00:00:00 → 00:00:02 แต่สิ่งที่ทำให้การรับประทานอาหารอร่อย
00:00:02 → 00:00:05 คืนก็คือเรื่องของการปรุงรสนะครับเช่นรส
00:00:05 → 00:00:08 เค็มก็เป็นอีกหนึ่งรสชาติที่คนนิยมกันมาก
00:00:08 → 00:00:11 แต่ในเครื่องปรุงรสที่มีรสชาติเค็มนั้น
00:00:11 → 00:00:13 ส่วนใหญ่จะมีโซเดียมเป็นสารประกอบอยู่และ
00:00:13 → 00:00:15 หากร่างกายของเราได้รับโซเดียมเข้าไปใน
00:00:15 → 00:00:19 ปริมาณมากๆก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้จน
00:00:19 → 00:00:21 กลายเป็นข้อสงสัยว่าการรับประทานอาหารรส
00:00:21 → 00:00:24 เค็มนั้นจะมีผลเสียอย่างไรกับร่างกายและ
00:00:24 → 00:00:27 เสียงดังไม่เป็นโรคไตได้จริงหรือไม่ได้
00:00:27 → 00:00:29 วันนี้แพ้ผู้เชี่ยวชาญจะมาถ่ายข้อข้องใจ
00:00:29 → 00:00:32 กันครับหาอาหารเค็มก็คืออาหารที่มีส่วน
00:00:32 → 00:00:36 ประกอบของเกลือโซเดียมสูงค่ะปกติแล้ว
00:00:36 → 00:00:39 เนี่ยเราแนะนำให้กินอาหารที่มีโซเดียม
00:00:39 → 00:00:42 เนี่ยไม่เกิน 2 กรัมต่อวันก็คือเท่ากับ
00:00:42 → 00:00:45 เกลือแกงประมาณ 5 กรัมต่อวันนะคะทีนี้
00:00:45 → 00:00:48 Lifestyle ในยุคดีเนี่ยเราก็จะต้องการ
00:00:48 → 00:00:50 ความสะดวกสบายเพราะฉะนั้นอาหารจำพวกของ
00:00:50 → 00:00:53 กรุบกรอบอาหารสำเร็จรูปหรือว่าฝา 0 เนี่ย
00:00:53 → 00:00:56 คนก็เลยกินกันเยอะเพราะว่ามันสะดวกแต่ว่า
00:00:56 → 00:00:58 อาหารพวกนี้มันเป็นส่วนประกอบหลักก็คือจะ
00:00:58 → 00:01:00 เป็นแป้งแล้วก็รสเต็มที่ทำให้มันอร่อย
00:01:00 → 00:01:03 เนี่ยก็จะเป็นรสเค็มเป็นหลักเพราะว่ามัน
00:01:03 → 00:01:07 กระตุ้นน้ำลายทำให้อาหารแถมอาหารพวกนี้ก็
00:01:07 → 00:01:10 จะมีผู้ชูรสซึ่งก็จะเป็นส่วนประกอบของ
00:01:10 → 00:01:12 เกลือโซเดียมเข้าไปอีกแล้วนั้นเราก็เลย
00:01:12 → 00:01:14 เจอว่าในปัจจุบันนี้ค่าเฉลี่ยของการ
00:01:14 → 00:01:17 บริโภคเกลือของคนไทยเราเนี่ยในผู้ใหญ่นะ
00:01:17 → 00:01:20 คะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็คือเรากินเกลือเข้า
00:01:20 → 00:01:23 ไปประมาณ 2 ถึง 5 เท่าของที่ควรจะเป็นนะ
00:01:23 → 00:01:26 ครับสู้สูงมากนะคะถ้าจะให้แนะนำเนี่ยเรือ
00:01:26 → 00:01:29 2 ลำจำง่ายก็คือประมาณเกลือแกง 1 ช้อนชา
00:01:29 → 00:01:32 หรือว่าน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
00:01:32 → 00:01:34 คือ
