าง
00:16:42 → 00:16:45 ที่บอกเพราะบางทีขออย่างเดียวมันก็ไม่ได้
00:16:45 → 00:16:47 อมันก็จะไปโทษเป็นภาระของสิ่ง
00:16:47 → 00:16:49 ศักดิ์สิทธิ์อีกใช่แต่ว่ามันจะดีตรงที่
00:16:50 → 00:16:52 ว่าเวลาที่เราตั้งจิตอธิษฐานน่ะหรือว่าขอ
00:16:52 → 00:16:54 อ่ะมันเป็นกระบวนการโฟกัสค่ะอย่างเช่นแบบ
00:16:54 → 00:16:57 มันเกิดการโฟกัสว่าฉันจะเอาซิแพคอันเนี้ย
00:16:57 → 00:16:59 เพราะฉะนั้นฉันจะได้ทำทุกอย่างเพื่อให้
00:16:59 → 00:17:02 สอดคล้องกับซกแพคอันนี้จะเอาหุ่นแบบนี้ก็
00:17:02 → 00:17:04 ต้องออกกำลังกายแบบนี้จะเอาหุ่นอีกแบบนึง
00:17:04 → 00:17:06 ก็ออกกำลังกายแบบนึงเพราะฉะนั้นน่ะมันคือ
00:17:06 → 00:17:09 การโฟกัสว่าจะเอาอะไรเฉยๆแต่ว่าโฟกัส
00:17:09 → 00:17:10 อย่างเดียวอ่ะแต่เราไม่ได้ทำอ่ะมันไม่
00:17:10 → 00:17:12 สามารถให้สิ่งนั้นน่ะมันเกิดขึ้นในแบบ
00:17:12 → 00:17:15 ชีวิตจริงของเราได้มีคำถามถามค่ะว่าแล้ว
00:17:15 → 00:17:18 อย่างเงี้ย manifest คือตัณหามั้ยคะถ้า
00:17:18 → 00:17:21 เกิดว่าตัณหาเท่ากับความอยากใช่มยอยากได้
00:17:21 → 00:17:23 ก็คือเราส่งไปจริงๆแล้วอ่ะค่ะ Manifest
00:17:24 → 00:17:27 อ่ะคือกฎแห่งธรรมชาติเราอ่ะไม่ได้ในสิ่ง
00:17:27 → 00:17:30 ที่เราอยากเราได้ในสิ่งที่เราควรพี่ยกตัว
00:17:30 → 00:17:32 อย่างง่ายๆอย่างวันเนี้ยเราอยากได้เงิน
00:17:32 → 00:17:35 ล้านเราส่งไปว่าเราอยากได้เงินล้านแต่ถ้า
00:17:35 → 00:17:38 เราเงินล้านเงินล้านเงินล้านแต่เราไม่ได้
00:17:38 → 00:17:41 กลับมาเปลี่ยน่ะเราอยู่คนละระดับกัน
00:17:41 → 00:17:43 manifest คือการจูนคลื่นหรือว่าเหมือน
00:17:43 → 00:17:45 เราจูนคลื่นวิทยุอยู่ให้อยู่ในร่องเดียว
00:17:45 → 00:17:47 กันแล้วเราได้รับในสิ่งนั้นสมมุติว่าเงิน
00:17:47 → 00:17:49 ล้านมันจูนคือ 100 อ่ะค่ะแต่เราอยากคือ
00:17:49 → 00:17:52 เราเป็นศูนย์น่ะเราไม่ได้นะคะการที่เราจะ
00:17:52 → 00:17:54 manifest ได้คือการที่เรากลับมาตัวเอง
00:17:54 → 00:17:57 ฉันทำอะไรได้ในตอนนี้แล้วลงมือทำให้มัน
00:17:57 → 00:17:59 สอดคล้องเพื่อไปจูนคลื่นเดียวกันให้มัน
00:17:59 → 00:18:01 ตรงเราถึงจะได้เพราะฉะนั้นสำหรับพี่
00:18:01 → 00:18:04 Manifest ไม่ได้เป็นความอยากอยากเป็นการ
00:18:04 → 00:18:06 ส่งแต่เราไม่ได้ในสิ่งที่อยากเราได้ใน
00:18:06 → 00:18:10 สิ่งที่เราคู่ควรที่จะได้รับเมื่อเราลง
00:18:10 → 00:18:12 มือทำสอดคล้องกับสิ่งนั้นเราถึงจะได้รับ
00:18:12 → 00:18:14 เพราะฉะนั้น Manifest ก็คือกดกฎธรรมชาติ
00:18:14 → 00:18:18 การเหตุและผลทำอะไรได้แบบนั้นอย่างเงี้ย
00:18:18 → 00:18:21 อืเรามาเพื่อสุขภาพที่ดีกันแล้วเนี่ยนะคะ
00:18:21 → 00:18:23 เราก็ต้องมาสร้างเหตุที่ดีกันด้วยค่ะด้วย
00:18:23 → 00:18:25 การดูแลร่างกายแล้วก็ดูแลผิวพรรณของเรา
00:18:25 → 00:18:28 ให้ดีนะคะหากใครที่มีปัญหาเรื่องมีเวลา
00:18:28 → 00:18:30 น้อยนะคะแล้วก็อยากหาสกินแคร์ที่มี
00:18:30 → 00:18:32 ประสิทธิภาพเนี่ยก็จะแนะนำเป็นสกินแคร์
00:18:32 → 00:18:35 ที่มีส่วนผสมของ PLA หรือว่า
00:18:35 → 00:18:38 Plaเจนและชะลอความเสื่อมของผิวค่ะ PLA
00:18:39 → 00:18:40 หรือว่า Penla เนี่ยเป็นส่วนผสมที่มีอยู่
00:18:40 → 00:18:43 ในสโคปaคล้ายๆโบท็อกค่ะแต่ว่าฮอตัวเนี่ย
00:18:43 → 00:18:46 สามารถทำให้เราใช้เพล่าได้ทุกวันเลยค่ะที
00:18:46 → 00:18:49 นี้สำหรับบางท่านที่อาจจะเคย manifest
00:18:49 → 00:18:51 หรือว่าเคยทำกระบวนการแบบนี้เนาะแล้วก็
00:18:51 → 00:18:53 เฮ้ยบางเรื่องเรา manifest สำเร็จกับบาง
00:18:53 → 00:18:56 เรื่องนะเช่นแบบว่าเราเป็นคนมีหน้าที่การ
00:18:56 → 00:18:58 งานที่โอเคละสำเร็จละแต่ทำไมกับอย่างอีก
00:18:58 → 00:19:00 บางเรื่องเช่นความสัมพันธ์ไม่สำเร็จสักที
00:19:00 → 00:19:02 นึงอ่ามันเป็นเพราะอะไรคะมันติดอยู่ที่
00:19:02 → 00:19:04 ขั้นตอนไหนหรือเปล่าส่วนมากที่เรา
00:19:04 → 00:19:06 manifest ได้มักจะเป็นเรื่องที่เราไม่
00:19:06 → 00:19:09 ค่อยคาดหวังเป็นเรื่องแบบเล็กๆลองสังเกต
00:19:09 → 00:19:12 นะคะว่าเรื่องที่เรา manifest ได้ที่เรา
00:19:12 → 00:19:15 สร้างได้มักจะเป็นเรื่องง่ายๆที่เราไม่
00:19:15 → 00:19:17 คาดหวังหรือว่าเรารู้สึกว่าเรื่องนี้เอา
00:19:17 → 00:19:19 อยู่แต่ว่าเรื่องที่เราแบบ manifest ไม่
00:19:19 → 00:19:21 ได้อ่ะมักจะเป็นเรื่องที่ใหญ่เป็นเรื่อง
