00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับตอนนี้นะครับผมเชื่อว่าทุกคน
00:00:02 → 00:00:05 น่าจะได้เห็นข่าวการแถลงการณ์ที่ทำเนียบ
00:00:05 → 00:00:07 ข่าวโดยประธานาธิบดีโดัลดทรัมป์แล้วก็
00:00:07 → 00:00:10 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข Robert
00:00:10 → 00:00:12 F. Kennedy Jun เนี่ยที่ออกมาบอกว่า
00:00:12 → 00:00:16 พาซตamเนี่ยมันทำให้เกิดปัญหาทางด้านของ
00:00:16 → 00:00:19 สมองถ้าเราใช้ในเด็กหรือว่าในแม่ที่ตั้ง
00:00:19 → 00:00:22 ครรภ์จะทำให้ลูกออกมาเป็นออิึมได้นะครับ
00:00:22 → 00:00:26 และยังบอกอีกว่ามันมีวิธีในการแก้ไขโดย
00:00:26 → 00:00:30 การใช้วิตามิน B9 หรือที่เรียกว่าิวโคบิน
00:00:30 → 00:00:32 เรื่องนี้มันมีความเป็นจริงอย่างไรแค่ไหน
00:00:32 → 00:00:34 เดี๋ยววันนี้ผมจะเล่าให้ฟังนะครับและนอก
00:00:34 → 00:00:37 เหนือจากนี้นะครับหลังจากที่ข่าวนี้มาถึง
00:00:37 → 00:00:40 ประเทศไทยก็มีหมอคนนึงซึ่งเป็นคนที่สังคม
00:00:40 → 00:00:43 เนี่ยรู้จักกันดีออกมาโพสต์อ้างอิงงาน
00:00:43 → 00:00:45 วิจัยที่ทาง Robert F. Kennedy เนี่ย
00:00:45 → 00:00:48 เอามากล่าวนะครับออกมาตีความงานวิจัยตัว
00:00:48 → 00:00:51 นี้ทำนองเดียวกันกับที่ Robert Kennedy
00:00:51 → 00:00:53 เขาบอกนะครับว่าเอองานวิจัยตัวนี้เนี่ย
00:00:53 → 00:00:56 มันบอกเลยนะว่าพาราเซตอลเนี่ยไม่ปลอดภัย
00:00:56 → 00:00:58 ถ้าเกิดว่าคุณใช้เนี่ยก็มีความเสี่ยงต่อ
00:00:58 → 00:01:00 การที่ลูกเกิดมาจะเป็นออิึมนะครับและ
00:01:00 → 00:01:03 โพสต์ถัดไปของเขานะครับก็ยังมีการพูดถึง
00:01:03 → 00:01:06 ว่าวัคซีนต่างๆที่เราให้ลูกหลานของเราฉีด
00:01:06 → 00:01:09 ตามเกณฑ์เนี่ยมันมีส่วนผสมของอลูมิเนียม
00:01:09 → 00:01:13 นะครับและบอกว่านี่แหละอลูมิเนียมตัวนี้
00:01:13 → 00:01:15 มันจะไปทำลายระบบประสาททำให้มีปัญหาทาง
00:01:15 → 00:01:18 ด้านพัฒนาการเรื่องราวทั้งหมดเนี้ยมันมี
00:01:18 → 00:01:21 ข้อเท็จจริงประการใดวันนี้นะครับผมจะหยิบ
00:01:21 → 00:01:24 ยกมาเล่าให้ฟังทั้งหมด 3 เรื่องเรื่องแรก
00:01:24 → 00:01:26 ออisึมกับพาราซตอลมันเกี่ยวกันหรือเปล่า
00:01:27 → 00:01:29 นะครับเรื่องที่ 2 ิวโควินใช้ในการรักษา
00:01:29 → 00:01:32 ออิึมได้หรือไม่และเรื่องที่ 3
00:01:32 → 00:01:34 อลูมิเนียมที่อยู่ในวัคซีนมันมีไว้ทำอะไร
00:01:35 → 00:01:37 แล้วมันทำให้เกิดโรคออติึมจริงหรือเปล่า
00:01:37 → 00:01:40 เดี๋มาฟังหลักฐานไปพร้อมกันนะครับพบกับผม
00:01:40 → 00:01:42 นะครับนายแพทย์ธนีธนียวัณเป็นอาจารย์
00:01:42 → 00:01:43 แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญ
00:01:43 → 00:01:46 การโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะ
00:01:46 → 00:01:49 ครับต้องบอกว่าจริงๆเนี่ยเรื่องนี้ผมรู้
00:01:49 → 00:01:54 สึกว่าถ้าเกิดเป็นคนที่มีสติปัญญาหน่อยนะ
00:01:54 → 00:01:56 มันจะไม่เชื่อเรื่องนี้เลยสักนิดเดียวนะ
00:01:57 → 00:01:59 ครับอ่ะแต่ไม่ว่ายังไงครับผมก็จะเล่าให้
00:01:59 → 00:02:03 ทุกคนฟังแต่ขอสรุปสั้นๆง่ายๆ 3 อย่าง
00:02:03 → 00:02:06 อย่างนี้ข้อแรกparaซตamalไม่มีหลักฐานว่า
00:02:06 → 00:02:10 มันเกี่ยวข้องอะไรกับอutismหรือโรคทาง
00:02:10 → 00:02:14 ด้านพัฒนาการของสมองข้อ 2 ิวโควอินหรือ
00:02:14 → 00:02:18 วิตามิน B9 สามารถใช้ในการบรรเทาอาการออิ
00:02:18 → 00:02:22 ได้บางกรณีนะครับบางกรณีไม่ใช่ทุกกรณีนะ
00:02:22 → 00:02:25 ครับอันที่ 3 อลูมิเนียมที่อยู่ในวัคซีน
00:02:25 → 00:02:27 เนี่ยมันมีไว้เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานของ
00:02:27 → 00:02:31 เราและมันมีงานวิจัยขนาดใหญ่มากพบว่ามัน
00:02:31 → 00:02:34 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคออติม
00:02:34 → 00:02:37 หรือโรคพัฒนาการทางสมองเลยแม้แต่น้อยนะ
00:02:37 → 00:02:40 ครับทั้งหมดนี้มีหลักฐานทางวิชาการชัดเจน
00:02:40 → 00:02:42 ทุกอันและผมจะทิ้งลิงก์งานวิจัยให้ทุกคน
00:02:42 → 00:02:45 สามารถตามไปอ่านได้ด้วยตัวเองนะครับอ่า
00:02:45 → 00:02:48 แล้วก็สิ่งนึงซึ่งอยากจะบอกให้ทุกคนฟังก็
00:02:48 → 00:02:51 คือเราอย่าตื่นตกใจไปกับข่าวเหล่านี้นะ
00:02:51 → 00:02:53 ครับหลังจากที่มีข่าวนี้ออกมาเนี่ยต้อง
00:02:54 → 00:02:57 บอกเลยนะครับว่าผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆนะ
00:02:57 → 00:02:59 ครับได้ออกมาบอกว่าเฮ้ยเรื่องนี้ไม่ถูก
00:02:59 → 00:03:01 ต้องไม่ต้องฟังที่อังกฤษยังออกมาบอกแล้ว
00:03:01 → 00:03:04 ว่าคุณไม่ต้องฟังที่ทรัมป์หรือว่า RFK
00:03:04 → 00:03:07 เนี่ยเขาประกาศนะครับแล้วที่ไทยมีหมอคน
00:03:07 → 00:03:09 นึงที่ออกมาโพสต์เรื่องเนี้ยแล้วก็อ้าง
00:03:09 → 00:03:12 อิงงานวิจัยตัวนี้แต่ว่าถ้าถ้าเป็นคนที่
00:03:12 → 00:03:16 อ่านงานวิจัยเป๊ะจริงๆเนี่ยก็จะรู้ว่าข้อ
00:03:16 → 00:03:18 บกพร่องของงานวิจัยตัวเนี้ยมันอยู่ตรงไหน
