00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับเรื่องราวของความจำเสื่อม
00:00:02 → 00:00:04 อัลไซเมอร์เนี่ยนะครับก็คงไม่มีใครอยากจะ
00:00:05 → 00:00:08 เป็นนะฮะอยากจะหาวิธีในการป้องกันแล้วถ้า
00:00:08 → 00:00:11 ใครเป็นแล้วก็พยายามจะหาวิธีมาแก้ไขให้
00:00:11 → 00:00:13 มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่มันยังไม่มี
00:00:13 → 00:00:17 วิธีอะไรในโลกนี้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้
00:00:17 → 00:00:20 ยาต่างๆที่เรามีมันก็ทำได้แค่ชะลอความ
00:00:20 → 00:00:22 เสื่อมเท่านั้นแต่สุดท้ายสมองก็จะเสื่อม
00:00:22 → 00:00:27 อยู่ดีแต่ตอนนี้ครับคุณอาจจะได้เห็นวิธี
00:00:27 → 00:00:30 ในการป้องกันและรักษาอัลไซเมอร์แบบได้ผล
00:00:30 → 00:00:34 ในชีวิตนี้แล้วนะครับเพราะมีProfessเซอร
00:00:34 → 00:00:38 ชื่อว่าดร. BR เนี่ยเขาค้นพบว่าสมองคนที่
00:00:38 → 00:00:43 เป็นอัลไซเมอร์นั้นอาจจะขาดลิเธียมครับ
00:00:43 → 00:00:45 และวันนี้ผมจะหยิบยกงานวิจัยของเขามาเล่า
00:00:46 → 00:00:49 ให้ฟังและวิเคราะห์ด้วยว่าเราสามารถที่จะ
00:00:49 → 00:00:52 นำงานวิจัยของเขาไปประยุกต์ใช้อย่างไรใน
00:00:52 → 00:00:55 ชีวิตประจำวันของเราเผื่อว่าเราอาจจะป้อง
00:00:55 → 00:00:58 กันหรือรักษาอัลไซเมอร์ได้นะครับพบกับผม
00:00:58 → 00:01:00 นะครับนายแพทย์ธนีธนียวเป็นอาจารย์แพทย์
00:01:00 → 00:01:02 อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรค
00:01:02 → 00:01:05 ปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:01:05 → 00:01:08 ต้องขออธิบายเรื่องคำว่าความจำเสื่อมกับ
00:01:08 → 00:01:11 อัลไซเมอร์ก่อนนะครับ 2 อย่างนี้ไม่ใช่
00:01:11 → 00:01:13 อย่างเดียวกันนะครับคนละอย่างกันคำว่า
00:01:13 → 00:01:16 ความจำเสื่อมเนี่ยมันเป็นคำรวมๆซึ่งมันมี
00:01:16 → 00:01:19 หลากหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดความจำเสื่อม
00:01:19 → 00:01:22 ได้อัลไซเมอร์เนี่ยเป็นสาเหตุหลักที่คน
00:01:22 → 00:01:25 เราเกิดความจำเสื่อมขึ้นมาแต่มันก็มีเหตุ
00:01:26 → 00:01:28 ผลอื่นเหมือนกันที่ทำให้คนเราอ่ะความจำ
00:01:28 → 00:01:30 เสื่อมยกตัวอย่างเช่นคุณ Bruce Willis
00:01:30 → 00:01:32 ซึ่งเป็นโรคความจำเสื่อมที่เรียกว่า
00:01:32 → 00:01:35 Fronto Temporal Demensia นะครับผมก็
00:01:35 → 00:01:37 เคยวิเคราะหกรณีของเขาไปแล้วถ้าใครที่จำ
00:01:37 → 00:01:39 ไม่ได้ก็ลองย้อนกลับไปหาคลิปนั้นฟังก็ได้
00:01:39 → 00:01:44 นะครับหรือคนที่มีเบาหวานความดันไขมันสูง
00:01:44 → 00:01:47 ที่คุมไม่ได้นะครับสูบบุหรี่ก็อาจจะทำให้
00:01:47 → 00:01:50 มีหลอดเลือดสมองมันตีบบ่อยๆเราเรียกว่า
00:01:50 → 00:01:52 stroke นะครับถ้าเป็นเรื่อยๆก็อาจจะเกิด
00:01:52 → 00:01:55 ความจำเสื่อมที่เราเรียกว่า vascular
00:01:55 → 00:01:57 demensia ก็ได้นะครับดังนั้นเรื่องของ
00:01:57 → 00:02:01 ความจำเสื่อมนั้นมันมีเหตุผลหลายอย่างแต่
00:02:01 → 00:02:03 วันนี้จะขอเน้นที่เรื่องของโรคอัลไซเมอร์
00:02:03 → 00:02:08 นะครับและงานวิจัยที่ทำโดยดร. Bruceer
00:02:08 → 00:02:10 เนี่ยที่ Harvard Medical School ต้อง
00:02:10 → 00:02:13 บอกว่าเป็นงานวิจัยที่เพิ่งเริ่มต้นนะ
00:02:13 → 00:02:16 ครับยังต้องมีการวิเคราะห์อย่างอื่นแล้ว
00:02:16 → 00:02:19 ก็ทำการทดลองเพิ่มเติมอีกนะครับแต่ว่าถือ
00:02:19 → 00:02:23 ว่าเป็นงานวิจัยชิ้นแรกเลยที่มันเปลี่ยน
00:02:23 → 00:02:27 มุมมองของอัลไซเมอร์ไปตลอดกาลนะครับ
00:02:27 → 00:02:29 เรื่องราวมันเริ่มยังไงเรื่องราวมันเริ่ม
00:02:29 → 00:02:32 แบบนี้ครับดร. Bruce yagner เนี่ยเป็นคน
00:02:32 → 00:02:36 แรกในโลกที่ไปเจอว่าสมองของคนที่เป็น
00:02:36 → 00:02:39 อัลไซเมอร์เนี่ยมันมีสารชื่อว่าเบต้า
00:02:39 → 00:02:41 อไมอยด์แล้วเเป็นคนพิสูจน์ได้ว่าไอ้ตัว
00:02:41 → 00:02:44 เนี้ยมันเป็นพิษต่อสมองคนแรกของโลกเลยนะ
00:02:44 → 00:02:48 ครับพอเขาพิสูจน์ได้ปุ๊บทุกๆงานวิจัยนะ
00:02:48 → 00:02:51 ครับมันก็ลงไปตรงนี้หมดเลยว่าเออถ้าเราไป
00:02:51 → 00:02:53 กำจัดสารเบต้าอมรอยด์ออกไปจากสมองเราได้
00:02:53 → 00:02:57 เนี่ยมันน่าจะทำให้คนเหล่านี้ดีขึ้นได้
00:02:57 → 00:03:00 หรืออย่างน้อยก็ชะลอความเสื่อมได้หรือบาง
00:03:00 → 00:03:03 คนเราคิดไปไกลถึงขนาดว่าถ้าเรากำจัดสาร
00:03:03 → 00:03:05 พวกนี้ออกไปจากสมองได้ทั้งหมดมันน่าจะหาย
00:03:05 → 00:03:09 จากอัลไซเมอร์ได้นะก็เลยเกิดการรักษาขึ้น
00:03:09 → 00:03:12 มามากมายแล้วก็มีการรักษาล่าสุดที่จัดการ
00:03:13 → 00:03:16 สารอไมอยด์โดยตรงนะครับเป็นยากลุ่มนึงนะ