00:19:21 → 00:19:24 ที่เราอยากเป็นเรื่องที่เราแบบต้องลงมือ
00:19:24 → 00:19:27 ทำมากอีกนิดนึงเกิน comfor zโซนน่าสนใจ
00:19:27 → 00:19:29 มากค่ะคือเรื่องที่เรามักจะ manifest
00:19:29 → 00:19:30 สำเร็จมันเป็นเรื่องที่เรามีความรู้สึก
00:19:30 → 00:19:33 ว่าเฮ้ยเรื่องเเราเอาอยู่เอาอยู่คือไม่
00:19:33 → 00:19:36 ได้รู้สึกกังวลอะไรกับตรงนั้นฉันจะผ่านไป
00:19:36 → 00:19:39 ได้ฉันจะทำได้แน่ๆคือการวางใจใช่มั้คะอ
00:19:39 → 00:19:42 ใช่หรือว่าเรื่องที่แบบได้ก็ได้ไม่ได้ก็
00:19:42 → 00:19:46 ไม่เป็น
00:19:46 → 00:19:50 มันก็ไม่เป็นอย่างเงี้ค่ะเราก็จะวางใจได้
00:19:50 → 00:19:53 ง่ายกว่าแต่ถ้าเกิดว่าถ้าไม่ได้เงินแสน
00:19:53 → 00:19:56 สิ้นเดือนเนี้ยไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านโอ้โห
00:19:56 → 00:19:59 มันมีความอยากมันต้องได้มันมีความเครียด
00:19:59 → 00:20:02 ตั้งแต่แรกแล้วอ่ะค่ะมันก็เลยทำให้เราอ่ะ
00:20:02 → 00:20:05 ได้ยากขึ้นมันมีแรงต้านเยอะอือืแต่มันก็
00:20:05 → 00:20:07 เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นใช่มั้ยคะไอ้
00:20:07 → 00:20:11 พลังงานพวกนี้หมายถึงเออแรงต้านต่างๆจริง
00:20:11 → 00:20:14 ๆมันก็ก็มีอยู่ตลอดนะลองไปกลับไปที่
00:20:14 → 00:20:16 เรื่องลดน้ำหนักก็ได้เราแบบลดน้ำหนักมา
00:20:16 → 00:20:18 ตั้งกี่ครั้งแล้วอ่ะการที่บอกว่าเราอ่ะจะ
00:20:18 → 00:20:20 ลดน้ำหนักได้มากกว่าเนี้ยแต่สุดท้ายพอเรา
00:20:20 → 00:20:23 ทำอ่ะเราก็กลับไปเหมือนเดิมหรือฉันจะตื่น
00:20:23 → 00:20:25 5:00 น.ฉันเขียน New Year Resolu ตอน
00:20:25 → 00:20:28 เช้าว่าฉันจะตื่น 5:00 น.มานั่งสมาธิอ่ะ
00:20:28 → 00:20:30 ค่ะเราทำไปประมาณ 1 เดือนน่ะสุดท้ายเรา
00:20:30 → 00:20:32 กลับไปเป็นเหมือนเดิมเพราะมันมีแรงต้าน
00:20:32 → 00:20:35 เออมันมีสิ่งที่ดึงเราสู่จุดเดิมอ่ะค่ะ
00:20:35 → 00:20:37 มันก็คือไอ้ตรงความเชื่อจำกัดตรงนี้นี่
00:20:37 → 00:20:40 แหละแล้วเราจะมีวิธียังไงในการที่จะลดแรง
00:20:40 → 00:20:42 ต้านตรงนั้นมั้คะเพื่อทำให้เราเนี่ย
00:20:42 → 00:20:44 manifest สำเร็จมากขึ้นน่ะสำหรับพี่นะลง
00:20:44 → 00:20:47 มือทำความเชื่อไม่ได้ถูกลบล้างด้วยการ
00:20:48 → 00:20:50 นั่งแล้วบอกว่าแบบรู้สึกดีแต่ความเชื่อ
00:20:50 → 00:20:53 ถูกลบล้างเมื่อเราลงมือทำค่ะในวันที่แบบ
00:20:53 → 00:20:57 อุ๊ยเราวางซิแพคไว้ไกลมากอ่ะแต่ความเชื่อ
00:20:57 → 00:20:59 นั้นน่ะมันจะแบบเฮ้ยฉันทำได้อ่ะเมื่อเรา
00:20:59 → 00:21:01 เริ่มลงมือทำเมื่อเราลงมือทำอาจจะเล็ก
00:21:01 → 00:21:04 น้อยแค่ไหนก็ตามอาจจะออกไปเดินเปลี่ยนการ
00:21:04 → 00:21:06 กินเล็กๆน้อยๆอ่ะมันจะทำให้แรงต้านตรง
00:21:06 → 00:21:09 เนี้ยมันน้อยลงความเชื่อไม่ได้ถูกกำจัด
00:21:09 → 00:21:12 หรือว่าทำให้น้อยลงผ่านการนั่งเฉยๆผ่าน
00:21:12 → 00:21:15 การเรียนไม่ใช่ต้องทำด้วยตัวเราเองเพราะ
00:21:15 → 00:21:18 ว่าการทำอ่ะก่อให้เกิดประสบการณ์แล้วตรง
00:21:18 → 00:21:21 นั้นถึงจะค่อยๆทลายความเชื่อลงไปค่ะอ่า
00:21:21 → 00:21:24 แล้วอย่างกรณีที่เราจะ manifest อะไรสัก
00:21:24 → 00:21:27 อย่างค่ะมันจะต้องเป็นสิ่งที่เรารู้ว่า
00:21:27 → 00:21:29 สิ่งเนี้ยเป็นไปได้ด้วยมั้คะคืออย่าง
00:21:29 → 00:21:32 สมมุตินะอยู่ๆวันนี้ manifest ว่าฉันจะ
00:21:33 → 00:21:36 เป็นเจ้าของ NASA อ่าอย่างเงี้ยอืแล้วก็
00:21:36 → 00:21:39 เราจะทำสำเร็จได้มั้อ่ะอจริงๆอ่ะมันได้
00:21:39 → 00:21:42 หมดเลยอ่ะไอ้ตรงที่เราส่งไปอ่ะได้หมดเลย
00:21:42 → 00:21:45 แต่คำถามคือตอนที่เราส่งไปความเชื่อที่
00:21:45 → 00:21:48 เรามีต่อสิ่งนั้นน่ะมันได้ไหมแล้วกระบวน
00:21:48 → 00:21:50 การ manifest อ่ะไม่ใช่กระบวนการที่เกิด
00:21:50 → 00:21:54 ขึ้นแบบ 1 วัน 2 วันมันเป็นรองเกมมันเป็น
00:21:54 → 00:21:56 ระยะยาวอ่ะค่ะเพราะฉะนฉะนั้นเราอาจจะแบบ
00:21:56 → 00:21:59 เอ้ยฉันจะไปทำงานนาซ่าเอ้ยเราทำได้นะหรือ
00:21:59 → 00:22:02 ว่าเราตั้งเป้าหมายได้นะแต่ประเด็นคือพูด
00:22:02 → 00:22:04 แล้วอ่ะเรารู้สึกเชื่อได้ไหมเพราะถ้าเรา
00:22:04 → 00:22:07 เชื่อปุ๊บอ่ะเดี๋ยวเราจะหาทางสักอย่างนึง
00:22:07 → 00:22:09 เพื่อไปถึงตรงนั้นน่ะอแปลว่าตั้งแต่
00:22:09 → 00:22:12 กระบวนการขอเนี่ยถ้าตรงที่ขอเราจะรู้อยู่
00:22:12 → 00:22:14 แล้วหรอว่าอันเนี้ยเราคิดว่ามันจะเป็นไป
00:22:14 → 00:22:16 ได้จริงหรือเปล่าใช่มั้คะอ่ากับบางอย่าง
