00:00:00 → 00:00:04 เรื่องของปรอทในยาแดงที่คนกลัวกัน มันเป็นความจริงแค่ไหน ยาแดงได้ชื่อ
00:00:04 → 00:00:10 ว่ายาแดง เพราะว่าตัวยามีสีแดงสวยสดแบบนี้ ครับ สีแดงก็คือสีของตัวยาที่ชื่อว่า
00:00:10 → 00:00:15 เมอร์โบรมิน ถึงแม้ว่ายาเหลืองจะมี ประสิทธิภาพมากกว่ายาแดง แต่ก็ไม่ทันล่ะครับ
00:00:15 → 00:00:21 เพราะว่ามีตัวยาทาแผลน้องใหม่ที่เกิด ขึ้น ที่มีประสิทธิภาพดีกว่ามาก สวัสดีครับ
00:00:21 → 00:00:26 ขอต้อนรับเข้าสู่หมออ๊อกบอกเล่า ยาแดงยาเหลือง เป็นยาทาแผลที่ฮิตมากเลยในสมัยก่อน
00:00:26 → 00:00:31 นะครับ ประมาณสัก 40-60 ปีก่อน เป็นยาที่ ทุกบ้านต้องมี เรียกว่าเป็นยาสามัญประจำ-
00:00:31 → 00:00:38 บ้านในสมัยนั้น ผมเชื่อว่าคนที่ดูคลิปนี้ นะครับต้องเคยทายาแดงยาเหลืองมาแล้ว หรือ
00:00:38 → 00:00:42 ถ้าไม่เคยทาก็อาจจะเคยได้ยินชื่อ หรือไม่ ก็เห็นยา 2 ตัวเนี้ยวางอยู่ในตู้ยาที่บ้าน
00:00:42 → 00:00:49 แต่ทำไมตอนเนี้ยยา 2 ตัวนี้เลิกฮิตไป คลิปนี้ผมจะพามารู้จักยาแดงยาเหลืองนะครับ
00:00:49 → 00:00:56 ว่าเป็นยาอะไร ดียังไง แล้วก็มีเหตุผล อะไรที่ทำให้ยา 2 ตัวนี้ ค่อยๆหายไป
00:00:56 → 00:01:01 เรามารู้จักยาแดงกันก่อนนะครับ ยาแดงได้ ชื่อว่ายาแดง เพราะว่าตัวยามีสีแดงสวยสด
00:01:01 → 00:01:08 แบบนี้ครับ สีแดงก็คือสีของตัวยาที่ ชื่อว่าเมอร์โบรมิน ซึ่งค้นพบโดยคุณหมอท่านนึงที่
00:01:08 → 00:01:14 มหาวิทยาลัย Johns hopkin ในปี 1919 ชื่อ ว่าคุณหมอยัง ซึ่งคุณหมอยังเป็นหมอ
00:01:14 → 00:01:19 ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ และเขาก็เอายาแดง ของเขามาใช้ในการรักษาคนไข้ด้วยครับ
00:01:19 → 00:01:25 ใช้ในการรักษาแผลหลังผ่าตัดของเขา แล้วก็ มีงานวิจัยของหมอยังด้วยนะครับ ตีพิมพ์ใน
00:01:25 → 00:01:32 ปี 1926 เกี่ยวกับการใช้ยาแดงในการ รักษาโรคติดติดเชื้อที่ผิวหนัง และยาแดง
00:01:32 → 00:01:37 ของเขาก็ถูกพัฒนาต่อมาเป็นยี่ห้อที่ คนรู้จักกันทั่วโลกเลยนะครับ คือยี่ห้อที่
00:01:37 → 00:01:43 ชื่อว่าเมอร์คิวโรโครม ยาแดงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ได้ดีแค่ไหน ตัวยาแดงมีฤทธิ์ใน
00:01:43 → 00:01:48 การฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีสำหรับแผลติดเชื้อตื้นๆ แต่สำหรับแผลติดเชื้อที่ลึกลงไปแล้ว
