00:00:00 → 00:00:02 คนไทยเนี่ยเป็นมะเร็งเพิ่มวันละถึง 400
00:00:02 → 00:00:04 คนเชียนะคนส่วนมากจะเป็นมะเร็งเพราะ 2
00:00:05 → 00:00:08 สิ่งนี้ 1 ตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำงานก็จะ
00:00:08 → 00:00:11 เริ่มเห็นว่าโรคมะเร็งปอดจะเริ่มแต่ 60
00:00:11 → 00:00:13 70 มาเงี้ยทำงานได้ไม่กี่ปีอ้ามันเริ่ม
00:00:13 → 00:00:17 ลดลง 50 40 ปีนี้น่าจะแบบเอน้อยกว่า 30
00:00:17 → 00:00:20 ก็ยังเป็นเลยฮะเด็กอายุ 20 บางทีก็จะ
00:00:20 → 00:00:23 เริ่มถ่ายอุจจระเป็นเ่าเป็นเลือดเร็วแล้ว
00:00:23 → 00:00:25 ก็จะเป็นโรคมะเร็งเร็วอะไรอย่างเงี้ยฉัน
00:00:25 → 00:00:28 ทำทุกอย่างถูกต้องในชีวิตทำไมเป็นมะเร็ง
00:00:28 → 00:00:30 เพรามันต้องมีอะไรผิดอ่าใช่พ่อฟังเนี่ย
00:00:30 → 00:00:33 ส่วนใหญ่จะขัดเพส Angelina โี่นะครับที่
00:00:33 → 00:00:37 เขาผ่าเต้านม 2 ข้างเพราะรู้ว่ามียีนที่
00:00:37 → 00:00:39 เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมคนใน
00:00:39 → 00:00:42 ครอบครัวเขาตั้งแต่ยายน้าอย่างเงี้ยก็
00:00:42 → 00:00:44 เป็นโรคมะเร็งกันผู้หญิงหลายๆคนอาจจะไม่
00:00:45 → 00:00:47 รู้ว่าเฮ้ยเราตัดเต้านมไปปุ๊บเนี่ยก็คือ
00:00:47 → 00:00:49 ชั้นแบนไปเลยไม่มีอะไรไปเลยหรือเปล่า
00:00:49 → 00:00:52 ปัจจุบันเนี้ยถึงจะผ่าตัดเต้านมไปเต้านม
00:00:52 → 00:00:53 ก็ยังสวยอยู่อินเตอร์เน็ตสมัยเนี้ยเรา
00:00:54 → 00:00:57 อ่านเราก็จะเห็นออกินไดเอตนี้ 50 วันหาย
00:00:57 → 00:00:59 60 วันหายอย่างเงี้ยแต่โรคมะเร็งมันใช้
00:00:59 → 00:01:01 เวลาหลักหลายปีกว่าจะเป็นนะมันไม่ใช่แค่
00:01:01 → 00:01:04 30 วันแล้วมันจะเป็นคนไข้ที่เนี่ยมีความ
00:01:04 → 00:01:06 เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนไข้ที่สุ
00:01:06 → 00:01:08 บุหรีซะอีกชาไข่มุกสมัยนี้มันไม่เหมือนชา
00:01:08 → 00:01:12 ไข่มุกสมัยก่อนมีชีสข้างหน้าอันเนี้ย High
00:01:12 → 00:01:15 Fat High Sugar Ultra process ถ้า
00:01:15 → 00:01:17 อยากกินอาหารที่สามารถช่วยป้องกันมะเร็ง
00:01:17 → 00:01:19 ได้เนี่ยเราควรกินอาหารแบบไหนเลือกกิน
00:01:19 → 00:01:22 อะไรได้บ้างผมว่าสเต็ปแรกเลยนะก็
00:01:22 → 00:01:26 คือสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับสู่ do talks
00:01:26 → 00:01:28 podcast รายการที่หมอและผู้เชี่ยวชาญ
00:01:29 → 00:01:31 หน้าสุขภาพจะมามาคุยประเด็นเรื่องสุขภาพ
00:01:31 → 00:01:33 ต่างๆอยู่กับหมอเอมมี่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
00:01:33 → 00:01:36 ด้านวิทยศาสตร์ป้องกันในวันนี้เราจะมาคุย
00:01:36 → 00:01:39 กันเรื่องมะเร็งหมอเชื่อว่าผู้ฟังหลายๆคน
00:01:39 → 00:01:41 น่าจะมีความรู้จักเป็นโรคมะเร็งหรือกำลัง
00:01:41 → 00:01:43 ต่อสู้กับโรคนี้อยู่โรคมะเร็งคืออะไรกัน
00:01:43 → 00:01:46 แน่เราจะป้องกันตัวเองยังไงพอมาถึงเรื่อง
00:01:46 → 00:01:48 มะเร็งหมอคิดถึงเพื่อนคนนี้เลยค่ะหมอ
00:01:48 → 00:01:52 ไบอันเป็นผู้เชี่ยวชาญในการป้องกันโรค
00:01:52 → 00:01:54 มะเร็งแล้วก็ดูแลคนไข้แบบผสมผสานยินดี
00:01:54 → 00:01:56 ต้อนรับไบอันเข้าสู่รายการค่ะสวัสดีครับ
00:01:57 → 00:01:59 ผมดรบันสุภาวุฒิคุณาคมเป็นแพทย์ธรรมชาติ
00:01:59 → 00:02:01 บำบัดขึ้นวิชาชีพที่สหรัฐอเมริกาครับ
00:02:02 → 00:02:04 แพทย์ธรรมชาติบำบัดคืออะไรแนะนำให้ผู้ชม
00:02:04 → 00:02:07 เข้าใจนิดนึงจ้ะครับก็เป็นศาสตร์ที่มาจาก
00:02:07 → 00:02:10 ทางอเมริกากับยุโรปนะครับเราจะใช้พวก
00:02:10 → 00:02:13 ซัพพลีเมนท์สมุนไพรในการดูแลคนไข้อ่ะครับ
00:02:13 → 00:02:15 ส่วนใหญ่แล้วคือไบอันไม่ค่อยได้ใช้ยาถูก
00:02:15 → 00:02:17 มั้ยครับใช้จะเป็นพวกแบบว่าซัพพลีเมนท์
00:02:17 → 00:02:20 อาหารเสริมวิตามินอะไรอย่างงี้แล้วก็พวก
00:02:20 → 00:02:23 สมุนไพรในการดูแลคนไข้ก็จะใช้ยาที่น้อย
00:02:23 → 00:02:25 ที่สุดให้น้อยที่สุดอ่ะครับแต่จะเน้นไป
00:02:25 → 00:02:27 ที่สมุนไพรกับพวกซัพพลีเมนท์ก่อนออันนี้
00:02:27 → 00:02:30 ก็ถือว่าค่อนข้างเป็นสัตว์ใหม่ในเมืองไทย
00:02:30 → 00:02:33 แทบไม่มีเลยครับมีอยู่แค่ 2 คนเมีแค่ 2
00:02:33 → 00:02:35 คนในเมืองไทยโอ้โหสุดยอดมากเลยเพิญพี่
00:02:35 → 00:02:37 เนี่ยก็รู้จักไบอันมาสักพักแล้วก็รู้ว่า
00:02:37 → 00:02:40 จริงๆเรา 2 คนเนี่ยก็บอกว่ามีดูแลคนไข้
00:02:40 → 00:02:43 มะเร็งมาค่อนข้างเยอะเนาะคราวนี้ประเด็น
00:02:43 → 00:02:44 ที่อยากคุยในเรื่องมะเร็งวันเนี้ยเพราะ
00:02:44 → 00:02:47 ว่าตามสถิติในวันเนี้ค่ะในประเทศไทยเนาะ
00:02:47 → 00:02:49 เรารู้ว่าคนไทยเนี่ยเป็นมะเร็งเพิ่มวันละ
00:02:50 → 00:02:53 ถึง 400 คนเชียนะที่เป็นคนไข้ใหม่ซึ่งถือ
00:02:53 → 00:02:56 ว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมากเนาะนอกจากนี้
00:02:56 → 00:02:59 แล้วอ่ะเรายังรู้ว่าในปีเนี้ยค่ะมีคนไข้
00:02:59 → 00:03:01 ที่ที่เป็นมะเร็งมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นค่อน
00:03:01 → 00:03:03 ข้างเยอะมากโดยเฉพาะในภาคเหนือของเมือง
00:03:03 → 00:03:06 ไทยเพราะว่ามี PM เยอะมากเนาะ PM 2.5
00:03:06 → 00:03:08 นอกจากในเมืองไทยแล้วเนี่ยเรายังรู้ว่าใน
00:03:08 → 00:03:10 ที่อเมริกาเนี่ยก็มีผู้หญิงเอเชียที่ไม่
00:03:11 → 00:03:13 เคยสูบบุหรี่เนี่ยเป็นมะเร็งมากขึ้นเยอะ
00:03:13 → 00:03:15 เหมือนกันโดยที่ตอนแรกเไม่รู้ว่าเอ๊ะโดร
00:03:15 → 00:03:17 นรงสูบบุหรี่ก็แล้วอะไรก็แล้วอย่างเงี้ย
00:03:17 → 00:03:20 แต่ทำมอยู่จำนวนคนไข้ถึงเยอะขึ้นมากเลย
00:03:20 → 00:03:22 คือบอกว่าเป็นอะไรที่แบบว่าน่ากังวล
00:03:22 → 00:03:23 เหมือนกันอันนี้ไบอันมีความคิดเห็นก็ยัง
00:03:24 → 00:03:26 ไงบ้างจริงๆจากเอ่อประสบการณ์ส่วนตัวนะ
00:03:27 → 00:03:29 ครับก็คือตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำงานก็จะ
00:03:29 → 00:03:32 เริ่มเห็นว่าโรคมะเร็งปอดจะเริ่มแต่ 60
00:03:32 → 00:03:35 70 มาณเงี้ยทำงานได้ไม่กี่ปีอ้ามันเริ่ม
00:03:35 → 00:03:38 ลดลง 50 40 ปีนี้น่าจะแบบเอน้อยกว่า 30
00:03:38 → 00:03:41 ก็ยังเป็นเลยฮะซึ่งผมรู้สึกว่ามันน่ากลัว
00:03:41 → 00:03:44 มากแล้วมันเริ่มเข้าใกล้ตัวมากขึ้นด้วย
00:03:44 → 00:03:47 จริงเบอกว่าก็ 30 เนาะอืแล้วก็จริงๆแล้ว
00:03:47 → 00:03:49 ของพี่ก็มีเหมือนกันนะแบบว่าคนไข้ส่วน
00:03:49 → 00:03:51 ใหญ่พอเรานึกถึงว่าโรคมะเร็งอ่ะเราก็คิด
00:03:51 → 00:03:54 ว่าอาจต้องเป็นคนสูงวัยอายุเยอะใช่มยแต่
00:03:54 → 00:03:56 ปัจจุบันน่ะคนไข้ที่มาหาเราก็อายุน้อยลง
00:03:56 → 00:04:00 เรื่อยๆมั้ยใช่อมันแปลกมากผมว่าโลกนี้มัน
00:04:00 → 00:04:02 เปลี่ยนไปเยอะมากเลยครับอือรวมไปถึงอาหาร
00:04:02 → 00:04:05 อ่ามลพิษอเอิ่มทุกอย่างที่เราทำมันไม่
00:04:05 → 00:04:08 เหมือนกับธรรมชาติสมัยก่อนละเนาะแล้วพี่
00:04:08 → 00:04:09 ว่าอันนึงที่น่าสนใจก็คือเรื่องของ
00:04:09 → 00:04:12 ไลฟ์สไตล์อไลฟ์สไตล์คนเราเปลี่ยนแน่นอน
00:04:12 → 00:04:15 ครับสมัยนี้ใช่ป่ะเพราะว่าพี่ว่าสมัยนี้
00:04:15 → 00:04:17 ก็คือแบบว่าอาหารเนาะเที่เบอันพูดไปแล้ว
00:04:17 → 00:04:20 แล้วก็ในเรื่องของความเครียดด้วยนะคะที่
00:04:20 → 00:04:22 เจอกันค่อนข้างเยอะมากเลยงั้นวันนี้
00:04:22 → 00:04:24 เดี๋ยวเราจะมาคุยกันว่าเราควรจะป้องกัน
00:04:24 → 00:04:26 ตัวเองในเรื่องมะเร็งยังไงดีเนาะเชื่อว่า
00:04:26 → 00:04:28 หลายคนก็รู้จักอยู่แล้วว่ามะเร็งคืออะไร
00:04:28 → 00:04:30 เนาะแต่ว่าจริงๆแล้วเนี่ยอยากให้ไบอัน
00:04:30 → 00:04:32 ช่วยอธิบายจริงๆหน่อยว่าเอาแบบง่ายๆเลย
00:04:32 → 00:04:34 เนาะให้คนเข้าใจว่ามะเร็งมันคืออะไรกัน
00:04:34 → 00:04:38 แน่แล้วก็มันแบบว่ามันทำร้ายร่างกายเรา
00:04:38 → 00:04:40 ได้ยังไงอ่ะจ๊ะจริงๆมะเร็งก็คือเซลล์ผิด
00:04:40 → 00:04:43 ปกติแล้วมันมีสัญญาณของตัวเองที่เยอะกว่า
00:04:43 → 00:04:46 ปกติมันเลยทำให้โตเร็วแล้วมันก็กระจายได้
00:04:46 → 00:04:48 ไปจากส่วนหนึ่งของร่างกายไปอีกส่วนหนึ่ง
00:04:48 → 00:04:51 ของร่างกายคราวเนี้ยเพราะมันเป็นเซลล์ที่
00:04:51 → 00:04:53 ผิดปกติมันก็ฟังก์ชันไม่เหมือนกับเซลล์
00:04:53 → 00:04:56 ปกติละถ้าสมมุติเราอ่ะถ้าคิดว่าเรามีตับ
00:04:56 → 00:04:59 นะตับเราต้องทำมันเป็นระบบดีท็อกซ์ถ้ามัน
00:04:59 → 00:05:01 เป็นเซเซลลผิดปกติเมื่อไหร่เอามัน
00:05:01 → 00:05:03 ดีท็อกซ์ไม่ได้ละอือซึ่งหน้าตาของมัน
00:05:03 → 00:05:06 เนี่ยมันจริงๆเริ่มต้นก็คือการผ่าตัด
00:05:06 → 00:05:09 เนี่ยแหละสมัยก่อนเเจอโรคมะเร็งเก็จะเจอ
00:05:09 → 00:05:12 ผ่าตัดเนาะพอผ่าตัดออกมาก็จะเจอว่าเอ้ย
00:05:12 → 00:05:13 มันเป็นก้อนแบบอะไรก็ไม่รู้ที่มีเส้น
00:05:13 → 00:05:16 เลือดแบบเต็มไปหมดเลยปกติถ้าเราดูในรูป
00:05:16 → 00:05:18 ภาพเส้นเลือดเราจะเห็นว่าเส้นเลือดเนี่ย
00:05:18 → 00:05:21 มันสวยวาดมาซะสวยแต่พอเรามาดูเส้นเลือด
00:05:21 → 00:05:24 ของก้อนมะเร็งมันแบบเอ๊ะมันยึกเยื้อยออก
00:05:24 → 00:05:26 มาแล้วมันก็มีแขนขาออกมานั่นก็คือต้น
00:05:26 → 00:05:29 กำเนิดของคำว่าแคนเซอร์ความหมายจริงๆของ
00:05:29 → 00:05:31 มันแคนเซอร์แปลว่าอะไรเคยดูโรสโคปมั้ย
00:05:31 → 00:05:35 แคนเซอร์เขาจะบอกว่าแคนเซอร์คือปูอ้าใช่ๆ
00:05:35 → 00:05:38 ๆเออก็หมายถึงว่าถ้าเราดูตามวันเดือนใช่ม
00:05:38 → 00:05:39 ว่าเดือนเกิดว่าเป็นโฮโรสโคปอะไรก็บอกมี
00:05:39 → 00:05:41 คำว่าแคนเซอร์อยู่คำว่าแคนเซอร์ปูเนี่ย
00:05:41 → 00:05:44 แหละเเพราะว่าเขาบอกว่าดาวมันดูเหมือนปู
00:05:44 → 00:05:47 ออแต่ว่าพอมาดูก้อนแคนเซอร์เนี่ยมันมีแขน
00:05:47 → 00:05:49 มีขามันดูเหมือนปูเขาก็เลยตั้งชื่อว่า
00:05:49 → 00:05:53 แคนเซอร์อนั่นคือคำต้นกำเนิดของคำว่า
00:05:53 → 00:05:55 แคนเซอร์แอรก็คือว่าแคนเซอร์คือเป็นรูป
00:05:55 → 00:05:58 ร่างหน้าตาผิดปกติที่เหมือนปูใช่ฮะคราว
00:05:58 → 00:06:00 นี้ก็คือมันมีอันอันนึงที่น่าสงสัยเบอก
00:06:00 → 00:06:03 ว่าจริงๆแล้วเนี่ยเนื้องอกไม่ใช่มะเร็ง
00:06:03 → 00:06:05 แล้วก็มะเร็งไม่ใช่เนื้องอกด้วยอันเนี้ย
00:06:05 → 00:06:06 จริงๆแล้วมันต่างกันยังไงระหว่างมะเร็ง
00:06:06 → 00:06:09 กับเนื้องอกเพราะว่าก็แบบมีคนถามเยอะ
00:06:09 → 00:06:11 เหมือนกันแล้วก็มีคนคิดเข้าใจว่ามะเร็งก็
00:06:11 → 00:06:13 คือเนื้องอกเนื้องอกก็คือมะเร็งไม่ใช่หรอ
00:06:13 → 00:06:16 ก็เนื้องอกจริงๆก็เป็นเนื้อที่เพิ่มขึ้น
00:06:16 → 00:06:18 มาไม่ว่าจะอยู่บนอวัยวะอะไรก็ตามถ้าเป็น
00:06:18 → 00:06:21 ถ้าเราคิดถึงผิวหนังมันก็เป็นสินแกอย่าง
00:06:21 → 00:06:23 เงี้ยเนื้องอกออกมามีเพิ่มเติมขึ้นมามัน
00:06:23 → 00:06:25 ก็ดูเหมือนกนมันเป็นติ่งอะไรอย่างงี้ถูก
00:06:25 → 00:06:28 ป่ะใช่แต่มันก็ไม่ใช่เซลล์เนเวลาเราพูด
