00:00:00 → 00:00:00 แต่
00:00:00 → 00:00:15 [เพลง]
00:00:15 → 00:00:18 ส่วนใหญ่เราจะคิดถึงความรักในแง่ของการ
00:00:18 → 00:00:21 ปรนเปรอตนเองนะครับก็คือการที่เรามีความ
00:00:21 → 00:00:25 ต้องการอยากจะได้บางสิ่งบางอย่างแล้วก็
00:00:25 → 00:00:28 มาเติมเต็มชีวิตของเราเราไม่ได้มีแง่มุม
00:00:28 → 00:00:31 ที่เราจะจะให้ความรักกับตนเองอย่างแท้
00:00:31 → 00:00:34 จริงก็คือกลับมาตั้งคำถามว่าว่าอะไรที่
00:00:34 → 00:00:38 เป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ความสุขครับเป็น
00:00:38 → 00:00:40 จริงแล้วเรามีความทุกข์เนี่ยไม่ใช่เพราะ
00:00:40 → 00:00:44 อะไรอื่นเพราะว่าความโลภความโกรธความหลง
00:00:44 → 00:00:48 โกรธมากเกินไปนะครับต้องการความเข้าใจมาก
00:00:48 → 00:00:49 เกินไป
00:00:49 → 00:00:52 ต้องการความอยากมีอยากได้อยากเป็นมากเกิน
00:00:52 → 00:00:56 ไปต้องการให้ผู้อื่นมองว่าเราดีมากเกินไป
00:00:56 → 00:01:01 นะครับต้องการที่จะสมหวังมากเกินไปเหล่า
00:01:01 → 00:01:03 นี้ครับมันจึงทำให้เรากลายเป็นคนที่ที่
00:01:03 → 00:01:04 ผิดปกติ
00:01:04 → 00:01:08 ใช้ชีวิตไม่ได้ตรงกับจังหวะของโลกความ
00:01:08 → 00:01:11 เป็นจริงเราอาจจะต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจ
00:01:11 → 00:01:15 นะครับทั้งๆที่บางทีเนี่ยตัวเราก็ไม่
00:01:15 → 00:01:18 สามารถที่จะให้สิ่งนี้กับคนจนคนหนึ่งได้
00:01:18 → 00:01:19 ตลอดเวลา
00:01:19 → 00:01:22 ๆนะครับทุกครั้งทุกเวลานี้ไม่สามารถที่จะ
00:01:22 → 00:01:24 ทำได้แต่ว่าเราต้องการสิ่งเดียวกันนี้
00:01:24 → 00:01:29 ครับจากคนอื่นเราไม่ต้องการถูก
00:01:29 → 00:01:32 มีผู้อื่นนินทาถูกไหมครับแต่ในขณะเดียว
00:01:32 → 00:01:35 กันเราไม่สามารถที่จะเลิกวิพากษ์วิจารณ์
00:01:35 → 00:01:38 นินทาผู้อื่นได้เหมือนกันนะครับเพราะ
00:01:38 → 00:01:41 ฉะนั้นเราต้องการสิ่งที่แม้แต่ตัวเราใน
00:01:41 → 00:01:44 ยังให้ผู้อื่นไม่ได้นะครับแต่ว่าเรา
00:01:44 → 00:01:47 ปรารถนาที่จะได้สิ่งนี้อยู่ตลอดเวลาด้วย
00:01:47 → 00:01:51 เหตุนี้จึงเป็นความทุกข์อยู่ซ้ำๆนะครับ
00:01:51 → 00:01:54 เรามีความทุกข์เพราะว่าว่าผู้อื่นไม่เข้า
00:01:54 → 00:01:57 ใจเราเนี่ยนะครับซ้ำไปซ้ำมานะครับไม่จบ
00:01:57 → 00:02:01 ไม่สิ้นนะครับวันนี้ก็ก็ต้องการให้ผู้
00:02:01 → 00:02:03 อื่นเข้าใจพรุ่งนี้ก็ต้องการให้ผู้อื่น
00:02:03 → 00:02:06 เข้าใจนะครับจริงๆแล้วความทุกข์แบบนี้มัน
00:02:06 → 00:02:09 เป็นความทุกข์ที่เกิดจากเอาจิตเข้าไปผูก
00:02:09 → 00:02:11 นะครับจริงๆแล้วมันไม่มีปัญหาในตัวมันเอง
00:02:11 → 00:02:12 เลย
00:02:12 → 00:02:15 อย่างความขัดแย้งในครอบครัวในจริงๆแทบจะ
00:02:15 → 00:02:18 ไม่มีปัญหานี้ตัวของมันเองเลยนะครับแต่
00:02:18 → 00:02:21 ถ้าเราดูดีๆเนี่ยเราต้องการให้ลูกเข้าใจ
00:02:21 → 00:02:24 เราต้องการให้สามีเข้าใจเรานะครับต้องการ
00:02:24 → 00:02:29 ให้ภรรยาเข้าใจเราจริงๆปัญหาตรงนี้มันไม่
00:02:29 → 00:02:30 ได้มีอยู่
00:02:30 → 00:02:34 มีแค่เราไม่คิดนี่ทุกอย่างก็จบสิ้นปัญหา
00:02:34 → 00:02:38 ตัวตนปัญหาไม่มีนะครับอ่า
00:02:38 → 00:02:40 แต่ถ้าเป็นปัญหาหนี้สินหนี้มันยังมีตัวตน
00:02:40 → 00:02:45 ปัญหาคือเป็นก้อนนี่ถูกไหมครับถ้ามันเป็น
00:02:45 → 00:02:49 ร่างกายไม่สบายนะครับหรือว่า
00:02:49 → 00:02:54 เจ็บป่วยเป็นมะเร็งนี้ยังมีตัวตนปัญหาคือ
00:02:54 → 00:02:56 อย่างน้อยยังมีก้อนมะเร็งนะครับยังมี
00:02:56 → 00:03:00 อวัยวะบางส่วนของเราที่มันที่มันคล้ายๆ
00:03:00 → 00:03:04 กับว่าทำงานผิดปกติส่งผลเป็นความทุกข์ทาง
00:03:04 → 00:03:07 กายนะครับพวกนี้ยังมีตัวตนของปัญหาแต่คำ
00:03:07 → 00:03:13 ถามคือความน้อยเนื้อต่ำใจนะครับความโกรธ
00:03:13 → 00:03:15 ความริษยา
00:03:15 → 00:03:17 ครับหรือว่าความต้องการ
00:03:17 → 00:03:21 อยากมีอยากได้อยากเป็นความไม่พอใจกับ
00:03:21 → 00:03:24 ชีวิตของตนเองการมีจิตที่เปรียบเทียบอยู่
00:03:24 → 00:03:29 ตลอดเวลาการกังวลเรื่องเกี่ยวอนาคตตลอด
00:03:29 → 00:03:33 เวลาในเชิงวิตกกังวลการโหยหาอดีตคิดอดีต
00:03:33 → 00:03:34 คำถามคือ
00:03:34 → 00:03:39 ว่าสิ่งเหล่าเนี้ยจริงๆแล้วมันมีตัวตนของ
00:03:39 → 00:03:41 ปัญหาหรือไม่
00:03:41 → 00:03:43 ถ้าเราคิดว่าจริงๆมันมีไหมครับ
00:03:43 → 00:03:45 จะมีไหม
00:03:45 → 00:03:48 แต่เอาเข้าจริงมันมีไหมอ่ะ
00:03:48 → 00:03:52 แต่มันไม่มีนะครับมันมีแต่จิตที่เข้าไป
00:03:52 → 00:03:54 คิดเข้าไปยึด
00:03:54 → 00:03:57 และเมื่อคุณยึดว่าคนจนนี้ต้องเป็นแบบนี้
00:03:57 → 00:04:01 เพราะเขาไม่เป็นแบบที่คุณยึดคุณก็มีความ
00:04:01 → 00:04:04 ทุกข์ทั้งๆที่คุณก็เป็นในสิ่งที่เขา
00:04:04 → 00:04:06 ต้องการไม่ได้
00:04:06 → 00:04:09 ถ้าเราจะพูดคำเดียวกันว่าทำไมเธอไม่เข้า
00:04:09 → 00:04:10 ใจฉัน
00:04:10 → 00:04:14 คะแล้วเราต้องการคำคำเนี้ยพร้อมๆกัน
00:04:14 → 00:04:17 ข้อความเข้าใจนี้ต้องการพร้อมกันไม่ได้นะ
00:04:17 → 00:04:20 ครับถ้าเป็นชีวิตคู่คุณจะต้องการในเวลา
00:04:20 → 00:04:24 เดียวกันไม่ได้คุณต้องผลัดกันต้องการหรือ
00:04:24 → 00:04:27 เป็นแม่กับลูกเป็นพ่อกับลูกสามีภรรยา
00:04:27 → 00:04:30 ต้องการพร้อมกันไม่ได้แต่เรามักจะต้องการ
00:04:30 → 00:04:34 สิ่งนี้ต้องการความเข้าใจเราจะบอกว่าคนคน
00:04:34 → 00:04:36 นึงไม่เข้าใจเราเราจะบอกว่าเราไม่ต้องการ
00:04:37 → 00:04:40 อะไรจากใครเลยยกเว้นความเข้าใจแต่จริงๆ
00:04:40 → 00:04:42 ถ้าคุณไม่ต้องการอะไรแต่ต้องการความเข้า
00:04:42 → 00:04:45 ใจอย่างเดียวในคือคุณต้องการทุกอย่างแหละ
00:04:45 → 00:04:47 ทุกอย่าง
00:04:47 → 00:04:51 บนพื้นฐานของคำคำเดียวซึ่งดูว่าคุณไม่
00:04:51 → 00:04:54 ต้องการอะไรเลยก็คือความเข้าใจแต่จริงใคร
00:04:54 → 00:04:57 ที่ต้องการความเข้าใจจากคนคนหนึ่งครับขอ
00:04:57 → 00:05:00 ให้รู้ว่าคุณเอาทุกอย่าง
00:05:00 → 00:05:03 หมอเขาทำอะไรไม่ถูกใจคุณคุณบอกว่าทำไมไม่
00:05:03 → 00:05:07 เข้าใจฉันเธอไหมครับคุณใหญ่จะได้รถยนต์
00:05:07 → 00:05:10 รุ่นนี้นี้เขาบอกซื้อรุ่นนี้ดีกว่าคุณบอก
00:05:10 → 00:05:12 ว่าทำไมคุณไม่เข้าใจฉัน
00:05:12 → 00:05:16 คุณอยากไปเที่ยวทะเลเขาอยากอยู่บ้านคุณ
00:05:16 → 00:05:18 บอกว่าทำไมเธอไม่เข้าใจฉัน
00:05:18 → 00:05:22 ก็เพราะฉะนั้นคำคำนี้ครับมัน unlimitz
00:05:22 → 00:05:25 แต่มันเหมือนกับว่าพ่อแม่คนหนึ่งบอกว่า
00:05:25 → 00:05:28 ไม่ต้องการอะไรจากลูกขอแค่ลูกเป็นคนดีที่
00:05:28 → 00:05:32 มีความสุขเนี่ยคือต้องการทุกอย่าง
00:05:32 → 00:05:35 ก็เพราะคุณต้องทำอะไรมากมาย
00:05:35 → 00:05:38 แต่พอใช้รูปคุณเป็นคนดีแล้วก็มีความสุข
00:05:38 → 00:05:41 คุณต้องตามไปปกป้องอะไรมากมายเยอะแยะเต็ม
00:05:41 → 00:05:45 ไปหมดคุณต้องสอนอะไรเยอะแยะเลยต้องการให้
00:05:45 → 00:05:48 ลูกเป็นคนรวยซะยังดีกว่าเพราะว่าอย่าง
00:05:48 → 00:05:51 น้อยมันเป็นแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่ถ้า
00:05:52 → 00:05:55 ต้องการให้ลูกเป็นคนดีที่มีความสุขอันนี้
00:05:55 → 00:05:58 คือความต้องการที่มันเยอะมากมันดูเหมือน
00:05:58 → 00:06:01 ไม่ต้องการอะไรนะครับแล้วคุณจะทำอะไรอีก
00:06:01 → 00:06:03 หลายอย่างพยายามส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ
00:06:03 → 00:06:07 ให้ลูกไปติวเพราะว่าเขาต้องมีชีวิตที่ดี
00:06:07 → 00:06:11 จนไหมครับพยายามวิ่งเต้นหาเส้นสายทุกสิ่ง
00:06:11 → 00:06:14 ทุกอย่างทำทุกอย่างเหมือนที่ยุคสังคมสมัย
00:06:14 → 00:06:20 นี้ทำงานนะครับแต่จริงๆแล้วมันต้องการให้
00:06:20 → 00:06:23 อ่าคล้ายๆว่าทุกๆคนนะครับต้องเจอหมดพระ
00:06:23 → 00:06:26 พุทธองค์ท่านพูดสำคัญนะครับท่านบอกว่าคำ
00:06:26 → 00:06:28 สอนสุดท้ายของพระพุทธองค์เนี่ยท่านบอกว่า
00:06:28 → 00:06:30 อ่า
00:06:30 → 00:06:35 แต่อย่าประมาทในธรรมนี่คือคำสอนสุดท้าย
00:06:35 → 00:06:39 นี้นะครับก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของท่านจะ
00:06:39 → 00:06:42 ดับลงเนี่ยท่านบอกว่าทุกคนอย่าประมาทใน
00:06:42 → 00:06:43 ธรรม
00:06:43 → 00:06:47 ประมาทในธรรมเนี่ยหมายความว่า
00:06:47 → 00:06:51 หรือไม่พิจารณาธรรมะเลยช่วยชีวิต
00:06:51 → 00:06:53 แต่คนส่วนใหญ่จากประสบการณ์ที่ผมเห็นนะ
00:06:53 → 00:06:56 ครับเวลาที่เขาจะสนใจธรรมะเนี่ยต่อเมื่อ
00:06:56 → 00:06:57 มีความทุกข์
00:06:58 → 00:07:00 แต่ละคำถามที่ผมได้พบบ่อยๆซึ่งไม่ควรจะ
00:07:01 → 00:07:06 ถามเลยเขาถามว่าทำอย่างไรจึงจะ
00:07:06 → 00:07:09 เหตุผลไปจากทุกที่เขาเป็นอยู่
00:07:09 → 00:07:13 จะทำอย่างไรจึงจะไม่คิดมากกับเรื่องนี้นะ
00:07:13 → 00:07:17 ครับคำตอบที่แท้จริงก็คือมันทำไม่ได้ทำ
00:07:17 → 00:07:20 ไม่ได้เพราะว่าคุณไม่เคย
00:07:20 → 00:07:24 ก็เตรียมตัวมาก่อนหน้านี้เลย
00:07:24 → 00:07:26 มีจิตใจเนี่ยมันเป็นของที่ใช้เวลายาวนาน
00:07:26 → 00:07:30 ในการสร้างนะครับไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสอง
00:07:30 → 00:07:34 วันมันใช้เวลาเท่ากับชีวิตของเราเวลาเรา
00:07:34 → 00:07:36 แก้ปัญหาเวลาเราจะรู้สึกอะไรบางสิ่งบาง
00:07:36 → 00:07:39 อย่างเวลาที่เราจะจะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
00:07:39 → 00:07:42 ตัวเรากับปัญหาเนี่ยมันคือเราใช้ทั้งหมด
00:07:42 → 00:07:46 ทั้งหมดที่เราหามาตลอดชีวิตทั้งหมดที่เรา
00:07:46 → 00:07:50 สั่งสมมานะครับมาสู้กับปัญหาตรงนี้ถ้า
00:07:50 → 00:07:54 ทั้งหมดที่เราสั่งสมมาเนี่ยมันไม่พอมันก็
00:07:54 → 00:07:55 คือไม่พอ
00:07:55 → 00:07:58 และเมื่อไม่พอแล้วเราก็ต้องมีความทุกข์ไป
00:07:58 → 00:08:02 ตามปัญหานั้นมันเหมือนกับว่าเรายกน้ำหนัก
00:08:02 → 00:08:05 นะครับได้เต็มที่ 10 กิโลกรัม
00:08:05 → 00:08:09 แต่วันนี้ปัญหามันมามา 1,000 กิโลกรัม
00:08:09 → 00:08:13 เราตั้งคำถามว่าทำอย่างไรฉันจะยกอันนี้
00:08:13 → 00:08:16 ได้โดยที่ไม่เจ็บไม่ปวด
00:08:16 → 00:08:20 แม่ยกแบบสบายๆคำตอบคือมันทำไม่ได้มันทำ
00:08:20 → 00:08:23 ไม่ได้ทันทีนึกออกไหมครับ
00:08:23 → 00:08:25 ที่อยู่ดีๆร่างกายคุณยกได้เต็มที่ 10
00:08:25 → 00:08:28 กิโลกรัมแล้วอยู่ดีๆคุณจะให้พรุ่งนี้นี้
00:08:28 → 00:08:30 คุณมายกได้ 100 กิโลกรัม
00:08:30 → 00:08:34 ในน้ำหนัก 1000 กิโลกรัมนะครับ 1 100
00:08:34 → 00:08:37 กิโลกรัมนะมันเป็นไปไม่ได้นะครับมันต้อง
00:08:37 → 00:08:40 ค่อยๆสร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละเล็กทีละ
00:08:40 → 00:08:42 เล็กถ้าวันนี้ยกได้เต็มที่ 10 กิโลกรัม
00:08:42 → 00:08:46 ถามว่าเมื่อไหร่จะยกได้ 100 กิโลกรัมอาจ
00:08:46 → 00:08:49 จะใช้เวลา 2 ปี
00:08:49 → 00:08:55 อีก 3 ปีหรือ 1 ปีเป็นอย่างเร็ว
00:08:55 → 00:08:57 เบอร์โทรไหมครับเพราะฉะนั้นจิตใจมันเป็น
00:08:57 → 00:09:01 แบบนี้เหมือนกันให้สังเกตดูนะครับสิ่งใด
00:09:01 → 00:09:02 ก็ตามแต่
00:09:02 → 00:09:05 เต็มที่มันส่งผลอย่างแท้จริงในชีวิตของ
00:09:05 → 00:09:09 เรามันจะไม่ใช่สิ่งที่สร้างได้ในวันเดียว
00:09:09 → 00:09:14 ทุกอย่างความรอบรู้ความรอบรู้ก็สร้างไม่
00:09:14 → 00:09:17 ได้ในวันเดียวความรอบรู้เกิดจากการสั่งสม
00:09:17 → 00:09:21 ความรู้ที่ละเล็กทีละน้อยจนความรู้มันรวม
00:09:21 → 00:09:24 กันเป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ที่มันกว้าง
00:09:24 → 00:09:25 ใหญ่
00:09:25 → 00:09:30 สมมติคนคนหนึ่งเนี่ยมีข้อมูลหนังสือสัก
00:09:30 → 00:09:32 1,000 อยู่ในหัวของเขาคุณคิดว่าเขาจะ
00:09:32 → 00:09:34 เป็นคนรอบรู้ไหม
00:09:34 → 00:09:37 เธอเป็นคนรอบรู้นะครับมันมีข้อมูลหนังสือ
00:09:37 → 00:09:40 ตั้ง 1,000 บางคนช่วยชีวิตยังอ่านหนังสือ
00:09:40 → 00:09:42 ไม่ถึงร้อยเล่ม
00:09:42 → 00:09:45 มาช่วยชีวิตนะครับบางทีอ่านหนังสือไม่ถึง
00:09:45 → 00:09:48 ร้อยเล่มอาจจะอ่านนิเจศาลอาจจะอ่านอะไร
00:09:48 → 00:09:51 ที่อ่านง่ายๆแต่หนังสือที่มันเป็นเรื่อง
00:09:51 → 00:09:54 เป็นราวที่ไม่ใช่หนังสือเรียนบางคนอ่าน
00:09:54 → 00:09:57 ไม่ถึง 100 เล่มผมคิดว่าคนจำนวนมากส่วน
00:09:57 → 00:10:01 ใหญ่ด้วยซ้ำอ่านไม่ถึง 100 เล่มที่เน้น
00:10:01 → 00:10:05 แต่คนคนหนึ่งมีความรู้ในหัวพันเล่มแน่นอน
00:10:05 → 00:10:08 ว่าเขาต้องมีความรู้ที่มันกว้างขวางกว่า
00:10:08 → 00:10:12 คนจนใหญ่ทั่วไปนะครับแต่ที่นี้คำถามคือ
00:10:12 → 00:10:16 เราจะอ่านหนังสือพันเล่มได้ในเวลากี่วัน
00:10:16 → 00:10:20 ถ้าสมมติว่าเราจะเอาสิ่งเนี้ย 1 ปีเราคิด
00:10:20 → 00:10:22 ว่าเราทำได้นะครับ
00:10:22 → 00:10:26 แต่ปี 1 อ่านหนังสือพันเล่มก็คือไม่ต้อง
00:10:26 → 00:10:31 ทำอะไรกันเลยวันๆก็นั่งอ่านอย่างเดียวแต่