00:22:17 → 00:22:19 อย่างเมื่อกี้ที่้ายกตัวอย่างคือมันดูสุด
00:22:19 → 00:22:22 ต่งไปเลยใช่มั้สุดมากเออพอย์ก็คือว่าแบบ
00:22:22 → 00:22:25 พอมันสุดต่งมากอเราก็เชื่อไม่ได้อ่ะพอเรา
00:22:25 → 00:22:28 เชื่อในตัวเองไม่ได้จริงๆไม่ผิดเลยนะคือ
00:22:28 → 00:22:30 ส่งได้ทุกอย่างแต่ว่าพอเราเชื่อไม่ได้
00:22:30 → 00:22:33 เนี่ยมันก็ไม่เกิดการลงมือทำที่สอดคล้อง
00:22:33 → 00:22:36 อ่ะงั้นมีแบบแซ่นิดนึงค่ะพี่รู้สึกว่า
00:22:36 → 00:22:38 จริงๆแล้วกระบวนการ manifest อ่ะเวลาที่
00:22:38 → 00:22:41 เราส่งอะไรไปอ่ะมักจะเป็นสิ่งที่เรายัง
00:22:41 → 00:22:43 ไม่เคยได้รับอ่าเช่นชีวิตที่มี passive
00:22:43 → 00:22:46 income ชีวิตที่มีอิสระมีร่างกายที่อุดม
00:22:46 → 00:22:49 สมบูรณ์เพราะฉะนั้นน่ะสิ่งที่เราส่งไปอ่ะ
00:22:49 → 00:22:52 มักจะออกจากคฟตโซนเรานิดนึงแต่อย่าให้ไกล
00:22:52 → 00:22:55 เกินกว่าเราไม่เชื่อสิ่งนั้นมันไม่ใช่
00:22:55 → 00:22:57 อยู่ใน comfort โซนแน่นอนถ้าเรายังทำงาน
00:22:57 → 00:22:59 ประจำเราคงไม่ manifest ทำงานประจำอ่ะ
00:22:59 → 00:23:01 เพราะเราได้รับมันแล้วไงเราเป็นสิ่งนั้น
00:23:01 → 00:23:03 ไปแล้วส่วนมากถ้าเรายังทำงานประจำเราก็
00:23:03 → 00:23:06 อยากที่จะมีชีวิตอิสระใช่มยให้ออกจาก
00:23:06 → 00:23:09 comfort zโซนแต่อย่าไกลเกินไปที่เราไม่
00:23:09 → 00:23:12 เชื่อว่าเราจะทำได้ค่อยๆขยับจากแบบโอเคทำ
00:23:12 → 00:23:15 งานประจำอาจจะขยายหรือว่าเริ่มทำธุรกิจ
00:23:15 → 00:23:17 อ่ะสเกล 1 ล้าน 10 ล้านให้เรารู้สึกว่า
00:23:17 → 00:23:20 เอ้ยเราค่อยๆไปแบบเนี้ยค่ะอืค่ะอ๋อจริงๆ
00:23:20 → 00:23:23 อย่างที่บอกเลยเนาะว่าไม่ว่าจะขอใหญ่แค่
00:23:23 → 00:23:26 ไหนไม่ได้แปลว่าจะไม่สำแต่มันมีกระบวนการ
00:23:26 → 00:23:29 ที่ว่าอาจจะต้องถอยมาให้มันเป็นสเต็ปไป
00:23:29 → 00:23:31 ก่อนเพื่อให้เข้าใกล้สิ่งนั้นไปเรื่อยๆอ
00:23:31 → 00:23:34 ใช่จริงๆคำว่าเข้าใกล้อ่ะคือมันเป็นการ
00:23:34 → 00:23:37 พัฒนาความเชื่อเราอ่ะเฉยๆอย่างเช่นถ้าเรา
00:23:37 → 00:23:41 ไม่เคยได้ 1 ล้านเลยอ่ะแล้วเราไป manifest
00:23:41 → 00:23:44 แบบ 100 ล้านอ่ะยากที่เราแบบจะเชื่อในวัน
00:23:44 → 00:23:46 ที่แบบเราเงินเดือน 15,000 กับ 100 ล้าน
00:23:46 → 00:23:48 น่ะมันแบบมันไกลมากอ่ะค่ะแต่ถ้าเรา
00:23:48 → 00:23:52 manifest ร้านแรกแล้วเราทำล้านแรกได้อ่ะ
00:23:52 → 00:23:54 เราเปลี่ยนจากมนุษย์เงินหมื่นเป็นมนุษย์
00:23:54 → 00:23:56 เงินล้านแล้วเพราะว่าเราเชื่อว่าเราทำได้
00:23:56 → 00:23:59 แล้วอ่ะล้านนึงไป 100 ล้านมันก็เลยเหมือน
00:23:59 → 00:24:02 ทำให้เราทำมันสั้นลงอ่ะค่ะพอยคือความ
00:24:02 → 00:24:05 เชื่อของเราตัวตนเรามันถูกขยายว่าฉันทำ
00:24:05 → 00:24:09 สิ่งนี้ได้แล้วอค่ะก็มีวิธีการในการที่จะ
00:24:09 → 00:24:12 ตั้งเป้าหมายหรือว่าการขอเหมือนกันเนาะ
00:24:12 → 00:24:15 เพราะว่าบางครั้งถ้าตั้งอะไรที่มันยังไม่
00:24:15 → 00:24:17 สมควรจะตั้งในตอนนี้มันอาจจะทำให้เราเข้า
00:24:17 → 00:24:20 ใจผิดว่าเราไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำ
00:24:20 → 00:24:23 สิ่งนั้นได้เมื่อก่อนน่ะคนจะถามพี่ว่า
00:24:23 → 00:24:25 เอ้ย manifest ต้องใช้กระบวนการอะไรจะ
00:24:26 → 00:24:29 ต้องมีขั้นตอนอะไรบ้างอะไรเงี้ยแต่จริงๆ
00:24:29 → 00:24:32 แล้วอ่ะ manifest คือการเป็นการเป็นคือ
00:24:32 → 00:24:35 นิสัยเมื่อไหร่ก็ตามอ่ะค่ะสมมุติว่าเรา
00:24:35 → 00:24:38 ส่งไปว่าเราเป็นคนสุขภาพดีแต่เราจะได้รับ
00:24:38 → 00:24:41 สิ่งนั้นเมื่อเราลงมือทำใช่ป่ะจนเราเป็น
00:24:41 → 00:24:44 คนที่นิสัยสุขภาพดีคือเป็นคนกินผักเป็น
00:24:44 → 00:24:47 นิสัยเป็นคนแบบออกกำลังกายเป็นนิสัยอ่ะ
00:24:47 → 00:24:50 เราถึงได้รับสิ่งนั้นจริงๆแล้ว manifest
00:24:50 → 00:24:53 ไม่ใช่กระบวนการ manifest คือการพัฒนา
00:24:53 → 00:24:56 พัฒนาตัวเราอ่ะจนเราขยายการเป็นหรือว่า
00:24:56 → 00:24:58 เป็นนิสัยใหม่อ่ะแล้วเราจะได้รับสิ่งใหม่
00:24:58 → 00:25:00 โดยที่เราไม่ต้องใช้กระบวนการ manifest
00:25:00 → 00:25:04 เลยอืเราจะไม่กลับมาถามว่าขอแบบนี้ได้มย
00:25:04 → 00:25:07 เชื่อยังไงได้รับยังไงเราจะไม่มีกระบวน
00:25:07 → 00:25:09 การเลยเพราะว่ามันเป็นการเป็นของเราไป
00:25:09 → 00:25:12 แล้วคือ manifest เกี่ยวกับนิสัยว่าเรา
