00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:05 → 00:00:07 Voice ถ้าเรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เลว
00:00:07 → 00:00:10 ร้ายในระดับวินาศกรรมก่อการร้ายฆาตกรรม
00:00:10 → 00:00:12 หรือเป็นอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างกระทบและ
00:00:12 → 00:00:15 สร้างความหวาดวิตกไม่ปลอดภัยถูกคุกคาม
00:00:15 → 00:00:18 ความรู้สึกไม่แน่นอนว่าชีวิตแบบมันจะยัง
00:00:18 → 00:00:20 ได้อยู่มหรือว่าเราจะต้องแบบจบสิ้นไปตรง
00:00:20 → 00:00:22 นี้เราในฐานะที่ไม่ได้เผชิญเองเราอาจจะ
00:00:22 → 00:00:24 เห็นว่าสิ่งเลวร้ายเนี้ยหัสิ่งที่มันรุน
00:00:24 → 00:00:27 แรงเมันเกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์กับคนที่
00:00:27 → 00:00:29 เรารู้จักเกิดขึ้นกับคนในสังคมของเราและ
00:00:29 → 00:00:30 ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะครับบางทีพอ
00:00:30 → 00:00:33 เรารู้สึกปั๊บมันเจ็บมันเจ็บช้ำเนาะแล้ว
00:00:33 → 00:00:35 มันโกรธแทนมันมีความเศร้ามันมีความหวดหู่
00:00:35 → 00:00:37 มันมีการตั้งคำถามว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิด
00:00:37 → 00:00:39 ขึ้นกับสังคมของเราเพราะงั้นมันจะไม่ได้
00:00:39 → 00:00:42 กระทบแค่ตัวคนที่โดนนะครับแต่คนวงนอก
00:00:42 → 00:00:43 เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นนะฮะใน
00:00:43 → 00:00:47 ฐานะเพื่อมนุษย์มันรู้สึกเลยว่ามันรับไม่
00:00:47 → 00:00:51 ได้ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:51 → 00:00:56 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ is
00:00:56 → 00:00:57 to
00:00:57 → 00:01:00 psc สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังค่ะขอต้อนรับเข้า
00:01:00 → 00:01:03 สู่รายการโรงหมอทางไทย PBS podcast ค่ะ
00:01:03 → 00:01:06 วันนี้เรามาพบกันเช่นเคยนะคะสิ่งที่เราจะ
00:01:06 → 00:01:09 คุยกันในวันนี้ก็เป็นอีกเรื่องราวนึงที่
00:01:09 → 00:01:13 อยากจะได้มาทำความเข้าใจแล้วก็ได้ให้คุณ
00:01:13 → 00:01:15 ผู้ฟังหลายๆท่านได้รู้จักกับวิธีการรับ
00:01:15 → 00:01:18 มือทางใจเมื่อเจอเหตุการณ์เลวร้ายนั่นเอง
00:01:18 → 00:01:21 นะคะซึ่งวันนี้เราจะคุยกับดรสุววุฒิวงทาง
00:01:21 → 00:01:24 สวัสดิ์นักจิตวิทยาการปรึกษาหรือคุณเอิ้น
00:01:24 → 00:01:26 ค่ะสวัสดีค่ะครับสวัสดีครับคุณรีสวัสดี
00:01:26 → 00:01:28 ครับคุณผู้ฟังค่ะคุณเอิ้นวันนี้คุยอาจจะ
00:01:28 → 00:01:31 ดูเป็นเรื่องที่ที่ทำความเข้าใจมันอาจจะ
00:01:31 → 00:01:34 มีความซีเรียสหรือความกันในการคุยของเรา
00:01:34 → 00:01:37 อยู่บ้างเพราะว่ามันเป็นเรื่องของเวลาที่
00:01:37 → 00:01:39 เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายใดๆก็ตาม
00:01:39 → 00:01:42 เนี่ยแน่นอนว่าบางคนอาจจะมีวิธีการรับมือ
00:01:42 → 00:01:45 ที่แตกต่างกันออกไปแต่ว่าในเรื่องของคำ
00:01:45 → 00:01:49 ว่าเลวเหตุการณ์เลวร้ายเนี่ยแต่ละคนก็ไม่
00:01:49 → 00:01:51 น่าเท่ากันเนาะใช่ครับเลวร้ายแต่ละคนไม่
00:01:51 → 00:01:53 เท่ากันแล้วก็สถานการณ์มันกว้างมากๆเนาะ
00:01:54 → 00:01:56 มันขึ้นอยู่กับว่าตัวเจ้าของเรื่องที่
00:01:56 → 00:01:57 เผชิญปัญหาเนี่ยครับหรือเผชิญตัวเรื่อง
00:01:57 → 00:02:00 ความเลวร้ายเนี่ยเกำลังเจอเหตุแบบไหนและ
00:02:00 → 00:02:03 เหตุการณ์นั้นน่ะครับมันเข้ามากระทบชีวิต
00:02:03 → 00:02:05 เขาในรูปแบบไหนอือืมันความว่าเรวร้ายมัน
00:02:05 → 00:02:08 มันค่อนข้างกว้างเนาะทั้งการเงินการสูญ
00:02:08 → 00:02:11 เสียการถูกทำร้ายการถูกคุกคามอะไรเงี้ย
00:02:11 → 00:02:13 ครับพวกเนี้ยเป็นเหตุการณ์เลวร้ายทั้ง
00:02:13 → 00:02:16 นั้นเลยอืมันก็จะนำไปสู่เรื่องของการฝัง
00:02:16 → 00:02:20 ใจเรื่องของสิ่งที่เราเจอเราอาจจะในชีวิต
00:02:20 → 00:02:23 คนๆนึงบางทีเราไม่เคยเจอสถานการณ์เลวร้าย
00:02:23 → 00:02:26 มาก่อนแต่ว่าวันนึงมาเจอกับตัวเองเราก็
00:02:26 → 00:02:27 มองว่าเฮ้ยเรื่องเนี้ยมันเป็นเรื่องใหญ่
00:02:27 → 00:02:31 สำหรับเราแต่บางทีคนที่อยู่ภายนอกที่รับ
00:02:31 → 00:02:33 รู้เรื่องราวของเราก็อาจจะรู้สึกว่าเฮ้ย
00:02:33 → 00:02:37 มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายมากแต่คือเขาไม่ได้
00:02:37 → 00:02:39 เป็นคนเผชิญสถานการณ์เอาอย่างงี้ได้มั้ย
00:02:39 → 00:02:41 คะคุณผู้ฟังสมมุติว่าอย่างคุณเอิ้นเจอ
00:02:41 → 00:02:44 อะไรมาใช่มั้ยคะวันนึงรีไปเจออะไรมาซึ่ง
00:02:44 → 00:02:47 อาจจะเป็นสถานการณ์เดียวกันแต่ความรู้สึก
00:02:47 → 00:02:50 ที่ในการที่จะรับมือครับมันอาจจะไม่ได้
00:02:50 → 00:02:52 เท่ากันก็ได้ใช่ครับไม่เหมือนกันเพราะว่า
00:02:52 → 00:02:54 ของพวกนี้มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลิกภาพของ
00:02:54 → 00:02:56 ตัวคนด้วยนะเพราะว่าแต่ละคนจะมี
00:02:56 → 00:02:59 บุคคลิกภาพแบบเ่อมีความมั่นคงทางใจสูงค่ะ
00:02:59 → 00:03:01 เป็นคนที่จิตใจค่อนข้างอ่อนไหวง่ายอยู่
00:03:01 → 00:03:03 แล้วพวกเนี้ยถ้าเป็นสถานการณ์เดียวกัน
00:03:03 → 00:03:05 เข้ามากระทบเนี่ยครับคนที่มีบุคลิกภาพแบบ
00:03:05 → 00:03:08 คล้ายๆว่าจิตใจอ่อนไหวค่อนข้างสูงเนี่ยจะ
00:03:08 → 00:03:10 มีความวิตกกังวลความเศร้าความรู้สึกรับ
00:03:10 → 00:03:12 มือกับสถานการณ์ไม่ได้ค่อนข้างมากกว่า
00:03:12 → 00:03:14 อยู่ะแต่ถ้าเป็นคนที่คล้ายๆค่อนข้างมี
00:03:14 → 00:03:16 ความมั่นคงทางจิตใจสูงอยู่แล้วโดย
00:03:16 → 00:03:19 บุคลิกภาพที่เป็นคนเอ่อมักจะเผชิญหน้ากับ
00:03:19 → 00:03:22 ปัญหาและเป็นคนที่เอ่อไม่ได้ไม่ได้คิด
00:03:22 → 00:03:24 วิตกอะไรมากเกินไปกว่าการที่พยายามมองว่า
00:03:24 → 00:03:27 เราเราจะมีวิธีการรับมือยังไงบ้าง
00:03:27 → 00:03:28 อันเนี้ยเป็นบุคลิกนะครับของคนที่ค่อน
00:03:29 → 00:03:31 ข้างมีความมั่นคงทางจิตใจเจะมีความหวัง
00:03:31 → 00:03:34 ว่าเขาจะผ่านไปได้อืแล้วเขาจะมีความความ
00:03:34 → 00:03:37 แข็งแกร่งความถึกความอะไรก็ตามไม่รู้่ะฮะ
