00:00:00 → 00:00:04 ผมมีเพื่อนฮะคือช่วงนึงในชีวิตเนี่ยอยู่
00:00:04 → 00:00:06 ดีๆเริ่มกลัวที่แคบขึ้นเครื่องบินก็ไม่
00:00:06 → 00:00:09 ได้ขึ้นรถไฟฟ้าก็กลัวอะไรเงี้อยู่ดีๆมัน
00:00:09 → 00:00:11 เกิดไอ้พวกแพนิคพวกนี้มันเข้ามาในชีวิต
00:00:12 → 00:00:15 ได้ยังไงฮะอยู่ดีๆซึ่งหลายคนเนี่ยชีวิตก็
00:00:15 → 00:00:17 ไปดีนะฮะทุกอย่างกำลังดีแต่มันมักจะเกิด
00:00:17 → 00:00:19 กับพวกที่แบบเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขามาเกิด
00:00:19 → 00:00:22 พวกนี้ได้ยังไงอใครๆก็หนูเป็นโรคแพนิคค่ะ
00:00:22 → 00:00:24 หนูเป็นโรคแพนิคมันกลายเป็นเรื่องติดปาก
00:00:24 → 00:00:28 เหมือนช่วงนึงหนูเป็นกดไหลย้อนค่ะอ๋อตอน
00:00:28 → 00:00:31 นี้กลายเป็นว่าหนูเป็นรูกแพนิคค่ะ
00:00:31 → 00:00:35 เเกิดอะไรขึ้นครับคุณอ
00:00:35 → 00:00:42 ผมปัญหาแพนิคในคนไข้วัยกลางคน 30-40 ผม
00:00:42 → 00:00:45 เชื่อว่าคุณมอน่าจะเจอเยอะอเป็นยังไงครับ
00:00:45 → 00:00:46 เดี๋ยวเล่าให้ฟังแล้วมันเจอเยอะขึ้น
00:00:46 → 00:00:50 เรื่อยๆปัจจุบันผมว่าต้องเข้าใจก่อนคือ
00:00:50 → 00:00:54 คือแพนิคกับวิตกกวลไม่เหมือนกันคนเราชอบ
00:00:54 → 00:00:57 สลับกันว่าคือจริงๆคือวิตกกมนเฉยๆแต่บอก
00:00:58 → 00:01:01 ว่าเป็นแพนิคคือคือวิตกกวลมันจะเป็นความ
00:01:01 → 00:01:04 กังวลที่เป็นลักษณะแบบเป็นนานๆหน่อยคิด
00:01:05 → 00:01:09 กังวลไปอนาคตไม่ค่อยมีอาการทางกายมากแต่
00:01:09 → 00:01:13 ว่าเป็นแบบเบาๆเจนาน่ารำคาญแต่ถ้าเป็น
00:01:13 → 00:01:15 แพนิคมันจะเป็นลักษณะของความกังวลที่มัน
00:01:15 → 00:01:19 เป็นรุนแรงและเป็นแบบรดเร็มแล้วมีอาการ
00:01:19 → 00:01:22 ทางกายร่วมด้วยหลายๆอย่างเช่นผมนึกภาพผม
00:01:22 → 00:01:25 จะให้คนไข้นึกว่าสมมุติมีเสือข้างๆตัวเรา
00:01:25 → 00:01:28 ร่างกายเราจะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวตลอด
00:01:28 → 00:01:32 เวลาอ่าหัวใจเราจะได้้เร็วขึ้นเราจะหายใจ
00:01:32 → 00:01:33 เร็วขึ้น
00:01:33 → 00:01:37 อ่อเราหายใจเร็วขึ้นเราก็จะมีมือชาตัวชา
00:01:37 → 00:01:41 อืออ่ามีใจสั่นเนาะมีมือสั่นประมาณนั้น
00:01:41 → 00:01:44 แล้วก็มีเวียนหัวได้เพราะเราต้องพยายามจะ
00:01:44 → 00:01:47 สู้หือหนีกับสตัวเครับนะฮะแล้วก็จะมี