00:25:12 → 00:25:15 พัฒนาตัวเองพัฒนานิสัยเราเพื่อที่สมควรจะ
00:25:15 → 00:25:18 เป็นคนๆนั้นที่เราต้องการใช่ใช่หมายความ
00:25:18 → 00:25:20 ว่าจริงๆแล้วอ่ะคะมันก็เป็นสิ่งที่ต้อง
00:25:21 → 00:25:24 แลกเหมือนกันใช่มั้ยคะไม่ใช่ได้ฟรี
00:25:24 → 00:25:27 อือาจจะต้องถามว่าเราแลกกับอะไรมากกว่า
00:25:27 → 00:25:29 เพราะว่าสุดท้ายแล้วอ่ะสิ่งที่เรา
00:25:29 → 00:25:32 manifest ก็เป็นชีวิตที่เราต้องการอยู่
00:25:32 → 00:25:34 แล้วเราคงไม่ได้ manifest ในเชิงลบแต่
00:25:34 → 00:25:36 ส่วนใหญ่อ่ะเราจะ manifest อัตโนมัติเรา
00:25:36 → 00:25:38 จะได้ผลลบเพราะว่าสิ่งแวดล้อมหรือว่าสิ่ง
00:25:38 → 00:25:41 ที่เราอยู่อ่ะมันทำให้เรา manifest
00:25:41 → 00:25:43 อัตโนมัติจริงๆแล้วมนุษย์ทุกคน manifest
00:25:44 → 00:25:47 ตลอดเวลาอืเพียงแต่สิ่งที่เราได้รับเป็น
00:25:47 → 00:25:51 สิ่งที่เราไม่ได้เลือกเช่นเราออกไปแบบดู
00:25:51 → 00:25:53 ข่าวเราก็จะเจออะไรที่เพื่อนเป็นโซนลบ
00:25:53 → 00:25:56 หรือว่าเขาอาชญากรรมมันเลยทำให้เราอ่ะ
00:25:56 → 00:25:58 อยู่ในโซนลบเออให้รู้ไว้ว่าตอนเนี้ยเรา
00:25:58 → 00:26:01 กำลัง manifest อยู่เพียงแต่ว่าสิ่งนั้น
00:26:01 → 00:26:03 เราไม่ได้เลือกแต่เวลาที่เราแบบตั้งจิต
00:26:04 → 00:26:05 แล้วเรา manifest อ่ะเป็นชีวิตที่เรา
00:26:05 → 00:26:07 เลือกแล้วอ่ะแล้วเราลงมือทำแบบนั้นมันก็
00:26:07 → 00:26:12 เลยเป็นจุดโฟกัสอืนั่นหมายความว่าถ้า
00:26:12 → 00:26:16 สมมุติเรื่องของการมีสุขภาพดีเรา manifest
00:26:16 → 00:26:18 เนี่ยดึงดูดเลยเราอยากเป็นคนที่มีสุขภาพ
00:26:18 → 00:26:20 ดีแต่เราไม่ได้เปลี่ยนนิสัยไม่ได้เปลี่ยน
00:26:20 → 00:26:23 พฤติกรรมตัวเองระหว่างนี้ให้เป็นคนที่สม
00:26:23 → 00:26:27 ควรจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีนั่นหมายความว่า
00:26:27 → 00:26:29 เราก็คงไปไม่ถึงสิ่งที่เราต้องการนั่นเอง
00:26:29 → 00:26:31 ไม่มีทางใช่เพราะว่า manifest มันไม่ใช่
00:26:31 → 00:26:34 ความคิดอ่ะค่ะแต่คิดซ้ำๆอ่ะถึงลงมือทำลง
00:26:34 → 00:26:37 มือทำซ้ำๆเป็นนิสัยเพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้
00:26:37 → 00:26:40 เปลี่ยนนิสัยก็ไม่สามารถได้รับในสิ่งนั้น
00:26:40 → 00:26:43 ได้ไม่มีทางลัดเนาะไม่มีทางลัดทางลัดคือ
00:26:43 → 00:26:46 ทำไปเรื่อยๆค่ะมันก็เลยกลับไปตอบคำถาม
00:26:46 → 00:26:48 เดิมที่ว่าจริงๆแล้วอ่ะ manifest ไม่ใช่
00:26:48 → 00:26:51 แบบตัณหาหมายถึงว่าไม่ใช่เป็นความอยาก
00:26:51 → 00:26:53 เพราะว่าเราไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากเราอาจ
00:26:53 → 00:26:55 จะอยากหุ่นดีทุกคนก็อยากได้แบบ passive
00:26:55 → 00:26:58 income แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้อยู่ที่
00:26:58 → 00:27:01 ว่าเราลงมือทำจนเป็นนิสัยเรามยเออนิสัย
00:27:01 → 00:27:04 ความรับผิดชอบนิสัยแบบล้มแล้วลุกขึ้นมา
00:27:04 → 00:27:06 ใหม่นิสัยอะไรพวกเนี้ยค่ะที่ทำให้เราไป
00:27:06 → 00:27:08 ได้รับสิ่งนั้นน่ะคล้ายๆกับอันนึงที่เขา
00:27:08 → 00:27:11 จะบอกว่าถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์ใหม่แต่เรา
00:27:11 → 00:27:13 ยังทำวิธีการเดิมเนี่ยไม่มีทางที่มันจะ
00:27:13 → 00:27:15 เกิดผลลัพธ์ใหม่ขึ้นได้ใช่จริงๆก็คือ
00:27:15 → 00:27:17 เรื่องเดียวกันเพราะว่าเป็นเรื่องแบบ
00:27:17 → 00:27:20 ธรรมชาติเออออยากถามว่าในระหว่างที่เรา
00:27:21 → 00:27:23 ตั้งเป้าหมายแล้วค่ะแล้วก็อาจจะมีการลง
00:27:23 → 00:27:26 มือทำอย่างเข้มข้นมีวินัยมากขึ้นหรือ
00:27:26 → 00:27:27 กำลังเปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนตัวเองเปลี่ยน
00:27:27 → 00:27:30 พฤติกรรมเนี่ยค่ะมันอาจจะมีความเครียด
00:27:30 → 00:27:33 เกิดขึ้นบ้างเพราะว่ามันต้องสู้กับนิสัย
00:27:33 → 00:27:36 เดิมๆเนาะอ่าอาจจะต้องมีคำการฝืนหรือหลาย
00:27:36 → 00:27:39 ๆอย่างค่ะอยากรู้ว่าระหว่างที่ทำไปแล้ว
00:27:39 → 00:27:41 เครียดกดดันตัวเองไปด้วยก็จะได้ผลลัพธ์
00:27:41 → 00:27:45 เหมือนกันมั้ยคะมันจะติดหลูเท่าที่พี่เจอ
00:27:45 → 00:27:48 นะถ้าเกิดว่าทำแล้วแบบทำไมฉันทำไม่ได้อ่ะ
00:27:48 → 00:27:51 มันทำให้เราไปต่อไม่ได้เพราะฉะนั้นนั้น
00:27:51 → 00:27:54 น่ะมันคือการทำรับรู้ว่าเออตอนนี้ไม่ได้