00:06:28 → 00:06:31 ถึงมะเร็งก็ก็คือเนื้อร้ายอือเนื้อร้าย
00:06:31 → 00:06:35 ที่ทำให้เราสามารถตายจากโรคนี้ได้อือ
00:06:35 → 00:06:38 เพราะว่ามันเปลี่ยนฟังก์ชันแล้วมันโตเร็ว
00:06:38 → 00:06:40 แต่ว่าถ้าเป็นเนื้องอกปกติมันจะไม่โตเร็ว
00:06:40 → 00:06:42 มันจะอยู่อย่างงั้นอย่างเช่นก้อนซิสอือ
00:06:42 → 00:06:45 มันอยู่อย่างงั้นอือก็คือก็คือซิสอย่าง
00:06:45 → 00:06:48 ผู้หญิงก็คือจะมีซิสเั้นมใช่มยแล้วก็ซิใน
00:06:48 → 00:06:51 มดลูกอะไรอย่างงี้อใช่แต่ซิสนั้นมันก็โต
00:06:51 → 00:06:54 มาเป็นโรคมะเร็งได้ออมันจะเปลี่ยนรูปร่าง
00:06:54 → 00:06:56 ของมันถ้ามันเปลี่ยนจนกลายเป็นโรคมะเร็ง
00:06:56 → 00:06:58 แล้วเนี่ยโอเคมันเป็นเนื้อร้ายทันทีแต่
00:06:58 → 00:07:01 ถ้ามันยังไม่ได้เป็นเนื้อร้ายมันยังหาย
00:07:01 → 00:07:03 ได้อยู่หรือมันจะอยู่อย่างงั้นของมันก็
00:07:03 → 00:07:05 หมายความว่าจริงๆแล้วเนื้องอกเนี่ยก็คือ
00:07:05 → 00:07:08 มันก็อาจจะเป็นเซลล์ที่เติบโตผปกติแหละ
00:07:08 → 00:07:10 แต่ว่ามันยังไม่ได้ขนาดว่ากลายเป็นเนื้อ
00:07:10 → 00:07:12 ร้ายแต่ก็อาจจะกลายเป็นเนื้อร้ายได้เช่น
00:07:12 → 00:07:14 เดียวกันต่างกันที่ความเร็วในการเติบโต
00:07:14 → 00:07:18 ของเซลล์นั่นเองถ้าโตเร็วอ่านี่มะเร็งแต่
00:07:18 → 00:07:20 ถ้าแบบมันไม่ได้โตเร็วขนาดนั้นหรืออะไรก็
00:07:20 → 00:07:23 ไม่น่าจะเป็นอือก็ไม่น่าจะอันตรายอะไร
00:07:23 → 00:07:25 ครับเพลินพูดถึงเรื่องซิสเข้ามาพี่ก็ขอ
00:07:25 → 00:07:27 เสิมนิดนึงเนาะเพราะว่าเป็นโรคประจำตัว
00:07:27 → 00:07:29 ของผู้หญิงเลยส่วนมากผู้หญิงอจะจะมีปัญหา
00:07:29 → 00:07:32 เรื่องซิสเต้านมซิสรังไข่ซิสมดลูกอะไร
00:07:32 → 00:07:35 อย่างเงี้ยก็เลยอยากแนะนำว่าถ้าเราไม่รู้
00:07:35 → 00:07:37 ว่าตัวเองมีจริงๆแล้วผู้หญิงก็ควรตรวจ
00:07:37 → 00:07:39 สุขภาพประจำปีอยู่แล้วเช่นอาจจะทำ
00:07:39 → 00:07:42 แมมโมแกรมอัตซาวเต้านมเป็นต้นเนาะแล้วก็
00:07:42 → 00:07:45 อัตซาวช่องท้องล่างค่ะเพราะว่าจริงๆสำคัญ
00:07:45 → 00:07:47 มากเลยเพราะบางทีเนี่ยมันเล็กจนเราไม่รู้
00:07:47 → 00:07:49 ว่ามันมีหรือบางคนถ้ามีอยู่แล้วก็ควรไปพบ
00:07:49 → 00:07:51 แพทย์ประจำปีอยู่แล้วถูกป่ะเพราะเป็นอะไร
00:07:51 → 00:07:53 ที่สำคัญคราวนี้ประเด็นคือถ้าเรามีซิสมี
00:07:53 → 00:07:55 อะไรอย่างเงี้ยก็ควรไปพบแพทย์เพื่อจะได้
00:07:55 → 00:07:57 รู้ว่าเอ้ยฮอร์โมนเราผิดปกติหรือเปล่า
00:07:57 → 00:08:00 เนาะทำให้เกิดพวกซิได้หรือว่าว่ามีอาการ
00:08:00 → 00:08:02 ปวดท้องมีอาการคัดเต้านมอะไรอย่างเงี้ย
00:08:02 → 00:08:05 ที่ผิดปกติเนาะก็เลยคิดว่ายังไงก็ควรจะ
00:08:05 → 00:08:08 ป้องกันตัวเองไว้ดีกว่านะคะนอกจากการที่
00:08:08 → 00:08:10 เรารู้ว่าอ่าเนื้องอกเราเนี่ยมะเร็งต่าง
00:08:10 → 00:08:13 กันยังไงเนาะอีกอันนึงที่พี่รู้ก็คือว่า
00:08:13 → 00:08:15 โดยส่วนมากเนี่ยก็คือถ้าเรารู้เรื่อง
00:08:15 → 00:08:17 มะเร็งก็จะรู้ว่าเรื่อง hor of cancer
00:08:17 → 00:08:19 ถูกป่ะซึ่งหนึ่งใน H of cancer ที่
00:08:19 → 00:08:21 สำคัญก็คือเกี่ยวกับเรื่อง Energy เนาะ
00:08:21 → 00:08:22 โดยส่วนมากแล้วเนี่ยมะเร็งส่วนใหญ่เกิด
00:08:22 → 00:08:24 จากไมโตคอนเดรียที่ทำงานผิดปกติคราวนี้ก็
00:08:24 → 00:08:26 เลยอยากรู้ว่าไอ้ไมโตคอนเดรียเนี่ยมันคือ
00:08:26 → 00:08:29 อะไรเพราะว่ามันเป็นคำที่แบบค่อนข้างแปลก
00:08:29 → 00:08:31 แล้วก็คนไม่รู้จักเลยว่ามันคืออะไรภาษา
00:08:31 → 00:08:33 อังกฤษครั้งแรกที่ผมเห็นคำนี้แบบโอ้โหมัน
00:08:33 → 00:08:36 อ่านยังไงเนี่ยน้องมันเป็นคำแบบโอโหแบบ
00:08:36 → 00:08:39 ยากมากเลยมาจากคำลาตินนั่นแหละเพราะว่า
00:08:39 → 00:08:41 ทุกอย่างที่เขาตั้งชื่อขึ้นมามันมาจากรูป
00:08:42 → 00:08:44 ร่างของลักษณะของส่วนนั้นซึ่ง
00:08:44 → 00:08:47 ไมโทคอนเดรียสรูปภาพอ่ะจริงๆถ้าดึงออกมา
00:08:47 → 00:08:50 ยาวๆมันจะเป็นเส้นด้ายคอเรียแปลว่าเส้น
00:08:50 → 00:08:52 ด้ายนั่นเองเนาะไมโตไม่รู้จำไม่ได้มันคือ
00:08:53 → 00:08:53 อะไร
00:08:53 → 00:08:56 เนแต่ไมโตคอนเดรียก็คือศูนย์พลังงานของ
00:08:56 → 00:08:58 เซลล์ไม่ว่าเซลลล์จะใช้พลังงานอะไรมัน
00:08:58 → 00:09:01 ต้องผ่านไคอนเดรียหมดคราวเนี้ยมันเป็น
00:09:01 → 00:09:03 ศูนย์พลังงานไม่ใช่ศูนย์พลังงานอย่าง
00:09:03 → 00:09:06 เดียวจริงๆสำหรับผมมันคือสัญญาณแรกเลยที่
00:09:06 → 00:09:09 จะบอกให้เซลล์ผิดปกติฆ่าตัวตายถ้าเซลล์
00:09:09 → 00:09:11 ผิดปกติฆ่าตัวตายเซลล์ใหม่ก็จะเกิดขึ้น
00:09:11 → 00:09:14 ได้แต่ถ้ามันฆ่าตัวตายไม่ได้มันก็จะกลาย
00:09:14 → 00:09:16 เป็นเนื้อร้ายอือนั่นก็เลยเป็นหนึ่งใน
00:09:17 → 00:09:19 สาเหตุที่ทำให้โรคมะเร็งเนี่ยสามารถ
00:09:19 → 00:09:23 อธิบายได้ว่ามาจากไมโทคอนเดรียที่ไม่ดีอื
00:09:23 → 00:09:25 หรือผิดปกติไปเพราะต้องบอกก่อนว่าปกติ
00:09:25 → 00:09:28 แล้วคือเซลล์มันต้องเกิดใหม่มันทำงานแก่
00:09:28 → 00:09:30 ไปมันก็ต้องตายใช่ป่ะแต่ประเด็นที่ไบอัน
00:09:30 → 00:09:32 จะพูดก็คือว่ามันจะมีเซลล์บางประเภทเนี่ย
00:09:32 → 00:09:36 ที่มันเกิดมาแล้วมันทำงานไปแล้วมันแก่แต่
00:09:36 → 00:09:38 มันดันไม่ตายถูกมยพอมันไม่ตายเนี่ยมันก็
00:09:38 → 00:09:41 เลยมีความผิดปกติเกิดขึ้นในในในการทำงาน
00:09:41 → 00:09:44 ของมันเนาะซึ่ง the B พอมันไม่ตายมันก็
00:09:44 → 00:09:47 กลายเป็น Forever เป็นอมตะอยู่ในร่างกาย
00:09:47 → 00:09:49 เราประมาณนี้มที่ไบอันต้องการสื่อถึงก็
00:09:49 → 00:09:52 ถ้าจะสื่อง่ายๆก็แบบนั้นนะครับอืแล้วก็
00:09:52 → 00:09:54 จริงๆแล้วเนี่ยไมโตคอนเดรียฟังก์ชันหรือ
00:09:54 → 00:09:57 การทำงานผิดปกติของไมโตคอนเดรียเนี่ยมัน
00:09:57 → 00:10:00 ก็เกิดได้จากหลายสาเหตุเก็จริงๆแล้วใน
00:10:00 → 00:10:02 หนึ่งในสาเหตุที่เราเจอทุกวันนี้ก็คือ
00:10:02 → 00:10:05 ไลฟ์สไตล์ของเราที่ไม่ค่อยดีที่พี่เจอ
00:10:05 → 00:10:07 บ่อยๆนก็คือการกินอาหารบางคนอาจจะกินแบบ
00:10:07 → 00:10:10 แป้งน้ำตาลเยอะเกินไปที่เราพูดกันไปแล้ว
00:10:10 → 00:10:13 ก็คือเรื่องของมลภาวะที่เจอได้ค่อนข้าง
00:10:13 → 00:10:15 เยอะเนาะแล้วก็อีกอันนึงก็คือที่เจอได้ก็
00:10:15 → 00:10:18 คือคนที่แบบกินยาเยอะมากเลยเพราะยาบาง
00:10:18 → 00:10:21 อย่างก็อาจจะทำให้ไมโตคอนเดรียทำงานผิด
00:10:21 → 00:10:24 ปกติได้เช่นเดียวกันแล้วก็คนที่อีกอันนึง
00:10:24 → 00:10:26 ที่ไม่ค่อยเข้าใจก็คือการที่เรามีลำไส้
00:10:26 → 00:10:29 ที่ผิดปกติไปก็ทำให้ไมโตคอนเดรียทำทำงาน
00:10:29 → 00:10:31 ได้ผิดปกติเหมือนกันฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า
00:10:31 → 00:10:34 มันมีหลายสาเหตุมากเลยที่ไมโตคอนเดรียทำ
00:10:34 → 00:10:37 งานผิดปกติไบอันคิดว่าพวกเนี้ยเราควรจะ
00:10:37 → 00:10:39 แบบป้องกันยังไงหรือทำยังไงให้
00:10:39 → 00:10:42 ไมโตคอนเดรียเราหรือศูนย์พลังงานของเรา
00:10:42 → 00:10:44 เนี่ยมันทำงานได้ดีขึ้นได้บ้างผมว่า
00:10:44 → 00:10:46 ไลฟ์สไตล์หลักๆเลยอ่ะมันเป็นพฤติกรรมหมด
00:10:46 → 00:10:49 เลยเพราะว่าถ้าเราถ้าเราดูพูดถึงยาอะไร
00:10:49 → 00:10:51 อย่างเงี้ยยาที่เราใช้อ่ะพูดถึงยา
00:10:51 → 00:10:54 ปฏิชีวนะเนาะเราพยายามที่จะฆ่าแบคทีเรีย
00:10:54 → 00:10:57 ซึ่งกลไกในบายาบางชนิดเราเจาะจงที่จะให้
00:10:57 → 00:10:59 ฆ่าไมโทคอนเดรียเพราะว่าถ้าทำลาย
00:10:59 → 00:11:02 ไมโทคอนเดรียแบคทีเรียมันเป็นเซลล์อันนึง
00:11:02 → 00:11:05 เนาะคนเรามีเซลล์หลายๆอันเนาะเออมีเซลล์
00:11:05 → 00:11:08 เยอะมากเยอะมากมีมีเด็กเคยถามผมว่าฉันมี
00:11:08 → 00:11:11 เซลล์กี่เซลล์คะผมแบบตอบไม่ถูกเลยเนี่ย
00:11:11 → 00:11:14 แปลงเลย sle เซลลก็แปลว่าคุณเป็น
00:11:14 → 00:11:17 แบคทีเรียถ้าเราฆ่าแบคทีเรียได้ก็หมาย
00:11:17 → 00:11:18 ความว่าเราฆ่าไมโตคอนเดรียแค่อันเดียว
00:11:18 → 00:11:21 เนาะแต่ทุกครั้งที่เรากินยาแล้วมันทำลาย
00:11:21 → 00:11:23 ไมโทคอนเดรียของแบคทีเรียมันก็มีโอกาสที่
00:11:23 → 00:11:26 จะทำลายไมโทคอนเดรียของเราด้วยแต่เพราะ
00:11:26 → 00:11:28 ว่าร่างกายเราอ่ะมีไมโทคอนเดรียเยอะเรามี
00:11:28 → 00:11:30 เซลล์เยอะมากมันสามารถที่จะสร้างอันใหม่
00:11:31 → 00:11:35 ขึ้นมาได้เร็วเอิก็หลักๆก็คืออาหารยาทุก
00:11:35 → 00:11:38 อย่างก็กลายเป็นพฤติกรรมอ่ะครับอือกลับมา
00:11:38 → 00:11:41 พฤติกรรมอีกละใช่อือซึ่งถ้าเราจะดูว่า
00:11:41 → 00:11:44 เซลล์ปกติที่มีไมโตคอนเดรียเยอะจะมีอะไร
00:11:44 → 00:11:48 บ้างอส่วนใหญ่ที่มีเยอะนะก็จะมีตับอือ
00:11:48 → 00:11:53 เอ่อเส้นประสาทอือเอ่อกล้ามเนื้อออ่าใน 3
00:11:53 → 00:11:55 อันเนี้ยจริงๆเราดูว่าอันไหนที่โตเร็วที่
00:11:55 → 00:11:58 สุดส่วนใหญ่ก็เป็นกล้ามเนื้อใช่มั้เอ่อ
00:11:58 → 00:12:02 นั่นก็คือสาเหตุเออกกำลังกายก
00:12:02 → 00:12:06 อีสุดยอดมากเลยถ้าจะให้สรุปง่ายๆเนี่ยก็
00:12:06 → 00:12:09 คือคนส่วนมากจะเป็นมะเร็งเพราะ 2 สิ่งนี้
00:12:09 → 00:12:14 1 ไสล 2 เติเมื่อกี้เนี่ยเราก็พูดเกี่ยว
00:12:14 → 00:12:15 กับเรื่องไสตล์ไปบ้างแล้วคราวนี้ขอพูด
00:12:15 → 00:12:18 เรื่องเจเนติกหรือพันธุกรรมหน่อยะกันคราว
00:12:18 → 00:12:21 นี้บอันคิดว่าพันธุกรรมส่งผลกับทำการให้
00:12:21 → 00:12:24 คนไข้เป็นมะเร็งมากหน่อยแค่ไหนเอ่อก่อน
00:12:24 → 00:12:27 อื่นที่จะต้องเคลียร์เอ่อคำว่าพันธุกรรม
00:12:27 → 00:12:30 นิดนึงพันธุกรรมเนี่ยมามี 2 แบบเนาะอัน
00:12:30 → 00:12:32 นึงก็คือได้จากพ่อแม่ภาษาอังกฤษเราเรียก
00:12:32 → 00:12:35 ว่า hereditary ออือแลพันธุกรรมที่เกิด
00:12:35 → 00:12:38 ขึ้นระหว่างที่เราใช้ชีวิตนั่นคือ tic
00:12:38 → 00:12:41 เนาะคราวนี้ยพันธุกรรมที่เรามียีนกาย
00:12:41 → 00:12:43 พันธุ์พันธุกรรมที่ผิดปกติถ้าสมมุติเรา
00:12:43 → 00:12:45 ได้จากพ่อแม่อ่าอันนี้ก็เพิ่มความเสี่ยง
00:12:45 → 00:12:48 ต่อโรคมะเร็งได้อันนี้ที่คนรู้กันอยู่
00:12:48 → 00:12:51 แล้วอุ๊ยถ้าพ่อแม่ฉันเป็นฉันต้องเป็นชั่ว
00:12:51 → 00:12:53 อย่างเงี้ยใช่มยอันนี้คือได้จากพ่อแม่
00:12:53 → 00:12:56 hereditary ซึ่งต่างจาก somatic เพราะ
00:12:56 → 00:12:59 ว่า stic จากการกระทำใช่เพราะว่ามันไม่
00:12:59 → 00:13:01 ที่เกิดขึ้นตอนเราเกิดอือแต่พอเราใช้
00:13:01 → 00:13:03 ชีวิตไปเหมือนกับสร้างบาปอือสร้างก็คือ
00:13:03 → 00:13:07 สร้างกรรมสร้างกรรมอ่าสร้างกรรมไปอาจยีน
00:13:07 → 00:13:09 เปลี่ยนปึ๊บแต่อันเนี้ยมันไม่ได้เราไม่
00:13:09 → 00:13:12 ได้สืบทอดให้ลูกเรานะมันอยู่กับเราอก็คือ
00:13:12 → 00:13:14 เป็นที่ตัวเราใช่แล้วอันเนี้ยก็คือ
00:13:14 → 00:13:17 พันธุกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างชีวิตอ่าถ้า