00:03:16 → 00:03:19 ครับยาตัวนึงชื่อว่าเลคาอีกตัวนึงชื่อว่า
00:03:19 → 00:03:22 Donanimap 2 ตัวเนี้ยมันเป็นแอนตีบอดี้
00:03:22 → 00:03:25 ที่จะไปจัดการกับตัวของเบต้าอไมอนในสมอง
00:03:25 → 00:03:27 โดยตรง
00:03:27 → 00:03:29 ทีนี้ครับปัญหามันก็เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเรา
00:03:29 → 00:03:32 จะใช้การรักษาแบบนี้ที่ทำลายเบต้าไมลอยใน
00:03:32 → 00:03:36 สมองโดยตรงคนก็ไม่ได้ดีขึ้นครับความจำ
00:03:36 → 00:03:38 เสื่อมมันก็ไม่ได้ดึงเอาความจำที่หายกลับ
00:03:38 → 00:03:42 มาได้แล้วยังไงสุดท้ายมันก็แย่อยู่ดีแถม
00:03:42 → 00:03:45 มันยังใช้ได้แค่กับคนที่เพิ่งเริ่มเป็น
00:03:45 → 00:03:48 แล้วอาการไม่รุนแรงเท่านั้นแล้วมันก็ยัง
00:03:48 → 00:03:51 มีผลข้างเคียงคือถ้าให้ไปในบางคนเนี่ยจะ
00:03:51 → 00:03:53 เกิดสมองอักเสบหรือบางกรณีมีเลือดออกใน
00:03:53 → 00:03:56 สมองทำให้ยาต่อไม่ได้แถมมันก็แพงมากอีก
00:03:56 → 00:04:00 ต่างหากนะครับดังนั้นแล้วเนี่ย
00:04:00 → 00:04:03 คนก็เริ่มมาคิดสิว่าเฮ้ยถ้าเบต้าไมลอยด์
00:04:03 → 00:04:06 เราไปจัดการมันแล้วเนี่ยแล้วความจำเสื่อม
00:04:06 → 00:04:09 มันยังเป็นอยู่มันถอยทำให้ความจำกลับมาดี
00:04:10 → 00:04:12 อย่างเดิมไม่ได้แสดงว่ามันต้องมีเหตุผล
00:04:12 → 00:04:16 อื่นที่เราไม่เข้าใจว่าเฮ้ยทำไมมันถึง
00:04:16 → 00:04:19 เป็นแบบนั้นได้ก็เลยมีคนไปเริ่มสังเกต
00:04:19 → 00:04:23 ครับว่าคนไข้ที่เป็นโรคไบโพลารนะครับอ่า
00:04:24 → 00:04:26 ไบโพลารก็จะมี 2 ขั้วนะครับขั้วนึงก็คือ
00:04:26 → 00:04:29 ซึมเศร้ามันก็ซึมเศร้ามากมากไปเลยอีกขั้ว
00:04:29 → 00:04:32 นึงวันดีคืนดีก็จะอื้อหือเพี้ยนมีกำลัง
00:04:32 → 00:04:35 พลังเยอะนะครับบ้าบอขึ้นมานะครับวุ่นวาย
00:04:35 → 00:04:38 ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายนะครับทำพฤติกรรมอะไร
00:04:38 → 00:04:40 ต่างๆที่เสี่ยงนะครับเค้าก็จะมียาตัว
00:04:40 → 00:04:43 หนึ่งซึ่งที่เราเอาไว้ใช้ในการควบคุม
00:04:43 → 00:04:46 อารมณ์ชื่อว่าลิเธียมคาร์บอเนตเค้าสังเกต
00:04:46 → 00:04:49 ว่าคนที่ใช้ลิเธียมคาร์บอเอตเนี่ยไม่ค่อย
00:04:49 → 00:04:52 เป็นความจำเสื่อมอัลไซเมอร์แฮเออมันเริ่ม
00:04:52 → 00:04:57 จากการสังเกตเค้าก็เลยไปทดลองว่าถ้าให้คน
00:04:57 → 00:04:59 ที่เขากินลิเคมคาร์บอเนตกินเข้าไปเนี่ย
00:04:59 → 00:05:01 มันป้องกันอัลไซเมอร์ได้มั้ยหรือมันรักษา
00:05:01 → 00:05:04 อัลไซเมอร์ได้มั้ยปรากฏว่าผลของมันเนี่ย
00:05:04 → 00:05:06 ไม่แน่ไม่นอนบางคนหายบางคนไม่หายไม่แน่ใจ
00:05:06 → 00:05:10 ด้วยว่าทำไมตอนเนี้ยก็เลยเกิดคำถามขึ้นมา
00:05:10 → 00:05:11 มากมายแล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับลิเธียม
00:05:11 → 00:05:13 หรือเปล่าทำไมบางคนหายบางคนไม่หายหรือว่า
00:05:13 → 00:05:15 เราคิดไปเอง
00:05:15 → 00:05:19 ดร. Bruce Anger เนี่ยนะครับเค้าก็ได้ทำ
00:05:19 → 00:05:22 การติดต่อกับมหาวิทยาลัยซึ่งมันมีคลังของ
00:05:22 → 00:05:24 สมองที่คนเขาบริจาคไว้แล้วสมองพวกเนี้ยมี
00:05:24 → 00:05:27 สมองของคนปกติของคนเป็นอัลไซเมอร์แบบ
00:05:27 → 00:05:30 รุนแรงกับอัลไซเมอร์แบบกลางๆเค้าก็เอา
00:05:30 → 00:05:32 สมองพวกเนี้ยมาวิเคราะห์ว่ามันมีอะไรอยู่
00:05:32 → 00:05:34 ในนั้นกันแน่ที่มันเป็นปัญหาแล้วเขาก็
00:05:34 → 00:05:39 วิเคราะห์ดูโลหะหลายตัวประมาณ 27 ตัวนะ
00:05:39 → 00:05:42 ครับแล้วสิ่งที่เขา้าเจอว่ามันเป็นปัญหา
00:05:42 → 00:05:45 คือในสมองของคนปกติเมื่อเทียบกับสมองของ
00:05:45 → 00:05:47 คนที่ที่เป็นอัลไซเมอร์สมองของคนที่เป็น
00:05:47 → 00:05:50 อัลไซเมอร์นั้นมีปริมาณลิเธียมที่ต่ำกว่า
00:05:50 → 00:05:54 ในบริเวณที่มันเป็นตัวก่อโรคของ
00:05:54 → 00:05:55 อัลไซเมอร์นั่นก็คือส่วนที่เรียกว่า
00:05:55 → 00:05:58 preฟontal cortex ตรงนั้นเนี่ยเราเจอว่า
00:05:58 → 00:06:01 ในอัลไซเมอร์นะครับมีลิเธียมต่ำแต่ในคน
00:06:01 → 00:06:05 ปกติมีลิเธียมปกติเค้าเลยสงสัยว่าเฮ้ย
00:06:05 → 00:06:08 เกี่ยวอะไรกับลิเธียมหรือเปล่าพอเค้า
00:06:08 → 00:06:11 สงสัยแบบนี้นะครับเค้าก็เลยทำการทดลองต่อ
00:06:11 → 00:06:15 ก็คือไปลองดูซิว่าไอ้ลิเธียมเนี่ยมันมัน
00:06:15 → 00:06:19 กระจายตัวยังไงในสมองปรากฏว่าถ้าเค้าวัด
00:06:19 → 00:06:22 ปริมาณของลิเธียมนะครับแล้วเทียบกับเบต้า
00:06:22 → 00:06:24 อไมอยด์ซึ่งมันเป็นตัวทำลายสมองในคน
00:06:24 → 00:06:26 อัลไซเมอร์เนี่ยลิเธียมเนี่ยมันไปกองอยู่
00:06:26 → 00:06:29 ในตรงเบต้าอไมอยด์หมดเลยส่วนที่เหลือของ
00:06:30 → 00:06:32 สมองที่มันไม่มีเบต้าอมรอยด์เนี่ยมันเลย