00:27:54 → 00:27:57 แล้วแบบไปต่ออ่ะเหมือนกลับมาคิลิ่งตัวเอง
00:27:57 → 00:27:59 แล้วก็แบบไปต่อเพราะฉะนั้นถ้าเกิดทำแล้ว
00:27:59 → 00:28:02 แบบเครียดทำด้วยความอยากทำไมฉันทำไม่ได้
00:28:02 → 00:28:04 ดีมากกว่าเนี้ยค่ะมันจะทำให้เราอยู่โซน
00:28:05 → 00:28:07 ล่างอ่ะอยู่ในอารมณ์ที่แบบเป็นเชิงลบอ่ะ
00:28:07 → 00:28:09 แล้วมันทำให้เราไปต่อไม่ได้นั่นหมายความ
00:28:10 → 00:28:12 ว่าระหว่างที่เรากำลังเปลี่ยนกำลังปรับ
00:28:12 → 00:28:14 เราก็ต้องมีการวางใจด้วยมั้คะโออันนี้
00:28:14 → 00:28:17 สำคัญมากจริงๆเป็นกระบวนการที่แบบคนแบบ
00:28:17 → 00:28:20 80-90% ติดเพราะว่ากระบวนการวางใจอ่ะ
00:28:20 → 00:28:22 เวลา Manifest อ่ะค่ะเรา manifest สิ่ง
00:28:22 → 00:28:24 ที่ยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะฉะนั้นน่ะสิ่งที่
00:28:24 → 00:28:26 คนติดคือความอยากแก้ด้วยการแบบรู้สึกวาง
00:28:26 → 00:28:30 ใจแต่เราจะวางใจไม่ได้นะคะถ้าเราอยู่เฉยๆ
00:28:30 → 00:28:32 เราจะวางใจได้เมื่อเราลงมือทำเท่านั้นมัน
00:28:32 → 00:28:35 ทำให้ระยะสั้นลงเพราะว่าพอลงมือทำปุ๊บอ่ะ
00:28:35 → 00:28:37 มันกลับมาเติมความเชื่อเราพอมาเติมความ
00:28:37 → 00:28:39 เชื่อมันทำให้ไอ้เส้นที่มันเคยแบบ 100
00:28:39 → 00:28:41 กก.ตัวอ่ะมันลดเหลือเหลือแบบ 80 อ่ะแล้ว
00:28:41 → 00:28:43 มันสั้นลงไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นการวางใจ
00:28:43 → 00:28:46 ไม่ได้เกิดจากการที่นั่งเฉยๆแล้วบอกตัว
00:28:46 → 00:28:49 เองว่าวางใจแต่เกิดจากการลืมตาไปใช้ชีวิต
00:28:49 → 00:28:53 แล้วก็ลงมือทำไปเรื่อยๆค่ะทำให้ความเชื่อ
00:28:53 → 00:28:56 แข็งแรงขึ้นการวางใจจะมากขึ้นอค่ะการวาง
00:28:56 → 00:28:57 ใจก็เหมือนกับที่เราคุยกันไปก่อนหน้านี้
00:28:57 → 00:29:00 ว่าบางเรื่องที่มัน manifest สำเร็จก็คือ
00:29:00 → 00:29:02 เพราะว่าเราคิดเราวางใจเราเชื่อว่าเราเอา
00:29:02 → 00:29:04 อยู่อ่าอันนี้ก็เช่นกันคือระหว่างกระบวน
00:29:04 → 00:29:06 การขั้นตอนที่เราจะไปถึงสิ่งที่เราตั้งใจ
00:29:06 → 00:29:09 เรากำลังเปลี่ยนหรืออะไรก็ตามขอให้เชื่อ
00:29:09 → 00:29:12 มั่นละกันว่าเออวันนึงเราจะไปถึงแหละใช่
00:29:12 → 00:29:15 อ่าอย่างตอนแรกค่ะที่เราคุยกันแล้วคุณหมอ
00:29:15 → 00:29:18 ฟ้าพูดถึงเรื่องของ noble คือคนที่ไม่ได้
00:29:18 → 00:29:20 ป่วยแต่ว่าคิดว่าป่วยก็เลยเกิดเอฟเฟคกับ
00:29:20 → 00:29:23 ร่างกายทีนี้อยากรู้ว่าแล้วมีคนไหนที่เขา
00:29:23 → 00:29:27 ป่วยจริงๆแล้วสามารถหายได้ด้วยการทำสมาธิ
00:29:27 → 00:29:30 หรือว่าสามารถหายได้ด้วยพลังใจบ้างมอ่ะ
00:29:30 → 00:29:33 ค่ะอืพี่เองนี่แหละเออคือตอนแรกเราป่วย
00:29:33 → 00:29:36 แล้วมันหาสาเหตุไม่ได้พอหาสาเหตุไม่ได้
00:29:36 → 00:29:38 เนี่ยหมอเขาก็เลยเหมือนแบบเออจะต้องพัก
00:29:38 → 00:29:41 นิดนึงและไอ้ช่วงนั้นน่ะด้วยความที่มัน
00:29:41 → 00:29:43 ไม่มีทางแก้ในโลกข้างนอกแล้วอ่ะคะพี่ก็
00:29:43 → 00:29:46 เลยกลับมานั่งทำสมาธิคือกลับมาอาจจะแบบ
00:29:46 → 00:29:48 ไม่ได้นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนนะคะแต่
00:29:48 → 00:29:51 กลับมาพักแล้วก็กลับมาอยู่กับตัวเองแล้ว
00:29:51 → 00:29:55 จุดนั้นน่ะเป็นจุดที่ทำให้เราอ่ะค่อยๆหาย
00:29:55 → 00:29:57 จากตอนแรกอ่ะเรานอนเองไม่ได้เริ่มกลับมา
00:29:57 → 00:30:01 นอนเองได้เออแล้วก็เริ่มลดยาวิตกกังวลไป
00:30:01 → 00:30:04 เรื่อยๆอ่ะค่ะแล้วแค่ระยะเวลาประมาณ 2-3
00:30:04 → 00:30:06 เดือนอะไรประมาณเนี้ยไอ้ตรงโรคที่เราแบบ
00:30:06 → 00:30:09 เป็นอยู่ตรงนั้นน่ะมันหายเองพี่เลยมี
00:30:09 → 00:30:11 inspiration ตรงนั้นน่ะเป็นจุดศึกษาว่า
00:30:11 → 00:30:13 เฮ้ยจริงๆแล้วความคิดของเราหรือว่าสิ่ง
00:30:13 → 00:30:15 ที่เรารู้สึกอ่ะมันไม่ใช่แค่ความรู้สึก
00:30:15 → 00:30:17 แล้วนะมันสามารถทำให้เราป่วยแล้วมันไม่มี
00:30:17 → 00:30:20 ขับวินิจฉัยได้และเป็นสิ่งที่ทำให้เราหาย
00:30:20 → 00:30:22 ได้ซึ่งอันเนี้ยพอเราไปศึกษาเขาเรียกว่า
00:30:22 → 00:30:25 เป็นplaซไอ้ตอนที่แบบความคิดทำให้เราป่วย
00:30:25 → 00:30:28 เขาเรียกว่าnoซiboแต่ความคิดทำให้เราหาย
00:30:28 → 00:30:31 เขาเรียกว่า passible เออ passible ก็คือ
00:30:31 → 00:30:33 มันเป็นการทดลองเหมือนเขาเรียกว่ายาหลอก
00:30:33 → 00:30:36 คือเหมือนแบ่งคนไข้ออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่ม