00:13:17 → 00:13:20 พูดถึงพันธุกรรมที่มาจากพ่อแม่ผมว่าเ่อ
00:13:20 → 00:13:22 มันก็น่ากลัวเหมือนกันเพราะว่าโอกาสเกิด
00:13:22 → 00:13:24 มันก็ค่อนข้างเยอะเนาะแต่ถ้าเป็น
00:13:24 → 00:13:27 พันธุกรรมที่เราใช้ที่เราเกิดขึ้นในชีวิต
00:13:27 → 00:13:30 ของเราเนี่ยก็มันหลีกเลี่ยงได้อ่ะอ่าก็
00:13:30 → 00:13:32 คือกลับมาที่พฤติกรรมใหม่อันที่เช็คได้ก็
00:13:32 → 00:13:35 คืออันที่เราได้จากพ่อแม่พ่อแม่แต่อันที่
00:13:35 → 00:13:37 เช็คไม่ได้ก็คือมันไม่มีทางรู้เลยจนกว่า
00:13:37 → 00:13:40 เราเป็นโรคมะเร็งเราถึงจะส่งผลชิ้นเนื้อ
00:13:40 → 00:13:42 ไปตรวจได้แต่ถ้าเราไม่มีผลชิ้นเนื้อผิด
00:13:42 → 00:13:44 ปกติเนี่ยเพมันตรวจไม่ได้เลยมันเลยกลาย
00:13:45 → 00:13:47 เป็นว่าถ้าตรวจก่อนที่เราจะเป็นมะเร็งก็
00:13:48 → 00:13:50 ได้แต่อันที่เราจะรู้อันที่มาจากพ่อแม่
00:13:50 → 00:13:52 เท่านั้นฉะนั้นเนี่ยจากสิ่งที่ไบอันพูดก็
00:13:52 → 00:13:54 มามายถึงว่าถ้าเราสามารถตรวจโรคพันธุกรรม
00:13:54 → 00:13:56 จากพ่อแม่เนี่ยเราก็สามารถป้องกันการเป็น
00:13:56 → 00:13:59 มะเร็งได้ใช่ป่ะผมว่ามันไม่ได้ป้องกันนะ
00:13:59 → 00:14:02 แต่ทำให้เรารู้ก่อนรู้ทันเพราะว่าถ้าเรา
00:14:02 → 00:14:04 รู้แล้วว่าเรามียีนเนี้ยเราก็จะเปลี่ยน
00:14:04 → 00:14:08 พฤติกรรมของเราหรือมันจะเพิ่มความเข้มข้น
00:14:08 → 00:14:12 ในการที่จะดู screening ของเราว่าเราควร
00:14:12 → 00:14:16 ที่จะไปสรนเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือว่าสรีน
00:14:16 → 00:14:18 เหมือนเดิมซึ่งปกติถ้าพูดถึง screening เ
00:14:18 → 00:14:20 ก็คือหมายความว่าเราไปตรวจสุขภาพเนี่ย
00:14:20 → 00:14:22 แหละถ้าเราจะเริ่มตรวจมะเร็งส่วนใหญ่ก็ 40
00:14:22 → 00:14:25 เนาะอือใช่แต่เพะถ้าเรามียีนบางตัวยกตัว
00:14:25 → 00:14:28 อย่างถ้าเป็นยีนของอ่าที่มาจากพ่อแม่ที่
00:14:28 → 00:14:31 เกี่ยวกับเรื่องอ่ามะเร็งลำไส้เนาะมันก็
00:14:31 → 00:14:35 จะเป็นยีน apc อย่างเงี้ยเด็กอายุ 20 บาง
00:14:35 → 00:14:38 ทีก็จะเริ่มถ่ายอุจจาระเป็นเ่าเป็นเลือด
00:14:38 → 00:14:39 เร็วแล้วก็จะเป็นโรคมะเร็งเร็วอะไรอย่า
00:14:39 → 00:14:42 เงี้ยเขาก็จะต้องมีความเข้มข้นในการตรวจ
00:14:42 → 00:14:45 บ่อยๆ 2 กล้องเร็วกว่าเดิมซึ่งมันจะช่วย
00:14:45 → 00:14:47 ในการวินิจฉัยได้เร็วเพราะส่วนใหญ่แล้ว
00:14:47 → 00:14:50 วินิจฉัยเร็วรักษาเร็วมันก็หายได้อือแต่
00:14:50 → 00:14:53 ถ้าวินิจฉัยช้ามันแพร่กระจายอแย่ล่ะมันก็
00:14:53 → 00:14:55 หมดโอกาสพเรง่ายๆใช่เพราะฉะนั้นเหมือนกับ
00:14:55 → 00:14:57 ตรวจยีนเพื่อให้เรารู้ทันเฉยๆให้เรา
00:14:57 → 00:15:01 ตระหนักรู้เรา่ตัวเองก่อนอย่างเคสเ่อที่
00:15:01 → 00:15:03 ทุกคนรู้จักกันดีก็คือของเคส Angelina
00:15:03 → 00:15:05 โี่นะครับที่เขาผ่าเต้านม 2 ข้างเพราะรู้
00:15:05 → 00:15:08 ว่ามียีนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
00:15:09 → 00:15:12 เต้านมได้ถึงแบบเกิน 50% อ่ะแล้วคนใน
00:15:12 → 00:15:15 ครอบครัวเขาตั้งแต่ยายน้าอย่างเงี้ยก็
00:15:15 → 00:15:18 เป็นโรคมะเร็งกันเขาก็เลยตัดสินใจที่จะพา
00:15:18 → 00:15:22 2 ข้างออกฮะก็อันเนี้ยเป็นการที่โชว์ว่า
00:15:22 → 00:15:24 เขาป้องกันมะเร็งก่อนที่มันจะเกิดอือผม
00:15:25 → 00:15:28 เองก็อยากรู้เหมือนกันอืเหมือนทุกคนเลย
00:15:28 → 00:15:30 ที่อ่านข่าวเยเราก็อยากไปตรวจดูเนาะพอไป
00:15:30 → 00:15:34 ตรวจปุ๊บผมก็เจอว่าตัวเองมียีนแรดอยู่ยีน
00:15:34 → 00:15:40 แรดมันคืออะไรอ่ะไบอัน rad 51 C เนาะเข
00:15:40 → 00:15:43 ก็เลยเรียกว่ายีนแรด 51 C ซึ่งปกติเนี่ย
00:15:43 → 00:15:46 มันเป็นยีนที่อันนี้จะเข้าลงลึกหน่อยนะ
00:15:46 → 00:15:49 ยีนเนี่ยมันจะเปิดปิดได้ถ้าเรามียีนที่
00:15:49 → 00:15:52 ไม่ดีเราควรปิดไปเลยอย่าไปเปิดมันแต่ถ้า
00:15:52 → 00:15:55 เรามียีนที่ดีเราอยากเปิดมันเยอะๆเนาะถ้า
00:15:55 → 00:15:58 ผมมียีนแรดตัวเนี้ยเราก็อยากปิดมันไปเลยเ
00:15:58 → 00:16:01 ปิดเราจะไม่เป็นโรคมะเร็งแต่คราวเนี้ยมัน
00:16:01 → 00:16:03 จะเกิดขึ้นในโรคมะเร็งเต้านมกับรังไข่
00:16:03 → 00:16:06 เท่านั้นอืแปลว่าเป็นผู้ชายก็สบายสิก็ยัง
00:16:06 → 00:16:10 มีเต้านมอยู่เนาะก็มีโอกาสเป็นได้อยู่แต่
00:16:10 → 00:16:13 ผมก็ไปอ่านเพิ่มนะว่ายีน 51 ซไอ้เนี่ยแลด
00:16:13 → 00:16:15 51 C เนี่ยมันไม่ได้เกิดขึ้นในผู้ชาย
00:16:15 → 00:16:18 ที่มีมะเร็งเต้านมบ่อยๆผมก็เลยรู้สึกว่า
00:16:18 → 00:16:21 รู้สึกเซฟระดับนึงแต่คราวนี้เวลาผมจะมี
00:16:21 → 00:16:24 ลูกผมก็คิดว่าอ่าถ้าผมมีลูกสาวเขามีโอกาส
00:16:24 → 00:16:27 50% ที่เราจะมียีนตัวนี้เพราะว่า 50% มา
00:16:27 → 00:16:29 จากแม่ 50%
00:16:29 → 00:16:33 เนก็มีโอกาสที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค
00:16:33 → 00:16:37 มะเร็งให้กับลูกได้แต่พอมีความรู้ะว่าอ๋อ
00:16:37 → 00:16:39 ถ้าลูกเราไม่ได้แรดเหมือนเราเอ้ยไม่ใช่
00:16:39 → 00:16:44 ลูกเราทำตัวดีอย่างเงี้ยไม่ได้ทำเไม่ได้
00:16:44 → 00:16:46 มีการที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
00:16:46 → 00:16:48 ยีนแรดตัวนี้ก็จะไม่เปิดอือก็ไม่เปิดก็
00:16:48 → 00:16:51 คือปลอดภัยปิดไว้ใช่เรามียีนดีๆเราอยาก
00:16:51 → 00:16:54 เปิดเนาะยีนไม่ดีเราก็ปิดไปซะปะปิดไปตลอด
00:16:54 → 00:16:56 ไปเลยเหมือนกับบอกว่าเปิดประตูมาเจอ
00:16:56 → 00:16:58 เพื่อนดีฉันก็อยากต้อนรับใช่มยเพื่อนไม่
00:16:58 → 00:17:00 ดีมาก็ปิดไปเะปิดหน้าใส่ไปเลยโอเคประมาณ
00:17:00 → 00:17:03 นี้ประมาณนั้นแหละครับโอเคค่ะขอสมนิดนึง
00:17:03 → 00:17:05 เนาะก็คือเมื่อกี้ที่ไบอันพูดถึงเคส
00:17:05 → 00:17:07 Angelina โี่ที่เขาตัดเต้านมอ่ะบางทีผู้
00:17:07 → 00:17:09 หญิงหลายๆคนอาจจะไม่รู้ว่าเฮ้ยเราตัดต้อง
00:17:09 → 00:17:12 นมไปปุ๊บเนี่ยก็คือชั้นแบนไปเลยไม่มีอะไร
00:17:12 → 00:17:15 ไปเลยหรือเปล่าจริงๆมันก็ไม่ใช่ใช่มย
00:17:15 → 00:17:17 เพราะว่าปัจจุบันเนี้ยพอมันตัดเสร็จปุ๊บ
00:17:17 → 00:17:19 เนี่ยเขาก็เอาเหมือนกับว่าไขมันอะไรที่
00:17:19 → 00:17:22 มันคิดว่าอาจจะเป็นมะเร็งออกได้ถูกป่ะออก
00:17:22 → 00:17:24 เสร็จแล้วปุ๊บเนี่ยวิทยาการสมัยใหม่เาก็
00:17:24 → 00:17:27 มีการใส่ซิลิโคนเข้าไปแล้วก็เสริมแต่ง
00:17:27 → 00:17:30 หน้าอกเนาะฉั้นคนปัจจุบันเนี้ยถึงจะผ่า
00:17:30 → 00:17:32 ตัดเต้านมไปเต้านมก็ยังสวยอยู่แล้วก็แบบ
00:17:32 → 00:17:35 ว่าเหมือนปกติเลยนะไม่จำเป็นจะต้องกลัว
00:17:35 → 00:17:37 ว่ามันจะแบบแบนลบไม่มีอะไรใช่สมัยก่อนเรา
00:17:37 → 00:17:39 คิดว่าเาเราผ่าตัดไปเนี่ยมันก็จะแบนอย่าง
00:17:39 → 00:17:42 เงี้ยแล้วถ้าผู้ชายหลหๆท่านที่ไม่เข้าใจ
00:17:42 → 00:17:45 มันรู้สึกยังไงเนาลองบีบตัวเองแบบเนี้ย
00:17:45 → 00:17:47 อือบีบให้แน่นที่สุดที่จะบีบได้แล้ว
00:17:47 → 00:17:50 พยายามยืดแขนมันจะเจ็บมากความรู้สึกนั้น
00:17:50 → 00:17:53 เลยในคนที่ผ่าตัดเต้านมแต่สมัยเนี้ยคือ
00:17:53 → 00:17:56 เราแค่เอาเนื้อเยื่อของเต้านมออกก็คือ
00:17:56 → 00:17:59 ฟังก์ชันของเต้านมไม่มีละอเสริมด้วยซือคน
00:17:59 → 00:18:02 แต่ผิวหนังยังอยู่ตรงนั้นแล้วคุณหมอสมัย
00:18:02 → 00:18:05 เนี้ยเก่งมากเลยสวยงามดีใช่ทำได้ดีมาก
00:18:05 → 00:18:08 แล้วก็ทำให้ดูเหมือนกับว่าเออเขาดูเหมือน
00:18:08 → 00:18:11 ไม่ได้เป็นมะเร็งเลยอือซึ่งหลายคนเวลาเจอ
00:18:11 → 00:18:14 ว่ามีก้อนกลัวต้องผ่าอ่าเต้านมอยากให้รู้
00:18:14 → 00:18:18 ว่าขบวนการมันดีขึ้นละอืในบางประเทศไม่
00:18:18 → 00:18:22 แน่ใจเมืองไทยได้ยังแต่ในบางประเทศสะเอ่อ
00:18:22 → 00:18:25 ประกันสามารถเบิกได้ในการที่จะทำ
00:18:25 → 00:18:28 เซอร์เจอรี่นี้เพราะเขาเจอว่าโรคซึมเศร้า
00:18:28 → 00:18:31 เกิดขึ้นในผู้หญิงที่ผ่าตัดเ้านมผ่าตัด
00:18:31 → 00:18:34 เต้านมทิ้งหมดเลยอืก็แค่อยากให้ผู้ชมเข้า
00:18:34 → 00:18:36 ใจว่าจริงๆแล้วการที่เราจะผ่าตัดพวกนี้
00:18:36 → 00:18:39 เนี่ยเดี๋ยวนี้มันมีอะไรใหม่ๆมาเสริมะแล
00:18:39 → 00:18:40 ทำให้คุณผู้หญิงก็ยังมีความมั่นใจได้
00:18:40 → 00:18:43 เหมือนเดิมด้วยใช่ค่ะพอเราพูดถึงเรื่อง
00:18:43 → 00:18:45 โรคมะเร็งแล้วเนี่ยอีกระบบนึงที่ขาดไม่
00:18:45 → 00:18:48 ได้เลยเนาก็คือโรคของระบบของภูมิคุ้มกัน
00:18:48 → 00:18:50 เพราะระบบภูมิคุ้มกันเนี่ยแบบโอ้โหเป็น
00:18:50 → 00:18:52 อะไรที่สำคัญมากเพราะว่ามันสามารถช่วยเรา
00:18:52 → 00:18:55 ป้องกันอะไรได้หลายๆอย่างแต่ก็มีคนหลายคน
00:18:55 → 00:18:57 เนี่ยไม่เข้าใจเช่นบอกว่าเฮ้ยถ้าฉันแก่
00:18:57 → 00:18:59 แล้วพูมกันฉันก็จะไม่ค่อยดีแต่เราก็เห็น
00:18:59 → 00:19:02 ว่าเดี๋ยวเนี้ยคนที่แบบอายุแบบเป็น 80 ปี
00:19:02 → 00:19:04 100 ปีก็ยังแข็งแรงไม่เห็นเป็นมะเร็งเลย
00:19:04 → 00:19:06 เพราะว่าระบบภูมิพกเายังสามารถฆ่ามะเร็ง
00:19:06 → 00:19:08 ได้อันนี้ขอให้ไบอันช่วยอธิบายให้หน่อย
00:19:08 → 00:19:10 นิดนึงได้มมว่ามันเออระบบภูมิคุ้มกัน
00:19:10 → 00:19:12 เนี่ยมันสำคัญยังไงในด้านของมะเร็งถ้าโรค
00:19:12 → 00:19:15 มะเร็งก็คือเป็นโรคที่ภูมิคุ้มกันต่ำยก
00:19:15 → 00:19:17 ตัวอย่างเพราะว่าคนที่เป็นโรคมะเร็งเนี่ย
00:19:17 → 00:19:21 เราจะกังวลว่าติดเชื้อหรือเปล่าทานของดิบ
00:19:21 → 00:19:24 ก็ไม่ได้เดี๋ยวก็เอะไรก็จะติดเชื้อนู่น
00:19:24 → 00:19:26 ติดเชื้อนี่มันเลยกลายเป็นว่าโรคมะเร็ง
00:19:26 → 00:19:29 เนี่ยก็คือโรคภูมิคุ้มกันต่ำนั่นเองอืแต่
00:19:29 → 00:19:31 วิธีการรักษาของเราเนี่ยตอนนี้ก็เริ่มมี
00:19:31 → 00:19:34 โรคมียาภูมิคุ้มกันบันบาดที่จะช่วยทำให้
00:19:34 → 00:19:37 อ่าภูมิคุ้มกันเราเจอมะเร็งได้ง่ายขึ้น
00:19:37 → 00:19:40 พูดง่ายๆก็คือเราแข่งกับโรคมะเร็งอยู่มัน
00:19:40 → 00:19:43 เหมือนกับแรงชักขเยอถ้ามะเร็งมันฉลาดมัน
00:19:43 → 00:19:47 โตมันมีมันมันมีพลังเยอะกว่าภูมิคุ้มกัน
00:19:48 → 00:19:50 เรามันก็จะชนะอือแต่เมื่อไหร่ที่ภูมิคุ้ม
00:19:50 → 00:19:53 กันเราเก่งกว่าออ่าชักขเยอร์ก็จะดึงมา
00:19:53 → 00:19:55 ด้านภูมิคุมกันภูมิคุมกันมันก็จะไปจัดการ
00:19:55 → 00:19:58 กับเซลล์มะเร็งได้นั่นเองถ้าเปรียบเทียบ
00:19:58 → 00:20:00 ง่ายๆก็คือคือว่าภูมิปกันแล้วเราเนี่ย
00:20:00 → 00:20:02 เหมือนเป็นตำรวจถูกป่ะคอยเหมือนกับสังเกต
00:20:02 → 00:20:05 การว่ามีอะไรผิดปกติมส่วนรก็เหมือนเป็น
00:20:05 → 00:20:09 ผู้ร้ายพูดง่ายๆเธอถูกมยถ้าว่าถ้าผู้ร้าย
00:20:09 → 00:20:11 เก่งไปตำรวจก็ตามจับไม่ทันแต่ว่าถ้าตำรวจ
00:20:11 → 00:20:13 เก่งมากไม่ว่าผู้ร้ายจะไม่ไม่ดียังไงเรา
00:20:13 → 00:20:16 ก็ตามจับได้ถูกป่ะถ้าจะเทียบก็คือแบบนี้
