00:00:00 → 00:00:06 สมมุตินะครับ มีคน 2 คนคนนึงมีน้ำตาลใน เลือด 20 กับอีกคนนึงที่มีระดับน้ำตาลใน
00:00:06 → 00:00:12 เลือด 350 ลองทายดูนะครับว่า 2 คนนี้ คน ไหนที่จะเสี่ยงมากกว่ากัน ถ้าเรากินน้ำตาล
00:00:12 → 00:00:19 ทุกๆ 150 กิโลแคลอรี่ หรือก็ประมาณน้ำอัดลม กระป๋องนึง ความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานจะ
00:00:19 → 00:00:25 เพิ่มขึ้น 1.1% ต่อปี เซลล์มะเร็งเป็น เซลล์ที่ชอบน้ำตาลครับ มะเร็งจะใช้น้ำตาล
00:00:25 → 00:00:31 มากกว่าเซลล์ปกติทั่วไป สวัสดีครับขอต้อนรับ เข้าสู่หมออ๊อกบอกเล่า ทุกวันนี้คนเราให้
00:00:31 → 00:00:35 ความสำคัญกับสุขภาพกันมากขึ้นกว่าเดิม เยอะเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอาหาร
00:00:35 → 00:00:40 การกินที่ดี การออกกำลังกาย หรือว่าการควบคุม น้ำหนัก เรื่องน้ำตาลก็เหมือนกันครับ
00:00:40 → 00:00:44 หลายคนก็เริ่มที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มี น้ำตาลสูง เพราะได้ยินมาว่าน้ำตาลเป็น
00:00:44 → 00:00:50 ศัตรูของสุขภาพ บางคนก็กังวลขนาดติดอุปกรณ์ วัดระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่องติดตัวไว้เลย
00:00:50 → 00:00:56 และเวลาทานอาหารก็คอยดูว่าน้ำตาลของตัวเอง นี่ขึ้นแค่ไหนแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า
00:00:56 → 00:01:01 น้ำตาลนี้น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ เรา จำเป็นที่จะต้องดูระดับน้ำตาลในเลือด
00:01:01 → 00:01:08 ตลอดเวลาขนาดนั้นไหม หรือว่าเราจะทำยังไงกับ น้ำตาลที่เราต้องเจอ ที่เราต้องกินทุกวันดี
00:01:08 → 00:01:13 คลิปนี้ผมจะเล่าเรื่องน้ำตาลที่มีผลกับ สุขภาพครับ ทั้งในด้านที่เป็นคุณแล้วก็โทษ
00:01:13 → 00:01:18 เมื่อดูจบแล้วทุกท่านน่าจะได้ข้อมูลเพื่อ ใช้ในการตัดสินใจเลือกวิธีหรือว่าแนวทาง
00:01:18 → 00:01:24 ในการจัดสารบริหารน้ำตาลในชีวิตประจำวันได้ ใครมีแนวคิดในการกินหรือไม่กินน้ำตาล
00:01:24 → 00:01:30 ยังไง เม้นต์มาแชร์หรือว่ามาแบ่งปันกันนะครับ เรามาดูมุมดีๆของน้ำตาลกันก่อนครับ
00:01:30 → 00:01:36 น้ำตาลกลูโคสจัดเป็นแหล่งพลังงานพื้นฐาน ของการมีชีวิตเลยทีเดียว เพราะว่าน้ำตาล
00:01:36 → 00:01:41 กลูโคสเนี่ยเป็นแหล่งพลังงานหลักของสมอง ปกติน้ำตาลในเลือดของเราก็จะ
00:01:41 → 00:01:46 ขึ้นๆลงๆขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ แล้วก็ อาหารที่เรากินด้วย การจะวัดน้ำตาลใน
00:01:46 → 00:01:51 เลือดเท่าไหร่ ก็เลยมีการกำหนดเกณฑ์ขึ้น เป็นมาตรฐานที่เข้าใจตรงกัน เกณฑ์นึงที่
00:01:51 → 00:01:57 เราคุ้นเคยกันดีก็คือถ้าเรางดอาหาร 8 ชม แล้วก็มาวัดระดับน้ำตาล ค่าระดับน้ำตาลใน