00:30:36 → 00:30:39 นึงอ่ะได้ยาจริงเช่นคนไข้เป็นเบาหวานแล้ว
00:30:39 → 00:30:41 ก็ให้ยาจริงๆค่ะแล้วก็วัดปริมาณน้ำตาล
00:30:41 → 00:30:45 ส่วนคือให้นางกินแป้งแต่ผลก็คือน้ำตาลรด
00:30:45 → 00:30:48 เหมือนกันอันนี้คือยาหลอกแป้งที่บอกนี่
00:30:48 → 00:30:51 คือไม่ใช่แบบว่ากินกินแป้งนะคะเป็นเม็ด
00:30:51 → 00:30:55 แป้งที่ทำเป็นเหมือนยาแล้วคนไข้อ่ะเข้าใจ
00:30:55 → 00:30:58 ว่าอันนี้คือยาแต่จริงๆไม่ใช่ยาเป็นแค่
00:30:58 → 00:31:02 เม็ดแป้งเฉยๆแต่สิ่งที่รักษาเขา้าอ่ะคือ
00:31:02 → 00:31:05 จิตใจหรือว่าความคิดของเขาเองมีเคสไหนอีก
00:31:05 → 00:31:08 มั้คะที่รักษาด้วยในในฐานะที่พี่เป็นหมอ
00:31:08 → 00:31:11 ฟันเนาะอาจจะแบบไม่ไม่ใช่เป็นเชิงรักษา
00:31:11 → 00:31:14 แต่ว่าเล่าแบบตลกๆแล้วกันค่ะส่วนมากเนี่ย
00:31:14 → 00:31:18 คนจะกลัวเวลามาหาหมอฟันมีความทรงจำอันเลว
00:31:18 → 00:31:20 ร้ายอะไรอย่างเงี้ยโดยเฉพาะพารทแบบผ่าฟัน
00:31:20 → 00:31:23 ครุดอ่ะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนไข้เดินมา
00:31:23 → 00:31:25 ด้วยความกลัวนะยาชาไม่เคยชาเลย
00:31:25 → 00:31:29 ประสบการณ์ตรงเลยคือยาชาปกติฉีดแล้วอ่ะ
00:31:29 → 00:31:33 ต้องชาเพราะว่ามันเป็นเฉพาะที่ไงคะมันไม่
00:31:33 → 00:31:36 ควรมีกลไกอื่นแล้วอ่ะแต่พี่เคยเจอแบบคน
00:31:36 → 00:31:39 ไข้ปวดแล้วแบบกลัวกลัวพอกลัวปุ๊บอ่ะเรา
00:31:39 → 00:31:42 ใส่ยาชาไปแบบ 3 หลอด 4 หลอดแล้วอ่ะคนไข้
00:31:43 → 00:31:45 ไม่ชาค่ะเพราะว่าความกลัวที่คนไข้สร้าง
00:31:45 → 00:31:48 ขึ้นความคิดที่เขากลัวมันทำให้ระบบการช้า
00:31:48 → 00:31:51 ไม่ช้าร่างกายสามารถผิดเพี้ยนไปได้หมดเลย
00:31:51 → 00:31:55 ตามความคิดของเขาออือืแหลกเหมือนกันนะเออ
00:31:55 → 00:31:59 ใช่โหทีนี้จริงๆอันนี้เป็นสิ่งที่เกิด
00:31:59 → 00:32:02 ขึ้นจริงๆเนาะที่เรามาพูดก็คือมีคนที่หาย
00:32:02 → 00:32:05 ได้ด้วยการทำสมาธิหรือหายได้ด้วยพลังใจ
00:32:05 → 00:32:08 แต่ว่าเราก็ไม่ได้หมายความว่าท่านที่
00:32:08 → 00:32:11 กำลังมีการรักษาอยู่จะหยุดการรักษาแล้วมา
00:32:11 → 00:32:14 ทำแบบนี้เลยอย่างี้ใช่มั้คะอ๋อใช่อันนี้
00:32:14 → 00:32:18 พี่แบบไม่สนับสนุนมากๆถ้ามีโรคอะไรอยู่
00:32:18 → 00:32:21 หรือว่าดูแลตัวเองยังไงไปหาหมอแบบไหนอ่ะ
00:32:21 → 00:32:24 ค่ะทำไปตามนั้นเพียงแต่ว่าที่เรามาคุยกัน
00:32:24 → 00:32:26 ในวันเนี้ยค่ะเพื่อเป็นจุดว่าอ๋อจริงๆ
00:32:26 → 00:32:29 แล้วเนี่ยความคิดเราเขาสามารถรักษาร่าง
00:32:29 → 00:32:32 กายเราได้เราช่วยคุณหมอเขาด้วยเออคือนี่
00:32:32 → 00:32:35 มันเป็นร่างกายของเราเราอาจจะไปเจอหมอแบบ
00:32:35 → 00:32:37 เดือนละครั้งอ่ะแต่เราเป็นคนที่อยู่กับ
00:32:38 → 00:32:41 ตัวเราตลอดเวลามันจะดีมยถ้าโอเคเราได้กิน
00:32:41 → 00:32:44 ยาซึมเศร้านะเรามีภาวะวิโตกังวลนะเรากิน
00:32:44 → 00:32:47 ไปแต่ว่าเรากลับมาบอกรักร่างกายเรามยเรา
00:32:47 → 00:32:49 กลับมาดูแลร่างกายในส่วนที่เราทำได้เพื่อ
00:32:49 → 00:32:52 เสริมเค้าอ่ะค่ะและถ้าตรงนี้เค้าดีอ่ะ
00:32:52 → 00:32:54 เดี๋ยวคุณหมอเขาจะเป็นคนลดยาเองไม่ได้
00:32:54 → 00:32:56 สนับสนุนว่าโอ้ทุกคนจะต้องลุกขึ้นมาทำ
00:32:57 → 00:33:00 สมาธิแล้วจะต้องมาแบบรักษาตัวเองค่อยๆไป
00:33:00 → 00:33:02 ตามจังหวะถ้าอะไรที่ต้องอยู่ในวงการแพทย์
00:33:02 → 00:33:06 ทำตามนั้นแต่ช่วยร่างกายเราด้วยจากที่แบบ
00:33:06 → 00:33:08 โอ๊ยเราอาจจะกินยายาวกว่านี้เราอาจจะกิน
00:33:08 → 00:33:10 ยาสั้นลงแล้วเดี๋ยวคุณหมอเขาจะลดไปเองค่ะ
00:33:10 → 00:33:13 ถ้าอาการดีเขาจะปล่อยแบบลดยาเองแต่ไม่
00:33:13 → 00:33:16 ต้องแบบไปทำเองอะไรอย่างเงี้ยอยากรู้ว่า
00:33:16 → 00:33:19 สมาธิเนี่ยเ้ามีกระบวนการยังไงที่ทำให้
00:33:19 → 00:33:23 อาการป่วยดีขึ้นได้อ่าคือทำงานยังไงกับ
00:33:23 → 00:33:26 ร่างกายอ่ะค่ะออืจริงๆอ่ะสมาธิอ่ะเป็นจุด
00:33:26 → 00:33:29 ของปัจจุบันขณะอืไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
00:33:29 → 00:33:33 สมมุติว่าเราเคยป่วยแบบนี้เราจะมีความคิด
00:33:33 → 00:33:36 แบบนี้จนทำให้เราป่วยอย่างบางคนคิดมากอ่ะ
00:33:36 → 00:33:38 เราจะคิดวนอยู่กับเรื่องเดิมๆแล้วพอเรา
00:33:38 → 00:33:41 คิดวนอยู่ซ้ำๆอ่ะค่ะมันทำให้เราว่าวนซ้ำๆ
00:33:41 → 00:33:43 อันเนี้ยทำให้เราเป็นโรคนี้แต่เวลาที่เรา