00:03:37 → 00:03:40 ที่เขาเอ่อมีศักยภาพแล้วเขาเชื่อมั่นว่า
00:03:40 → 00:03:42 เขาจะสามารถรับมือกับสิ่งเนี้ยไปได้เพราะ
00:03:42 → 00:03:44 งั้นในการฟื้นตัวหรือแม้กระทั่งการรับมือ
00:03:44 → 00:03:47 เนี่ยครับหรือความวิตกความสั่นความแกว่ง
00:03:47 → 00:03:49 บุคลิกภาพก็แตกต่างกันทำให้การรับมือ
00:03:49 → 00:03:52 เนี่ยผลในการรับมือแตกต่างกันแน่นอนโอ้โห
00:03:52 → 00:03:54 อันนี้ไม่เคยนึกมาถึงมาก่อนเลยเรื่องของ
00:03:54 → 00:03:56 บุคคลิกภาพสิ่งที่เราถูกหล่อหลอมออกมา
00:03:56 → 00:04:01 เป็นตัวเราในแต่ละคนว่าอเรามีความอดทนต่อ
00:04:01 → 00:04:04 สถานการณ์ในรูปแบบไหนต่างๆแบบไหนใช่ครับ
00:04:04 → 00:04:06 แล้วจริงๆมันมีเรื่องของบุกเอ่อมันมี
00:04:06 → 00:04:08 เรื่องของประสบการณ์ชีวิตด้วยอคนบางคน
00:04:08 → 00:04:10 เหมือนที่เอ่อคุณรีบอกตะกี้ครับถ้าเราไม่
00:04:10 → 00:04:13 เคยเจอเหตุการณ์ที่มันรุนแรงแบบนี้มาก่อน
00:04:13 → 00:04:15 ชีวิตเราอาจจะคล้ายๆราบเรียบมีความสุขดี
00:04:15 → 00:04:17 ค่ะเราก็เลยอาจจะไม่ค่อยได้มีประสบการณ์
00:04:17 → 00:04:19 ในการเจอเรื่องร้ายแรงแล้วต้องเผชิญกับ
00:04:19 → 00:04:22 มันเท่าไหร่อืทีนี้พอเจอปั๊บครั้งแรกมัน
00:04:22 → 00:04:24 ช็อกอ่ะครับมันตกใจมันไม่รู้ว่าจะต้องรับ
00:04:24 → 00:04:26 มือยังไงเพราะไม่เคยผ่านเหตุการณ์อย่าง
00:04:26 → 00:04:28 นี้มาก่อนแต่ถ้าเกิดเป็นคนที่ในชีวิต
00:04:28 → 00:04:30 เนี่ยมีโอกาสได้ผ่านมาบ้างผ่านเหตุการณ์
00:04:30 → 00:04:33 เลวร้ายครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 แล้วก็ผ่าน
00:04:33 → 00:04:36 มาได้หรือเป็นคนที่อาจจะได้มองเห็นผมใช้
00:04:36 → 00:04:38 คำนี้แล้วกันเป็นผู้เฝ้าดูและเป็นผู้มอง
00:04:38 → 00:04:41 เห็นเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัว
00:04:41 → 00:04:43 แล้วคนๆนั้นมีโอกาสได้เตรียมใจบางอย่าง
00:04:43 → 00:04:46 ล่วงหน้าค่ะอ่าบางทีเหตุการณ์เยอาจจะไม่
00:04:46 → 00:04:48 ได้เกิดขึ้นกับเขาโดยตรงแต่การที่เขาเห็น
00:04:48 → 00:04:50 ตัวอย่างรอบตัวทำให้เขาคล้ายๆมีจุดของการ
00:04:50 → 00:04:54 มาเตรียมใจมีการตั้งสติหรือแม้กระทั่งการ
00:04:54 → 00:04:56 คุยเรื่องแผนการการทำใจของตัวเองไว้ล่วง
00:04:56 → 00:04:58 หน้าอย่างเงี้ยครับค่ะพอเจอเหตุการณ์ปั๊บ
00:04:58 → 00:05:00 มันกลายเป็นว่าตัวเค้าอ่ะครับมีการเผื่อ
00:05:00 → 00:05:02 ตรงเนี้ยไว้ให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วอืมัน
00:05:02 → 00:05:04 ก็อาจจะทำให้เขาพอเจอเหตุการณ์เนี้ยครับ
00:05:04 → 00:05:06 เขาจะไม่แกว่งเท่าไหร่แน่นอนเค้าแกว่งแน่
00:05:06 → 00:05:08 นอนแต่การที่เขาคิดและเตรียมตัวมาแล้ว
00:05:08 → 00:05:11 ล่วงหน้าจะทำให้เขาไม่แกว่งมากเกินไปค่ะ
00:05:11 → 00:05:14 เพราะฉะนั้นในสถานการณ์ของคำว่าสถานการณ์
00:05:14 → 00:05:18 เลวร้ายเนี่ยมันไม่ใช่สถานการณ์ปกติใช่
00:05:18 → 00:05:20 แต่มันเป็นสถานการณ์ที่มันมากกว่าเกิน
00:05:20 → 00:05:23 กว่าที่เราจะเฉยเมยหรือว่าไม่รับรู้ไม่
00:05:23 → 00:05:26 รู้สึกอะไรได้เลยเพราะว่าในบางสถานการณ์
00:05:26 → 00:05:29 เนี่ยมันเป็นเรื่องที่กระทบกับความรู้สึก
00:05:29 → 00:05:32 ของคนโดยส่วนรวมได้เหมือนกันถึงแม้ว่าเรา
00:05:32 → 00:05:35 จะไม่ได้เผชิญเหตุการณ์นั้นอยู่อือๆใช่
00:05:35 → 00:05:37 ครับซึ่งถ้าเรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เลว
00:05:37 → 00:05:39 ร้ายในระดับที่คุณรีกำลังพูดถึงเนาะโดย
00:05:39 → 00:05:42 ส่วนใหญ่มักจะเป็นอ่ะวินาศกรรมเป็นก่อการ
00:05:42 → 00:05:45 ร้ายหรือเป็นการฆาตกรรมหรือเป็นอะไรสัก
00:05:45 → 00:05:47 อย่างที่ค่อนข้างกระทบและสร้างความหวาด
00:05:47 → 00:05:50 วิตกสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยความรู้สึก
00:05:50 → 00:05:53 ถูกคุกคามความรู้สึกไม่แน่นอนว่าชีวิตแบบ
00:05:53 → 00:05:55 มันจะยังได้อยู่มยหรือว่าเราจะต้องแบบจบ
00:05:55 → 00:05:58 สิ้นไปตรงนี้อือ่าหรือแม้กระทั่งเราเราใน
00:05:58 → 00:06:00 ฐานะที่ไม่ได้เผชิญเองเองเราอาจจะเห็นว่า
00:06:00 → 00:06:02 สิ่งเลวร้ายเนี้ยครับสิ่งที่มันรุนแรงเย
00:06:02 → 00:06:04 มันเกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์กับคนที่เรา
00:06:04 → 00:06:07 รู้จักเกิดขึ้นกับคนในสังคมของเราและใน
00:06:07 → 00:06:09 ฐานะเพื่อมนุษย์ด้วยกันนะครับบางทีพอเรา
00:06:09 → 00:06:11 รู้สึกปั๊บมันเจ็บมันเจ็บช้ำเนาะแล้วมัน
00:06:11 → 00:06:13 โกรธแทนมันมีความเศร้ามันมีความหหดหู่มัน
00:06:13 → 00:06:15 มีการตั้งคำถามว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิด
00:06:15 → 00:06:18 ขึ้นกับสังคมของเราอืเพราะงั้นมันจะไม่
00:06:18 → 00:06:21 ได้กระทบแค่ตัวคนที่โดนนะครับแต่คนวงนอก
00:06:21 → 00:06:23 เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นนะฮะใน
00:06:23 → 00:06:25 ฐานะเพื่อมนุษย์มันรู้สึกเลยว่ามันรับไม่
00:06:25 → 00:06:27 ได้เพราะงั้นพวกนี้มันจะเกิดอารมณ์ร่วม
00:06:27 → 00:06:29 หลายๆอย่างที่มันเกิดขึ้นกับทั้งเอ่อเจ้า
00:06:29 → 00:06:32 ตัวที่เผชิญกับผู้ที่อยู่วงนอกก็จะรู้สึก
00:06:32 → 00:06:34 เหมือนกันว่าสิ่งนี้มันแบบโอ้โหมันเกินจะ
00:06:34 → 00:06:36 รับได้เนาะมันเลวร้ายอ่ะครับมันอย่างที่
00:06:36 → 00:06:39 ที่คุณเอิ้นบอกว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นน่ะ
00:06:39 → 00:06:41 อืคำถามเนี้ยมันเกิดขึ้นมาหลายๆคนเหมือน
00:06:42 → 00:06:46 กันว่าแล้วทำไมจะต้องกับกลุ่มนี้หรือกับ
00:06:46 → 00:06:49 เอ่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องแล้วเต้องมาได้รับ
00:06:49 → 00:06:51 ผลกระทบหลายๆอย่างเพราะว่าการได้รับผล
00:06:51 → 00:06:54 กระทบตรงเนี้ยมันไม่ใช่คนที่อยู่ใน
00:06:54 → 00:06:56 สถานการณ์นั้นแต่เป็นครอบครัวคนที่อยู่
00:06:56 → 00:07:00 ข้างหลังอีกด้วยอ่าใช่ครับหลายอย่างมากอื
00:07:01 → 00:07:04 มันมันเป็นอะไรที่บางอย่างมันก็เปราะบาง