00:01:47 → 00:01:50 อาการของความกลัวอื่นเช่นกลัวว่าจะควบคุม
00:01:50 → 00:01:54 อาการไม่ได้กลัวว่าจะเสียชีวิตเอ่อกลัว
00:01:54 → 00:01:56 ว่าจะเป็นบ้าอบางคก็คือความรู้สึกมันจะ
00:01:56 → 00:02:00 กระชากไปเลยมันกระชากฮึบแบบว่าประมาณ 60
00:02:00 → 00:02:03 นาที 30 - 60 นาทีแล้วเบาลงเลยอนี้เรา
00:02:03 → 00:02:05 จะเรียกว่าอาการแนิหรือว่า Panic attack
00:02:05 → 00:02:08 อือแต่ถ้าความกังวลมันจะเป็นแบบเบาๆนานๆ
00:02:08 → 00:02:12 น่ารำคาญอืกว่าเหมือนมีอะไรกวนใจตลอดเวลา
00:02:12 → 00:02:15 กวนใจครับก็ถ้าในแง่สาเหตุมันจะมีทฤษฎี
00:02:15 → 00:02:18 ที่ว่าอยู่แล้วก็เท่าที่ตรวจคนไข้มามันก็
00:02:19 → 00:02:23 มีตรงบ้างไม่ตรงบ้างอนะครับที่จะบอกว่าคน
00:02:23 → 00:02:26 ที่เป็นแพนิคอ่ะ 1 คือตั้งแต่วัยเด็กเลย
00:02:26 → 00:02:29 อาจจะเป็นคนที่ขาดอ่า emotional support
00:02:29 → 00:02:34 คืออ่าาไทยเรียกว่าการสนับสนุนทางด้าน
00:02:34 → 00:02:38 อารมณ์อืเหมือนกับว่าถ้าเราตอนเด็กเรา
00:02:38 → 00:02:42 กังวลเรามีคนคอยปลอบว่าพ่อหรือแม่หรือว่า
00:02:42 → 00:02:45 คนสำคัญในชีวิตจะคอยปลอบเราแต่ถ้าเขาปรอบ
00:02:45 → 00:02:48 เราได้ถูกต้องอ่าเราก็จะสามารถปลอบตัวเอง
00:02:48 → 00:02:52 เป็นอืคอนเซปประมาณนั้นนะฮะแล้วก็พอตมา
00:02:52 → 00:02:56 เรื่อยๆที่เจอบ่อยที่สุดเลยคือเหมือนอ่า 1
00:02:56 → 00:02:58 คือการซัพพอร์ตด้านอารมณ์ไม่ค่อยดีตอน
00:02:58 → 00:03:01 เด็กเราไม่สามารถปอบตัวตัวเองได้อือเรา
00:03:01 → 00:03:03 บางทีไม่รู้ว่าตัวเองเครียดด้วยซ้ำนะฮะ
00:03:03 → 00:03:07 แล้วส่วนใหญ่จะมาตอนทำงานและทำงานจะเป็น
00:03:07 → 00:03:09 ช่วงที่เลื่อนตำแหน่งอหรือว่าความคาดหวัง
00:03:09 → 00:03:12 ของงานมันสูงขึ้นอือมันมีแปตรงเนี้ยจาก
00:03:12 → 00:03:16 ของเดิมที่มันทำให้เราเกิดความกังวลโดย
00:03:16 → 00:03:19 ที่เราจริงๆเราไม่รู้ตัวอือแต่มันออกมา
00:03:19 → 00:03:22 เป็นอาการทางกายอือย่างที่ผมบอกไปตึ๊กๆๆๆ
00:03:23 → 00:03:27 ๆอืโดยที่ตัวเเองก็รู้สึกว่าจริงๆไม่ได้
00:03:27 → 00:03:30 มีเรื่องกังวลเท่าไหร่นะอือๆๆว่าอาการทำง
00:03:30 → 00:03:34 ออกอประมาณนั้นอืก็คือบอกกำลังจะบอกว่า
00:03:34 → 00:03:36 มันเริ่มมีความกังวลแอบแฝงโดยที่เขาไม่