00:20:16 → 00:20:21 ใช่หรือว่าในบางกรณีอ่ามะเร็งมันเก่งขึ้น
00:20:21 → 00:20:25 มันมียศมันมีพลังอ่ามันจ่ายตังค์ได้อ่า
00:20:25 → 00:20:28 เนี่ยบอกให้อ่าไม่ไม่ต้องมาทำร้ายฉันนะพ
00:20:28 → 00:20:32 กันเองหรือว่าเขาเปลี่ยนชื่ออเปลี่ยน
00:20:32 → 00:20:35 พาสปอร์ตเปลี่ยนเป็น identi จเปลี่ยน
00:20:35 → 00:20:38 ident ทำให้ทำให้ตำรวจจำไม่ได้อ่าคราว
00:20:38 → 00:20:41 นี้แหละแต่พอตำรวจกลับมาบอกว่าออนี่น่าจะ
00:20:41 → 00:20:44 เป็นผู้ร้ายน่าจะเป็นคนเดียวกันอือในขณะ
00:20:44 → 00:20:47 ที่กำลังดำเนินคดีอือเซลล์มะเร็งเปลี่ยน
00:20:47 → 00:20:50 ไปอีกละอืมันฉลาดมากมันเลยกลายเป็นว่า
00:20:50 → 00:20:52 ตำรวจจับไม่ได้สักทีเพราะว่าขั้นตอนในการ
00:20:52 → 00:20:55 จับผู้ร้ายมันมีขั้นตอนค่อนข้างเยอะแต่
00:20:55 → 00:20:58 เซล์มะเร็งมันแบบมันฉลาดไงพอมันเริ่มโต
00:20:58 → 00:21:00 นั่นก็ก็คือสาเหตุที่เราจะต้องกำจัดเซลล์
00:21:00 → 00:21:02 มะเร็งตอนที่มันยังน้อยอยู่อือมันยังไม่
00:21:02 → 00:21:05 ฉลาดยังไม่เคี้ยนจัดการมันทิ้งเลยเพราะ
00:21:06 → 00:21:07 มันเก่งแล้วมันก็แบบว่ากว่าจะแบบว่าโหไป
00:21:08 → 00:21:10 จัดการมันยากมากเลยใช่มีคนไข้หลายคนเขาก็
00:21:11 → 00:21:13 รู้สึกว่าเออฉันอยากรออยากทำ nal ก่อน
00:21:13 → 00:21:16 เนาะทั้งๆที่ก้อนมันเล็กมากเลยอ่ะคราว
00:21:16 → 00:21:18 เนี้ยมันผ่าตัดไม่ได้ลถ้าสมมุติมันโตขึ้น
00:21:18 → 00:21:21 มาพอมันฉลาดละผ่าตัดไปมันก็ไปโตที่อื่น
00:21:21 → 00:21:23 อย่างเงี้ยมันก็เหมือนกับเสียโอกาสไปใช่
00:21:23 → 00:21:26 เพราะฉะนั้นถ้าแบบมีอันเล็กรีบจัดการอื
00:21:26 → 00:21:29 พี่ก็มีเคสเหมือนกันก็คือแบบมีคนไข้เป็น
00:21:29 → 00:21:31 คนอังกฤษเนาะตอนแรกเขาก็เป็นแบบแค่สเตจ 1
00:21:31 → 00:21:34 เองเป็นมะเร็งเต้านมแต่แบบว่าเรื่องความ
00:21:34 → 00:21:36 กลัวสวยไงที่เมื่อกี้เราคุยกันแล้วแบบว่า
00:21:36 → 00:21:39 แบบเออแบบไม่อยากตัดเต้านมกลัวตัดเต้านม
00:21:39 → 00:21:41 แล้วจะเสีย Identity หรือว่าอัตอัตราตัว
00:21:41 → 00:21:44 ตนของตัวเองไปอย่างเงี้ยก็เลยไม่ยอมรักษา
00:21:44 → 00:21:46 สุดท้ายก็เลยเสียชีวิตเพราะว่าเขากลัวว่า
00:21:46 → 00:21:48 การตัดต้อมนมเนี่ยมันจะทำให้เสียความเป็น
00:21:48 → 00:21:51 ตัวตนของเขามันก็เป็นอะไรที่น่าเสียดาย
00:21:51 → 00:21:54 จริงๆแล้วเราควรไปลงแรงกับเวลากับตอนที่
00:21:54 → 00:21:56 เราควรที่จะป้องกันตั้งแต่ต้นเลยเพราะว่า
00:21:56 → 00:21:59 ถ้ารอให้เป็นก้อนก่อนอือแล้วพึ่งมา
00:21:59 → 00:22:02 ตระหนักได้อันเนี้ยมันอาจจะสายไปละถ้าเรา
00:22:02 → 00:22:05 ป้องกันตั้งแต่แรกพยายามที่จะไม่เป็นอย่า
00:22:05 → 00:22:08 ให้เป็นเลยอันเนี้ยดีที่สุดผมว่ามันไม่
00:22:08 → 00:22:10 นั้นตั้งแต่เริ่มมีก้อนเราก็จะ
00:22:10 → 00:22:12 อินเทอร์เน็ตสมัยเนี้ยเราอ่านเราก็จะเห็น
00:22:12 → 00:22:16 โอ้กินไดเอตนี้ 50 วันหาย 60 วันหายอย่าง
00:22:16 → 00:22:18 เงี้ยแต่โรคมะเร็งมันใช้เวลาหลายปีกว่าจะ
00:22:18 → 00:22:21 เป็นนะมันไม่ใช่แค่ 30 วันแล้วมันจะเป็น
00:22:21 → 00:22:23 ไม่ใช่เพราะว่าออวันนี้เราเครียดพวกนี้
00:22:23 → 00:22:26 เราเป็นเลยไม่ใช่มันแบบเป็น 10 ๆปีอือ
00:22:26 → 00:22:30 ตั้งแต่กอนเล็กๆจนไปถึงลล้านเซลล์เนาะ
00:22:30 → 00:22:32 เพราะฉะนั้นเราเริ่มตั้งแต่ต้นเพราะพมัน
00:22:32 → 00:22:33 ก้อนเล็กๆเนี่ยภูมิคุ้มกันเราเก่งขึ้นมา
00:22:34 → 00:22:36 มันแข็งแรงขึ้นมามันจัดการได้เพราะฉะนั้น
00:22:36 → 00:22:39 สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออยากให้ภูมิคุ้ม
00:22:39 → 00:22:41 กันเราตกได้ถ้าสมมุติคนไข้กลุ่มเนี้ย
00:22:41 → 00:22:44 ไบอันอยากแนะนำอะไรบ้างถ้าทำให้เขาเหมือน
00:22:44 → 00:22:46 กับว่าภูมิเขาดีขึ้นได้บ้างเราเริ่มตั้ง
00:22:46 → 00:22:49 แต่ตั้งแต่ตั้งแต่ยามาหาหมอเนาะหมอที่
00:22:49 → 00:22:52 เชี่ยวชาญด้านนี้มีประสบการณ์ด้านนี้โดย
00:22:52 → 00:22:55 ตรงเอิซึ่งจะต้องควบคู่กับการเปลี่ยน
00:22:55 → 00:22:58 ไลฟ์สไตล์อเนาะไม่สามารถที่จะไลฟสอย่าง
00:22:58 → 00:23:02 เดียวได้อ่าอาจจะได้มีเคสที่เกิดขึ้นละ
00:23:02 → 00:23:06 แต่ 1 คนในกี่คนน่ะอเนาะเอิมเพราะฉะนั้น
00:23:06 → 00:23:09 ถึงแม้จะไปหาคุณหมอบางทีความคาดหวังเขา
00:23:09 → 00:23:13 เยอะมากจนกลายเป็นว่าฉันมีเงินหมอจัดการ
00:23:13 → 00:23:15 เลยทุกอย่างต้องหายเพราะฉันจ่ายไป 10
00:23:15 → 00:23:18 ล้านอย่างเงี้ยซึ่งเไม่ได้ถ้าคุณไม่
00:23:18 → 00:23:22 เปลี่ยนพฤติกรรมสุดท้ายภูมิคุ้งกันก็ลง
00:23:22 → 00:23:25 เพราะถ้าเราให้สารอะไรพวกเนี้ยทางหลอด
00:23:25 → 00:23:27 เลือดทางยาอะไรอย่างเงี้ยแล้วมันทำให้ภูม
00:23:27 → 00:23:30 พุ้มกันสูงขึ้นได้อือซึ่งมันก็มีเดี๋ยวอิ
00:23:30 → 00:23:34 บายอแต่ยังไม่ใชตอนนี้มันก็ได้แค่ระดับ
00:23:34 → 00:23:37 เดียวเพราะว่าร่างกายเรามันเปลี่ยนอยู่
00:23:37 → 00:23:39 ตลอดเวลาเนาะทุก 3 เดือน 2 เดือนจริงๆถ้า
00:23:39 → 00:23:42 ดูเรื่องภูมิคุ้มกันในประสบการณ์ผมเเดือน
00:23:42 → 00:23:44 2 เดือนมันก็มันก็เปลี่ยนละเปลี่ยนะใช่
00:23:45 → 00:23:46 ใช่มั้ยแล้วมันเปลี่ยนเข้ากับพฤติกรรมของ
00:23:47 → 00:23:49 เราถ้าสมมุติเขาเปลี่ยนพฤติกรรมไปด้วย
00:23:49 → 00:23:51 แล้วเราทำอันนี้ไปด้วยมีโอกาสที่จะต้อง
00:23:51 → 00:23:54 ที่จะสามารถหยุดการรักษาได้แล้วใช้
00:23:54 → 00:23:57 พฤติกรรมจัดการที่เหลืออแต่ส่วนใหญ่อือ
00:23:57 → 00:23:59 ส่วนใหญ่เคเปลี่ยนเปลี่ยนพฤติกรรมกันไม่
00:23:59 → 00:24:03 ได้นิสัยมันเปลี่ยนยากที่สุดเนาะพฤติกรรม
00:24:03 → 00:24:05 ที่พูดถึงก็คืออันแรกอ่ะต้องดูสิ่งที่เรา
00:24:05 → 00:24:09 ควบคุมได้คือเรื่องอาหารอาหารการกินออก
00:24:09 → 00:24:11 กำลังกายการนอนนั้นเริ่มต้นดีที่สุดเลย
00:24:11 → 00:24:14 มันต้องไปควบคู่กันไปก็คือต้องเปลี่ยน
00:24:14 → 00:24:17 วิถีชีวิตอการที่เป็นมะเร็งมันเป็นสัญญาณ
00:24:17 → 00:24:20 ที่ภูมิคุกันเราบอกว่าชีวิตคุณน่ะทำให้
00:24:20 → 00:24:23 คุณเป็นแบบนี้นะอแล้วไม่ใช่ในระยะสั้น
00:24:24 → 00:24:28 ระยะ 10 ปีอือเพราะฉะนั้นคุณต้องแก้
00:24:28 → 00:24:31 พฤติกรรม 10 ปีที่คุณสร้างขึ้นมาอือไม่
00:24:31 → 00:24:34 ว่าวิธีไหนใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตามแต่เรา
00:24:34 → 00:24:37 สามารถใช้ยาเพื่อจะยืดเวลาในการเปลี่ยน
00:24:37 → 00:24:40 พฤติกรรมได้อือคนที่ทำควบคู่กันไปเนี่ย
00:24:40 → 00:24:43 โอกาสการรักษาที่จะทำให้มันไม่กลับมาเป็น
00:24:43 → 00:24:46 ซ้ำดีขึ้นอือหรือว่าคนที่เหมือนกับเป็น
00:24:46 → 00:24:49 ระยะสุดท้ายอือมีโอกาสที่จะยืดเวลาได้นาน
00:24:49 → 00:24:52 ขึ้นกว่าที่ทำมาตรฐานอย่างเดียวออือหรือ
00:24:52 → 00:24:54 จะทำให้คุณภาพชีวิตคนไข้ดีขึ้นด้วยอ่าแน่
00:24:54 → 00:24:57 นอนอยู่ละเพราะฉะนั้นภูมิคุ้มกันเนี่ย
00:24:57 → 00:24:59 สำคัญที่สุดเลยเห็นด้วยอันนี้ก็คือบ
00:24:59 → 00:25:02 อธิบายมาก็ได้เห็นภาพเลยว่าไม่ว่าคนไจะทำ
00:25:02 → 00:25:05 การรักษาแบบมาตรฐานหรือว่าการจะทำการ
00:25:05 → 00:25:08 รักษามาตรฐานบวกการการควบคู่การแบบรักษา
00:25:08 → 00:25:11 แบบธรรมชาติไปมันก็สามารถรักษาได้แต่ต้อง
00:25:11 → 00:25:13 คุยกับแพทย์เจ้าของไพ่ให้เข้าใจก่อนเนาะ
00:25:13 → 00:25:16 เพว่ามันคืออะไรแต่สุดท้ายนี้ที่สำคัญที่
00:25:16 → 00:25:18 สุดเห็นไบอันเน้นย้ำหลายรอบมากก็คือ
00:25:18 → 00:25:20 เรื่องพฤติกรรมเพราะว่าพฤติกรรมต้อง
00:25:20 → 00:25:22 เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกใช่มยมันถึงจะ
00:25:22 → 00:25:24 สามารถแบบว่าช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคน
00:25:24 → 00:25:28 ไข้ดีขึ้นได้เนาะใช่ขณะทุกวันนี้ผมเองก็
00:25:28 → 00:25:30 พยายามเปลี่ยนมานานแล้วนะอแต่ทุกครั้งที่
00:25:31 → 00:25:33 เปลี่ยนแล้วไปเจอข้อมูลใหม่ก็แบบเออเราก็
00:25:33 → 00:25:35 ยังทำไม่ดีพอเราก็จะเปลี่ยนอีกอย่างเงี้ย
00:25:35 → 00:25:38 แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแบบ 180 องศาทุกที
00:25:38 → 00:25:40 มันก็เหมือนกับทีละนิดทีละนิดบางทีสิ่ง
00:25:40 → 00:25:42 ที่เราเข้าใจวันนี้มันยังอาจจะไม่เข้าใจ
00:25:42 → 00:25:44 มากขนาดนั้นมันไปเข้าใจอีก 5 ปีข้างหน้า
00:25:44 → 00:25:47 อย่างเงี้ยอย่างเช่นเรื่องแบบน้ำตาลเขใ
00:25:47 → 00:25:50 อือบางคนแต่ก่อนผมคิดว่าผมเข้าใจะตัดน้ำ
00:25:50 → 00:25:53 ตาลไปเลยไม่ต้องกินละพอนละไม้ก็ตัดอย่าง
00:25:53 → 00:25:56 เงี้ยซึ่งพอผ่านมาประมาณ 5-6 ปีเรา
00:25:56 → 00:25:58 เปลี่ยนอาหารเราก็รู้สึกว่าเอ๊ะทำไมเรา
00:25:58 → 00:26:00 ออกกำลังกายไม่ได้อือแต่เราก็รู้ว่าข้อ
00:26:00 → 00:26:04 มูลว่าฟิตเนสเนี่ยยิ่งยิ่งเยอะยิ่งดีอ่า
00:26:04 → 00:26:06 ถ้าฟิตเนสเลเวลเราลงก็คือความแข็งแรงร่าง
00:26:06 → 00:26:11 กายอพูดง่ายๆมันหายไปก็กลายเป็นว่าอ๋อก็
00:26:11 → 00:26:13 คุณไม่ได้กินน้ำตาลแต่ไม่ใช่น้ำตาลที่มา
00:26:13 → 00:26:15 จากขนมนะอะไรอย่างเงี้ยมันก็อันนี้คือ
00:26:15 → 00:26:19 พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ที่ที่ผมก็บอกว่า
00:26:19 → 00:26:22 มันเป็น Journey เราต้องดูมาราธอนระยะยาว
00:26:22 → 00:26:24 มันแล้วมันก็แล้วผมก็จะพยายามตรวจดูภูมิ
00:26:24 → 00:26:26 พุมกันตัวเองอันนี้ในด้านตัวเองแล้วกัน
00:26:26 → 00:26:30 ไม่พูดถึงคนไข้นะว่าว่าในแต่ละ 3 เดือน
00:26:30 → 00:26:33 เนี่ยมันเป็นยังไงบ้างถ้ามันเริ่มลงก็บบ
00:26:33 → 00:26:35 โอเคมันมีอะไรผิดละมันมันเป็นสัญญาณแต่
00:26:35 → 00:26:37 เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิดแต่เราก็ต้องไป
00:26:37 → 00:26:40 ดูทีละอย่างเนาะอก็แปลว่าน้ำตาลเงอย่าง
00:26:40 → 00:26:43 ที่แอันบอกก็คือว่าตัด 100% เลยก็ไม่ได้
00:26:43 → 00:26:46 ก็ต้องมีบ้างแต่ว่าขอให้เป็นน้ำตาลที่ดี
00:26:46 → 00:26:48 เป็นแป้งที่ดีถูกมั้ยไม่งั้นแรงคุณก็จะ
00:26:48 → 00:26:51 ไม่มีเลยเนาะนเป็นคีย์เวิร์ดคีย์เวิร์ด
00:26:51 → 00:26:53 เลยสำคัคีย์เวิร์ดคือเดินทางสายกลาง
00:26:53 → 00:26:55 เดี๋ยวมีคนไปฟังแล้วก็บอกว่าอ๋อเดี๋ยวเอา
00:26:55 → 00:26:58 น้ำตาลทรายใส่เพราะเขาบอกว่าใส่ได้นิดนึง
00:26:59 → 00:27:01 โอไม่ใช่ไม่ใช่นะเออคนคแบบกันคราวนี้ก็
00:27:01 → 00:27:04 นอกจากที่เราจะคุยในเรื่องของเคสเเนี่ย
00:27:04 → 00:27:06 พี่ก็เลยอยากจะสรุปสั้นๆนิดนึงเนาะว่า
00:27:06 → 00:27:09 อะไรที่มะเร็งรักและอะไรที่มะเร็งเกลียด
00:27:10 → 00:27:12 เพราะว่าจริงๆแล้วเราพูดกันมายาวมากเลยคน
00:27:12 → 00:27:14 คนฟังอาจจะงงนิดนึงก็เลยอยากจะให้ทำเป็น
00:27:14 → 00:27:17 ชอตๆเป็นบุรุษพอยให้คนไข้ฟังนิดนึงเนาะ