00:07:04 → 00:07:07 กับความรู้สึกโดยเฉพาะในกลุ่มที่อาจจะ
00:07:07 → 00:07:11 เป็นเด็กเป็นผู้สูงอายุหรือเหตุการณ์เกิด
00:07:11 → 00:07:15 ขึ้นในโรงพยาบาลหรือโดยส่วนรวมที่บางคนเข
00:07:15 → 00:07:18 อาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังมีความสุข
00:07:18 → 00:07:20 กันอยู่แบบหลายๆคนอย่างเงี้ใช่คือไม่นึก
00:07:20 → 00:07:22 ไม่ฝันเลยว่าแบบมันจะมีสิ่งนี้เข้ามา
00:07:22 → 00:07:24 เรียกว่าทำลายและบทขยี้ความสุขของในของ
00:07:24 → 00:07:27 ชีวิตเราเงี้ยฮะค่ะอืเออถ้าอย่างงั้น
00:07:27 → 00:07:30 เนี่ยคือเอาแหละทุกวันเนี้ยเราก็อยู่กับ
00:07:30 → 00:07:33 สถานการณ์อะไรก็ไม่รู้แหละเห็นข่าวทุกวัน
00:07:33 → 00:07:36 แหละอะไรอย่างเงี้ยนะคะแต่ว่าในวิธีการ
00:07:36 → 00:07:40 ที่เราจะรับมือเอาในพารทของการที่คนที่
00:07:40 → 00:07:42 อยู่ในสถานการณ์นั้นๆก่อนแล้วกันเนาะ
00:07:42 → 00:07:45 เพราะว่ามันไม่รู้แหละทุกวันนี้อะไรจะ
00:07:45 → 00:07:48 เกิดขึ้นบ้างมันจะเกิดกับใครยังไงแต่ให้
00:07:48 → 00:07:51 รู้ว่าถ้าสมมุติวันนึงเราเจอเหตุการณ์อ
00:07:51 → 00:07:54 ที่เลวร้ายขึ้นมาเกิดขึ้นกับตัวเราเอง
00:07:54 → 00:07:58 หรือเกิดขึ้นกับคนที่เป็นคนรอบข้างครับ
00:07:58 → 00:08:00 เราไม่ได้เป็นคนเจอเหตุการ์เองแต่เกิด
00:08:00 → 00:08:02 ขึ้นกับคนที่เรารู้จักคนที่เรารักอครับ
00:08:02 → 00:08:06 หรือเกิดขึ้นกับในสังคมเนี่ยในการรับมือ
00:08:06 → 00:08:09 ทางใจของเราเนี่ยตัวเราเองเนี่ยเราจะมี
00:08:09 → 00:08:12 วิธีรับมือยังไงเอาอันสำหรับอันแรกเลยคือ
00:08:12 → 00:08:15 การที่เราเผชิญสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง
00:08:15 → 00:08:17 ก่อนอ่าได้ครับจริงๆต้องบอกว่าก่อนจะรับ
00:08:17 → 00:08:21 มืออ่ะครับอยากให้พวกเราเข้าใจกลไกของจิต
00:08:21 → 00:08:23 ใจก่อนเมื่อเราเผชิญเรื่องนี้อครับเวลา
00:08:23 → 00:08:26 ที่เราเจอสิ่งที่เราไม่คาดฝันเนาะสิ่งแรก
00:08:26 → 00:08:28 ที่มันจะเกิดขึ้นแน่ๆคือความรู้สึกตกใจ
00:08:28 → 00:08:30 อ่ะครับอ่าใช่เราตกใจเราช็อกแล้วมันจะ
00:08:30 → 00:08:33 เกิดความงงครับทีนี้ทำคำถามคือความงงความ
00:08:33 → 00:08:36 ช็อกมันเกิดขึ้นมายังไงมันเกิดขึ้นมาจาก
00:08:36 → 00:08:38 การที่ว่าโดยปกติแล้ว่ะครับคนเราจะมีการ
00:08:38 → 00:08:42 จดจำชีวิตที่เราเป็นอยู่จดจำบุคคลจดจำ
00:08:42 → 00:08:44 ความสุขจดจำสิ่งแวดล้อมจดจำสิ่งที่มัน
00:08:44 → 00:08:46 ค่อนข้างแน่นอนค่อนข้างนิ่งถูกมั้ยครับ
00:08:46 → 00:08:48 ว่าชีวิตเราเป็นอย่างเงี้ยเรามีคนนี้เรา
00:08:48 → 00:08:50 มีความปลอดภัยแบบนี้แบบนี้แบบนี้อะไร
00:08:50 → 00:08:52 อย่างเงี้ยฮะอ่ามันจะเป็นจุดที่มันตั้ง
00:08:52 → 00:08:55 เป็นภาพแกนอยู่ในใจเราเมื่อเกิดเหตุการณ์
00:08:55 → 00:08:56 เลวร้ายปั๊บหมายความว่าเหตุการณ์เลวร้าย
00:08:57 → 00:08:59 เนี้ยเป็นภาพที่มันตรงข้ามอย่างสุดขั้ว
00:08:59 → 00:09:02 กับภาพชีวิตที่เราจดจำได้หรือบุคคลที่เรา
00:09:02 → 00:09:04 เคยจดจำได้ว่ามีตัวตนอยู่หรือมีอยู่ใน
00:09:04 → 00:09:06 ชีวิตเราจริงเงี้ยครับเหตุการณ์เลวร้าย
00:09:06 → 00:09:08 มักเป็นเรื่องของการสูญเสียหรือมีอะไรสัก
00:09:08 → 00:09:10 อย่างที่เข้ามาคุกคามความปลอดภัยที่มัน
00:09:10 → 00:09:13 เป็นขั้วตรงข้ามอย่างสุดขั้วค่ะทีเนี้ยคน
00:09:13 → 00:09:15 จะเริ่มงงอครับว่าตกลงฉันจะต้องเชื่ออัน
00:09:15 → 00:09:17 ไหนก่อนเงี้ยฮะเพราะว่าภาพที่ฉันเคยจำมัน
00:09:17 → 00:09:20 ภาพนึงแต่ว่าเหตุการณ์วันนี้มันเข้ามาแบบ
00:09:20 → 00:09:22 เป็นขั้วตรงข้ามอย่างสุดขั้วเป็นการสูญ
00:09:22 → 00:09:25 เสียที่แบบไม่มีการเรียกว่าดึงกลับมาได้
00:09:25 → 00:09:27 ไม่ใช่แค่แบบไปท่องเที่ยวแล้วหายแล้วกลับ
00:09:27 → 00:09:29 มาแต่มันคือการหายไปจากชีวิตเลยเงี้ยครับ
00:09:29 → 00:09:31 อือหืออ่าเพราะงั้นสิ่งเนี้ยมันเป็นสิ่ง
00:09:31 → 00:09:33 ที่ทำให้เราค่อนข้างงงคเพราะงั้นในสเต็ป
00:09:33 → 00:09:36 แรกแน่นอนมันจะช็อและงงพองงเสร็จปั๊บมัน
00:09:36 → 00:09:39 จะเริ่มค่อยๆค่อยๆตั้งคำถามว่าจริงหรอที่
00:09:39 → 00:09:41 เราเจอนี่มันจริงหรอแล้วสักพักอ่ะครับ
00:09:41 → 00:09:43 สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นตามมาก็คือเราจะ
00:09:43 → 00:09:46 เริ่มถูกความจริงป้อนเข้ามาเรื่อยๆสมองจะ
00:09:46 → 00:09:48 เริ่มรับรู้ใหม่ว่าสิ่งเนี้ยคือความจริง
00:09:48 → 00:09:51 มันมีระยะเวลาใช่มั้ยมีครับมันจะมีสเต็ป
00:09:51 → 00:09:53 ของมันอ๋อเพราะตอนแรกเวลาเราได้ยินข่าว
00:09:53 → 00:09:55 ว่าใครสักคนเสียชีวิตเงี้ครับที่เรารัก
00:09:55 → 00:09:57 มากๆหรือเหเกิดเหตุการณ์รุนแรงเหตุการณ์
00:09:57 → 00:10:00 เลวร้ายมันจะตั้งคำถามว่าเรากำลังฝันหรือ
00:10:01 → 00:10:03 เปล่าหรือเรากำลังจริเป่าจริงหรออะไร
00:10:03 → 00:10:05 เงี้ยฮะมันจะเป็นความแบบยังงงแบบไม่อยาก
00:10:05 → 00:10:08 จะเชื่อเงี้ยฮะแต่สักพักนึงมันจะมีเหตุ
00:10:08 → 00:10:09 การณ์ที่มันเป็นความจริงเข้ามาป้อนเรื่อย
00:10:09 → 00:10:12 ๆระยะเวลาเมื่อผ่านไปปั๊บเราจะเริ่มรู้
00:10:12 → 00:10:14 ว่าสิ่งเนี้เป็นความจริงและมันจะเริ่ม
00:10:14 → 00:10:16 เกิดการเปลี่ยนผ่านจากที่เราเคยจำแบบนึง
00:10:16 → 00:10:18 มันจะเริ่มไปจดจำความรู้เอ้ยหรือข้อมูล
00:10:18 → 00:10:21 ชุดใหม่อีกเซตนึงว่าเหตุการณ์อันเนี้ย
00:10:21 → 00:10:23 เป็นความจริงนะอเมื่อเป็นความจริงปั๊บมัน
00:10:23 → 00:10:26 จะเริ่มเกิดการเศร้าเสียใจตามมาว่าแบบ
00:10:26 → 00:10:28 สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่มีอำนาจในการ
00:10:28 → 00:10:30 ต่อรองไม่ให้มันเกิดขึ้นแต่มันเกิดขึ้นไป
00:10:30 → 00:10:33 แล้วค่ะเงี้ยฮะแน่นอนเสียใจแน่นอนทีเนี้ย
00:10:33 → 00:10:36 มันจะต้องมีสเต็ปหลังจากนั้นเหมือนกันว่า
00:10:36 → 00:10:39 พอเรารับรู้มันก็จะเป็นห้วงเวลาของความ
00:10:39 → 00:10:42 เศร้าห้วงเวลาของความรู้สึกชีวิตมันโหด
00:10:42 → 00:10:45 ร้ายอย่างเงี้ยครับเราจะจมแน่ๆครับเราจะ