00:03:18 → 00:03:21 กันแน่ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้นะครับ
00:03:21 → 00:03:23 ขอเริ่มเรื่องประเด็นแรกก่อนเลยนะครับ
00:03:23 → 00:03:26 เรื่องว่า Autism เนี่ยมันเกี่ยวอะไรกับ
00:03:26 → 00:03:28 paracetamol หรือเปล่านะครับงานวิจัยต้น
00:03:28 → 00:03:31 เรื่องที่มีการเอามากล่าวอ้างเนี่ยมันมี
00:03:31 → 00:03:33 ชื่อว่า Evaluation of the evidence
00:03:33 → 00:03:35 on acetaminal fend use and
00:03:35 → 00:03:37 neurodevelopmental disorders using
00:03:37 → 00:03:40 the navigation guide methodology
00:03:40 → 00:03:44 อันเนี้ยเป็นงานวิจัยที่มีคนทำมาโดยการ
00:03:45 → 00:03:47 รวบรวมงานวิจัยต่างๆมานะครับแล้วก็เอามา
00:03:47 → 00:03:49 วิเคราะห์เขาใช้เทคนิคอันนึงเรียกว่า
00:03:49 → 00:03:52 Navigation Guide Methodology ก็คือ
00:03:52 → 00:03:55 มันมีการบอกไว้ชัดเจนว่าเค้าจะเอางาน
00:03:55 → 00:03:59 วิจัยประเภทไหนมีลักษณะอย่างไรเอามาร่วม
00:03:59 → 00:04:02 ในการศึกษาครั้งนี้นะครับโดยเขาตั้งธงไว้
00:04:02 → 00:04:04 ก่อนว่าเขาจะเอางานวิจัยแบบนี้ไม่ใช่ว่า
00:04:04 → 00:04:06 ไปเอางานวิจัยมาแล้วก็บอกว่าอ๋อไอ้งาน
00:04:06 → 00:04:08 วิจัยพวกเนี้ยอันนี้เค้าชอบอันนี้เค้าไม่
00:04:08 → 00:04:11 ชอบเตัดทิ้งออกไปตามใจชอบไม่ใช่อย่างงั้น
00:04:11 → 00:04:13 แสดงว่าสิ่งที่เค้าทำเนี่ยมันถูกต้องนะ
00:04:13 → 00:04:16 ครับแต่พอเค้าเอางานพวกนี้มานะครับมีทั้ง
00:04:16 → 00:04:20 หมดอ่า 46 งานด้วยกันที่เค้าหยิบยกขึ้นมา
00:04:20 → 00:04:23 แล้วก็มาดูนะครับใน 46 งานเนี่ยเค้าก็
00:04:23 → 00:04:27 ตรวจพบว่าแต่ละงานวิจัยมันมีความแตกต่าง
00:04:27 → 00:04:30 กันเยอะมากเราจะเรียกว่ามีมีity
00:04:30 → 00:04:33 ที่สูงมากดังนั้นน่ะไม่สามารถที่จะเอา
00:04:33 → 00:04:35 ทั้งหมดน่ะมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆให้
00:04:35 → 00:04:38 เป็นตัวอย่างขนาดใหญ่แล้วก็วิเคราะห์ที่
00:04:38 → 00:04:40 เราเรียกว่า meta analysis ได้นะครับตรง
00:04:40 → 00:04:42 นี้เนี่ยเนี่ยถ้าใครที่ไม่เคยทำงานวิจัย
00:04:42 → 00:04:45 อาจจะงงว่าเฮ้ยแล้วมันทำไปทำไมนะครับต้อง
00:04:45 → 00:04:47 บอกอย่างงี้ก่อนครับปกติเนี่ยเราจะมีสิ่ง
00:04:47 → 00:04:49 ที่เรียกว่า systematic review and
00:04:49 → 00:04:51 metaan analysis นะครับโดยการที่เราไป
00:04:51 → 00:04:55 เอางานวิจัยมาหลายๆงานที่มันลักษณะคล้ายๆ
00:04:55 → 00:04:58 กันเอามารวมกันเพื่อที่จะเอาตัวอย่างของ
00:04:58 → 00:05:00 งานวิจัยเนี่ยมารวมกันให้มันเป็นตัวอย่าง
00:05:00 → 00:05:03 ขนาดใหญ่มากนะครับมันจะมีผลดีในแง่ที่ว่า
00:05:03 → 00:05:06 ถ้าสมมุติเป็นงานวิจัยขนาดเล็กๆเนี่ยบาง
00:05:06 → 00:05:10 ทีมันตัวอย่างแค่ 10 คน 100 คนอย่างเงี้ย
00:05:10 → 00:05:12 มันอาจจะบอกอะไรไม่ได้แต่สมมุติว่าถ้า
00:05:12 → 00:05:13 เกิดคุณเอาทุกงานวิจัยมารวมกันแล้วเป็น
00:05:13 → 00:05:16 ตัวอย่าง 1 ล้านคนมันอาจจะทำให้เราเห็น
00:05:16 → 00:05:19 ภาพอะไรที่ชัดเจนขึ้นก็ได้นะครับงานเนี้ย
00:05:19 → 00:05:21 เค้าก็เลยทำแบบนั้นแต่ปัญหามันอยู่ตรงที่
00:05:21 → 00:05:24 ว่าแต่ละงานวิจัยมันแตกต่างกันมากจนเกิน
00:05:24 → 00:05:27 ไปทำให้เขาไม่สามารถเอามารวมกันเป็นก้อน
00:05:27 → 00:05:29 เดียวกันได้แล้วก็ไม่สามารถวิเคราะห์ต่อ
00:05:29 → 00:05:32 ไปได้อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้จากการเอา
00:05:32 → 00:05:35 ทุกๆอย่างมารวมกันเนี่ยมันก็ทำให้เห็น
00:05:35 → 00:05:39 สิ่งหนึ่งซึ่งเขาก็บอกว่าเออ
00:05:39 → 00:05:43 เราพบว่ามันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกัน
00:05:43 → 00:05:47 ระหว่างparaซตamกับโรคอtisึมหรือกลุ่ม
00:05:47 → 00:05:50 อาการที่มีการผิดปกติทางพัฒนาการที่เรียก
00:05:50 → 00:05:53 ว่า Neuroevelopmental Disorder นะครับ
00:05:53 → 00:05:56 อ่าเช่น Autism Spectrum Disorder นะ
00:05:56 → 00:05:58 ครับโรค ADHD นะครับ Attention Deficit
00:05:58 → 00:06:01 Hyperactivity Disorder หรือสมาธิสั้น
00:06:01 → 00:06:03 นะครับแล้วก็เ่อ Intellectual Disorder
00:06:03 → 00:06:06 คือความผิดปกติทางด้านของปัญญานะครับมัน
00:06:06 → 00:06:08 อยู่ในกลุ่มพวกนี้หมดเลยเค้าก็พบว่ามัน
00:06:08 → 00:06:12 อาจจะมีความเกี่ยวข้องแต่เค้าก็เขียนไว้
00:06:12 → 00:06:14 ด้วยนะครับเค้าเขียนไว้ชัดเจนในงานวิจัย
00:06:14 → 00:06:16 ชิ้นนี้ว่าทั้งหมดที่เขา้าเอามาเนี่ยมัน
00:06:16 → 00:06:19 เป็นการศึกษาแบบ observational เป็นการ
00:06:19 → 00:06:22 ศึกษาแบบเราสังเกตการเท่านั้นดังนั้น
00:06:22 → 00:06:26 เนี่ยไม่สามารถเอามาสรุปว่าพาราซตamเป็น
00:06:26 → 00:06:31 สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคพวกนี้ได้นะเราต้อง
00:06:31 → 00:06:34 เข้าใจคำว่า association คือความเกี่ยว