00:06:32 → 00:06:35 ขาดลิเธียมมันเหมือนกับคุณให้ลิเธียมเข้า
00:06:35 → 00:06:37 ไปมันโดนดึงเอาไปทิ้งในหลุมที่ไม่เบต้า
00:06:37 → 00:06:40 ไมรอยดส่วนที่เหลือมันก็เลยไม่มีลิเธียม
00:06:40 → 00:06:43 ใช้นะครับหรือบางคนอาจจะบอกว่าเออลิเธียม
00:06:43 → 00:06:45 มันเราเคยได้ยินเรื่องแบตเตอรี่ลิเธียม
00:06:45 → 00:06:47 เนอะอ่าคราวนี้เราก็อาจจะแบบเอ้ยสมองมัน
00:06:47 → 00:06:48 ขาดแบตเตอรี่หรือเปล่าแล้วเราคิดอย่าง
00:06:48 → 00:06:51 งั้นก็ได้สนุกๆดีนะครับแต่นั่นก็คือสิ่ง
00:06:51 → 00:06:54 ที่ดร.เมื่อ Bruce Hangner เค้าเจอว่า
00:06:54 → 00:06:56 เฮ้ยลิเธียมมันไปกองรวมกันอยู่ที่เดียว
00:06:56 → 00:06:59 อ่ะแล้วไอ้ที่อื่นมันไม่มีนะครับแล้วส่วน
00:06:59 → 00:07:03 ที่เหลือนะฮะเช่นส่วนอ่าเซรบลั่มนะครับ
00:07:03 → 00:07:06 หรือสมองน้อยส่วนหลังซึ่งปกติอัลไซเมอร์
00:07:06 → 00:07:07 ไม่ค่อยมีปัญหาตรงนั้นนะเค้าก็เจอว่า
00:07:08 → 00:07:10 ลิเธียมตรงนั้นมันปกติซะด้วยมันก็เลยเจอ
00:07:10 → 00:07:13 ว่าสมองส่วนที่ไม่มีปัญหาด้านอัลไซเมอร์
00:07:13 → 00:07:15 ลิเธียมปกติสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
00:07:15 → 00:07:18 อัลไซเมอร์ลิเธียมต่ำและในสมองส่วนที่
00:07:18 → 00:07:20 เป็นเกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์เนี่ยลิเธียม
00:07:20 → 00:07:23 ที่มันต่ำมันมันไม่ได้ไปไหนมากเท่าไหร่
00:07:23 → 00:07:26 มันไปกองรวมกันอยู่ที่ตรงเบต้าอไมอยด์ตรง
00:07:26 → 00:07:29 นั้นเค้าเลยรู้สึกรู้สึกว่าอย่างเงี้ย
00:07:29 → 00:07:31 ลิเธียมมันต้องมีอะไรซักอย่างที่เกี่ยว
00:07:31 → 00:07:34 ข้องกับสมองคนพวกนี้แน่นอนดังนั้นเขาเลย
00:07:34 → 00:07:37 ทดลองในหนูต่อครับเขาเอาหนูมาเป็นหนูที่
00:07:38 → 00:07:39 ตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้มันเกิดโรค
00:07:39 → 00:07:41 อัลไซเมอร์ได้ง่ายขึ้นคือมันจะเกิดเบต้า
00:07:41 → 00:07:44 อไมอยด์ในสมองได้ง่ายขึ้นแล้วก็ก็เอาหนู
00:07:44 → 00:07:48 พวกเนี้ยมาเลี้ยงด้วยอาหารที่มีลิเธียม
00:07:48 → 00:07:51 ต่ำนะครับเมื่อเทียบกับหนูที่ใช้อาหาร
00:07:51 → 00:07:54 ลิเธียมปกติดูซิมันเกิดอะไรขึ้นปรากฏว่า
00:07:54 → 00:07:57 หนูพวกเนี้ยที่ได้อาหารที่มีลิเธียมต่ำ
00:07:57 → 00:08:01 เนี่ยมันเกิดเบต้าอมานอยด์ในสมองเร็วมาก
00:08:01 → 00:08:03 แล้วมันก็ความจำเสื่อมเร็วกว่าหนูที่กิน
00:08:03 → 00:08:06 ลิเธียมปกติด้วยดังนั้นตรงนี้จึงเป็นสิ่ง
00:08:06 → 00:08:10 ที่เขาบอกว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องแล้วแฮะนะ
00:08:10 → 00:08:12 ครับอ้อความจำในหนูเนี่ยเค้าทดสอบกันยัง
00:08:12 → 00:08:15 ไงรู้มั้ยครับเค้าทดสอบโดยการให้มันเดิน
00:08:15 → 00:08:17 เข้าไปในข่าววงกดแล้วก็วัดดูซิว่าวิธีใน
00:08:17 → 00:08:20 การตัดสินใจของมันเนี่ยดีแค่ไหนในการไปหา
00:08:20 → 00:08:22 อาหารที่มันอยู่ในนั้นเนี่ยมันทำยังไงนะ
00:08:22 → 00:08:24 ครับก็เจอว่าความจำของหนูที่ได้ลิเธียม
00:08:24 → 00:08:27 ต่ำแล้วต้องเป็นหนูที่จะเกิดอัลไซเมอร์
00:08:27 → 00:08:31 เนี่ยมันมีปัญหานะครับมันมีปัญหาถ้าเกิด
00:08:31 → 00:08:33 ได้ลิเธียมต่ำเข้าไปนะ
00:08:33 → 00:08:35 แล้วไม่ใช่แค่นั้นครับเค้าก็มีการทดลอง
00:08:35 → 00:08:38 กับหนูที่มันแก่ตามธรรมชาติก็ปรากฏว่าไอ้
00:08:39 → 00:08:41 ถ้าให้ลิเธียมต่ำเข้าไปเนี่ยมันก็มีปัญหา
00:08:41 → 00:08:44 สมองเหมือนกันแต่เขาก็ไม่หยุดแค่นั้นครับ
00:08:44 → 00:08:45 เค้ารู้สึกว่าลิเธียมเนี่ยมันต้องเป็น
00:08:45 → 00:08:48 อะไรสักอย่างแล้วแหละอย่างี้ถ้าเราให้
00:08:48 → 00:08:51 ลิเธียมเข้าไปล่ะจะเกิดอะไรขึ้นเหมือน
00:08:51 → 00:08:53 เดิมครับไอ้หนูกลุ่มนี้มาเป็นหนูกลุ่มที่
00:08:53 → 00:08:55 มีโอกาสเกิดอัลไซเมอร์สูงเค้าก็ให้
00:08:55 → 00:08:58 ลิเธียมเข้าไปเลยดูซิเกิดอะไรขึ้นหนูไม่
00:08:58 → 00:09:00 เป็นอัลไซเมอร์แฮ
00:09:00 → 00:09:03 เออคราวเนี่ยเริ่มรู้สึกว่าอย่างี้
00:09:03 → 00:09:05 ลิเธียมใช้ในการป้องกันได้สิอ่ะแล้วถ้า
00:09:05 → 00:09:07 เกิดหนูเป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมาแล้วแล้วเกิด
00:09:07 → 00:09:09 อะไรขึ้นก็หนูกลุ่มเดิมครับเลี้ยงจน
00:09:09 → 00:09:11 กระทั่งมันเป็นอัลไซเมอร์มีเบต้าอไมอน
00:09:11 → 00:09:14 อยู่ในสมองแล้วให้ลิเธียมเข้าไป
00:09:14 → 00:09:18 อัลไซเมอร์ดีขึ้นความจำดีขึ้นเฮ้ยอย่างี้
00:09:18 → 00:09:22 ลิเธียมมันต้องสุดยอดแน่ๆเลยนะครับแต่ก็
00:09:22 → 00:09:25 ยังติดปัญหาอยู่อันนึงอ่ะแล้วทำไมงาน