00:01:57 → 00:02:03 เลือดของคนปกติก็จะอยู่ที่ 70 ถึง 100 ผม จะเล่าว่าการมีน้ำตาลกลูโคสในเลือดจำเป็น
00:02:03 → 00:02:10 แค่ไหน สมมุตินะครับ มีคน 2 คน คนนึงมี น้ำตาลในเลือด 20 กับอีกคนนึงที่มีระดับ
00:02:10 → 00:02:16 น้ำตาลในเลือด 350 ลองทายดูนะครับว่า 2 คน นี้ คนไหนที่จะเสี่ยงมากกว่ากัน คำตอบก็คือ
00:02:16 → 00:02:22 คนที่มีน้ำตาลในเลือด 20 ครับ จะเสี่ยง อันตรายมากกว่ามาก และอาจจะเสียชีวิตภายใน
00:02:22 → 00:02:28 เวลาไม่กี่นาทีหรือภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ครับ ก็เพราะสมอง
00:02:28 → 00:02:33 เป็นอวัยวะที่ต้องพึ่งพาน้ำตาลกลูโคส พอ น้ำตาลกลูโคสในเลือดต่ำมากก็จะมีผลกับ
00:02:33 → 00:02:40 สมองทันที จะทำให้เราชักหมดสติ และถ้ายัง ไม่ได้รับการแก้ไขหัวใจก็จะเต้นผิดจังหวะ
00:02:40 → 00:02:46 และสุดท้ายก็คือหัวใจก็จะหยุดเต้น แล้วก็ เสียชีวิต อย่างคนที่กำลังปรับยาเบาหวาน
00:02:46 → 00:02:52 หมอก็จะให้พกลูกอมที่มีน้ำตาลติดตัว ไว้ตลอดเวลา เพราะว่าช่วงปรับยาเบาหวาน
00:02:52 → 00:02:58 เนี่ยน้ำตาลในเลือดก็อาจจะสวิงขึ้นสวิงลง คือยังไม่นิ่ง ถ้ามีอาการน้ำตาลต่ำเช่น
00:02:58 → 00:03:05 เหงื่อออกหน้ามืดเวียนหัว หรือว่ารู้สึก หิวผิดปกติ ก็ให้อมลูกอมนั้นทันที ภาวะ
00:03:05 → 00:03:10 น้ำตาลต่ำจัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ที่ต้องรีบจัดการ เพราะถ้าเกิดแก้ไขช้า
00:03:10 → 00:03:18 ก็จะทำให้สมองหัวใจและอวัยวอื่นๆเสียหาย โอกาสเสียชีวิตสูงมากครับ ในทางตรงกันข้าม
00:03:18 → 00:03:24 ถ้าน้ำตาลเราสูงเช่น 350 ร่างกายเรา ก็มักจะมีการปรับตัวได้ส่วนนึง และ
00:03:24 → 00:03:30 ส่วนใหญ่หมอก็จะช่วยได้ทัน คนไข้ที่เป็น เบาหวานและมีภาวะน้ำตาลสูง DKA คนกลุ่ม
00:03:30 → 00:03:37 เนี้ยโอกาสรอดชีวิตจะมากกว่าคนที่มีภาวะ น้ำตาลต่ำเยอะเลยครับ นอกจากเรื่องสมองที่
00:03:37 → 00:03:42 เล่าไปแล้ว น้ำตาลก็จำเป็นสำหรับการให้ พลังงานในการทำงานประจำวันด้วยครับ
00:03:42 → 00:03:47 โดยเฉพาะคนที่ทำงานหนักหรือว่าต้องออกกำลังกายหนักๆ หรือว่านักวิ่งมาราธอน
00:03:47 → 00:03:52 คนกลุ่มนี้ร่างกายมักจะเลือกใช้คาร์โบไฮเดรตแล้วก็น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลัก
00:03:52 → 00:03:59 นอกจากนี้แล้ว น้ำตาลกลูโคสเนี่ยยังกระตุ้นให้มีการหลั่งสาร 2 ตัวก็คือซีโรโทนินแล้วก็
00:03:59 → 00:04:04 โดปามีน ซีโรโทนินอาจจะเรียกว่าเป็น ฮอร์โมนแห่งความสุข ความสงบ จะช่วยให้เรา
00:04:04 → 00:04:10 ผ่อนคลาย ส่วนโดปามีนอาจจะเรียกว่าเป็น ฮอร์โมนแห่งความสำเร็จ เราจะรู้สึกว่าเรา