00:03:36 → 00:03:40 รู้ตัวมันก็เลยแสดงเป็นอาการอ่ะของแพนิค
00:03:40 → 00:03:43 เลยประมาณนั้นครับอือย่างงั้นเขาจะทบทวนเ
00:03:43 → 00:03:46 จะรู้ได้ยังไงฮเคควรจะทบทวนยังไงดีรู้ได้
00:03:46 → 00:03:48 ยังไงใช่มผมว่า
00:03:48 → 00:03:52 เอ่อมันคงเป็นการรู้จักตัวเองอือคือการ
00:03:52 → 00:03:55 รู้จักตัวเองทำยังไงก็คือมีเวลาให้ตัวเอง
00:03:55 → 00:03:58 อืเวลาให้ตัวเองคืออะไรคือถ้าถ้าเทียบกัน
00:03:58 → 00:04:01 ว่าสมัยเนี้ยมันจะคือประมาณว่าถ้าเราว่าง
00:04:01 → 00:04:04 เราก็จับมือถือแล้วก็ใช้เทคโนโลยีดูนู่น
00:04:04 → 00:04:07 ดูนี่มันเหมือนเราไม่ได้มี Gap ให้เราทำ
00:04:07 → 00:04:10 ความรู้จักตัวเองว่าเรารู้สึกยังไงเราคิด
00:04:10 → 00:04:13 ยังไงเอ๊มันเกิดอะไรขึ้นกับเราตอนนี้
00:04:13 → 00:04:15 ชีวิตเราเป็นยังไงครับนนี่คือการรู้จัก
00:04:15 → 00:04:18 ตัวเองถ้าเรารู้จักตัวเองได้ดีเนี่ยเราก็
00:04:18 → 00:04:20 จะสามารถเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับ
00:04:20 → 00:04:24 ชีวิตเราบ้างถ้าบางอย่างรู้สึกว่าทำคเข้า
00:04:24 → 00:04:26 ใจตัวเองเราไม่ค่อยเข้าใจฮะก็พบพู้ด
00:04:26 → 00:04:30 เชี่ยวชาอันนั้นช่วยได้เหมือนกันมันก็ไม่
00:04:30 → 00:04:33 แปลกนะที่คนที่พยายามทำความเข้าใจแล้วยัง
00:04:33 → 00:04:36 ไม่รู้จักตัวเองมันถือว่าเป็นอะไรที่แปลก
00:04:36 → 00:04:39 มั้ยไม่แปลกผมยังไม่รู้จักตัวเองเลยอื
00:04:39 → 00:04:43 ครับดีครับขอบคุณมากหอเพอหลายคนเนี่ยก็จะ
00:04:43 → 00:04:46 อาจจะเป็นเพราะสื่อมั้งอืออาจจะดูโซเชียล
00:04:46 → 00:04:48 แล้วกดดันว่าต้องรู้จักตัวเองต้องรู้ว่า
00:04:48 → 00:04:51 ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไรอยากทำอะไรเงี้ย
00:04:51 → 00:04:54 ครับอันนี้เป็นแรงกดดันในวัยรุ่นเยอะนะผม
00:04:54 → 00:04:57 ว่าปัจจุบันผมว่า้ารุก็ทำๆไปก่อนครับ
00:04:57 → 00:05:01 เดี๋ยวก็รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรครับครับ
00:05:01 → 00:05:05 นี่เป็นเป็นคำแนะนำที่ดีมากๆครับผมเชื่อ
00:05:05 → 00:05:09 ว่าอยากให้เราเก็บไปคิดก็คือการให้เวลา
00:05:09 → 00:05:11 กับตนเองกลับมาที่
00:05:11 → 00:05:15 แพนิคแล้วแนวทางการรักษาส่วนใหญ่พวกแพนิค
00:05:15 → 00:05:17 หมอแนะนำยังไงครับรักษาใช่มั้ยครับอ่าผม