00:01:48 → 00:01:53 หรือว่าเป็นแบคทีเรียประเภท ที่เขาเรียกว่าเป็นแบคทีเรียที่มีสปอร์หรือ
00:01:53 → 00:01:58 แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน ยาแดงพวกเนี้ย ก็จะไม่ค่อยได้ผลละ แต่สำหรับเชื้อรา
00:01:58 → 00:02:03 ยาแดงก็ยังพอได้ผลบ้าง แต่ถ้ากับเชื้อ ไวรัสแล้วล่ะก็ ก็จะเรียกว่ายาแดง
00:02:03 → 00:02:09 ได้ผลน้อยมาก หรือว่าแทบไม่ได้ผล แถมยาแดง ถ้าทาตรงบริเวณที่มีเลือดหรือมีหนอง
00:02:09 → 00:02:14 ก็จะทำให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงไปได้อีก โดยสรุปแล้วก็คือเรื่องของประสิทธิภาพ
00:02:14 → 00:02:20 นะครับ ยาแดงฆ่าเชื้อได้แต่ก็ไม่ค่อยดี เท่าไหร่ แต่ข้อดีมากๆของยาแดงเลยนะครับ
00:02:20 → 00:02:25 ก็คือไม่แสบครับตอนผมเป็นเด็ก ที่บ้าน มีทั้งยาแดงแล้วก็ยาเหลือง
00:02:25 → 00:02:31 พอเป็นแผล ผมเลือกที่จะหายาแดงก่อนเลย เพราะว่าทาแล้วสบาย ไม่แสบ ใครมี-
00:02:31 → 00:02:36 ประสบการณ์ในการใช้ยาแดงยาเหลืองบ้าง เป็นยังไงบ้างครับ เม้นต์มาแชร์กันนะครับ
00:02:36 → 00:02:43 ยาเหลืองคืออะไร คำว่ายาเหลืองในภาษาไทย นะครับอาจจะมีหลายความหมาย แต่ในนี้จะ
00:02:43 → 00:02:49 หมายถึงยาเหลืองที่ใช้ทาแผนะครับ ยาเหลือง มีตัวยาหลักก็คือตัวที่ชื่อว่าอะคริฟาวิน
00:02:49 → 00:02:55 ตัวนี้ถูกค้นพบในปี 1912 ในยุคไล่ๆกับ ช่วงยาแดงนั่นแหละครับ ตัวนี้ถูกค้นพบโดย
00:02:55 → 00:03:00 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน สารตัวนี้นะครับ มีสีส้มเหลืองสดใส พอละลายน้ำแล้วก็เลยได้
00:03:00 → 00:03:05 สารละลายสีเหลืองเป็นสีแบบยาเหลือง นี่แหละครับ ยาเหลืองถูกใช้ในการรักษา
00:03:05 → 00:03:11 แผลในสมัยสงครามโลกนะครับ เพราะว่ามีฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้อโรคได้ ถ้าพูดถึงประสิทธิภาพ
00:03:11 → 00:03:15 ของยาเหลืองนะครับ ยาเหลืองมี ประสิทธิภาพดีกว่ายาแดง ในแง่ของการฆ่าเชื้อ
00:03:15 → 00:03:20 แบคทีเรีย ไวรัส แล้วก็เชื้อราแต่ว่า ดีกว่านิดหน่อย และยาเหลืองก็ยังมีฤทธิ์ใน
00:03:20 → 00:03:26 การฆ่าเชื้อโปรโตซัวด้วย โดยเฉพาะโปรโตซัว ที่ทำให้เกิดโรคเหงาหลับ นอกจากยาเหลืองจะ
00:03:26 → 00:03:31 ใช้ในการรักษาคนแล้วนะครับ ยาเหลืองยังใช้ ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียแล้วก็
00:03:31 → 00:03:36 เชื้อราของปลาอีกด้วย ต่อมาเพื่อความครบถ้วน นะครับ ถ้าพูดถึงยาทาแผลสมัยก่อนแล้ว
