00:00:00 → 00:00:03 มันมีภาษากายอะไรมฮที่คนมักจะเข้าใจผิด
00:00:03 → 00:00:06 หรือตีความหมายผิดไปบ้างเยอะมากค่ะพี่
00:00:06 → 00:00:09 ตั๊กอย่างจับจมูกจับหูเนี่ยอันเนี้ยชันจะ
00:00:09 → 00:00:12 บอกเลยว่าเขาบอกว่าการนั่งไขวห้างเนี่ย
00:00:12 → 00:00:15 เป็นการปิดกั้นจริงมเราพอจะมีเคล็ดลับจับ
00:00:15 → 00:00:19 โกหกยังไงมยฮะที่เราสามารถรู้ว่าเข
00:00:19 → 00:00:22 โกหกจะบอกว่ามันมีหลายเทคนิคมากค่ะแล้ว
00:00:22 → 00:00:25 อย่างเงี้จะจะจับนักแสดงได้เหรอพี่ก็ไม่
00:00:26 → 00:00:29 ได้ศึกษาแต่สามีพี่ก็จับพี่ไม่ค่อยได้แปล
00:00:29 → 00:00:32 ว่าพตัเียไงคะการเลียนแบบอ่ะค่ะมันทำให้
00:00:32 → 00:00:35 เขารู้สึกว่าเราอ่ะเป็นพวกเดียวกันถ้า
00:00:35 → 00:00:37 เมื่อกี้พี่ตั๊กสังเกตตอนที่พี่ตั๊กไป
00:00:37 → 00:00:39 อย่างเงี้ยอ่ะแชค่อยๆมาอย่างงี้อ๋ออ๋อ
00:00:39 → 00:00:42 เหรอพี่ตัรู้สึกอะไรมั้ยคะพี่เคยมีคน
00:00:42 → 00:00:45 มาเรียนแบบพี่พี่ไม่ชอบอ่ะรู้เขารู้เรารบ
00:00:45 → 00:00:47 100 ครั้งชนะ 100 ครั้งค่ะถ้าอ่านออก
00:00:47 → 00:00:51 อยู่ที่ว่าคุณอ่านออกมยตั๊กท EP นี้
00:00:51 → 00:00:54 มาเรียนรู้ภาษากายความลับที่อีกฝ่ายไม่
00:00:54 → 00:00:57 พูดแต่ร่างกายฟ้องกับคุณแชทกัญญนัสผู้
00:00:57 → 00:01:00 เชี่ยวชาญด้านบุคลิกภาพและภาษากายที่สอน
00:01:00 → 00:01:04 ในองค์กรชั้นนำระดับประเทศดูคลิปนี้จบคุณ
00:01:04 → 00:01:13 จะเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างมาก
00:01:13 → 00:01:17 ขึ้นคนเราเนี่ยนะการที่เราทำท่าอะไรบาง
00:01:17 → 00:01:19 อย่างทำอย่างงี้หรืออาจจะมองอย่างงี้หรือ
00:01:20 → 00:01:24 อาจจะทำอย่างงี้เขาบอกว่ามันสามารถบอกได้
00:01:24 → 00:01:28 ว่าคนนี้รู้สึกยังไงมันถอดรหัสได้คนนี้
00:01:28 → 00:01:30 พูดจริงคนนี้พูดไม่จริงจริงคนที่กำลัง
00:01:30 → 00:01:33 โกหกเราอยู่หรือเปล่าเราสังเกตได้จากภาษา
00:01:33 → 00:01:37 กายซึ่งเขากำลังทำอยู่วันนี้ถ้าใครดูตั๊ก
00:01:37 → 00:01:40 Talk EP นี้ให้จบนะคะบอกเลยว่าคุณอ่าน
00:01:40 → 00:01:44 คนได้ทะลุถึงข้างในเลยด้วยเออจริงมั้ยคะ
00:01:44 → 00:01:46 จริงค่ะแต่จะบอกว่าจริงบางส่วนค่ะพี่ตั๊ก
00:01:46 → 00:01:48 บางส่วนเหรอคือจะบอกว่าภาษากายมันไม่ใช่
00:01:48 → 00:01:51 แค่ 1 แฟกเตอร์คแต่มันมีอีกหลายอย่างที่
00:01:51 → 00:01:54 เราต้องดูประกอบกันค่ะอย่างเช่นภาษาพูดก็
00:01:54 → 00:01:57 นับภาษากายก็นับบริบทโดยรวมความรู้สึก
00:01:57 → 00:02:01 อารมณ์สภาวะร่างกายฮะณจุดนั้นสัมพันธ์กัน
00:02:01 → 00:02:04 หมดเลยค่ะโอ้โหมันสามารถบอกได้เอางี้ดี
00:02:04 → 00:02:07 กว่าก่อนอื่นพี่อยากทราบว่าคุณแชทเนี่ย
00:02:07 → 00:02:10 เรียนเรื่องนี้มาโดยตรงใช่ค่ะเรียนทำไม
00:02:10 → 00:02:14 อ่ะทำไมไม่ไปเรียนเป็นหมอเป็นอะไรต่างๆ
00:02:14 → 00:02:16 เรียนบัญชีหรือเรียนอะไรเพราะอะไรคุณชั
00:02:16 → 00:02:18 ถึงฉันชอบตอนตั้งแต่เด็กแล้วค่ะพี่ตั๊ก
00:02:18 → 00:02:21 ชันก็จะนั่งดูคนเดินไปเดินมาหเวลาไป
00:02:21 → 00:02:23 เที่ยวก็จะไปนั่งนั่งจ่อมอยู่ในคาเฟ่เลย
00:02:23 → 00:02:25 ค่ะนั่งนั่งดูคนดูคนข้างข้างดูคนเดินไป
00:02:25 → 00:02:29 เดินมาดูลักษณะเค้าเหรอใช่ดูว่าแบบอุ้ย
00:02:29 → 00:02:32 บ้านนี้เทะเลาะกันอุ๊ยบ้านนี้เคุยอะไรกัน
00:02:32 → 00:02:34 น่ะอยากรู้อันอันนี้อันนี้อันนี้เป็นอยาก
00:02:34 → 00:02:37 รู้หรือเปล่าอยากรู้นะคะก็เลยไปเรียน
00:02:37 → 00:02:39 เรื่องนี้โดยตรงใช่แต่เราไม่แน่ใจไงคะว่า
00:02:39 → 00:02:41 สิ่งที่เราคิดเนี่ยถูกหรือเปล่าอยากรู้
00:02:41 → 00:02:44 อยากเห็นอีนี้เรียนแล้วไอ้การเรียนภาษาไก
00:02:44 → 00:02:47 เหล่านี้มันสามารถเอาไปทำอะไรในชีวิต
00:02:47 → 00:02:49 ประจำวันหรือทำงานอะไรได้บ้างสำหรับแชทจะ