00:06:34 → 00:06:38 ข้องกันไม่เท่ากับไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้
00:06:38 → 00:06:40 เกิดนะครับดังดังนั้นงานชิ้นเนี้ยเขาบอก
00:06:40 → 00:06:44 ชัดเจนว่าเขาไม่สามารถสรุปว่าพาราซตามอล
00:06:44 → 00:06:46 ทำให้เกิดโรคพวกนี้ได้ตรงเนี้ยถ้าเป็น
00:06:46 → 00:06:49 อาจารย์ที่ทำด้านการวิจัยเก่งๆเนี่ยระดับ
00:06:49 → 00:06:52 ศาสราจารย์เนี่ยเขาจะรู้ดีว่าอ๋อคุณต้อง
00:06:52 → 00:06:54 ชี้ประเด็นตรงนี้ไม่ใช่ว่าอ่านอ่านให้ฟัง
00:06:54 → 00:06:56 หรือแปลมาจากที่อื่นแล้วเอามาให้ดูอย่าง
00:06:56 → 00:06:58 เงี้ยถ้าแปลมาจากที่อื่นแล้วมาให้ดูนะ
00:06:58 → 00:07:00 ครับบอกเลยครับว่าคนเนี้ยอ่านงานวิจัยไม่
00:07:00 → 00:07:03 เป็นนะครับถ้าใครที่ต้องการอ่านงานวิจัย
00:07:03 → 00:07:05 ให้เป็นต้องทราบข้อจำกัดของงานทั้งหมด
00:07:05 → 00:07:08 ก่อนและนี่เป็นข้อจำกัดที่คนเขียนเองเค้า
00:07:08 → 00:07:10 ยังเขียนไว้เลยนะครับดังนั้นไม่สามารถเอา
00:07:11 → 00:07:13 มาสรุปได้แบบนั้นนะครับอ่ะแต่เค้าก็ยัง
00:07:13 → 00:07:16 เขียนไว้ประโยคสุดท้ายเหมือนกันว่าเออใน
00:07:16 → 00:07:19 เมื่อมันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างน้อยๆก็
00:07:19 → 00:07:23 ระมัดระวังในด้านการใช้อ่าพาราซตามอลแล้ว
00:07:23 → 00:07:25 กันอย่าไปให้เยอะจนเกินไปนะครับซึ่งตรง
00:07:25 → 00:07:27 นี้ผมเห็นด้วยนะคือคนเราจะกินยาเนี่ยมัน
00:07:27 → 00:07:30 ต้องมีเหตุผลนะครับแล้วมันต้องไม่กินเยอะ
00:07:30 → 00:07:32 เกินไปถูกมั้ยถ้ากินเยอะเกินไปก็มีปัญหา
00:07:33 → 00:07:35 ถ้าไม่กินเลยก็มีปัญหาเหมือนกันแล้วไอ้
00:07:35 → 00:07:37 งานวิจัยชิ้นเนี้ยจุดบอร์ดอีกอย่างนึงมัน
00:07:37 → 00:07:40 อยู่ตรงไหนรู้มั้ครับ
00:07:40 → 00:07:44 มันอยู่ตรงที่ว่าทั้งหมดที่เค้าทำมาเนี่ย
00:07:44 → 00:07:47 นะฮะมันไม่ได้บอกเลยว่าคนๆนั้นเค้าใช้
00:07:47 → 00:07:50 พาราซตามอลทำไม
00:07:50 → 00:07:52 เพราะว่าบางทีไอ้สาเหตุที่ทำให้คุณต้อง
00:07:52 → 00:07:55 ใช้พาราซตามอลเนี่ยมันอาจจะเป็นเหตุผลที่
00:07:55 → 00:07:57 ทำให้คุณมีปัญหาทางด้านของระบบประสาทก็
00:07:57 → 00:08:01 ได้เช่นสมมุติคุณเป็นไมเกรนอ่าคุณมีอาการ
00:08:02 → 00:08:05 ปวดเมื่อยตามร่างกายคุณมีปัญหาที่แบบโดน
00:08:05 → 00:08:08 ตีหัวอย่างเงี้ยคุณเจ็บใช่มั้ยคุณทำยังไง
00:08:08 → 00:08:11 อ่ะคุณต้องเออหายาแก้ปวดกินนะครับถูกมั้ย
00:08:11 → 00:08:14 ดังนั้นสาเหตุพวกเนี้ยหรือว่าบางคนอาจจะ
00:08:14 → 00:08:16 เป็นโรคออโติมมูนมีภูมิต่อต้านตัวเองแล้ว
00:08:16 → 00:08:18 มันทำให้ปวดหัวด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
00:08:18 → 00:08:20 หรือมีไข้จากการติดเชื้อไม่สบายเป็นหวัด
00:08:20 → 00:08:22 เป็นอะไรสักอย่างเค้าก็ต้องกินเพื่อให้
00:08:22 → 00:08:26 ร่างกายเนี่ยมันลดไข้แล้วก็หายทรมานนะ
00:08:26 → 00:08:28 ครับเค้าไม่ได้พูดถึงเรื่องสาเหตุตรงนี้
00:08:28 → 00:08:32 ดังนั้นแปลว่าอะไรมันแปลว่าถ้าเกิดคุณไม่
00:08:32 → 00:08:35 เข้าใจถึงว่าเออจริงๆนะมันมีสาเหตุที่ทำ
00:08:35 → 00:08:37 ให้เขาต้องใช้พาราเซตามอลนะคุณน่าจะต้อง
00:08:37 → 00:08:40 ไปมองดูสาเหตุพวกนั้นน่ะมันทำให้เกี่ยว
00:08:40 → 00:08:43 อะไรกับโรคออิหรือไม่อย่างไรนะครับหรือ
00:08:43 → 00:08:46 อาจจะไม่เกี่ยวอะไรเลยก็ได้นะครับนี่คือ
00:08:46 → 00:08:49 ประเด็นที่ 1 ประเด็นที่ 2 นะครับที่เป็น
00:08:49 → 00:08:52 ปัญหาของงานตรงนี้เลยก็คือว่าเค้าเอาทุก
00:08:52 → 00:08:55 คนเนี่ยมารวมกันหมดนะครับโดยที่ไม่ได้สน
00:08:55 → 00:08:58 ใจเลยว่าเอ๊แล้วมันจะมีเรื่องราวของยีน
00:08:58 → 00:09:02 ต่างๆที่มันผิดปกติที่ทำให้เกิดออิึมได้
00:09:02 → 00:09:06 ไหมเพราะอะไรรู้มั้ฮะปัจจุบันเนี้ยสาเหตุ
00:09:06 → 00:09:08 ที่ทำให้เกิดออิึมเนี่ยไม่ได้มีสาเหตุ
00:09:08 → 00:09:11 เดียวแล้วยีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิด
00:09:11 → 00:09:15 ออติึมได้มีมากกว่า 100 ยีน
00:09:15 → 00:09:18 มากกว่า 100 ยีนนะหมายความว่าถ้าเกิดคุณ
00:09:18 → 00:09:20 มีความเป็นปกติของยีนตัวนึงหรือหลายตัว
00:09:20 → 00:09:23 เนี่ยลักษณะของออิที่แสดงออกมามันไม่
00:09:23 → 00:09:27 เหมือนกันครับเออมันไม่เหมือนกันอย่างนี้
00:09:27 → 00:09:30 เลยนะครับดังนั้นการที่บอกว่าเฮ้ยปัญหา
00:09:30 → 00:09:32 มันเกิดจากพาราเซปตามอลอย่างเดียวเป็นไป
00:09:32 → 00:09:34 ไม่ได้แล้วเพราะว่าเรามีงานวิจัยที่ชัด
00:09:34 → 00:09:36 เจนว่าเรารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับีนหลาย
00:09:36 → 00:09:38 ตัวมากนะครับแล้วก็ไม่ใช่ตัวใดตัวหนึ่ง
00:09:38 → 00:09:40 ด้วยเราจะแก้ปัญหาที่อย่างใดอย่างหนึ่ง
00:09:40 → 00:09:42 มันก็ไม่หายคุณจะหยุดกินพาราเซตามอลไปไอ้
00:09:42 → 00:09:44 ยีนพวกเนี้ยมันก็ยังอยู่เหมือนเดิมนั่น
00:09:44 → 00:09:47 แหละนะครับงั้นตรงนี้เนี่ยเป็นสิ่งที่