00:10:31 → 00:10:33 ในขณะที่ 1,000 เนี่ยมันสะสมด้วยวิธีง่าย
00:10:33 → 00:10:36 ๆนะครับคุณลองคิดดูสมว่าเดือนนึงคุณ
00:10:36 → 00:10:39 หนังสือ 4 เล่มอาทิตย์เล่นนะกันปีหนึ่ง
00:10:39 → 00:10:41 เป็นกี่เล่มครับ
00:10:41 → 00:10:43 4 48 เล่ม
00:10:43 → 00:10:47 มาถูกไหมครับคุณสะสมมา 10 ปีกี่เล่มครับ
00:10:47 → 00:10:51 โป้นักสึก 480 20 ปี
00:10:51 → 00:10:55 ก็อาจ issei ว่า 20 ปีครบพันเล่มพอดีใช้
00:10:55 → 00:10:58 เวลายี่สิบปีค่อยอ่าน
00:10:58 → 00:11:01 ก็เพราะฉะนั้นการอ่านแล้วเขาก็จะเป็นการ
00:11:01 → 00:11:05 อ่านที่ค่อยๆสะสมค่อยๆสั่งสมไปถึงจุด
00:11:05 → 00:11:08 หนึ่งความรู้เนี่ยมันขยับขยายอ่านหนังสือ
00:11:08 → 00:11:10 เล่มที่ 1 ผู้เขียนให้มา 100 เปอร์เซ็นต์
00:11:10 → 00:11:15 คนอาจจะรับได้แค่ 30 เปอร์เซ็นรับสติ
00:11:15 → 00:11:17 ปัญญาผู้เขียนไม่ได้เพราะอ่านหนังสือเป็น
00:11:17 → 00:11:20 คบร้อยเล่มผู้เขียนให้มาร้อยอาจจะรับได้
00:11:20 → 00:11:22 ร้อยอ่านหนังสือครบพันเล่นผู้เขียนให้มา
00:11:22 → 00:11:26 ร้อยอาจจะแตกแตกยอดความคิดไปได้อีกอาจจะ
00:11:26 → 00:11:29 ได้ความคิดมากกว่าสิ่งที่ผู้เขียนให้มามา
00:11:29 → 00:11:32 เพราะว่าคุณสะสมพังความรู้ที่เชื่อมต่อ
00:11:32 → 00:11:36 ข้ามสากได้เรียนศาสนาอาจจะไปคิดถึง
00:11:36 → 00:11:39 เศรษฐกิจเศรษฐกิจอาจจะคิดถึงจิตวิทยาทุก
00:11:39 → 00:11:42 อย่างเชื่อมกันหมดนะครับมันจึงเป็นคลัง
00:11:42 → 00:11:44 ความรู้มหาศาล
00:11:44 → 00:11:48 นะเนี่ยคือวิธีที่จะเป็นผู้รอบรู้
00:11:48 → 00:11:53 ก็อ่านฟังคิดซ้ำๆเป็นระยะเวลาเป็นสิบสิบ
00:11:53 → 00:11:58 ปีสมมติว่าวันนี้เราจะเป็นผู้ที่รอบรู้
00:11:58 → 00:12:01 ก็ไม่สามารถทำได้ในวันเดียวคืนเดียวต่อ
00:12:01 → 00:12:03 ให้คุณอ่านหนังสือจนตายเดือนเดียวคุณก็ทำ
00:12:03 → 00:12:07 ไม่ได้คุณต้องค่อยๆสะสมเพราะฉะนั้นนะครับ
00:12:07 → 00:12:11 สิบปีต่อจากนี้เนี่ยเราตั้งคำถามว่าเรา
00:12:11 → 00:12:13 อยากเป็นผู้รอบรู้ไหม
00:12:13 → 00:12:15 แต่ถ้าเป็นผู้รอบรู้คุณอ่านหนังสือใน
00:12:15 → 00:12:19 สัปดาห์ 1 2 เล่มคุณย่นระยะเวลาจาก 20
00:12:19 → 00:12:24 ปีให้พันเล่มเนี่ยมันอยู่ในแค่10ปีทำได้
00:12:24 → 00:12:27 เพราะฉะนั้นอีก 10 ปีข้างหน้าคุณจะกลาย
00:12:27 → 00:12:30 เป็นผู้รอบรู้
00:12:30 → 00:12:33 มาดูสุขภาพนะครับคนเรานี่กินอะไรให้มัน
00:12:33 → 00:12:36 อ้วนในวันเดียวนี่ได้นะครับ
00:12:36 → 00:12:40 ถ้าคุณจากน้ำหนัก 50 กิโลกรัมผมให้คุณ
00:12:40 → 00:12:44 ขึ้นไปถึง 70 ผมบอกมีเวลาให้คุณ 2 วัน
00:12:44 → 00:12:47 ถ้าคุณกินไปเต็มที่คุณกินให้ท้องแตกตาย
00:12:47 → 00:12:50 มันก็มันก็ได้เท่านั้นนะครับไม่ได้จะขึ้น
00:12:50 → 00:12:53 มา 3 กิโลกรัมอะไรแล้วแต่เต็มที่เพราะ
00:12:53 → 00:12:57 ฉะนั้นสุขภาพก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
00:12:57 → 00:12:59 ถ้าคุณรักตัวเองคุณอยากมีสุขภาพที่ดี
00:12:59 → 00:13:03 สร้างได้ในวันเดียวไม่ได้จากคนสุขภาพดีจะ
00:13:03 → 00:13:06 ทำให้สุขภาพไม่ดีทำลายวันเดียวก็ไม่ได้
00:13:06 → 00:13:12 ต้องใช้เวลาหลายๆเดือนเป็นปีกว่าที่คุณจะ
00:13:12 → 00:13:16 แข็งแรงกว่าที่จะรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างจน
00:13:16 → 00:13:20 ส่งผลว่าเอ่อเราเป็นคนสุขภาพดีต้องจัด
00:13:20 → 00:13:23 ลำดับตั้งแต่การตื่นนอนนอนไม่เพียงพอ 0
00:13:23 → 00:13:28 นะครับกินให้มันเพียงพอกินอาหารที่ดีออก
00:13:28 → 00:13:32 กำลังกายมีสุขภาพจิตที่ดีแล้วคุณก็มี
00:13:32 → 00:13:36 สุขภาพที่ดีใช้เวลานาน
00:13:36 → 00:13:39 ก็ไม่ได้สร้างในวันเดียว
00:13:39 → 00:13:42 ทั้งสองอย่างเลยนะครับอันแรกนี้คำถามก็
00:13:42 → 00:13:45 คือความรอบรู้คุณว่าสำคัญนะที่สำคัญนะ
00:13:45 → 00:13:46 ครับ
00:13:46 → 00:13:49 แต่เชื่อหรือไม่ว่าความรอบรู้ในเกี่ยวกับ
00:13:49 → 00:13:52 เรื่องการทำมาหากินโดยตรง
00:13:52 → 00:13:55 แต่ถ้าคุณมีหนทางทำไมกินน้อยนั่นแปลว่า
00:13:55 → 00:13:59 ความรู้คุณน้อยถ้าความรู้คุณเยอะคุณมีหน
00:13:59 → 00:14:02 ทางทำมาหากินเยอะแต่ว่าเวลาที่เราคิด
00:14:02 → 00:14:04 เรื่องทำมาหากินในบางทีเรารู้สึกว่ามัน
00:14:04 → 00:14:08 ติดตันคิดไม่ออกคิดไม่ออกเพราะว่าเราไม่
00:14:08 → 00:14:09 รู้ว่าอะไร
00:14:09 → 00:14:13 ถ้าเราไม่รู้อะไรเราสังเกตดูนะครับประเทศ
00:14:13 → 00:14:16 ที่เจริญกว่าบุคคลที่อยู่ในที่ที่เจริญ
00:14:16 → 00:14:19 กว่าเมื่อเขามาที่ที่ที่บ้านเมืองที่ไม่
00:14:19 → 00:14:22 เจริญทำไมเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จใน
00:14:22 → 00:14:26 ที่ที่นั่นเพราะว่าเขาเห็นโลกมาเยอะเขา
00:14:26 → 00:14:29 นึกอะไรออกในขณะที่คนอื่นนึกอะไรไม่ออก
00:14:29 → 00:14:32 และนี่คือความรอบรู้จะไม่ได้วันหนึ่ง
00:14:32 → 00:14:35 เชื่อหรือไม่ว่าทุกคนในที่นี้นะครับไม่
00:14:35 → 00:14:38 ว่าคุณจะประกอบอาชีพการงานการงานและก็ตาม
00:14:38 → 00:14:42 แต่ถ้าคุณย้อนกลับไปไปอยู่ยุค 2000 ปี
00:14:42 → 00:14:45 ก่อนคุณจะกลายเป็นคนที่ฉลาดมาก
00:14:45 → 00:14:48 คะโดยที่อยู่ที่นี่คุณอาจจะไม่ได้ฉลาก
00:14:48 → 00:14:52 อะไรมากอาจจะเป็นแค่กันกลางนะครับแต่ด้วย
00:14:52 → 00:14:55 ความรู้เท่านี้ถ้าคุณย้อนกลับไปสองพันปี
00:14:55 → 00:14:59 ก่อนคุณน่าจะเป็นปากประจำบ้านเมืองเลยคือ
00:14:59 → 00:15:03 เขาถามเลยคุณจะตอบได้หมดปัญหาคุณจะเห็น
00:15:03 → 00:15:05 ก่อนที่มันจะเกิด
00:15:05 → 00:15:10 ถ้าสมมติอ้าเขามีการสอนเกษตรกรปลูกพืช
00:15:10 → 00:15:13 มาแล้วคุณอยู่คณะเกษตรขึ้นจะเห็นปัญหาเลย
00:15:13 → 00:15:17 หลักหลายคุณจะเห็นปัญหาโครงสร้างสังคมคุณ
00:15:17 → 00:15:20 จะรู้จักจัดคิวยกตัวอย่างนะครับคุณย้อน
00:15:20 → 00:15:24 กลับไปสองพันปีก่อนแค่แจกของเนี้ย
00:15:24 → 00:15:27 ก็ไม่มีนะครับระบบจัดคิวทุกคนกรูกันมา
00:15:28 → 00:15:30 แล้วทุกคนก็ปวดหัวทั้งให้คนแจกแต่คนรับ
00:15:31 → 00:15:34 ของส่วนไหมครับแค่คุณบอกว่าเฮ้ยทำเป็น
00:15:34 → 00:15:39 ล็อคสินั่นแหละคุณเป็นอีกคิวซังแล้วแค่
00:15:39 → 00:15:41 เรื่องง่ายๆแค่นี้ครับแค่คุณบอกว่าเนี้ย
00:15:42 → 00:15:46 ต่อแถวทำเป็นล็อคนะจัดไว้เป็นล็อคแล้วก็
00:15:46 → 00:15:49 ก็ให้ทุกคนเดินเข้ามาเป็นล็อคๆเหมือนซื้อ
00:15:49 → 00:15:50 ตั๋วเครื่องบิน
00:15:50 → 00:15:53 หมอเขาคิดกันไม่ออกนะครับ
00:15:53 → 00:15:57 ก็คิดถึงไม่ออกคุณดูล้อก็ได้ล้อรถยนต์
00:15:57 → 00:16:00 อย่าคิดว่าคิดง่ายนะครับแต่เกาะเนี่ย
00:16:00 → 00:16:06 มนุษย์เนี่ยเวลาลากของใช้เชือกผูกแล้วลาก
00:16:06 → 00:16:08 ถ้าเราคิดว่ามนุษย์
00:16:08 → 00:16:10 พัฒนาการมาเป็นยังไงใช้เชือกผูกแล้วล่าง
00:16:10 → 00:16:11 นะครับ
00:16:12 → 00:16:16 ติดต่อมาเป็นระบบคล้ายๆตีนตะขาบตัดฟืนมา
00:16:16 → 00:16:19 เป็นต้นๆวางเรียงเรียงเรียงเลี้ยงกันแล้ว
00:16:19 → 00:16:24 ก็เอาไม้ใหญ่ๆตั้งแล้วของตั้งแล้วก็ค่อยๆ
00:16:24 → 00:16:29 ลากฟื้นทุกๆท่อนกลิ้งใหม่เรื่อยๆเนี้ยถัด
00:16:29 → 00:16:32 มาเป็นอะไรครับเป็นระบบ
00:16:32 → 00:16:37 อ่าคล้ายๆลากเลื่อนใครๆสกีครับสองฝั่งละ
00:16:37 → 00:16:40 ลากนี่ถึงจะคิดล้อได้
00:16:40 → 00:16:44 จะใช้เวลาหลายพันปีกว่าที่คนคนนึงจะคิด
00:16:44 → 00:16:48 ล้อได้คุณลองย้อนกลับไปดิย้อนกลับไปยุค
00:16:48 → 00:16:50 นั้นน่ะที่ยังไม่มีล้อแล้วคุณบอกว่าหัว
00:16:50 → 00:16:54 คุณลากอย่างนี้แล้วอยู่ดีๆคุณหยิบไม้มา
00:16:54 → 00:16:58 คุณบอกคุณบอกคนว่าเอาฟืนตัดฟืนมาตัดไม้
00:16:58 → 00:17:03 ท่อนใหญ่ๆมาตัดบึ้งอ่ะทำเป็น 4 แว่นอ้าๆ
00:17:03 → 00:17:06 ก้านมาอันนึงเอานี่เสียบเสียบเสียบเอาไหม
00:17:06 → 00:17:08 ตั้งเอาของตั้งอ่านล่างไปเลย
00:17:08 → 00:17:13 แค่นี้พระราชาบ่ฮู้คุณ
00:17:13 → 00:17:16 ถ้าคุณเป็นไปได้ยังไงทำไมคุณฉลากขนาดนี้
00:17:16 → 00:17:19 แล้วคุณรู้ไหมว่าจำนวนนับนะครับเมื่อก่อน
00:17:19 → 00:17:21 เขาใช้อะไรกัน
00:17:21 → 00:17:23 จะใช้อะไรแทนจำนวนนับไอ้ที่เรารู้สึกว่า
00:17:23 → 00:17:27 เลขคณิตศาสตร์เป็นเรื่องธรรมดาเขาใช้ก้อน
00:17:27 → 00:17:28 หิน
00:17:28 → 00:17:32 ถ้าคุณมีวัว 4 ตัวคุณต้องมีหิน 4 ก้อนแต่
00:17:32 → 00:17:35 เขาไม่รู้นะครับวันนี้คือ 4
00:17:35 → 00:17:37 เอ่อเวลาเขามีทรัพย์สินอะไรถามว่าคุณมี
00:17:37 → 00:17:40 วัวเท่าไหร่เขาจะเอาหินออกมาจากถุงมีเท่า
00:17:40 → 00:17:41 นี้
00:17:41 → 00:17:44 ก็เพราะฉะนั้นถ้าหินหายไปก้อนนึงเขาคิด
00:17:44 → 00:17:48 ว่ามีวัวโผล่ขึ้นมาตัวนึงคืออยู่ดีๆวัวมา
00:17:48 → 00:17:51 ได้ไงตัวนึงเนี่ยอยู่ดีๆเพราะนับแทนกิ๋น
00:17:51 → 00:17:55 ก็หนึ่งแทนบัวคืนนับไม่เป็นนะครับแค่ว่า
00:17:55 → 00:17:58 จับคู่เอาวัวมีด้วยเท่านี้เอาหินเก็บไว้
00:17:58 → 00:18:01 ไอ้อินเก็บไว้หินเก็บไว้เพราะฉะนั้นถ้าไป
00:18:01 → 00:18:04 ไหนมาไหนเนี่ยเวลาที่จะบอกทรัพย์สินกัน
00:18:04 → 00:18:08 เนี่ยก็คือเขาก็จะต้องถือหินไปด้วย
00:18:08 → 00:18:12 ดูแล้วอาจจะคิดว่าหูทำไมวิธีแบบนี้มันมัน
00:18:12 → 00:18:15 ไม่ฉลาดเลยแต่จริงๆ
00:18:15 → 00:18:18 มีวิวัฒนาการทางความรู้แม้แต่เรื่องภาษา
00:18:18 → 00:18:21 นะครับอย่างหลักธรรมพระพุทธองค์เนี่ย
00:18:21 → 00:18:24 สาเหตุที่ทำไมถึงอยู่ครบและหลักธรรมจริงๆ
00:18:25 → 00:18:27 แล้วเป็นศาสนาที่มีหลักธรรมเยอะมากนะครับ
00:18:27 → 00:18:30 ถ้าเราไปดูพระไตรปิฎกนี้เล่มหนาๆเป็นหลาย
00:18:30 → 00:18:34 ๆสิบเล่มพระสูตรต่างๆมีเยอะแยะมากมายพระ
00:18:34 → 00:18:37 พุทธองค์เนี่ยท่านจัดหมวดหมู่เวลาท่านพูด
00:18:37 → 00:18:40 เนี่ยท่านพูดเป็นระบบ Mind Map นึกออก
00:18:40 → 00:18:44 ไหมครับมีข้อข้อใหญ่ข้อย่อย
00:18:44 → 00:18:50 ก็มี 8 ข้อใน 8 ข้อมี 1.2 1.3 1.4 2.2
00:18:50 → 00:18:55 2.3 2.4 เงี้ยหลักทำอะไรอยู่ครบสมัย
00:18:55 → 00:18:57 ก่อนดีกว่าเขาจะคิดอย่างนี้ได้นะครับเวลา
00:18:57 → 00:19:00 ที่เค้าพูดประโยคมันจะเป็นติดกันเป็นพืด
00:19:00 → 00:19:02 เลย
00:19:02 → 00:19:06 ก็พูดเหมือนคงกรนะครับถ้าถ่ายทอดระบบนั้น
00:19:06 → 00:19:09 เนี่ยหลักธรรมก็ก็หายไปหมดแล้วคือไม่ได้
00:19:09 → 00:19:13 มีข้อใหญ่ข้อย่อยสมและคุณย้อนกลับไปนะ
00:19:13 → 00:19:15 ครับสักยุค 1000 ปีก่อนแม้ว่ามันมีระบบ
00:19:15 → 00:19:20 ภาษาอยู่เนี่ยถ้าคุณคิดวิธีทีสื่อสารเป็น
00:19:20 → 00:19:25 ข้อๆนะครับคุณก็จะกลายเป็นอัจฉริยะคือมัน
00:19:25 → 00:19:28 คิดยากนะครับเพียงแต่ว่ามันอยู่ในยุคสมัย
00:19:28 → 00:19:32 เราเรารู้สึกว่ามันง่ายอันนี้ครับคือคุณ
00:19:32 → 00:19:35 อุปการณ์ของความรู้เพราะฉะนั้นผมยืนยันนะ
00:19:35 → 00:19:38 ครับถ้าใครอยากมีชีวิตที่ดีใครมีความที่
00:19:38 → 00:19:42 รักตนเองคุณต้องหาความรู้อยู่สม่ำเสมอคุณ
00:19:42 → 00:19:45 ไม่มีวันที่จะหาความรู้ได้ในระยะเวลาแค่
00:19:45 → 00:19:48 วันเดียวปีเดียวทำไม่ได้ปีเดียวต่อให้คุณ
00:19:48 → 00:19:51 ตะบี้ตะบันอ่านหนังสือไปคุณจะอ่านได้แค่
00:19:51 → 00:19:54 เท่าไหร่กันคุณก็นิดเดียวอยู่เสมอมี
00:19:54 → 00:19:57 หนังสือ 50 เล่มอยู่ในหัวเราเนี่ยมันยัง
00:19:57 → 00:20:00 ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนปากเรื่องเท่าไหร่ 50
00:20:00 → 00:20:03 เล่มนี้มันยังเป็นจำนวนที่น้อยอยู่มัน
00:20:03 → 00:20:06 ต้องนับเป็นพันๆเล่มคนบางคนในชีวิตนะครับ
00:20:06 → 00:20:10 อ่านหนังสือเป็นหลายๆพันเล่ม
00:20:10 → 00:20:12 ฮะแล้วเวลาที่คุณอ่านหนังสือเนี่ยนะครับ
00:20:12 → 00:20:15 อ่าเริ่มแรกๆคุณอ่านช้าเพราะคุณอ่านไป
00:20:15 → 00:20:18 เยอะๆเนี่ยสมมติเล่มนึงมัน 250 หน้า
00:20:18 → 00:20:21 มาตรฐานตามหนังสือทั่วๆไปนะครับมันจะอยู่
00:20:21 → 00:20:24 ประมาณสองร้อยเกือบ 300 อันนี้ถั่วเฉลี่ย
00:20:24 → 00:20:28 นะครับถ้าคุณอ่านจนชินเหมือนคุณนานก็ 2
00:20:28 → 00:20:31 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงแบบรู้เรื่องแล้วคุณอาจ
00:20:31 → 00:20:35 จะมาเก็บอ่านอีกทีนึงอีก 2 ชั่วโมงเป็น
00:20:36 → 00:20:38 เล่ม 1 4 ชั่วโมงแต่ 4 ชั่วโมงแบบ
00:20:38 → 00:20:42 ละเอียดอ่านไป 2 รอบแบบเนี้ยคุณอ่าน
00:20:42 → 00:20:44 หนังสือได้ตลอดเวลาแล้วเพราะอ่านหนังสือ
00:20:44 → 00:20:46 ไปสักพักนึงครับ
00:20:46 → 00:20:49 ถ้าติดเป็นนิสัยเหมือนผมเนี่ยผมไปไหนมา
00:20:49 → 00:20:52 ไหนผมจะถึงสื่อไปด้วยแล้วก็อ่านก่อนนอน
00:20:52 → 00:20:56 ทุกวันผมจำคำพูดของคุณพ่อผมได้ซึ่งเป็นคำ
00:20:56 → 00:21:00 สอนที่ดีมากนะครับพ่อผมเนี่ยสอนให้ผมอ่าน
00:21:00 → 00:21:03 หนังสือเขาบอกว่าส่วนสูงคนเนี่ยจะแตกต่าง
00:21:03 → 00:21:04 กันไม่มาก
00:21:04 → 00:21:10 170 180 190 ต่างกันเป็นเซนติเมตรแต่
00:21:10 → 00:21:14 พ่อผมบอกว่าความรู้คนเนี่ยในคนต่อคนเนี่ย