00:01:34 → 00:01:38 ปกติเนี่ยโซเดียมจะมีบทบาทสำคัญในร่างกาย
00:01:38 → 00:01:41 ในจะเป็นเรื่องของการควบคุมสมดุลของการ
00:01:41 → 00:01:44 กระจายตัวของเกลือแล้วก็น้ำในร่างกายนะคะ
00:01:44 → 00:01:46 เพราะฉะนั้นการกินเค็มเนี่ยก็เลยจะทำให้
00:01:46 → 00:01:49 เกิดเกลือและน้ำในร่างกายเนี่ยข้างทำให้
00:01:49 → 00:01:52 เกิดความดันโลหิตสูงหรือว่าถ้าน้ำเกลือ
00:01:52 → 00:01:55 ข้างก็จะมีอาการบวมมีน้ำท่วมปอดมีอาการ
00:01:55 → 00:01:58 หายใจเหนื่อยตามมาได้คะการที่มีเกลือและ
00:01:58 → 00:02:00 น้ำค้างในร่างกายเนี่ยภาพวาดไรก็ต้องทำ
00:02:00 → 00:02:03 งานมากขึ้นในการที่จะขับเกลือแล้วก็น้ำ
00:02:03 → 00:02:06 เหล่านั้นออกมาเพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยไปก็
00:02:06 → 00:02:08 จะต้องมีการพยายามที่จะขับปัสสาวะออกมา
00:02:08 → 00:02:11 มากขึ้นนอกจากนั้นแล้วการที่ความดันโลหิต
00:02:11 → 00:02:14 สูงจากการที่เกลือข้างเนี่ยก็จะทำให้ความ
00:02:14 → 00:02:18 ดันที่ตายในสูงตามไปด้วยพอคอนที่ไปสูงตาม
00:02:18 → 00:02:20 เนี่ยก็ทำที่มีโปรตีนไข่ขาวร่วงมาใน
00:02:20 → 00:02:23 ปัสสาวะมากขึ้นดังนั้นเมื่อประกอบการที่
00:02:23 → 00:02:26 ไปไม่ต้องทำงานหนักเป็นนานๆเนี่ยก็เลยจะ
00:02:26 → 00:02:31 ทำให้เกิดอาการไตเสื่อมได้ในอนาคตค่ะ
00:02:31 → 00:02:35 คือเวลาโอ้นี่ความดันโลหิตสุ่มๆเนี่ยแน่
00:02:35 → 00:02:36 นอนว่าหลอดเลือดมันจะต้องมีการปรับตัว
00:02:36 → 00:02:39 เพื่อที่จะให้ทนกับความดันนั้นที่มันสูง
00:02:39 → 00:02:42 ขึ้นค่ะก็จะเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งแล้ว
00:02:43 → 00:02:45 เมื่อเกิดหลอดเลือดแข็งก็จะเกิดว่าได้
00:02:45 → 00:02:48 เขียนตามบริเวณอวัยวะต่างๆตามมาก็จะนำไป
00:02:48 → 00:02:51 สู่โรคหัวใจขาดเลือดโรคหลอดเลือดสมอง
00:02:51 → 00:02:56 อัมพฤกษ์อัมพาตตามมาได้ค่ะถ้าต้องการที่
00:02:56 → 00:02:58 จะลดโซเดียมเนี่ยก่อนอื่นต้องรู้ก่อนเลย
00:02:58 → 00:03:00 ว่าโซเดียมเนี่ยอยู่ในอาหารประเภทอะไร
00:03:00 → 00:03:02 บ้างนะคะผู้ร้ายตัวสำคัญเลยก็คือพวก
00:03:02 → 00:03:05 เครื่องปรุงรสต่างๆแน่นอนว่ามีเกลือเยอะ
00:03:05 → 00:03:08 อยู่แล้วนะคะโดยเฉพาะพวกสารปรุงรสเค็มตรง
00:03:08 → 00:03:12 ไปตรงมาน้ำปลาซีอิ๊วซอสหอยนางรมอนอย่าง
00:03:12 → 00:03:14 เงี้ยส่วนใหญ่เรารู้อยู่แล้วว่าโซเดียม
00:03:14 → 00:03:17 สูงไม่อยากแต่ที่จะต้องระวังก็คือสารบาง