00:09:47 → 00:09:51 เค้าไม่ได้เอามาเล่านะฮะนอกเหนือจากนี้
00:09:51 → 00:09:54 ปกติเนี่ยเวลาจะแถลงการณ์ในเรื่องสำคัญ
00:09:54 → 00:09:56 เกี่ยวข้องกับสุขภาพเนี่ยจะต้องมีการติด
00:09:56 → 00:09:59 ต่อหน่วยงานที่มันมีความเกี่ยวข้องนะครับ
00:09:59 → 00:10:02 เช่นอ่าเอ่อถ้าแบบสมาคมโลกเด็กอย่างเงี้ย
00:10:02 → 00:10:05 สมาคมโลกในเด็กสมาคมแม่และเด็กอย่างเงี้ย
00:10:06 → 00:10:07 พวกพวกเ่อ American Academy of
00:10:07 → 00:10:09 Pediatrics นะครับที่อเมริกาแล้วก็มีอีก
00:10:10 → 00:10:13 อันนึงคือเ่ออย่างเผมจดมามีตัว Every
00:10:13 → 00:10:16 Kill นะครับ March of D ครับ American
00:10:16 → 00:10:19 College of Staticians and Gcologist
00:10:19 → 00:10:22 พวกเนี้ยเป็นหน่วยงานหลักๆที่จะพิจารณาใน
00:10:22 → 00:10:24 หลักฐานพวกนี้แต่เขาบอกว่า Trump
00:10:24 → 00:10:26 Administration ไม่มีการติดต่อมาหาเขา
00:10:26 → 00:10:29 เลยแม้แต่น้อยนะครับคือเอาไปพูดเองนะครับ
00:10:29 → 00:10:31 พูดโดยแบบอ่าทาง Robert X Kennedy เขา
00:10:31 → 00:10:34 อยากจะทำเรื่องนี้เขาเอามาพูดเลยนะงั้น
00:10:34 → 00:10:38 นี่คือปัญหานะครับทีนี้ถามว่ามีอะไรที่
00:10:38 → 00:10:41 เป็นศาลต้นเรื่องต้องบอกครับว่าอ่าในงาน
00:10:41 → 00:10:45 วิจัยตัวเนี้ยมีคนนึงชื่อว่าแerนะครับแอน
00:10:45 → 00:10:48 Bower เนี่ยคือเค้าออกมาพูดทีหลังเลยนะ
00:10:48 → 00:10:52 บอกว่าเค้าได้ฟังประกาศของทาง White
00:10:52 → 00:10:55 House เรียบร้อยแล้วเขารู้สึกว่างาน
00:10:55 → 00:10:58 วิจัยของเขาเนี่ยอาจจะถูกเอามาแปลผลให้
00:10:58 → 00:10:59 มันผิด
00:10:59 → 00:11:02 เพราะว่าเค้าเนี่ยบอกว่ามันอาจจะมีความ
00:11:02 → 00:11:05 เกี่ยวข้องกันนะแต่มันไม่สามารถบอกว่าพา
00:11:05 → 00:11:08 เป็นสาเหตุของอิึมได้และที่สำคัญคือเขา
00:11:08 → 00:11:10 บอกว่ามันจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมมัน
00:11:10 → 00:11:13 ถึงจะบอกอะไรได้มากกว่านี้นะครับนี่คือ
00:11:13 → 00:11:16 ปัญหาใหญ่เลยนะขนาดที่คนเค้าทำงานเรื่อง
00:11:16 → 00:11:19 เนี้ยังออกมาพูดนะครับแต่ตัวแอน Bower
00:11:19 → 00:11:21 เองก็มีปัญหาเหมือนกันเพราะว่าเค้าเป็น
00:11:21 → 00:11:25 สารตั้งต้นในเรื่องของพาเซตอลนะครับก็คือ
00:11:25 → 00:11:28 เมื่อหลายปีที่แล้วเนี่ยเอ่อเค้ามีการ
00:11:29 → 00:11:32 โพสต์ไว้อันนึงนะครับโพสต์ไว้ที่อ่า
00:11:32 → 00:11:36 เดี๋ยวผมหาก่อนแป๊บนึงนะครับนี่นะฮะโพสต์
00:11:36 → 00:11:39 ไม่ได้ปี 2021 นะครับเขาเป็นคนแต่งงาน
00:11:39 → 00:11:41 เขียนอันนึงเรียกว่า Parisal Use during
00:11:41 → 00:11:44 Pregnancy A call for precautionary
00:11:44 → 00:11:47 action คืองานเรื่องเนี้ยเขาไปรวบรวม
00:11:47 → 00:11:49 หลักฐานต่างๆมาแล้วก็สงสัยว่าเอ้ยprซetam
00:11:49 → 00:11:52 เนี่ยถ้าเราใช้ในการในคนที่เป็นคนตั้ง
00:11:52 → 00:11:54 ครรภ์มันจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆได้แล้วเขา
00:11:54 → 00:11:56 ก็ออกมาเรียกร้องว่าเราต้องระมัดระวัง
00:11:56 → 00:12:00 งั้นคนเนี้ยเค้าเป็นคนที่ตั้งต้นในปี 2021
00:12:00 → 00:12:03 ทีนี้ครับหลังจากนั้นก็มีคนสงสัยว่าเฮ้ย
00:12:03 → 00:12:05 มันจะเป็นไปได้จริงหรือเปล่านะครับก็เลย
00:12:05 → 00:12:08 มีคนออกมาทำงานวิจัยตัวนึงซึ่งอันเนี้ย
00:12:08 → 00:12:10 ต้องบอกว่าน่าเชื่อถือมากเลยนะเพราะว่า
00:12:10 → 00:12:13 มันลงในวารสารทางการแพทย์ที่เรียกว่าจ่า
00:12:13 → 00:12:17 ที่แบบใหญ่สุดๆเลยอันนี้นะครับชื่อ use
00:12:17 → 00:12:19 ก็คือ asetopen ก็คือ paracetamol เนี่ย
00:12:19 → 00:12:21 ครับ used during pregnancy and
00:12:21 → 00:12:23 children's risk of autism ADHD and
00:12:23 → 00:12:25 intellectual disability นะครับงาน
00:12:25 → 00:12:31 วิจัยตัวนี้นะครับคือเค้าอ่าทำขึ้นมาในปี
00:12:31 → 00:12:34 2024 ก็คือ 3 ปีนับตั้งแต่อ่าคุณ
00:12:34 → 00:12:37 แอนบาเวอร์เนี่ยออกมาเรียกร้องนะครับโดย
00:12:37 → 00:12:40 เขารวบรวมตัวอย่างทั้งหมด 2,400,000 คนนะ
00:12:40 → 00:12:46 ครับของสวีเดนในตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2019
00:12:46 → 00:12:49 นะครับแล้วเอาทั้งหมดเนี้ยมาดูว่า
00:12:49 → 00:12:52 พาราเซตามอลอ่ะมันมีผลทำให้เป็นโรคพวก
00:12:52 → 00:12:56 เมื่อกี้หรือไม่นะครับรู้มยว่าเขาเจออะไร
00:12:56 → 00:12:59 เค้าทำการวิเคราะห์ทั้งหมด 4 แบบนะครับ
00:12:59 → 00:13:03 โดย่อ 3 แบบแรกเนี่ยเขามีการปรับเปลี่ยน
00:13:03 → 00:13:06 ตัวแปรนะครับดูซิว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า
00:13:06 → 00:13:09 confounder หรือตัวกวนมากน้อยแค่ไหนเค้า
00:13:09 → 00:13:11 ก็ปรับตัวกวนการปรับตัวกวนนี่ก็หมายความ
00:13:11 → 00:13:14 ว่าจะต้องให้คนที่เขา้าศึกษาเนี่ยมี
00:13:14 → 00:13:17 ลักษณะเหมือนกันทุกประการนะครับยกเว้น
00:13:17 → 00:13:20 อย่างเดียวก็คือเรื่องของพาซตamนะครับ