00:21:14 → 00:21:16 มันแตกต่างกันมาก
00:21:16 → 00:21:20 มีคนบางคนสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้
00:21:20 → 00:21:23 ในอายุเท่านี้คนบางคนอายุเท่านี้ยังไม่
00:21:23 → 00:21:26 รู้เรื่องอะไรเลยแต่คนบางคนเป็นผู้นำ
00:21:26 → 00:21:30 ประเทศควบคุมเศรษฐกิจโลกความรู้แต่ละคน
00:21:30 → 00:21:33 กว้างไกลกันมากแล้วเวลาที่คนรู้อะไรมากๆ
00:21:33 → 00:21:37 คิดหลายๆชั้นคนอื่นบางทีตามไม่ทันอย่าง
00:21:37 → 00:21:40 genius หลายๆคนนะครับก็อันนี้ก็มีความ
00:21:40 → 00:21:43 ทุกข์เพราะความรู้รู้เยอะเกินไปคือคนใน
00:21:43 → 00:21:47 สมัยนั้นเขาไม่เก็ตฉลาดมากชีวิตหรือยากจน
00:21:47 → 00:21:50 ไปหน่อยเหมือนแวนโก๊ะนะครับวินเซนต์
00:21:50 → 00:21:53 แวนโก๊ะเนี่ยตอนหลังเข้ามามาคล้ายๆกับ
00:21:53 → 00:21:57 เป็นศิลปินที่มันเป็นเป็นโรคใหม่คือยุค
00:21:57 → 00:21:59 โมเดิร์นใหม่เนี่ยนะครับวินเซนต์แวนโก๊ะ
00:21:59 → 00:22:02 เนี่ยเป็นคนริเริ่มสมัยก่อนเนี่ยคนก็ไม่
00:22:02 → 00:22:05 ยอมรับกันเพราะคนวาดภาพเหมือนอันนี้วาด
00:22:05 → 00:22:08 ภาพเอาสีป้ายป้ายป้ายคนไม่เข้าใจว่านี่ทำ
00:22:08 → 00:22:11 อะไรนะครับปรากฏว่าวินเซนต์แวนโก๊ะตายไป
00:22:11 → 00:22:15 หลายๆสิบปีถึงค่อยมามีชื่อเสียงโด่งดัง
00:22:15 → 00:22:18 ยังค่ะวันนี้ภาพเขานะว่ากันว่าเป็นพันพัน
00:22:18 → 00:22:22 ล้านนะครับต่อ 1 ภาพเนี่ยแต่ในยุคนั้น
00:22:22 → 00:22:25 เนี่ยเจ้าตัวเนี่ยขายรูปไม่ได้เลย
00:22:25 → 00:22:29 มาจนถึงขั้นวิกลจริตฆ่าตัวตายล่มสลายใน
00:22:29 → 00:22:33 ชีวิตครอบครัวในชีวิตหน้าที่การงานนะครับ
00:22:33 → 00:22:36 เพราะว่าคนเนี่ยตามไม่ทันหรือมีอัจฉริยะ
00:22:36 → 00:22:38 หลายๆคนนะครับเดี๋ยวมีอยู่คนนึงจาก
00:22:38 → 00:22:42 อินเดียเนี่ยไอคิวสูงยิ่งกว่าไอ้ตายแต่
00:22:42 → 00:22:43 ว่า
00:22:43 → 00:22:47 แต่สุดท้ายกลายเป็นพันโรงธรรมดาแล้วก็มี
00:22:47 → 00:22:50 ชีวิตที่คล้ายๆว่ามันมีความทุกข์มากนะ
00:22:50 → 00:22:54 ครับไม่มีคนเข้าใจแต่อันนี้คือมันก็ไม่
00:22:54 → 00:22:57 ใช่ข้อไม่ดีคือหมายความว่าความรู้ว่ายัง
00:22:57 → 00:22:59 สำคัญแต่นี้ผมเล่าเป็นเกร็ดเล็กเก็บน้อย
00:22:59 → 00:23:04 นะครับสุขภาพก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาใน
00:23:04 → 00:23:08 การสั่งสมความสัมพันธ์ที่ดีก็เช่นเดียว
00:23:08 → 00:23:11 กันความสัมพันธ์ที่ดีเนี่ยมันเกิดจากการ
00:23:11 → 00:23:15 ที่ทำสิ่งดีๆให้กันเล็กๆน้อยๆซ้ำๆนะครับ
00:23:15 → 00:23:19 จนคุณมองคนคนหนึ่งแล้วก็รู้สึกไว้วางใจ
00:23:19 → 00:23:23 เขาบอกว่าเขาเป็นคนที่มีจิตไมตรีคุณมอง
00:23:23 → 00:23:26 ว่าเขาเป็นคนที่คุณจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
00:23:26 → 00:23:28 จะฝากชีวิตไว้ได้พวกนี้มันเกิดจาก
00:23:28 → 00:23:31 พฤติกรรมซ้ำๆที่ทำนะครับโดยเฉพาะอย่าง
00:23:31 → 00:23:33 ยิ่งเรื่องที่เราจะมาคุยกันก็คือเรื่อง
00:23:33 → 00:23:37 ของธรรมะ
00:23:37 → 00:23:40 จะกลับไปที่คำสอนสุดท้ายของพระพุทธองค์นะ
00:23:40 → 00:23:42 ครับท่านบอกว่าให้มีชีวิตอยู่โดยไม่
00:23:42 → 00:23:45 ประมาทไม่ประมาทด้วยคือไม่ประมาทในธรรม
00:23:45 → 00:23:49 การไม่ประมาทในธรรมนั้นต้องพิจารณาลัยนะ
00:23:50 → 00:23:52 ครับเราต้องพิจารณาอยู่เสมอว่าเราเกิดมา
00:23:52 → 00:23:55 นะครับอะไรบ้างที่มันเป็นเรื่องธรรมดาของ
00:23:55 → 00:23:58 ชีวิตสิ่งนี้สำคัญนะครับ
00:23:58 → 00:24:01 มีอะไรบ้างที่เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
00:24:01 → 00:24:04 อย่างแรกเลยคือความเปลี่ยนแปลง
00:24:04 → 00:24:07 นะเนี่ยคือเป็นเรื่องปกติ
00:24:07 → 00:24:10 ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกความมั่นคงเนี่ยเป็น
00:24:10 → 00:24:12 เรื่องที่ไม่จริงนะครับแต่ความเปลี่ยน
00:24:12 → 00:24:15 แปลงเนี่ยเป็นของจริง
00:24:15 → 00:24:19 ก็เปลี่ยนอยู่เสมอตลอดเวลาอย่างร่างกาย
00:24:19 → 00:24:22 เรานี่เซลล์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตั้ง
00:24:22 → 00:24:25 แต่วันที่เราเกิดจนถึงวันนี้ไม่มีไรเลย
00:24:25 → 00:24:26 ที่เป็นของเก่า
00:24:26 → 00:24:30 มวลกระดูกทุกอย่างผิวหนังทุกอย่างเลือดนะ
00:24:30 → 00:24:34 ครับทุกอย่างที่อยู่ในตัวเราเส้นผมมัน
00:24:34 → 00:24:37 เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่แทบจะทั้งหมดนะ
00:24:37 → 00:24:40 ครับไม่ใช่ชาติจะทั้งหมดคือทั้งหมดทั้ง
00:24:40 → 00:24:43 หมดนี้ไม่มีอะไรที่มันเป็นของเก่าหลง
00:24:43 → 00:24:47 เหลืออยู่เลยบ้านช่องเปลี่ยนแปลงบ้าน
00:24:47 → 00:24:49 เมืองเปลี่ยนแปลง
00:24:49 → 00:24:52 สถานภาพทุกอย่างเปลี่ยนแปลงของบางอย่าง
00:24:52 → 00:24:56 เคยมองว่าดีวันนี้ไม่ดีเพื่อสังคมเปลี่ยน
00:24:56 → 00:25:00 นะครับตรงนี้เคยเป็นที่ที่คนมากราบไหว้
00:25:00 → 00:25:04 บูชาพระวันหนึ่งกลายเป็นล้างขึ้นมาจากที่
00:25:04 → 00:25:06 ที่ล้างขึ้นมาวันนี้กลายเป็นที่ที่
00:25:06 → 00:25:11 รุ่งเรืองนะครับเช่นผมเคยไปสัมภาษณ์ตอน
00:25:11 → 00:25:13 ที่ทำหนังสือหลวงปู่มั่นจอมทัพธรรมนะครับ
00:25:13 → 00:25:15 ผมไปสัมภาษณ์พระอยู่องค์นึงเหรียญหลวงปู่
00:25:15 → 00:25:19 เล็กตอนนี้ท่านมรณภาพแล้วก็เลยนำเรื่อง
00:25:19 → 00:25:22 นี้มาเล่ากันได้เพราะว่าถ้าท่านยังไม่
00:25:22 → 00:25:26 มรณภาพนี่เท่ากันไปเดี๋ยวท่านเดือดร้อนคน
00:25:26 → 00:25:29 น่าจะไปกราบท่านกันเยอะตอนนี้ผมไปคุยกับ
00:25:29 → 00:25:31 ท่านเนี่ยประมาณสัก
00:25:31 → 00:25:35 เมื่อ 8 ปีก่อนตอนนั้นเนี่ยท่านอายุ 103
00:25:35 → 00:25:36 ปี
00:25:36 → 00:25:40 103 ปีนะครับตัวท่านเนี่ยร่างกายสั่นใน
00:25:40 → 00:25:43 หดเหลือนิดเดียวนะครับผมไม่แน่ใจว่าว่าใน
00:25:43 → 00:25:45 ทางวิทยาศาสตร์
00:25:45 → 00:25:48 มันมันน่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมเคยไปคุย
00:25:48 → 00:25:50 กับคนที่อายุร้อยกว่านะผมรู้สึกว่าตัวเขา
00:25:50 → 00:25:53 เล็กลงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
00:25:53 → 00:25:58 นะครับถ้าใครมีความรู้ก็บอกผมบ้างก็ผมคุย
00:25:58 → 00:26:00 กับหลวงปู่เล็กที่ได้ไปคุยกับหลวงปู่เล็ก
00:26:00 → 00:26:04 เนี่ยเพราะว่าหลวงปู่เล็กเนี่ยอ่าเจอกับ
00:26:04 → 00:26:07 หลวงปู่มั่นตอนที่หลวงปู่มั่นท่านมาที่
00:26:07 → 00:26:10 วัดของหลวงปู่เล็กนะครับท่านก็ไปแอบดู
00:26:10 → 00:26:12 หลวงปู่มั่นว่าหลวงปู่มั่นทำอะไรกลางคืน
00:26:12 → 00:26:15 ปรากฏว่าเห็นหลวงปู่มั่นในธรรมสมาธิเดิน
00:26:15 → 00:26:19 จงกลมตลอดคือเลยคือเป็นพระที่มีวินัยใน
00:26:19 → 00:26:22 การปฏิบัติมากหลวงปู่มั่นนะครับหลวงปู่
00:26:22 → 00:26:24 เล็กท่านบอกผมว่าเนี่ยท่านอยู่วัดนี้ท่าน
00:26:24 → 00:26:26 อยู่มานาน
00:26:26 → 00:26:28 แต่ท่านบอกท่านพูดกับผมท่านบอกว่านี้อยู่
00:26:28 → 00:26:30 ที่นี่มาเป็นร้อยร้อยปี
00:26:30 → 00:26:34 เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดผมฟังรถตก
00:26:34 → 00:26:37 ใจนะครับผมไม่เคยได้ยินคำพูดว่าใครจะมา
00:26:37 → 00:26:41 แบบเหมือนกับยิ่งใหญ่มากบอกว่าผมอยู่มา
00:26:41 → 00:26:45 เป็นร้อยปีทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแต่
00:26:45 → 00:26:48 ก่อนที่นี่มีโจรชุกชุมมีสัตว์ร้ายชุกชุม
00:26:48 → 00:26:51 แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปนะครับ
00:26:51 → 00:26:55 เปลี่ยนไปมากๆไอ้ที่ตรงนั้นน่ะทราบนะครับ
00:26:55 → 00:26:56 ว่าตรงไหน
00:26:56 → 00:27:00 เต็มที่ตรงนั้นน่ะคือสยามพารากอนไอ้ที่
00:27:00 → 00:27:02 ท่านอยู่ที่ท่านบอกว่าทุกอย่างมันเปลี่ยน
00:27:02 → 00:27:06 แปลงไปมากท่านเป็นพระอยู่วัดปทุมวนาราม
00:27:06 → 00:27:10 นะระวังคิดดูครับที่ที่มันมีสัตว์ร้าย
00:27:10 → 00:27:14 แต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นอะไรไปแล้วแค่
00:27:14 → 00:27:17 ระยะเวลาแค่แค่แค่ร้อยปีทุกอย่างเปลี่ยน
00:27:17 → 00:27:21 นะครับทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง
00:27:21 → 00:27:25 แต่สมัยตอนที่ผมยังเป็นเด็กเนี่ย
00:27:25 → 00:27:30 ถ้าผมจำได้ว่ามีเวลาที่ไปทำงานบริษัทต่าง
00:27:30 → 00:27:33 ๆคนต่างจังหวัดก็จะรู้สึกหูเท่ห์ดีทำงาน
00:27:33 → 00:27:36 บริษัทก่อนหน้านั้นนี่ทำราชการ
00:27:36 → 00:27:39 เพราะผมโตมาหน่อยเขาอยากเป็นเจ้าของ
00:27:39 → 00:27:42 ธุรกิจเดี๋ยวนี้อยากเป็นลงทุนเป็นนักลง
00:27:42 → 00:27:46 ทุนให้เงินทำงานตอนนี้โลกเปลี่ยนในคือเรา
00:27:46 → 00:27:49 ไม่อยากทำงานเองอีกหน่อยแล้วไม่รู้มันจะ
00:27:49 → 00:27:52 เปลี่ยนแปลงเป็นอะไรไปบ้างนะครับความ
00:27:52 → 00:27:55 เปลี่ยนแปลงนี้มันมารวดเร็วมากเมื่อก่อน
00:27:55 → 00:27:57 เวลาที่คุณคิดอะไรได้เนี่ยคุณประสบความ
00:27:57 → 00:28:00 สำเร็จเป็นสิบปีหมายความว่าคุณคิดอันนี้
00:28:00 → 00:28:03 ได้คุณไม่ต้องคิดอะไรได้ละ 10 20 ปีนี้
00:28:03 → 00:28:06 คุณสามารถอยู่ในสิ่งเหล่านี้ได้เลยผมเคย
00:28:06 → 00:28:10 ฟังสัมภาษณ์ของในธนาคารคนหนึ่งนะครับเขา
00:28:10 → 00:28:13 บอกว่าเมื่อก่อนเขารู้ว่าเขาจะสู้ใครอ่ะ
00:28:14 → 00:28:17 มีคู่แข่งธุรกิจคือใครก็คือธนาคารอื่นๆ
00:28:17 → 00:28:20 แต่ทุกวันนี้คือเขาไม่รู้ว่าเขากำลังสู้
00:28:20 → 00:28:24 ใครมันอาจจะมีคนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของ
00:28:24 → 00:28:27 โลกอยู่ดีคิดอะไรขึ้นมาแล้วธนาคารล่มสลาย
00:28:27 → 00:28:30 ไปเลยก็ได้นะครับเพราะฉะนั้นตอนนี้ครับ
00:28:30 → 00:28:34 ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเร็ว
00:28:34 → 00:28:36 ต้องบอกว่าอย่างรวดเร็วนะครับเวลาเราคิด
00:28:36 → 00:28:39 อนาคตเนี่ยเราคิดแทบไม่ออกว่าเราจะอยู่
00:28:39 → 00:28:44 ยังไงอีกหน่อยเขาบอกมหาลัยก็จะคนเรียน
00:28:44 → 00:28:47 น้อยอาจจะไม่มีเลยนะครับบางกระแสบอกว่า
00:28:47 → 00:28:51 ห้างไหนจะกลายเป็นแค่โชว์รูมคือคนเนี่ย
00:28:51 → 00:28:54 ซื้อออนไลน์กันหมดนะครับบางคนก็อาจจะรู้
00:28:54 → 00:28:58 สึกว่าเอ๊ะเราจะอยู่กับโลกใบนี้ได้อย่าง
00:28:58 → 00:29:00 ไรผมคิดว่าสิ่งที่มันทำให้เราอยู่ได้ก็
00:29:00 → 00:29:02 คือเราเว้นช่องว่างเอาไว้ให้ความเปลี่ยน
00:29:02 → 00:29:05 แปลงคือเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรา
00:29:05 → 00:29:09 เป็นเนี่ยไม่ได้มีตัวตนที่ตายตัวในยุคนี้
00:29:09 → 00:29:11 คุณจะคิดไม่ได้นะครับอาชีพของคุณเนี่ย
00:29:11 → 00:29:13 มั่นคงปลอดภัย
00:29:13 → 00:29:15 ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็คือคนที่ไม่เข้าใจ
00:29:15 → 00:29:19 โลกคนที่อายุ 60 ไปแล้วนะถือว่าเป็นคนที่
00:29:19 → 00:29:22 ผมคิดว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกและ
00:29:22 → 00:29:27 เพราะคุณก็เดี๋ยวคุณก็ตายจากโลกนี้ไปผมก็
00:29:27 → 00:29:29 อยากจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันนะครับไม่
00:29:29 → 00:29:32 ได้ที่พูดอยู่นี่ไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่นาน
00:29:32 → 00:29:35 นะครับก็คือถ้าเรา 60 นี้ป่านนี้แล้วก็
00:29:35 → 00:29:38 โอ้ไม่ต้องมานั่งเรียนรู้อะไรเยอะแยะแต่
00:29:38 → 00:29:40 พอเราอายุไม่ได้เป็นอย่างนั้นเราต้องมา
00:29:40 → 00:29:40 นั่ง
00:29:40 → 00:29:44 เรียนรู้ต้องมานั่งปากตามอะไรทุกสิ่งทุก
00:29:44 → 00:29:48 อย่างซึ่งอนาคตก็ไม่มีใครบอกได้ปัจจุบัน
00:29:48 → 00:29:52 นี้เนี่ยมีอยู่ 2 กระแสนะครับคะนัก
00:29:52 → 00:29:55 เศรษฐศาสตร์ฝั่งที่มองโลกในเชิงบวกบอกว่า
00:29:55 → 00:29:59 เทคโนโลยีต่างๆจะมาช่วยมนุษย์ทำให้มนุษย์
00:29:59 → 00:30:02 เนี่ยอำนวยความสะดวกมากขึ้นแล้วก็จะมี
00:30:02 → 00:30:05 อาชีพใหม่ๆมากขึ้นอันนี้คือมองโลกในเชิง
00:30:05 → 00:30:10 บวกแต่นักเศรษฐศาสตร์บางคนก็อาจบอกว่า
00:30:10 → 00:30:14 มันจะมีอาชีพใหม่ๆมาแทนมนุษย์ได้เยอะขนาด
00:30:14 → 00:30:18 นั้นได้ยังไงในเมื่อมนุษย์จะตกงานกันเยอะ
00:30:18 → 00:30:22 มากๆนะครับตกงานกันเยอะมากๆเพราะว่ามันมี
00:30:22 → 00:30:26 คุณยนต์มาแทนมันมีแอพพลิเคชั่นต่างๆมาแทน
00:30:26 → 00:30:31 มันมีเทคโนโลยีมันมีระบบต่างๆเข้ามาแทนผม
00:30:31 → 00:30:33 ก็ยังคิดอยู่ว่าเอ่อโลกนี้มันจะเป็นยังไง
00:30:33 → 00:30:37 นะครับมันจะเป็นอย่างไรซึ่งสิ่งเหล่านี้
00:30:37 → 00:30:38 ครับ
00:30:38 → 00:30:41 ถ้ามันเข้ามากระตุ้นอยู่เสมอเสมอเมื่อคุณ
00:30:41 → 00:30:44 มีความเปลี่ยนแปลงคุณลองดูนะครับเมื่อ
00:30:44 → 00:30:48 ก่อนผู้ชายชอบผู้หญิงคนนึงต้องนัดต้อง
00:30:48 → 00:30:51 เขียนจดหมายถึงไหมครับคุณเขียนจดหมายคุณ