00:33:43 → 00:33:45 ฝึกสมาธิอ่ะเวลามีความคิดเรากลับมาที่ลม
00:33:46 → 00:33:48 หายใจเวลามีความคิดเรากลับมาที่จุดศูนย์
00:33:48 → 00:33:51 กลางมันทำให้เราอ่ะไม่ได้ไปเลือกไอ้ความ
00:33:51 → 00:33:54 คิดวนนั้นและทำให้เราเลือกเส้นทางใหม่เฉย
00:33:54 → 00:33:57 ๆงั้นพี่มองว่าสมาธิคือจุดสำคัญที่ทำให้
00:33:57 → 00:33:59 เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะเพื่อให้เรา
00:33:59 → 00:34:02 ไม่ได้ไปเลือกในสิ่งที่เราเคยเลือกแล้ว
00:34:03 → 00:34:05 มันสร้างโลกให้เราอ่ะอ่าทำให้เราแบบเลือก
00:34:05 → 00:34:09 ใหม่และอีกจุดนึงที่สำคัญมากๆคือเวลาที่
00:34:09 → 00:34:11 เราฝึกสมาธิอ่ะค่ะมันเกี่ยวข้องกับลมหาย
00:34:11 → 00:34:14 ใจคือเราจะสังเกตมถ้าเราทำสมาธิไปเรื่อยๆ
00:34:14 → 00:34:17 ลมหายใจเราจะช้าลงเราจะหายใจได้แบบ
00:34:17 → 00:34:20 ละเอียดขึ้นพอลมหายใจดีอ่ะมันดันไปสอด
00:34:20 → 00:34:23 คล้องกับการทำงานของร่างกายก็คล้ายๆกับ
00:34:23 → 00:34:26 เราคุยกันไปแล้วใน EP ที่แล้วเนาะว่าลม
00:34:26 → 00:34:28 หายใจสัมพันธ์สอดคล้องกับการทำงานของร่าง
00:34:28 → 00:34:31 กายยังไงถ้าท่านไหนยังไม่ได้ฟังนะคะก็ตาม
00:34:31 → 00:34:33 ไปฟังกันได้นะคะสุดท้ายค่ะแพนด้ามีคำถาม
00:34:33 → 00:34:35 นึงอยากถามคุณหมอมากมากแล้วแพนด้าว่าคุณ
00:34:35 → 00:34:38 หมอน่าจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ตรงด้วยก็
00:34:38 → 00:34:41 คือการขอบคุณร่างกายเนี่ยสำคัญยังไงและ
00:34:41 → 00:34:43 การขอบคุณร่างกายเนี่ยจะทำให้เราสุขภาพดี
00:34:44 → 00:34:46 ขึ้นได้ด้วยไหมอันเนี้ยมันอาจจะไม่ได้มี
00:34:46 → 00:34:49 แบบโอวิจัยที่ออกมาชัดเจนเพราะว่ามันทำ
00:34:49 → 00:34:53 กับร่างกายมนุษย์นะคะแต่ว่าสิ่งที่พี่ทำ
00:34:53 → 00:34:55 มาโดยตลอดตอนนั้นน่ะตัวที่พี่แบบว่ามี
00:34:55 → 00:34:58 ภาวะซึมเศร้าอ่ะแล้วขึ้นมาได้อ่ะเกิดจาก
00:34:58 → 00:35:01 การกลับมาขอบคุณร่างกายเพราะว่าเรารู้ว่า
00:35:01 → 00:35:03 ทุกเสียงทุกความคิดที่มันส่งไปอ่ะมันส่ง
00:35:04 → 00:35:06 ผลต่อเซลล์ในร่างกายหลายคนอาจจะแบบเอ้ย
00:35:06 → 00:35:08 แล้วมันมีแบบงานวิจัยมั้ยหรืออะไรมั้ย
00:35:08 → 00:35:10 สำหรับพี่พี่รู้สึกว่าการทำสิ่งเนี้ยไม่
00:35:10 → 00:35:14 มีอะไรเสียหายพี่หายมาได้จากการที่เรา
00:35:14 → 00:35:16 กลับมาขอบคุณเค้าแล้วเวลาที่เราขอบคุณไป
00:35:16 → 00:35:20 เรื่อยๆอ่ะเรากำลังฝึกตัวเองให้ชินกับการ
00:35:20 → 00:35:22 ขอบคุณซึ่งสิ่งนั้นน่ะมันเป็นคลื่นพลัง
00:35:22 → 00:35:24 งานบวกอยู่แล้วงั้นพอเราเริ่มชินกับการ
00:35:24 → 00:35:28 ขอบคุณน่ะสารเคมีในร่างกายเราก็ชินกับ
00:35:28 → 00:35:30 พลังงานบวกเราก็เลยค่อยๆแบบรู้สึกดีขึ้น
00:35:30 → 00:35:32 แล้วก็ใช้สิ่งเในการกลับมา healing หรือ
00:35:32 → 00:35:35 ว่ากลับมาเยียวยาร่างกายได้ค่ะแล้วเราจะ
00:35:35 → 00:35:37 มีวิธีในการขอบคุณร่างกายที่คุณหมออยาก
00:35:37 → 00:35:40 แนะนำแล้วก็สามารถทำตามได้ง่ายๆบ้างไหมคะ
00:35:40 → 00:35:43 ตอนนั้นที่พี่ทำนะคือตอนเช้ากับก่อนนอน
00:35:43 → 00:35:46 น่ะพี่จะกลับมาที่ร่างกายก่อนเออแล้วก็
00:35:46 → 00:35:49 กลับมาแบบเอ้ยขอบคุณนะขอบคุณร่างกายอะไร
00:35:49 → 00:35:52 อย่างเงี้ยค่ะแล้วก็ใช้แบบทุกกิจวัตรหรือ
00:35:52 → 00:35:54 ว่าสิ่งที่เราทำอ่ะเป็นการกลับมาขอบคุณ
00:35:54 → 00:35:57 ทุกอย่างเลยเช่นในวันที่กินข้าวเราต้อง
00:35:57 → 00:36:00 กินข้าวอยู่แล้วใช่มั้ยคะเวลากินข้าวเรา
00:36:00 → 00:36:02 จะกินด้วยความภาวนาหรือว่ากินด้วยความ
00:36:02 → 00:36:04 ขอบคุณเพราะว่าจริงๆข้าวก็มาจากแผ่นดิน
00:36:04 → 00:36:06 น่ะค่ะเค้าหล่อเลี้ยงเราเพราะฉะนั้นน่ะ
00:36:07 → 00:36:10 เรากินเหมือนแบบค่อยๆกินไม่ต้องรีบแล้วก็
00:36:11 → 00:36:14 ขอบคุณในขณะที่กินข้าวดื่มน้ำหรือว่าทำ
00:36:15 → 00:36:16 อะไรถ้าเรานึกได้เราจะให้เหมือนกับคำ
00:36:17 → 00:36:19 ขอบคุณเนี้ยอยู่ในวิถีชีวิตเราเลยไม่ว่า
00:36:19 → 00:36:21 เราจะทำอะไรก็ตามอย่างเงี้ยไปเรื่อยๆอ่ะ
00:36:21 → 00:36:24 แรกๆมันก็ดูขัดๆอ่ะแต่พอทำไปเรื่อยๆทุก
00:36:24 → 00:36:26 ครั้งที่เรากินข้าวแล้วก็แบบทำสิ่งนี้จน
00:36:26 → 00:36:29 มันชินไปแล้วอ่ะเพื่อสร้างเส้นทางในสมอง
00:36:29 → 00:36:32 ใหม่สร้างสารเคมีในร่างกายใหม่อ่ะเอออค่ะ
00:36:32 → 00:36:35 โอเป็นการขอบคุณขอบคุณทั้งร่างกายขอบคุณ