00:02:49 → 00:02:51 บอกว่าในการเรียนของแชทอ่ะค่ะแชทไม่ได้
00:02:51 → 00:02:53 เรียนเพื่อจับผิดคนอื่นนะค่ะแชทเรียน
00:02:54 → 00:02:57 เพื่อที่เอามาดีไซน์ของตัวเองอโอเพราะพอ
00:02:57 → 00:02:59 เรารู้แล้วว่าเฮ้ยถ้าทำท่าเนี้ยมันเป็น
00:02:59 → 00:03:03 แปลว่าแบบนี้เอากลับมาดีไซน์ในบริบทที่
00:03:03 → 00:03:07 ต้องการผลแบบนี้ชันจะทำแบบนี้แล้วมันได้
00:03:07 → 00:03:10 ผลมั้มันได้ผลค่ะมันเป็นท Way ค่ะพี่ตั๊ก
00:03:10 → 00:03:14 เรารู้คนอื่นเค้ารู้สึกยังไงเราจะได้จัด
00:03:14 → 00:03:17 การสถานการณ์ตรงหน้าได้แล้วเรารู้ตัวเอง
00:03:17 → 00:03:20 ด้วยว่าตอนนั้นน่ะเราทำอะไรลงไปเราสื่อ
00:03:20 → 00:03:23 สารแบบที่เราต้องการไหมถ้าเราต้องการถ้า
00:03:24 → 00:03:26 แชทต้องการจะสื่อสารว่าแชทเป็นคน
00:03:26 → 00:03:30 เนลน่าเข้าหาเข้ามาหาได้
00:03:30 → 00:03:33 แชทก็ต้องดูแล้วว่าร่างกายสีหน้าแววตาแชท
00:03:33 → 00:03:36 สื่อสารแบบนั้นออกไปไหม
00:03:36 → 00:03:40 อืมันคือการสื่อสาร 2 ทางค่ะมันใช้ได้ทุก
00:03:40 → 00:03:42 อย่างในชีวิตประจำวันเลยค่ะตราบใดที่เรา
00:03:42 → 00:03:46 ยังต้องคุยกับมนุษย์อยู่มันบอกได้แม่นแค่
00:03:46 → 00:03:51 ไหนแม่นแม่นที่ความรู้สึกนะค่ะมันสามารถ
00:03:51 → 00:03:54 บอกได้ว่าตอนเนี้ยเค้ารู้สึกแบบนี้ตอนนี้
00:03:54 → 00:03:56 เารู้สึกแบบนี้ถ้าเขาทำท่านี้แปลว่าเขา
00:03:56 → 00:04:00 เครียดนะเราจะได้หาวิธีอืรู้ว่าเคเครียด
00:04:00 → 00:04:02 เราต้องเอาหาวิธีทำยังไงให้เขาคคลาย
00:04:02 → 00:04:06 เครียดอืหรือถ้าเขาเศร้าแล้วเรารู้เราก็
00:04:06 → 00:04:09 ต้องทำยังไงให้ก็ได้ให้เขาไม่เศร้าอ๋อ
00:04:09 → 00:04:12 เพื่อที่จะได้รู้เขารู้เราใช่แชทจะบอกว่า
00:04:12 → 00:04:15 รู้เขารู้เรารบ 100 ครั้งชนะ 100 ครั้ง
00:04:15 → 00:04:19 ค่ะถ้าอ่านออกอยู่ที่ว่าคุณอ่านออกมยอ่า
00:04:19 → 00:04:22 เอางี้พี่อยากรู้ว่าพื้นฐานหรือหัวใจ
00:04:22 → 00:04:26 สำคัญของการอ่านภาษากายมันคืออะไรแล้วมัน
00:04:26 → 00:04:29 ต้องเริ่มต้นจากอะไรเริ่มต้นจากการสังเกต
00:04:29 → 00:04:30 ก่อน
00:04:30 → 00:04:33 สแต่ขี้ก็ขี้สังเกตคนนะสเกอย่างเงี้ยล่ะข
00:04:33 → 00:04:36 ชอบดีมั้ก็ดีแต่เราต้องสังเกตเนียนๆไงคะ
00:04:37 → 00:04:39 แต่บางคนเนี่ยเคนั่งอย่างี้เลยค่ะพี่ตั๊ก
00:04:39 → 00:04:42 อ่ะไม่เนียนแล้ว 1 ไม่ไม่เนียนแล้วไม่
00:04:42 → 00:04:44 เนียนไม่เนียนไม่เนียนแล้วพอคนรู้ว่ามีคน
00:04:44 → 00:04:46 จ้องอ่ะค่ะเขาจะทำอะไรที่มันไม่เป็น
00:04:46 → 00:04:49 ธรรมชาติทันที่ะเขาจะแบบอ๊ไม่เป็น
00:04:49 → 00:04:53 ธรรมชาติเขอ่ากดอันแรกเลยทำให้เนียนส่อง
00:04:53 → 00:04:56 เา้าให้เนียนๆไหนเนียนของคุชัทำไงเราก็ทำ
00:04:56 → 00:05:00 เหมือนปกติเลยค่ะทำปกติไปแล้วดูดูนู่นที
00:05:00 → 00:05:03 ดูนั่นทีอออย่าบอกเพื่อนค่ะเดี๋ยวเพื่อน
00:05:03 → 00:05:06 รู้เดี๋ยวเพื่อนโป๊ะค่ะอ่ะเพื่อนเรานัล่ะ
00:05:06 → 00:05:09 ค่ะตัวโป๊ะแกแกดูคนนั้นสิพึบไม่ได้อ๋ออัน
00:05:09 → 00:05:12 โป๊ะต้องเนียนโป๊ะต้องเนียนเนียนแล้วก็
00:05:12 → 00:05:14 ต้องช่างสังเกตช่างสังเกตคือสังเกตในที่
00:05:14 → 00:05:17 เนี้ยไม่ได้สังเกตแค่ตัวนะคะแต่ต้อง
00:05:17 → 00:05:20 สังเกตบริบทโดยรอบด้วยออทุกอย่างมีผลหมด
00:05:20 → 00:05:24 เลยค่ะเสื้อผ้าหน้าผมรถอะไรที่เอามามีผล
00:05:24 → 00:05:26 หมดเลยจริงเหรออันนี้ชันจะชอบยกตัวอย่าง
00:05:26 → 00:05:28 ให้นักเรียนดูบอกว่าเสื้อผ้าที่คุณใส่อ่ะ
00:05:28 → 00:05:31 มันพูดได้นะมันตะโกนดังกว่าคุณอีกสมมุติ
00:05:31 → 00:05:37 แชทใส่ชุดขาวมีสไบผ้าถุงพี่ตาคิดว่าแชท
00:05:37 → 00:05:40 อยู่ไหนคะก็อยู่วัดไงอ่ะอยู่วัดถูกมั้ยคะ
00:05:40 → 00:05:44 งพูดตะโกนบอกมาว่ามันตะโกนแล้วแต่อย่าง