00:30:51 → 00:30:55 ส่งใบบางทีเป็นโทรเลขส่งไปกว่าจะได้รับนะ
00:30:55 → 00:30:58 ครับกว่าจะมองตากันกว่าจะเข้าใจกว่าจะนัด
00:30:58 → 00:31:02 กันมันนานมากเดี๋ยวนี้ก็ก็แค่ Facebook
00:31:02 → 00:31:07 ทักไปนะครับคุยกันแป๊บเดียวคุณอกหักคุณก็
00:31:07 → 00:31:11 เจอคนใหม่ได้ Shopping ใครหน้าตาดีๆเข้า
00:31:11 → 00:31:15 ไปคุยเมื่อก่อนนี่สมัยยุคผมนี่ยังต้องไป
00:31:15 → 00:31:17 เหมาะสำหรับผู้ชายอยากเจอผู้หญิงก็ไป
00:31:17 → 00:31:21 เที่ยวไปเที่ยวกลางคืนเด็กวัยรุ่นยุคนั้น
00:31:21 → 00:31:24 นะครับก็ไปเที่ยวคืนเดือนนี้ไม่ต้องไปแต่
00:31:24 → 00:31:28 นี้อยากช็อปปิ้งหาแฟนก็กดโทรศัพท์
00:31:28 → 00:31:30 ตัวอย่างที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทุกวันนี้
00:31:30 → 00:31:33 นะครับ 1 ใน 3 เนี่ย
00:31:33 → 00:31:36 ค่าของคนที่แต่งงานกันเนี่ย 3 คู่จะมี
00:31:36 → 00:31:40 อยู่ 1 คู่เจอกันในเว็บไซต์เว็บไซต์หาคู่
00:31:40 → 00:31:43 คือพูดง่ายว่าเขา
00:31:43 → 00:31:47 แต่เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ในทางทางในทาง
00:31:47 → 00:31:51 ที่เราเจอกันเป็นปกติก็คือไปหลังจากที่
00:31:51 → 00:31:53 เจอกันในเว็บไซต์หาคู่เนี่ยจึงไปนัดเดท
00:31:53 → 00:31:56 ต่างๆกันนะครับเพราะฉะนั้นมันจะมีเรื่อง
00:31:56 → 00:31:58 เหล่านี้ครับเข้ามาเยอะมากขึ้นมากขึ้น
00:31:58 → 00:32:02 เมื่อคนมีสิ่งที่ล่อตาล่อใจมากขึ้นจิตใจ
00:32:02 → 00:32:04 ก็เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น
00:32:04 → 00:32:08 ขอแค่คุณจะไปเที่ยวคุณคิดว่าจะไปเที่ยว
00:32:08 → 00:32:11 ภูเก็ตอยู่ดีๆ Facebook อาจจะเด้งทะเลที่
00:32:11 → 00:32:14 กระบี่ขึ้นมาคุณก็รู้สึกว่าไม่ไปภูเก็ต
00:32:14 → 00:32:18 และไปกระบี่ดีกว่านะครับแม้แต่ตอนที่ผม
00:32:18 → 00:32:21 เป็นนักแต่งเพลงนะครับรุ่นพี่ของผมบอกว่า
00:32:21 → 00:32:24 ตอนนี้เราไม่ต้องทำแล้วนะทั้งอัลบั้มมัน
00:32:24 → 00:32:28 ช้าแล้วทำแค่เพลงเดียวเพลงเดือนแล้วก็ยิง
00:32:28 → 00:32:31 ต่อไปถ้าออกไปแล้วไม่ดังเราเก็บกลับมาเลย
00:32:31 → 00:32:34 เราไม่ต้องเสียเวลาและ 10 เพลงนี้เขาไม่
00:32:34 → 00:32:39 ฟังและไปก่อนเพลงทุกเพลงดัง 10 เพลงคนมี
00:32:39 → 00:32:43 เวลาเยอะนะครับมีเวลาเยอะจะพูดไม่มีเวลา
00:32:43 → 00:32:46 เยอะก็ไม่ได้เพราะเวลามัน 24 ชั่วโมงเท่า
00:32:46 → 00:32:47 กัน
00:32:47 → 00:32:52 มีแต่ว่าคนให้เวลากับตัวเองเยอะ
00:32:52 → 00:32:55 ดีมากกว่าคนยุคนี้คนยุคนี้ไม่ได้ให้เวลา
00:32:55 → 00:32:58 กับตัวเองพอไม่ได้ให้เวลากับตัวเองครับผม
00:32:58 → 00:33:01 นานวันเข้านานวันเข้านะครับเราฟังแต่จาก
00:33:01 → 00:33:03 กระแสที่มันอยู่ข้างนอก
00:33:03 → 00:33:05 ถ้าเราฟังแต่สิ่งที่อยู่ข้างนอกที่เรา
00:33:05 → 00:33:08 ต้องดิ้นรนขนขวายข้างนอกมันเข้ามามากขึ้น
00:33:08 → 00:33:12 มากขึ้นแต่เราไม่เคยสังเกตจิตใจตนเอง
00:33:12 → 00:33:15 แต่พอนานวันเข้ากลายเป็นความเหงาที่มัน
00:33:15 → 00:33:19 ทับถมกลายเป็นความโกรธที่มันทับถมบางที
00:33:19 → 00:33:21 เราโกรธเธอเราไม่รู้ว่าเราโกรธอะไรนะครับ
00:33:21 → 00:33:24 คือมันเหมือนหงุดหงิดไปทุกเรื่องอันนี้นะ
00:33:24 → 00:33:28 ครับอาการแบบนี้ผมจะเรียกว่าการโกรธโลก
00:33:28 → 00:33:31 แต่มันเหมือนคุณหาสาเหตุไม่เจอแต่คุณรู้
00:33:31 → 00:33:34 สึกตัวอีกทีคุณเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นใจ
00:33:34 → 00:33:38 ร้อนอยู่ตลอดเวลาโทษสิ่งต่างๆตลอดเวลามอง
00:33:38 → 00:33:41 โลกเชิงลบอยู่ตลอดเวลาพวกนี้ครับมันเกิด
00:33:41 → 00:33:45 จากการที่เราไม่ได้เข้ามาทำความรู้จักตน
00:33:45 → 00:33:49 เองเราไม่ได้ให้เวลาตนเองในการพักผ่อนทาง
00:33:49 → 00:33:51 จิตวิญญาณ
00:33:51 → 00:33:54 อยู่ในชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้ครับเวลาที่
00:33:54 → 00:33:57 เราจะใช้เวลาในทุกคนสังเกตนะครับเราจะใช้
00:33:57 → 00:34:01 เวลาไปกับสิ่งที่เพิ่มผลผลิตเท่านั้น
00:34:01 → 00:34:03 แต่ถ้าเราใช้เวลาไปกับการเพิ่มผลผลิต
00:34:03 → 00:34:06 เนี่ยเราจะรู้สึกว่าสิ่งเนี้ยเป็นการใช้
00:34:06 → 00:34:10 เวลาอย่างมีคุณค่าเช่นการอ่านหนังสือหรือ
00:34:10 → 00:34:14 เป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าจนนะครับการ
00:34:14 → 00:34:16 ออกกำลังกายไปเป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณ
00:34:16 → 00:34:21 ค่าทำงานเป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าเล่น
00:34:21 → 00:34:24 กีฬาต่างๆแต่คำถามคือเวลาที่คุณอยู่คน
00:34:24 → 00:34:27 เดียวเนี่ยเงียบๆเป็นการใช้เวลาอย่างมี
00:34:27 → 00:34:29 คุณค่าไหมจงเนี้ย
00:34:29 → 00:34:33 ก็คือชีวิตมันต้องมีทุกมิตินะครับมิติที่
00:34:33 → 00:34:36 เราอยู่ครอบครัวมิติที่เราอยู่กับการงาน
00:34:36 → 00:34:40 มิติที่เราทำกิจกรรมอันเป็นที่รักมิติที่
00:34:40 → 00:34:44 เราจะอยู่ลำพังตัวคนเดียวกับตัวเองพูดคุย
00:34:44 → 00:34:48 กับตัวเองเองหายใจหายคอบ้างอันนี้คือ
00:34:48 → 00:34:52 จำเป็นกับว่าเราเนี่ยถูกสายพานชีวิตผม
00:34:52 → 00:34:54 อยากจะเรียกว่าสายพานชีวิตก็คือเราไม่
00:34:54 → 00:34:57 ต้องคิดอะไรระบบชีวิตมันจัดการให้เรา
00:34:57 → 00:35:01 เสร็จเราตื่นมาปุ๊บแล้วก็ไปทำงาน
00:35:01 → 00:35:04 อีกแปดชั่วโมง 9 ชั่วโมงวิ่งวิ่งวิ่งไป
00:35:04 → 00:35:07 ตามที่ทำงานเพราะทำงานเสร็จแล้วก็ขับรถ
00:35:07 → 00:35:10 กลับบ้านกลับบ้านเสร็จเพราะเข้ามาในบ้าน
00:35:10 → 00:35:13 มันก็มีรูปเดิมๆที่เราทำไม่ได้มีเวลาไร
00:35:13 → 00:35:16 อยู่กับตนเองแล้วเราทำทุกอย่างจนหมดเป็น
00:35:16 → 00:35:19 ที่นะครับแม้แต่ก่อนนอนแล้วก็ยังเช็ค
00:35:19 → 00:35:23 โทรศัพท์ทำทุกอย่างคือถ้าเป็นภาษาธรรมะใน
00:35:23 → 00:35:26 คือส่งจิตออกนอกตลอดเวลาชมจิตออกนอกไป
00:35:26 → 00:35:30 เรื่อยๆนะครับพอนานวันเข้ามันสะสมแล้วมัน
00:35:30 → 00:35:34 เหนื่อยมันล้ามันกลายเป็นว่าคนในยุค
00:35:34 → 00:35:35 ปัจจุบันนี้เป็นโรคซึมเศร้ากันมากเพราะ
00:35:35 → 00:35:40 แบบนี้ครับคือไม่ให้เวลากับตนเองเลยแต่พอ
00:35:40 → 00:35:42 ให้เวลากับตนเองแล้วก็ถามว่า
00:35:42 → 00:35:46 อีกแล้วฉันจะเอาเวลาที่ไหนจบนะครับไก่คำ
00:35:46 → 00:35:49 ถามอย่างแท้จริงก็คือเราคิดว่าถ้าเราจะ
00:35:49 → 00:35:51 ให้เวลากับตนเองจริงๆเราคิดว่ามันให้ได้
00:35:51 → 00:35:56 ไหมให้ได้นะครับแต่คำว่าแล้วฉันจะเอาเวลา
00:35:56 → 00:36:00 ที่ไหนมาให้ตัวเองเนี่ยมันมาจากการชิน
00:36:00 → 00:36:03 ก็คือเราชินบางทีเราทำแต่เราไม่รู้ว่าเรา
00:36:03 → 00:36:07 ทำไปทำไมนึกออกไหมครับเราเอาโทรศัพท์มาดู
00:36:07 → 00:36:10 นี่มันไม่ใช่ว่ามีเหตุผลอะไรนะครับคือมัน
00:36:10 → 00:36:15 ชินชินเป็นนิสัยคือไม่รู้ในสามารถทำไป
00:36:15 → 00:36:18 ทำไมมันเหมือนคุณขึ้นไปบนรถเนี่ยบางคน
00:36:18 → 00:36:23 ชื่อหรือไม่ว่าไม่เคยที่จะไม่เปิดเพลง
00:36:23 → 00:36:27 ก็เพราะปิดเพลงใบก็เฮ้ยทำไมมันเงียบๆตอน
00:36:27 → 00:36:31 แรกรู้สึกขัดๆมันเงียบๆแต่ฟังเงียบไปเออ
00:36:31 → 00:36:35 ดีเหมือนกันเพราะมันชินมันเหมือนจะเข้ามา
00:36:35 → 00:36:38 ถึงปุ๊บกดเปิดเพลง
00:36:38 → 00:36:42 จะเข้าไปบ้านปุ๊บเปิดทีวีในยุคสมัยนี้ผม
00:36:42 → 00:36:45 เคยฟังนะครับผมเคยฟังคนที่ซื้อช่องซื้อ
00:36:45 → 00:36:49 ช่องทีวีดิจิตอลเนี่ยฟังสัมภาษณ์เขามีบท
00:36:49 → 00:36:52 สัมภาษณ์เขาถามว่าทำไมคุณจึงลงทุนเป็นพัน
00:36:52 → 00:36:56 พันล้านมาซื้อทีวีเพราะว่าคนเนี่ยจะไม่ดู
00:36:56 → 00:36:59 ทีวีกันแล้วฮะคนที่ให้สัมภาษณ์นะครับที่
00:36:59 → 00:37:02 เขาเป็นเจ้าของช่องเนี่ยเขาบอกว่าก็เพราะ
00:37:02 → 00:37:06 ว่าทุกวันนี้มันยังไม่มีอะไรแทนการเปิด
00:37:06 → 00:37:09 ทิ้งได้
00:37:09 → 00:37:12 เธอคือคนที่เข้ามาปุ๊บต้องเปิดทีวีทิ้ง
00:37:12 → 00:37:16 ทิ้งไว้เป็นเพื่อนแล้วคุณก็ไปกวาดบ้านทุก
00:37:16 → 00:37:19 สิ่งทุกอย่างเราจะต้องเปิดทีวีทิ้งไว้ไม่
00:37:19 → 00:37:22 ทีวีก็วิทยุต้องเปิดทิ้งไว้
00:37:22 → 00:37:24 นะเนี่ยคือเราทำสิ่งนี้ครับ
00:37:24 → 00:37:27 อ่าจนมันกลายเป็น
00:37:27 → 00:37:28 มีนิสัย
00:37:28 → 00:37:31 อ่าจนมันกลายเป็นว่าเราเนี่ยจริงๆแล้วไม่
00:37:31 → 00:37:33 ใช่ว่าเราไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองนะครับ
00:37:33 → 00:37:35 ไม่มีไม่ใช่ว่าเราไม่มีเวลาอยู่กับความ
00:37:35 → 00:37:39 เงียบแต่ว่าเราอ่ะไม่ให้ตัวเอง
00:37:39 → 00:37:42 แล้วการไม่ให้ตัวเองเราเนี่ยไม่ใช่ว่าเรา
00:37:42 → 00:37:45 ตั้งใจเราไม่ได้ตั้งใจแต่เราไม่ให้ตัวเอง
00:37:45 → 00:37:48 เพราะว่าเราชินเราชินกับพฤติกรรมแบบนี้
00:37:48 → 00:37:52 เพราะฉะนั้นเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงนะครับ
00:37:52 → 00:37:55 เวลาที่คุณเริ่มที่จะศึกษาธรรมะเนี่ยไม่
00:37:55 → 00:37:58 ต้องไปดูสิ่งที่ไกลตัวนะครับให้เริ่มต้น
00:37:58 → 00:38:03 จากการที่ว่าคุณต้องมีเวลาให้ตัวเองอาจจะ
00:38:03 → 00:38:06 ไม่ยังไม่ถึงขนาดต้องพิจารณาธรรมะด้วยซ้ำ
00:38:06 → 00:38:09 แค่มีเวลาว่าเรานั่งเลยเฉยและเราดูละม้าย
00:38:09 → 00:38:13 ใจหายใจเข้าหายใจออกคุณลองดูนะครับ
00:38:13 → 00:38:17 มีการหายใจเข้าหายใจออกยาวเนี่ย
00:38:17 → 00:38:20 แต่มันเป็น Common Sense ของเราเลย
00:38:20 → 00:38:22 วันเวลาที่เราเหนื่อยเราหายใจเข้าหายใจ
00:38:22 → 00:38:26 ออกเวลาที่เราตื่นเต้น
00:38:26 → 00:38:28 ถ้าเราจะหายใจเข้าหายใจออกด้วยที่ไม่มี
00:38:28 → 00:38:31 ใครสอนนะเวลาที่เราตื่นเต้นมากๆแล้วจะรู้
00:38:31 → 00:38:34 ว่าเราต้องรู้ลมหายใจเข้าออกโดยอัตโนมัติ
00:38:34 → 00:38:37 เวลาที่เราตื่นเต้นมากๆเราจะต้องการอยู่
00:38:37 → 00:38:41 ความเงียบอยู่เงียบๆหายใจเข้าหายใจออกยาว
00:38:41 → 00:38:45 บอกตัวเองมากมีสติมีสติมีสติเนี่ยมันคือ
00:38:45 → 00:38:48 เส้นโดยที่ไม่ต้องมีชุดความรู้ทางศาสนา
00:38:48 → 00:38:51 อะไรเข้าไปเลยมันผูกติดกับมนุษย์อยู่แล้ว
00:38:51 → 00:38:55 แต่ว่าเราเราไม่ได้ให้ตัวเองเลยตลอดระยะ
00:38:55 → 00:38:58 เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาแล้วก็ดูเหมือนว่า
00:38:58 → 00:39:01 มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากขึ้นมากขึ้นมาก
00:39:01 → 00:39:05 ขึ้นไอ้การให้เวลากับตัวเองนะครับ
00:39:05 → 00:39:08 แต่พอมันทับถมนานวันเข้านั้นวันเข้าเรา
00:39:08 → 00:39:11 จึงไม่ได้เป็นตัวของตัวเองทุกสิ่งทุก
00:39:11 → 00:39:13 อย่างที่เราต้องการที่เราคิดว่าเรา
00:39:13 → 00:39:17 ต้องการทาบจะไม่มีอะไรเลยที่มันเป็นความ
00:39:17 → 00:39:20 ต้องการที่แท้จริงของเรามันเป็นความ
00:39:20 → 00:39:23 ต้องการที่เราคิดเอาเองว่าเราต้องการ
00:39:23 → 00:39:27 เพราะว่าเราฟังมากเกินไปเราดูแต่ทีวีดู
00:39:27 → 00:39:30 แต่รายการดูแต่วิทยุดูแต่ข่าวที่มัน
00:39:30 → 00:39:34 ประโคมมเข้ามาเรื่อยๆนะครับเวลาที่เราจะ
00:39:34 → 00:39:36 กระโดดอะไรได้ไกลนะครับสังเกตดูเราจะหยุด
00:39:36 → 00:39:39 หยุดไม่พอเราถอยหลัง
00:39:39 → 00:39:41 มีการหยุดแล้วถอยหลังนะมันทำให้เรากระโดด
00:39:41 → 00:39:44 ได้ไกลกว่าเดิมถ้าสมมติว่าเราเป็นคนที่
00:39:44 → 00:39:47 วิ่งแล้วเราต้องการกระโดดกระโดดไปเลยมัน
00:39:47 → 00:39:50 จะมันจะไปไม่ได้นะครับมันเหมือนกับชีวิต
00:39:50 → 00:39:53 เนี่ยมันต้องการการเว้นระยะชีวิตมัน
00:39:53 → 00:39:56 ต้องการอะไรที่มันเคลียร์นะครับทุกๆครั้ง
00:39:56 → 00:39:59 ต้องเคลียร์เวลาจะทำอะไรใหม่ๆต้องเคลียร์
00:39:59 → 00:40:02 ในชีวิตประจำวันการที่เราไม่รู้จัก
00:40:02 → 00:40:05 เคลียร์ชีวิตมันทำให้อดีตบางสิ่งบางอย่าง
00:40:05 → 00:40:08 ที่มันนานมาแล้วนะครับบางทีคุณฝังใจไว้
00:40:08 → 00:40:10 ตั้งแต่เด็กๆมันยังมีอิทธิพลกับคุณอยู่
00:40:10 → 00:40:13 เลยมันหลายสิบปีมาแล้วนะครับแต่ว่าสิ่ง
00:40:13 → 00:40:16 นั้นเนี่ยมันยังสร้างความเจ็บปวดอยู่มัน
00:40:16 → 00:40:19 ยังสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจสร้างความมั่น
00:40:19 → 00:40:22 อกมั่นใจแบบนี้ครับอันนี้มันคือการที่เรา
00:40:22 → 00:40:26 ไม่เคลียร์ไม่เคยเคลียร์กับตนเองบางคนโต
00:40:26 → 00:40:30 มามากแล้วนะครับก็ยังฝังใจว่าพ่อแม่ไม่
00:40:30 → 00:40:33 ได้ดูแลตอนวัยเป็นเด็กแล้วก็ปัญหาเนี่ย
00:40:33 → 00:40:36 มันก็สะสมสะสมมาเรื่อยๆ
00:40:36 → 00:40:39 ก็เพราะฉะนั้นเนี่ยเราหาหาช่วงเวลาที่
00:40:39 → 00:40:42 อยู่กับตนเองอาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่มัน
00:40:42 → 00:40:46 ตายตัวเสมอไปแต่เราต้องมีเวลาอยู่เงียบๆ
00:40:46 → 00:40:47 คิด
00:40:47 → 00:40:50 เมื่อพิจารณา