00:10:45 → 00:10:48 จมอยู่กับความเศร้าแน่ๆอือยู่ห้วงเวลานึง
00:10:49 → 00:10:51 เลยคือเหมือนกับว่าถ้าคนๆนั้นเจอใน
00:10:51 → 00:10:53 สถานการณ์นั้นเนี่ยมันไม่ได้หมายความว่า
00:10:53 → 00:10:56 คุณจะอยู่ๆเศร้าไปเลยไม่ใช่แต่มันจะมี
00:10:56 → 00:10:59 กระบวนการในความคิดความรู้สึกในตัวเราเอง
00:10:59 → 00:11:03 เนี่ยใช่ครับค่อยๆทำให้เรารู้ว่าเฮ้ยมัน
00:11:03 → 00:11:05 เกิดมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง
00:11:05 → 00:11:08 แล้วมันอใช่ครับต่อไปเนี้ยนี่คือความจริง
00:11:08 → 00:11:11 แล้วนะใช่ครับแล้วในห้วงความเศร้านั้นนา
00:11:11 → 00:11:13 จะเป็นระยะเวลาที่เราคล้ายๆค่อยๆได้ใช้
00:11:14 → 00:11:17 เวลาตรงเนี้ยเอ่อในการเราให้เราปรับตัว
00:11:17 → 00:11:20 อยู่กับความเป็นจริงชุดใหม่อืเนาะเราเห็น
00:11:20 → 00:11:21 ว่าความเป็นจริงมันเปลี่ยนจากชุดเดิมที่
00:11:21 → 00:11:23 เราเคยเข้าใจว่านี่คือความเป็นจริงแล้ว
00:11:23 → 00:11:25 มันกลายเป็นความจริงอีกชุดนึงที่เป็นชุด
00:11:25 → 00:11:27 ใหม่อ่ะครับไอ้ห้วงความเศร้านี่แหละคือ
00:11:27 → 00:11:28 ห้วงที่เรารู้สึกว่าเราต่อรองกับความจริง
00:11:28 → 00:11:31 ชุดนี้ไม่ได้โอ้โหเราเราเหมือนถูกยัดใส่
00:11:31 → 00:11:34 มือยัดยัดมาเลยอย่าเงี้ยฮะชีวิตมันยัดมา
00:11:34 → 00:11:36 ใส่เราเราไม่มีอำนาจต่อรองครับมันจะรู้
00:11:36 → 00:11:38 สึกเหมือนตัวเองแบบไร้อำนาจรู้สึกตัวเอง
00:11:38 → 00:11:41 แบบหดหู่เศร้าสลดกับเหตุการณ์ที่มันเกิด
00:11:42 → 00:11:43 ขึ้นกับชีวิตอย่างเงี้ยฮะไอ้ตรงนี้เป็น
00:11:43 → 00:11:46 จุดของการปรับใจเป็นจุดที่เราจะต้องค่อยๆ
00:11:46 → 00:11:48 ใช้เวลาในการปรับใจซึ่งมันมีเวลาของมัน
00:11:48 → 00:11:50 แต่ละคนยาวนานไม่เท่ากันแต่มันต่อรองไม่
00:11:50 → 00:11:52 ได้จริงๆนะเพราะมันคือความเป็นจริงที่
00:11:52 → 00:11:54 เกิดขึ้นใช่ครับมันคือความเป็นจริงมัน
00:11:54 → 00:11:57 เกิดขึ้นไปแล้วด้วยอืมใช่ครับทีเนี้ยไอ้
00:11:57 → 00:11:59 ห้วงเวลาเศร้าเนี่ยกว่าเราจะเปลี่ยน
00:11:59 → 00:12:01 เปลี่ยนผ่านไปถึงจุดที่ทำใจได้แต่ละคนไม่
00:12:01 → 00:12:03 เท่ากันเหมือนที่ผมบอกเนาะคนบางคนสามารถ
00:12:03 → 00:12:05 ฟื้นตัวได้เร็วคนบางคนก็คืออยู่กับมันแทบ
00:12:05 → 00:12:08 จะทั้งชีวิตคนบางคนอาจจะ 5 ปี 10 ปีแล้ว
00:12:08 → 00:12:12 แต่บางคนผ่านไปได้ด้วยตัวเองแต่บางคนผ่าน
00:12:12 → 00:12:15 ไปไม่ได้ด้วยตัวเองก็มีก็ต้องมีคนรอบข้าง
00:12:15 → 00:12:17 ที่เข้ามาช่วยเหลือค่ะนะครับเพราะงั้นเรา
00:12:17 → 00:12:19 เคยจะได้ยินข่าวว่าบางครั้งคนที่เขาเผชิญ
00:12:19 → 00:12:21 ตรงเนี้ยถ้าเขาผ่านไปด้วยตัวเองไม่ได้บาง
00:12:21 → 00:12:23 คนก็คิดทำร้ายตัวเองซะอย่างงั้นเพราะรู้
00:12:23 → 00:12:25 สึกว่าความหมายในการมีชีวิตอยู่มันหายไป
00:12:25 → 00:12:27 อย่างเงี้ยฮะหรือมันเจ็บปวดเกินกว่าจะรับ
00:12:27 → 00:12:29 รู้เพราะงั้นกระบวนการตรงเนี้ยจริงๆต้อง
00:12:29 → 00:12:32 บอกว่าคนรอบข้างสำคัญมากนะสำคัญมากที่จะ
00:12:32 → 00:12:35 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยซัพพอร์ตให้
00:12:35 → 00:12:37 เค้าผ่านช่วงเวลาอย่างเงี้ยไปได้หรือให้
00:12:37 → 00:12:39 เขาครู้สึกว่าการผ่านห่วงเวลาเนี้ยเ้าไม่
00:12:39 → 00:12:41 ได้ผ่านไปอย่างโดดเดียวอ่ะ
00:12:41 → 00:12:43 ครับเหมือนกับว่าเรากำลังอยู่ในภาพของ
00:12:44 → 00:12:47 ความสวยงามอืของความสุขเนาะอยู่ๆวันนึง
00:12:48 → 00:12:50 มันถูกกระชากไปเลยอ่ะครับเออแล้วมันกลาย
00:12:50 → 00:12:53 เป็นเรื่องที่เลวร้ายการเกิดการสูญเสีย
00:12:53 → 00:12:58 ครับขึ้นมาปึ๊บเนี่ยมันโหระยะเวลาในการทำ
00:12:58 → 00:13:00 ทำความรู้สึกทำความเข้าใจหรือว่ายอมรับ
00:13:00 → 00:13:03 มันเนี่ยอุ๊ยยากจริงๆนะยากแล้วก็ระดับการ
00:13:03 → 00:13:06 ยอมรับจะยากขึ้นไปตามตามรูปแบบการสูญเสีย
00:13:06 → 00:13:08 ด้วยนะอยู่ที่ว่าสูญเสียแบบไหนอ่ะครับค่ะ
00:13:08 → 00:13:11 ถ้าถ้าเป็นการสูญเสียด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
00:13:11 → 00:13:13 โอเคการเสียชีวิตของคนๆนี้อาจจะทำให้เรา
00:13:13 → 00:13:15 รู้สึกว่าเหตนี่ก็เป็นเหตุการณ์เลวร้าย
00:13:15 → 00:13:17 แต่ถ้าเกิดการสูญเสียนั้นเป็นลักษณะของ
00:13:17 → 00:13:19 อุบัติเหตุอย่างเงี้ยครับหรือเป็นเรื่อง
00:13:19 → 00:13:22 ของวินาศกรรมเป็นเรื่องก่อการร้ายหรือ
00:13:22 → 00:13:25 เป็นการฆาตกรรมมันจะมีมันจะมีความรู้สึก
00:13:25 → 00:13:28 ขึ้นมาว่าในระหว่างเหตุการณ์นั้นที่เกิด
00:13:28 → 00:13:31 ขึ้นนะครับเรามีความสงสารผู้เสียชีวิตจับ
00:13:31 → 00:13:33 ใจมากเลยอ่ะแล้วเราจะมีความนึกว่าระหว่าง
00:13:34 → 00:13:35 นั้นเขาเจอกับอะไรอยู่เค้ารู้สึกยังไงตอน
00:13:36 → 00:13:38 ที่เกิดเหตุการณ์นั้นหมายถึงตัวตัวเหยื่อ
00:13:38 → 00:13:40 ตัวผู้ถูกกระทำอย่างเงี้ยครับอค่ะเออแล้ว
00:13:40 → 00:13:43 มันจะมีความเจ็บขึ้นมาอีกว่าสงสารสงสาร
00:13:43 → 00:13:45 มันช้ำใจมากๆกับการที่คนที่เรารักอย่าง
00:13:45 → 00:13:47 เงี้ยครับค่ะต้องอยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น
00:13:47 → 00:13:49 แล้วเจอสิ่งนี้อ่ะครับตรงนี้ระดับความ
00:13:49 → 00:13:51 เจ็บปวดก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกฟังแล้วก็
00:13:51 → 00:13:54 แบบวันนี้คือจริงๆหดหูผมรู้สึกหหดหู่
00:13:54 → 00:13:56 เหมือนกันฮะเพราะว่าผมก็จะนึกนึกทุกที
00:13:56 → 00:13:59 แหละว่าเวลาคนที่เรารักต้องต้องเจอเหตุ
00:13:59 → 00:14:01 การณ์อะไรอย่างเงี้ยครับมันมันอดไม่ได้
00:14:01 → 00:14:03 หรอกที่เราจะนึกว่าตอนนั้นที่เกิดขึ้นน่ะ
00:14:03 → 00:14:07 เค้าคงกลัวมากเคคงเจ็บมากเคงอะไรมากอย่าง
00:14:07 → 00:14:09 เงี้ยฮะค่ะใช่แล้วเรารู้สึกเศร้าแทนเรา
00:14:09 → 00:14:12 รู้สึกเจ็บที่คนที่เรารักต้องเจอสิ่งเย
00:14:12 → 00:14:15 ครับงั้นแสดงว่าการรับมือในในสถานการณ์
00:14:15 → 00:14:18 ที่แบบเกิดขึ้นกับตัวเราเองแบบนี้เนี่ย