00:03:36 → 00:03:42 ล่ะก็ ก็ต้องพูดถึงทิงเจอร์ด้วย ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือว่าเด็กๆสมัยนั้นเรียกสั้นๆว่า
00:03:42 → 00:03:48 ทิงเจอร์ ขอแทรกเป็นความรู้นิดนึงนะครับ คำว่าทิงเจอร์ในทางเภสัชกรรม ก็คือ
00:03:48 → 00:03:53 ตำรับยาที่มีแอลกอฮอล์เอธานอล เป็นส่วนประกอบ เป็นตัวช่วยละลาย เช่น
00:03:53 → 00:04:00 ทิงเจอร์ฝิ่นการบูนคือประกอบด้วย ฝิ่น การบูน แล้วก็แอลกอฮอล์ ส่วนทิงเจอร์ไอโอดีนก็คือ
00:04:00 → 00:04:06 ประกอบด้วยไอโอดีนแล้วก็แอลกอฮอล์นั่นเองครับ สำหรับเรื่องประสิทธิภาพแล้ว ทิงเจอร์
00:04:06 → 00:04:11 ไอโอดีน มีประสิทธิภาพดีกว่ายาแดงยาเหลือง แล้วก็ฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่ก็มีข้อจำกัด
00:04:11 → 00:04:17 อยู่อีกนะครับว่า สำหรับไวรัสประเภท ที่มีเปลือกทิงเจอร์จะจัดการได้ดีเช่นโควิด
00:04:17 → 00:04:22 แต่ไวรัสที่ไม่มีเปลือกจะจัดการไม่ค่อย ได้หรือไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่นไวรัสโนโร
00:04:22 → 00:04:28 ที่มาทุกปี หรือว่าไวรัสโรตาที่ทำให้เด็กเล็ก ท้องเสียรุนแรง ตอนนี้เรารู้จักยาแดง
00:04:28 → 00:04:33 ยาเหลืองแล้วนะครับ ต่อมาผมจะเล่าให้ฟัง ว่าทำไมยาแดงยาเหลือง ค่อยๆหมดความ-
00:04:33 → 00:04:40 นิยมไป ยาแดง ตัวยาคือเมอร์โบรมิน ตัวเนี้เรา- ทราบกันแล้วนะครับ พอมาดูโครงสร้างทางเคมี
00:04:40 → 00:04:45 ของยาแล้ว ก็จะเห็นว่ามีสารปรอทเป็น ส่วนประกอบ ความเป็นสารปรอท เราก็กลัว
00:04:45 → 00:04:51 ว่าพอทายาแดงเยอะๆ หรือว่าทาบ่อยๆไป ก็จะซึมเข้าสู่ร่างกาย พอสะสมเรื่อยๆ
00:04:51 → 00:04:57 ก็จะเป็นพิษกับระบบประสาทบ้าง กับไตหรือ กับอวัยวะภายในอื่นๆ อีกจุดที่น่ากังวลก็
00:04:57 → 00:05:02 คือยาแดง มักใช้ในเด็กครับเพราะว่า เด็กชอบทาแล้วไม่แสบ และเด็กก็มักจะ
00:05:02 → 00:05:07 เป็นแผลใช่มั้ยครับ เป็นแผลบ่อยแล้วบาง ครั้งก็เป็นแผลใหญ่ ต้องทายาเยอะ การทายา-
00:05:07 → 00:05:13 บ่อยกับทายาเยอะ เขาก็กลัวว่าอาจจะทำให้ เกิดผลข้ามเคียง และที่สุดแล้วนะครับในปี
00:05:13 → 00:05:19 1998 fda อเมริกา ก็ถอนยาแดงออกจาก กลุ่มยาที่ปลอดภัย ไปอยู่ในกลุ่มยา
00:05:19 → 00:05:25 ที่ยังขาดหลักฐานความปลอดภัย และก็มีบาง ประเทศนะครับเช่นเยอรมัน สวิสต์ ฝรั่งเศส