00:04:10 → 00:04:16 พอใจแบบว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เหตุผล นี้แหละครับที่ทำให้บางคนพอรู้สึกเหนื่อยล้า
00:04:16 → 00:04:22 เครียด ก็อยากจะหาอะไรหวานๆกินเพราะว่า พอกินหวานแล้วก็รู้สึกว่ามีความสุข
00:04:22 → 00:04:27 ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะเป็นดาบ 2 คมได้เหมือนกันนะครับ เพราะว่าพอเรากินน้ำตาลมากเกินไป ก็จะ
00:04:27 → 00:04:33 เกิดการดื้อเกิดขึ้น ภาวะนี้คือสมองเราจะ อยากน้ำตาลมากขึ้น ก็จะทำให้เราติดน้ำตาล
00:04:33 → 00:04:39 หรือว่าติดความหวานได้ มีใครที่รู้ตัวว่า ตัวเองติดหวานแล้วบ้าง ก็ลองค่อยๆปรับลด
00:04:39 → 00:04:46 น้ำตาลดูนะครับ ผมได้เล่าถึงมุมดีๆของน้ำ ตาลไปแล้วนะครับ คราวนี้เรามาดูกันว่าน้ำตาล
00:04:46 → 00:04:51 มีผลที่ไม่ดีกับสุขภาพยังไง การกินน้ำตาล มากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็น
00:04:51 → 00:04:58 เบาหวานชนิดที่ 2 ได้นะครับ มีการศึกษาพบ ว่า วันนึงถ้าเรากินน้ำตาลทุกๆ 150 กิโล-
00:04:58 → 00:05:04 แคลอรี่ หรือก็ประมาณน้ำอัดลมกระป๋องนึง ความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานจะเพิ่มขึ้น
00:05:04 → 00:05:09 1.1% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากฐานความเสี่ยง เดิมของเรา ซึ่งฐานความเสี่ยงเดิมแต่ละคน
00:05:09 → 00:05:14 เนี่ยก็ไม่เท่ากัน เราจะรู้ได้ยังไงครับ ว่าฐานความเสี่ยงเดิมของเราเสี่ยงแค่ไหน
00:05:14 → 00:05:19 จริงๆก็มีหลายเว็บไซต์เลยนะครับที่จะ ประเมินให้เราได้ ตรงนี้ผมแนะนำเว็บไซต์
00:05:19 → 00:05:24 นึงของศิริราชซึ่งผมจะใส่ลิงก์ไว้ใน Description ใต้คลิปนี้ สมมุตินะครับถ้า
00:05:24 → 00:05:30 เราไปทำแบบทดสอบดูแล้วได้ 5 คะแนนก็จะคิด เป็นฐานความเสี่ยงของเราก็จะอยู่ที่ร้อยละ
00:05:30 → 00:05:35 10 ใน 12 ปี ทำไมน้ำตาลทำให้เราเสี่ยง เป็นเบาหวานได้ล่ะครับ ก็เพราะพอน้ำตาลใน
00:05:35 → 00:05:40 เลือดของเราสูงขึ้น ตับอ่อนของเราก็ต้อง สร้างอินซูลินขึ้นมาจัดการควบคุมระดับน้ำตาล
00:05:40 → 00:05:46 ในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยการดึง น้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์ พอนานๆไปเซลล์
00:05:46 → 00:05:52 ของเราก็ชักจะดื้อกับอินซูลินทำให้น้ำตาล ในเลือดไม่เข้าเซลล์ แล้วเกิดเป็นภาวะดื้อ
00:05:52 → 00:05:58 อินซูลินหรือว่า insulin resistance เกิด ขึ้น พอเกิดการดื้ออินซูลินตับอ่อนของเรา
00:05:58 → 00:06:03 ก็จะทำงานหนักขึ้นไปอีก ก็คือพยายามจะ เก็บน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ ประกอบกับการที่