00:14:18 → 00:14:21 ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติกระบวนการ
00:14:21 → 00:14:23 ธรรมชาติใช่มั้ยเราไม่ต้องไปฝืนพยายามที่
00:14:23 → 00:14:27 จะแบบลืมไม่จดจำเหตุการณ์มันเป็นไปไม่ได้
00:14:27 → 00:14:29 เพราะมันถูกฝังอยู่ในค
00:14:29 → 00:14:31 เพราะว่าการการยิ่งกดดันตัวเองอ่ะครับยัง
00:14:31 → 00:14:33 ไงผมว่าร้อยทั้งร้อยเนาะมันไม่สามารถลืม
00:14:33 → 00:14:36 จู่ๆลืมจู่ๆลบไปได้หรอกเหมือเพราะมันเป็น
00:14:36 → 00:14:38 สิ่งที่เราจดจำไว้ในสมองอ่ะครับอือฮึ
00:14:38 → 00:14:40 เหมือนกับว่าถ้าจะร้องไห้ก็ร้องก็ร้องใช่
00:14:41 → 00:14:45 ครับถ้าจะอืมอยากคุยกับใครก็คุยเลยอใช่
00:14:45 → 00:14:47 มั้ยคือไม่ต้องเก็บอะไรไว้ใช่มั้ยคะใช่
00:14:47 → 00:14:49 ครับๆพยายามเอาสิ่งเหล่านั้นออกมาใช่ครับ
00:14:50 → 00:14:52 เพราะว่าที่ที่ผมพูดว่าเราควรจะเข้าใจ
00:14:52 → 00:14:54 สิ่งนี้ก่อนที่เราจะรับมือเพราะเราต้อง
00:14:54 → 00:14:55 เข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่มันจะต้องเป็น
00:14:55 → 00:14:58 ก่อนนะครับค่ะเมื่อเราเราเข้าใจธรรมชาติ
00:14:58 → 00:14:59 สิ่งที่มันต้องเป็นปั๊ปั๊บเราจะไม่ฝืนมัน
00:14:59 → 00:15:02 อ่ะเราจะไม่ขวางเราจะไม่ดั้งมันแต่ว่า
00:15:02 → 00:15:04 ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการธรรมชาติ
00:15:04 → 00:15:06 เหมือนเราเกิดบาดแผลอย่างเงี้ยครับมันก็
00:15:06 → 00:15:09 ต้องมีมีกระบวนการที่มันค่อยๆสมานแผลแต่
00:15:09 → 00:15:11 ทีเนี้ยจะสมานได้ได้ยังไงมันก็ขึ้นอยู่
00:15:11 → 00:15:13 กับว่าเราล้างเชื้อนี้ยังไงหรือเราดูแล
00:15:13 → 00:15:15 แผลนี้ยังไงแต่ถ้าแผลลึกหนักมากบางทีมัน
00:15:15 → 00:15:18 ใช้เวลานานและเราอาจจะรักษาสมานด้วยตัว
00:15:18 → 00:15:20 เองไม่ได้มันก็ต้องมีเรียกว่าตัวช่วยข้าง
00:15:20 → 00:15:22 นอกที่เข้ามาช่วยให้แผล่สมานเร็วขึ้นหรือ
00:15:23 → 00:15:25 ว่าสมานได้ดีขึ้นอย่างเงี้ยครับเพงั้นการ
00:15:25 → 00:15:27 ที่เราเจอเหตุการณ์ร้ายแรงเนี้ยถ้าเราแบบ
00:15:27 → 00:15:29 อยากจะปฏิเสธอยากจะกลอยากจะแบบทำเป็นไม่
00:15:29 → 00:15:32 รับรู้เงี้ยฮะมันอาจจะช่วยเรียกว่าพอช่วย
00:15:32 → 00:15:35 ได้บ้างในจุดที่รู้สึกว่าถ้าเรารับรู้มาก
00:15:35 → 00:15:38 กว่านี้เราจิตหลุดเราสติแตกแน่อือเราเบรก
00:15:38 → 00:15:40 มันไว้ก่อนโดยการเลี่ยงไม่รับรู้ค่ะเพราะ
00:15:40 → 00:15:42 ว่าบางทีกลไกการหลอกตัวเวงอ่ะครับมันอาจ
00:15:42 → 00:15:45 จะมันอาจจะมีอยู่เพื่อรักษาให้ใจเราไม่
00:15:45 → 00:15:48 แตกสลายไปวก่อนก็ได้ออทีเนี้ต้องบอกว่าใน
00:15:48 → 00:15:51 แต่ละคนจำเป็นต้องใช้กระบวนการหลอกตัวเวง
00:15:51 → 00:15:54 มั้ยอันเนี้ยครับเอ่อแล้วแต่คนบางคนเผชิญ
00:15:54 → 00:15:56 หน้ากับปัญหาเลยเพราะรู้สึกว่าการหลอกตัว
00:15:56 → 00:15:59 เองไม่ใช่ประโยชน์ค่ะแต่คนบางคนรู้สึกว่า
00:15:59 → 00:16:01 เหตุการณ์เที่เขารับรู้มันเกินกว่าที่เขา
00:16:01 → 00:16:03 จะประคองใจได้เขาอาจจะใช้กระบวนการกลไก
00:16:03 → 00:16:06 การป้องกันตัวเองค่ะด้วยการหลอกตัวเอง
00:16:06 → 00:16:08 ด้วยการทำเป็นไม่รับรู้ด้วยการทำเป็นลืม
00:16:09 → 00:16:11 ไปเลยอย่างเงี้ยครับก็มีซึ่งตรงเเป็นสิ่ง
00:16:11 → 00:16:14 ที่ทำให้คล้ายๆจิตใจไม่แหลกสลไปก่อนค่ะ
00:16:14 → 00:16:17 แต่ไม่ว่าใดๆก็ตาม่ะครับสุดท้ายเราก็ต้อง
00:16:17 → 00:16:19 กลับมาที่การรับรู้ความจริงและต้อนรับ
00:16:19 → 00:16:21 ความจริงอยู่ดีอืแต่แค่จะช้าจะเร็วมัน
00:16:21 → 00:16:23 ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วแหละแต่แค่จะช้จะ
00:16:23 → 00:16:25 เร็วอันเนี้ยต้องเหมาะแล้วแต่คนเพราะ
00:16:25 → 00:16:28 ฉะนั้นเราคนซึ่งไม่ใช่เป็นคนเผชิญเหตุ
00:16:28 → 00:16:30 การณ์เองเราจะเป็นตัดสินใจหรือบอกว่าเอ้ย
00:16:30 → 00:16:33 มันลืมได้แล้วนะืออะไรเพราะว่าในในภาวะ
00:16:33 → 00:16:35 ลึกๆของจิตใจของแต่ละคนอย่างที่คุณเอิ้น
00:16:35 → 00:16:39 บอกคุณผู้ฟังว่าในกระบวนการในการรับรู้
00:16:39 → 00:16:42 ยอมรับหรือเข้าใจอ่ะไม่ได้ไม่ได้เหมือน
00:16:42 → 00:16:44 กันใช่ครับไม่ได้เหมือนกันก็ปล่อยให้เป็น
00:16:44 → 00:16:47 เรื่องของเวลาส่วนหนึงด้วยใช่ครับนี้โดย
00:16:47 → 00:16:49 ส่วนใหญ่ใช่ครับโดยส่วนใหญ่คนรอบข้างมัก
00:16:49 → 00:16:53 จะใจร้อนพูดง่ายๆหดีแหละเอออยากอยากเห็น
00:16:53 → 00:16:56 คนตรงหน้าดีขึ้นเร็วๆอือฮึอืซึ่งเลยทำให้
00:16:56 → 00:17:00 หลงลืมไปว่าถ้าเป็นเราตัวเองโดนบ้างอครับ
00:17:00 → 00:17:03 โอมันไม่ได้มาพูดง่ายๆแล้วเราลองนึกภาพ
00:17:03 → 00:17:06 แล้วกันสมมุติเราโดนเองบ้างเราคิดว่า
00:17:06 → 00:17:10 ประโยคอะไรที่เราต้องการแล้วฮะสู้ๆนะแล้ว
00:17:10 → 00:17:12 ถ้าเราได้คำว่าสู้ๆนะบ้างตัวเราเองจะรู้
00:17:12 → 00:17:14 สึกยังไงเงี้ยครับคือตอนนั้นไม่ได้อยาก
00:17:14 → 00:17:16 สู้อ่ะเราจะรู้สึกมันไร้ประโยชน์อ่ะครับ
00:17:16 → 00:17:18 พูดทำไมอย่างเงี้เหรอใช่ครับเพราะว่าบาง
00:17:18 → 00:17:21 ทีคนพูดนะครับจะจะพูดในมุมที่ตัวเอง
00:17:21 → 00:17:24 ปรารถนาจะทำอะไรเพราะงั้นการพูดบางครั้ง
00:17:24 → 00:17:26 ไม่ใช่เป็นการตอบสนองคนที่กำลังทุกข์นะ
00:17:26 → 00:17:30 แต่การพูดนั้นมักจะตอบสนองผู้พูดเองอืว่า
00:17:30 → 00:17:31 กำลังจะพูดเพื่อตอบสนองอะไรอย่างเงี้ย
00:17:31 → 00:17:34 ครับค่ะอืแล้วก็ต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่คน
00:17:34 → 00:17:37 เราอ่ะครับมักจะรู้สึกกะกระอวนมากๆเมื่อ
00:17:37 → 00:17:40 รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อรู้
00:17:40 → 00:17:42 สึกตัวเองไร้ประโยชน์เมื่อรู้สึกว่าตัว
00:17:42 → 00:17:43 เองไม่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรตรง
00:17:43 → 00:17:47 หน้าและรู้สึกว่าได้เป็นแค่ผู้นั่งดูค่ะ
00:17:47 → 00:17:50 เป็นผู้รับรู้เฉยๆโดยที่จะทำอะไรไม่ได้คน
00:17:50 → 00:17:53 เราจะไม่ค่อยชอบตัวเองโหมดนั้นน่ะครับเออ