00:05:44 → 00:05:47 บางคนน่ะค่ะสมมุตินะคนที่ชอบใส่แบรนด์
00:05:47 → 00:05:52 ตะโกนอ่ะเห็นโอโหลก็มาใหญ่ๆเขาก็ต้องการ
00:05:52 → 00:05:55 ให้รู้เต้องการบอกโลกว่ารวยถูกมั้ยคะอ๋อ
00:05:55 → 00:05:58 ฉันรวยไม่งั้นเขาไม่ใส่มาแบบตะโกนเพราะ
00:05:58 → 00:06:01 เขาต้องการเพื่อที่จะบอกสถานะแล้วคนที่
00:06:01 → 00:06:04 ชอบใส่เพชรเวอร์วังโน่นนี่นั่นเพื่อโชว์
00:06:05 → 00:06:08 ทั้งๆที่ไม่ได้มีงานไปก็เหมือนกันต้องตะก
00:06:08 → 00:06:11 อยากตะโกนสถนะตะโกนเพราะแบบฉันเป็นบมีฉัน
00:06:11 → 00:06:15 เป็นบฉันมีฉันเป็นบอซึ่งเอย่างงั้นที่เข
00:06:15 → 00:06:17 บอกว่าเอ้ยคนรวยจริงก็จะไม่ใส่ก็แล้วแต่
00:06:17 → 00:06:20 คนค่ะจะบอกว่าทุกคนน่ะค่ะมีความต้องการ
00:06:20 → 00:06:23 ของตัวเองไอ้ความต้องการที่จะเป็นบมันก็
00:06:23 → 00:06:26 คือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ว่าอยากจะ
00:06:26 → 00:06:28 significant ฉันอยากจะแตกต่างแต่ความแตก
00:06:28 → 00:06:30 ต่างของคนเราไม่ไม่เหมือนกันไงค่ะฉันอาจ
00:06:30 → 00:06:34 จะอยากแตกต่างด้วยการใส่กีโมโนเดินก็ได้
00:06:34 → 00:06:37 แตกต่างและแต่นั่นคือสิ่งที่ชันชอบค่ะแต่
00:06:37 → 00:06:39 ถ้าบุคคลท่านนั้นเขอยากแตกต่างด้วยการ
00:06:39 → 00:06:42 เป็นแบบเพชรใหญ่ๆเขาก็แตกต่างอแล้วมี
00:06:42 → 00:06:45 อย่างอื่นอีกมั้ยฮะที่พอจะบอกได้นอกจาก
00:06:45 → 00:06:48 เรื่องการแต่งตัวอะไรต่างๆการแต่งหน้า
00:06:48 → 00:06:51 แต่งตาหมดเลยค่ะอืมันมีจิตวิทยาในการแต่ง
00:06:51 → 00:06:54 หน้าเลยใช่มั้ยคะพี่ตั๊กที่แบบว่าบางคนจะ
00:06:54 → 00:06:57 แบบแต่งตาตกทำหน้าเศร้าตอนที่เราอยาก
00:06:57 → 00:07:00 เศร้าออเราจะเห็นได้ตามงานแถลงข่าวค่ะพี่
00:07:00 → 00:07:04 ตัอ๋องานแถลงข่าวอ๋อแล้วเแต่งตาช่วยเลย
00:07:04 → 00:07:07 เหรอเ้าแต่งกันขนาดนั้นเลยนะเคดีไซน์กัน
00:07:07 → 00:07:10 มาแบบดีอ่ะพี่ตั๊กลองสังเกตดูคนที่ไปทำ
00:07:10 → 00:07:13 แถลงข่าวเราใส่สีอะไรสีขาวไม่มีใครใส่สี
00:07:13 → 00:07:16 แดงไม่มีเนี่ยสูตรแบบพี่ตัเคไม่ใส่ไปการ
00:07:16 → 00:07:19 แถลงข่าวมันแรงมันดูไม่ซอมันแรงใช่ต้อง
00:07:19 → 00:07:23 แบบอ่ะเป็นสีเอิโทนอ๋อหรือสีขาวเพราะสี
00:07:23 → 00:07:25 ขาวอ่ะคนจะชอบคิดว่าแบบเป็นสีแบบ
00:07:25 → 00:07:29 บริสุทธิ์ออ Positive เออๆแต่พักหลังๆนี่
00:07:29 → 00:07:31 มีหลายหลายคนน่ะนะใถ่ขาวแล้วก็ก็แล้วก็ไป
00:07:31 → 00:07:33 อยู่ในนั้นใช่อเราไม่พูดเรื่องนั้นเนาะ
00:07:34 → 00:07:35 พี่ตั๊
00:07:35 → 00:07:40 เนาะภาษากายแบบไหนที่ดูแล้วเป็นลบเป็นลบ
00:07:40 → 00:07:42 อันดับแรกเลยค่ะเราจะดูร่างกายที่มันเปิด
00:07:42 → 00:07:45 กับปิดก่อนอ่ะเปิดปิดเป็นเปิดเนี่ยเราจะ
00:07:45 → 00:07:48 ดูช่วงนี้เป็นหลักเพราะว่าร่างกายช่วงลำ
00:07:48 → 00:07:50 ตัวค่ะเอ๊แต่พี่ว่าคุณสวยมากเลยนะอุ๊ย
00:07:50 → 00:07:55 ขอบคุณค่ะพี่ชอบมองอ่ะเหมนี่ก็คือภาษากาย
00:07:55 → 00:07:57 ที่เราดูแล้วเราชื่นชมไงนี่เป็นหนึ่งเคุณ
00:07:57 → 00:08:01 ชนะเลิแล้วนะคุณสวยเลยขอบคุณมากเอ่าเป็น
00:08:01 → 00:08:04 ไงอ่ะเรากลับมาถ้าเปิดอ่ะค่ะคนเราอ่ะเขา
00:08:04 → 00:08:07 จะยอมเปิดที่ตัวคือร่างกายด้วยระบบสมอง
00:08:08 → 00:08:10 อ่ะค่ะพี่ตั๊เขาจะปกป้องความปลอดภัยของ
00:08:10 → 00:08:12 เราเขาจะเอาความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง
00:08:12 → 00:08:15 อวัยวะที่สำคัญมันอยู่ช่วงนี้หมดเลยเาก็
00:08:15 → 00:08:18 เลยจะปกปิดถ้าเขารู้สึกว่าตรงนั้นไม่ปลอด
00:08:18 → 00:08:21 ภัยสำหรับเาเขาจะปิดอ่าแต่ถ้าเขาครู้สึก
00:08:21 → 00:08:25 ว่าปลอดภัยจะเปิดบางคนน่ะเวลาที่เขารู้
00:08:25 → 00:08:28 สึกไม่ปลอดภัยเขาจะกอดอกอ่าเอามือมาบัง