00:05:25 → 00:05:31 ก็ค่อยๆถอนตำรับยาตัวนี้ออก คราวนี้เรื่อง ของปรอทในยาแดงที่คนกลัวกัน มันเป็น
00:05:31 → 00:05:37 ความจริงแค่ไหน เรื่องเนี้ยถึงแม้ว่ามัน ยังไม่มีผลในวงกว้างอ่ะนะครับ แต่ก็มีเคส
00:05:37 → 00:05:43 หรือว่ามีรายงานเคสของคนได้รับพิษปรอทจาก ยาแดงอยู่นะครับ เช่นมีรายงานเคสในปี 1971
00:05:43 → 00:05:49 คือ 50 กว่าปีมาแล้ว มีเด็กแรกเกิดคนนึง เกิดมามีความผิดปกติบริเวณสะดือ
00:05:49 → 00:05:56 ที่เขาเรียกว่าออมฟาโลซีล คือความผิดปกติ ของผนังช่องท้องทำให้อวัยวะในช่องท้อง
00:05:56 → 00:06:02 หลุดออกมา มันก็จะใหญ่ๆแบบเนี้ยครับ คราวเนี้ยหมอก็เลยเอายาแดงทาครับ
00:06:02 → 00:06:07 ทาวันละ 2 ครั้งทาติดต่อกันหลายวัน ก็ด้วย- ความเป็นเด็กอ่ะนะครับ น้ำหนักตัวก็น้อย
00:06:07 → 00:06:11 แล้วก็แถมบริเวณที่ทายยาแดง ก็เป็น บริเวณที่กว้างแบบเนี้ย ในที่สุดเด็ก
00:06:11 → 00:06:17 คนนี้ก็เสียชีวิตด้วยพิษจากสารปรอท อีกเคส นึงในปี 2015 นะครับ คือประมาณ 10 ปีมาแล้ว
00:06:17 → 00:06:23 มีผู้หญิงสูงอายุคนนึงครับอายุ 85 ปี แกดื่มยาแดงเข้าไปโดยบังเอิญนะครับ
00:06:23 → 00:06:30 เป็นอุบัติเหตุ ดื่มเข้าไปประมาณ 40 ซีซี คือขวดนึง สรุปก็คือไตแกก็เลยเสียจากพิษ
00:06:30 → 00:06:36 จากสารปรอทนั่นเอง สำหรับเคสเนี้ยนะครับ ไม่ได้ทาแต่ว่ากิน แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพิษ
00:06:36 → 00:06:42 จากปรอทในยาแดงนั้นน่ะจริง และล่าสุดนะ ครับประมาณเดือน 10 ปี 2024
00:06:42 → 00:06:48 ที่ออสเตรเลียมีหมอคนนึงถูกตั้งข้อหาว่าทำยา ทาผิวหนังเอง แล้วก็เอายาตัวเนี้ยไปจ่าย
00:06:48 → 00:06:53 ให้คนไข้ด้วย คือที่ออสเตรเลียหมอจะ ทำยาเองไม่ได้นะครับ และที่เป็นเรื่องก็คือ
00:06:53 → 00:06:59 ยาที่คุณหมอทำ มีส่วนประกอบ ของเมอร์โมรมินด้วย และก็มีเด็กอายุ 12 เดือนคนนึง
00:06:59 → 00:07:04 นะครับได้ยาจากหมอคนนี้ไปรักษา ไปใช้ ทาผิวแล้วตรวจเลือด ปรากฏว่ามีสารปรอท
00:07:04 → 00:07:09 ในเลือดสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า ทั้งหมดที่เล่ามา ก็คือเป็นตัวอย่างให้
00:07:09 → 00:07:15 เห็นน่ะนะครับว่าปรอทในยาแดง อาจจะทำ ให้เกิดผลร้ายได้เหมือนกัน นี่ก็คือเหตุผล
00:07:15 → 00:07:20 หลักเลยนะครับที่ยาแดงค่อยๆเสื่อมความนิยมลง สำหรับยาเหลืองล่ะครับ ทำไมคน