00:17:53 → 00:17:54 มันเลยมันเลยกลายเป็นว่าเมื่อสิ่งนี้เกิด
00:17:54 → 00:17:57 ขึ้นปั๊บบางทีคนเราชอบมีปฏิกิริยาว่าฉัน
00:17:57 → 00:17:59 อยากจะให้เกิดไปประโยชน์ขึ้นอะไรบางอย่าง
00:17:59 → 00:18:01 หรือฉันอยากจะรู้สึกว่าตัวเองพอจะเป็น
00:18:01 → 00:18:03 ประโยชน์อะไรบ้างอันนี้เป็นการพูดเพื่อ
00:18:03 → 00:18:05 เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีมากกว่าค่ะเราก็
00:18:05 → 00:18:08 เลยอาจจะเลือกประโยคอะไรบางอย่างที่คิด
00:18:08 → 00:18:11 ว่าประโยคนี้คงโอเคแหละพูดๆไปก่อนแต่มัน
00:18:11 → 00:18:12 ไม่ได้เป็นประโยชน์กับผู้ฟังอ่ะครับอื
00:18:12 → 00:18:14 เพราะงั้นตรรงนี้ต้องบอกว่าคนรอบข้างต้อง
00:18:14 → 00:18:17 สังเกตให้ดีนะเรากำลังพูดเพื่ออะไรกันแน่
00:18:17 → 00:18:20 ค่ะนะครับถ้านึกไม่ออกว่าการพูดของเราจะ
00:18:20 → 00:18:23 เป็นประโยชน์มนะครับให้ลองนึกก็ได้ว่าถ้า
00:18:23 → 00:18:25 เป็นเราเองเงี้ยครับความรู้สึกประมาณนี้
00:18:25 → 00:18:28 ประโยคไหนที่เราจะอยากได้ยินหรือจริงๆใน
00:18:28 → 00:18:29 จังหวะนี้เราไม่ได้อยากได้ยินอะไรเราแค่
00:18:29 → 00:18:32 ต้องการจะอยู่กับความเศร้าไม่ต้องมีใครมา
00:18:32 → 00:18:34 ยุ่งกับเราเราต้องการแค่นั้นหรือเปล่าอ
00:18:34 → 00:18:36 เพราะถ้าเราเข้าใจคนตรงหน้าที่เค้ากำลัง
00:18:36 → 00:18:38 เสียใจอย่างเต็มที่อ่ะครับและเราเห็นว่า
00:18:38 → 00:18:40 สิ่งนั้นถ้าเป็นเราเราก็คงจะรู้สึกอย่าง
00:18:40 → 00:18:43 นี้แหละอ่าเราจะรู้เองว่าควรจะวางตัวยัง
00:18:43 → 00:18:45 ไงกับสถานการณ์นี้อืบางครั้งไม่ต้องพูด
00:18:45 → 00:18:48 อะไรก็ได้แค่ปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นและแสดง
00:18:49 → 00:18:52 ว่าแค่ห่วงใยค่ะอยู่ข้างๆบางทีแค่นี้ครับ
00:18:52 → 00:18:54 คนที่เคกำลังทุกข์เค้าอาจจะต้องการแค่
00:18:54 → 00:18:55 นั้นก็ได้นะคือการไม่ต้องเข้ามายุ่มย่าม
00:18:55 → 00:18:57 ไม่ต้องเข้ามาก้าวก่ายกับสิ่งที่เขากำลัง
00:18:57 → 00:19:01 รู้สึกอแค่แค่ปรากฏตัวให้เห็นว่ามีคนห่วง
00:19:01 → 00:19:04 แค่นั้นพอแลค่ะครับเหมือนกับว่าเขาอาจจะ
00:19:04 → 00:19:06 อยากอยู่คนเดียวแต่หันไปทางซ้ายทางขวายัง
00:19:06 → 00:19:09 มีคนอยู่ข้างๆนะแค่นั้นพอใช่ใช่บางทีแค่
00:19:09 → 00:19:12 นี้ก็พอแล้วนั่นคือสิ่งที่บางคนบางคนอาจ
00:19:12 → 00:19:15 จะเผลอไปตัดสินว่าแค่นั้นมันน้อยไปบางที
00:19:15 → 00:19:16 คนที่เข้าไปแทรกแซงมักจะเป็นอย่างเงี้ย
00:19:17 → 00:19:20 ครับคิดว่าตัวเองอยากจะมีซีนในนี้คิดว่า
00:19:20 → 00:19:21 ตัวเองอยากจะมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงอะไร
00:19:21 → 00:19:24 บางอย่างค่ะแต่แต่หารู้ไม่เลยว่าสิ่งที่
00:19:24 → 00:19:26 ทำทั้งหมดมันไม่ได้เป็นผลดีอย่างเงี้ย
00:19:26 → 00:19:29 ครับอค่ะซึ่งอันนี้ก็เป็นเป็นอีกเรื่อง
00:19:29 → 00:19:31 หนึ่งที่จะมีความรู้สึกว่าถ้าเป็นอย่าง
00:19:31 → 00:19:33 เงี้ยเราจะรู้สึกว่าเราอยากจะใช้เวลา
00:19:33 → 00:19:36 เดี๋ยวเวลาจะเป็นตัวช่วยเองอืใช่ครับส่วน
00:19:36 → 00:19:39 เราก็มีหน้าที่คอยห่วงอยู่ห่างๆก็ได้อะไร
00:19:39 → 00:19:41 อย่างเงี้ยนะคะเพราะว่าถ้าเกิดยิ่งเป็นคน
00:19:41 → 00:19:44 พูดไม่เก่งหรือปลอบใจใครไม่เก่งหรือแบบ
00:19:44 → 00:19:46 อะไรอย่าเงี้ยเฉยๆดีกว่าเดี๋ยวมันถ้าไม่
00:19:46 → 00:19:48 ชัวรอย่าพูดดีกว่าใช่ครับเพราะการการไม่
00:19:48 → 00:19:50 พูดเนี่ยมันคือการที่ทุกอย่างยังเท่าทุน
00:19:50 → 00:19:53 อยู่นะทุกอย่างยังคงที่อ่ะครับแต่ถ้าเรา
00:19:53 → 00:19:55 ทะเล่อทะล่าเข้าไปใช้คำว่าทะเล่อทะล่านะ
00:19:55 → 00:19:57 โดยที่ไม่ทันได้ยั้งคิดนะครับจะเป็นตัว
00:19:57 → 00:19:59 เรานี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างติดลบกว่าเดิม
00:19:59 → 00:20:01 ค่ะก็ดูอยู่ห่างๆนะคะถ้าเกิดเขาร้องขอเรา
00:20:01 → 00:20:04 ค่อยเข้าไปใช่ค่ะแค่แสดงตัวว่าเราพร้อมก็
00:20:04 → 00:20:07 พอแต่ถ้าเาไม่เรียกเราเราระวังมากนะว่า
00:20:07 → 00:20:09 อย่าสำคัญตัวผมว่าในสถานการณ์เนี้ยหลายๆ
00:20:09 → 00:20:12 คนสำคัญตัวอว่าต้องเป็นชั้น 4 ชั้นจะต้อง
00:20:12 → 00:20:15 ทำ 4 เขาจะต้องนึกถึงชั้น 4 ออาฮะมันกลาย
00:20:15 → 00:20:17 เป็นสำคัญตัวมากไปลืมลืมให้ความสำคัญกับ
00:20:17 → 00:20:19 เจ้าตัวว่าตัวเคควรจะมีสิทธิ์ว่าอะไรที่
00:20:19 → 00:20:22 พอดีและเหมาะสมกับเขาที่สุดอย่างเงี้ย
00:20:22 → 00:20:24 ครับเพราะงั้นบางทีการจัดความช่วยเหลือ
00:20:24 → 00:20:26 บางครั้งก็เลยจัดขึ้นมาจากการสำคัญตัวมาก
00:20:26 → 00:20:29 ไปว่าเราน่าจะสำคัญอืออือแต่จริงๆเราไม่
00:20:29 → 00:20:31 ได้สำคัญขนาดนั้นในช่วงเวลานั้นเอาจจะไม่
00:20:31 → 00:20:34 ได้นึกถึงเราก็ได้ใช่ครับใช่เพราะงั้นใน
00:20:34 → 00:20:36 ฐานะคนรอบข้างเราไม่ใช่เป็นผู้เผชิญเองอ
00:20:37 → 00:20:39 ระมัดระวังที่จะเข้าไปแทรกแซงบางอย่าง
00:20:39 → 00:20:41 แล้วเกิดผลเสียครับทีนี้อันนี้ในพาร์ทของ
00:20:41 → 00:20:44 คนที่เผชิญเหตุการณ์เองอ่ะก็ต้องมีเวลาใน
00:20:44 → 00:20:47 การที่เขาจะเยียวยาด้วยความรู้สึกของเขา
00:20:47 → 00:20:49 เองการยอมรับการคือรับรู้แล้วแต่การยอม
00:20:49 → 00:20:52 รับมันส่วนสำคัญสำหรับเขาด้วยนะคะแต่อัน
00:20:52 → 00:20:55 นี้อยู่ห่างๆดูๆห่างๆกันได้แต่ถ้าเกิดว่า
00:20:55 → 00:20:57 เราเป็นคนที่อยู่ข้างๆะอยู่ในพระข้างๆเรา
00:20:58 → 00:21:00 ไม่ได้เป็นคนเผชิญเหตุการณ์เองเราอาจจะ
00:21:00 → 00:21:02 เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องคนในครอบครัว
00:21:02 → 00:21:07 ของคนที่เผชิญอันเนี้ยเราจะรับมือสมมุติ
00:21:07 → 00:21:09 ว่าเอาแหละเรารู้ว่าเพื่อนเราหรือคนใน
00:21:09 → 00:21:11 ครอบครัวเรามีความสูญเสียใดเกิดขึ้นใน
00:21:11 → 00:21:14 ชีวิตเขาเราเองก็สะเทือนใจเหมือนกันเนี่ย
00:21:14 → 00:21:17 อในในพาร์ทที่เราเราเห็นอยู่อย่างเงี้ย
00:21:17 → 00:21:20 ครับมันมันเศร้ามันมันไม่โอเคไปด้วยอยู่
00:21:20 → 00:21:23 แล้วแหละใช่มั้ยคะเเรามันตรงแม้กระทั่งคน