00:03:17 → 00:03:19 อย่างที่เราไม่รู้ว่ามันมีเกลือแฝงอยู่
00:03:19 → 00:03:23 เช่น 6 ชูรสผงชูรสเนี่ยชื่อจริงเขาคือ
00:03:23 → 00:03:26 โมโนโซเดียมกลูตาเมตเพราะฉะนั้นมีคำว่า
00:03:26 → 00:03:28 โซเดียมแน่นอนว่าโซเดียมเป็นส่วนประกอบ
00:03:28 → 00:03:31 หลักเลยนะคะนอกจากนั้นแล้วเนี่ยพวกบะหมี่
00:03:31 → 00:03:34 กึ่งสำเร็จรูปคือขนมถุงหรือว่าน้ำแกงอ่ะ
00:03:34 → 00:03:37 หักเหลือเยอะมากนะคะนอกจากนั้นแล้วน้ำ
00:03:37 → 00:03:41 จิ้มซอสมะเขือเทศซอสพริกเนี่ยก็มีเกลือ
00:03:41 → 00:03:45 เหมือนกันนะคะของหมักดองปลาร้าหรือว่า
00:03:45 → 00:03:47 อาหารสำเร็จรูปอาหารแช่แข็งเนี่ยแน่นอน
00:03:47 → 00:03:49 ว่าตอนที่เขาถนอมอาหารต้องใช้โซเดียมใน
00:03:49 → 00:03:52 การถนนอาหารอาหารคนนี้ก็จะมีเรือเยอะ
00:03:52 → 00:03:55 เหมือนกันเพราะฉะนั้นหมอแนะนำว่าให้ลองดู
00:03:55 → 00:03:57 ฉลากก่อนที่จะรับประทานให้ดูว่าปริมาณ
00:03:57 → 00:03:59 โซเดียมเนี่ยมีเท่าไหร่เพื่อที่เราจะได้
00:03:59 → 00:04:01 ดูได้ว่าในแต่ละวันเราไม่ได้บริโภค
00:04:01 → 00:04:05 โซเดียมเกินค่ะที่นี่ในการที่เราจะลอง
00:04:05 → 00:04:08 ปรับพฤติกรรมในการลดเค็มเนี่ยถ้าเราอยู่
00:04:08 → 00:04:10 ดีกินจืดไปเลยเนี่ยเราก็จะรู้สึกว่าไม่
00:04:10 → 00:04:13 อร่อยเราก็ทำให้มีความสุขใช่ไหมคะก็จะมี
00:04:13 → 00:04:16 เทคนิคนิดนึงก็คือเราพบว่าถ้าเราค่อยๆลด
00:04:16 → 00:04:20 ปริมาณเกลือลงมาทีละนิดทีละนิดเนี่ยลิ้น
00:04:20 → 00:04:23 เราจะยังไม่ทันรับรู้ถึงความแตกต่างของรส
00:04:23 → 00:04:26 ชาตินั้นเช่นสมมติว่าถ้าเราเคยอ่ะเติมน้ำ
00:04:26 → 00:04:30 ปลาประมาณ 3 ช้อนอาจจะลดเหลือประมาณ 2
00:04:30 → 00:04:33 ช้อนครึ่งแล้วค่อยๆลดลงมาเหลือมาขอเนี่ย
00:04:33 → 00:04:36 ค่ะลิ้นเสียงนี่รับรู้ถึงความแตกต่างร่าง
00:04:36 → 00:04:39 กายก็จะค่อยๆปรับให้ชินกับรสชาติใหม่ที่
00:04:39 → 00:04:42 เรากลับไปนะคะแต่ถ้าเกิดว่าเราหักบิดลดไป
00:04:42 → 00:04:44 เลยทีเดียวเนี่ยเราก็จะรู้สึกว่าไม่อร่อย
00:04:44 → 00:04:47 แล้วก็ยังติดรสชาติเดิมอยู่สุดท้ายก็จะทำ
00:04:47 → 00:04:50 ได้นานกลับไปกินรสชาติเดิมนะคะก็แนะนำว่า
00:04:50 → 00:04:53 เพื่อค่อยๆลดน่าจะได้ประสิทธิภาพมากกว่า
00:04:53 → 00:04:55 นอกจากนี้แล้วก็จะมีเครื่องปรุงที่
00:04:55 → 00:04:57 ปัจจุบันเขาคิดค้นขึ้นมาก็จะเป็นเครื่อง