00:27:17 → 00:27:19 แล้วก็อีกอันนึงที่อยากสำคัญมากก็คือขอ
00:27:19 → 00:27:22 เริ่มต้นที่มะเร็งชอบหรือมะเร็งรักก่อน
00:27:22 → 00:27:24 อันแรกเลยที่อยากพูดก็คือเรื่องของน้ำตาล
00:27:24 → 00:27:26 เพราะว่าเราก็มีเกริ่นมาก่อนหน้านี้ละนิด
00:27:26 → 00:27:30 นึงเนาะคราวนี้เนี่ยพี่ก็รู้มาว่าคนไข้
00:27:30 → 00:27:32 เนี่ยที่เราพูดว่าคนไข้สูบบุหรี่เนี่ยก็
00:27:32 → 00:27:34 ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งปอดใช่ป่ะแต่ก็มี
00:27:34 → 00:27:36 งานวิจัยหลายอันบอกว่าคนไข้ที่อ้วนเนี่ย
00:27:36 → 00:27:38 มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนไข้
00:27:38 → 00:27:40 ที่สูบุหรี่ซะอีกคราวนี้ก็เลยอยากให้
00:27:40 → 00:27:42 ไบอันช่วยอธิบายนิดนึงว่าน้ำตาลเนี่ย
00:27:42 → 00:27:45 มะเร็งมันเลฟยังไงจริงๆแล้วสัญญาณที่ทำ
00:27:45 → 00:27:49 ให้เซลล์โตออันแรกอ่ะก็คือมันเริ่มจากน้ำ
00:27:49 → 00:27:51 ตาลเนี่ยแหละอือเพราะน้ำตาลจะกระตุ้น
00:27:51 → 00:27:53 ฮอร์โมนที่เรียกว่าอินซูลินแล้วอินซูลิน
00:27:53 → 00:27:56 จะต้องเอาน้ำตาลไปไว้ในเซลล์เนาะเพราะถ้า
00:27:56 → 00:27:58 ไม่มีอินซูลินเนี่ยน้ำตาลเข้าไปอยู่ใน
00:27:58 → 00:28:01 เซลล์ไม่ได้เซลล์ก็เอาไปใช้งานไม่ได้เนาะ
00:28:01 → 00:28:05 ก็จะไม่มีพลังงานเลยพอน้ำตาลเราทานเยอะไป
00:28:05 → 00:28:07 สัญญาณนี้ก็ออกมาเยอะมันก็กระตุ้นให้แบบ
00:28:07 → 00:28:12 โตโตเร็วโตเร็วโตเร็วอะไรโตใช่ร็งหรือเรา
00:28:12 → 00:28:16 ใช่มั้ถ้าถ้าเราโตเป็นก้ามอย่างเงี้ยโอเค
00:28:16 → 00:28:19 รับได้แต่ถ้ามันเป็นเซลล์ผิดปกติอย่าง
00:28:19 → 00:28:22 เริ่มจากอ่ายกตัวอย่างกิอย่างเงี้ยโตขึ้น
00:28:22 → 00:28:25 แล้วมันไปเบียดที่อื่นแล้วมันทำให้แบบเรา
00:28:25 → 00:28:29 ปวดออือซึ่งผู้หญิงน่าจะเป็นเยอะเนาเยอะ
00:28:29 → 00:28:31 อันก็จะแบบถึงแม้จะไม่เป็นมะเร็งมันก็มัน
00:28:31 → 00:28:35 ก็ทรมานอยู่นะอก็มันก็สัญญาณพวกนี้แหละ
00:28:35 → 00:28:39 ใช่มก็มะเร็งเนี่ยจริงๆมันมันชอบพวก
00:28:39 → 00:28:42 สัญญาณที่ทำให้มันโตเร็วเพราะหน้าที่ของ
00:28:42 → 00:28:45 มันคือมันต้องโตอไม่มีหน้าที่อื่นเลยฉัน
00:28:45 → 00:28:47 ต้องโตต้องอยู่ให้นานที่สุดที่จะอยู่ได้อ
00:28:47 → 00:28:50 ฉันต้องรอดพูดง่ายๆใช่แต่บางทีเวลามัน
00:28:50 → 00:28:54 อยู่มันแข็งแรงไปมันก็ฆ่าเจ้าของร่างกาย
00:28:54 → 00:28:57 ไปด้วยอันนั้นคือมะเร็งไม่อยากได้หรอกแต่
00:28:57 → 00:28:59 นัมันคือหน้าที่มันชั้นต้องโตอือเพราะ
00:28:59 → 00:29:02 ฉะนั้นมันก็จะหาอาหารอันแรกของมันซึ่งก็
00:29:02 → 00:29:05 คือน้ำตาลนั่นเอง้ตาอแล้วถ้าสมมุติว่าคน
00:29:05 → 00:29:07 ไข้ที่เขาเป็นมะเร็งหรือว่าอยากจะป้องกัน
00:29:07 → 00:29:10 ตัวเองอย่างเงี้ยไบอันจะบอกว่าเออให้คัด
00:29:10 → 00:29:12 น้ำตาลเลยหรือว่าควรกินน้ำตาลประมาณไหน
00:29:12 → 00:29:15 หรือแป้งประมาณไหนดีก่อนอื่นต้องถามก่อน
00:29:15 → 00:29:18 ว่าคนไข้อ้วนมั้ยเงี้ยใช่มยถ้าคนไข้มีแนว
00:29:18 → 00:29:21 โน้มว่าอ้วนง่ายหรือว่าเป็นโรคอ้วนอยู่
00:29:21 → 00:29:24 แล้วอก็แน่นอนตัดน้ำตาลน่าจะดีเนาะแต่ถ้า
00:29:24 → 00:29:28 เป็นคนผอมอ่ะผอมมากเลยแล้วแบบอยากหุดีไม่
00:29:28 → 00:29:31 รู้บางคนก็เป็นแบบนี้จริงๆนะแบบผอมอยู่
00:29:31 → 00:29:33 แล้วเห็นแต่กระดูกแล้วบอกว่าฉันอ้วนแล้ว
00:29:33 → 00:29:37 บอกว่าเนี่ยผิวเยมันห้อยคือมันห้อยเพราะ
00:29:37 → 00:29:39 คุณสูญเสียกล้ามเนื้อมันเลยเหลือแค่ผิว
00:29:39 → 00:29:42 นั่นคือผิวคุณมันยืดออกมาก็เอากล้ามเนื้อ
00:29:42 → 00:29:45 ไปเติมก็ไม่ออกกำลังกายใช่มแต่บางคนก็
00:29:45 → 00:29:48 เข้ามาบอกว่าเนี่ยได้ยินว่าการทำฟาติหรือ
00:29:48 → 00:29:52 ว่าตัดน้ำตาลออกมันจะดีต่อร่างกายมันดี
00:29:52 → 00:29:55 สำหรับคนกลุ่มอ้วนซึ่งสมัยเนี้ยถ้าเราดู
00:29:55 → 00:29:59 โรคอ้วนประชากรที่ US อ่ะ
00:29:59 → 00:30:02 อืใช่มเริ่มอ้วนแล้วเปอร์เเริ่มเยอะขึ้น
00:30:02 → 00:30:05 ที่เป็นโรอ้วนอันก็เหมาะที่จะตัดเลยที่
00:30:05 → 00:30:08 บอกให้ตัดน้ำตาลเนาะเพราะให้เขาแบบลดความ
00:30:08 → 00:30:12 อ้วนหน่อยออันเนี้ยจริงเนาถ้าในกลุ่มนี้
00:30:12 → 00:30:13 เพราะมันโรคอ้วนอยู่แล้วมันคือความเสี่ยง
00:30:13 → 00:30:16 อันนึงถ้าเขาทานเยอะขึ้นอีกมันก็จะอ้วน
00:30:16 → 00:30:19 ขึ้นได้อีกแต่ถ้าเป็นคนผอมอืออย่าเลยออก
00:30:19 → 00:30:22 กำลังกายเถอะออกกำลังกายทานเยอะๆออกกำลัง
00:30:22 → 00:30:25 กายก็คือต้องดูบริบทคนไข้ด้วยเนาะว่ามัน
00:30:25 → 00:30:27 ต่างกันยังไงผมว่าอันที่สำคัญก็คือเวลา
00:30:27 → 00:30:29 พูดถึงน้ำตาลต้องพูดถึง Quality อือ
00:30:29 → 00:30:33 Quality of น้ำตาลใช่เพราะน้ำตาลอ่าไม่
00:30:33 → 00:30:35 ได้พูดถึงว่า Quality น้ำตาลเทียมอะไรง
00:30:35 → 00:30:37 งี้นะแต่พูดถึงว่าน้ำตาลเนี่ยมีหลายชนิด
00:30:37 → 00:30:39 น้ำตาลที่ได้จากอาหารกับน้ำตาลที่
00:30:39 → 00:30:42 สังเคราะห์ขึ้นมาน้ำตาลที่สังเคราะห์ขึ้น
00:30:42 → 00:30:44 มามันคือน้ำตาลเพียวๆเนาะเราสังเคราะห์
00:30:44 → 00:30:47 ขึ้นมาแล้วเราเพื่อทำให้รสชาติอร่อยขึ้น
00:30:47 → 00:30:51 อันเนี้ยอาจจะอันตรายได้อืออันตรายก็คือ
00:30:51 → 00:30:54 หมายความว่าถ้าทานเยอะไปมันจะสร้างปัญหา
00:30:54 → 00:30:57 ได้แต่ถ้ามาจากธรรมชาติอือสิ่งที่เป็นน้ำ
00:30:57 → 00:31:02 ตาลส่วนใหญ่ก็จะมาจากพืชอืเนาะจากสัตว์
00:31:02 → 00:31:05 น้อยมากน้อยมากนอยส่วนใหญ่มาจากพืชหมดเลย
00:31:05 → 00:31:07 แต่มันมีไฟเบอร์มันมี
00:31:07 → 00:31:14 ไมโครนิวเคลียส
00:31:14 → 00:31:17 เนาะดีที่สุดมันก็ไม่มีหรอกอะไรที่สุด
00:31:17 → 00:31:20 เนาะมันก็คืออะไรที่เยอะไปก็ไม่ดีอะไรที่
00:31:20 → 00:31:23 น้อยไปก็ไม่ดีผมเลยคิดว่า Quality รอาหาร
00:31:23 → 00:31:26 ถ้ามันยิ่งธรรมชาติยิ่งดีชาไข่มุกสมัยนี้
00:31:26 → 00:31:29 มันไม่เหมือนชาไข่มุกสมัยก่อนก่อนอมีชีส
00:31:29 → 00:31:31 ข้างหน้าอือไอ้ชีสเนี่ยคือแฟตแล้วไม่ใช่
00:31:31 → 00:31:34 แฟตดีด้วยนะมันคือชีสอะไรที่เขาใช้อ่ะ
00:31:34 → 00:31:37 แล้วมันก็สังเคราะขึ้นมาอันเนี้ย High
00:31:37 → 00:31:40 Fat High Sugar Ultra process อือ
00:31:40 → 00:31:44 เรากินเข้าไปอันมันทดแทนผลไม้ไม่ได้อือคน
00:31:44 → 00:31:48 แล้วคนไข้ผมชอบบอกว่าอ๋อก็นี่ไงฉันจะทาน
00:31:48 → 00:31:50 ชาไข่มกที่มีชีสด้านบนเราก็จะไม่กินผลไม้
00:31:50 → 00:31:54 เลยนี่ฉลาดทดแทนทดแทนลาดเราก็แบบไม่ๆกลับ
00:31:54 → 00:31:58 กันครับกลับกันกินผลไม้แล้วก็เลี้ยงมอนี้
00:31:58 → 00:32:00 เออถ้าเราจะงดยังไงก็ขอดูตัวเองก่อนเนาะ
00:32:00 → 00:32:03 ว่าตัวเองเหมาะกับการงดหรือว่าคุณยังต้อง
00:32:03 → 00:32:06 กินอยู่ใช่ไหนๆพูดถึงเรื่องอาหารละมันก็
00:32:06 → 00:32:09 จะมีประเด็นขึ้นมาว่าอันไหนสำคัญที่สุดใน
00:32:09 → 00:32:11 สารอาหารหลักออเวลาผมพูดถึงสารอาหารหลัก
00:32:11 → 00:32:15 ขอทบทวนคาร์โบไฮเดรตแฟตโปรตีนอือแต่เวลา
00:32:15 → 00:32:18 พูดถึงสารอาหารทุกคนชอบไปคิดถึงวิตามิน
00:32:18 → 00:32:20 เนาะ with C with E นั้นมันสารอาหาร
00:32:20 → 00:32:23 รองมันต้องรองจากหลักสิใช่มั้ยคราวนี้พอ
00:32:23 → 00:32:25 มาดูสารอาหารหลักอันที่สำคัญที่สุดเชื่อ
00:32:25 → 00:32:28 มั้ยว่าเป็นโปรตีนใช่เพราะเป็นโปรตีนนี่
00:32:28 → 00:32:30 เป็นอะไรที่เราต้องใช้สร้างทุกๆอย่างใน
00:32:30 → 00:32:33 ร่างกายใช่เม็ดเลือดแดงเม็ดเลือดขาวเม็ด
00:32:33 → 00:32:36 เลือดขาวคือพวงพุ้มกันนั่นเองเนาะอือเม็ด
00:32:36 → 00:32:40 เลือดแดงก็คือต้องใช้ออกซิเจนถ้าไม่มี
00:32:40 → 00:32:42 ฮีโมโกลบินไม่มีโปรตีนที่จะไปจับออกซิเจน
00:32:42 → 00:32:45 ฮีโมโกลบินก็คือโปรตีนที่อยู่ในเม็ดเลือด
00:32:45 → 00:32:48 แดงอือมันก็จะไม่สามารถส่งออกซิเจนให้กับ
00:32:48 → 00:32:51 ร่างกายเราได้เราก็ไม่รอดพูดง่ายๆใช่สมอง
00:32:51 → 00:32:55 เราต้องใช้เนาะซึ่งเอ่อโปรตีนเป็น
00:32:55 → 00:32:57 Building Block จริงๆในสารอาหารหลัก 3
00:32:57 → 00:32:59 อันเนี่ยมันเป็นพลังงานนั่นเองอือแต่น้ำ
00:32:59 → 00:33:01 ตาลน่ะมันก็จะเป็นสัญญาณแรกแหละบอกว่า
00:33:02 → 00:33:04 เฮ้ยฉันกินแล้วนะอย่างเงี้ยเริ่มสั่ง
00:33:04 → 00:33:07 สัญญาณแล้วเอเริ่มสร้างอะไรสักอย่างได้
00:33:07 → 00:33:11 แล้วแต่ถ้าไม่มีร่างกายก็ต้องไปเอาโปรตีน
00:33:11 → 00:33:15 กที่อื่นเนาะคนไข้ผมก็ชอบบอกว่าอเนี่ยเรา
00:33:15 → 00:33:18 ไม่กินดีกว่าเห็นมเต้าที่โชว์ว่าฟาติมัน
00:33:18 → 00:33:22 ดีแล้วเแล้วเขาก็บอกว่าคุณได้ดู study เม
00:33:22 → 00:33:25 ว่าคนไข้เาหนักเท่าไหร่อืกี่กิโลก่อนแล้ว
00:33:25 → 00:33:29 แล้วคุณหนัก 30 กอือคือมันไม่ได้นะอย่าง
00:33:29 → 00:33:33 เงี้ยเขาก็แบบเนี่ยมันดีมากเลยบอกออตกลง
00:33:33 → 00:33:35 จะสู้มะเร็งแต่ไม่เอาชีวิตแล้วใช่มั้อะไร
00:33:35 → 00:33:37 เงี้ยแต่ไม่ได้พูดแบบนี้นะเออๆเข้าใจ
00:33:37 → 00:33:40 โปรตีนน่ะสำคัญกว่าซึ่งคนปกติยังกิน
00:33:40 → 00:33:42 โปรตีนไม่ถึงเลยอ่ะจริงคนทั่วไปส่วนใหญ่
00:33:42 → 00:33:45 แป้งก่อนไงกับไขมันก่อแล้วโปตีนสุดท้าย
00:33:45 → 00:33:48 กินง่ายอจริงๆแบบถ้าจะกิน 2,000 แควแบบ
00:33:48 → 00:33:51 คลีนนะอือยากมากเลยอ่ะจริงแต่ถ้าจะกิน
00:33:51 → 00:33:55 2,000 แควจากของากคาบนะโอ้โหง่ายขนมมัน
00:33:55 → 00:33:58 ก็เลยกลายเป็นว่าโปรตีนสำคัญกว่าอืแต่ก็
00:33:58 → 00:34:01 ต้องคุมน้ำำตาลเหมือนกันใช่ต้องบาานอ่ะ
00:34:01 → 00:34:04 พูดง่ายๆอันนี้นอกจากที่บอกว่า cancer
00:34:04 → 00:34:06 Love Sugar แล้วเนี่ยมีอันอื่นอีกมาที่
00:34:06 → 00:34:09 ไบอันคิดว่าสำคัญมากเช่นถ้าพี่เห็นเนาะก็
00:34:09 → 00:34:12 คือจะเป็นเรื่องสสมั้งของคนสมัยนี้เพราะ
00:34:12 → 00:34:14 ว่ามันแบบเยอะมากเพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
00:34:14 → 00:34:17 การงานเรื่องครอบครัวหรือว่าแม้กระทั่ง
00:34:17 → 00:34:19 เรื่องของโซเชียลต่างๆใช่มมที่มันมีแรงกด
00:34:19 → 00:34:21 ดันไอ้เรื่องสสเนี่ยไปอั้นคิดว่าไงบ้างผม
00:34:21 → 00:34:23 ว่ามันหนักมากเลยเพราะสิ่งแรกที่เราเจอ
00:34:23 → 00:34:26 กันเนาะเวลาเราเจอเพื่อนใหม่เพื่อนที่แบบ
00:34:26 → 00:34:29 เอ่อไม่ได้เจอกันนานสิ่งแรกที่เราถามการ
00:34:29 → 00:34:32 งานเป็นไงออืใช่มยภาษาอังกฤษเราจะเรียก
00:34:32 → 00:34:34 ว่า grind culture grind culture หมาย
00:34:34 → 00:34:37 ความว่าเราทำงาน overw เพราะเราต้องการ
00:34:37 → 00:34:40 ที่จะ successful ออือก็คืออยากประสบความ
00:34:40 → 00:34:43 สำเร็จซึ่งอันเนี้ยเป็นความเครียดอันนึง
00:34:43 → 00:34:46 อือเนาะในนิยามของบางคนเนี่ยก็คือต้องมี
00:34:46 → 00:34:50 เงินเยอะต้องมีต้องมีชื่อเสียงเสียงเออมี