00:21:23 → 00:21:25 วงนอกเนี่ยเราเราก็ควรที่จะมีวิธีของเรา
00:21:25 → 00:21:28 เหมือนกันใช่มั้ยอ่าใช่ครับอืคือคือต้อง
00:21:28 → 00:21:30 บอกว่าว่าพอเราสะเทือนใจแล้วเนี่ยแน่นอน
00:21:30 → 00:21:32 มันมีส่วนที่ทำอะไรไม่ได้แล้วเราเศร้าหวด
00:21:32 → 00:21:34 หู่แต่สิ่งที่เราจะต้องไม่ละเลยแล้วไม่
00:21:34 → 00:21:37 ลืมคือสุขภาพจิตเรายังต้องดูแลอยู่อืสุด
00:21:37 → 00:21:40 ท้ายเรายังต้องไปต่อกับชีวิตนะครับเพราะ
00:21:40 → 00:21:42 ฉะนั้นเอ่อการที่เราจะร่วมเสียใจร่วมรู้
00:21:42 → 00:21:44 สึกหรือร่วมมีส่วนร่วมอะไรบางอย่างกับ
00:21:45 → 00:21:47 เหตุการณ์เนี้ยเรายังทำได้นะในฐานะเพื่อ
00:21:47 → 00:21:49 มนุษย์และและบางทีถ้าเราทำเป็นเพิกเฉย
00:21:49 → 00:21:51 หรือว่าเย็นชากับสิ่งนี้บางทีเราอาจจะรู้
00:21:51 → 00:21:54 สึกเคารพตัวเองไม่ลงก็ได้อืเพราะเพราะ
00:21:54 → 00:21:55 สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของความเป็นเพื่อน
00:21:55 → 00:21:58 มนุษย์นะครับถ้าเราทำเย็นชาทำเป็นไม่รู้
00:21:58 → 00:22:01 สึกอ่าถ้าเรามีหัวใจของความเป็นเพื่อน
00:22:01 → 00:22:03 มนุษย์นะครับเราไม่สามารถละเลหรือทำเป็น
00:22:03 → 00:22:05 ไม่เห็นได้หรอกยังไงก็ต้องเศร้าแต่เพียง
00:22:05 → 00:22:07 แค่ว่าเราก็ต้องกะให้ดีว่าความเศร้าแค่
00:22:07 → 00:22:11 ไหนถึงพอและพอประมาณพอสมควรเพราะสิ่งนี้
00:22:11 → 00:22:13 ได้เกิดขึ้นไปแล้วแต่ตัวเรา่ะครับยังมี
00:22:13 → 00:22:15 ส่วนที่ต้องประคับประคองตัวเองและบางที
00:22:15 → 00:22:18 อาจจะต้องเรียกว่าทำตัวเองให้พร้อมเสมอ
00:22:18 → 00:22:21 เพื่อที่จะมีวันนึงปั๊บแล้วเราอาจจะได้
00:22:21 → 00:22:23 ต้องเป็นผู้เข้าไปช่วยเหลือค่ะเพราะงั้น
00:22:23 → 00:22:25 เราก็ต้องอย่าหลงลืมในการดูแลจิตใจตัวเอง
00:22:25 → 00:22:27 เหมือนกันว่าถ้ารับรู้ข่าวสารมากไปเข้าไป
00:22:27 → 00:22:30 คลุกคลีกับมันมากไปแล้วใจเราเริ่มดิ่งไป
00:22:30 → 00:22:33 กว่าเดิมและดิ่งโดยที่ไม่มีความจำเป็นและ
00:22:33 → 00:22:34 ไม่เห็นประโยชน์ของการดิ่งเราอาจจะต้อง
00:22:34 → 00:22:37 บอกให้ตัวเองพอครับคำว่าพอคือพอออกมา
00:22:37 → 00:22:40 เพื่อพักพักให้ใจตัวเองเนี่ยได้รับรู้
00:22:40 → 00:22:43 ส่วนอื่นของชีวิตบ้างเช่นเราจะแบบอ่ะไป
00:22:43 → 00:22:45 อ่านข่าวอื่นไปคุยกับคนอื่นเปลี่ยนเรื่อง
00:22:45 → 00:22:48 บ้างหรือถ้าใครรู้สึกว่าเออเราลองเข้าหา
00:22:48 → 00:22:51 ศาสนาเข้าหาแบบวัดเพื่อทำบุญให้เรารู้สึก
00:22:51 → 00:22:54 ว่าเราเปลี่ยนจากการโหมดเศร้าสร้อยเนี่ย
00:22:54 → 00:22:55 เปลี่ยนเป็นโหมดของการที่เราอยากจะอุทิศ
00:22:56 → 00:22:58 ส่วนกุศลบางอย่างมีใจปรารถนาดีอยากให้ไม่
00:22:58 → 00:23:00 ว่าจะเป็นดวงวิญญาณตามความเชื่อแล้วแต่
00:23:00 → 00:23:02 อย่าเงี้ยฮะให้ได้รับสิ่งดีๆอันนี้ก็เป็น
00:23:02 → 00:23:04 การขยับจากโหมดเศร้าสร้อยเป็นโหมดของการ
00:23:04 → 00:23:07 ที่เราวางจิตกุศลเพื่อให้สิ่งที่มันเกิด
00:23:07 → 00:23:09 ขึ้นแล้วและผู้ล่วงลับเนี่ยได้รับสิ่งที่
00:23:10 → 00:23:13 ดีๆจากจิตของเราอืคือเหมือนกับว่าจริงๆ
00:23:13 → 00:23:16 แล้วเอ่อถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มที่
00:23:16 → 00:23:19 ใกล้ชิดคือไม่ได้แบบวงนอกเลยอะไรขนาดนั้น
00:23:19 → 00:23:22 แต่ว่าเราก็ต้องดูแลด้วยเพราะว่าถ้าเราดู
00:23:22 → 00:23:25 แลใจให้เราโอเคมันมันสะเทือนใจอ่ะเนาะมัน
00:23:25 → 00:23:29 เป็นญาติเราบางทีการกลับมาฮีใจตัวเองก่อน
00:23:29 → 00:23:31 แล้วเพื่อที่ให้ตัวเองแข็งแรงแล้วก็จะได้
00:23:31 → 00:23:33 ช่วยเหลือในวันที่คนที่เจอสถานการณ์เนี่ย
00:23:33 → 00:23:35 ร้องขอกลับมาเหอย่างที่เมื่อกี้คุยกัน
00:23:35 → 00:23:38 เนี่ยใช่ใช่ครับมันก็น่าจะดีเนาะดีกว่า
00:23:38 → 00:23:40 ไม่งั้นมันจะกลายเป็นจมไปทั้งหมดอ่ะครับ
00:23:40 → 00:23:42 อือเราเรามีคนที่จมเยอะแล้ว่ะครับเราไม่
00:23:42 → 00:23:44 ควรจะสร้างคนที่จมเยอะไปกว่านั้นอีกโอแต่
00:23:44 → 00:23:48 แบบเนาะบางสถานการณ์ก็เข้าใจเลยนะว่ามัน
00:23:48 → 00:23:52 มันจะไม่สามารถที่จะแบบยิ่งคนที่อยู่รอบๆ
00:23:52 → 00:23:55 หรือคนที่ใกล้ชิดหรือกับคนที่คนที่เเผชิญ
00:23:55 → 00:23:58 เองเนี่ยอือมันไม่ง่ายเลยไม่ง่ายไม่ง่าย
00:23:58 → 00:24:01 ซึ่งซึ่งบางทีถ้าเป็นเราเองในฐานะคนที่วง
00:24:01 → 00:24:03 นอกเงี้ยครับรู้สึกว่าจัดการด้วยตัวเอง
00:24:03 → 00:24:05 ไม่ไหวบางทีอันเนี้ยเราสามารถพบเ่อนัก
00:24:05 → 00:24:07 วิชาชีพทางสุขภาพจิตได้อ๋อคุยได้ปรึกษา
00:24:07 → 00:24:09 ได้คุยได้คุยได้ปรึกษาได้ครับบางทีไม่
00:24:09 → 00:24:11 ต้องเป็นแค่คนเผชิญเองหรอกเราเราเองใน
00:24:11 → 00:24:14 ฐานะคนมือสองที่แบบรับรู้เรื่องนี้ไม่ได้
00:24:14 → 00:24:17 กระทบไม่ได้เป็นผู้เ้าเรียกว่าสูญเสียโดย
00:24:17 → 00:24:20 ตรงกับตัวเองแต่อาจะเป็นบุคคลที่วงที่ 3
00:24:20 → 00:24:22 ที่รู้สึกว่าโดนกระทบอย่างเงี้ยครับแล้ว
00:24:22 → 00:24:23 จัดการใจไม่ได้เราอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
00:24:23 → 00:24:25 ถึงเรื่องนี้บางทีเราอาจจะพบนักวิชาชีพ
00:24:25 → 00:24:28 นักจิตวิทยาก็ได้เพื่อให้เราได้พูดถึง
00:24:28 → 00:24:30 สิ่งที่มันอยู่ในใจเราครับเพราะต้องบอก
00:24:30 → 00:24:32 ว่าบางครั้งการที่เราคิดและเรารู้สึกและ
00:24:32 → 00:24:35 เก็บไว้ในใจมันจะวนอยู่ข้างในอ่ะมันจะ
00:24:35 → 00:24:36 เป็นเหมือนก้อนขยะที่มันไม่รู้จะเอาไป
00:24:36 → 00:24:39 ทิ้งตรงไหนบางทีการนั่งคุยกับนักวิชาชีพ
00:24:39 → 00:24:41 พวกเยครับก็จะทำให้เราได้คลายมันออกหรือ
00:24:42 → 00:24:44 อาจจะถูกจัดระเบียบหรือเมื่อเราได้พูดถึง
00:24:44 → 00:24:46 มันปั๊บเราอาจจะรู้สึกว่าเออเมื่อได้พูด
00:24:46 → 00:24:48 ปั๊บมันเหมือนยอนมาทิ้งออกไปข้างนอกเพื่อ
00:24:48 → 00:24:50 เป็นการคลายหรือการผ่อนความบีบคั้นตรง
00:24:50 → 00:24:53 นั้นในใจได้เหมือนกันครับอก็แสดงว่าบางที