00:40:50 → 00:40:52 และเมื่อเราอยู่กับตนเองแล้วนะครับเราจะ
00:40:52 → 00:40:56 มีภูมิคุ้มกันสังคมภูมิคุ้มกันสังคมหมาย
00:40:56 → 00:41:00 ความว่าเราเริ่มเข้าใจตนเองว่าอะไรกันแน่
00:41:00 → 00:41:03 เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายที่แท้จริง
00:41:03 → 00:41:06 ชีวิตของเราอะไรกันแน่ที่มันเป็นสิ่งที่
00:41:06 → 00:41:11 เราคิดว่าเราจะมีเพื่อให้คนอื่นพอใจ
00:41:11 → 00:41:14 ถ้าคุณลองพิจารณาดูดีๆนะครับสมมติว่าใน
00:41:14 → 00:41:17 ชีวิตของเราเนี่ย
00:41:17 → 00:41:20 ถ้าผมยกตัวอย่างแบบสุดโต่งเลยนะครับสุด
00:41:20 → 00:41:25 โต่งเลยคุณคิดว่าใช้คุณอยู่คนเดียวในโลก
00:41:25 → 00:41:30 ถ้าคุณยังจะแต่งตัวสวยๆหรือไม่
00:41:30 → 00:41:34 อันนี้ผมยกตัวอย่างแบบสุดโต่งนะครับอ่ะ
00:41:34 → 00:41:36 ก็เพราะฉะนั้นโครงสร้างในการ
00:41:36 → 00:41:40 แต่งหน้าทาปากหรือทำตัวให้ดูดีๆเนี่ยจริง
00:41:40 → 00:41:44 ๆแล้วมันไม่ได้เป็นการทำเพราะว่าเพราะว่า
00:41:44 → 00:41:48 อะไรอื่นนอกจากให้คนอื่นมองเราดีให้คน
00:41:48 → 00:41:52 อื่นชอบเรามองเราว่าสวยแต่ผมไม่ได้บอกให้
00:41:52 → 00:41:54 ทุกคนแบบปล่อยตัวเองให้โทรมนะครับไม่ได้
00:41:54 → 00:41:57 หมายความเช่นนั้นแต่การที่เราจะทำอะไรเรา
00:41:57 → 00:42:02 ต้องรู้ว่าลึกๆสุดท้ายเนี่ยเราทำมันไป
00:42:02 → 00:42:07 เพื่ออะไรลึกๆเนี่ยเราทำเพื่ออะไร
00:42:07 → 00:42:09 เจาะลึกๆแล้วส่วนใหญ่ในชีวิตเรามีหลาย
00:42:09 → 00:42:13 สิ่งหลายอย่างนะครับที่ทำเพื่อคนอื่นเช่น
00:42:13 → 00:42:17 พ่อแม่คนหนึ่งดิ้นรนส่งลูกเรียนโรงเรียน
00:42:17 → 00:42:18 ที่ดีที่สุด
00:42:18 → 00:42:22 ข้อสอบเข้ายากที่สุดให้ลูกเรียนพิเศษเต็ม
00:42:22 → 00:42:26 ที่เพื่อที่ลูกจะสอบเข้าได้บางทีโครง
00:42:26 → 00:42:28 สร้างลึกๆของพ่อแม่คนนั้นอาจจะไม่ได้ทำ
00:42:28 → 00:42:30 เพื่อลูกก็ได้นะครับ
00:42:30 → 00:42:33 ก็อาจจะทำเพื่อตัวเองก็ได้อาจจะเป็นการ
00:42:33 → 00:42:37 สนองอัตตาตัวตนของตัวเองก็ได้ลองสังเกตดู
00:42:37 → 00:42:39 นะครับในชีวิตเราเนี่ยเราจะมีเรื่องที่
00:42:40 → 00:42:43 เราคุยโวโอ้อวดกันเป็นยุคไปถ้าคุณเป็น
00:42:43 → 00:42:46 เด็กคุณคุยโวโอ้อวดเรื่องความสวยความงาม
00:42:46 → 00:42:50 ของตัวเองคุยโวโอ้อวดด้วยการแต่งตัวมา
00:42:50 → 00:42:54 ประกวดประชันกันเพราะคุณเริ่มอยู่ในวัยทำ
00:42:54 → 00:42:56 งานไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องคุณแต่งตัวแล้ว
00:42:56 → 00:43:00 เขาจะถามว่าคุณทำงานอะไรล่ะ
00:43:00 → 00:43:02 แต่ตอนมหาลัยก็ถามว่าคุณเรียนอยู่มหาลัย
00:43:02 → 00:43:06 อะไรถ้าเด็กคนไหนเรียนอยู่มหาลัยเท่ๆ
00:43:06 → 00:43:10 หน่อยก็ก็อยากจะบอกคนไหนเรียนมหาลัยทั่ว
00:43:10 → 00:43:14 ไปก็เงียบๆหน่อยพอเราโตมาหน่อยแล้วถามคุณ
00:43:14 → 00:43:15 ทำงานอะไร
00:43:15 → 00:43:18 ก็เพราะถึงจุดหนึ่งมันคุยกันเรื่องตัวเอง
00:43:18 → 00:43:22 จนไม่รู้จะคุยยังไงแล้วเริ่มอวดลูกกันลูก
00:43:22 → 00:43:25 คุณทำอะไรลูกฉันอันนี้ลูกอันนี้
00:43:25 → 00:43:27 และทรัพย์สินต่างๆ
00:43:27 → 00:43:30 แต่ถ้าเป็นคนที่มีเงินมากๆจะคุยกันคุณทำ
00:43:30 → 00:43:33 อะไรเพื่อสังคมบ้างผมทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
00:43:33 → 00:43:37 มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
00:43:37 → 00:43:40 มาถึงจุดหนึ่งเนี่ยถ้าเราดูจริงในชีวิต
00:43:40 → 00:43:44 เรานะครับถ้าเอาเป็นจริงๆเนี่ยมันน้อยมาก
00:43:44 → 00:43:46 นะครับที่เราจะซื้อของเพื่อตนเองอย่างแท้
00:43:46 → 00:43:50 จริงถ้าเราตัดโครงสร้างที่ที่เราอยากให้
00:43:50 → 00:43:53 ผู้อื่นมองว่าเราดีนะครับถ้าเราไปดูของ
00:43:53 → 00:43:56 ที่เรามีมันน้อยมากๆเลย
00:43:56 → 00:43:59 แต่บางคนคุณลองสังเกตดูสมณคุณสร้างบ้าน
00:43:59 → 00:44:02 หลังหนึ่งสมมุติบ้านคุณสวยมากคุณจะอยาก
00:44:02 → 00:44:05 ให้เพื่อนมาเที่ยวและตัวไหมครับเพราะ
00:44:05 → 00:44:09 เพื่อนไม่มาเลยคุณเริ่มจะเบื่อเบื่อการทำ
00:44:09 → 00:44:12 ความสะอาดเบื่อการตกแต่งคุณก็เริ่มปล่อยๆ
00:44:12 → 00:44:15 ไปเรื่อยๆสุดท้ายแล้วเนี่ยเราอยากมีบ้าน
00:44:15 → 00:44:18 หลังหนึ่งเนี่ยบางทีเราไม่ได้อยากมีเพื่อ
00:44:18 → 00:44:21 การอยู่อาศัยเราอยากมีเพื่อให้คนนั้นคน
00:44:21 → 00:44:25 นี้เข้ามารู้สึกว่าบ้านเราหลังใหญ่หลังโต
00:44:25 → 00:44:28 อย่างนี้เป็นต้นนะครับชีวิตเราเนี่ยถ้า
00:44:28 → 00:44:30 เป็นอิสรภาพจาก
00:44:30 → 00:44:34 หน้าใส่ตาของผู้อื่นได้นะครับคุณจะพบว่า
00:44:34 → 00:44:36 คุณมีเงินเหลือเยอะแยะเต็มไปหมด
00:44:36 → 00:44:39 ถ้าคุณลองคิดดูเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชาย
00:44:39 → 00:44:43 ให้ความสำคัญกับล้อรถยนต์อย่างเงี้ยรถ
00:44:43 → 00:44:44 ยนต์มันก็วิ่งได้
00:44:44 → 00:44:47 แม้แต่พระคุณมีร้องเข้ามาใส่โอ้คุณรู้สึก
00:44:47 → 00:44:50 ว่ามันสวยได้จริงๆแล้วมันมีแค่คุณนะที่
00:44:50 → 00:44:55 เห็นคนอื่นไม่รู้หรอกว่ารอคุณมันประกอบ
00:44:55 → 00:44:58 ด้วยหลายมันทำจากอะไรมันแพงส่วนใหญ่คนที่
00:44:58 → 00:45:01 มีทรัพย์สินนะครับจะคิดเอาเองว่าผู้อื่น
00:45:01 → 00:45:04 มองทรัพย์สินของเขาเขาก็เลยพยายามหามาแปะ
00:45:04 → 00:45:07 แต่จริงๆเวลาที่เราเห็นคนอื่นแต่งตัวดีๆ
00:45:07 → 00:45:12 เนี่ยคำถามคือเราไปสนใจอะไรมากมายนะครับ
00:45:12 → 00:45:15 ถ้าเราอยากไปดูรุ่นไว้ว่ากระเป๋าเขามัน
00:45:15 → 00:45:18 รุ่นอะไรมันรุ่นนี้แต่มันมีซีรีส์ไอ้รุ่น
00:45:18 → 00:45:21 นี้มันเป็นซีรีส์ไหนล่ะมันสิไอ้รุ่นนี้
00:45:21 → 00:45:24 มันมีหลายหลายหลายสเต็ปนะเหมือนรถยนต์
00:45:24 → 00:45:28 สมุดว่ามันเป็นรถรุ่นนึงมันก็จะมีแบบตัว
00:45:28 → 00:45:31 Top ตัวไม่ Top อะไรเราไม่ได้สนใจมีแต่
00:45:31 → 00:45:36 คนที่มีมันเท่านั้นที่สนใจแล้วเขาก็เริ่ม
00:45:36 → 00:45:38 ยอมจ่ายราคาแพง
00:45:38 → 00:45:42 ก็เพราะว่าคิดว่าคนอื่นจะมีแว่นขยายไป
00:45:42 → 00:45:46 ส่องสิ่งเหล่านั้นนะครับซึ่ง
00:45:46 → 00:45:49 มีทุกสิ่งทุกอย่างมาเลยมีชีวิตที่ยาก
00:45:49 → 00:45:51 ลำบากเกินความจําเป็น
00:45:51 → 00:45:54 แต่ความจริงแล้วเนี่ยถ้าคนคนหนึ่งนะครับ
00:45:54 → 00:45:58 พัฒนาศักยภาพการงานของตนเองหาความรู้อยู่
00:45:58 → 00:46:02 เสมอเสมอนะครับมีความรู้กว้างไกลคิดว่า
00:46:02 → 00:46:05 การหาความรู้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต
00:46:05 → 00:46:07 เหมือนกินข้าว
00:46:07 → 00:46:10 และสนุกกับการหาความรู้เรียนรู้จากการ
00:46:10 → 00:46:14 อ่านกันฟังหรืออะไรก็ตามแต่แล้วลดทอน
00:46:14 → 00:46:17 กิเลสลงมารู้จักเรื่องของคุณค่าแท้คุณค่า
00:46:17 → 00:46:22 เทียมคนแบบนี้ถ้าไม่มีหนี้สิน
00:46:22 → 00:46:24 มาถึงจุดหนึ่งเขาจะกลายเป็นคนที่มี
00:46:24 → 00:46:28 ศักยภาพในการหาเงินได้เยอะมากเพราะเขามี
00:46:28 → 00:46:31 ความรู้กว้างไกลทนนะครับแต่ตัวตนของเขา
00:46:31 → 00:46:34 มองมาข้างในไม่ได้อยากได้อะไร
00:46:34 → 00:46:38 ก็ไม่มีอะไรที่อยากได้มีชีวิตที่สบายๆ
00:46:38 → 00:46:42 เรียบง่ายมีอะไรกินดีๆก็กินมีอะไรกิน
00:46:42 → 00:46:45 ธรรมดาธรรมดาก็มีความสุขวันไหนไปเที่ยว
00:46:45 → 00:46:50 ที่ดีๆมีคนพาไปก็มีความสุขวันไหนไปนอนที่
00:46:50 → 00:46:51 วัด
00:46:51 → 00:46:56 ที่แคปแคบเล็กๆไม่มีแอร์ก็มีความสุข
00:46:56 → 00:46:58 มีชีวิตเรียบง่ายนี่ไม่ได้แปลว่าต้องทำ
00:46:58 → 00:47:01 ตัวลำบากนะครับแต่ชีวิตเรียบง่ายแปลว่า
00:47:01 → 00:47:05 เมื่อคุณลำบากคุณก็มีความสุขเมื่อคุณมี
00:47:05 → 00:47:08 ชีวิตที่ดีคุณก็มีความสุขผมเคยเจอคนคน
00:47:08 → 00:47:11 หนึ่งนะครับเป็นคุณแม่ของเพื่อนเป็นชาว
00:47:11 → 00:47:15 อีสานเขาเป็นคนที่เขาบอกเลยว่าเขาเป็นคน
00:47:15 → 00:47:19 ที่กินง่ายกินง่ายอยู่ง่ายแต่ปรากฏว่า
00:47:19 → 00:47:22 เวลาลูกพาไปกินอะไรกินไม่ได้เลยแม้แต่
00:47:22 → 00:47:25 อย่างเดียวกินพิซซ่าก็ไม่ได้กินสุกี้กิน
00:47:25 → 00:47:27 ไม่ได้กินอาหารญี่ปุ่นก็ไม่ได้กินได้แต่
00:47:27 → 00:47:31 หันอีสานหนึ่งเดียวผมก็เลยบอกคุณแม่บอก
00:47:31 → 00:47:34 แม่คุณแม่ไม่ได้เป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย
00:47:34 → 00:47:38 คุณแม่เป็นคนที่กินของที่หาซื้อง่าย
00:47:38 → 00:47:40 2 อันนี้คือไม่เหมือนกัน
00:47:40 → 00:47:42 อยากกินง่ายอยู่ง่ายมันคือกินได้ทุกอย่าง
00:47:42 → 00:47:47 อาหารไทยอาหารญี่ปุ่นอาหารแขก
00:47:47 → 00:47:51 ว่ามันจะมีคน 2 แบบคนแบบนึงสมมุติให้กิน
00:47:51 → 00:47:55 อะไรเขาจะบอกไม่เคยกินแต่คนอีกแบบนึงที่
00:47:55 → 00:47:58 กินง่ายอยู่ง่ายไม่เคยกินไม่มีคำนี้ไม่
00:47:58 → 00:48:02 เคยกินก็คือลองกินคนบางคนไม่เคยกินก็จะ
00:48:02 → 00:48:06 ไม่เคยกินกินไม่เป็นผมบอกให้วิธีกินก็คือ
00:48:06 → 00:48:11 คุณผักเข้าป่าแล้วคุณเขียวๆไปเนี่ยคือคุณ
00:48:11 → 00:48:14 กินเป็นและถ้าทำอย่างนี้เพราะฉะนั้นชีวิต
00:48:14 → 00:48:18 เรียบง่ายไม่ใช่ชีวิตที่ปฏิเสธอะไรนะครับ
00:48:18 → 00:48:21 มีแต่เป็นชีวิตที่มีความสุขอยู่ได้โดยไม่
00:48:21 → 00:48:24 ขึ้นกับสิ่งที่คุณได้รับ
00:48:24 → 00:48:27 แต่ถ้าคุณมีชีวิตที่วันนึงคุณต้องไปนั่ง
00:48:27 → 00:48:30 รถเมล์คุณก็รู้สึกมีความสุขกับการผจญภัย
00:48:30 → 00:48:35 กับการที่เห็นชีวิตผู้คนมองหางามความสวย
00:48:35 → 00:48:39 งามของชีวิตแบบนั้นได้วันนึงคุณนั่งรถดีๆ
00:48:39 → 00:48:42 คุณก็มีความสุขแอร์เย็นๆไม่ต้องเบียด
00:48:42 → 00:48:45 เสียดยัดเยียดน่ะใครแล้วจริงๆแล้วนะครับ
00:48:45 → 00:48:49 ถ้าเป็นไปได้มนุษย์เราควรใช้ชีวิตให้หลาก
00:48:49 → 00:48:51 หลายรูปแบบ
00:48:51 → 00:48:53 ผู้ชมไม่ได้คุณเป็นคนมีเงินคุณเหนื่อยใช้
00:48:53 → 00:48:56 ชีวิตแบบคนมีเงินอย่างเดียวคุณไปใช้ชีวิต
00:48:56 → 00:49:00 ลำบากลำบากหรือบ้างนะครับคุณอาจจะลองเดิน
00:49:00 → 00:49:03 เท้าไปบ้างเดินจากนี้นะครับอาจจะเดินจาก
00:49:03 → 00:49:07 ที่นี่ไปสยามสแควร์ก็ได้ผมไม่ได้พูดเล่น
00:49:07 → 00:49:10 นะครับผมเพราะเป็นสิ่งที่ผมเคยทำผมไม่ได้
00:49:10 → 00:49:13 เดินจากที่เนี่ยไปสยามสแควร์แต่ผมเคยเดิน
00:49:13 → 00:49:17 จับสยามสแควร์ไปบางนาผมเคยทำหลายๆครั้ง
00:49:17 → 00:49:20 เลยไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะครับใช้คำว่า
00:49:20 → 00:49:24 หลายๆครั้งมันทำให้เราได้เห็นแง่มุมอะไร
00:49:24 → 00:49:29 ต่างๆเห็นวิถีชีวิตของคนคนนะครับเห็นว่า
00:49:29 → 00:49:32 เนี้ยห้างสรรพสินค้าที่มันถึงแพงมากๆก็มี
00:49:32 → 00:49:37 แล้วเดินกลับไปมันมีศอกมีซอยมีซอกนะครับ
00:49:37 → 00:49:40 มีร้านอาหารที่แม้กระทั่งแบบหนูอยู่เต็ม
00:49:40 → 00:49:44 ร้านไปหมดคนที่นั่งกินอยู่ก็เฉยๆก็มีอยู่
00:49:44 → 00:49:47 จริงๆเยอะแยะเต็มไปหมดมีอยู่จริงแล้วไม่
00:49:47 → 00:49:51 ใช่มีน้อยมีเยอะมากๆที่เขาไปนั่งกินแล้ว
00:49:51 → 00:49:53 ก็ไม่เดือดร้อนอะไร
00:49:53 → 00:49:55 แต่ผมเองก็เป็นคนที่กินแบบนั้นผมก็ไม่
00:49:55 → 00:49:58 เดือดร้อนอะไรแต่ถ้ามีให้เลือกก็เลือกใน
00:49:58 → 00:50:01 สิ่งที่มันดีกว่าแต่ถ้าจะต้องเป็นอย่าง
00:50:01 → 00:50:02 นั้นจริงไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง
00:50:02 → 00:50:07 ใหญ่เพราะว่าเราก็เคยไปทำแบบนั้นนะครับผม
00:50:07 → 00:50:10 คิดว่าสิ่งและสิ่งเหล่านี้มันคือการกิน
00:50:10 → 00:50:14 ง่ายอยู่ง่ายบางสิ่งบางอย่าง
00:50:14 → 00:50:18 แต่ของที่เราไม่เคยกินเราก็กินไม่ได้มี
00:50:18 → 00:50:22 ปัญหาอะไรนะครับใช้ชีวิตให้มีความสุขใน
00:50:22 → 00:50:26 ทุกๆรูปแบบแบบนี้นะครับวัตถุเงินทองเนี่ย
00:50:26 → 00:50:30 มันจะเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกเราเราจะ
00:50:30 → 00:50:33 ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งที่มันเป็นวัตถุเพราะ
00:50:33 → 00:50:37 ว่าเราใช้ชีวิตได้หลากหลายรูปแบบนะครับ
00:50:37 → 00:50:40 แล้วจริงๆแล้วในโลกใบนี้นะครับในชีวิตคน
00:50:40 → 00:50:43 ต่อคนในบางทีเข้าใจชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งคือ
00:50:43 → 00:50:47 ยากมากคนบางคนนี้อยู่บ้านนะครับอย่างข้าง
00:50:47 → 00:50:51 ๆบ้านผมนะครับมีคุณลุงอยู่คนนึงเขาขับถีบ
00:50:51 → 00:50:55 สามล้อเขาอยู่บ้านตอนกลางวันไม่ได้เพราะ
00:50:55 → 00:50:58 บ้านมันเป็นสังกะสีหมดเลยหมอเขาต้องไปจอด
00:50:58 → 00:51:02 สำรองนอนใต้ต้นไม้อยู่บ้านไม่ได้นะครับใน
00:51:02 → 00:51:05 ขณะที่ผมเคยฟังบทสัมภาษณ์ของดาราคนหนึ่ง
00:51:05 → 00:51:10 เขาบอกเขาคุยกับลูกว่าเนี่ยทุกคนโชคดีที่
00:51:10 → 00:51:13 ประเทศอย่างเรามีแอร์ทุกคนก็มีแอร์กันหมด