00:34:50 → 00:34:53 บ้านมีรถบ้านมีรถอย่าเงี้ยพอเราทำไม่ได้
00:34:53 → 00:34:57 โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ 30 กำลังจะ30ยัง
00:34:57 → 00:35:00 บานเลยอย่างเงี้ยก็จะเริ่มเครียดแล้วก็จะ
00:35:00 → 00:35:03 พยายามทำงานหนักขึ้นไม่สนใจเรื่องสุขภาพอ
00:35:03 → 00:35:06 ออือผมว่าสำคัญมากเลยเพราะว่าฮอร์โมนสส
00:35:06 → 00:35:08 ที่ออกมาส่วนใหญ่ทุกคนชอบพูดถึงคิซเนาะ
00:35:09 → 00:35:11 ใช่คิซฮอร์โมนอซึ่งคิซเนี่ยจริงๆมันควร
00:35:11 → 00:35:14 สูงที่สุดตอนเช้าใช่ถ้าไม่มีคอิเลยก็ไม่
00:35:14 → 00:35:16 ตื่นนะใช่แล้วทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมันมัน
00:35:16 → 00:35:19 เบื่อมากเลยแต่มันควรที่จะลดลงอระหว่าง
00:35:19 → 00:35:21 วันอือจนถึงตอนกลางคืนแล้วไม่เราทนินจะ
00:35:21 → 00:35:24 ออกมาอือเนาะแต่สมัยเนี้ยคือแบบเราชอบให้
00:35:24 → 00:35:27 คอร์ติซอลมันดีดขึ้นมาตอนกลางวันตอนเย็น
00:35:27 → 00:35:29 ตอนกลางคืนอใช่มอันอันนึงที่พูดถึงที่คน
00:35:29 → 00:35:32 ใช้บ่อยมากคือกาแฟกาแฟไม่ได้บอกกาแฟเป็น
00:35:32 → 00:35:34 สิ่งไม่ดีนะแต่ชอบไปดื่มตอนกลางคืนกัน
00:35:34 → 00:35:38 ดื่มจนฝึกให้ร่างกายเราเหมือนกับทนได้
00:35:38 → 00:35:41 ชั้นกาแฟไม่มันไม่ทำอะไรกับฉันละออือก็
00:35:41 → 00:35:44 คุณไม่มีคอซอให้ออกมาแล้วมันจะทำอะไรได้
00:35:44 → 00:35:46 ไงซึ่งคอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนความเครียดที่
00:35:46 → 00:35:49 ลังออกมาแล้วไม่ให้น้ำตาลเข้าไปอยู่ใน
00:35:49 → 00:35:51 เซลล์ได้เพราะนั่นคือกลไกของมันเพราะน้ำ
00:35:51 → 00:35:53 ตาลไม่อยู่ในเซล์มันก็ต้องอยู่ในหลอด
00:35:53 → 00:35:56 เลือดโรคเบาหวานก็
00:35:56 → 00:35:59 มาไปเรื่องน้ำตาลเหมือนเดิมซึ่งอันเนี้ย
00:35:59 → 00:36:02 เป็นกลไกแรกเลยเดิมอือแล้วสิ่งที่เราควร
00:36:02 → 00:36:06 ที่จะทำให้ได้ก็คือเข้าใจแหละกน culture
00:36:06 → 00:36:09 อือต้องมันคือเวลายุคทำงานก็คือต้องทำงาน
00:36:09 → 00:36:13 เยอะๆไม่นอนได้ยิ่งดีซึ่งผมว่ามันมาจาก
00:36:13 → 00:36:16 อ่ามันมาจาก environment Factor ที่เป็น
00:36:16 → 00:36:18 culture มากกว่าอือเป็น culture ที่
00:36:18 → 00:36:20 เหมือนกับว่าคนที่ไม่นอนเพราะทำงานถือว่า
00:36:20 → 00:36:24 ขยันเราเป็นคนดีอือใช่มั้ยแต่ผมว่าคนที่
00:36:24 → 00:36:27 นอนเนี่ยแหละเป็นคนที่ขยันที่สุดขยันนนอน
00:36:28 → 00:36:30 ขยันนอนแต่ไม่ใช่ว่านอนแล้วละเลยหน้าที่
00:36:30 → 00:36:33 นะนอนแล้วแบบ efficient effective ในการ
00:36:33 → 00:36:36 งานประสิทธิภาพต้องได้จริงๆเราควรทำงาน
00:36:36 → 00:36:38 หนักที่สุดคือตอนที่คอร์ติซอลหลังอือพอ
00:36:38 → 00:36:40 มันตกไปแล้วเนี่ยแล้วเราพยายามสู้กับมัน
00:36:40 → 00:36:44 นั่นก็คือภาวะความเครียดอันนึที่จะมันแอ
00:36:44 → 00:36:47 on อ่ะอือวันเราไม่เห็นหรอกอย่างเช่นตอน
00:36:47 → 00:36:49 เด็กเราไม่รู้สึกอือแต่พอเริ่มโตขึ้นมา
00:36:49 → 00:36:53 แต่ก่อนผมว่าคนอายุ 30 ยังมีแรงเยอะเลยนะ
00:36:53 → 00:36:56 ใช่เดี๋ยวนี้ 30 นี่คือแบบไม่ไม่ไหวแล้ว
00:36:56 → 00:36:59 หมดแรงแล้วใช่คนพูดเข้ามาอย่างเงี้ยเราก็
00:36:59 → 00:37:02 ไม่อยากฟังละทะเลาะกันบ่อยผมว่าอันเนี้ย
00:37:02 → 00:37:04 มันก็มันก็มีความเครียดเข้ามาแล้วก็มี
00:37:04 → 00:37:07 เรื่องอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องอใช่มัน
00:37:07 → 00:37:10 เหมือนกับเราไม่สามารถ process ได้แล้วก็
00:37:10 → 00:37:13 เป็นคนที่แบบไม่น่าครบละอะไอย่างงั้นจาก
00:37:13 → 00:37:16 คนดีเราอาจจะเป็นคนดีก็ได้แต่เพราะเราสน
00:37:16 → 00:37:19 ใจเรื่องงานมากไปบางทีก็จะต้อง Take a
00:37:19 → 00:37:23 เคหน่อยอือแล้วถ้าทำให้ดีที่สุดเลยก็คือ
00:37:23 → 00:37:26 พยายามนอนนนอนให้ถึงนอนให้ถึงใช่ผมว่า
00:37:26 → 00:37:29 ความเครียดเนี่ยสำคัญเลยมันเป็นแฟตรนึง
00:37:29 → 00:37:32 ที่เราแบบเลี่ยงไม่ได้จะพูดยังไงก็ก็ยาก
00:37:32 → 00:37:34 นิดนึงเนาก็ที่เราพูดมานี่ก็คือเกี่ยวกับ
00:37:34 → 00:37:36 เรื่องความเครียดกับคอร์ติซอลเนาะจริงๆ
00:37:36 → 00:37:38 มันก็มีลิงก์เกี่ยวข้องมากมายว่าระหว่าง
00:37:39 → 00:37:41 ถ้าสมมุติเราเครียดภูมิคุ้มกันจะไม่ดี
00:37:41 → 00:37:43 ภูมิจะตกอะไรอย่างเงี้ยคราวนี้มันก็เลย
00:37:43 → 00:37:45 อาจจะเกี่ยวข้องกับความเครียดภูมิไม่ดี
00:37:45 → 00:37:47 แล้วทำให้เป็นมะเร็งได้ด้วยมั้ยออันนี้
00:37:47 → 00:37:50 ชัดเจนมากผลงานวิจัยก็โชว์ชัดเจนมากอเอ่อ
00:37:50 → 00:37:53 เราจะเห็นเลยว่าไม่ได้ไม่ได้วัดจากคอิ
00:37:53 → 00:37:55 อย่างเดียวอือเราสามารถวัดจากเดี๋ยวนี้
00:37:55 → 00:37:58 เขาชอบวัดจาก HRV อือ hr V ก็คือ heart
00:37:58 → 00:38:02 rate varity เนาะยิ่งสูงยิ่งดียิ่งต่ำ
00:38:02 → 00:38:06 ยิ่งไม่ดีมันก็คือเหมือนกับเป็นเ่าเป็น
00:38:06 → 00:38:10 ดัชนีในการวัดว่าเราสามารถที่จะทนกว่า
00:38:10 → 00:38:13 ความเครียดได้มากเน้อยเท่าไหร่จากหัวใจ
00:38:13 → 00:38:15 ของเราเพราะ HRV คือ heart rate
00:38:15 → 00:38:17 variability เพราะฉะนั้นมันวัดความเร็ว
00:38:17 → 00:38:23 ของมันคือถ้าเป็นภาษาคณิตศาสตร์อก็คือเรท
00:38:23 → 00:38:26 อือเรทก็คือความเร็วในการที่หัวใจมันจะ
00:38:26 → 00:38:28 มันจะเปลี่ยนจากเร็วไปช้ช้าไปเร็วจะเห็น
00:38:28 → 00:38:31 ชัดตอนออกกำลังกายอือถ้าเราออกกำลังกาย
00:38:31 → 00:38:35 หนักอือแล้วเราสามารถให้หัวใจเราจากที่
00:38:35 → 00:38:38 สูงไปต่ำได้ในระยะเวลา 3 นาทีอืออย่าง
00:38:38 → 00:38:42 เช่น 180 ลงมา 120 อันนี้ถือว่า HRV ที่
00:38:42 → 00:38:45 ดีอือแต่ถ้าสมมุติมันแบบ 180 มันไม่ลงมา
00:38:45 → 00:38:47 เลยอันนี้คือไม่ดีละอออันนี้ก็กลับมา
00:38:47 → 00:38:50 เรื่องความเครียดคนที่เหมือนกับไม่ได้ออก
00:38:50 → 00:38:53 กำลังกายออันนี้ไม่ได้เกี่ยววกของกนะอือ
00:38:53 → 00:38:55 คือ heart rate มันขึ้นแล้วมันลงไม่ได้
00:38:55 → 00:38:58 อือเพราะมันเกิดจากความเครียดอือเพะอมัน
00:38:58 → 00:39:01 ทำให้เครียดมากขึ้นใช่มความดันก็เยอะขึ้น
00:39:01 → 00:39:04 อือคราวเนี้ยเราไม่มีความยืดหยุ่นอเพราะ
00:39:04 → 00:39:07 ฉะนั้นดัชนีในการเช็คความยืดหยุ่นของอ่า
00:39:07 → 00:39:09 ที่ร่างกายเราสามารถทนต่อความเครียดได้ก็
00:39:09 → 00:39:13 คือ HRV นั่นเองเนาะก็โชว์อยู่ว่าคนที่มี
00:39:13 → 00:39:17 HRV ต่ำมักจะเป็นโรคหัวใจกับมะเร็งอืคน
00:39:17 → 00:39:21 ที่มี HRV สูงมักจะไม่ค่อยเป็นโรคพวกนี้
00:39:21 → 00:39:23 อือคราวนี้เขาก็โชว์ในผลงานวิจัยอีกว่าใน
00:39:23 → 00:39:26 ลำไส้มะเร็งลำไส้เนาะเราจะเห็นว่า HRV ใน
00:39:27 → 00:39:30 คนที่มี HRV สูงได้รับเคมีบำบัดการรักษา
00:39:30 → 00:39:34 จะดีกว่า tomer Marker หรือว่าค่ามะเร็ง
00:39:34 → 00:39:37 มันลงเร็วกว่าอือคนที่ HIV ต่ำอือเพราะ
00:39:38 → 00:39:39 ฉะนั้นมันก็เห็นใน 2 เคสไม่ว่าจะเป็นเคส
00:39:40 → 00:39:42 ปกติหรือเคสมะเร็งถ้าเราสามารถเพิ่ม HIV
00:39:43 → 00:39:46 ได้ก็จะทำใหู้งพุ้งกันเราดีขึ้นได้อีก
00:39:46 → 00:39:49 อย่างที่มะเร็งมันชอบหรือว่ามันรักก็คือ
00:39:49 → 00:39:51 การสูบบุหรี่แล้วก็ PM 2.5 เนาะหรือว่า
00:39:52 → 00:39:54 สิ่งแวดล้อมคราวนี้ 2 สิ่งเนี้ยมันทำให้
00:39:54 → 00:39:56 เกิดมะเร็งหรือว่ามะเร็งมันจะโตได้ยังไง
00:39:56 → 00:40:00 บ้างมันไปที่การอักเสบมากกว่านะอเพราะว่า
00:40:00 → 00:40:03 ทุกครั้งที่เรามีอ่าพอลลูชั่นหรือว่าสิ่ง
00:40:03 → 00:40:05 ที่เอ่อสิ่งที่ทำให้เหมือนซิ่งแปลกปลอม
00:40:05 → 00:40:08 ไม่ว่าจะเข้ามาทางจมูกทางหายใจหรือว่าทาง
00:40:08 → 00:40:11 หลอดเลือดอ่าถ้าสูบบุหรี่อย่างเงี้ยเราก็
00:40:11 → 00:40:14 คิดว่ามันมาแค่ทางปอดใช่มั้ใช่แต่ถ้า
00:40:14 → 00:40:17 สมมุติปอดเราสู้ได้ล่ะมันจะไปที่ไหนต่อ
00:40:17 → 00:40:19 มันไปทั่วนะอเพราะมันเป็นอาการอักเสบมัน
00:40:19 → 00:40:21 เป็นสัญญาณอักเสบแล้วมันสามารถแล้วสัญญาณ
00:40:21 → 00:40:24 อักเสบเนี่ยมันมาทางหลอดเลือดอือถ้ามันมา
00:40:24 → 00:40:27 ทางหลอดเลือดได้มันก็ไปที่อื่นได้จะกลาย
00:40:27 → 00:40:30 เป็นว่าถึงแม้เราจะไม่เราจะสูบบุหรี่มัน
00:40:30 → 00:40:31 ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เป็นมะเร็งปอดเราจะเป็น
00:40:31 → 00:40:34 มะเร็งอย่างอื่นด้วยผลงานวิจัยก็โชว์แล้ว
00:40:34 → 00:40:39 ออออ่าก็จะมีพวกแบบลำไส้ใหญ่สมองเอ่อเต้า
00:40:39 → 00:40:42 นมต่อมลูกมากระเพาะหมดเลยหมดเลยเพราะว่า
00:40:42 → 00:40:44 มันมันสร้างอาการอักเสบแล้วเราก็ไม่รู้
00:40:45 → 00:40:47 ว่าอาการอักเสบนั้นมันไปถูกโฉลกกับส่วน
00:40:47 → 00:40:49 ไหนของร่างกายเราอ่าบคนไม่เหมือนกันแล้ว
00:40:49 → 00:40:52 ถ้ามันไปถูกโฉลกนั้นอ้าวโดนแล้วใช่มั้มัน
00:40:52 → 00:40:54 ก็ไม่ได้หมายความว่าอ๋อเราแค่เราไม่เป็น
00:40:54 → 00:40:56 มเร็งปอดเราเช็คแค่ปอดอย่างเดียวก็ได้
00:40:56 → 00:40:59 เช็คแค่ xray อย่างเดียวอย่างเงี้ยปีละ
00:40:59 → 00:41:02 ครั้งเแล้วเนี่ยก็คือสาเหตุที่มะเร็ง
00:41:02 → 00:41:05 เนี่ยมันชอบของพวกนี้มากก็คือสิ่งที่ทำ
00:41:05 → 00:41:08 ให้เกิเกิดอาการอักเสบโดยเฉพาะจากอากาศ
00:41:08 → 00:41:10 อากาศก็คือไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ PM ก็ใกล้
00:41:10 → 00:41:13 เคียงกัน่อือขอทริปสั้นๆป้องกันไงได้บ้าง
00:41:13 → 00:41:16 เครื่องฟอกก่อนเลยครับเื่ฟอันแรกก็คือถ้า
00:41:16 → 00:41:18 อยู่ในตึกเนี่ยคือเครื่องฟอกเอถ้าอยู่
00:41:18 → 00:41:21 ข้างนอกก็ใส่แสเนาะใส่แสที่กอง PM 2.5
00:41:21 → 00:41:25 ได้อาจจะแบบเหนื่อยนิดนึงอหรือว่าย้าย
00:41:25 → 00:41:27 บ้านไปเลยย้ายบ้านไปเลยจากบริเวณ
00:41:27 → 00:41:30 แต่อันนี้มันค่อนข้างยากเพราะเราอยู่เรา
00:41:30 → 00:41:34 คนที่อยู่ในที่ที่เป็นเอ่อ City เนาะ City
00:41:34 → 00:41:36 Life อย่างเงี้ยมันก็มันก็ย้ายากเพราะ
00:41:36 → 00:41:38 เข้าใจว่างานอยู่ที่นั่นเราก็จะต้องมาดู
00:41:38 → 00:41:40 แลร่างกายให้มากขึ้นเพราะเรารู้อยู่แล้ว
00:41:40 → 00:41:43 ว่าอยากจะให้คิดว่าปัจจัยทุกอย่างอที่
00:41:43 → 00:41:47 มะเร็งชอบเนี่ยมันเหมือนกับมันแอ on นะ
00:41:47 → 00:41:49 มันไม่ใช่แยกกันไม่ได้ทำงานแยกกันนะไม่
00:41:49 → 00:41:54 ใช่ว่าอ๋อ PM 2.5 มันแยกจากน้ำตาลมันคน
00:41:54 → 00:41:57 ละเรื่องไม่ถ้าคุณทานน้ำตาลเยเยอะแล้วมัน
00:41:58 → 00:42:00 ทำให้เกิเกิดอาการอักเสบร่างกายเราต้องไป
00:42:00 → 00:42:02 จัดการตรงนั้นแล้วมันก็จะไม่มีอะไรมาจัด
00:42:02 → 00:42:06 การตรงนี้ใช่มยแล้วถ้าเราไปเพิ่มตรงนี้
00:42:06 → 00:42:08 มันก็จะมีตรงเราก็ต้องเหมือนกับร่างกาย