00:24:53 → 00:24:56 ถ้าสมมุติว่าเราคิดว่าเราคุยกับในในกัน
00:24:56 → 00:24:59 เองด้วยเนี่ยอาจจะยิ่งพากันิ่งเพราะว่าก็
00:24:59 → 00:25:01 อยู่อยู่ในวงเดียวกันใช่ครับก็อาจจะต้อง
00:25:01 → 00:25:04 หาคนอื่นเพื่อได้ได้มุมหรือว่าได้มีโอกาส
00:25:04 → 00:25:06 ที่จะพูดออกมามันมันจะไม่ได้เป็นการแย่ง
00:25:06 → 00:25:09 กันพูดในกลุ่มแล้วใช่มใช่ๆมันจะไม่ใช่คน
00:25:09 → 00:25:11 เศร้าคุยกันเองแล้วแต่จะเป็นคนที่คนนึง
00:25:11 → 00:25:13 นิ่งกว่าแล้วเราก็จะได้ซึมทรับความนิ่ง
00:25:13 → 00:25:16 ตรงนั้นเข้ามาผสมกับเราด้วยครับอือๆเพราะ
00:25:16 → 00:25:19 ว่าบางทีก็ต้องคุยกับคนที่วิชาชีพนี้
00:25:19 → 00:25:21 เฉพาะนะเพราะว่าถ้าสมมุติว่าไปคุยกับใคร
00:25:21 → 00:25:23 ก็ไม่รู้อ่ะบางทีเขาไม่ได้เข้าใจเรานะอ
00:25:23 → 00:25:25 หรือเขาอาจจะใส่อารมณ์บางอย่างกลับเข้ามา
00:25:25 → 00:25:27 ให้เรามีขยะเพิ่มก็ได้เพราะฉะนั้นก็มัน
00:25:27 → 00:25:31 เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆในในในความคิด
00:25:31 → 00:25:32 หรือว่าอะไรสิ่งที่เราคุยกันในวันนี้เรา
00:25:32 → 00:25:35 ก็ยังแบบระวังด้วยเหมือนกันนะคะเพราะว่า
00:25:35 → 00:25:38 เราก็ไม่ได้แบบไปเน้นเจาะจงเรื่องของ
00:25:38 → 00:25:41 สถานการณ์บางอย่างมากเกินไปแต่ว่าเมื่อ
00:25:41 → 00:25:42 เราต้องเจอเหตุการณ์อะไรที่มันเป็นเลว
00:25:42 → 00:25:44 ร้ายสำหรับชีวิตเราที่เราคิดว่าเลวร้าย
00:25:44 → 00:25:47 เนี่ยเราจะมีวิธีรับมือยังไงในเบื้องต้น
00:25:47 → 00:25:50 นะคะก็วันนี้ขอบคุณคุณเอิ้นค่ะที่มาร่วม
00:25:50 → 00:25:53 พูดคุยแล้วก็มีแนวทางให้เราเนาะว่าถ้า
00:25:53 → 00:25:55 เกิดเราเผชิญกับเหตุการณ์พวกนี้เราจะต้อง
00:25:55 → 00:25:58 ทำยังไงต่อไปขอบคุณค่ะคุณเอิครับสวัสดี
00:25:58 → 00:26:00 ครับสวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังคะ
00:26:00 → 00:26:02 พบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทางไย
00:26:02 → 00:26:05 PBS podcast ค่ะขอบคุณที่ติดตามรับฟัง
00:26:05 → 00:26:08 นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is
00:26:08 → 00:26:12 Toy PBS podcast อาการทางจิตและโรคจิต
00:26:12 → 00:26:14 แตกต่างกันอย่างไรใครคือคนสำคัญที่ต้อง
00:26:14 → 00:26:16 ประเมินก่อนถึงมือจิตแพทย์ผู้ช่วย
00:26:16 → 00:26:18 ศาสตราจารย์ดรจันทวิภาดิลกสัมพันธ์ผู้
00:26:18 → 00:26:20 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวมา
00:26:21 → 00:26:24 เล่าให้ฟังครับคนปกติเนี่ยแหละอย่างที่
00:26:24 → 00:26:27 เราๆเห็นเนี่ยบางครั้งก็จะมีภาวะของ
00:26:27 → 00:26:30 อารมณ์บางอย่างที่บางทีก็เกิดวันนี้เซ็งๆ
00:26:31 → 00:26:33 วันนี้ซึมๆวันนี้เศร้าๆแต่อารมณ์นั้น
00:26:33 → 00:26:37 เนี่ยมันไม่ได้ถึงขั้นที่จะเป็นโรคจิต
00:26:37 → 00:26:40 หรือบางทีมีอาการทำอะไรเพี้ยนๆไปที่เรา
00:26:40 → 00:26:43 เรียกว่าเพี้ยนๆไปแต่มันก็ยังไม่ถึงขั้น
00:26:43 → 00:26:46 โรคจิตนะคะโรคจิตเนี่ยคือโรคที่จะต้อง
00:26:46 → 00:26:49 อาศัยแพทย์และให้ในเรื่องของการวินิจฉัย
00:26:49 → 00:26:52 และการรักษาซึ่งคนที่จะตัดสินว่าเส้นที่
00:26:52 → 00:26:56 ขีดระหว่างความผิดปกติทางจิตกับโรคจิตคน
00:26:56 → 00:26:58 เราเนี่ยมันสามารถจะมีความผิดผิดปกติทาง
00:26:58 → 00:27:01 จิตได้เป็นบางครั้งบางคราวนะฮะเช่นประสบ
00:27:01 → 00:27:04 กับความสูญเสียเนี่ยเสียคนที่รักยิ่งไป
00:27:04 → 00:27:07 แล้วก็อาจจะเศร้ามากเข้าไม่กินนะคะร้อง
00:27:07 → 00:27:10 ห่มร้องไห้อันนี้คือความผิดปกติทางจิตอ
00:27:10 → 00:27:13 ที่ยังไม่ถึงขั้นโรคจิตค่ะแต่เมื่อไหร่ก็
00:27:13 → 00:27:16 ตามจันท์วิภาเศร้าจนกระทั่งไปคว้ามีดมาจ
00:27:16 → 00:27:19 ฆ่าตัวตายละอันนี้มันอาจจะกลายเป็นโรคจิต
00:27:19 → 00:27:21 ไปแล้วก็ได้นึกออกมั้ยคะเพราะฉะนั้นตรง
00:27:21 → 00:27:24 นี้เนี่ยคนที่จะตัดสินก็คือจิตแพทย์นะคะ
00:27:25 → 00:27:27 แต่ก่อนที่จะไปถึงจิตแพทย์น่ะจิตแพทย์
00:27:27 → 00:27:30 ท่านไม่ได้เดินมาตามบ้านคนแล้วมาดูว่ามา
00:27:30 → 00:27:32 ส่องดูว่าบ้านนี้มีใครเป็นโรคจิตหรือ
00:27:32 → 00:27:35 เปล่าใญาติพี่น้องคนรอบข้างนี่แหละเราก็
00:27:35 → 00:27:38 จะต้องสังเกตว่าเอ๊ะคนของเราเนี่ยเริ่มมี
00:27:38 → 00:27:41 อาการที่ควรจะไปปรึกษาแพทย์หรือยังถ้าคน
00:27:41 → 00:27:43 เป็นโรคจิตเนะคะที่เรียกว่าเป็นโรคจิตไป
00:27:44 → 00:27:46 แล้วเนี่ยนะฮะก็คือการเจ็บป่วยทางสมอง
00:27:46 → 00:27:48 ชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยนั้นมีความคิด
00:27:48 → 00:27:51 ที่ผิดไปจากความเป็นจริงเช่นมีอาการ
00:27:51 → 00:27:55 ประสาทหลอนหูแว่วอะไรพวกเนี้ยนะคะสติไม่
00:27:55 → 00:27:58 อยู่กับเนื้อกับตัวบางทีพูดพร่ามอะไรแต่ง
00:27:58 → 00:28:01 ตัวสกปรกโรกรุงรังอะไรอย่างเงี้ยนะคะส่วน
00:28:01 → 00:28:04 อาการผิดปกติทางจิตหรือที่เราเรียกกันว่า
00:28:04 → 00:28:07 อาการโรคทางจิตเวชเนี่ยนะคะมันจะหมายถึง
00:28:07 → 00:28:10 ความผิดปกติทางจิตอันเกิดจากสารเคมีใน
00:28:10 → 00:28:14 สมองผิดปกตินะฮะแม้จะนิดเดียวก็ตามนะคะ
00:28:14 → 00:28:17 แต่ยังไม่มากเท่าอาการของโรคจิตค่ะเพราะ
00:28:17 → 00:28:19 ฉะนั้นอันเนี้ยมันเป็นเป็นขั้นที่อาจจะ
00:28:19 → 00:28:22 ยังไม่ต้องรักษาหรืออาจจะยังไม่ต้องอ่า
00:28:22 → 00:28:25 วินิจฉัยทำอะไรที่มันมากกว่านั้นแต่อาจจะ
00:28:25 → 00:28:28 เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขด้วยกันให้ให้คำ
00:28:28 → 00:28:32 ปรึกษาอะไรอย่างเงยได้นะคะ
00:28:32 → 00:28:37 ค่ะ This Is Toy PBS
00:28:37 → 00:28:40 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:28:40 → 00:28:43 Application ของ Thai PBS podcast
00:28:43 → 00:28:46 spotify soundcloud Google podcast
00:28:46 → 00:28:49 Apple podcast และ YouTube Channel
00:28:49 → 00:28:53 Thai PBS podcast tha PBS podcast
00:28:53 → 00:28:57 View the world via The
00:28:57 → 00:29:01 Voice อ