00:05:17 → 00:05:20 คิดว่าแพนิคเนี่ยด้วยความที่โรคมันเป็น
00:05:20 → 00:05:24 โรคที่รักษาง่ายประมาณมีวิจัยประมาณ 50%
00:05:24 → 00:05:28 อยู่ยาได้ภายในปีนึง่าในปีนึง 40% หายแต่
00:05:28 → 00:05:33 ต้องกินยาต่ออืมีแค่ 10% ที่รักษายากอือ
00:05:33 → 00:05:35 เพราะฉะนั้นการมาพบจิตแพทย์อ่ะผมว่าเป็น
00:05:35 → 00:05:38 สิ่งที่สำคัญที่สุดอืแล้วต้องมีการกินยา
00:05:38 → 00:05:41 แล้วก็การบำบัดอืคนไข้แพนิคก็ต้องเข้าใจ
00:05:41 → 00:05:44 ว่าปัจจัยอะไบ้างกระตุ้นเช่นพวกคาเฟอีน
00:05:44 → 00:05:49 ความเครียดบางอย่างการนอนที่ไม่ไม่ดีเอ่อ
00:05:49 → 00:05:53 แล้วก็ต้องรู้ว่าเราจะจัดการเวลามีอาการ
00:05:53 → 00:05:56 ยังไงเช่นการฝึกหายใจเข้าใจเรื่องวงจรของ
00:05:56 → 00:05:59 โรคแพนิคว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายอื
00:05:59 → 00:06:02 เข้าใจการปรับพฤติกรรมต่างๆเช่นพวกว่า
00:06:02 → 00:06:05 ปกติคนเป็นานิจะหลีกเลี่ยงให้กล้าไปที่
00:06:05 → 00:06:07 ที่เคยเป็นอือการหลีกเลี่ยงทำให้ตัวโรก
00:06:07 → 00:06:12 เป็นแย่ลมอืเราต้องไปเผชิญอือแต่ต้องต้อง
00:06:12 → 00:06:15 ต้องภายใต้คำแนะนำของหมออือนะประมาณนั้น
00:06:15 → 00:06:18 แล้วก็กินยาก็เป็นอีกปัจจัยนึงอืส่วนใหญ่
00:06:18 → 00:06:20 ก็ได้จ่ายยาครับจ่ายยากินประมาณเดือนนึง
00:06:20 → 00:06:23 เดือนครึ่งก็หายะอืเหมือนเหมือนชีวิตมัน
00:06:23 → 00:06:26 กลับเป็นปกติอืแล้วต้องติดยาตลอดมั้ยแบบ
00:06:26 → 00:06:28 เวลาหายแล้วมันกลับมาเป็นใหม่ได้มั้ยเอ่า
00:06:28 → 00:06:32 โรคฉีโลกนะครับอือ่าจริงๆเหมือนกับคอนเซป
00:06:32 → 00:06:35 เหมือนโลคอะไรดีเบาหวานความดันพอเป็น
00:06:35 → 00:06:38 ครั้งนึงปั๊บมันจะมีความเสี่ยงจะเป็นซ้ำ
00:06:38 → 00:06:41 อืคล้ายๆความดันเช่นความดันเวลาวิตความ
00:06:41 → 00:06:44 ดันความดันสูงแล้วกันต้องกินยาลดความดัน
00:06:44 → 00:06:47 ให้มันคุมมาได้ใช่มั้ยฮะแต่ถ้าเราสามารถ
00:06:47 → 00:06:50 ปรับพฤติกรรมการกินนของเรากินเค็มน้อยลง
00:06:50 → 00:06:53 อะไเงี้ทำให้ความดันลงเราก็หยุดยาความดัน
00:06:53 → 00:06:56 ได้อโรคสเว่นเหมือนกับทุกโรคไม่ใช่ทุกโรค
00:06:56 → 00:06:59 สิบางโรคอือนะฮะบางโรคต้องกินยาตลอดชีวิต