00:06:03 → 00:06:08 น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเนี่ยนะครับ ก็เลยทำ ให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า oxidative stress หรือ
00:06:08 → 00:06:14 เกิดพวกอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้ ตับอ่อนของเราแย่ลงไปอีก ตรงจุดนี้นะครับ
00:06:14 → 00:06:20 ถ้าเราแก้ไขได้ทัน ลดน้ำตาลลงกินอาหารที่ มีคาร์โบไฮเดรตต่ำน้ำตาลต่ำ ยิ่งถ้าเรา
00:06:20 → 00:06:26 ร่วมกับการออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนักก็ จะทำให้ภาวะดื้ออินซูลินดีขึ้น ตับอ่อนก็จะ
00:06:26 → 00:06:32 สบายขึ้นจนในที่สุดก็จะสามารถควบคุมระดับ น้ำตาลให้ดีอีกครั้งหนึงได้ แต่ถ้าเราไม่
00:06:32 → 00:06:38 แก้ไขไม่ควบคุมอาหาร ก็อาจจะไปถึงจุดที่ ตับอ่อนเราไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลใน
00:06:38 → 00:06:44 เลือดได้อีกต่อไป พอถึงจุดนี้ก็จะทำให้เรา ต้องกินยาเบาหวานไปตลอดชีวิตหรือว่าต้อง
00:06:44 → 00:06:50 ฉีดอินซูลินตลอดไปครับ น้ำตาลที่มากเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดโรคอ้วนแล้วนะครับ ก็อาจ
00:06:50 → 00:06:56 จะทำให้เกิดไขมันพอกตับซึ่งจะทำให้เกิด ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือว่าเป็นมะเร็งตับได้
00:06:56 → 00:07:02 และน้ำตาลที่มากเกินไปก็ยังจะทำให้ไขมัน ไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เกิดโรค
00:07:02 → 00:07:07 หัวใจและหลอดเลือดตามมาได้ ถ้าพูดถึงเรื่อง ไขมันพอกตับนะครับ น้ำตาลที่น่ากลัวก็คือ
00:07:07 → 00:07:15 น้ำตาลฟรุกโตสหรือพวกน้ำตาลทราย น้ำเชื่อม ข้าวโพด ก็คือพวกน้ำตาลที่ใส่ในของหวาน
00:07:15 → 00:07:19 น้ำอัดลม น้ำหวาน หรือว่าพวกน้ำผลไม้ทั้งหลาย นั่นล่ะครับ น้ำตาลตัวนี้เป็นสาเหตุสำคัญ
00:07:19 → 00:07:24 ของการเกิดไขมันพอกตับ คือถ้าเทียบกับ กลูโคสที่ทำให้ความเสี่ยงของการเกิดไขมัน
00:07:24 → 00:07:29 พอกตับเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 เท่าแล้ว น้ำตาลฟรุกโตสเนี่ยนะครับจะเพิ่มความเสี่ยง
00:07:29 → 00:07:35 การเกิดไขมันพอกตับเป็น 10 เท่าเลย ต่อมามาดูเรื่องน้ำตาลกับมะเร็งกันครับ
00:07:35 → 00:07:40 ตัวน้ำตาลตัวเขาเองไม่ได้เป็นสาเหตุของ การเกิดมะเร็งโดยตรง แต่การกินน้ำตาลมาก
00:07:40 → 00:07:46 เกินไปอาจจะส่งผลทางอ้อมครับ อาจจะทำให้ เกิดมะเร็งได้ การกินน้ำตาลมากเกินไปหรือ
00:07:46 → 00:07:52 ว่ากินเป็นเวลานานๆอาจจะทำให้เกิดโรคอ้วน เกิดการอักเสบเรื้อรัง หรือเกิดการอักเสบ
00:07:52 → 00:07:56 อ่อนๆในร่างกาย หรือทำให้เกิดการดื้อ อินซูลิน ซึ่งพวกนี้แหละครับที่จะเพิ่ม