00:08:28 → 00:08:31 ช่วงหน้าออหรือผู้หญิงบางคนจะขออนุญาตยืม
00:08:31 → 00:08:34 พอปนิดนึงอค่ะเขาจะเริ่มอย่างนี้ละอันนี้
00:08:34 → 00:08:38 เรู้สึกไม่ปลอดภัยใช่กระเป๋าเอกสารใดๆเขา
00:08:38 → 00:08:40 จะมากอดเพราะเขารู้สึกว่าตรงเนี้ยไม่ปลอด
00:08:40 → 00:08:43 ภัยไม่ผิดใช่มั้ยไม่ผิดค่ะก็แค่เป็นความ
00:08:43 → 00:08:45 รู้สึกเขาอ๋องั้นเราต้องคอยมองนะว่าถ้าเ
00:08:45 → 00:08:48 ทำท่าเงี้คือเไม่ปลอดภัยใช่แต่พอเรามอง
00:08:48 → 00:08:51 แล้วอ่ะค่ะเราก็ต้องทำให้เขารู้สึกปลอด
00:08:51 → 00:08:54 ภัยไงค่ะอืๆเพราะฉะนั้นอันเนี้ยมันมันจะ
00:08:54 → 00:08:56 บอกว่ามันคือการดีไซน์ความสัมพันธ์แล้ว
00:08:56 → 00:09:00 เราจะทำไงให้เค้ารู้สึกปลอดภัยก็อันนี้มี
00:09:00 → 00:09:03 เทคนิคจะบอกว่ามันมีหลายเทคนิคมากค่ะเรา
00:09:03 → 00:09:07 อาจจะยื่นของให้เขาคก็ได้เเปิดแหละเพราเา
00:09:07 → 00:09:10 ต้องมารับของจากเราอ๋อยื่นชากาแฟให้เาก็
00:09:10 → 00:09:13 จะเปิดรับช่วงนึงอ่าเคงไม่ทำอย่างเงี้
00:09:13 → 00:09:18 เหรอใช่ใช่มคะไม่ขนาดห่อซะขนาดนี้ใช่มใช่
00:09:18 → 00:09:21 แต่มันมีสูตรโกงอีก 1 อย่างค่ะคือการแรป
00:09:21 → 00:09:25 พอค่ะแรปพอคือการเรียนแบบเขาพอคนเราเลียน
00:09:25 → 00:09:27 แบบกันแพอมันคือการสร้างความสัมพันธ์ค่ะ
00:09:27 → 00:09:31 พี่ตัถ้าเรียนแบบเหมือนกระจกเลยค่ะค่ะ
00:09:32 → 00:09:34 สมมุติแชทอยาก Connect กับพี่ตั๊กอ่าแชท
00:09:34 → 00:09:37 ก็จะดูละถ้านั่งพี่ตั๊กเป็นยังไงพี่ตั๊ก
00:09:37 → 00:09:39 นั่งอย่างงี้ใช้ก็จะเริ่มเลียนแบบพี่ตั๊ก
00:09:39 → 00:09:42 ไปเรื่อยๆสมมุติพี่ตั๊กไขว่ห้างใชช้ก็จะ
00:09:42 → 00:09:46 ค่อยๆอ้าแล้วคนนี้เไม่รำคาญหรวเฮ้ยเธอมา
00:09:46 → 00:09:48 ทำตามชันนี่ไงคะคีย์หลักอยู่ตรงนี้ค่ะ
00:09:48 → 00:09:53 เนียนสมมุติพี่ตั๊กไขวห้างชัดทิ้งจังหวะ
00:09:53 → 00:09:57 นิดนึง 2 วินที่งขึ้นชๆค่อยๆึตทำไมต้องทำ
00:09:57 → 00:10:00 อย่างงั้นเพราะว่ามันเหมือนกระจกค่ะเวลา
00:10:00 → 00:10:03 ที่เราส่องกระจกมันคือเรา Connect กันถูก
00:10:03 → 00:10:05 มั้คะเรา Connect กับตัวเราอ่าเวลาที่เรา
00:10:05 → 00:10:08 ทำอะไรเหมือนกันน่ะค่ะมันคือการสร้างสาย
00:10:08 → 00:10:10 สัมพันธ์แล้วคนเราจะ Connect กันโดย
00:10:10 → 00:10:12 อัตโนมัติอย่างคนที่เขาปิดหรือคนที่แบบ
00:10:12 → 00:10:15 เป็นอเวร์ที่เขาแบบไม่เอาใครไม่อยากคุย
00:10:15 → 00:10:18 กับเราเราต้องทำให้เขารู้สึกปลอดภัยแล้ว
00:10:18 → 00:10:21 การเลียนแบบอ่ะค่ะมันทำให้เขารู้สึกว่า
00:10:21 → 00:10:24 เราอ่ะเป็นพวกเดียวกันอ๋อเหรอพอเราส่ง
00:10:24 → 00:10:27 สัญญาณว่าเราเป็นพวกเดียวกันน่ะค่ะก็เป็น
00:10:27 → 00:10:30 พวกกันน่ะปลอดภัยจริงเหรอออแต่ว่าพี่เคย
00:10:30 → 00:10:32 มีคนมาเลียนแบบพี่พี่ไม่ชอบอ่ะอย่างพี่
00:10:32 → 00:10:34 ซื้อเสื้อสิ่งไหนเต้องซื้อเสื้อตามพี่
00:10:34 → 00:10:37 อย่าเงี้ยพี่ก็รู้สึกว่าเอ๊ะทำไมต้องมาาม
00:10:37 → 00:10:40 ันไม่เนียนเค้าเรียกไม่เนียนป่ะมันเป็น
00:10:40 → 00:10:42 การเลียนแบบที่ไม่ใช่ Mirror ค่ะแต่ถ้า
00:10:42 → 00:10:44 Mirror ถ้าเมื่อกี้พี่ตั๊กสังเกตตอนที่
00:10:44 → 00:10:46 พี่ตั๊กไปอย่างเงี้ยอ่ะแชทค่อยๆมาอย่าง
00:10:46 → 00:10:49 งี้นะอ๋ออ๋อเหรอพี่ตังรู้สึกอะไรมั้ยคะ
00:10:49 → 00:10:51 พี่ไม่รู้สึกเนี่ยแหละค่ะเอแสดงว่าเนียน
00:10:52 → 00:10:57 อ๋อเหรอเนียนค่ะที่คุณแชทต้องทำตามแล้ว
00:10:57 → 00:10:59 เนียนเพื่อให้รู้สึกเป็นพวกใช่เพราะ
00:10:59 → 00:11:01 ฉะนั้นถ้าเราเป็นพวกเดียวกันน่ะเวลาที่
00:11:01 → 00:11:05 เราจะคุยธุรกิจก็ง่ายเราอยากจะขออะไรเรา
00:11:05 → 00:11:07 อยากจะขอความช่วยเหลือก็ง่ายเราต้องการ
00:11:07 → 00:11:10 อะไรมันก็ง่ายแต่ตามเค้านะไม่ใช่เค้ามา