00:09:25 → 00:09:27 วิจัยก่อนหน้าเนี้ยทำไมบางกรณีให้ลิเธียม
00:09:27 → 00:09:30 คาร์บอเนตเข้าไปแล้วแล้วมันถึงบางคนดีบาง
00:09:30 → 00:09:33 คนไม่ดีเออทำไมอ่ะ
00:09:33 → 00:09:36 เค้าก็ไปเจอครับว่าลิเธียมเนี่ยมันมีหลาย
00:09:36 → 00:09:39 ฟอร์มนะครับแล้วตัวลิเธียมเองเนี่ยมันจะ
00:09:39 → 00:09:42 ต้องไปเกาะกับเกลือนะครับก็จะมีเกลือแบบ
00:09:42 → 00:09:44 อินทรีย์กับเกลืออนินทรีย์นะครับเกลือ
00:09:44 → 00:09:46 อินทรีย์ก็คือออแกanic salt กับเกลือ
00:09:46 → 00:09:49 อินทรีย์คือ inorganic salt นะครับถ้า
00:09:49 → 00:09:53 มันไปเกาะกับพวกพวก inorganic salt มัน
00:09:53 → 00:09:56 จะโดนเบต้าอไมอยดดูดไปได้ง่ายมากแต่ถ้า
00:09:56 → 00:09:59 มันไปเกาะกับเกลือที่มันเป็นออแกanic salt
00:09:59 → 00:10:02 โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าโอโรทateคือ
00:10:02 → 00:10:05 ลิเธียมโอโรทateตัวเนี้ยมันจะไม่โดนดูดไป
00:10:05 → 00:10:08 โดยเบต้าอไมอยด์
00:10:08 → 00:10:11 แปลว่าอะไรแปลว่าถ้าเกิดคุณคิดว่าเหตุผล
00:10:11 → 00:10:16 ที่ลิเธียมในสมองต่ำเนี่ยมันเพราะว่าโดน
00:10:16 → 00:10:20 ส่วนเบต้าไมรอยด์ดูดไปหมดเลยถ้าเราให้
00:10:20 → 00:10:24 ลิเธียมที่มันโดนเบต้าไมรอนดูดไม่ได้มัน
00:10:24 → 00:10:29 ก็จะไปเสริมตรงที่สมองมันขาดได้ดีที่สุด
00:10:29 → 00:10:32 แล้วลิเธียมที่เขา้าเอามาใช้ในการทดลอง
00:10:32 → 00:10:35 นี้ก็คือลิธเียมโอโรทateครับอ่าเป็นการ
00:10:35 → 00:10:38 ค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เลยคราวนี้เลยว่ารู้
00:10:38 → 00:10:41 เลยว่าเฮ้ยอันเนี้ยสามารถอธิบายว่าในงาน
00:10:41 → 00:10:44 วิจัยก่อนๆเนี้ยทำไมมันถึงไม่ได้ผลก็น่า
00:10:44 → 00:10:47 จะเพราะเหตุผลแบบนี้นี่แหละนะครับอ่าเค้า
00:10:47 → 00:10:50 มีการอธิบายด้วยว่าทำไมบางอย่างมันถึงไป
00:10:50 → 00:10:52 เกาะอยู่ในเบต้าไมลอยด์นะเกี่ยวข้องกับ
00:10:52 → 00:10:54 เรื่องของแรงดึงดูดข้างในบางอย่างนะครับ
00:10:54 → 00:10:57 ซึ่งถ้าใครสนใจก็ไปอ่านได้เลยนะครับวัน
00:10:57 → 00:10:59 นี้เนี่ยคือผมจะทิ้งลิงก์งานวิจัยนี้ไป
00:10:59 → 00:11:00 ให้อ่านด้วยนะครับแต่ว่าจะไม่ได้เอามา
00:11:01 → 00:11:03 โชว์เพราะว่ามันค่อนข้างจะยากแต่ถ้าใคร
00:11:03 → 00:11:05 เรียนสายวิทยมาเนี่ยผมแนะนำว่าควรไปอ่าน
00:11:05 → 00:11:07 เพราะว่าเขียนดีมากๆเลยทีเดียวนะครับแล้ว
00:11:07 → 00:11:10 ก็วิธีระเบียบการวิจัยเนี่ยรัดกุมทุก
00:11:10 → 00:11:12 อย่างไม่มีตรงไหนที่มันผิดพลาดอะไรเลยอ่ะ
00:11:12 → 00:11:14 มันสามารถทำให้เราเอาไปต่อยอดได้ง่ายนะ
00:11:14 → 00:11:18 ครับอ่านี่คือสิ่งที่เขาเจอแต่เขาก็ไม่
00:11:18 → 00:11:20 หยุดเพียงแค่นี้ครับเขาอยากรู้ว่าไอ้
00:11:20 → 00:11:23 ลิเธียมเนี่ยมันไปมีปัญหายังไงเวลาที่มัน
00:11:23 → 00:11:26 ต่ำในสมองแล้วมันเกิดอะไรขึ้นนะครับเขาก็
00:11:26 → 00:11:29 เจอว่าอย่างี้ครับเวลาคนเราเนี่ยเกิด
00:11:29 → 00:11:32 เบต้าอไมอยดขึ้นมามันดูดลิเธียมจากบริเวณ
00:11:32 → 00:11:35 ข้างๆเข้าไปไว้ที่ตัวมันทำให้สมองข้างๆ
00:11:35 → 00:11:38 เนี่ยขาดลิเธียมแล้วเวลาขาดลิเธียมเนี่ย
00:11:38 → 00:11:40 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเซลล์ประสาทมันจะ
00:11:40 → 00:11:43 เริ่มตายนะครับปลอกประสาทที่เราเรียกว่า
00:11:43 → 00:11:47 ไมอิชีสเนี่ยปกติมันควรจะหนานี่มันก็บาง
00:11:47 → 00:11:50 ลงแล้วตรงปลายของเส้นประสาทเนี่ยมันจะมี
00:11:50 → 00:11:52 ส่วนที่ต้องไปเชื่อมกับเส้นประสาทอื่นมัน
00:11:52 → 00:11:54 จะต้องคุยกับเซลล์อื่นใช่มั้ยครับตรง
00:11:54 → 00:11:55 บริเวณที่มันคุยกันเนี่ยสมมติอันนี้เส้น
00:11:56 → 00:11:57 ที่ 1 นี่เส้นที่ 2 มันจะมาอยู่ใกล้ๆกัน
00:11:57 → 00:11:59 ไอ้ตรงช่องว่างเนี้ยจะเรียกว่า synaps นะ
00:11:59 → 00:12:02 ครับ Synaps หรือช่องที่มันเคยคุยกัน
00:12:02 → 00:12:06 เนี่ยมันเสียนะครับมันหายไปในคนที่
00:12:06 → 00:12:09 ลิเธียมน้อยในสมองตรงนี้หายไปแถมยังมี
00:12:09 → 00:12:11 เซลล์ตัวนึงชื่อว่าไมโครเกียซึ่งเป็น
00:12:11 → 00:12:13 เซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งในสมองมีหน้า
00:12:13 → 00:12:15 ที่ในการกำจัดเบต้าไมลอยด์ด้วยเซลล์ตัว
00:12:15 → 00:12:18 เนี้ยมันก็ทำงานไม่ได้กลายเป็นสร้างสาร
00:12:18 → 00:12:21 อักเสบขึ้นมาอีกทำให้สมองเกิดการอักเสบ
00:12:21 → 00:12:24 เพิ่มมากขึ้นนะครับแล้วการขาดลิเธียม
00:12:24 → 00:12:27 เนี่ยนะครับมันยังไปทำให้เอนไซม์ตัวนึงทำ
00:12:27 → 00:12:30 งานมากขึ้นเอนไซมนั้นก็คือ GSK3 เบต้านะ