00:07:56 → 00:08:02 ความเสี่ยงของการเกิดเป็นมะเร็งได้ เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม หรือว่ามะเร็งตับอ่อน
00:08:02 → 00:08:08 แล้วถ้าเราเป็นมะเร็งแล้วล่ะ น้ำตาลจะ มีผลยังไงไหม เซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่ชอบ
00:08:08 → 00:08:14 น้ำตาลครับ มะเร็งจะใช้น้ำตาลมากกว่าเซลล์ ปกติทั่วไป ทำให้เซลล์มะเร็งโตได้เร็วแม้
00:08:14 → 00:08:20 ในภาวะที่ไม่มีออกซิเจนเซลล์มะเร็งก็ยัง จะโตได้ดี มีการทดลองในหนูพบว่าถ้ายิ่ง
00:08:20 → 00:08:25 ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่าไหร่โดยเฉพาะ น้ำตาลฟรุกโตสก็ จะทำให้มะเร็งบางอย่าง
00:08:25 → 00:08:32 เช่นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกโตเร็ว มากขึ้น ในทางตรงข้ามครับถ้าเราควบคุม
00:08:32 → 00:08:38 ระดับน้ำตาลได้ก็จะดีกับการรักษามะเร็ง บางอย่าง เช่นถ้าเราให้หนูกินอาหารที่มี
00:08:38 → 00:08:43 คาร์โบไฮเดรตต่ำก็จะช่วยชะลอการโตของ มะเร็งตับอ่อนได้ ซึ่งที่เล่ามาเป็นการทดลอง
00:08:43 → 00:08:49 ในสัตว์นะครับ ในคนยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ชัดเจนว่าการควบคุมระดับน้ำตาลจะช่วย
00:08:49 → 00:08:55 เรื่องของมะเร็งได้ แต่ถ้าอยากจะคุมก็ต้อง ปรึกษาแพทย์ด้วยนะครับ แล้วก็ไม่ควรถึง
00:08:55 → 00:09:00 ขั้นควบคุมอย่างเข้มงวดเกินไป เพราะว่า จริงๆแล้วมะเร็งเนี่ยก็ไม่ได้ใช้น้ำตาล
00:09:00 → 00:09:06 อย่างเดียวในการเติบโต ถ้าเราคุมน้ำตาล อย่างเข้มงวดมากๆอันที่ 1 ร่างกายของเรา
00:09:06 → 00:09:12 ก็จะหาทางผลิตน้ำตาลออกมาใช้อยู่แล้ว และ อันที่ 2 ก็คือมะเร็งก็จะหาทางใช้พลังงาน
00:09:12 → 00:09:18 อย่างอื่นแทนน้ำตาลอยู่ดี เช่นการใช้กรด อะมิโนหรือว่าการใช้กรดไขมันแทนน้ำตาลครับ
00:09:18 → 00:09:23 ถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า เอายังไงดี เราจะกินน้ำตาลได้มากน้อยแค่ไหน
00:09:23 → 00:09:29 ปริมาณน้ำตาลที่เรากินได้จริงๆก็ขึ้นอยู่กับอาหาร อื่นๆที่ทานด้วยนะครับ ขึ้นอยู่กับกิจกรรม
00:09:29 → 00:09:35 ที่ทำแล้วก็ร่างกายแต่ละคนก็แตกต่างกัน แต่ถ้าตามคำแนะนำก็ตามนี้ครับ WHO แนะนำ
00:09:35 → 00:09:40 ว่าน้ำตาลส่วนเพิ่ม น้ำตาลส่วนเพิ่มคือน้ำตาล ที่เราเติมเข้าไปครับ เช่นเติมเข้าไปใน
00:09:40 → 00:09:46 ชากาแฟ ในเค้ก หรือในขนมหวาน ในน้ำอัดลม ในน้ำหวาน น้ำตาลส่วนเพิ่มเนี่ยไม่ควรเกิน
00:09:46 → 00:09:52 5-10 % ของแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการ ต่อวัน สมมุติถ้าเราคิดที่ 5% นะครับ