00:06:59 → 00:07:02 แต่บางโลคกินยาพักนึงถ้าปรับชีวิตให้มัน
00:07:03 → 00:07:06 ดีปรับทัศคติในชีวิตปรับการใช้ชีวิตให้
00:07:06 → 00:07:09 เหมาะอ่าปัจจัยภายนอกดูแก้หมดเรื่อง
00:07:09 → 00:07:12 ครอบครัวเรื่องตนเองเรื่องงานอะไรเคลียร์
00:07:12 → 00:07:14 เคลียร์ได้ดีขึ้นก็จะมีความเสี่ยงเป็นซึม
00:07:14 → 00:07:18 เศร้าน้อยลงปกติก็จะปกติถ้าเป็นแพนิคก็นะ
00:07:18 → 00:07:22 เพแพนิคก็กินยาประมาณปีนึงถ้าแล้วก็ลอง
00:07:22 → 00:07:25 หยุดบางคนกลับเป็นซ้ำบางคนไม่กลับเป็นซ้ำ
00:07:25 → 00:07:29 อนี้ตตกดอืขึนกว่าเราปับปัจจัยอื่นๆไป
00:07:29 → 00:07:33 ด้วยมอืเหตุผลที่คุณหมอมองว่าปัญหาจิตเวท
00:07:33 → 00:07:37 ที่มันขาขึ้นในสังคมปัจจุบันถ้าให้
00:07:37 → 00:07:40 วิเคราะห์และคิดว่าถ้าประชา
00:07:40 → 00:07:44 ชนจับทางได้จะไม่ตกลุมมีอะไรครับอืบอกไป
00:07:44 → 00:07:49 ตอนแรกว่าพอเทคโนโลยีมามันทำให้เราไม่มี
00:07:49 → 00:07:52 เวลาอยู่กับตัวเองเหมือนเวลาใช้เทคโนโลยี
00:07:52 → 00:07:55 มันวิจัยว่ามันกดสมองส่วนลิมบิกคือสมอง
00:07:55 → 00:07:58 ส่วนอารมณ์อือ่ามันทำให้เราเหมือนบางคน
00:07:58 → 00:08:01 คิดมากเ่นคคิดมากก็เอามือถือขึ้นมาไถยก็
00:08:01 → 00:08:06 ได้ไม่ต้องคิดพอจดนี้ปั๊บมันก็ไปปัหาคือ
00:08:06 → 00:08:09 จิตใจเราอ่ะอาหารมันคือความคิดอ่ะหมายถึง
00:08:09 → 00:08:12 ว่าอืมันต้องคิดอ่ะปัญหาคือมันก็ไปคิดตอน
00:08:12 → 00:08:16 กอดนอนแล้วก็นอนไม่หลับเงี้หรือว่ามบางคน
00:08:16 → 00:08:18 ไปคิดในฝันแล้วก็คิดจนเหนื่อยแล้วก็มี
00:08:18 → 00:08:21 ปัญหาการใช้ชีวิตตามมานี่คือเรื่อง 1
00:08:21 → 00:08:23 เรื่องเทคโนโลยี 2 เทคโนโลยีมันทำให้เรา
00:08:23 → 00:08:28 แบบผมว่ามันทำให้เราห่างกันน่ะแต่ถึงว่า
00:08:28 → 00:08:31 มันเกิดความความเหงาแล้วกันผมใช่เพะความ
00:08:31 → 00:08:34 เหงาแล้วกันมันเหมือนกับว่าเอ่อดเดียวอือ
00:08:34 → 00:08:37 ๆเหมือนกับว่าเวลาเรามีความสัมพันธ์กับ
00:08:37 → 00:08:41 ใครบางคนน่ะมันไม่ได้แบบ in Deep เหมือน
00:08:41 → 00:08:44 กับสมัยก่อนที่แบบผมก็ทันยุคที่แบบมือถือ
00:08:44 → 00:08:47 อยทำอะไรไม่ได้เลยอแล้วเราก็ต้องนั่งมอง
00:08:47 → 00:08:50 หน้าเาก็ต้องคุยกันนะฮะแล้วก็ต้องทำความ
00:08:50 → 00:08:53 รู้จักกันอะไรเงี้ยพอพอพักหลังมันเหมือน