00:12:30 → 00:12:33 ครับซึ่งตัว GSK3 เบต้าเนี่ยมันจะเป็นตัว
00:12:33 → 00:12:35 ที่ไปเติมหมู่ฟอสเฟตให้กับโปรตีนตัวนึง
00:12:35 → 00:12:38 เรียกว่า tall โปรตีนแล้วไปเติมหมู่
00:12:38 → 00:12:40 ฟอสเฟตให้กับทโปรตีนมันจะเกิดสิ่งที่
00:12:40 → 00:12:42 เรียกว่า Neurofibrary Tangle นะครับ
00:12:42 → 00:12:44 ซึ่งไอ้เรื่องพวกเนี้ยผมเคยพูดไว้หมดแล้ว
00:12:44 → 00:12:46 นะครับแล้วเคยวาดรูปให้ดูแล้วในคลิป
00:12:46 → 00:12:48 เรื่องเกี่ยวข้องกับสมองเสื่อมลองย้อน
00:12:48 → 00:12:50 กลับไปฟังดูก็ได้อันนั้นผมวาดรูปให้ดูะนะ
00:12:50 → 00:12:53 ครับเวลาเกิด neury rectangle เนี่ยมัน
00:12:53 → 00:12:55 จะทำให้เซลล์เนี่ยตายได้ง่ายขึ้นดังนั้น
00:12:55 → 00:12:57 เนี่ยเขาค้าสามารถอธิบายได้เลยว่าการที่
00:12:57 → 00:13:00 ไม่มีลิเธียมอ่ะมันเกิดการอักเสบในสมอง
00:13:00 → 00:13:03 เกิดเซลล์ตายเกิดปลอกประสาทเสียนะครับ
00:13:03 → 00:13:06 เกิดเซลล์คุยกันไม่ได้ส่งสารส่งสัญญาณ
00:13:06 → 00:13:08 ประสาทกันไม่ได้นะครับเาสามารถอธิบายได้
00:13:08 → 00:13:11 เลยว่ากลไกของลิเธียมวน่ะมันไม่มีมันเกิด
00:13:11 → 00:13:14 อะไรขึ้นได้นะครับแล้วยิ่งขาดลิเธียมมัน
00:13:14 → 00:13:17 จะยิ่งทำให้เบต้าอไมอยด์เพิ่มจำนวนเร็ว
00:13:17 → 00:13:20 ขึ้นมากนะครับเพิ่มเร็วขึ้นมากก็ยิ่งดูด
00:13:20 → 00:13:24 เอาลิเธียมเข้าไปใช้มากยิ่งขาดยิ่งขาดก็
00:13:24 → 00:13:26 ยิ่งไม่สามารถทำลายตัวเบต้าไมรอยด์ได้มัน
00:13:26 → 00:13:29 ก็วนเป็นวงจรอุบาทแบบนี้นะครับทำให้สุด
00:13:29 → 00:13:32 ท้ายแล้วเนี่ยคนพวกนี้ก็มีปัญหาด้านของ
00:13:32 → 00:13:36 อัลไซเมอร์นะครับนี่คือเป็นสิ่งที่เขาคิด
00:13:36 → 00:13:39 นะครับแล้วก็ยาที่เราให้เข้าไปอ่ะคือ
00:13:39 → 00:13:43 ลิเธียมโอโรทateสามารถที่จะแก้ไขคนหนูที่
00:13:43 → 00:13:45 เป็นอัลไซเมอร์ให้มันย้อนกลับมาได้แล้วก็
00:13:45 → 00:13:48 สามารถที่จะเอาไปใช้ในการป้องกันได้และ
00:13:48 → 00:13:54 ที่สำคัญครับโดสที่ใช้มันต่ำมากโดยปกติ
00:13:54 → 00:13:56 ถ้าเป็นลิเธียมคาร์บอเนตน่ะโดสที่เราใช้
00:13:56 → 00:13:59 เนี่ยมันมักจะเกิดเรื่องขึ้นมานะครับเค้า
00:13:59 → 00:14:01 ก็คิดอยู่แล้วครับเพราะลิเธียมเป็นของที่
00:14:01 → 00:14:05 มีพิษถ้าเราได้เยอะเกินไปจะเกิดพิษกับ
00:14:05 → 00:14:09 ร่างกายมหาศาลดังนั้นแล้วเนี่ยข้อจำกัด
00:14:09 → 00:14:11 ของการเอาลิเธียมมาใช้ในการรักษาโรคพวก
00:14:12 → 00:14:15 นี้ก็คือพิษจากลิเธียม
00:14:15 → 00:14:19 นะครับถ้าเป็นลิเธียมที่คุณกินเข้าไปแล้ว
00:14:19 → 00:14:21 ส่วนใหญ่ของมันไปกองอยู่ในเบต้าอไมอยด์
00:14:21 → 00:14:24 มันก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้มันก็ไม่สามารถ
00:14:24 → 00:14:27 ไปเติมลิเธียมให้กับบริเวณอื่นของสมองได้
00:14:27 → 00:14:30 ดังนั้นกรณีแบบนั้นเนี่ยนะครับก็มีทาง
00:14:30 → 00:14:31 เดียวคือต้องให้เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆซึ่ง
00:14:31 → 00:14:35 ให้เพิ่มเข้าไปก็เกิดพิษขึ้นมากับร่างกาย
00:14:35 → 00:14:38 ดร. Bruce Anger เนี่ยเขาก็เลยค้นพบไอ้
00:14:38 → 00:14:40 ตัวเนี้ยลิเธียมโอโรเทส
00:14:40 → 00:14:44 ที่ใช้ในการเพิ่มปริมาณลิเธียมในสมองส่วน
00:14:44 → 00:14:46 ที่มันจำเป็นต้องใช้นะครับคือต่ำกว่า
00:14:46 → 00:14:50 ลิเธียมคาร์บอเนตประมาณ 1,000 เท่าซึ่ง
00:14:50 → 00:14:54 ถือว่าดีมากและที่สำคัญคือถ้าเจาะเลือด
00:14:54 → 00:14:58 หนูที่ใช้ลิเธียมโอโรเทตนะครับลิเธียมใน
00:14:58 → 00:15:01 เลือดไม่เปลี่ยนแปลง
00:15:01 → 00:15:05 แปลว่าอะไรตรงเนี้ยสำคัญมากเพราะว่าคนที่
00:15:05 → 00:15:07 เค้าใช้ลิเธียมเนี่ยจะต้องมีการเจาะเลือด
00:15:07 → 00:15:09 ตรวจระดับลิเธียมเสมอถ้าลิเธียมมันสูง
00:15:09 → 00:15:12 เกินไปนิดเดียวมันเป็นพิษทันทีเลยนะครับ
00:15:12 → 00:15:15 แล้วค่าความเป็นพิษเนี่ยมันมันนิดเดียว
00:15:15 → 00:15:18 เองด้วยถ้าให้แบบเกินไปนิดนึงอ่ะมันระดับ
00:15:18 → 00:15:20 ในเลือดสูงเกินะนะครับแล้วก็เป็นพิษแต่
00:15:20 → 00:15:24 ลิเธียมโอโรเทสต่ำมากแล้วไม่เปลี่ยนแปลง
00:15:24 → 00:15:28 ระดับลิเธียมในเลือดแสดงว่าแบบเนี้ยมัน
00:15:28 → 00:15:30 เจ๋งมากเพราะถ้าเอาไปใช้ในคนเราอาจจะได้
00:15:30 → 00:15:33 เห็นวิธีการรักษาที่มันไม่มีพิษแล้วก็
00:15:33 → 00:15:35 ป้องกันอัลไซเมอร์รวมทั้งอาจจะทำให้
00:15:35 → 00:15:39 อัลไซเมอร์มันดีขึ้นได้ด้วย
00:15:40 → 00:15:43 นี่นะครับตรงเนี้ยสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง
00:15:43 → 00:15:47 ก็คือว่าเรายังไม่มีลิเธียมโอโรเทตให้กิน