00:11:10 → 00:11:14 ตามเราถูกมั้ยฮะใช่ๆอืถ้าเราไปขอเค้าขอ
00:11:14 → 00:11:16 เรื่องงานกับเเราเราก็ต้องเป็นพวกเดียว
00:11:16 → 00:11:20 กับใช่เป็นพวกเดียวกับเเออมันแล้วคือการ
00:11:20 → 00:11:24 แวปพอมันไม่ได้มาแค่ร่างกายค่ะมันไปลึก
00:11:24 → 00:11:28 ถึงขั้นภาษาที่ใช้คำพูดที่ใช้จังหวะที่
00:11:28 → 00:11:32 ใช้ค่ะพี่ตั๊กลองดูค่ะว่าสิ่งที่ชัทำอ่ะ
00:11:32 → 00:11:36 ค่ะชัเริ่มเริ่มเลียนแบบจังหวะการพูดพี่
00:11:36 → 00:11:39 ตั๊กออเหรออ่ะทำ
00:11:39 → 00:11:44 ิทำิออเหรอมันต้องมาเนียนๆไปตั๊รู้ก็ทำ
00:11:44 → 00:11:47 ไม่ได้เียมันต้องเียนแต่พี่ไม่รู้สึกไง
00:11:47 → 00:11:50 เพราะมันเนียนไงคะมันเหมือนเป็นกระจกที่
00:11:50 → 00:11:52 ดีเลย์ไปประมาณ 3 วินทีอ่ะค่ะ 3 วินีนะ
00:11:52 → 00:11:55 แต่ถ้าพี่ตั๊กพูดแล้วแชทพูดเรียนแบบปั๊บ
00:11:55 → 00:12:00 เลยมันไม่ได้และมันดูล้อเรียนอ๋อมันคือ
00:12:00 → 00:12:03 อ๋อนี่คุณเรียนแบบพี่พี่ไม่รู้สึกจริงๆ
00:12:03 → 00:12:06 มันเป็นภาษากายที่ที่ถือว่าเราเรียนแบบไ
00:12:07 → 00:12:10 ไม่ผิดไม่ผิดค่ะมันก็คือหลักจิตวิทยาค่ะ
00:12:10 → 00:12:12 อืเหมือนที่เขามีจิตวิทยาการพูดจิต
00:12:12 → 00:12:15 วิทยาการนมเ้าอ่าเราก็แค่เอาจิตวิทยามา
00:12:15 → 00:12:17 ใช้ค่ะให้ได้สิ่งที่เรา
00:12:17 → 00:12:20 ต้องการให้ได้สิ่งที่เราต้องการเช่นงาน
00:12:20 → 00:12:23 หรืออะไรก็ตามอืซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่อง
00:12:23 → 00:12:25 งานอ่ะค่ะพี่ตั๊กมันไปที่เรื่องแบบเรื่อง
00:12:25 → 00:12:28 ครอบครัวเรื่องความสัมพันธ์ทั้งหมดเลยอ่ะ
00:12:28 → 00:12:30 ภาษากายแบบไหนที่เราอย่างงี้เค้าเรียกว่า
00:12:30 → 00:12:33 เราดูออกว่าอย่างงี้ลบอย่างงี้บวกดูการ
00:12:33 → 00:12:35 เปิดกับการปิดอย่างที่แชทบอกก่อนอย่างที่
00:12:35 → 00:12:37 บอกถ้าเปิดอ่ะค่ะทุกอย่างมันจะเป็น
00:12:37 → 00:12:40 Positive แต่ถ้าคนๆนี้เขาปิดเบล็อก
00:12:40 → 00:12:42 อันเนี้ยเป็น Negative และอีกอันนึงคือ
00:12:42 → 00:12:46 เรื่องการใช้พื้นที่พื้นที่รอบตัวค่ะถ้า
00:12:46 → 00:12:48 คนๆนึงเขาเดินมาแล้วเแบบมาเหี่ยวๆเขาใช้
00:12:48 → 00:12:50 พื้นที่รอบตัวน้อยเพยายามทำตัวเล็กที่สุด
00:12:50 → 00:12:53 นั่นน่ะแปลว่าอะไรมันมีหลายแฟกเตอร์ค่ะ
00:12:53 → 00:12:56 เขาอาจจะป่วยก็ได้อหรือในใจเขาอาจจะรู้
00:12:56 → 00:13:00 สึกอะไรบางอย่างเาเศร้าเครู้สึกไม่ดีแต่
00:13:00 → 00:13:03 มันคือลบแน่ๆถ้าเราเห็นที่แบบเทำตัวตัวเ
00:13:03 → 00:13:06 จะห่อเหี่วเล็กใช่แต่ถ้ามีคนนึงเดินมาแบบ
00:13:06 → 00:13:09 โอโหอกผายไหล่ผึ่งเรารู้แล้วคนนี้มีความ
00:13:09 → 00:13:13 มั่นใจ Positive มีมยที่จะลบกับบวกอยู่ใน
00:13:13 → 00:13:17 ร่างเดียวกันมีค่ะสมมุติว่าเค้าทำตัวห่อ
00:13:17 → 00:13:21 เหี่ยวอยู่แต่พอเราทักแล้วเแบบไม่เป็นไร
00:13:21 → 00:13:24 แปลว่าอะไรแปลว่าข้างในจริงๆเหี่ยวอยู่
00:13:24 → 00:13:27 เหี่ยวอยู่แต่พยายามทำให้มันดีใช่ค่ะ
00:13:27 → 00:13:29 เพราะว่าเราไปทักแล้วเก็รู้สึกแล้วว่าอ๋อ
00:13:29 → 00:13:31 มันเหี่ยวไม่ได้เต้องขึ้นมานิดนึงอ๋อแต่
00:13:31 → 00:13:34 ข้างในจิตใจยังยังเจ็บอยู่นะค่ะในคนโกหก
00:13:34 → 00:13:38 ก็มีพี่ตัเรื่องโกหกเชื่อว่าผู้ชายหรือ
00:13:38 → 00:13:41 ผู้หญิงชอบเรื่องนี้บางทีเอาไปจับโกหก
00:13:41 → 00:13:45 สามีได้นะจะบอกว่าในการจับโกหกอ่ะค่ะพี่
00:13:45 → 00:13:48 ตั๊กมันคือจุดสูงสุดของพีระมิดจริงึเป่า
00:13:48 → 00:13:50 มันยากจริมั้ยากที่สุดขนาดเครื่องจับโกหก
00:13:50 → 00:13:52 เครื่องโพลิกราฟอ่ะค่ะมันยังมี
00:13:52 → 00:13:55 เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำแค่ 60-80 ค่ะแล้ว
00:13:55 → 00:13:58 เราเป็นใครจะไปชนะเค้า 100% ออแสดงว่าไอ้