00:42:08 → 00:42:11 ต้องเลือกะอันไหนสำคัญกว่ากันเนาะอันไหน
00:42:11 → 00:42:13 อันไหนอักเสบมากกว่าก็ต้องไปจัดการนั้น
00:42:13 → 00:42:15 ก่อนอือมันไม่สามารถทำ 2 อย่างได้เหมือน
00:42:15 → 00:42:18 คนเราทำ 2 อย่างไม่ได้ไม่ได้เออเข้าใจมัน
00:42:18 → 00:42:21 เลยกลายเป็นว่าอยากให้คิดว่าอย่าไปเติม
00:42:21 → 00:42:23 อาการอักเสบให้มันก็พอถ้าสมมุติเรารู้ว่า
00:42:23 → 00:42:26 นี่คือปัจจัยเราที่ต้องเจอทุกวันอเราก็
00:42:26 → 00:42:30 พยายามตัดอย่างอื่นชอที่จะทำให้ภูมพมกัน
00:42:30 → 00:42:33 เราตกได้อืออีกอันที่เราเจอก็คือถ้ามัน
00:42:33 → 00:42:35 เข้ามาแล้วเราทำไงได้อือส่วนใหญ่ก็จะมี
00:42:35 → 00:42:39 จากอาหารอือเพราะว่าจากพืชหรืออาหารต่างๆ
00:42:39 → 00:42:57 มันจะมีวิตามินแอนติออกซิแดนท์
00:42:57 → 00:42:59 เนืยนิ่งเนืยนิ่งในที่หมายถึงว่าเป็นคน
00:42:59 → 00:43:02 ที่แบบไม่ชอบเอากำลังกายชอบชิลๆนั่งดู
00:43:02 → 00:43:05 นั่งนอนดูนอนอะไรอย่างเงี้ยต่อว่าแล้วก็
00:43:05 → 00:43:07 ทำให้มะเร็งมันชอบสิ่งนี้บ้างแต่มัน
00:43:07 → 00:43:09 มะเร็งมันชอบสิ่งนี้ยังไงอ่ะก็เวลาเรานอน
00:43:09 → 00:43:12 นิ่งอย่างเงี้ยร่างกายเรามันไม่ค่อยมัน
00:43:12 → 00:43:14 ไม่ค่อยสร้างมันไม่ค่อยสร้างอะไรขึ้นมา
00:43:14 → 00:43:17 ภูมิคุ้มกันเรามันต้องมันต้องเดินทางด้วย
00:43:17 → 00:43:19 หลอดเลือดของเราถ้าหลอดเลือดเราไม่ไม่
00:43:19 → 00:43:23 Flow มันก็ไม่ต้องไปไหนละอือแล้วถ้ามัน
00:43:23 → 00:43:26 ไม่ Flow บ่อยๆร่างกายเรามันก็ฉลาดนะมัน
00:43:26 → 00:43:28 ก็แบบอ๋อไม่ต้องอต้องการตรงนี้ตัดออก
00:43:28 → 00:43:32 เพราะมันมันมันใช่ไม่คุ้มค่ากับเอเนอจี
00:43:32 → 00:43:35 เนาะถ้าเราใช้ถ้าสมมุติเราเป็นนักกีฬาแต่
00:43:35 → 00:43:38 ก่อนเราใช้ 3,000 แควต่อวันเนาะวันนึงเรา
00:43:38 → 00:43:41 ไป slow ไลฟขึ้นมาร่างกายมันก็ฉลาดมันก็
00:43:41 → 00:43:43 บอกว่าโอถ้าคุณทาน 3,000 แควเหมือนเดิม
00:43:43 → 00:43:46 อ่ะมันก็ทำให้อ้วนแต่คุณไม่ได้ทาน 3,000
00:43:46 → 00:43:48 แควแล้วคุณไม่ได้ใช้ขนาดนี้เราก็ตัดสิ่ง
00:43:49 → 00:43:51 ที่ไม่ต้องการออกอือมันก็ตัดเส้นเลือดออก
00:43:51 → 00:43:53 ไปเทียนิดเทนิดเนิดอวัยวะนั้นก็จะเล็กลง
00:43:54 → 00:43:56 เรื่อยๆคราวเนี้ยเลือดมันก็ไม่ค่อย Flow
00:43:56 → 00:43:59 ละออืออภูมิคุ้มกันเราบางทีมันก็จะหาสิ่ง
00:43:59 → 00:44:04 แปลกปลอมเจอยากอือเนาะบวกกับหัวใจที่ไม่
00:44:04 → 00:44:08 มีความยืดหยุ่นในการที่จะแบบเต้นเร็วได้
00:44:08 → 00:44:10 แล้วก็ช้าลงได้มันก็เลยกลายเพราะหัวใจ
00:44:10 → 00:44:13 เนี่ยมันจะเป็นปัจจัยในการที่จะส่งเลือด
00:44:13 → 00:44:16 ไปทั่วร่างกายอือมันเวลาเรามีไข้มันก็
00:44:16 → 00:44:18 ต้องปั๊มเร็วขึ้นใช่มยทำให้เรานอนไม่ค่อย
00:44:18 → 00:44:21 ได้ไม่สบายตัวปวดหัวเพราะมันปั๊มเร็วขึ้น
00:44:21 → 00:44:25 ออุณหภูมิก็ขึ้นใช่มยแต่ถ้าหัวใจเราไม่ดี
00:44:25 → 00:44:28 เพราะว่าเราไม่ได้ออกกำลังกายฝึกมามันก็
00:44:28 → 00:44:30 ไม่อยากปั๊มเร็วเพราะปั๊มเร็วมันก็มันไม่
00:44:30 → 00:44:33 ได้อ่ะมันไม่ชินอ่ามะเร็งมันก็รู้แล้ว
00:44:33 → 00:44:36 เซลล์มะเร็งมันก็มันเหมือนกับเอ่อเมล็ด
00:44:36 → 00:44:40 พืชที่พยายามหาปุ๋ยหรือว่าหาที่ดินที่มัน
00:44:40 → 00:44:43 สามารถโตได้มันก็จะไปหาที่ดินที่แบบอ๋อ
00:44:43 → 00:44:45 ตรงนี้ไม่มีเส้นไม่มีไม่มีเส้นเลือดไป
00:44:45 → 00:44:48 เลี้ยงเขไปไม่มีเส้นเลือดไม่มีถนนอ่าไม่
00:44:48 → 00:44:51 มีถนนหมายความว่าไม่มีใครมาละเราก็ไปปลูก
00:44:51 → 00:44:55 ตรงนี้เลยนี่โตขึ้นมาเอ่อหลอดเลือดเราก็
00:44:55 → 00:44:57 เข้าไม่ถึงกว่าจะเข้าถึงอ่ามันเป็นกองทัพ
00:44:57 → 00:45:00 ล่ะอืออผมเลยคิดว่าการออกกำลังกายเป็นคีย
00:45:00 → 00:45:03 อันนึงที่สำคัญมากอือเราหยุดออกกำลังกาย
00:45:03 → 00:45:05 เมื่อไหร่อือโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเยอะ
00:45:05 → 00:45:08 ขึ้นเท่านั้นอือหรือว่าคนที่เป็นมะเร็ง
00:45:08 → 00:45:12 แล้วอือถ้าหยุดออกกำลังกายเมื่อไหร่ใช่มย
00:45:12 → 00:45:15 มันก็ทำให้มะเร็งแบบเหมือนกับฆ่ามะเร็งไป
00:45:15 → 00:45:18 แล้วเราจะเด้งกลับมายากอือใช่มั้ยอือคน
00:45:18 → 00:45:21 ที่ได้เคมีบำบัดเยอะๆอย่างเงี้ยแล้วมันก็
00:45:21 → 00:45:23 ฆ่าทั้งเซลล์ดีกับไม่ดีมันแข่งกันตรงที่
00:45:23 → 00:45:26 กล้ามเนื้อเรานั่นเองก็คือการออกกำลังกาย
00:45:26 → 00:45:28 กล้ามเนื้อที่ผมพูดถึงไม่ใช่กล้ามเนื้อ
00:45:28 → 00:45:31 ที่เราเห็นแบบร่ำบึกนะมันมีกล้ามเนื้อลาย
00:45:31 → 00:45:33 กล้ามเนื้อเรียบแล้วกล้ามเนื้อหัวใจกล้าม
00:45:33 → 00:45:35 เนื้อเรียบก็คืออันที่เราไม่ได้คิดถึงอือ
00:45:35 → 00:45:38 อยู่ในหลอดลมของเราอยู่ในกระเพาะอาหารของ
00:45:38 → 00:45:41 เราอย่างเงี้ยที่มันแบบขยายได้เนาะก้าม
00:45:41 → 00:45:43 เนื้อหัวใจก็เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้คิด
00:45:43 → 00:45:46 เหมือนกันจนกว่าเราเป็นโรคหัวใจอือการที่
00:45:46 → 00:45:49 เรามีกล้ามเนื้อ 3 อันเนี้ยตลอดเวลามันจะ
00:45:49 → 00:45:53 ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้นมีถนนอือที่
00:45:53 → 00:45:55 ไปได้ทั่วแต่การที่เราหยุดออกลงกายเมื่อ
00:45:55 → 00:45:59 ไหร่ปึ๊บอือ่านี่แหละถนนมันหายละ Highway
00:45:59 → 00:46:02 หายไป Highway Small Road ก็หายไปอย่าง
00:46:02 → 00:46:04 เงี้ยแล้วมะเร็งก็จะสร้าง Road ของมันเอง
00:46:04 → 00:46:07 อเนาแล้วมันก็จะสร้างแบบรถที่แบบกระยก
00:46:07 → 00:46:10 กะยืออย่างเงี้ยที่เราชอบเรียกว่า Micro
00:46:10 → 00:46:12 environment ของ tomer ก็คือมันก็คือ
00:46:12 → 00:46:16 environment ของมะเร็งนั่นเองสร้างถนน
00:46:16 → 00:46:20 ที่เข้ายากหน่อยคุคะจะให้คนเข้ามาก็ยาก
00:46:20 → 00:46:23 อย่าเงี้ยเพราะมันจะพยายามโตให้มันจะ
00:46:23 → 00:46:25 Survive ของมันผมเลยคิดว่ามันแข็งกันที่
00:46:25 → 00:46:28 การออกกำลังกายนกนผมคิดว่ายิ่งออกยิ่ง
00:46:28 → 00:46:30 เป็นปัญหานะเพราะว่ามันอันตรายเดี๋ยวจะ
00:46:30 → 00:46:33 เกิดอาการบาดเจ็บกระดูกหักได้ในผู้สูง
00:46:33 → 00:46:36 อายุในเด็กเราก็ไม่อยากให้เด็กล้มอ่ะไม่
00:46:36 → 00:46:40 อยากให้หัวแตกแต่กลายเป็นว่ายิ่งออกตอน
00:46:40 → 00:46:43 เด็กเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสอยู่รอดนานกว่าคน
00:46:43 → 00:46:46 อื่นเขาอือผมเลยคิดว่ามันต้องฝากเรื่อง
00:46:46 → 00:46:48 นี้ไว้ว่าออกกำลังกายเนี่ยมะเร็งเกลียด
00:46:48 → 00:46:51 มากอือเกลียดเลยล่ะอือเพราะว่ามันสร้าง
00:46:51 → 00:46:54 ถนนใหม่ตลอดเออจริงงั้นพี่ขอโทษนิดนึง
00:46:54 → 00:46:57 สิ่งที่มะเร็งชอบหรือมะเร็งรักเนาะก็จะมี
00:46:57 → 00:47:00 เรื่องน้ำตาลเนาะแล้วก็เรื่องความเครียด
00:47:00 → 00:47:02 นะคะเรื่องเกี่ยวกับเรื่องการสูบบุหรี่ PM
00:47:02 → 00:47:04 2.5 เนาะแล้วก็สุดท้ายคือเรื่องที่
00:47:04 → 00:47:07 ไลฟ์สไตล์ที่เนื่อยนิ่งแล้วว่ามันก็
00:47:07 → 00:47:09 เกลียดการออกกำลังกายคราวนี้พอพูดถึง
00:47:09 → 00:47:10 เรื่องการเกลียดแล้วเนี่ยว่ามันเรัง
00:47:10 → 00:47:12 เกลียดอะไรบ้างก็จะมีการออกกำลังกายที่ใบ
00:47:13 → 00:47:14 อันพูดไปแล้วเนาะคราวนี้มีอีกสิ่งหนึ่ง
00:47:15 → 00:47:17 ที่มะเร็งเกลียดมากเลยก็คือออกซิเจนคราว
00:47:17 → 00:47:19 นี้คำว่าออกซิเจนที่มะเร็งเกลียดเยมันคือ
00:47:19 → 00:47:22 อะไรอืพอพอจะอธิบายให้ฟังง่ายๆได้มยคือ
00:47:22 → 00:47:24 เกลียดอากาศที่เราหายใจไปอย่างนี้วันๆหรอ
00:47:24 → 00:47:27 หรือว่ายังไงอ่ะเพราะมะเร็งมันชอบใช้เอ่อ
00:47:27 → 00:47:31 เอ่ออาการอักเสบเนาะแล้ววิธีที่ร่างกาย
00:47:31 → 00:47:34 เราสร้างอาการอักเสบขึ้นมามันจะเป็นขบวน
00:47:34 → 00:47:37 การที่ไล้ออกซิเจนอืซึ่งเวลามันไล
00:47:37 → 00:47:39 ออกซิเจนน่ะมันควรทำลายอะไรสักอย่างแต่
00:47:39 → 00:47:42 ร่างแต่ว่ามะเร็งอ่ะมันมีกลไกในการที่จะ
00:47:42 → 00:47:46 ยิ่งมีอาการอักเสบเท่าไหร่มันยิ่งโตได้
00:47:46 → 00:47:48 อือมันเลยเกียดออกซิเจนเพราะว่าถ้า
00:47:48 → 00:47:50 ออกซิเจนเข้ามาเมื่อไหร่ปึ๊บกลไกในการที่
00:47:51 → 00:47:53 มันจะผลิตพลังงานมันก็จะเริ่มเสียละหรือ
00:47:53 → 00:47:56 ว่ามันต้องไปใช้อย่างอื่นแทนออือมันเลย
00:47:56 → 00:47:57 กลายเป็นว่ามะเร็งเนี่ยไม่ชอบออกซิเจนใน
00:47:57 → 00:48:00 ช่วงแรกฉะนั้นหมายถึงว่าเราก็ควรจะหา
00:48:00 → 00:48:03 อากาศดีๆบริสุทธิ์ในการที่เราจะต้องหายใจ
00:48:03 → 00:48:06 เข้าไปหรือว่าเราควรจะออกแออกกำลังกาย
00:48:06 → 00:48:08 เพื่อให้ได้ออกซิเจนเข้าไปมากขึ้นถูกมั้ย
00:48:08 → 00:48:10 ความหมายทั้งคู่ทั้งคู่เลยเพราะจริงๆ
00:48:10 → 00:48:12 ออกซิเจนที่เราแบบหายใจเข้าไปเนี่ย 95%
00:48:12 → 00:48:15 เข้าไปอยู่ในปอดจากปอดเข้าไปอยู่ในเส้น
00:48:15 → 00:48:17 เลือดเนี่ยมันลงไปเหลือแค่ 20% จากเส้น
00:48:17 → 00:48:19 เลือดเข้าไปอยู่ในไมโตคอนเดรียเหลือแค่ 5%
00:48:19 → 00:48:23 ออือ 5% ที่เราใช้เนี่ยมันน้อยมากเลยนะ
00:48:23 → 00:48:27 เพราะฉะนั้นอากาศผมว่ายังรองจากการขยับขย
00:48:27 → 00:48:30 อืในผลงานวิจัยคนปกติเขยังเอามาในคนปกติ
00:48:31 → 00:48:33 อายุ 23 อย่างเงี้ยไม่รู้ทำได้ไงอแต่เข
00:48:34 → 00:48:36 แบบเอาเฝือกมาให้เขาใส่ขาข้างนึงแล้ว
00:48:36 → 00:48:39 เปรียบเทียบขา 2 ข้างแล้วดูว่าการหมุน
00:48:39 → 00:48:42 เวียนไหลของเลือดเป็นไงบ้างแล้วก็ 2 เอ่อ
00:48:42 → 00:48:44 กล้ามเนื้อเป็นไงบ้างกลายเป็นว่าเราให้
00:48:44 → 00:48:48 ทานโปรตีนเยอะขึ้นออือกลุ่มที่ใส่เฝือก
00:48:48 → 00:48:51 อือกลายเป็นว่ากล้ามเนื้อน้อยลงอือหลอด
00:48:51 → 00:48:53 เลือดไปเลี้ยงน้อยลงแล้วทำให้เส้นเลือด
00:48:53 → 00:48:56 ตีบได้อันเนี้ยเป็นตัวอย่างที่ดีว่าจริงๆ
00:48:56 → 00:48:59 ขยับขเยื้อนน่ะสำคัญกว่าเพราะฉะนั้นเริ่ม
00:48:59 → 00:49:01 จากเดินอฉันถ้าจะสรุปง่ายๆเนาะก็คือว่า
00:49:01 → 00:49:04 จริงๆแล้วเนี่ยประมาณ 80% โรคมะเร็งก็น่า
00:49:04 → 00:49:06 จะสามารถป้องกันได้เนาะเพราะว่ามันมีอะไร
00:49:06 → 00:49:08 เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมเป็นซัดส่วนใหญ่
00:49:08 → 00:49:11 เลยคราวนี้อันดับแรกเลยที่อยากให้ไบอัน
00:49:11 → 00:49:13 ช่วยลงเจาะลึกนิดนึงสำหรับผู้ชมทางบ้าน
00:49:13 → 00:49:16 ด้วยว่าถ้าอยากกินอาหารที่สามารถช่วยป้อง
00:49:16 → 00:49:19 กันมะเร็งได้เนี่ยเราควรกินอาหารแบบไหน
00:49:19 → 00:49:21 เลือกกินอะไรได้บ้างผมว่าสเต็ปแรกเลยนะก็
00:49:21 → 00:49:24 คือเข้าเรื่องโปรตีนซึ่งพูดไปแล้วสเต็ป
00:49:24 → 00:49:28 ที่ 2 ก็คืออาหารแปรรูปตัดออแปรูปอให้หดอ