00:51:13 → 00:51:18 ใครจะไปนอนได้ห้องไม่มีแอร์แต่ในโลกนี้มี
00:51:18 → 00:51:20 คนนอนห้องไม่ใช่ห้องแอร์นี้เยอะมากนะครับ
00:51:20 → 00:51:24 ผมคิดว่าเป็นส่วนน้อยคนที่นอนห้องแอร์
00:51:24 → 00:51:27 เนี่ยอันนั้นมันแปลว่าเขาจำกัดชีวิตเขา
00:51:27 → 00:51:31 เข็นแค่ชีวิตแค่นี้นะครับตอนมัธยมในผมเคย
00:51:31 → 00:51:34 มีเพื่อนคนหนึ่งเขาเสียใจมากเขาบอกว่า
00:51:34 → 00:51:36 เนี่ยเวลาเขาเข้ามหาลัยในคุณพ่อก็จะซื้อ
00:51:36 → 00:51:39 โอเชให้คันนึง
00:51:39 → 00:51:42 ตั้งแต่ตอนเข้ามหาลัยจริงๆเขาซื้อแค่ SLK
00:51:42 → 00:51:46 ให้รถ BENZ SLK แล้วเขาก็น้อยเนื้อต่ำใจ
00:51:46 → 00:51:50 มากผมก็ยังขึ้นรถเมล์ในตอนนั้นผมเลยไม่
00:51:50 → 00:51:54 เข้าใจระบบความน้อยใจของเขานะครับผมคิด
00:51:54 → 00:51:57 ว่าผมมี SLK กันนั้นผมผมไม่ต้องการบ้าน
00:51:57 → 00:51:59 แล้วผมจะนอนเลยนั่นแหละ
00:51:59 → 00:52:03 สตาร์ททั้งวันดูขัดสีฉวีวรรณทั้งวันเพราะ
00:52:03 → 00:52:06 ฉะนั้นในความแตกต่างของคนนะครับ
00:52:06 → 00:52:10 บางทีมันเป็นอะไรที่
00:52:10 → 00:52:13 แต่มันเป็นอะไรที่เรามีปัญหาที่มันไม่ใช่
00:52:13 → 00:52:14 ปัญหา
00:52:14 → 00:52:16 นึกออกไหมครับ
00:52:17 → 00:52:21 แต่ผมเคยคุยกับคุณแม่คนหนึ่งเขาส่งริลูก
00:52:21 → 00:52:25 เรียนโรงเรียนนานาชาตินั่งคุยกันคุยกัน
00:52:25 → 00:52:29 เขามีปัญหาทุกข์ใจมากก็มาคุยกับผมคุยไป
00:52:29 → 00:52:32 คุยมาผมถามว่าทำไมถึงกลุ้มใจกับเรื่องลูก
00:52:32 → 00:52:37 มากเขาบอกว่าลูกเขาอะนอนดึก
00:52:37 → 00:52:40 แต่ตอนนี้คือคุณแม่ทุกข์ใจมากนะครับลูก
00:52:40 → 00:52:42 นอนเที่ยงคืนลูกเนอะยังเรียนอยู่ชั้น
00:52:42 → 00:52:46 ประถมผมบอกว่านี่ไม่ได้อยู่ในสารบบที่ผม
00:52:46 → 00:52:49 จะเครียดเลยแค่ลูกนอนแค่นี้ของผมนี่ผมมี
00:52:49 → 00:52:52 กุญแจบ้านเป็นส่วนตัวเนี่ยตั้งแต่อยู่
00:52:52 → 00:52:56 ประถมและก็คือไขข้ามเองนะครับเพราะฉะนั้น
00:52:56 → 00:52:59 อย่างที่ผมบอกไปแล้วนะครับขอให้เราจะแจก
00:52:59 → 00:53:01 แจงชีวิตเราดูให้ดี
00:53:01 → 00:53:04 แต่บางทีคุณอาจจะตั้งคำถามว่าตกลงแล้ว
00:53:04 → 00:53:06 เนี่ยความทุกข์ที่มันไปเชิญอยู่ทุกวันนี้
00:53:06 → 00:53:10 ครับมันจำเป็นต้องทุกข์หรือไม่
00:53:10 → 00:53:12 4 Step นี้ก่อนนะครับก่อนที่คุณจะมี
00:53:12 → 00:53:15 ความทุกข์คุณถามตัวเองก่อนว่าตกลงแล้ว
00:53:15 → 00:53:19 เนี่ยเรื่องเนี้ยจำเป็นต้องทุกข์ไหม
00:53:19 → 00:53:22 แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องคิดไหม
00:53:22 → 00:53:25 มีเรื่องที่ไม่ต้องคิดคือเรื่องแบบไหน
00:53:25 → 00:53:29 แต่เรื่องอดีตที่คุณทำอะไรไม่ได้แล้ว
00:53:29 → 00:53:32 ดูมันผ่านไปแล้ว
00:53:32 → 00:53:36 ก็เช่นคนนี้เคยว่าคุณต่อหน้าสาธารณะคุณ
00:53:36 → 00:53:38 อายมาก
00:53:38 → 00:53:40 แต่เรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ต้องเอามาคิด
00:53:40 → 00:53:44 ดีหรือตอนเด็กๆพ่อแม่คุณเลิกกันถ้ายัง
00:53:44 → 00:53:47 อยู่ชีวิตฉันจะดีกว่านี้เรื่องพวกนี้ไม่
00:53:47 → 00:53:51 ต้องคิดหรือตอนนั้นถ้ามันไม่มีอุบัติเหตุ
00:53:51 → 00:53:55 ครั้งนั้นชีวิตฉันไม่เป็นแบบนี้ถ้าไม่ลง
00:53:55 → 00:53:59 ทุนตัวนั้นชีวิตฉันไม่เป็นแบบนี้เรื่อง
00:53:59 → 00:54:01 อะไรก็ตามแต่ที่ผ่านมาแล้วนะครับแล้วเป็น
00:54:01 → 00:54:04 เรื่องในเชิงลบที่คุณคิดไปก็ไม่มี
00:54:04 → 00:54:07 ประโยชน์เลยขึ้นมาเรื่องพวกนี้เวลาคุณคิด
00:54:07 → 00:54:10 นะครับไม่ต้องคิดต่อตัดสวิตช์ออกไปทันที
00:54:10 → 00:54:13 เพราะเรื่องพวกนี้มันจะทำให้มวลรวมใน
00:54:13 → 00:54:16 ชีวิตเราเนี่ยมันไม่ผ่องใสมันมีแต่ความ
00:54:16 → 00:54:20 ขุ่นมัวมันมีแต่ความไม่ดีไม่งามซึ่ง
00:54:20 → 00:54:22 เรื่องแบบนี้ครับสมมติผมถามทุกท่านในที่
00:54:22 → 00:54:25 นี้นะครับประมาณสัก 40 ท่านข้างนอกบ้าน
00:54:25 → 00:54:27 ข้างในบ้าน
00:54:27 → 00:54:30 แต่เรื่องแบบนี้เราคิดเยอะไหมอ่ะ
00:54:30 → 00:54:32 อย่าคิดเยอะไหมครับเรื่องที่มันไม่มี
00:54:32 → 00:54:36 ประโยชน์อะไรคิดเยอะหรือเป็นเรื่องอีกแบบ
00:54:36 → 00:54:39 นึงคุณเคยเจอคนในครอบครัวไหมหรือเป็น
00:54:39 → 00:54:42 เพื่อนร่วมงานไหมที่คุณรู้อยู่แก่ใจลึกๆ
00:54:42 → 00:54:46 ว่าเขาจะไม่มีวันเปลี่ยน
00:54:46 → 00:54:49 จะมีไหมครับเอาแบบนี้คนแบบนี้คุณมองไป
00:54:49 → 00:54:52 แล้วไม่เปลี่ยนแล้วคุณทะเลาะกันเรื่อง
00:54:52 → 00:54:54 เดิมๆซ้ำๆ
00:54:54 → 00:54:57 มาแล้วคุณก็ใช้ความพยายามวะเนี้ยฉันว่า
00:54:57 → 00:54:59 ฉันจะพูดแบบนี้เขาฟัง
00:54:59 → 00:55:03 มีเรื่องแบบนี้ครับผมแนะนำว่าไม่ต้องคิด
00:55:03 → 00:55:09 ขอให้คุณคิดไปเลยว่าเขาไม่มีวันเปลี่ยน
00:55:09 → 00:55:12 แต่คุณต้องมีวิธีที่จะอยู่กับเขา
00:55:13 → 00:55:15 ก็ปกตินะครับเวลาที่เราเจอคนที่ไม่ชอบ
00:55:15 → 00:55:18 หรือว่ามีปฏิสัมพันธ์ไม่ดีกับเราหรือว่า
00:55:18 → 00:55:22 คิดไม่ตรงกับเราเนี่ยสิ่งแรกถ้าเราทำได้
00:55:22 → 00:55:24 เปลี่ยนเขา
00:55:24 → 00:55:28 ขอเปลี่ยนเขาไว้เขาถูกใจเรานี่คือดีที่
00:55:28 → 00:55:31 สุดเพราะเราไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยเรา
00:55:31 → 00:55:34 เปลี่ยนเขาเอาแต่แต่จะเปลี่ยนเขาได้หรือ
00:55:34 → 00:55:39 ไม่เราคิดว่าขึ้นอยู่อะไรบ้าง
00:55:39 → 00:55:42 ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาว่าเป็นยังไงอันนี้
00:55:42 → 00:55:44 ส่วนนึงนะครับแต่ถ้าเรามองประเด็นแค่นี้
00:55:44 → 00:55:47 เราจะไม่ได้พัฒนาตนเองขึ้นอยู่กับตัวเรา
00:55:47 → 00:55:50 ว่าเรามีศักยภาพแค่ไหนด้วย
00:55:50 → 00:55:53 แต่ถ้าเรามีวาทศิลป์ที่ดีแนวโน้มในการ
00:55:53 → 00:55:56 เปลี่ยนเขานี่เยอะขึ้นถ้าเรามีความรู้
00:55:56 → 00:56:00 กว้างขวางมีการอธิบายที่ดีแนวโน้มในการ
00:56:00 → 00:56:02 เปลี่ยนเขาเยอะขึ้นถ้าเรามีจิตที่เข้ม
00:56:02 → 00:56:06 แข็งไม่พูดจาด้วยอารมณ์เรามีวุฒิภาวะเป็น
00:56:06 → 00:56:09 ผู้ใหญ่ไม่ไปทะเลาะกับเขาแนวโน้มในการ
00:56:09 → 00:56:13 เปลี่ยนเขาเนี่ยมากขึ้นนะครับเพราะฉะนั้น
00:56:13 → 00:56:16 เวลาที่เราบอกว่าคนคนนี้ทำไมไม่ฟังเราถ้า
00:56:16 → 00:56:20 เราพูดแค่นี้เราจะไม่ได้พัฒนาตนเองเลยเรา
00:56:20 → 00:56:24 ต้องกลับมามองว่าเอ๊ะทำไมเราไม่มีศักยภาพ
00:56:24 → 00:56:27 พอที่ให้เขาฟังได้เพราะฉะนั้นเนี่ยง่าย
00:56:27 → 00:56:30 ที่สุดเวลาที่คุณเจอคนที่ไม่ชอบคุณคุณคุณ
00:56:30 → 00:56:34 เปลี่ยนเขาแต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำไม่ได้
00:56:34 → 00:56:38 แต่ส่วนใหญ่แล้วนะครับทำไม่ได้เมื่อทำไม่
00:56:38 → 00:56:42 ได้ทำอย่างไรอ่ะสเต็ปที่ 2
00:56:42 → 00:56:44 และหลีกเลี่ยง
00:56:44 → 00:56:48 และหลีกเลี่ยงการปะทะหลีกเลี่ยงการพบแต่
00:56:48 → 00:56:52 นะครับเท่าที่ผ่านมาจากที่ผมได้เคยพูดคุย
00:56:52 → 00:56:53 กับผู้คน
00:56:53 → 00:56:56 แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้เพราะคนแบบนี้มักเป็น
00:56:56 → 00:56:58 คนในครอบครัว
00:56:58 → 00:57:01 ผู้เป็นเจ้านายเป็นลูกน้องซึ่งคุณต้องมี
00:57:01 → 00:57:03 ปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา
00:57:03 → 00:57:06 อ่าอันนี้คุณเปลี่ยนเขาก็ไม่ได้เลยครับ
00:57:06 → 00:57:09 คุณหลีกเลี่ยงการพบปากก็ไม่ได้
00:57:09 → 00:57:13 อ่ะคราวเนี้ยคุณต้องทำความเข้าใจกับตนเอง
00:57:13 → 00:57:15 แล้วล่ะ
00:57:15 → 00:57:18 แต่มันต้องเลือกสักข้อนึงนึกออกไหมครับทำ
00:57:18 → 00:57:21 ความเข้าใจกับตนเองว่าฉันต้องอยู่ที่นี่
00:57:21 → 00:57:24 คนคนนี้เปลี่ยนไม่ได้คนคนนี้หลีกเลี่ยง
00:57:24 → 00:57:26 ไม่ได้เพราะเขามีความสำคัญกับชีวิตวน
00:57:26 → 00:57:29 เวียนอยู่ในชีวิตงั้นฉันต้องเข้าใจเขาให้
00:57:29 → 00:57:33 ได้รู้จัก 3 ข้อนี้ไปยังมีไหมครับ
00:57:33 → 00:57:39 แต่มีข้อที่สี่ก็คือมีความทุกข์
00:57:39 → 00:57:41 แต่มันไม่มีทางเรื่องอื่นนะครับ
00:57:41 → 00:57:45 ไม่มีทางเลือกอื่นคุณต้องเลือกข้อใดข้อ 1
00:57:45 → 00:57:49 ใน 3 ข้อนี้แต่ส่วนใหญ่เนี่ยจากที่ผมได้
00:57:49 → 00:57:52 พูดคุยนะครับเวลาที่คนมาคุยเขาไม่เลือก 3
00:57:52 → 00:57:54 ข้อนี้แล้วเขาจะไม่มีความทุกข์ด้วยเขา
00:57:54 → 00:57:58 เปลี่ยนคนนี้ก็ไม่ได้เขาหลีกเลี่ยงกันเจอ
00:57:58 → 00:58:00 กันไม่ได้เขาทำความเข้าใจเขาไม่ได้แล้วก็
00:58:00 → 00:58:04 ถามผมว่าแล้วทำยังไงจะไม่ทุกข์เอาแล้วเรา
00:58:04 → 00:58:08 จะทำยังไงได้ก็คุณทำอะไรไม่ได้เลยคุณ
00:58:08 → 00:58:11 เปลี่ยนข้างนอกก็ไม่ได้ใช้ศักยภาพในการ
00:58:11 → 00:58:13 เปลี่ยนข้างนอกก็ไม่ได้
00:58:13 → 00:58:17 และหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้บังคับหน้าที่การ
00:58:17 → 00:58:19 งานชีวิตให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ใช้ศักยภาพ
00:58:19 → 00:58:21 เปลี่ยนตัวเองก็ไม่ได้
00:58:21 → 00:58:24 ถ้าคนเราต้องมีมนต์วิเศษบางอย่างนะครับ
00:58:24 → 00:58:27 เวทมนตร์ที่เราจะเปลี่ยนคนอื่นถ้าเราไม่
00:58:27 → 00:58:30 มีคาถาบทนี้เรามีเวทมนตร์ที่จะย้ายเด้ง
00:58:30 → 00:58:34 ออกไปถ้าเราไม่มีคาถาบทนี้เราก็มีสถานที่
00:58:34 → 00:58:37 เราจะเปลี่ยนตัวเองบางคนก็เปลี่ยนคนอื่น
00:58:37 → 00:58:39 ได้จะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้แล้วคิดว่ามีนะ
00:58:39 → 00:58:41 ครับมีนะครับ
00:58:41 → 00:58:45 พูดจาหว่านล้อมคนอื่นได้
00:58:45 → 00:58:47 แต่เขาไม่เก่งที่จะเปลี่ยนตัวเองเก่งที่
00:58:47 → 00:58:50 จะเปลี่ยนคนอื่นแล้วบางคนที่ไม่เก่งในการ
00:58:51 → 00:58:53 เปลี่ยนคนอื่นแต่เปลี่ยนทำความเข้าใจสิ่ง
00:58:53 → 00:58:56 ที่ตนเองจะเชิญเราคิดว่ามีเยอะไหมครับมี
00:58:56 → 00:58:58 เยอะนะครับคนที่เปลี่ยนคนอื่นไม่ได้เลย
00:58:58 → 00:59:01 แต่ว่ากลมกลืนได้กับทุกอย่างก็มีคนพวกนี้
00:59:01 → 00:59:04 ก็จะไม่ค่อยมีความทุกข์ก็จะทุกข์น้อยคน
00:59:04 → 00:59:06 ที่เปลี่ยนคนอื่นได้ก็จะทุกข์น้อยแต่คน
00:59:06 → 00:59:09 ที่ทำอะไรไม่ได้เลย
00:59:09 → 00:59:13 ค่ะอันนี้ก็คือมันจะมีความทุกข์มากนะครับ
00:59:13 → 00:59:16 เพราะฉะนั้นเนี่ยไอ้สิ่งเหล่านี้ครับเป็น
00:59:16 → 00:59:18 เรื่องธรรมดาอย่างที่ผมได้เรียนไปแล้วว่า
00:59:18 → 00:59:21 ของทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้ระยะเวลาในการ
00:59:21 → 00:59:24 สั่งสมความจริงแล้วการมีชีวิตที่ดีนะครับ
00:59:24 → 00:59:28 ไม่ใช่เรื่องยากการมีชีวิตที่ดีเป็นสิ่ง
00:59:28 → 00:59:32 ที่ต้องทำพื้นฐานให้ครบไม่ใช่เรื่องอะไร
00:59:32 → 00:59:36 ที่ใหญ่โตคุณไม่สามารถที่จะเหน็ดเหนื่อย 1
00:59:36 → 00:59:39 เดือนและมีชีวิตที่ดีได้ก็จะไม่ครับต่อ
00:59:39 → 00:59:43 ให้ทำไม่ตายมันก็จะไม่ได้แต่คุณทำเล็กๆ
00:59:43 → 00:59:48 น้อยๆในชีวิตประจำวันเป็นสิบปีมันจะมี
00:59:48 → 00:59:51 ชีวิตที่ดีได้ชีวิตคนเรามันมีอะไรบ้างนะ
00:59:51 → 00:59:55 ครับส่วนหลักๆคือ 1 หน้าที่การงาน
00:59:55 → 00:59:57 แต่อันเนี้ย
00:59:57 → 00:59:59 แต่ถ้าคุณประกอบหน้าที่การงานอย่างเป็น
00:59:59 → 01:00:03 กำลังความสามารถนะครับไม่ขี้เกียจมัน
01:00:03 → 01:00:06 พัฒนาตนเองอยู่เสมอเสมอมีจิตที่เชื่อมโยง
01:00:06 → 01:00:10 การงานกับความสุขของคนอื่นไม่ทำงานแบบ
01:00:10 → 01:00:13 เห็นแก่ตัวไม่ทำงานแบบเห็นแก่เงินเห็นกับ
01:00:13 → 01:00:16 ผลกำไรอย่างเดียวทำงานเพื่อความสุขของคน
01:00:16 → 01:00:20 รอบข้างของลูกน้องของเจ้านายของคู่ค้าของ
01:00:20 → 01:00:24 คุณแบบนี้ของลูกค้าพยายามคิดว่าจะทำยังไง
01:00:24 → 01:00:28 ให้เขาได้มีสิ่งที่มันดีที่สุดคิดแบบนี้
01:00:28 → 01:00:31 ครับแล้วก็มุ่งมั่นทุ่มเททำงานด้วยความ
01:00:31 → 01:00:32 สนุก
01:00:32 → 01:00:35 มาพร้อมกันนี้ก็เข้าใจธรรมชาติของการงาน
01:00:35 → 01:00:38 เวลาที่เราบอกว่าคนคนหนึ่งทำงานเก่งนะ
01:00:38 → 01:00:41 ครับจริงๆแล้วมันเท่ากับว่าคนคนนั้นแก้
01:00:41 → 01:00:42 ปัญหาเก่ง
01:00:42 → 01:00:45 ร้านเหล้าเลยบอกว่าเขาทำงานเก่งเพราะว่า
01:00:45 → 01:00:49 เขาแก้ปัญหาเก่งตัวไหมครับเพราะฉะนั้นการ
01:00:49 → 01:00:51 งานในส่วนหนึ่งของการงานก็คือการเผชิญ
01:00:51 → 01:00:52 หน้ากับปัญหา
01:00:52 → 01:00:55 เราทำความเข้าใจตั้งแต่วันนี้เลยว่าตราบ
01:00:55 → 01:00:58 ใดที่เรายังต้องทำงานนั่นคือการแก้ปัญหา
01:00:58 → 01:01:01 เวลาที่มีปัญหาเข้ามาเนี่ยเราบอกตัวเอง
01:01:01 → 01:01:03 เลยว่านี่คือเรื่องธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่ง
01:01:03 → 01:01:07 มันไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมถ้าการงานราบเรียบ