00:13:58 → 00:14:00 เครื่องจับโกหกนี้ก็เพี้ยนได้เพี้ยนได้
00:14:00 → 00:14:03 ค่ะอ้าแล้วแล้วอย่างเวลาเค้าจับโกหกใน
00:14:03 → 00:14:05 เรื่องเกี่ยวกับตำรวจหรืออะไรก็ตามเแล้วเ
00:14:05 → 00:14:09 จะจะอิงอิงเครื่องมยว่าเออไอ้ตัวนี้โกหก
00:14:09 → 00:14:11 เคเค้าอาจจะเอาเขาจะเอาเครื่องมาเป็นตัว
00:14:11 → 00:14:16 ประกอบแต่เขาจะหาหาความจริงหาหลักฐานต่อ
00:14:16 → 00:14:18 อืแล้วอย่างงี้จะจะจับนักแสดงได้เหรอนัก
00:14:19 → 00:14:21 แสดงจะบอกว่าจับยากโดยเฉพาะนักแสดงที่
00:14:21 → 00:14:26 ศึกษาศาสตร์นี้จะยากอ๋อพี่ก็ไม่ได้ศึกษา
00:14:26 → 00:14:29 แต่สามีพี่ก็จับพี่ไม่ค่อยได้แปลว่าพี่
00:14:29 → 00:14:33 ตั๊กเนียนไงคะพี่จะเนียนอันนี้ไม่ได้ว่า
00:14:33 → 00:14:37 ใครนะคะเวลาเราจับโกหกสามีเนี่ยเราจะรู้
00:14:37 → 00:14:41 ใช่เพราะสามีพี่เนี่ยเาจะตาเวลาพูดก็จะ
00:14:41 → 00:14:45 ยิบๆๆๆอันนี้แปลว่าอะไรโใช่มั้ยการอาย
00:14:45 → 00:14:48 บลอกค่ะอายบลอกคือการที่เราอ่ะไม่อยาก
00:14:48 → 00:14:51 เห็นภาพตรงหน้าเ้าไม่อยากเห็นเหรอไม่ชอบ
00:14:51 → 00:14:52 เราไม่ชอบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหรือเราไม่
00:14:52 → 00:14:55 อยากเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวเพราะพี่กำลัง
00:14:55 → 00:14:59 จับโกหกพี่กำลังไล่บี้เคอยู่ไงคะเต้องการ
00:14:59 → 00:15:02 ให้พี่ไล่บี้เไม่ชอบการไล่บี้ดีอเหรอวัน
00:15:02 → 00:15:04 หลังถ้าเกิดเบี้บๆพี่จะได้หยุดถามพี่ก็
00:15:04 → 00:15:07 เลยนึกว่าเขาจะโกหกหรืออะไรหรือเปล่าแต่
00:15:07 → 00:15:10 จริงๆคือการไม่อยากให้เราไล่บี้เคือการ
00:15:10 → 00:15:12 ที่เขาไม่ชอบอะไรสถานการณ์เหตุการณ์ที่
00:15:12 → 00:15:14 อยู่ตรงหน้าหรืออยู่ในหัวเพราะคนบางคนจะ
00:15:14 → 00:15:17 คิดในหัวแล้วอ่ะภาพตรงภาพตรงหน้ากับภาพใน
00:15:17 → 00:15:20 หัวคนละเรื่องภาพในหัวอาจจะเลวร้ายเอาจจะ
00:15:20 → 00:15:23 ไม่ชอบตรงนั้นแล้วเราควรจะทำไงเราก็ต้อง
00:15:23 → 00:15:26 ให้สเปซก่อนค่ะหยุดก่อนแต่เรารู้แล้วว่า
00:15:26 → 00:15:29 ถ้าสมมุตินะว่าเราคุยกันเรื่องเงินเดิน
00:15:29 → 00:15:32 นี้หายไป 10,000 หายไปไหนสามีมาแล้วปิบๆๆ
00:15:32 → 00:15:37 ๆๆหายไปไหนแปลว่ามันมีอะไรผิดปกติอ่ะอ่ะ
00:15:37 → 00:15:40 งั้นเราถอยก่อนเรารู้ว่ามันมีอะไรผิดปกติ
00:15:40 → 00:15:43 ถอยออกมานิดนึงรอเสบายใจก่อนแล้วค่อยทำ
00:15:43 → 00:15:45 ใหม่ค่อยเข้าใหม่หรือเราอาจจะไปหาหลักฐาน
00:15:45 → 00:15:47 เพิ่มเติมต้องดูหน้างานก่อนคือในตำรวจก็
00:15:47 → 00:15:50 จะใช้วิธีเนี้ยค่ะอว่าเฮ้ยอันเนี้ยพอพูด
00:15:50 → 00:15:53 เรื่องเนี้ยมันมีลักษณะเนี่ยยมันมีอะไร
00:15:53 → 00:15:56 ผิดปกติเจะมารคไว้ดูละดใช่มเาจะมาร์คไว้
00:15:56 → 00:15:59 เออแล้วเขาจะโอเคเดี๋ยวกลับมาค่ะแต่เขาจะ
00:15:59 → 00:16:02 ไม่บี้แล้วเขาจะยังไม่ฟันธงด้วยว่า
00:16:02 → 00:16:05 อันเนี้ยผิดสภาวะร่างกายก็ก็เป็นอีกหนึ่ง
00:16:05 → 00:16:08 ปัจจัยค่ะอย่างเช่นแชทกระพริบตาแบบปิ๊บๆๆ
00:16:08 → 00:16:11 ๆๆๆมันอาจจะไม่ได้เกิดจากแชทไม่ชอบพี่
00:16:11 → 00:16:14 ตั๊กแชทไม่ได้อายบล็อกแต่มันอาจจะเกิดจาก
00:16:14 → 00:16:16 แสงไฟในศัตรูที่ชัดแสบตาก็ได้เพราะงั้น
00:16:16 → 00:16:19 ต้องดูภาพรวมใช่ต้องถอยออกมาไกลๆเลยค่ะ
00:16:19 → 00:16:23 แล้วดูว่าแบบภาพรวมเป็นยังไงสภาวะร่างกาย
00:16:23 → 00:16:26 เขาโอเคไหหน้าตาเสื้อผ้าหน้าผมบันนี้เป็น
00:16:26 → 00:16:28 ยังมันดูทั้งหมดเลยค่ะต้องดูทั้งหมดมัน
00:16:28 → 00:16:30 เป็นเป็นศาสตรที่ละเอียดนะพี่ว่ามัน
00:16:30 → 00:16:32 ละเอียดมากเลยใชมันคือจิตวิญญาแบบเมื่อ
00:16:32 → 00:16:34 กี้บอกการจับโกหกเนี่ยมันอยู่เหมือนยอด
00:16:34 → 00:16:37 ปรมิที่มันยากที่สุดเราพอจะมีเคล็ดลับจับ