00:13:20 → 00:13:23 เช่นบางคนอาจจะอ่ามี 2 กลุ่มนะครับกลุ่ม
00:13:24 → 00:13:25 นึงได้พาเซตามอลอีกกลุ่มนึงไม่ได้รับ
00:13:25 → 00:13:28 พาราซตามอลแต่ว่าอ้าไอ้กลุ่มที่ได้รับ
00:13:28 → 00:13:31 พาเซตอลเนี่ยแม่มีคันเป็นพิษอย่างเงี้ย
00:13:31 → 00:13:33 ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้แม่ไม่ได้เป็นอะไรเลย
00:13:33 → 00:13:35 ไอ้นี้มันเทียบกันไม่ได้ครับถูกมยมันต้อง
00:13:35 → 00:13:38 ให้แบบอ่าคันเป็นพิษก็คันเป็นพิษทั้งคู่
00:13:38 → 00:13:39 ไม่มีคันเป็นพิษก็ไม่มีคันเป็นพิษทั้งคู่
00:13:40 → 00:13:41 แล้วต่างกันอย่างเดียวคือพาราเซตามอลนะ
00:13:41 → 00:13:45 ครับเค้าทำการวิเคราะห์ 3 อย่างแรกเนี่ย
00:13:45 → 00:13:47 มีการปรับเปลี่ยนตัวแปรให้มันคล้ายกันมาก
00:13:47 → 00:13:51 ที่สุดเาเจอว่าพาซตamมีความเกี่ยวข้องกับ
00:13:51 → 00:13:56 การเกิดโรคทางด้านของระบบประสาทแต่
00:13:56 → 00:14:00 พอเขาทำงานทดลองอันที่ 4 ซึ่งเป็นการทด
00:14:00 → 00:14:04 ลองปรับปรับตัวแปรนะครับเอ่อซึ่งเรียกว่า
00:14:04 → 00:14:07 เป็น sipling control analysis นะครับ
00:14:07 → 00:14:09 sibling control analysis คืออะไรมัน
00:14:09 → 00:14:14 คือการควบคุมให้ดูเฉพาะคนแต่ละคนที่มี
00:14:14 → 00:14:17 ความเสี่ยงนะครับอ่าเช่นท้องที่ 1 กับ
00:14:17 → 00:14:21 ท้องที่ 2 กินพาเซนตามอลมนะครับถ้ากินอ่ะ
00:14:21 → 00:14:23 เด็ก 2 คนมันออกมามันต้องมีปัญหาเหมือน
00:14:23 → 00:14:24 กันนั่นแหละแต่ถ้ามันไม่กินมันต้องออกมา
00:14:24 → 00:14:27 ไม่มีปัญหาเหมือนกันเทำing control
00:14:27 → 00:14:31 analysis เนี่ยพบว่าอะไรรู้มั้ฮะ Paramal
00:14:31 → 00:14:34 ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอะไรกับโรคออิึม
00:14:34 → 00:14:36 ไม่เกี่ยวข้องกับโรคสมาธิสั้นไม่เกี่ยว
00:14:36 → 00:14:39 ข้องกับปัญญาหรือระบบป่าระบบทางปราสาทเลย
00:14:39 → 00:14:42 สักนิดเดียวแล้วมันแปลว่าอะไรทำไม 3
00:14:42 → 00:14:45 อย่างแรกเจอปัญหาทำไมอย่างนี้ไม่เจอก็
00:14:45 → 00:14:47 เพราะว่า
00:14:47 → 00:14:50 เมื่อไหร่ที่เราควบคุมเรื่องของยีนตัด
00:14:51 → 00:14:53 เรื่องยีนออกไปโดยการทำ sibling analysis
00:14:53 → 00:14:57 เนี่ยมันจะแปลผลได้ตรงที่สุดแสดงว่าสิ่ง
00:14:57 → 00:15:01 ที่แอน Bower เจอในงานวิจัยของเน่าจะเกิด
00:15:01 → 00:15:04 จากตัวกวนซึ่งเค้าเนี่ยไม่ได้ควบคุมเพราะ
00:15:04 → 00:15:06 ว่ามันควบคุมไม่ได้เนื่องจากมันเป็น
00:15:06 → 00:15:09 observational studies เป็นการศึกษาแบบ
00:15:09 → 00:15:13 สังเกตแล้วแถมตารางงานเนี่ยมันมีความหลาก
00:15:13 → 00:15:15 หลายสูงที่เราเเขียนไว้เองว่าเป็น
00:15:15 → 00:15:17 heterogenity สูงมากเาไม่สามารถเอามารวม
00:15:17 → 00:15:20 กันได้ดังนั้นพอเราฟังแค่เนี้ยคนที่อ่าน
00:15:20 → 00:15:24 งานวิจัยเป็นจะรู้เลยว่าอ๋อถ้าเราจะเชื่อ
00:15:24 → 00:15:26 งานอะไรสักงานใช่มั้ยครับมันต้องเชื่องาน
00:15:26 → 00:15:30 ที่มีการควบคุมแบบดีอย่างของที่สวีเดนที่
00:15:30 → 00:15:33 ทำออกมานี่แหละนะครับอันนี้คือตรงไปตรงมา
00:15:33 → 00:15:35 ที่สุดใครไม่แน่ใจสามารถไปอ่านได้ด้วยตัว
00:15:35 → 00:15:37 เองเลยว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นจริงแค่ไหน
00:15:37 → 00:15:40 นะครับพอเรารู้แบบนี้ปุ๊บเนี่ยเราก็
00:15:40 → 00:15:44 สามารถบอกได้เลยครับว่าที่เขาเจอมันไม่
00:15:44 → 00:15:47 เกี่ยวข้องอะไรกับพาราซตamเลยสักนิดเดียว
00:15:47 → 00:15:49 นะครับแล้วงานวิจัยที่ดีกว่าอันเนี้ยยัง
00:15:49 → 00:15:51 ไม่มีอันนี้คือดีที่สุดเท่าที่มีนะครับ
00:15:51 → 00:15:55 มันออกมาปี 2024 ถึงแม้ว่าจะออกมาปีเดียว
00:15:55 → 00:15:57 ก่อนหน้าของงาน Ann Bower ที่ออกมาปี
00:15:57 → 00:16:01 2025 ก็ตามแต่ว่าข้อมูลมันเป๊ะสุดครบสุด
00:16:01 → 00:16:04 แล้วก็มีความเที่ยงตรงสูงที่สุดนะครับนี่
00:16:04 → 00:16:07 คือเรื่องที่ 1 เรื่องที่ 2 เรื่องของ
00:16:07 → 00:16:11 วิตามินB9โคฟarินเออมันคืออะไรนะครับต้อง
00:16:11 → 00:16:13 บอกอย่างี้ก่อนครับว่าทุกคนอาจจะเคยได้
00:16:13 → 00:16:18 ยินคำว่าโฟลิ Acid นะโฟic acid เนี่ยมัน
00:16:18 → 00:16:21 จะมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายจนกลายไปเป็น
00:16:21 → 00:16:23 แบบที่มันออกฤทธิ์ได้ดีเราจะเรียกว่า
00:16:23 → 00:16:27 โฟinic acid นะครับ 2 ตัวเนี้ยก็คือสาร
00:16:27 → 00:16:29 ตัวเดียวกันที่มีการเปลี่ยนแปลงให้มันมี
00:16:29 → 00:16:33 อ่าความอ่าสามารถในการกระทำปฏิกิริยาต่าง
00:16:33 → 00:16:35 ๆในร่างกายได้นะครับจากโฟลิคกินเข้าไปใน
00:16:36 → 00:16:39 ร่างกายต้องเปลี่ยนเป็นโฟินะครับแล้วโฟิ
00:16:39 → 00:16:42 เนี่ยมันจะมีลักษณะอีกอันนึงเราจะเรียก
00:16:42 → 00:16:44 มันว่าinนะครับก็คือตัวเดียวกันนั่นแหละ
00:16:44 → 00:16:47 โฟลินิกับิวคorinเป็นอันเดียวกันแล้วกัน