00:09:52 → 00:09:58 ผู้ชายก็ไม่ควรมีน้ำตาลส่วนเพิ่มเกินวันละ 31 กรัม หรือประมาณ 7 ช้อน หรือผู้หญิงก็ไม่
00:09:58 → 00:10:05 ควรเกิน 25 กรัม หรือว่า 6 ช้อน แต่ถ้าเอา เกณฑ์ของสมาคมหัวใจอเมริกา ผู้ชายก็ไม่ควร
00:10:05 → 00:10:11 เกินประมาณ 9 ช้อน ส่วนผู้หญิงก็ไม่ควร เกินวันละประมาณ 6 ช้อน ยกตัวอย่างน้ำอัดลม
00:10:11 → 00:10:17 นะครับ น้ำอัดลมกระป๋องนึงก็จะมีน้ำตาล ประมาณ 39 กรัม หรือว่าเค้กชิ้นนึงก็จะมี
00:10:17 → 00:10:22 น้ำตาลประมาณ 34 กรัม ถ้าตามคำแนะนำที่ว่า เนี่ยนะครับ วันนึงก็เลือกได้แค่อย่าง
00:10:22 → 00:10:27 เดียวครับว่าจะกินเค้ก 1 ชิ้นหรือว่าจะ ดื่มน้ำอัลม 1 กระป๋อง แต่อย่าลืมนะครับ
00:10:27 → 00:10:32 คำแนะนำที่ว่าเนี่ยเป็นการประมาณคร่าวๆ ก็ขึ้นอยู่กับอาหารอื่นๆที่กินด้วย แล้วก็
00:10:32 → 00:10:38 ร่างกายแต่ละคนก็ต่างกัน และที่สำคัญก็ไม่ ควรกินประจำหรือว่ากินทุกวันนะครับเพราะ
00:10:38 → 00:10:43 ว่ายังไงก็จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็น เบาหวานได้ สุดท้ายผมขอสรุปรวบยอดอีกที
00:10:43 → 00:10:49 ว่าคนที่สุขภาพที่แตกต่างกันจะบริหาร จัดการเรื่องน้ำตาลยังไงดี ท่านใดที่มี
00:10:49 → 00:10:54 วิธีการจัดการบริหารส่วนตัวยังไง ก็เขียน มาแชร์กันนะครับ สำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรง
00:10:54 → 00:11:00 ปกติทุกอย่าง และไม่มีความเสี่ยงของการ เป็นเบาหวาน ก็ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 10%
00:11:00 → 00:11:06 ของแคลอรี่ต่อวัน หรือดีที่สุดก็ไม่ควร เกินวันละ 6 ช้อน ส่วนคนที่มีความเสี่ยง
00:11:14 → 00:11:20 น้ำตาลในเลือดเกิน 100 แต่ก็ยังน้อยกว่า 126 ในกรณีนี้นะครับ ควรลดน้ำตาลส่วนเพิ่ม
00:11:20 → 00:11:26 ให้น้อยที่สุดแล้วก็ทานอาหารที่มี glycemic index ต่ำ หรือมีดัชนีน้ำตาลต่ำ แล้วก็ควร
00:11:26 → 00:11:32 ทานข้าวไม่ขัดสีเพิ่มให้มากขึ้น ส่วนคนที่ เป็นเบาหวานแล้วก็ควรควบคุมน้ำตาลส่วน
00:11:32 → 00:11:37 เพิ่มอย่างเข้มงวดเลยครับ และควรทานอาหาร พวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่นพวกข้าวกล้อง
00:11:37 → 00:11:43 ข้าวไม่ขัดสี แล้วก็เลือกอาหารที่มี glycemic index ต่ำครับ ก็หวังว่าคลิปนี้
00:11:43 → 00:11:48 จะช่วยให้ทุกท่านรู้จักน้ำตาลมากขึ้น และ เลือกบริหารจัดการน้ำตาลให้เหมาะสมกับ
00:11:48 → 00:11:54 สุขภาพของตัวเองหรือว่าคนใกล้ตัวได้ ถ้าชอบคลิปนี้ก็รบกวนช่วยกดถูกใจ และช่วย
00:11:54 → 00:12:01 แชร์ด้วยนะครับ ใครมีความเห็นหรือข้อเสนอแนะ อะไรก็เมนต์มาเลยนะครับ ขอบคุณที่รับชม
00:12:01 → 00:12:03 พบกันใหม่คลิปหน้า สวัสดีครับ