00:15:47 → 00:15:51 เป็นยายาที่เรามีใช้ในปัจจุบันมีแค่
00:15:51 → 00:15:54 ลิเธียมคาร์บอเนตเท่านั้นและลิเธียม
00:15:54 → 00:15:56 คาร์บอเนตที่เราใช้เราใช้ในการควบคุม
00:15:56 → 00:15:59 อารมณ์นะครับเช่นในคนไข้ที่เป็นไบโพลาร
00:15:59 → 00:16:01 แบบนี้เป็นต้นนะครับหรือโรคอื่นๆเราก็อาจ
00:16:01 → 00:16:03 จะมีการใช้ลิเธียมบ้างแต่ลิเธียม
00:16:03 → 00:16:08 คาร์บอเนตเนี่ยมันมีพิษมหาศาลนะครับคือ
00:16:08 → 00:16:12 ลิเธียมต้องบอกว่ามันเป็นโลหะชนิดหนึ่งนะ
00:16:12 → 00:16:14 ครับมีเลขอะตอม 3 ซึ่งถือว่าเป็นโลหะที่
00:16:14 → 00:16:17 ความหนาแน่นต่ำที่สุดเบาที่สุดแล้วมันก็
00:16:17 → 00:16:20 เป็นโลหะที่มันไวต่อปฏิกิริยามากเลยคือ
00:16:20 → 00:16:22 ถ้าคุณเอาออกมาแล้วโดนน้ำมันก็ระเบิดเลย
00:16:22 → 00:16:25 อ่ะนะครับก็เลยต้องต้องเก็บไว้ในสุนญากาศ
00:16:25 → 00:16:27 หรือไว้ในตัวน้ำมันเพื่อไม่ให้มันเจอ
00:16:27 → 00:16:30 อากาศนะครับตัวลิเธียมคาร์บอเนตที่เราใช้
00:16:30 → 00:16:33 กันเนี่ยพิษของมันนะครับถ้าคุณกินเยอะ
00:16:33 → 00:16:36 เกินไปมีพิษต่อระบบประสาททันทีก็จะมี
00:16:36 → 00:16:39 อาการมือสั่นนะครับมีอาการง่วงเหงาเหานอน
00:16:39 → 00:16:42 นะครับไม่ได้สติแล้วบางคนชักแล้วก็ตายได้
00:16:42 → 00:16:45 ด้วยนะครับนี่คือถ้าเป็นพิษต่อระบบประสาท
00:16:45 → 00:16:47 เป็นพิษต่อระบบหัวใจทำให้การเต้นของหัวใจ
00:16:47 → 00:16:51 เนี่ยมันผิดปกตินะฮะแล้วก็เป็นพิษต่อทาง
00:16:51 → 00:16:54 เดินอาหารคลื่นไส้อาเจียนปวดท้องท้องเสีย
00:16:54 → 00:16:57 ได้เป็นพิษต่อระบบไตใช้นานๆไตเสื่อมได้
00:16:57 → 00:17:00 และในบางคนนะครับมันจะมีโรคอันนึงเรียก
00:17:00 → 00:17:03 ว่าเป็นเบาจืดที่เกิดจากไตหรือภาษาทางการ
00:17:03 → 00:17:05 แพทย์เรียกว่า nefr Enic diabetes
00:17:05 → 00:17:07 incipadus นะครับจะทำให้เราปัสสาวะเนี่ย
00:17:07 → 00:17:09 เจือจางมากแล้วปัสสาวะออกมาตลอดเวลาแล้ว
00:17:09 → 00:17:12 เราก็หิวน้ำมากนะครับพวกเนี้ยวิธีรักษา
00:17:12 → 00:17:17 คือคุณต้องหยุดตัวยาลิเธียมไปนะครับแถม
00:17:17 → 00:17:20 มันยังไปกดการทำงานของต่อมไทรรอยด์เราอีก
00:17:21 → 00:17:23 นะครับทำให้เกิดภาวะไฮโปรไทรอยด์หรือ
00:17:23 → 00:17:26 ไทรอยด์ทำงานต่ำแต่ในบางกรณีครับมันก็ทำ
00:17:26 → 00:17:29 ให้เกิดไทรอยด์อักเสบเราเรียกว่าเป็น
00:17:29 → 00:17:32 painless thyroidtis นะครับคือไทรรย์
00:17:32 → 00:17:34 อักเสบแบบไม่เจ็บแต่ไอ้ไทรรอยด์อักเสบแบบ
00:17:34 → 00:17:37 ไม่เจ็บเนี่ยแทนที่มันจะเป็นไทรรอยดต่ำ
00:17:37 → 00:17:40 ใช่ป่ะมันเป็นไทรรอยด์สูงไทรรอยด์เป็นพิษ
00:17:40 → 00:17:44 อ่ะพูดง่ายๆไม่พอครับมันยังทำให้ต่อมข้าง
00:17:44 → 00:17:46 ๆของไทรรอยด์ที่เรียกว่าเรียกว่าต่อม
00:17:46 → 00:17:49 พาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไปก็เป็นภาวะที่
00:17:49 → 00:17:52 เรียกว่าHyperอร Parathyroidism พวกเนี้ย
00:17:52 → 00:17:55 จะทำให้แคลเซียมสูงในร่างกายแคลเซียมสูง
00:17:55 → 00:17:58 เนี่ยมันไม่ได้ดีนะครับคอสูงมากเนี่ยก็จะ
00:17:58 → 00:18:01 มีอาการปัสสาวะบ่อยหิวน้ำบ่อยท้องผูกนะ
00:18:01 → 00:18:05 ครับมีสติสติสัมมยะที่เปลี่ยนแปลงไปนะ
00:18:05 → 00:18:07 ครับแล้วก็ไตวายได้ด้วยเหมือนกันมีอาการ
00:18:07 → 00:18:09 ปวดกระดูกอะไรพวกนี้ตามมาดังนั้นเนี่ยจะ
00:18:09 → 00:18:14 เห็นว่าลิเธียมเนี่ยพิษมันเยอะมากเลยดัง
00:18:14 → 00:18:16 นั้นถ้าใครฟังตรงนี้จบเนี่ยไม่ต้องไปหา
00:18:16 → 00:18:19 ลิเธียมมากินนะครับเพราะลิเธียมที่เรามี
00:18:19 → 00:18:21 อยู่ในปัจจุบันคือลิเธียมคาร์บอเนตเท่า
00:18:21 → 00:18:24 นั้นแล้วก็มันโดสที่ต้องกินเข้าไปอ่ะมัน
00:18:24 → 00:18:27 เป็นพิษง่ายมากเราต้องมีการควบคุมจาก
00:18:27 → 00:18:29 แพทย์แบบชัดเจนมากเราถึงจะให้ลิเธียม
00:18:29 → 00:18:32 คาร์บอเนตเพื่อการรักษาโรคอะไรซะอย่างแต่
00:18:32 → 00:18:35 ตอนนี้ทุกคนก็คงสงสัยว่าอ้าแล้วงั้นผมจะ
00:18:35 → 00:18:39 เล่ามาทำไงในเมื่อมันยังใช้ไม่ได้ 2 เหตุ
00:18:39 → 00:18:42 ผลครับเหตุผลที่ 1
00:18:42 → 00:18:47 คุณได้เป็นคนที่ได้เห็นวิวัฒนาการของการ
00:18:47 → 00:18:50 ของความเข้าใจอัลไซเมอร์แบบพลิกโลกอ่ะใน
00:18:50 → 00:18:54 วันนี้นะครับแล้วก็คุณมีโอกาสจะได้เห็นใน
00:18:54 → 00:18:59 อนาคตคือการทดลองต่อไปคือจะต้องทดลองในคน
00:18:59 → 00:19:02 เพื่อที่จะดูว่ามันมีผลอะไรหรือไม่นะครับ
00:19:02 → 00:19:05 และการทดลองในคนเนี่ยมันไม่ใช่ระยะสั้นๆ
00:19:05 → 00:19:08 เพราะคุณจะต้องรู้ว่าการเกิดอัลไซเมอร์
00:19:08 → 00:19:12 มันไม่ได้เกิดขึ้นในเวลา 1 ปีถูกมั้ยมัน