00:16:37 → 00:16:40 โกหกยังไงมั้ยฮะนอกจากเรื่องกระพริบตา
00:16:40 → 00:16:44 ปิ๊บๆทำอะไรที่เราสามารถรู้ว่าเาโกหกอยู่
00:16:44 → 00:16:46 เรื่องกระพริบตาเนี่ยก็ไม่ได้บอกว่าเขา
00:16:46 → 00:16:49 โกหกนะคะเพราะว่าในคนบางคนน่ะในคนโกหกที่
00:16:49 → 00:16:53 เป็นแบบอาญากรเลยอ่ะค่ะพี่ตั๊กเจ้องตาออ
00:16:53 → 00:16:57 เหรออออัญญากรนี่จ้องตาเลยเหรอบางคน
00:16:57 → 00:16:59 เหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าถ้าเขาหลบตาพี่
00:16:59 → 00:17:02 ตั๊กจะคิดว่าเขาโกหกจับได้จ้องเลยจับโอ้
00:17:02 → 00:17:05 แล้วมีอะไรอีกที่ที่เป็นท่าโกหกงั้น
00:17:05 → 00:17:08 อันดับแรกอ่ะค่ะถ้าคนที่เราจะต้องคุยด้วย
00:17:08 → 00:17:11 อ่ะเขาเป็นคนที่เราสนิทอันนี้จะจับง่าย
00:17:11 → 00:17:13 แต่ถ้าเป็นคนที่เราไม่รู้จักอันนี้จะจับ
00:17:13 → 00:17:16 ยากหน่อยค่ะไม่หน่อยอ่ะค่ะจับยากมากโอ
00:17:16 → 00:17:19 เพราะว่าในการดูอ่ะค่ะข้อแรกเลยเราต้องดู
00:17:19 → 00:17:22 ก่อนว่านิสัยปกติเขาเป็นยังไงนิสัยปกติ
00:17:22 → 00:17:27 สมมุติคนๆเนี้ปกติอ่ะชอบแบบยุกยิกจับหน้า
00:17:27 → 00:17:31 จับผมเกานู่นเกานี่แปลว่าถ้าเขาเก่าเราจะ
00:17:31 → 00:17:34 ไม่รู้แหละออเพราะมันคือนิสัยปกติออให้หา
00:17:35 → 00:17:38 อะไรที่มันไม่ปกติของเาอันนั้นบอกได้ใช่
00:17:38 → 00:17:42 แต่ถ้าสมมุติคนๆเปกติเป็นคนแบบนิ่งๆก็ไม่
00:17:42 → 00:17:45 ได้อะไรแล้วีๆเขาหยิบเกาขึ้นมาแบบช่วง
00:17:45 → 00:17:47 เนี้ยเราจะรู้แล้วว่าโอเคอันเนี้ยมีอะไร
00:17:47 → 00:17:52 ผิดปกติอือันนี้คือดูก่อนว่าเบสิคนิสัย
00:17:53 → 00:17:56 ปกติเป็นยังไงข้อแรกข้อที่ 2 หาอะไรที่
00:17:56 → 00:18:03 มันผิดปกติหามาให้ได้ในบางคนอาจจะจ้องตา
00:18:03 → 00:18:07 เยอะผิดปกติแต่พี่ได้ยินว่าการที่คุยแล้ว
00:18:08 → 00:18:13 มองตาเนี่ยมันเป็นมารยาทที่ดีใช่ค่ะจริงๆ
00:18:13 → 00:18:16 มองผิดปกติคือยังไงะหมายถึงว่าเขาจะจ้อง
00:18:16 → 00:18:19 แบบจ้องคือคนปกติอ่ะค่ะเขาจะมีช่วงจังหวะ
00:18:19 → 00:18:22 แบบมองนู่นหลบตานิดหน่อยออเป็นแบบอ่ะหลับ
00:18:22 → 00:18:24 ตาเดี๋ยวไปตรงนนนตรงนี้ถ้าเราถ้าเราเป็น
00:18:24 → 00:18:29 ธรรมชาติค่ะแต่ในบางคนนะคะในบางคนที่โกหก
00:18:29 → 00:18:31 เหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าถ้าเขาหลบตาเนี่ย
00:18:31 → 00:18:34 เขาโดนหมายหัวะเขาอาจจะจ้องตาเยอะผิดปกติ
00:18:35 → 00:18:39 ไายคอนแทคเขาจะเยอะค่ะบางทีสำหรับบางคน
00:18:39 → 00:18:43 อาจจะพูดเยอะผิดปกติอือยู่ดีๆก็พูดขึ้นมา
00:18:43 → 00:18:46 โอ๊ยนู่นนี่นั่นนู่นนี่นั่นเพื่อที่จะดึง
00:18:46 → 00:18:49 เราออกห่างจากเรื่องที่เขาปิดอยู่
00:18:49 → 00:18:52 อ่ามีอีกมั้ยถ้าเป็นคน
00:18:52 → 00:18:57 สนิทเรื่องการสัมผัสมันจะลดลงค่ะสมมุติ
00:18:57 → 00:19:00 ว่าเราแบบอ่ะปกติเราเดินมาอ้ากอดกันอ่า
00:19:00 → 00:19:03 วันนั้นเจะเอาจจะไม่อยากกอดเราเอาเอาเอา
00:19:03 → 00:19:05 แค่เป็นวันใช่มั้ยไม่ได้เป็นตลอดไปนะก็
00:19:05 → 00:19:09 ถ้าเาโกหกเราตลอดไปเาจะไม่ยุโอตาย
00:19:09 → 00:19:12 แล้วเนอะอ๋องี้เราต้องสังเกตว่าเอ๊ยการ
00:19:12 → 00:19:15 สัมผัสกันเเคยทำแบบนี้แล้วไม่ทำแต่ถ้าไม่
00:19:15 → 00:19:17 เคยทำแล้วไม่เคยทำตลอดไปงี้ก็ไม่ผิด
00:19:17 → 00:19:20 สมมุติอยู่ดีๆนะคะสมมุตินะว่าสามีภรรยา
00:19:20 → 00:19:23 คุยกันอยู่กระหนุงกระหนิงจับมือกันอยู่ดี
00:19:23 → 00:19:27 ๆเธอๆเนี่ยคุณอ้อยโทรมาอีกแหละคุณอ้อยคือ
00:19:27 → 00:19:31 ใครก็ไม่รู้แล้วอยู่ดีๆเเชักมือ
00:19:31 → 00:19:35 กลับเราต้องรู้เลยว่าเอ๊ะมีอะไรผิดปกติ
00:19:35 → 00:19:40 อ่าคุณอ้อยคือใครนะอ้าอืมจะไม่พยายามมา
00:19:40 → 00:19:44 แตะตัวมาสัมผัสมาคุยด้วยเพราะจะหลบใช่เค