00:16:47 → 00:16:50 เหล่านี้มันเป็นวิตามิน B ชนิดหนึ่งคือ
00:16:50 → 00:16:53 จัดเป็นวิตามิน B ชนิดที่ 9 หรือวิตามิน
00:16:53 → 00:16:56 B9 นะครับตัวนี้มีความจำเป็นอย่างมากใน
00:16:56 → 00:16:58 การเจริญเติบโตของระบบประสาทดังนั้นเวลา
00:16:58 → 00:17:01 แม่คนไหนที่ตั้งครรภ์เนี่ยก็มักจะได้รับ
00:17:01 → 00:17:06 การให้กินโฟลิคนะครับเพื่อที่จะให้มีการ
00:17:06 → 00:17:08 พัฒนาของระบบประสาทของลูกดีเพื่อป้องกัน
00:17:08 → 00:17:12 ปัญหานึงเรียกว่า spinal beฟidaนะครับ
00:17:12 → 00:17:14 แล้วก็ปัญหาทางระบบประสาทเยอะแยะไปหมดนะ
00:17:14 → 00:17:18 ครับทีนี้ครับมันก็มีงานวิจัยจริงๆนะครับ
00:17:18 → 00:17:23 ไปเจอว่าในเด็กกลุ่มที่มีอtismนะครับเรา
00:17:23 → 00:17:26 เจอว่าบางคนเนี่ยตอบสนองดีต่อการให้
00:17:26 → 00:17:29 ิวควินเข้าไปคือกินเข้าไปแล้วเนี่ย
00:17:29 → 00:17:31 พัฒนาการของเขากับพฤติกรรมที่มันผิดปกติ
00:17:31 → 00:17:35 ของเขามันดีขึ้นแต่มันต้องกินตลอดมันไม่
00:17:35 → 00:17:37 ใช่กินเข้าไปหรือว่าฉีดเข้าไปแล้วมันหาย
00:17:37 → 00:17:40 ทันทีดังนั้นที่เขาพูดว่าเป็นที่ RFK ออก
00:17:41 → 00:17:43 มาบอกว่าตัวเนี้ยจะเป็นยารักษาออิึมไม่
00:17:43 → 00:17:45 จริงครับเพราะถ้ารักษาหมายความว่าฉีดปุ๊บ
00:17:45 → 00:17:48 ต้องหายแล้วมันก็ไม่ได้ทุกคนด้วยที่มัน
00:17:48 → 00:17:54 หายคนที่ได้ตัวนี้เข้าไปแล้วดีขึ้นคือคน
00:17:54 → 00:17:57 ที่มีการขาดโฟลในสมองนะครับเราเรียกเรียก
00:17:57 → 00:18:02 ว่า Fate deficiency นะครับหรือคนที่มี
00:18:02 → 00:18:06 ภูมิต่อต้านตัวรับของ Fate ตัวนึงเราจะ
00:18:06 → 00:18:09 เรียกภาวะนี้ว่า Fate Receptor Alpha
00:18:09 → 00:18:12 Auto Antibodies ซึ่งเราตรวจได้นะตรวจ
00:18:12 → 00:18:15 จากเลือดตรวจได้ถ้าตรวจพบคนกลุ่มนี้นี่
00:18:15 → 00:18:17 แหละถ้าตรวจพบแล้วมีปัญหาทางด้านของการ
00:18:17 → 00:18:21 พัฒนาระบบประสาทนะครับการให้โฟิic acid
00:18:21 → 00:18:23 หรือ
00:18:23 → 00:18:27 ขนาด 2 มลกัต่อกกัต่อวันหรือสูงที่สุดคือ
00:18:27 → 00:18:30 50 มิลกัต่อกต่อวันสามารถทำให้อาการของ
00:18:30 → 00:18:32 เขาดีขึ้นได้แต่มันต้องให้ไปตลอดยังไม่มี
00:18:32 → 00:18:35 ใครบอกว่าต้องให้ไปนานแค่ไหนด้วยนะครับ
00:18:35 → 00:18:38 การให้ขนาดนี้ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยมีงาน
00:18:38 → 00:18:41 วิจัยรองรับแล้วดังนั้นเนี่ยเรื่องของin
00:18:41 → 00:18:44 นะครับต้องบอกว่าสิ่งที่เขาพูดมีทั้งจริง
00:18:44 → 00:18:47 และไม่จริงมันจริงคือสามารถช่วยอtisได้ใน
00:18:47 → 00:18:51 บางกรณีนะครับแล้วก็อาจจะช่วยเรื่องของ
00:18:51 → 00:18:53 สิ่งที่เรียกว่า Neuro Developmental
00:18:53 → 00:18:56 Disorder ในบางกรณีนะครับไม่ใช่ทุกกรณี
00:18:56 → 00:18:59 กรณีมีที่ว่าก็อาจจะต้องเจาะเลือดแล้วก็
00:18:59 → 00:19:02 ไปเจอว่ามีantiบอดี้ต่อ Fate Receptor
00:19:02 → 00:19:05 Alpha นะครับถึงจะได้ผลแต่ถ้าถามว่าเรา
00:19:05 → 00:19:06 ไม่อยากตรวจมันตรวจไม่ได้ไม่รู้จะตรวจยัง
00:19:06 → 00:19:10 ไงจะกินไปก่อนเลยได้มั้ยก็ได้ครับนะผล
00:19:10 → 00:19:12 ข้างเคียงไม่ค่อยมีนะฮะผลข้างเคียงไม่
00:19:12 → 00:19:14 ค่อยมีแต่ส่วนจะได้ผลหรือเปล่าอีกเรื่อง
00:19:14 → 00:19:18 นึงนะครับอ่าฉีดหรือกินอันไหนดีกว่า
00:19:18 → 00:19:21 ปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อกำหนดตรงนี้ครับ
00:19:21 → 00:19:23 ดังนั้นการกินก็ยังเป็นสิ่งที่มีในงาน
00:19:23 → 00:19:26 วิจัยแต่สิ่งที่ต้องทราบอย่างหนึ่งก็คือ
00:19:26 → 00:19:28 งานวิจัยไปเรื่องเนี้ยทั้งหมดนะจำนวนตัว
00:19:28 → 00:19:32 อย่างไม่เยอะหลักสิบหลักสิบเท่านั้นเองนะ
00:19:32 → 00:19:34 ครับดังนั้นยังคงมีปัญหาเยอะอยู่เค้าก็
00:19:34 → 00:19:37 เลยไม่สามารถออกมาบอกแล้วก็แนะนำว่าเฮ้ย
00:19:37 → 00:19:40 คนที่มีเด็กที่เป็นแบบนี้นะให้กินอย่าง
00:19:40 → 00:19:42 นี้แล้วมันจะดีขึ้นเพราะว่ามันการันตีแบบ
00:19:42 → 00:19:46 นั้นไม่ได้นะครับอ่ะมาเรื่องที่ 3 เรื่อง
00:19:46 → 00:19:49 ของอลูมิเนียมนะครับอลูมิเนียมในวัคซีน
00:19:49 → 00:19:52 เฮ้ยจริงๆต้องบอกว่าอลูมิเนียมเนี่ยมัน
00:19:52 → 00:19:55 เป็นพิษต่อระบบประสาทจริงๆนะอย่างที่
00:19:55 → 00:19:57 ศาสราจารย์คนนึงเค้าว่าไว้นะครับที่
00:19:57 → 00:20:01 ประเทศไทยมันเป็นพิษจริงๆแต่มันมีปริมาณ
00:20:01 → 00:20:04 น้อยมากในวัคซีนต่างๆนะครับแล้วมันเอาไป
00:20:04 → 00:20:07 ทำไมในนั้นมันเอาไว้เพื่อเป็นสิ่งที่
00:20:07 → 00:20:09 เรียกว่า advent คือกระตุ้นภูมิต้านทาน
00:20:09 → 00:20:12 ของเราให้ตอบสนองต่อวัคซีนเพื่อให้มันทำ
00:20:12 → 00:20:15 หน้าที่กระตุ้นภูมิต้านทานเราทั้งหมดให้
00:20:15 → 00:20:17 จัดการกับสิ่งแปลปลอมได้ดีขึ้นมันจึงต้อง
00:20:17 → 00:20:20 ใส่ตัวนี้เข้าไปถ้าคุณไม่ใส่เข้าไปคุณฉีด
00:20:20 → 00:20:22 วัคซีนบางอย่างเหมือนฉีดน้ำเปล่าเข้าไป