01:01:07 → 01:01:10 หนึ่งคือแปลกปลอมคือผิดปกตินั่นหมายความ
01:01:10 → 01:01:12 ว่ามันมีอะไรบางอย่างนี้แหละผิดปกติถ้า
01:01:12 → 01:01:16 คุณทำอะไรเดิมๆซ้ำๆแล้วมันราบรื่นนี่มัน
01:01:16 → 01:01:19 ผิดปกตินะครับมันผิดปกติมันอาจจะจริงๆ
01:01:19 → 01:01:22 แล้วมันอาจจะไม่ได้ราบรื่นแต่ว่าคุณมอง
01:01:22 → 01:01:25 ไม่เห็นปัญหาหรือมันอาจจะกำลังแย่ลงแล้ว
01:01:25 → 01:01:30 กำลังถดถอยแล้วแต่คุณไม่เห็นมันคุณจึงไม่
01:01:30 → 01:01:32 รู้สึกว่าสิ่งเนี่ยต้องเพิ่มเติมสิ่งที่
01:01:32 → 01:01:35 ต้องปรับปรุงนะครับแล้วทำงานอย่างมีความ
01:01:35 → 01:01:36 สุข
01:01:36 → 01:01:40 แต่ถ้าเป็นไปได้นะครับมนุษย์ทุกคนควรจะ
01:01:40 → 01:01:42 เลือกทำงานที่ตนเองชอบ
01:01:42 → 01:01:46 ก็เช่นเดียวกันคุณเลือกได้ 2 อย่างถ้าคุณ
01:01:46 → 01:01:49 จะมีความสุขกับการงานนะครับเลือกทำงานที่
01:01:49 → 01:01:52 ชอบคุณต้องมีศักยภาพในการเลือกงานที่คุณ
01:01:52 → 01:01:56 ชอบได้แต่ถ้าไม่มีศักยภาพนี้ไม่เป็นไรคุณ
01:01:56 → 01:02:00 ต้องมีศักยภาพที่ชอบงานที่ทำได้
01:02:00 → 01:02:03 อะนึกออกมั๊ยครับแต่ถ้าคุณไม่เลือก 2 นี้
01:02:03 → 01:02:08 เลยคราวนี้จะเป็นไงครับก็ทุกข์เพราะคุณทำ
01:02:08 → 01:02:09 อะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
01:02:09 → 01:02:13 มันก็ต้องรับความทุกข์ตัวไหมครับเลือกงาน
01:02:13 → 01:02:15 ที่ชอบก็ทำไม่ได้
01:02:15 → 01:02:17 ก็ไม่รู้จะไปสมัครงานที่ไหนไม่รู้จะทำงาน
01:02:17 → 01:02:20 อะไรนึกไม่ออกนึกไม่ออกเนื่องจากอะไร
01:02:20 → 01:02:23 เนื่องจากองค์ความรู้ไม่พอมันก็วนกลับไป
01:02:23 → 01:02:26 สู่ปัญหาเดิมตัวนะครับเลือกทำงานที่ชอบ
01:02:26 → 01:02:29 ไม่ได้แล้วก็ต้องทำงานที่เราไม่ชอบแต่ว่า
01:02:29 → 01:02:33 ว่ามีทัศนคติที่ดีกับงานที่ตัวเองทำไม่
01:02:33 → 01:02:36 ได้ด้วยอันนี้ก็เป็นเรื่องของจิตใจและมี
01:02:36 → 01:02:40 มุมมองที่มันไม่ได้ดีกับงานที่เดินทำหา
01:02:40 → 01:02:43 ความภูมิใจจากงานที่ทำไม่ได้แบบนี้มันก็
01:02:43 → 01:02:47 จะมีความทุกข์มันก็จะทำงานแบบซังกะตาย
01:02:47 → 01:02:51 ก็เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องหาอย่างใดอย่าง
01:02:51 → 01:02:53 หนึ่งนะครับถ้าวันนี้สมมุติคุณพิจารณา
01:02:53 → 01:02:57 แล้วว่างานชอบเม็ดไม่ชอบจริงๆทำใจเท่า
01:02:57 → 01:03:01 ไหร่ก็ไม่ชอบงั้นคุณต้องหาศักยภาพเพิ่ม
01:03:01 → 01:03:05 เพื่อที่จะหางานที่ตนเองชอบการงานนะครับ
01:03:05 → 01:03:09 เราจะไม่มีความสุขในการทำงานมันจะลดทอน
01:03:09 → 01:03:12 คุณภาพชีวิตเรามากนะครับถ้าเรามีความ
01:03:12 → 01:03:15 ทุกข์กับการงานของเราเนี่ยไม่ได้บอกว่ามี
01:03:15 → 01:03:18 ปัญหานะงานทุกงานมีปัญหาแต่ถ้าเรามีความ
01:03:18 → 01:03:22 ทุกข์ว่าเราต้องทำงานแบบนี้อันนี้คือเรา
01:03:22 → 01:03:25 ควรจะมีวิธีที่ทำให้มันมีความสุขนะครับ
01:03:25 → 01:03:28 อาจจะเปลี่ยนงานหรือมีทัศนคติใหม่แต่ถ้า
01:03:28 → 01:03:31 ทำไม่มีความสุขไม่ได้แล้วคุณยังอยู่ที่
01:03:31 → 01:03:34 ตรงนั้นนะครับมันก็จะลดทอนพลังชีวิตลงไป
01:03:34 → 01:03:37 เยอะมากเพราะหนึ่งวันคุณทำงาน 8 ชั่วโมง
01:03:37 → 01:03:40 มันหมายความว่า 8 ชั่วโมงนี้คุณอยู่กับ
01:03:40 → 01:03:43 สิ่งที่คุณมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลามันก็
01:03:43 → 01:03:47 สูบกินพลังงานชีวิตไปเยอะมากนะครับและที่
01:03:47 → 01:03:50 ช่วงเวลาที่เราทำงานเนี่ยพระพุทธองค์ท่าน
01:03:50 → 01:03:54 บ่นะครับว่าให้ทำด้วยอิทธิบาท ๔ ฉันทะก็
01:03:54 → 01:03:57 คือความรักในงานความรักนี้จริงๆแล้วมัน
01:03:57 → 01:04:00 เป็นความภูมิใจคุณต้องภูมิใจในงานที่คุณ
01:04:00 → 01:04:03 ทำภูมิใจว่าสิ่งนี้มันมีคุณค่าสิ่งเนี่ย
01:04:03 → 01:04:06 มันช่วยควรจะสิ่งนี้มันทำให้คุณรู้สึกว่า
01:04:06 → 01:04:10 อยากที่จะตื่นขึ้นมาทำมีความรักมีการ
01:04:10 → 01:04:13 อย่างพัฒนาให้ดีขึ้นนะครับแล้วคุณต้องมี
01:04:13 → 01:04:18 วิริยะนะครับก็คือความเพียรให้เวลาไม่มี
01:04:18 → 01:04:20 งานอะไรที่คุณจะเชี่ยวชาญได้ถ้าคุณไม่ให้
01:04:20 → 01:04:24 เวลาทำซ้ำๆเพราะฉะนั้นนะครับในๆเราต้องทำ
01:04:24 → 01:04:28 มันแล้วเนี่ยเราก็ทำให้มันเต็มที่
01:04:28 → 01:04:30 ก็เพราะผลที่มันได้นะครับวันหนึ่งคุณก็จะ
01:04:30 → 01:04:34 เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตในส่วน
01:04:34 → 01:04:37 ใหญ่แล้วเนี่ยเราจะเลือกทางที่มันเป็นไป
01:04:37 → 01:04:41 ไม่ได้เราจะเลือกทำไม่เต็มที่นะครับแล้ว
01:04:41 → 01:04:44 จะเลือกให้มันมีชีวิตที่ดีในหน้าที่การ
01:04:44 → 01:04:46 งานแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้มันไม่ยุติธรรม
01:04:46 → 01:04:49 กับคนที่เขาทำงานเต็มที่เพราะฉะนั้นระบบ
01:04:49 → 01:04:54 กรรมก็จะจัดสรรนะครับกรรมคือผลอันเกิดจาก
01:04:54 → 01:04:57 การกระทำของเราเราก็คือทำงานเต็มที่สิ่ง
01:04:57 → 01:04:59 ที่จะหล่อเลี้ยงให้มันเต็มที่ได้คือความ
01:04:59 → 01:05:00 สนุก
01:05:00 → 01:05:04 อ่าใส่ความสนุกลงไปในทุกกิจกรรม
01:05:04 → 01:05:09 ความสนุกเนี่ยคุณจะรอให้พระองค์กรหน่วย
01:05:09 → 01:05:12 งานที่ทำงานของคุณให้ความสนุกคุณไม่ได้นะ
01:05:12 → 01:05:16 ครับคุณต้อง create ความสนุกในงานขึ้นมา
01:05:16 → 01:05:17 เอง
01:05:17 → 01:05:20 แต่ช่วงเวลาที่ฉันชอบฉันทำมันอย่างมีความ
01:05:20 → 01:05:25 สุขผมจำได้นะครับผมเคยดูฟุตบอลดูการ์ตูน
01:05:25 → 01:05:28 อยู่เรื่องหนึ่งชื่อเจ้าหนูยอดนักเตะเคย
01:05:28 → 01:05:32 ดูไหมครับสี่ประสาทเจ้าหนูยอดนักเตะคงไม่
01:05:32 → 01:05:34 เคยดูแต่ไม่เป็นไร
01:05:34 → 01:05:37 ก็เป็นเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น
01:05:37 → 01:05:41 ก็มีอยู่ภาค 1 เนี่ยสิประสาทกับทีมของเขา
01:05:41 → 01:05:43 เนี่ยซึ่งเป็นทีมญี่ปุ่นในการ์ตูนนะครับ
01:05:43 → 01:05:49 ไปแข่งฟุตบอลโลกแล้วก็ถูกยิงประตูนำ
01:05:49 → 01:05:52 แต่แล้วทุกคนก็รู้สึกท้อใจมากกำลังจะหมด
01:05:52 → 01:05:55 เวลาแล้วก็เครียดและสีภาษาก็บอกว่าเรา
01:05:55 → 01:05:59 ประชุมทีมกันขอเวลานอกและประชุมทีมและ
01:05:59 → 01:06:02 เป็นภาษาก็บอกว่าว่าเราจำวันที่เราเตะบอล
01:06:02 → 01:06:06 ตอนเด็กๆได้ไหมวันนั้นน่ะเราไม่ได้คิดการ
01:06:06 → 01:06:09 เป็นแชมป์เลยคิดแต่เรื่องของความสนุก
01:06:09 → 01:06:12 ก็คิดว่าเราทำสิ่งนี้เพราะความรักเพราะ
01:06:12 → 01:06:14 ความสนุกให้ลืมความรู้สึกที่ว่าเราอยาก
01:06:15 → 01:06:19 ชนะออกไปแล้วก็ก็เตะบอลอย่างสนุกทุกคนก็
01:06:19 → 01:06:22 ก็กลับไปย้อนความทรงจำนะครับแล้วก็เตะบอล
01:06:22 → 01:06:24 อย่างสนุกแม้ว่ามันเป็นการ์ตูนนะครับแต่
01:06:24 → 01:06:27 ผมคิดว่ามันเหมือนชีวิตจริง
01:06:27 → 01:06:30 แต่บางทีเราทำอะไรไปเราลืมนึกไปว่าเรา
01:06:30 → 01:06:33 ต้องทำมันด้วยความสนุกเมื่อสนุกแล้วเนี่ย
01:06:33 → 01:06:35 เราคล้ายๆกับคนบ้า
01:06:35 → 01:06:39 ก็คือเราจะทำงานแบบไม่เหนื่อยทำงานแบบมี
01:06:39 → 01:06:41 ความสุขแล้วจะไม่รู้สึกว่าการงานมันเป็น
01:06:41 → 01:06:46 ภาระอะไรทำไปได้เรื่อยๆมีความสุขที่ทำ
01:06:46 → 01:06:49 เหนื่อยแต่มีความสุขนะครับสิ่งนี้คือ
01:06:49 → 01:06:52 เรื่องของการงานซึ่งมันมีส่วนสัมพันธ์กับ
01:06:52 → 01:06:56 ความรอบรู้ที่เราต้องค่อยๆหาอีกส่วนหนึ่ง
01:06:56 → 01:06:59 คือเรื่องความสัมพันธ์ในชีวิตนะครับ
01:06:59 → 01:07:02 เมื่อมนุษย์มีเรื่องงานมนุษย์มีความ
01:07:02 → 01:07:05 สัมพันธ์ในชีวิตความสัมพันธ์ในชีวิตเนี่ย
01:07:05 → 01:07:08 ที่มันสูญเสียพังทลายมากที่สุดในเราคิด
01:07:08 → 01:07:11 ว่ามาจากอะไร
01:07:11 → 01:07:13 ถ้าเราคิดว่าอะไรที่มันทำให้ความสัมพันธ์
01:07:13 → 01:07:16 ในครอบครัวระหว่างคนรักระหว่างพ่อแม่
01:07:16 → 01:07:22 ระหว่างเจ้านายลูกน้องพังทลายมากที่สุด
01:07:22 → 01:07:25 เมื่อคืนเรื่องคำพูด
01:07:25 → 01:07:27 ฮะซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นเรื่องที่ง่ายที่
01:07:27 → 01:07:28 สุด
01:07:28 → 01:07:30 ก่อนที่คุณจะไม่พูดนะครับ
01:07:30 → 01:07:34 ว่ามันง่ายที่สุดผมจะแยก 2 เรื่องนะครับ
01:07:34 → 01:07:39 เรื่องที่ 1 เนี่ยยากง่ายให้คำจำกัดความ
01:07:39 → 01:07:42 ก่อนอะไรคือคำว่ายากง่ายเรื่องที่สองใน
01:07:42 → 01:07:44 คือทำหรือไม่ทำ
01:07:44 → 01:07:48 ลงมือทำหรือไม่ทำยากง่ายเช่นวันนี้ผมเอา
01:07:48 → 01:07:52 เอกสารภาษาฝรั่งเศสไม่คุณอ่าน
01:07:52 → 01:07:55 ถ้าคุณอยู่คนเดียวแล้วคุณแปลอันนี้ต่อให้
01:07:55 → 01:07:59 คุณอยากทำคุณก็ทำไม่ได้เนี่ยคือคำว่ายาก
01:07:59 → 01:08:02 ง่ายคือคำจำกัดความว่าเรื่องเนี้ยยาก
01:08:02 → 01:08:07 สำหรับคุณแต่ทำไม่ทำเนี่ยเช่นมีคนคนหนึ่ง
01:08:08 → 01:08:11 มาด่าด่าคุณด้วยคำหยาบคาย
01:08:11 → 01:08:14 อย่าด่าคุณด้วยคำหยาบคายคุณกำลังจะด่าเขา
01:08:14 → 01:08:17 แต่อันเนี้ยคุณคุณว่าทำอย่างหรือทำง่าย
01:08:17 → 01:08:20 ที่คุณจะไม่โต้ตอบเขา
01:08:20 → 01:08:22 ถ้าเราบอกว่าทำยากไหมครับแต่ถ้าเขามีปืน
01:08:22 → 01:08:26 กระบอกนึงเขาบอกก่อนด่าดิน้องดาวดู
01:08:26 → 01:08:29 เราก็จะทำได้เลย
01:08:29 → 01:08:32 เนี่ยคือทำหรือไม่ทำเพราะฉะนั้นอย่าสับสน
01:08:32 → 01:08:36 นะครับมีเรื่องที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นไม่ใช่
01:08:36 → 01:08:37 เรื่องยากหรือง่าย
01:08:37 → 01:08:41 มันจะไม่ใช่เรื่องยากหรือง่ายมันจะเป็น
01:08:41 → 01:08:43 เรื่องที่ทำหรือไม่ทำ
01:08:43 → 01:08:46 จะทำหรือไม่ทำเก็บเงินวันละ 20 ยากไหม
01:08:46 → 01:08:49 ครับไม่ใช่ยากหรือง่ายเป็นเรื่องที่ทำ
01:08:49 → 01:08:52 หรือไม่ทำทำสมาธิวันละครึ่งชั่วโมงยาก
01:08:52 → 01:08:55 หรือง่ายหรือทำหรือไม่ทำผมจับขึ้นมาเนี่ย
01:08:55 → 01:08:59 ผมเป็นจับขึ้นมาแล้วขังคุณไว้แล้วผมบอก
01:08:59 → 01:09:01 ว่าใครไม่ทำได้ยิงทิ้งหมดเลยใครไม่ทำ
01:09:01 → 01:09:05 สมาธิไม่นั่งหลับตาขาดสมัครกับตาเนี่ยทุก
01:09:05 → 01:09:09 คนจะทำได้ทันทีนี่คือเรื่องทำหรือไม่ทำ
01:09:09 → 01:09:12 แล้วขอให้เราสังเกตนะครับในชีวิตเราที่
01:09:12 → 01:09:15 ชีวิตเราพังทลายทั้งหมดที่มันไม่ดีเท่า
01:09:15 → 01:09:17 ที่ควร
01:09:17 → 01:09:20 สุขภาพก็พังความสัมพันธ์ก็พังฐานะการเงิน
01:09:20 → 01:09:22 ก็พัง
01:09:22 → 01:09:26 มีความรอบรู้หนทางก็มีติดตามจำกัดมันเป็น
01:09:26 → 01:09:29 เรื่องทำหรือไม่ทำ
01:09:29 → 01:09:32 อาจจะไม่ใช่เรื่องยากหรือง่าย
01:09:32 → 01:09:35 จะทำหรือไม่ทำรวมกันใหญ่ๆมันจะกลายเป็น
01:09:35 → 01:09:37 เรื่องยากหรือง่าย
01:09:37 → 01:09:41 มีเงินแสนนึงสองพอรถมารวมกันใหญ่ๆจากยี่
01:09:41 → 01:09:44 สิบยี่สิบยี่สิบแสนนึงมันก็จะกลายเป็น
01:09:44 → 01:09:48 เรื่องที่ยากง่ายแต่ถ้า 20 บาทวันนี้ต่อ
01:09:48 → 01:09:51 ไปสิบปียี่สิบปีมันจะเป็นเรื่องที่ทำหรือ
01:09:51 → 01:09:54 ไม่ทำวิ่งออกกำลังกายทุกอย่างครับเพราะ
01:09:54 → 01:09:57 ฉะนั้นคุณต้องกลับมามองชีวิตนะครับชีวิต
01:09:57 → 01:10:01 ที่ดีจะไม่มีวันที่มีทางลัดจะไม่มีวันที่
01:10:01 → 01:10:03 คุณจะเข้าคอร์สเลย 5 วัน 7 วันแล้วคุณออก
01:10:03 → 01:10:08 มาชีวิตเปลี่ยนไม่มีไม่มีนะครับเพราะเหตุ
01:10:08 → 01:10:11 นี้มีคนจึงไม่ค่อยเข้าใจพระพุทธศาสนาพระ
01:10:11 → 01:10:13 พุทธศาสนานะจริงๆแล้วเวลาสอนเข้าคอร์ส
01:10:13 → 01:10:16 ปฏิบัติธรรมนี่คือเข้าฟรีหมดเลยนะฟรีแต่
01:10:16 → 01:10:20 ว่าไม่มีอะไรการันตีว่าคุณจะเปลี่ยนแปลง
01:10:20 → 01:10:23 ชีวิตของตนเองได้ถ้าคุณไม่ทำคือไม่ได้มี
01:10:23 → 01:10:28 แสตมป์ว่ายืนยันผลร้อยเปอร์เซ็นต์พระพุทธ
01:10:28 → 01:10:31 องค์ท่านยังบอกว่าท่านเป็นแค่ผู้ชี้ทาง
01:10:31 → 01:10:35 มีแต่เดินไม่เดินนี้เรื่องของคุณให้แค่
01:10:35 → 01:10:38 ทางให้แค่มักแต่คนเดินต้องเป็นเราเพราะ
01:10:38 → 01:10:43 ฉะนั้นไม่ได้การันตีอะไรเพราะฉะนั้นคนจึง
01:10:43 → 01:10:46 ไม่ค่อยอยากเข้ามาเพราะมนุษย์เราต้องการ
01:10:46 → 01:10:50 อะไรที่มันเร็วๆต้องการอะไรที่แน่นอน
01:10:50 → 01:10:54 เพราะฉะนั้นในกฎจิตวิทยานะครับเวลาเขาจะ
01:10:54 → 01:10:58 เกิดสงครามเวลาที่จะชักนำผู้คนนะครับผู้
01:10:58 → 01:11:01 นำในจะต้องพูดได้
01:11:01 → 01:11:03 อย่าพูดว่าได้แม้ว่าเรื่องนั้นนะครับแม้
01:11:03 → 01:11:05 ว่าเรื่องนั้นเนี่ยจะดูแล้วมันไร้สาระ
01:11:05 → 01:11:08 ขนาดไหนเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าบอกก็ได้ได้ได้
01:11:08 → 01:11:12 ได้คนส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ล้วนไม่มั่น
01:11:12 → 01:11:16 ใจต้องการทางที่ตัวเองจะรอดเพราะฉะนั้น
01:11:16 → 01:11:19 เนี่ยในหลักจิตวิทยานะครับในหลักกลยุทธ์