00:36:35 → 00:36:38 ทุกอย่างเออมันจะทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ
00:36:38 → 00:36:41 แล้วเราก็เป็นคนนึงที่ได้รับและเป็นเออ
00:36:41 → 00:36:44 เพราะว่าบางครั้งเนี่ยเรามีหลายๆอย่างแต่
00:36:44 → 00:36:46 พอเราไม่เคยขอบคุณหรือแม้กระทั่งร่างกาย
00:36:46 → 00:36:49 ตัวเองที่เราก็มีอยู่อย่างจริงๆอ่ะแต่ว่า
00:36:49 → 00:36:52 เราพอเราไม่ได้ขอบคุณเนาะเรามองข้ามเขา
00:36:52 → 00:36:56 เกินไปอ่าจริงๆก็มีผลต่อกันหมดเลยอใช่ค่ะ
00:36:56 → 00:36:58 ทั้งหมดที่เราคุยกันมาในวันนี้ค่ะใน
00:36:58 → 00:37:01 เรื่องของการที่จะดึงดูดสุขภาพดีเนี่ย
00:37:01 → 00:37:04 เอ่อจริงๆแล้วทุกๆคนสามารถที่จะทำได้อ่า
00:37:04 → 00:37:07 แต่ว่าจะมา manifest ยังไงให้สำเร็จหรือ
00:37:07 → 00:37:08 อะไรก็ตามอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องไปถาม
00:37:09 → 00:37:13 ตัวเองแล้วก็ขอในสิ่งที่เราก็คิดว่าเฮ้ย
00:37:13 → 00:37:17 เราจะมีความเชื่อว่าเราจะได้รับแล้วก็ลง
00:37:17 → 00:37:20 มือทำนิสัยเปลี่ยนพฤติกรรมให้เรามีความ
00:37:20 → 00:37:23 เชื่อมีหลักฐานในการเชื่อแล้ววันนึงมันก็
00:37:23 → 00:37:26 จะสำเร็จแล้วก็ในการขอสิ่งใดสิ่งนั้นก็
00:37:26 → 00:37:28 ต้องเป็นสิ่งที่เราก็คือออกจากเซฟโซนออก
00:37:28 → 00:37:30 จาก comfort โซนหน่อยอ่าแต่อาจจะไม่ใช่
00:37:30 → 00:37:33 สิ่งที่ไกลตัวมากเกินไปเพราะว่าพอเราตั้ง
00:37:33 → 00:37:35 อะไรที่ไกลตัวมากเกินอาจจะทำให้บั่นทอน
00:37:35 → 00:37:38 ตัวเองอ่าค่ะอันนี้ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
00:37:38 → 00:37:42 เนาะรวมถึงเรื่องของnoซo plo ด้วยความคิด
00:37:42 → 00:37:45 ของเราเนี่ยมีผลต่อร่างกายของเราแม้ว่า
00:37:45 → 00:37:47 ตอนนี้เราอาจจะไม่ได้เจ็บป่วยแต่ว่าเรามี
00:37:47 → 00:37:49 ความคิดที่ว่าเราป่วยหรือคิดไม่ดีคิดเชิง
00:37:49 → 00:37:52 ลบกับสุขภาพร่างกายก็เอ้ยเราก็อาจจะป่วย
00:37:52 → 00:37:54 ขึ้นมาจริงๆกับอีกอย่างนึงคือถ้าสมมุติ
00:37:54 → 00:37:57 เราป่วยอยู่ก็อาจจะลอง plo มันคือการวาง
00:37:57 → 00:37:59 ใจแล้วก็เชื่อว่าร่างกายเนี้ยจะ healing
00:37:59 → 00:38:02 จะรักษาตัวเขาเองได้ในขณะเดียวกันคือท่าน
00:38:02 → 00:38:05 ไหนที่มีการรักษาอยู่ก็ทำควบคู่กันไปนะคะ
00:38:05 → 00:38:08 ไม่ได้บอกให้หยุดการรักษาอะไรเนาะเพราะ
00:38:08 → 00:38:10 ว่าทำควบคู่กันไปไม่มีอะไรเสียหายแล้ววัน
00:38:10 → 00:38:12 นี้ค่ะเชื่อว่าคุณหมอน่าจะได้ใช้สิ่งนี้
00:38:12 → 00:38:15 ทางกรองมีหมวกมามอบให้ค่ะอ่าเอาไว้ใส่ไป
00:38:16 → 00:38:18 สถานที่ต่างๆหรือว่าเข้าป่าอะไรอย่างี้
00:38:18 → 00:38:21 เนาะไว้บังแดดค่ะสมมุติท่านไหนนะคะที่สน
00:38:21 → 00:38:24 ใจหมวกแบบนี้นะคะสามารถสั่งซื้อได้ที่ใต้
00:38:24 → 00:38:27 description นี้นะคะแล้วก็ยังมีเสื้อนะ
00:38:27 → 00:38:29 คะแล้วก็กระเป๋าผ้าของเราด้วยค่ะฝากอุด
00:38:29 → 00:38:31 หนุนเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะ EP นี้
00:38:31 → 00:38:33 นะคะฝากฟังแล้วเป็นยังไงกันบ้างอยากให้
00:38:33 → 00:38:36 ช่วยคอมเมนต์บอกหน่อยเนาะว่าเฮ้ยฟัง EP
00:38:36 → 00:38:38 นี้แล้วเนี่ยได้อะไรกันบ้างหรือว่าทุกๆ
00:38:38 → 00:38:41 ท่านตั้งใจจะ manifest สุขภาพเรื่องไหน
00:38:41 → 00:38:43 คอมเมนต์บอกกันเอาไว้ได้นะคะเป็นการตั้ง
00:38:43 → 00:38:46 แบบสัจจะอธิษฐานกับพวกเราอะไรประมาณนั้น
00:38:46 → 00:38:48 เนาะอย่าลืมกดไลก์กดแชร์นะคะเป็นกำลังใจ
00:38:49 → 00:38:50 ให้พวกเราด้วยนะแล้วก็กด Subscribe เอา
00:38:50 → 00:38:53 ไว้นะคะเพราะว่าเรายังมี EP ต่อไปของหมอ
00:38:53 → 00:38:55 ฟ้าให้ทุกท่านได้ฟังอีกแน่นอนค่ะแล้วก็
00:38:55 → 00:38:58 ถ้าท่านไหนนะคะยังไม่จุใจเนาะจริงๆคุณหมอ
00:38:58 → 00:39:01 ก็มีอ่าเรื่องของสมาธิศาสตร์แล้วก็เรื่อง
00:39:01 → 00:39:04 ของหลายหลายอย่างที่สามารถไปติดตามกันได้
00:39:04 → 00:39:07 ทางแฟนเพจค่ะช่องหมอฟ้าสมาธิศาสตร์ค่ะค่ะ
00:39:07 → 00:39:10 ก็ติดตามกันได้นะคะเพราะว่าการพัฒนาตัว
00:39:10 → 00:39:12 เองหรือการ manifest จริงๆเราต้องทำไป
00:39:12 → 00:39:14 เรื่อยๆอ่าใช่แล้วค่ะสำหรับวันนี้ก็ต้อง
00:39:14 → 00:39:17 ขอขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะขอบคุณค่ะ
00:39:17 → 00:39:19 ขอบคุณค่ะ
00:39:19 → 00:39:43 [เพลง]