00:19:12 → 00:19:14 จะใช้เวลานานกว่าจะเกิดหรือคนที่เกิดไป
00:19:14 → 00:19:17 แล้วเนี่ยคุณจะกินเข้าไปแล้วย้อนเวลากลับ
00:19:17 → 00:19:20 มาทำให้สมองดีขึ้นมันต้องใช้เวลาหลาย
00:19:20 → 00:19:23 เดือนหลายปีดังนั้นงานวิจัยเช่นเนี้ยมัน
00:19:23 → 00:19:25 ไม่ได้เสร็จง่ายๆในเวลาปีเดียวแน่นอนมัน
00:19:25 → 00:19:27 จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเลยทีเดียวแถมมัน
00:19:27 → 00:19:30 จะต้องทำการทดลองแบบนี้กับคนที่เป็นคน
00:19:30 → 00:19:32 ปกติเสียก่อนเพื่อดูว่ามันมีปัญหาอะไร
00:19:32 → 00:19:34 มั้ยหาโดสที่เหมาะสมต่างๆแล้วค่อยเอาไป
00:19:34 → 00:19:37 ลองกับคนที่เขา้ามีโรคหรือเพื่อจะต้อง
00:19:37 → 00:19:40 รักษาแล้วก็คนที่จะต้องป้องกันนะครับนี่
00:19:40 → 00:19:42 คือประเด็นที่ 1 ที่เราต้องเข้าใจก่อนนะ
00:19:42 → 00:19:46 ประเด็นที่ 2 มันมีอาหารที่มีลิเธียมแฮะ
00:19:46 → 00:19:50 ถ้าในเมื่อคุณกินลิเธียมคาร์บอเนตไม่ได้
00:19:50 → 00:19:52 เพราะว่ามันเป็นพิษมันสูงเกินไปใช่มั้ย
00:19:52 → 00:19:56 เมื่อกี้ที่ผมบอกอ่ะงานทดลองของดร.BRูer
00:19:56 → 00:19:58 เนี่ยคือเขาเอาหนูมากลุ่มนึงถูกป่ะหนู
00:19:58 → 00:20:00 กลุ่มเนี้ยมีความเสี่ยงกับการเกิด
00:20:00 → 00:20:03 อัลไซเมอร์อยู่แล้วและเขาให้กินอาหารที่
00:20:03 → 00:20:07 มีลิเธียมต่ำอ่าแล้วมันเกิดเรื่องขึ้นมา
00:20:07 → 00:20:10 ทีนี้ถ้าเราไปกินอาหารที่มีลิเธียมสูงอ่ะ
00:20:10 → 00:20:14 แต่ไม่ได้สูงขึ้นขนาดแบบยาคือลิเธียมมาก
00:20:14 → 00:20:17 กว่าปกติถ้ามาจากอาหารเนี่ยส่วนใหญ่ไม่
00:20:17 → 00:20:19 อันตรายครับสามารถกินได้แล้วอาหารอะไรที่
00:20:19 → 00:20:25 มีลิเธียมสูงอ่าผักใบเขียวครับผักใบเขียว
00:20:25 → 00:20:29 มะเขือเทศถั่วอาหารทะเลบางอย่างพวกเนี้ย
00:20:29 → 00:20:33 ลิเธียมสูงดังนั้นแปลว่าถ้าเกิดคุณกินผัก
00:20:33 → 00:20:36 เข้าไปเยอะๆคุณกินมะเขือเทศคุณอาจจะ
00:20:36 → 00:20:39 สามารถเพิ่มลิเธียมเข้าไปในร่างกายคุณทำ
00:20:39 → 00:20:42 ให้สมองมันไม่เสื่อมก็ได้นะครับอาจจะนะ
00:20:42 → 00:20:44 ตรงนี้ยังไม่ยืนยันแต่อย่างน้อยการกินผัก
00:20:44 → 00:20:46 เนี่ยไม่ใช่ของเสียมันเป็นของดีซะอีกต่าง
00:20:46 → 00:20:49 หากมันเป็นการเติมพวกไฟเบอร์เข้าไปในร่าง
00:20:49 → 00:20:52 กายเรามีมีสารที่เป็นสิ่งที่ดีๆอยู่ในผัก
00:20:52 → 00:20:55 ผลไม้ในมะเขือเทศด้วยก็ยังมีเซียนมีสิ่ง
00:20:55 → 00:20:59 ที่ดีๆอยู่ในนั้นนะครับต่อไปในอนาคตเนี่ย
00:20:59 → 00:21:04 เค้าบอกว่าอาจจะมีการตรวจเลือดเพื่อดูว่า
00:21:04 → 00:21:06 ระดับลิเธียมมันมีปัญหาอะไรในคนพวกนี้
00:21:06 → 00:21:10 มั้ยเพราะว่าต้องอย่าลืมในคนที่เขาทดลอง
00:21:10 → 00:21:13 เค้าได้มาแต่สมองของคนที่เขาบริจาคแล้ว
00:21:13 → 00:21:15 เค้าไม่มีเลือดของคนเหล่านั้นเหลืออยู่
00:21:15 → 00:21:17 ที่จะบอกได้ว่าเอ้ยลิเธียมของคนพวกนั้น
00:21:17 → 00:21:19 มันต่ำหรือเปล่าเตอบไม่ได้เหมือนกันนะ
00:21:19 → 00:21:23 ครับส่วนในหนูเนี่ยที่เค้าทดลองมาผมก็ไม่
00:21:23 → 00:21:25 เห็นว่าเค้าเขียนเอ่อเอ่อระดับลิเธียม
00:21:25 → 00:21:27 ก่อนรักษาหรืออะไรนะแต่รู้ว่าลิเธียมหลัง
00:21:27 → 00:21:31 จากรักษาด้วยไอ้ตัวลิเธียมโอโรเทลิเธียม
00:21:31 → 00:21:33 มันปกตินะครับแสดงว่าก่อนหน้านั้นไม่รู้
00:21:33 → 00:21:35 ว่าต่ำหรือมันมันไม่ต่ำนะอันนี้ไม่แน่ใจ
00:21:35 → 00:21:37 เหมือนกันผมอาจจะอ่านอ่านไม่เจอตรงนั้นก็
00:21:37 → 00:21:39 ได้ถ้าใครอ่านแล้วเจอก็มาบอกผมด้วยแล้ว
00:21:39 → 00:21:42 กันนะครับว่ามันเป็นยังไงนะฮะงั้นต่อไป
00:21:42 → 00:21:44 อาจจะมีการตรวจสแกนหาว่าเฮ้ยลิเธียมมัน
00:21:44 → 00:21:48 ต่ำหรือไม่ต่ำนะครับแล้วสำหรับผมนะผมมอง
00:21:48 → 00:21:51 ว่าถ้างานวิจัยตัวเนี้ยในอนาคตมันได้ผล
00:21:51 → 00:21:53 แล้วใช้ลิเธียมโอโรทateที่ขนาดต่ำมากมาก
00:21:54 → 00:21:56 กว่าระดับที่เราใช้ในการรักษาโรคไบโพลาร
00:21:56 → 00:21:58 อะไรพวกเนี้ย 1000 เท่าอ่ะมันแปลว่ามัน
00:21:59 → 00:22:01 ค่อนข้างปลอดภัยแล้วถ้าทำการทดลองในคน
00:22:01 → 00:22:03 เพื่อให้กินของพวกเนี้ยแล้วระดับลิเธียม
00:22:03 → 00:22:05 ในเลือดไม่เปลี่ยนแปลงแต่มันไปเพิ่ม
00:22:05 → 00:22:09 ลิเธียมในสมองนะอันเนี้ยผมว่ามัน
00:22:09 → 00:22:11 ดีแน่ๆแล้วแหละแล้วแบบนั้นน่ะน่าจะมาใช้
00:22:11 → 00:22:15 ในการป้องกันหรือรักษาได้เลยนะครับแต่คง
00:22:15 → 00:22:17 จะต้องมีการทำการทดลองให้ชัดเจนก่อนเพราะ
00:22:17 → 00:22:21 ว่าผมเข้าใจเลยว่ามันจะต้องมีคนที่เขา้า
00:22:21 → 00:22:24 ทำอาหารเสริมแล้วก็รู้สึกว่าไอ้เนี่ยฉัน