01:11:19 → 01:11:23 เนี่ยเขาจะบอกว่าได้คือรับปากไว้ก่อนนะ
01:11:23 → 01:11:25 ว่าเรื่องนี้ดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้แต่
01:11:25 → 01:11:28 เวลาที่คนคนหนึ่งก็ได้นะครับคนก็จะเดิน
01:11:28 → 01:11:32 ตามไปเป็นจำนวนมากนี่คือหลักการเลยนะครับ
01:11:32 → 01:11:36 สมมติเราบอกว่ามาทางนี้ดีแน่นอน
01:11:36 → 01:11:39 นี้เรากำลังหลงทางกันอยู่
01:11:39 → 01:11:43 อยู่ในป่าแล้วอยู่ดีๆคนก็หนึ่งบอกว่ามา
01:11:43 → 01:11:47 ทางนี้ได้แน่นอนเราจะเลยจริงเหรอแต่คนบอก
01:11:47 → 01:11:50 ได้มาดิได้แน่นอนเราจะเฮ้ยจริงเหรอได้แน่
01:11:50 → 01:11:54 นอนเดี๋ยวไปเดี๋ยวจะไปเพราะคนส่วนใหญ่ลึก
01:11:54 → 01:11:59 ๆไม่มั่นใจนี่คนเลยตกเป็นเหยื่อทุกสิ่ง
01:11:59 → 01:12:02 ทุกอย่างเวลาอะไรไปการันตีคุณคำถามชีวิต
01:12:02 → 01:12:05 ก็คือชีวิตที่ดีเนี่ยไม่สามารถสร้างได้ใน
01:12:05 → 01:12:08 วันเดียวนะครับชีวิตที่ไม่ดีก็ไม่สามารถ
01:12:08 → 01:12:11 สร้างได้ในวันเดียวจริงๆตัวเรานั่นคือผล
01:12:11 → 01:12:15 ผลิตของการใช้ชีวิตทั้งหมดที่ประมวลมา
01:12:15 → 01:12:18 แล้วมันเลยกลายเป็นชีวิตทุกวันนี้เช่นผม
01:12:18 → 01:12:20 ยกตัวอย่างถ้าคุณมีความสัมพันธ์ในชีวิต
01:12:20 → 01:12:23 คู่ที่ไม่ดีเนี่ยถามว่ามันพึ่งมาไม่ดีวัน
01:12:23 → 01:12:24 นี้ไหม
01:12:24 → 01:12:28 ก็ไม่นะครับมันเกิดมาตั้งนานแล้วมันเกิด
01:12:28 → 01:12:32 จากเล็กๆที่คุณไม่ดูแลกันเล็กๆๆที่คุณ
01:12:32 → 01:12:37 ปล่อยปละละเลยไม่คุยกันจนมันสะสมแต่พอถึง
01:12:37 → 01:12:39 จุดหนึ่งคุณอยากจะเดินเข้าไปคุยอย่าปรับ
01:12:39 → 01:12:41 ความเข้าใจแต่มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
01:12:41 → 01:12:44 นะครับคุณจะเห็นว่าหลายๆครอบครัวเนี่ยไม่
01:12:44 → 01:12:47 ได้คุยกันเชิงเหตุผลแต่ละครอบครัวในจะมี
01:12:47 → 01:12:50 เจ้าที่ผูกขาดความถูกอยู่
01:12:50 → 01:12:54 ก็คือไม่ว่าอะไรไอ้คนนี้ต้องถูกมันจะมีคน
01:12:54 → 01:12:57 ที่ผูกขาดคล้ายๆเป็นสัมปทานคือเราไม่คุย
01:12:57 → 01:13:00 กันที่เหตุผลแล้วเวลาคนนอกแนะนำเขาแนะนำ
01:13:00 → 01:13:04 เหตุผลเวลาเวลาที่คุณไปปรึกษาคนอื่นๆ
01:13:04 → 01:13:07 ครอบครัวฉันเป็นอย่างนี้จะทำยังไงเขาก็
01:13:07 → 01:13:11 เดินแนะนำเหตุผลคุณแต่ว่าคุณก็รู้ลึกว่า
01:13:11 → 01:13:13 เหตุผลเนี่ยมันใช้ไม่ได้
01:13:13 → 01:13:16 เพราะว่ามันเหมือนกับว่าอันนี้ถูกทุก
01:13:16 → 01:13:19 อย่างอันนี้ผิดทุกอย่างอันนี้โมโหได้ตลอด
01:13:19 → 01:13:21 อันนี้ต้องยอมตลอดมันจะมีอย่างนี้ครับ
01:13:21 → 01:13:24 อยู่ในครอบครัวซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิด
01:13:24 → 01:13:27 ขึ้นในระยะเวลายาวนานที่เราค่อยๆสะสม
01:13:27 → 01:13:32 ชมไม่ได้พ่อแม่คนหนึ่งเลี้ยงลูกมา
01:13:32 → 01:13:35 ก็ไม่ไม่ได้สอนลูกไม่ได้อบรมลูกไม่ได้
01:13:35 → 01:13:39 อยู่ใกล้ชิดลูกเพราะวันนึงลูกอายุ 18 ปี
01:13:39 → 01:13:43 ดีแล้วอยู่ดีๆจะมาบอกว่าเตือนให้ลูกเชื่อ
01:13:43 → 01:13:47 ฟังเราคิดว่าลูกจะฟังไหมครับไม่ฟังนะครับ
01:13:47 → 01:13:50 เคสลับนะครับผมจะบอกให้
01:13:50 → 01:13:53 แต่มนุษย์หน่อยครับอันนี้ไม่มีจากหนังสือ
01:13:53 → 01:13:56 เล่มไหนนะครับแต่ทุกคนลองไปคิดดูว่ามัน
01:13:56 → 01:13:59 เป็นความจริงหรือไม่มนุษย์เนี่ยจะไม่ฟัง
01:13:59 → 01:14:03 ว่าเขาพูดอะไรแต่ฟังว่าใครพูด
01:14:03 → 01:14:07 แก้คำพูดเดียวกันออกจากปากคนคนหนึ่งไม่มี
01:14:07 → 01:14:09 ความหมาย
01:14:09 → 01:14:12 แก้คำพูดเดียวกันแม้พูดสั้นๆแต่ถ้าออกจาก
01:14:12 → 01:14:15 ตาอีกคนหนึ่งทำเต็มที่
01:14:15 → 01:14:17 ก็เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยู่กับครอบครัว
01:14:17 → 01:14:20 เรานะครับหรืออยู่กับคนใกล้ชิดเราเนี่ย
01:14:20 → 01:14:23 ก่อนที่เราจะไปบอกเขาเนี่ยก่อนที่เราจะไป
01:14:23 → 01:14:25 สอนเขาหรือไปเตือนเขาเนี่ยให้เราถามตัว
01:14:25 → 01:14:29 เองว่าเราอยู่ในสถานะที่เขาเชื่อไหมไม่
01:14:29 → 01:14:32 ได้อยู่ที่เรื่องที่เราจะเตือนนะครับทุก
01:14:32 → 01:14:34 คนจะไปหาว่าเนี่ยเรื่องนี้เราจะพูดอย่าง
01:14:34 → 01:14:38 นี้ให้เขาฟังจริงๆเขาไม่ฟังตั้งแต่ตั้ง
01:14:38 → 01:14:41 แต่เราเดินไปพูดแล้ว
01:14:41 → 01:14:43 และนี่คืออันที่หนึ่งที่มนุษย์มองนะครับ
01:14:43 → 01:14:47 มนุษย์มองก่อนว่าคนคนนี้คือใคร
01:14:47 → 01:14:51 มาถึงจะฟังถ้าพบว่าเป็นคนที่ตนเองนับถือ
01:14:51 → 01:14:55 ถ้าพบว่าเป็นคนที่ที่อยู่ในสายต่างตนเอง
01:14:55 → 01:14:58 ถึงจะเริ่มดูอันที่สองอันที่สองในคือท่า
01:14:58 → 01:15:01 ทีในการพูด
01:15:01 → 01:15:05 ขอให้คุณเป็นคนที่คุณวุฒิได้แล้วเขายอม
01:15:05 → 01:15:09 รับแต่คุณไปด่าเขานี่เขาปิดสวิตช์เหมือน
01:15:09 → 01:15:10 กัน
01:15:10 → 01:15:13 ก็ไม่ต้องไปพูดว่าพูดอะไร
01:15:13 → 01:15:15 ถ้าคุณอาจจะเป็นคนใหญ่โตเดินเข้าไปแต่ถ้า
01:15:15 → 01:15:19 คุณด่าเขาดูถูกเขาสอนไปด่าไปนี้เขาปิด
01:15:19 → 01:15:23 สวิตช์แต่เขาไม่ฟังคุณไม่ว่าคุณจะพูดมี
01:15:23 → 01:15:25 ประโยชน์นะครับมีประโยชน์ต่อหน้าที่การ
01:15:25 → 01:15:28 งานต่อการก้าวหน้าเขาแต่เขาจะไม่ฟังเพราะ
01:15:28 → 01:15:31 ฉะนั้นข้อที่ 3 เนี่ยมันเป็นข้อที่เราให้
01:15:31 → 01:15:33 ความสำคัญมากที่สุดแต่จริงๆแล้วมันเนาะ
01:15:33 → 01:15:35 สำคัญน้อยที่สุด
01:15:35 → 01:15:38 ก็คือเนื้อหาที่เราไปพูด
01:15:38 → 01:15:41 ถ้าเราคิดว่าเราไปพูดสิ่งที่ดีทำไมเขาไม่
01:15:41 → 01:15:44 ฟังจริงๆตอบง่ายมากเค้าไม่ฟังเพราะว่าเรา
01:15:44 → 01:15:45 ไปพูด
01:15:45 → 01:15:50 ถ้าสิ่งดีเนี้ยคนอื่นไปพูดเขาถึงฟังความ
01:15:50 → 01:15:53 เป็นครูเลยสำคัญ
01:15:53 → 01:15:56 ถ้าพ่อแม่บางคนเป็นเพื่อนได้ด้วยเป็นพ่อ
01:15:56 → 01:16:00 แม่ได้ด้วยแต่พ่อแม่บางคนก็เป็นได้แค่พ่อ
01:16:00 → 01:16:03 แม่เป็นเพื่อนก็ไม่ได้เป็นครูก็ไม่ได้
01:16:03 → 01:16:06 คะอันนี้ครับนี่คือเรื่องความสัมพันธ์และ
01:16:06 → 01:16:09 ความสัมพันธ์เนี่ยมันจะดีขึ้นหรือไม่ดี
01:16:09 → 01:16:11 ขึ้นในส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่การใช้คำพูดของ
01:16:11 → 01:16:15 เราเพราะฉะนั้นเนี่ยนะครับถ้าเป็นไปได้ขอ
01:16:15 → 01:16:19 ให้ทุกท่านเนี่ยเวลาพูดจากับคนในครอบครัว
01:16:19 → 01:16:21 นะครับถ้าเป็นไปได้อย่าไปพูดทำร้ายจิตใจ
01:16:21 → 01:16:25 เขาอย่าไปพูดเวลาที่ท่านโกรธเวลาที่ท่าน
01:16:25 → 01:16:28 รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจให้เงียบไว้เวลาที่
01:16:28 → 01:16:31 รู้สึกไม่พอใจและเวลาที่ไปพูดเนี่ยให้
01:16:31 → 01:16:34 ตั้งโจทย์กับตนเองว่าพูดอย่างไรถึงจะได้
01:16:34 → 01:16:37 สิ่งที่คุณต้องการถึงจะสื่อสารในเนื้อ
01:16:37 → 01:16:39 ความที่คุณต้องการโดยที่เขาเนี่ยไม่ได้
01:16:39 → 01:16:43 มองว่าคุณโกรธคุณเกลียดคุณโมโหคุณทำแบบ
01:16:43 → 01:16:46 นี้แรกๆมันจะทำยากแต่ทำต่อๆไปคุณจะเกิด
01:16:46 → 01:16:51 ทักษะในการสื่อสารในสิ่งที่แสดงออกอย่าง
01:16:51 → 01:16:53 ที่มันไม่ทำลายน้ำใจมากขึ้น
01:16:53 → 01:16:57 อีกแล้วนะครับไม่มีคำพูดใดก็ตามแต่ที่
01:16:57 → 01:17:00 ผ่านมาในอดีตเนี่ยเมื่อมันส่งผลพวงถึง
01:17:00 → 01:17:02 ปัจจุบันเนี่ยความแตกแยกครอบครัวมันเกิด
01:17:02 → 01:17:04 ขึ้นจากคำพูดเนี่ยสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่
01:17:04 → 01:17:08 เราต้องยอมรับเพราะว่าเราเป็นคนทำมันขึ้น
01:17:08 → 01:17:12 มาเองแต่ว่าหลังจากนี้อย่าไปทำเพิ่มนะ
01:17:12 → 01:17:16 ครับก็แรกคือหาความรู้ตัวไหมครับสม่ำเสมอ
01:17:16 → 01:17:20 การงานตั้งใจทำเรื่องความสัมพันธ์ต่อไป
01:17:20 → 01:17:23 เป็นเรื่องการปฏิบัติธรรมผลการปฏิบัติ
01:17:23 → 01:17:27 ธรรมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลายาวนานนะครับ
01:17:27 → 01:17:31 ก็อย่าไปคิดว่าพรุ่งนี้จะมีเสมอไปบางที
01:17:31 → 01:17:35 อาจจะไม่มีพรุ่งนี้จะเป็นชาติหน้าเลยคือ
01:17:35 → 01:17:38 ข้ามขั้นว่าพรุ่งนี้นะครับคนที่ตายเนี่ย
01:17:38 → 01:17:41 วันนี้เขาไม่คิดว่าวันนี้เป็นวันตายเขา
01:17:41 → 01:17:44 ฮะคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักวันนี้
01:17:44 → 01:17:47 ไม่ได้คิดคนที่เสียทรัพย์สินเสียอวัยวะ
01:17:47 → 01:17:52 เสียชีวิตเสียสภาพเศรษฐกิจทุกๆอย่างใน
01:17:52 → 01:17:53 ชีวิตเรานะครับมันเป็นสิ่งที่เราต้อง
01:17:53 → 01:17:56 เตรียมตัวการปล่อยวางในเป็นเรื่องที่พูด
01:17:56 → 01:18:00 ง่ายที่สุดในโลกนะครับแต่ทำจริงๆมันทำยาก
01:18:00 → 01:18:03 ให้จำไว้เสมอว่าเวลาที่เราใช้จิตใจในการ
01:18:03 → 01:18:08 แก้ไขปัญหาเราใช้ทั้งหมดทุกการแก้ปัญหาใน
01:18:08 → 01:18:12 ชีวิตทุกการพูดคุยกับผู้คนทุกการ
01:18:12 → 01:18:15 ปฏิสัมพันธ์กับทุกๆสถานการณ์เราใช้ทั้ง
01:18:15 → 01:18:18 หมดที่เราสะสมมา
01:18:18 → 01:18:21 แต่เวลามีปัญหาในชีวิตเราเอาศักยภาพทั้ง
01:18:21 → 01:18:23 หมดแล้วมากอง
01:18:23 → 01:18:27 ผู้กองไว้กับปัญหาเหมือนปลาช่างนะครับถ้า
01:18:27 → 01:18:29 ปัญหามันใหญ่
01:18:29 → 01:18:32 หนักกว่าศักยภาพของคุณช่างกันแล้วเนี่ย
01:18:32 → 01:18:36 คุณจะมีความทุกข์ถ้ามันหนักกว่ามากคุณจะ
01:18:36 → 01:18:39 ทุกข์มากถ้ามันหนักกว่าน้อยคุณทุกน้อยแต่
01:18:39 → 01:18:43 ถ้าศักยภาพไม่ว่าจะภายนอกภายในทางความ
01:18:43 → 01:18:45 สามารถในการทำหมายกินในจิตใจที่มันเป็น
01:18:45 → 01:18:49 จิตใจที่เข้าใจโลกในกำลังสติถ้าคุณรวมกัน
01:18:49 → 01:18:52 เนี่ยนะครับถ้าทุกอย่างมันมีพละก.พพละ
01:18:52 → 01:18:55 กำลังมากถ้าปัญหามันเล็กกว่าคุณจะไม่มี
01:18:55 → 01:18:58 ความทุกข์เพราะฉะนั้นเราทุกข์มากทุกข์
01:18:58 → 01:19:01 น้อยในชีวิตนะครับจริงๆถ้ามองอีกแง่นึง
01:19:01 → 01:19:03 เนี่ยมันเป็นดัชนีชีวัดว่าตอนนี้
01:19:03 → 01:19:07 มีความรู้ความสามารถของเราพละกำลังในจิต
01:19:07 → 01:19:10 ใจของเราความหนักแน่นเข้มแข็งในสติ
01:19:10 → 01:19:13 สัมปชัญญะของเราในมันมีแค่ไหนถ้าเราเป็น
01:19:13 → 01:19:16 คนที่มีความทุกข์มากตลอดทุกวันทุกวันทุก
01:19:16 → 01:19:19 อาทิตย์อันนี้มันแปลว่าเรื่องนี้มันคือ
01:19:19 → 01:19:20 เรื่องเร่งด่วน
01:19:20 → 01:19:24 มีความรู้ภายในนะครับ
01:19:24 → 01:19:27 แต่มันมีข้อเสียตรงที่ว่าเมื่อเราหิวข้าว
01:19:27 → 01:19:31 นี้เรายังมีร่างกายเตือนเราสมนะครับ
01:19:31 → 01:19:33 ที่ชัดเจนเป็นรูปประธรรมว่าถึงเวลาแล้วนะ
01:19:33 → 01:19:36 ที่เราต้องไปกินข้าวเพราะฉันหิวในการ
01:19:36 → 01:19:40 กระหายความสามารถทางจิตวิญญาณการกระหาย
01:19:40 → 01:19:43 ความสามารถทำความรู้มันไม่มีอะไรมาเตือน
01:19:43 → 01:19:47 มันจึงทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่ขนขวายหา
01:19:47 → 01:19:51 ความรู้ทางปัญญาทางธรรมไม่ขนขวายหาความ
01:19:51 → 01:19:54 รู้ทางโลกนะครับมันทำให้เรากลายเป็นคนที่
01:19:54 → 01:19:58 ไม่ได้รู้ตัวว่าตอนนี้เราขาดอยู่นะเพราะ
01:19:58 → 01:20:00 ฉะนั้นผมอยากฝากไว้นะครับว่าชีวิตที่ดีๆ
01:20:00 → 01:20:04 เนี่ยมันทำได้แล้วต้องเริ่มเริ่มต้นสาวๆ
01:20:04 → 01:20:07 และเริ่มต้นทำคุณไม่สามารถเสกได้ในวัน
01:20:07 → 01:20:10 เดียวถ้าวันนี้ชีวิตยังไม่ดีอันแต่ว่าที่
01:20:10 → 01:20:15 ผ่านมาคุณไม่ได้ดูแลสิ่งที่มันต้องทำหรือ
01:20:15 → 01:20:18 ไม่ทำไม่ใช่เรื่องยากหรือง่ายคุณต้องทำ
01:20:18 → 01:20:22 เรื่องที่ควรจะทำนะครับทันทีแล้วสะสมไป
01:20:22 → 01:20:25 เรื่อยๆผมคิดว่าถ้าทำตั้งแต่วันนี้นะครับ
01:20:25 → 01:20:28 อีกสองสามปีเราจะมีชีวิตที่ดีได้
01:20:28 → 01:20:31 เหตุการณ์ในขณะที่ทำเนี่ยมันจะค่อยๆดี
01:20:31 → 01:20:34 ขึ้นนะก็ผ่านไปสักปีหนึ่งคุณอาจจะรู้สึก
01:20:34 → 01:20:37 ว่าผู้ชีวิตฉันมาถึงตรงนี้ได้มันดีกว่า
01:20:37 → 01:20:40 เดิมมากมันสว่างมันตอบตรงประเดิมมากก็วัน
01:20:40 → 01:20:43 นี้ก็ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่มามาโดย
01:20:43 → 01:20:48 พร้อมเพียงกันแล้วก็ถ้ามีโอกาสก็จะจัดแบบ
01:20:48 → 01:20:49 นี้อีกเพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศ
01:20:49 → 01:20:53 ที่ดีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนะครับไอ้ที่
01:20:53 → 01:20:54 เป็นคอร์สปฏิบัติธรรมก็ยังมีเหมือนเดิม
01:20:54 → 01:20:58 แต่ก็คือจะเพิ่มเติมเลยที่มันสบายๆแบบนี้
01:20:58 → 01:21:01 มาด้วยก็ขอให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีและก็มี
01:21:01 → 01:21:05 ความสุขครับในวันแห่งความรักนะครับรักตัว
01:21:05 → 01:21:15 เองและผู้อื่นมากๆขอบคุณครับอ่ะ
01:21:15 → 01:21:25 [เพลง]