00:20:22 → 00:20:25 ไม่เกิดอะไรขึ้นนะครับดังนั้นเค้าก็เลยมี
00:20:25 → 00:20:27 การพัฒนาตัวนี้ขึ้นมาถามว่าอลูมิเนียมน่ะ
00:20:27 → 00:20:30 มันมีในวัคซีนอะไรบ้างก็ยกตัวอย่างเช่น
00:20:30 → 00:20:33 อ่าคอติปัทย์ไอกรนวัคซีนป้องกันตับอักเสบ
00:20:33 → 00:20:37 A ตบ B อ่าป้องกันมะเร็งปากมดลูกนะครับ
00:20:37 → 00:20:39 อ่าวัคซีนป้องกันตัวไข้สมองออกอักเสบที่
00:20:40 → 00:20:44 เกิดจากUS influenza type B นะฮะเอิ่ม
00:20:44 → 00:20:47 แล้วก็เรื่องของ Menoccoal vaccine ก็
00:20:47 → 00:20:51 คือเป็นไข้การหลังแอ่นนะฮะก็จะมีตัวนี้
00:20:51 → 00:20:53 อยู่ด้วยอีกตัวนึงที่มีก็เป็นวัคซีนป้อง
00:20:53 → 00:20:55 กันการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือว่าปอด
00:20:55 → 00:20:58 อักเสบนโมคอวัคซีนพวกเนี้ยจะมีอลูมิเนียม
00:20:58 → 00:21:01 ปนในหลายชนิดนะแต่ไม่ใช่ทุกชนิดจะมีหมดนะ
00:21:01 → 00:21:04 ครับและในเมื่อมันมีการเถียงกันซักขนาด
00:21:04 → 00:21:08 นี้มันก็มีคนครับทำงานวิจัยขนาดใหญ่เลยนะ
00:21:08 → 00:21:13 ครับอันนี้เพิ่งจะตีพิมพ์ในอ่าในเดือน
00:21:13 → 00:21:16 กรกฎาคมปี 2025 ที่ผ่านมานี่เองนะครับ
00:21:16 → 00:21:19 เป็นการศึกษาที่ประเทศเดนมาร์กนะครับทำ
00:21:19 → 00:21:24 ตั้งตัวอย่างตั้งแต่ปี 1997 จนถึงปี 2020
00:21:24 → 00:21:27 นะนะครับโดยมีคนเข้าร่วมงานวิจัยเนี่ย
00:21:27 → 00:21:33 1,200,000 คนนะครับ 1,200,000 คนและไม่
00:21:33 → 00:21:37 พบว่าเด็กเหล่าเนี้ยที่ได้อลูมิเนียมจาก
00:21:37 → 00:21:39 การฉีดวัคซีนไปหลายๆเข็มเนี่ยไม่พบว่า
00:21:39 → 00:21:43 เค้ามีโอกาสในการเกิดโรคทางด้านของ
00:21:43 → 00:21:46 พัฒนาการเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใดเขาออกมา
00:21:46 → 00:21:48 บอกชัดเจนแล้วว่าอลูมิเนียมที่อยู่ใน
00:21:48 → 00:21:51 วัคซีนไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค
00:21:51 → 00:21:56 ออติมโรคสมาธิสั้นหรือโรคทางด้านของสติ
00:21:56 → 00:22:00 ปัญญาไม่มีความเกี่ยวข้องของอลูมิเนียม
00:22:00 → 00:22:02 กับการเกิดโรคที่เรียกว่า
00:22:02 → 00:22:05 Neurodevelopmental Disorder สักอย่าง
00:22:05 → 00:22:08 นี่งานวิจัยขนาดใหญ่นะขนาดใหญ่เพิ่งตี
00:22:08 → 00:22:11 พิมพ์แล้วตัวอย่างขนาด 1,200,000 คนเยอะ
00:22:11 → 00:22:14 ขนาดนี้เลยนะครับดังนั้นเนี่ยเท่าที่เรา
00:22:14 → 00:22:18 ฟังมาทั้งหมดนะครับคือผมมองว่าเรื่องนี้
00:22:18 → 00:22:20 จริงๆตอนแรกก็ไม่ได้อยากจะทำเพราะมันไม่
00:22:20 → 00:22:23 ได้น่าสนใจขนาดนั้นในสายตาผมนะแต่ว่า
00:22:23 → 00:22:26 เดี๋ยวเนี้ยเราจะเห็นนะครับว่าทางอเมริกา
00:22:26 → 00:22:29 เราได้คนที่เขาต่อต้านวัคซีนแล้วก็มีความ
00:22:29 → 00:22:32 คิดแปลกๆเนี่ยขึ้นมาอยู่ในระบบกระทรวง
00:22:32 → 00:22:35 สาหสุขนะครับแล้วก็ให้ความรู้ที่ไม่ถูก
00:22:35 → 00:22:38 ต้องออกไปเยอะแยะไปหมดนะครับทีนี้ประเทศ
00:22:38 → 00:22:41 ไทยก็บ้าจี้ก็จะมีกลุ่มที่เขา้าอ่ามักจะ
00:22:41 → 00:22:43 เป็นกลุ่มเดียวกันกลุ่มที่เขา้าต่อต้าน
00:22:44 → 00:22:46 วัคซีนตอนแรกก็ออกบอกว่าตัวแรกตัวเองไม่
00:22:46 → 00:22:49 ได้ต่อต้านวัคซีนนะครับก็เอามาพูดว่าเอ้ย
00:22:49 → 00:22:51 วัคซีนโควิดเนี่ยมันอาจจะยังไม่ได้มีการ
00:22:52 → 00:22:54 ศึกษาเพียงพอโอเคอาจจะพอเข้าใจได้เพราะ
00:22:54 → 00:22:57 มันเป็นของใหม่แต่ต่อมาก็เริ่มมาบอกว่า
00:22:57 → 00:23:00 เฮ้ยวัคซีนตับอักเสบดีมีปัญหาวัคซีนไข้
00:23:00 → 00:23:03 หวัดดใหญ่มีปัญหาวัคซีนเอ่อตอนเนี้คอติ
00:23:03 → 00:23:07 ปัทยัคไอปอลิโอมีปัญหาหมดเลยคือแบบนี้มัน
00:23:07 → 00:23:10 จะพูดไปทุกอันเลยถูกมั้ยคือสุดท้ายก็คือ
00:23:10 → 00:23:12 คนๆเนี้ยกลายเป็นผู้ต่อต้านวัคซีนเต็มตัว
00:23:13 → 00:23:15 แล้วเวลาเอาเรื่องต่างประเทศมาอย่างเอา
00:23:15 → 00:23:18 เรื่องที่ทางทำเนียบข่าวเนี่ยเขาแถลงมานะ
00:23:18 → 00:23:21 ครับเค้าก็ยกงานวิจัยตรงเนี้มาแปลให้หมด
00:23:21 → 00:23:24 ทำให้คนอ่านเนี่ยรู้สึกว่าคนๆเนี้ยน่าจะ
00:23:24 → 00:23:25 ต้องมีความคิดความเข้าใจเกี่ยวข้องกับงาน
00:23:25 → 00:23:27 วิจัยค่อนข้างที่จะสูงนะครับแล้วก็แปลมา
00:23:27 → 00:23:30 ตรงๆแต่ไม่ได้บอกเลยนะครับว่าข้อเสียงาน
00:23:30 → 00:23:33 วิจัยมันอยู่ตรงไหนอย่างที่ผมเคยพูดให้
00:23:33 → 00:23:35 ทุกคนฟังนะครับว่าถ้าเกิดว่าคุณอ่านงาน
00:23:35 → 00:23:39 วิจัยแล้วอ่านจบนะยังไม่รู้ว่าข้อด้อยของ
00:23:39 → 00:23:41 งานวิจัยอยู่ตรงไหนยังไม่รู้ว่าข้อจำกัด
00:23:41 → 00:23:43 มันอยู่ตรงไหนแล้วล่ะก็คุณอ่านงานวิจัย
00:23:43 → 00:23:45 ไม่เป็นครับ
00:23:45 → 00:23:47 กลับไปอ่านใหม่เถอะครับมันจะได้เข้าใจนะ
00:23:47 → 00:23:50 ฮะดังนั้นแล้วเนี่ยถ้าถามผมนะเรื่องนี้
00:23:50 → 00:23:53 คุณไม่ต้องไม่ต้องกลัวอะไรเลยถ้าคุณ
00:23:53 → 00:23:58 จำเป็นจะต้องใช้พาซตamใช้นะครับใช้ได้แต่