00:49:28 → 00:49:31 ถ้าจะลงลึกถึงระดับมลกุลคราวเนี้ยเราต้อง
00:49:31 → 00:49:34 ไปดูว่าโมเลกุลไหนที่ดีส่วนใหญ่จะมาจาก
00:49:34 → 00:49:37 พวกพืชอือต้องทำกฎแรกกับกฎที่ 2 ให้ได้
00:49:37 → 00:49:40 ก่อนอือถ้าไปทำกด 3 กดข้อที่ 3 ไปเลยอ่ะ
00:49:40 → 00:49:44 ไม่ได้ไม่ช่วยอะไรเลยโปรตีนก่อนอาหารแปร
00:49:44 → 00:49:56 รูปตัดออกทำได้ดีแล้วมาดูเรื่องโอเลกุลัม
00:49:56 → 00:50:00 ยาได้ยกตัวอย่างสารบรอกโคลี่อือเนาะฟังดู
00:50:00 → 00:50:03 สวยงามมากเลยฟังดูสวยงามฟดูอใครชอบโคลี่
00:50:03 → 00:50:05 ปงอะไรเงี้ยแต่บรอกโคลี่เนี่ยจริงๆมันมี
00:50:05 → 00:50:08 อะไรที่เรียกว่าอ่ากลูโคส cate แล้วแล้ว
00:50:08 → 00:50:11 สุดอย่าสุดท้ายมันก็เปลี่ยนเป็นฟเนกลูโค
00:50:11 → 00:50:13 cate ก็คือกลุ่มของฟเนนั่นแหละอือแต่
00:50:13 → 00:50:16 ฟาเฟนเนี่ยจริงๆมันเป็นสารที่ต้านมะเร็ง
00:50:16 → 00:50:20 ได้เนาะมันต้านมะเร็งได้ไงก็มันมันมีหลาย
00:50:20 → 00:50:23 กลไกเลย 1 ในกลไกจริงๆช่วยเรื่อง pmm 2.5
00:50:23 → 00:50:27 ดีที่สุดเพราะมันจะไปช่วยไม่ให้อ DNA ของ
00:50:27 → 00:50:30 เซลล์ปกติถูกทำลายได้ง่ายถ้ามันถูกทำลาย
00:50:30 → 00:50:33 มันก็จะช่วยซ่อมแซมทันทีเนามันจะมีกลไก
00:50:33 → 00:50:36 ตรงนั้นอืออีกอันก็คือถ้าเป็นมะเร็งแล้ว
00:50:36 → 00:50:40 มันก็สามารถที่ในระดับเซลล์ในในในหลอดทก
00:50:40 → 00:50:43 ลองเราก็จะเห็นว่ามันจะช่วยทำให้อ่าฆ่า
00:50:43 → 00:50:46 เซล์มะเร็งได้อือฮึในมะเร็งต่อมลูกหมาก
00:50:46 → 00:50:51 เราก็จะเห็นว่าคนที่ทานฟรานเยอะขึ้น 200
00:50:51 → 00:50:53 มิลิกรัมเป็นต้นไปอย่างเงี้ยเราก็จะเห็น
00:50:53 → 00:50:57 ว่ามันจะชะลอออือค่า psa หรือว่า่ามะเร็ง
00:50:57 → 00:51:01 ต่อลูกหมากได้ถึงประมาณ 10 เท่าออืเนาะ 10
00:51:01 → 00:51:04 เท่าจริงๆสำหรับหมอมะเร็งไม่เยอะนะไม่
00:51:04 → 00:51:07 เยอะแต่คนททไปังอืดังเยอะๆนะแต่แต่อย่าง
00:51:07 → 00:51:11 น้อยมันชะลอได้ช่อ่าบรอกโคลี่เนี่ยเอโฟน
00:51:11 → 00:51:14 ได้จากไหนจริงๆมันได้จากของไม่ใช่ของดิบ
00:51:14 → 00:51:18 อือมันมันมันเลือกมากนิดนึงมันจะต้องอ
00:51:18 → 00:51:24 อุ่นอ60กเซลเซียอ่า 5 นาที 5 นาทีถ้าเกิน
00:51:24 → 00:51:27 หายไปสาเหตุที่ต้องฮีทจริงๆมัน heat
00:51:27 → 00:51:30 Pressure หรือว่าการเคี้ยวอือเพราะมันจะ
00:51:30 → 00:51:33 มีเอนไซมที่เรียกว่าไ mirin เอนไซมเนาะ
00:51:33 → 00:51:36 ถ้าเราเคี้ยวไซสเอนไซม์ก็จะกระตุ้นอให้
00:51:36 → 00:51:39 ไอ้กูนิเนี่ยให้กลายเป็นเซฟโฟนเยอะขึ้นอ
00:51:39 → 00:51:42 แล้วฟนก็เอาไปใช้งานได้แต่ถ้าเราต้มจน
00:51:42 → 00:51:45 เปื่อยเลยอ่ะมันมันก็เลือไฟเบอร์ไงก็น้อย
00:51:45 → 00:51:48 ลงอ่ะลดไฟเบอร์ด้วยจริงๆไฟเบอร์มัน ect
00:51:48 → 00:51:50 อยู่ใช่ๆแต่ถ้าไฟเบอร์เยอะไปมันก็ไม่ออก
00:51:50 → 00:51:54 เลยนะอันนี้ก็คือแบบอ่าเป็นสารโมเลกุลที่
00:51:55 → 00:51:57 ลงลึกหน่อยที่จะช่วยเเรื่องมะเร็งอีกตัว
00:51:57 → 00:52:01 ที่คนชอบพูดถึงก็คืออ่าชาเขียวอ่ะอือ egcg
00:52:01 → 00:52:05 ที่อยู่ในชาชาเขียวอ่ามันก็จะเป็นสารที่
00:52:05 → 00:52:07 จะช่วยสู้กับมะเร็งได้แล้วมันก็จะสามารถ
00:52:07 → 00:52:11 มันเหมือนกับเป็นอคำใหม่เดี๋ยวนี้คือลติ
00:52:12 → 00:52:15 อื tic ก็คือ Anti aging ด้วยเนาะแต่บาง
00:52:15 → 00:52:18 คนเนี่ยไม่รู้ว่าอ่าเหมือนกับเราไม่มี
00:52:18 → 00:52:22 เอนไซมในการที่จะที่จะยับยั้งอาการอักเสบ
00:52:22 → 00:52:26 ได้จากที่เกิดขึ้นจาก egcg ก็ทำให้ตับ
00:52:26 → 00:52:28 อักเสบได้เร็วขึ้นเนาะก็ต้องระวังเรื่อง
00:52:28 → 00:52:30 นี้นิดนึงแต่ถ้าดื่มจากชาเขียวสวยๆงาม
00:52:30 → 00:52:33 อย่างเงี้ยไม่ไม่ต้องกวลแต่ถ้าเริ่มแบบ
00:52:33 → 00:52:35 เป็นเม็ดเม็ดเหลือฉีดอันเนี้ยเริ่มเห็นใน
00:52:35 → 00:52:38 ตัวเหลืองเป็นซิมซันทันทีเนาซึ่งผมคิดว่า
00:52:38 → 00:52:41 egcg เป็นอันที่สำคัญที่ได้จากที่ได้
00:52:41 → 00:52:44 ง่ายจากชาเขียวแต่ต้องเป็นชาเขียวแท้นะ
00:52:44 → 00:52:47 ไม่ใช่ชานมเพราะนั้นแทบไม่มี egcg เหลือ
00:52:47 → 00:52:50 แล้วนอกจากการกินอาหารเียวเอีกอันนึงที่
00:52:50 → 00:52:52 สำคัญของคนไข้ก็คือควรจะทำ screening
00:52:52 → 00:52:55 บ้างเนาะในการทำเทสบ้างเพื่อที่จะดูแลตัว
00:52:55 → 00:52:57 เองคราวนี้การสกรีนนิ่งเกี่ยวกับการป้อง
00:52:57 → 00:52:59 กันโรคมะเร็งเนี่ยถ้าเป็นไบอันแนะนำเนี่ย
00:53:00 → 00:53:02 คนไข้โดยทั่วไปเนี่ยถ้าสมมุติช่วงวัย
00:53:02 → 00:53:04 ระหว่างเราเนี่ยจนถึงสัก 50 เนี่ยควรตรวจ
00:53:05 → 00:53:09 อะไรบ้างระหว่างเรา 30 30 ปีอายุ 30 ปี
00:53:09 → 00:53:11 ขึ้นไปไงเพราะว่า 20 มันจะน้อยนิดนึง
00:53:11 → 00:53:13 สำหรับคนไข้ที่จะแบบไอ้นี่ถูกป่ะจรจริงๆ
00:53:13 → 00:53:16 ไกด์ไลน์ก็เคยเริ่มตั้งแต่ 40 แต่ผมรู้
00:53:16 → 00:53:19 สึกว่ายิ่งผมยิ่งใกล้อายุ 40 ขึ้นทุกวัน
00:53:19 → 00:53:22 เนาะก็รู้สึกว่าตั้งแต่ 30 ก็ควรแล้วแต่
00:53:22 → 00:53:25 ถ้าย้อนกลับไปได้ถ้ามันผมนะผมชอบเกิน
00:53:25 → 00:53:28 มาตรฐานไงอืออตัวเองส่วนตัวผมจะเริ่มตั้ง
00:53:28 → 00:53:31 แต่แบบ 20 ต้นๆด้วยซ้ำอือมาตรฐานในการ
00:53:31 → 00:53:34 ตรวจคัดกรองผมว่ามันก็ไวพอสมควรระดับ
00:53:34 → 00:53:38 หนึ่งอือแต่ไม่ได้แบบดีเลิศอือแต่มันก็ดี
00:53:38 → 00:53:41 พอซึ่งอ่ามันก็ต้องไปดูด้วยว่าอะไรบ้าง
00:53:41 → 00:53:45 ที่เราสามารถใช้ได้ก็พูดง่ายๆคือไปตรวจ
00:53:45 → 00:53:47 สุขภาพทุกปีแต่ถ้าเริ่มอายุมากขึ้นแล้ว
00:53:47 → 00:53:51 การคัดกรองค่อนข้างสำคัญคัดกรองที่เราทำ
00:53:51 → 00:53:56 ได้ทุกๆปีอ่ะอ่าก็จะมี x-ray ปอดอืซึ่งหา
00:53:56 → 00:53:59 มะเร็งแทบยากมากต้องไม่ต้องโตจริงๆถึงจะ
00:53:59 → 00:54:02 เจอเนาด CT ก็จะไม่ค่อยมีคนใช้กันแต่
00:54:02 → 00:54:04 อย่างน้อย XR ปอรเผื่อเจอออืออย่างเคส
00:54:04 → 00:54:08 เอ่ออันนี้ส่วนตัวเนาะแม่ผมเจอโชคดีมาก
00:54:09 → 00:54:12 เจอใน x-ray แล้วก็พาออกทันเนาะอันนี้ก็
00:54:12 → 00:54:14 ถือว่าเป็นเคสโชคดีอาจจะมีไม่ค่อยเยอะแต่
00:54:14 → 00:54:18 ก็เจอด้วยเจอบ้างอเอิม 2 กล้องลำไส้ถ้า
00:54:18 → 00:54:23 เมืองไทยก็ 45 เนาะอบางประเทศก็ 40 นะอ่อ
00:54:23 → 00:54:27 ก็ให้ทำทุกให้ไม่ทุกปีมีปัญหาแล้วเดี๋ยว
00:54:27 → 00:54:29 หมอจะบอกให้แต่ก็ควรเริ่มทำตั้งแต่อายุ 45
00:54:29 → 00:54:33 ละอเอิ่ม 2 กล้องทเดินอาหารเดี๋ยวนี้ก็
00:54:33 → 00:54:36 เริ่มเข้ามาละแต่ยังไม่ได้เป็นมาตรฐาน
00:54:36 → 00:54:39 เนาะก็ไม่ต้องทำทุกปีก็ได้แต่หลักๆอ่ะก็
00:54:39 → 00:54:43 คือ x-ray ผู้หญิงตรวจภายในผู้ชายอ่าถ้า
00:54:43 → 00:54:47 กังวลว่าจะต้องอืตรวจต่ำลุกหกเงี้ยก็จริง
00:54:47 → 00:54:50 ๆตรวจจากเลือดก็ได้ค่อนข้างไวอยู่อย่าง
00:54:50 → 00:54:54 น้อยเลยัาอืออัตราซาวผู้ชายผู้หญิงอือ
00:54:54 → 00:54:58 เอ่อผู้ชายก็อย่างน้อยตับตับถ้าไม่เจอ
00:54:58 → 00:55:01 ก้อนก็อย่างน้อยก็ไขมันพอกตับก็เจอถ้าเจอ
00:55:01 → 00:55:03 ได้เนาเราจะได้ไม่อาจจะไม่เกี่ยวกเรื่อง
00:55:03 → 00:55:05 มะเร็งแต่ก็มันก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้
00:55:05 → 00:55:08 เป็นโรคมะเร็งได้ผมเลยคิดว่า monitoring
00:55:08 → 00:55:11 System อ่ะสำคัญมากเพราะทุกคนชอบบอกว่า
00:55:11 → 00:55:14 ฉันทำทุกอย่างถูกต้องในชีวิตทำไมเป็น
00:55:14 → 00:55:16 มะเร็งอย่างเงี้ยก็แบบอ้าวเพราะว่ามัน
00:55:16 → 00:55:19 ต้องมีอะไรผิดแล้วพอฟังเนี่ยส่วนใหญ่จะ
00:55:19 → 00:55:20 ขาด
00:55:20 → 00:55:23 mon ก็คือเคยอาจจะอาจตรวจมาแล้วแต่ขาด
00:55:23 → 00:55:26 การต่อเนื่องทว่าการติดตามอนึงเราไม่ตรวจ
00:55:26 → 00:55:29 เลยอืใช่มใช่ซึ่งบางคนเนี่ยก็รู้สึกว่า
00:55:29 → 00:55:32 มาตรฐานไม่ดีพอยกตัวอย่างคือเนี่ยคนนี้
00:55:32 → 00:55:35 เลยผมก็จะไปหาเทคโนโลยีใหม่ให้ตัวเองเรา
00:55:35 → 00:55:37 ก็จะตรวจเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่
00:55:37 → 00:55:39 เรียกว่า Multi Early cancer detection
00:55:39 → 00:55:43 อก็คือการตรวจ CT DNA ของมะเร็งจากเลือด
00:55:43 → 00:55:46 เนาะไม่ไวแต่ก็ดีพออือเพราะว่าเดี๋ยวนี้
00:55:46 → 00:55:49 เขาใช้เาจะไม่ได้แค่ตรวจแค่ DNA ของ
00:55:49 → 00:55:52 มะเร็งปกติอธิบายก่อนว่ามะเร็งเนี่ยก่อน
00:55:52 → 00:55:54 ที่มันจะเป็นก้อนมันต้องปล่อย DNA ออกมา
00:55:54 → 00:55:56 ก่อนอ่าแต่บางทีมันก็จะดูเหมือนกับเซลล์
00:55:56 → 00:56:00 แก่อืพาเจอ DNA แปลกๆอย่างเงี้ยเราก็จะ
00:56:00 → 00:56:03 ต้องไปดูว่า DNA แปลกๆเนี้ยอ่ามันเป็น
00:56:03 → 00:56:06 มะเร็งหรือเป็นเซลล์แก่โดยส่วนรวมต้องมี
00:56:06 → 00:56:10 monitoring System ทานดีออกกำลังกายนอน
00:56:10 → 00:56:12 ดีถ้าดีจริง monitoring System ที่คุณทำ
00:56:12 → 00:56:15 ก็คือตรวจสุขภาพทุกอย่างก็ต้องออกมาดีอ
00:56:15 → 00:56:17 อือเห็นด้วยนะคะก็จริงๆแล้วเนี่ยนอกจาก
00:56:18 → 00:56:21 การตรวจสุขภาพทุกปีการมีเ้าเรียกว่ามี
00:56:21 → 00:56:23 ไลฟ์สไตล์ที่ดีเนาะมันก็ช่วยลดการเป็น
00:56:23 → 00:56:26 มะเร็งได้มากกว่า 80% แล้วนะคะคราวนี้
00:56:26 → 00:56:29 เนี่ยไบอันอยากฝากอะไรถึงผู้ชมเล็กๆบ้าง
00:56:29 → 00:56:34 มยสุดท้ายแล้วเนี่ยอก็กฎข้อแรกนะครับเอ่อ
00:56:34 → 00:56:36 ก็คืออย่าเป็นมะเร็งเลยป้องกันได้ก็ยิ่ง
00:56:36 → 00:56:38 ป้องกันให้ดีที่สุดแต่ถ้าเป็นแล้วรีบ
00:56:38 → 00:56:42 กำจัดมันซะออือให้เริ่มเร็วที่สุดนะฮะ
00:56:42 → 00:56:45 สำหรับผมยังไม่เป็นอเริ่มเร็วก็คือต้อง
00:56:45 → 00:56:48 พยายามป้องกันอือออกกำลังกาย Fitness
00:56:48 → 00:56:52 Level ของคุณต้องดีขึ้นอือทุกๆปีแล้วก็
00:56:52 → 00:56:55 อาหารการกินก็พยายามดูให้ดีๆด้วยพยายาม
00:56:55 → 00:56:57 ตัด process Food ให้มากที่สุดเข้าใจ
00:56:57 → 00:57:00 แหละว่าตัดไม่ได้อ่าใให้น้อยหน่อยเอออ่อย
00:57:00 → 00:57:04 มันอร่อยอร่อยก่อนมาก็คอซองอยู่นิดนึงนะ
00:57:04 → 00:57:06 อย่าเงี้ยแต่ก็ต้องพยายามวัดดูหน่อยว่า
00:57:06 → 00:57:10 ค่าเลือดเป็นไงบ้างทุกๆทุกๆปีแต่สำหรับผม
00:57:10 → 00:57:13 อ่ะผมรู้สึกว่า 6 ถ้าแนะนำจริงๆผมคิดว่า 6
00:57:13 → 00:57:15 เดือนออือผมคิดว่าทุก 6 เดือนกำลังดี
00:57:15 → 00:57:18 อย่างน้อยฝนเลือดอนะครับไม่ว่าจะเป็นวิธี
00:57:18 → 00:57:22 ไหนก็ตามอือไสตล์อย่าเลือกวิธีเดียวเลือก
00:57:22 → 00:57:26 หลายวิธีอืและนี่คือ doc Talk podcast
00:57:26 → 00:57:29 ที่หมอและผู้เชี่ยวชาญหน้าสุขภาพจะมาคุย
00:57:29 → 00:57:32 ประเด็นเรื่องสุขภาพต่างๆกันถ้าชอบคทนแนว
00:57:32 → 00:57:35 นี้ฝากกดติดตามกดแชร์และเป็นกำลังใจให้
00:57:35 → 00:57:38 หมอด้วยนะคะเจอกันใหม่ EP หน้าสวัสดีค่ะ
00:57:38 → 00:57:42 สวัสดีครับ