00:07:20 → 00:07:25 ถึงใช้ยาเหลืองน้อยลง ก็เพราะว่ายาเหลือง ทาแล้วสีเหลืองติดผิว หรือว่าเปื้อน
00:07:25 → 00:07:30 เสื้อผ้าได้ง่าย นอกจากนี้แล้ว ตัวยา เหลืองก็อาจจะระคายเคืองแผล แล้วบางคนก็
00:07:30 → 00:07:36 กังวลว่ายาเหลือง อาจจะไปรบกวน DNA ซึ่งในทางทฤษฎีก็คืออาจจะเป็นสาเหตุที่ทำ
00:07:36 → 00:07:42 ให้เกิดมะเร็งได้ ถึงแม้ว่ายาเหลือง จะมีประสิทธิภาพมากกว่ายาแดง แต่ก็ไม่ทัน
00:07:42 → 00:07:46 ล่ะครับ เพราะว่ามีตัวยาทาแผลน้องใหม่ที่ เกิดขึ้นที่มีประสิทธิภาพดีกว่ามากและ
00:07:46 → 00:07:52 ผลข้างเคียงก็น้อยกว่า ก็เลยทำให้ทั้งยาแดง ยาเหลืองหรือแม้แต่ทิงเจอร์ไอโอดีนก็เลย
00:07:52 → 00:08:00 ค่อยๆลดความนิยมลงไป น้องใหม่ที่ว่าก็คือ โพวิโดน-ไอโอดีน นั่นเอง โพวิโดน-ไอโอดีน
00:08:00 → 00:08:06 ถูกคิดค้นในปี 1955 นะครับ และในปีถัดมาก็ ออกเป็นผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่าเบตาดีนที่เรา
00:08:06 → 00:08:11 รู้จักกัน โพวิโดน-ไอโอดีน นะครับตัวยาตัวเนี้ย ฆ่าเชื้อได้กว้างกว่ามาก เรียกว่าฆ่าเชื้อ
00:08:11 → 00:08:17 แบคทีเรียได้ดี ส่วนไวรัสก็จัดการได้หมด แล้วก็ฆ่าเชื้อราได้ดีที่สุดเมื่อเทียบ
00:08:17 → 00:08:22 กับยาแดงแล้วก็ยาเหลือง แถมระคายเคือง น้อยกว่ามาก และถ้าเทียบความเสี่ยง
00:08:22 → 00:08:27 โอกาสเกิดพิษจากสารไอโอดีนแล้ว ก็นับว่า ปลอดภัยกว่าทิงเจอร์ไอโอดีนครับ คราวนี้เรื่อง
00:08:27 → 00:08:33 ของยาทาแผลก็ไม่ได้หยุดที่โพวิโดน-ไอโอดีน นะครับ ปัจจุบันก็มียาทาแผลฆ่าเชื้อตัวใหม่ๆ
00:08:33 → 00:08:39 ออกมาเรื่อยๆ และส่วนใหญ่ก็มีประสิทธิภาพ ดีกว่ายาแดงยาเหลือง แถมผลข้างเคียงก็น้อยกว่าอีก
00:08:39 → 00:08:45 และทั้งหมดครับก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมยาแดงยาเหลือง ค่อยๆหายไป
00:08:45 → 00:08:50 และผมก็เชื่อนะครับว่าอีกไม่นาน ยาแดง ยาเหลือง ก็คงกลายเป็นตำนาน กลายเป็น
00:08:50 → 00:08:57 ความทรงจำไปครับ ขอบคุณที่รับชมนะครับ ถ้าชอบคลิปนี้ รบกวนช่วยกดถูกใจ ถ้าไม่ชอบ
00:08:57 → 00:09:02 หรือว่ามีตรงไหนที่อยากบอก คอมเมนต์มาได้ เลยนะครับ รบกวนช่วยแชร์คลิปนี้ให้กับคน
00:09:02 → 00:09:08 อื่นๆที่เคยใช้ยาแดงยาเหลืองด้วยนะครับ ใครมีคำถามข้อเสนอแนะ เม้นต์มาได้เลยนะครับ
00:09:08 → 00:09:19 พบกันใหม่ในคลิปต่อไป สวัสดีครับ [เพลง]