00:23:58 → 00:24:00 ผมเห็นด้วยกับคุณแอน Bower ที่เขาเอามา
00:24:00 → 00:24:03 เตือนว่าคุณใช้ได้นะแต่ใช้เมื่อมีข้อบ่ง
00:24:03 → 00:24:07 ชี้เมื่อจำเป็นนะครับไม่จำเป็นต้องต้องไป
00:24:07 → 00:24:10 ทนอย่างTrัมปเนี่ยหรือ RFK เบอกว่าคุณก็
00:24:10 → 00:24:13 ทนไปแล้วกันคือมันไม่จำเป็นต้องทนครับมัน
00:24:13 → 00:24:16 สามารถใช้ได้นะครับแล้วก็หมอคนไทยที่ออก
00:24:16 → 00:24:18 มาบอกเรื่องเนี้ยแล้วก็พูดเหมือนกับ RFK
00:24:18 → 00:24:20 กับทรัมป์เปี๊ยบเลยอันนี้บอกผมบอกเลยครับ
00:24:20 → 00:24:23 ว่าน่าจะอ่านงานวิจัยไม่เป็นนะฮะน่าไม่
00:24:23 → 00:24:25 รู้ว่ายังไงเหมือนกันอ่านไม่เป็นหรือว่า
00:24:25 → 00:24:28 ไปใช้ AI อ่านแล้วเชื่อ AI อันนี้ก็ตอบ
00:24:28 → 00:24:29 ไม่ได้เหมือนกันนะครับอาจจะเป็นอย่างใด
00:24:29 → 00:24:32 อย่างหนึ่งหรือว่าเอ่ออาจจะไปใช้สารบาง
00:24:32 → 00:24:34 อย่างจนกระทั่งมีปัญหาไปนะครับเพราะว่าผม
00:24:34 → 00:24:36 ทราบมาว่าคนนี้เขาใช้กัญชาประจำนะครับอาจ
00:24:36 → 00:24:38 จะมีผลต่อสงบสมองซึ่งผมเพิ่งทำเรื่อง
00:24:38 → 00:24:41 กัญชาไปเองว่ามันไปทำให้สมองส่วนความคิด
00:24:41 → 00:24:44 working memmory เนี่ยเสียไปนะครับแล้ว
00:24:44 → 00:24:46 ทำ MRI มีปัญหาตรงสมองส่วนนั้นพอดีเปี๊ยบ
00:24:46 → 00:24:49 เลยด้วยนะครับงั้นอาจจะเป็นตรงนี้ก็ได้นะ
00:24:49 → 00:24:51 หรืออาจจะเป็นความดื้อส่วนตัวที่ทำให้
00:24:51 → 00:24:54 เค้าคิดอะไรแปลกๆไปก็ได้นะครับดังนั้น
00:24:54 → 00:24:58 แล้วเนี่ยโดยสรุปทั้งหมดนะครับ
00:24:58 → 00:25:00 ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคออิึมใน
00:25:00 → 00:25:02 เด็กไม่เกี่ยวข้องกับโรคสมาธิสั้นไม่
00:25:02 → 00:25:05 เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคทางสิสติปัญญา
00:25:05 → 00:25:09 หรือโรคทางพัฒนาการของระบบประสาทโควิน
00:25:09 → 00:25:14 ถ้าจะใช้มันจะใช้ได้ในบางกรณีที่มีโรค
00:25:14 → 00:25:15 cerebral folet deficiency หรือการขาด
00:25:16 → 00:25:19 flate ในระบบสมองหรือคนที่มีภูมิต้านทาน
00:25:19 → 00:25:23 การต่อต้าน Fate Receptor Alpha ซึ่ง
00:25:23 → 00:25:24 สามารถตรวจได้การเจาะเลือดนะครับแต่ที่
00:25:24 → 00:25:26 ไทยไม่รู้เจาะได้หรือเปล่าที่อเมริกา
00:25:26 → 00:25:28 เนี่ยมีให้ตรวจนะครับแล้วก็อันที่ 3
00:25:28 → 00:25:30 อลูมิเนียมที่อยู่ในวัคซีนปลอดภัยไม่ได้
00:25:30 → 00:25:33 ทำให้เกิดโรคทางระบบประสาทแม้แต่นิดเดียว
00:25:33 → 00:25:35 มีการศึกษาขนาดใหญ่ชัดเจนคุณสามารถไปอ่าน
00:25:35 → 00:25:38 ได้ด้วยตัวเองถ้าคุณอ่านไม่เป็นก็ลอง
00:25:38 → 00:25:41 ปรึกษา AI ให้ค่อยๆอ่านให้ฟังแต่ว่าอ่าน
00:25:41 → 00:25:43 ด้วย AI คุณจะต้องมีปัญญามากเพียงพอที่จะ
00:25:43 → 00:25:46 เข้าใจว่าสิ่งที่ AI มันพูดเนี่ยมันถูก
00:25:46 → 00:25:47 หรือมันผิดนะครับคุณต้องอ่านแล้วพิจารณา
00:25:47 → 00:25:50 เองได้นะครับถึงจะถูกต้องที่สุดแล้วถ้า
00:25:50 → 00:25:54 ไม่แน่ใจเวลาให้ AI มันอ่านเนี่ยคุณจะ
00:25:54 → 00:25:56 ต้องบอกไว้เสมอเลยว่านอกเหนือจากให้มัน
00:25:56 → 00:25:59 สรุปให้คุณแล้วยังต้องให้มันบอกเรื่องของ
00:25:59 → 00:26:04 จุดเด่นจุดด้อยข้อจำกัดรวมทั้งการเอาไป
00:26:04 → 00:26:07 ใช้นะครับถ้ามันบอกข้อจำกัดได้แล้วมันบอก
00:26:07 → 00:26:10 ว่าตรงไหนที่เป็นปัญหาแล้วจะทำให้คุณก็
00:26:10 → 00:26:12 ใส่ใส่เข้าไปอีกอย่างนึงว่าจะทำยังไงให้
00:26:12 → 00:26:15 เป็นการยืนยันสิ่งที่งานวิจัยตัวนี้เจอ
00:26:15 → 00:26:17 หรือจะทำให้งานวิจัยตัวนี้มันดีขึ้นต้อง
00:26:17 → 00:26:19 ทำแบบไหนตัวเนี้ยเป็นสิ่งที่คุณใส่เข้าไป
00:26:19 → 00:26:21 ใน AI ทำให้คุณสามารถเข้าใจมันได้มากขึ้น
00:26:22 → 00:26:24 สำหรับคนที่อ่านไม่เป็นนะครับแต่ถ้าเกิด
00:26:24 → 00:26:26 คุณเป็นระดับแพทย์ที่เก่งๆแล้วเป็นนัก
00:26:26 → 00:26:29 วิทยาศาสตร์ที่เก่งหรือคือหรือว่าเป็นคน
00:26:29 → 00:26:33 ที่อ่าทำงานวิจัยเยอะๆนะครับเป็นระดับผศ.
00:26:33 → 00:26:35 รองศาสราจารย์ศาสราจารย์อะไรไปเยอะๆแล้ว
00:26:35 → 00:26:37 เนี่ยอย่างนี้ผมคิดว่าคุณน่าจะต้องอ่าน
00:26:37 → 00:26:39 เป็นและนะครับคงไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้
00:26:39 → 00:26:42 AI ในการแปลผลอะไรคุณอ่านเองก็คงต้อง
00:26:42 → 00:26:44 เข้าใจแต่ถ้าเกิดว่าเป็นศาสราจารย์ที่ไทย
00:26:44 → 00:26:48 เราออกมาบอกอย่างเมื่อกี้ที่ผมว่านะผมว่า
00:26:48 → 00:26:50 ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคุณมีปัญหาทางสมอง
00:26:50 → 00:26:52 อะไรหรือเปล่าถึงออกมาเป็นแบบนี้นะครับ
00:26:52 → 00:26:55 อ่ะวันนี้ก็เล่าปนกับบ่นให้ฟังนะครับว่า
00:26:55 → 00:26:57 เรื่องจริงมันเป็นยังไงก็จะได้เข้าใจกัน
00:26:57 → 00:26:58 ทั่วหน้านะครับโอเควันนี้เท่านี้นะครับ
00:26:58 → 00:27:02 ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