00:04:57 → 00:05:00 ปรุงที่เรียกว่าโซเดียมต่ำเช่นน้ําปลา
00:05:00 → 00:05:03 โซเดียมต่ําหรือว่าเกลือโซเดียมต่ำนะคะ
00:05:03 → 00:05:06 ที่นี้สารกลุ่มเนี่ยสามารถใช้ได้ความจริง
00:05:06 → 00:05:10 แต่ว่าที่ต้องระวังก็คือเข้าใช้สารที่ทำ
00:05:10 → 00:05:12 ให้เกิดรสเค็มอย่างอื่นที่ไม่ใช่โซเดียม
00:05:12 → 00:05:15 ขึ้นมาทดแทนส่วนใหญ่แล้วที่เขาจะใช้ก็จะ
00:05:15 → 00:05:18 เป็นโพแทสเซียมหรือว่าฟอสเฟตซึ่งสารเหล่า
00:05:18 → 00:05:21 นี้เนี่ยเป็นสารที่ขับทางไปเป็นหลักเพราะ
00:05:21 → 00:05:25 ฉะนั้นถ้าลำพังเป็นแค่โรคความดันโลหิตสูง
00:05:25 → 00:05:27 หรือว่าต้องการที่จะลดโซเดียมเฉยๆเรา
00:05:27 → 00:05:30 สามารถจะใช้พวกน้ำปลาหรือว่าเกลือแบบ
00:05:30 → 00:05:33 โซเดียมต่ำได้คะแต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นโรค
00:05:33 → 00:05:37 ไตด้วยไม่แนะนำให้ใช้นะคะเพราะว่าไปจะไม่
00:05:37 → 00:05:39 สามารถขับพวกโพแทสเซียมหรือว่าพอเสร็จ
00:05:39 → 00:05:42 เหล่านี้ได้ค่ะแนะนำว่าให้ลองปรับ
00:05:42 → 00:05:45 พฤติกรรมการกินดูนะคะถ้าเราทำได้ก็จะมี
00:05:45 → 00:05:48 ส่วนที่จะช่วยป้องกันโรคแล้วก็ภาวะแทรก
00:05:48 → 00:05:50 ซ้อนต่างๆในอนาคตจากการรับประทานอาหาร
00:05:50 → 00:05:54 เค็มได้ก็รับรองว่าคุ้มค่ะสำหรับท่านใด
00:05:54 → 00:05:58 ที่ยังมีข้อสงสัยหรือว่าต้องการได้รับคำ
00:05:58 → 00:06:01 ปรึกษานะคะสามารถติดต่อเพิ่มเติมหรือว่า
00:06:01 → 00:06:04 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคไตอาคาร
00:06:04 → 00:06:08 ภปรชั้น 3 ช่วงวันพุธตอนบ่ายนะคะโรง
00:06:08 → 00:06:12 พยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทยค่ะหรือสอบ
00:06:12 → 00:06:13 ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร
00:06:13 → 00:06:16 ที่เค็มมากเกินไปจนก่อให้เกิดความเสี่ยง
00:06:16 → 00:06:18 ในการเป็นโรคไตกันแล้วนะครับแต่อย่างไรก็
00:06:18 → 00:06:21 ดีโซเดียมก็ยังเป็นทานอาหารที่จะเป็น
00:06:21 → 00:06:23 สำหรับร่างกายเพราะฉะนั้นจึงควรบริโภคใน
00:06:23 → 00:06:26 ปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพนเพื่อ
00:06:26 → 00:06:29 สุขภาพที่ดีของเรากันนะครับด้วยความ
00:06:29 → 00:06:32 ปรารถนาดีจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาด
00:06:32 → 00:06:34 ก็ใช่อ่ะ
00:06:34 → 00:06:43 [เพลง]