00:22:24 → 00:22:26 มาก่อนการฉันต้องทำลิเธียมโอโทateออกมา
00:22:26 → 00:22:29 เพื่อที่จะให้คนไปลองกินดูก่อนก็ได้ตรง
00:22:29 → 00:22:32 นี้คุณต้องระวังให้ดีนะครับเพราะเรายัง
00:22:32 → 00:22:35 ไม่รู้ว่าปริมาณแค่ไหนของลิเธียมโอโลเทต
00:22:35 → 00:22:38 ที่มันโอเคแล้วไม่เกิดเรื่องที่คุณรู้
00:22:38 → 00:22:42 เนี่ยคือในหนูนี่ไม่ใช่ในหนูนี่คือคนดัง
00:22:42 → 00:22:44 นั้นถ้าคุณไปเจออาหารเสริมที่ผมจะทำนาย
00:22:44 → 00:22:47 ว่ามันอาจจะมีคนไปดูแล้วทำออกมาเป็นอาหาร
00:22:47 → 00:22:50 เสริมให้คุณกินก่อนระวังให้ดีระวังให้ดี
00:22:50 → 00:22:53 อาจจะมีลิเธียมที่เยอะเกินไปนะครับแล้ว
00:22:53 → 00:22:55 ถ้าแบบนั้นใครมาถามผมผมจะบอกว่าอย่ากินจน
00:22:56 → 00:22:59 กว่าจะมีการทำวิจัยออกมาชัดเจนว่าระดับ
00:22:59 → 00:23:02 ลิเธียมโอโรเทตateที่กินมันควรจะเป็นเท่า
00:23:02 → 00:23:05 ไหร่หรือมันมีลิเธียมฟอร์มอื่นมยที่มันดี
00:23:05 → 00:23:07 กว่าลิเธียมโอโรทate
00:23:07 → 00:23:10 ดร.ตัวอย่างเนินเนี่ยเค้าทดสอบลิธมหลาย
00:23:10 → 00:23:12 ฟอร์มมากเป็น 10 ฟอร์มเลยจนเขาเจอว่าไอ้
00:23:12 → 00:23:14 ตัวโอโรทateเนี่ยมันเป็นตัวที่ดีที่สุดใน
00:23:14 → 00:23:17 ปัจจุบันที่มันไม่โดนอ่าตัวเบต้าอไมอยด์
00:23:17 → 00:23:20 ดูดเข้าไปนะครับตรงเนี้ยก็ต้องเข้าใจไว้
00:23:20 → 00:23:23 ด้วยถ้ามีใครเอาอาหารเสริมออกมาอย่าไปกิน
00:23:23 → 00:23:26 นะครับถ้ากินแล้วเกิดเรื่องขึ้นมาตัวคุณ
00:23:26 → 00:23:29 เองคุณเป็นคนตัดสินใจเองนะครับอ่ะวันนี้
00:23:29 → 00:23:31 ผมก็หวังว่าเรื่องราวในวันนี้นะครับจะทำ
00:23:31 → 00:23:34 ให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เป็นการค้นพบใหม่
00:23:35 → 00:23:37 ล่าสุดจริงๆนะครับมันตีพิมพ์ในวารสาร
00:23:37 → 00:23:39 เเจอร์ซึ่งถือว่าเป็นวารสารที่เรียกว่าดี
00:23:39 → 00:23:41 ที่สุดในโลกแล้วปัจจุบันเนี้ยนะฮะอ่อแล้ว
00:23:41 → 00:23:46 ก็ผมเคยพูดเรื่องของการตรวจระดับของเบต้า
00:23:46 → 00:23:49 มาลอยในเลือดนะครับเป็นเป็นการตรวจตัว
00:23:49 → 00:23:51 ใหม่ที่สามารถใช้ในการสกรีนได้ว่าคนๆ
00:23:51 → 00:23:53 เนี้ยน่าจะเป็นอัลไซเมอร์ได้ในอนาคตหรือ
00:23:53 → 00:23:55 เปล่าซึ่งถ้าใครจำไม่ได้ก็ลองไปฟังคลิป
00:23:55 → 00:23:57 นั้นดูนะครับผมก็ได้เล่าไปแล้วนะฮะ
00:23:57 → 00:24:00 อันเนี้ยเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าอีกไม่นาน
00:24:00 → 00:24:02 น่ะเราอาจจะมีวิธีการสกรีนหาโรค
00:24:02 → 00:24:05 อัลไซเมอร์ได้ด้วยการตรวจเลือดแล้วเราก็
00:24:05 → 00:24:08 อาจจะเห็นการป้องกันด้วยการใช้กลุ่มยา
00:24:08 → 00:24:10 ลิเธียมก็เป็นไปได้แล้วยาที่มีอยู่ใน
00:24:10 → 00:24:14 ปัจจุบันทุกตัวเนี่ยมันไม่ได้ช่วยให้
00:24:14 → 00:24:17 อัลไซเมอร์มันดีขึ้นขนาดนั้นแล้วใครที่ไป
00:24:17 → 00:24:19 บอกว่าเฮ้ยจะใช้กัญชาเพื่อที่จะทำให้
00:24:19 → 00:24:21 อัลไซเมอร์ดีขึ้นความจำดีขึ้นอันเนี้ยก็
00:24:22 → 00:24:25 ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ผมเห็นหมอคนนึงนะ
00:24:25 → 00:24:27 ครับยกเรื่องกัญชาที่สามารถแก้ไข
00:24:27 → 00:24:30 อัลไซเมอร์ได้โดยยกกลไกต่างๆที่มีอยู่ใน
00:24:30 → 00:24:33 วิจัยมางานวิจัยพวกนั้นน่ะเทียบไม่ได้เลย
00:24:33 → 00:24:38 กับของกรณีดร. Yangeranger
00:24:38 → 00:24:41 เนี่ยนเขาครอบคลุมทุกอย่างรู้ได้ว่ามัน
00:24:41 → 00:24:43 ออกฤทธิ์ยังไงของกรณีลิเธียมรู้ได้ว่า
00:24:43 → 00:24:46 ลิเธียมฟอร์มไหนมีการทดลองในหนูทดลองใน
00:24:46 → 00:24:49 หนูปกติที่แก่ทดลองในหนูที่เป็นโอกาส
00:24:49 → 00:24:51 อัลไซเมอร์ได้ให้โดสเท่าไหร่มีการเปลี่ยน
00:24:51 → 00:24:53 แปลงคือแบบอุดทุกช่องโหวกของงานวิจัยจริง
00:24:53 → 00:24:55 ๆแล้วก็เตรียมต่อยอดไปในอนาคตว่าจะต้องทำ
00:24:56 → 00:24:59 ยังไงแตกต่างจากงานวิจัยที่หมอบางคนยก
00:24:59 → 00:25:02 ขึ้นมาซึ่งมันมีแค่ในคนไม่กี่คนซึ่งบอก
00:25:02 → 00:25:04 อะไรไม่ได้หรือเป็นแค่การคิดว่ามันน่าจะ
00:25:04 → 00:25:06 ไปทำอะไรได้ในระดับดับเซลล์แค่นั้นเองแค่
00:25:06 → 00:25:08 คิดแต่ยังพิสูจน์อะไรอย่างอื่นไม่ได้ไม่
00:25:08 → 00:25:12 มีการทดลองอย่างอื่นเหลือเฟือนะครับก็ถ้า
00:25:12 → 00:25:14 กัญชาอะไรในตอนนี้ก็ไม่สามารถใช้ในการแก้
00:25:14 → 00:25:16 ไขความดำเสื่อมได้นะครับก็บอกไว้เท่านี้
00:25:16 → 00:25:18 นะฮะโอเควันนี้ก็หวังว่าทุกคนจะได้
00:25:18 → 00:25:20 ประโยชน์นะครับถ้าใครมีอะไรสงสัยก็สอบถาม
00:25:20 → 00:25:24 มานะครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