00:08:53 → 00:08:56 สิ่งเนี้ยเสน่ห์เี่มันหายไปเราไม่ได้มี
00:08:56 → 00:09:00 ใครที่เราสนิทใจมากๆอมันมีมีวิจัยบอกว่า
00:09:00 → 00:09:04 แบบน่าจะเป็นของวนะบอกว่าในเ Talk มถ้าผม
00:09:04 → 00:09:08 จำเท Talk ใผมให้ฟังแล้วผมก็ไปนำเสนอบ่อย
00:09:08 → 00:09:11 เรื่องนี้ก็คือว่าเขาบอกว่าความสุขของ
00:09:11 → 00:09:14 มนุษยเราเกิดจากอะไรแล้วกันเก็ทำการวิจัย
00:09:14 → 00:09:18 ตมา 70 80 ปีแล้วก็วิเคราะห์มาว่าก็มัน
00:09:18 → 00:09:20 เกิดจากคุณภาพความสัมพันธที่ดีของเรากับ
00:09:20 → 00:09:23 คนอื่นอเป็นตัว determine
00:09:23 → 00:09:28 ตัวบอกว่าเราจะมีความสุขในชีวิตหรือเปล่า
00:09:28 → 00:09:30 ซึ่งคุณภาพความสัพันธ์เนี่ยเกิดจากอะไร
00:09:30 → 00:09:36 เกิดจากการให้เวลากับมันคือบางทีเราพ่อ
00:09:36 → 00:09:38 แม่เราก็ต้องให้เวลาเบ้างเช่นโทรหาเค้า
00:09:38 → 00:09:41 หรือเงี้ยครับซึ่งพอเรามีความสที่ดีเนี่ย
00:09:41 → 00:09:45 มันก็จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นนแอืถาม
00:09:45 → 00:09:48 ว่าเราจะเช็คยังไงเรามีความสัมพันที่ดีใน
00:09:48 → 00:09:51 วิจัยนี้บอกว่าถ้าให้เรานึกว่าสมมุติเรา
00:09:51 → 00:09:54 มีเกิดเหตุฉุกเฉินบางอย่างในชีวิต้าเราจะ
00:09:54 → 00:09:57 โทรหาใครบ้างชื่อในนั้นแหละมันคือความ
00:09:57 → 00:10:01 สัันที่ดีของเราอืถ้าเรายิ่งมีจำนวนราย
00:10:01 → 00:10:05 ชื่อที่อ่าที่เยอะหน่อยหรือว่ายังมีบ้าง
00:10:05 → 00:10:07 ว่าเรามีความสาาที่ดีอันนี้สุดยอดประมาณ
00:10:07 → 00:10:13 ประมาอือืความสัมพันธ์นะอ่ะขอแตะอีกนิด
00:10:13 → 00:10:17 นึงได้มั้ยคุณหมอคิดว่าปัจจุบันความ
00:10:17 → 00:10:20 สัมพันธ์มนุษย์มันเปลี่ยนไปเชื่อว่าคุณ
00:10:20 → 00:10:24 หมออาจจะยังไม่ได้แก่มากแต่ว่าในฐานะนัก
00:10:24 → 00:10:27 จิตในฐานะจิตแพทย์เนี่ยผมว่าคุณหมอน่าจะ
00:10:27 → 00:10:30 น่าจะดูออกแหละเพราะว่ามันเป็นอาชีพของคน
00:10:30 → 00:10:33 เหมาความสัมพันธ์ปัจจุบันถ้าจะให้เตือน
00:10:33 → 00:10:36 เด็กรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นรุ่นใหม่เนี่ยมัน
00:10:36 → 00:10:40 เป็นยังไงมันมีความสำคัญยังไงอือฮึผมว่า
00:10:40 → 00:10:43 เอ่อคงเป็นที่ผมบอกไปว่ามันไม่ค่อย EP
00:10:43 → 00:10:46 เหมือนเดิมเค้าควรจะแก้ยังไงแกยังไงเนาะ
00:10:46 → 00:10:51 คงเป็นการให้เวลากับความสัมพันธ์แหลว่า
00:10:51 → 00:10:54 เรามีเวลาให้กันและกันอ่าเวลาอยู่ด้วยกัน
00:10:54 → 00:10:58 ก็ใช้เวลาร่วมกันลดการใช้พวกโซเชียลอเวลา
00:10:58 → 00:10:59 อยู่ด้วยกันอือ
00:10:59 → 00:11:02 แล้วก็ถ้าพวกอ่าอย่างเด็กรุ่นใหม่เนี่ย
00:11:02 → 00:11:05 บางทีความสัมพันธ์มันจะค่อนข้างผมว่ามัน
00:11:05 → 00:11:10 ด้วยความที่มันมีสเช่นมีแอปหาคู่อือหรือ
00:11:10 → 00:11:13 ว่าเป็นพวกอ่าโซเชียล Media ต่างๆอือมัน
00:11:13 → 00:11:16 มีการเปรียบเทียบครับว่าเเราครบคนนี้ปก็
00:11:16 → 00:11:18 เปรียบเทียบว่าคนนี้ดีกว่าคนนี้ดีกว่า
00:11:18 → 00:11:21 แล้วมันก็พยายามจะเหมือนมันไม่ความสไม่
00:11:21 → 00:11:23 นิ่งซักทีที่เราจะ stable ที่จะศึกษาใคร
00:11:23 → 00:11:27 สักคนอืเพราะด้วยความที่พอเรามีโซเชียล
00:11:27 → 00:11:29 Media ตัวเลือกมันเยอะอืแล้วเก็เปรียบ
00:11:29 → 00:11:33 เทียบเราก็ไม่สามารถจะินกับใครเพราะว่า
00:11:33 → 00:11:36 การคบการหรือการเป็นแฟนการจะมีคู่ชีวิต
00:11:36 → 00:11:40 ด้วยกันมันต้องเป็นการปรับตัวเข้าหากัน
00:11:40 → 00:11:44 อืมประมาณนั้นครับที่หมอพูดนี่มันมันไป
00:11:44 → 00:11:47 โยงกับการที่วัยรุ่นเปลี่ยนงานบ่อยลาออก
00:11:47 → 00:11:52 บ่อยเหมือนกันนะเอคล้ายกันอาจอาจจะ Apply
00:11:52 → 00:11:55 ได้เหมือนกันนะที่ผมรู้สึกนะฮะว่าเขาอาจ
00:11:55 → 00:11:58 จะคือรุ่นใหม่เนี่ยเข้าออกทุกที่นะฮะทุก
00:11:58 → 00:12:00 ที่ทุกวงการเลยเข้าออกคือ turnover สูง
00:12:01 → 00:12:03 มากเพราะว่านั่นก็คือความสัมพันธ์เหมือน
00:12:03 → 00:12:07 กัน 2 คือการเปรียบเทียบด่วนเปรียบเทียบ
00:12:07 → 00:12:10 อือนะครับสุดท้ายนี้อย่าลืมนะครับหากใคร
00:12:10 → 00:12:13 ที่สนใจหนังสือรู้รอดปลอดภัยสามารถสั่ง
00:12:13 → 00:12:15 ผ่าน line official ได้จะมีเจ้าหน้าที่
00:12:15 → 00:12:20 ประสานในนี้ผมก็ได้สรุปนะฮะหัวข้อนะฮะ
00:12:20 → 00:12:22 สำหรับผู้สูงอายุหรือว่าใครที่สนใจนะครับ
00:12:22 → 00:12:26 สีภาษาค่อนข้างง่ายลองไปอ่านดูนะครับแล้ว
00:12:26 → 00:12:28 ก็เริ่มใส่ใจสุขภาพปอดเพราะอีก 10 ปี
00:12:28 → 00:12:34 ครั้งหน้าสุขภาพปอดจะเป็นปัญหาของสังคม