00:19:44 → 00:19:47 พยายามจะหลบเพราะถ้าเราไปแตะโตเปั๊บมัน
00:19:47 → 00:19:50 มันมีคนกแล้วไงค่ะเขาอาจจะหลุดสิ่งที่เขา
00:19:50 → 00:19:53 แบบเก็บอยู่ก็ได้อ๋อเจอบ่อยแแบบนี้อืนิด
00:19:53 → 00:19:56 หน่อยอือพี่ตาคนเราโกหกอยู่ตลอดเวลาอยู่
00:19:56 → 00:20:00 แล้วค่ะจริงเหรอเวลาสมมุติแม่ถามหลายๆคน
00:20:00 → 00:20:04 จะเป็นเป็นไงบ้างลูกสบายดีมยสบายดีแม่แต่
00:20:04 → 00:20:07 ข้างในคือจะร้องไห้แล้วนะก็เป็นปกติแต่
00:20:07 → 00:20:10 บางทีเราโกหกเพื่อให้คนอคสบายใจบางอย่าง
00:20:10 → 00:20:13 ใช่แล้วอย่างบางคนเนี่ยเวลาพูดพี่เคยเจอ
00:20:13 → 00:20:18 พอพูดปุ๊บเนี่ยฮัลโหลเป็นไงเออไม่ไม่ก่อน
00:20:18 → 00:20:22 คำพูดนี่มันพอจะบอกได้มหรือว่าเติดคำพูด
00:20:22 → 00:20:24 นั้นไก่อนแต่จริงๆเรื่องที่พูดเนี่ยมัน
00:20:24 → 00:20:27 ใช่ไงก็เป็นไปได้ต้องดูรายละเอียดลึกๆ
00:20:27 → 00:20:31 จริงๆสิเพราะอืคำพูดอ่ะค่ะสำคัญค่ะมันมี
00:20:31 → 00:20:34 การวิจัยออกมาค่ะโดยศาสตราจารย์อบตเบียน
00:20:34 → 00:20:37 ค่ะเขาบอกว่าภาษากายร่างกายเราการขยับมือ
00:20:37 → 00:20:40 ขยับสีหน้าทั้งหมดอ่ะค่ะเป็นการสื่อสาร
00:20:40 → 00:20:45 55% อีก 3 55 อีก 38 อยู่ที่น้ำเสียง
00:20:45 → 00:20:50 จังหวะการพูดฮ่ะแล้วอีก 7 อยู่ที่คำพูด
00:20:50 → 00:20:54 แปลว่าคำพูด 7 น้อยจังใช่ค่ะท่าทางมาก
00:20:54 → 00:20:59 กว่าใช่น้ำเสียงดีขึ้นมาน่อยเนี้ยทำวิจัย
00:20:59 → 00:21:02 ไว้นานแล้วนะคะแล้วหลังๆอ่ะก็พยายามมีแบบ
00:21:02 → 00:21:04 มหาวิทยาลัยนู่นนี่นั่นพยายามมาวิจัยลบ
00:21:04 → 00:21:08 ล้างค่ะแต่ไม่ว่าจะทำยังไงอ่ะคะตัวเลขก็
00:21:08 → 00:21:10 ยังอยู่ในโทนสูงอยู่ดีคือแบบนี้คืออาจจะ
00:21:10 → 00:21:13 ไม่ 7% อาจจะเป็น 10% แต่มันก็ยังเป็นตัว
00:21:13 → 00:21:16 เลขที่แบบเยอะมากๆที่เขาจะมาอ่านที่ภาษา
00:21:16 → 00:21:20 กายออกแต่พี่กลับมองว่าคนที่โกหกเนี่ยคำ
00:21:20 → 00:21:23 พูดไม่ใช่ 7 อ่ะพี่กลับมองว่าคำพูดนี่ 50
00:21:23 → 00:21:26 เลยหมายถึงยังไงคะพี่ตั๊กหมายถึงว่าคำพูด
00:21:26 → 00:21:29 ที่เคพูดน่ะเค้ากำลังโกหกอยู่แต่ในการ
00:21:29 → 00:21:31 วิจัยบอกว่าใช้ได้แค่ 7% แต่ไม่ใช่หมาย
00:21:31 → 00:21:35 ความว่า 7% ไม่สำคัญไงคะเหรอคือเราก็จะดู
00:21:35 → 00:21:39 ว่าถ้าคำพูดมันส่วนทางกับท่าทางอ่ะสมมุติ
00:21:39 → 00:21:43 แชทบอกพี่ตั๊กว่าไม่ใช่ค่ะพี่ตั๊กออเหรอ
00:21:43 → 00:21:47 มีด้วยเหรอคนพูดนี้ไม่ใช่เยอะเหรอไม่ใช่
00:21:47 → 00:21:50 เอ้ยทำยากนะใช่มันทำยากเพราะมันส่วนทาง
00:21:50 → 00:21:53 กันมันส่วนทางกับระบบสมองมันส่วนระบบสมอง
00:21:53 → 00:21:55 เราอ่ะค่ะจะบอกว่ามันเรามีสมอง 3 ส่วนที่
00:21:55 → 00:21:59 อยู่ข้างในฮ่ะระบบแรกฮ่ะเป็นเป็น ard เน
00:21:59 → 00:22:01 พวกเนี้ยเราไม่ต้องไปยุ่งกับเขาเขาจะควบ
00:22:01 → 00:22:04 คุมกลไกอวัยวะต่างๆที่ทำให้เราปลอดภัยมี
00:22:04 → 00:22:06 ชีวิตรอดเราไม่ต้องยุ่งอีกอันนึงคือ lmic
00:22:06 → 00:22:09 System limbic System จะดูพวกอารมณ์
00:22:09 → 00:22:12 ความจำความสัมพันธ์อะไรที่มันเป็น
00:22:12 → 00:22:14 emotional อะไรที่มันเป็นแบบซอบๆจะอยู่
00:22:14 → 00:22:17 ตรงนั้นอืออีกอันนึงคือ neocortex
00:22:17 → 00:22:20 neocortex จะเป็นส่วนที่สมองตะกะเป็น
00:22:20 → 00:22:23 สมองที่เราคิดวิเคราะห์นู่นนี่นั่นสมอง
00:22:23 → 00:22:25 ที่เป็นฝ่ายตรรกะอ่ะค่ะเลยจะเป็นส่วนที่
00:22:25 → 00:22:28 โกหกได้ง่ายที่สุดเพราะเราคิดมาแล้วไงค่ะ
00:22:28 → 00:22:30 ว่าเราจะพูดแบบนี้เราจะทำแบบนี้เราคิดมา
00:22:30 → 00:22:33 แล้วแต่ lmic System อ่ะค่ะเขาเป็นระบบ
00:22:33 → 00:22:36 สัญชาตญาณเพราะฉะนั้นเขาจะดูความปลอดภัย
00:22:36 → 00:22:38 ของเราเป็นหลักแล้วเขาจะซืตรงมากๆสมัย
00:22:38 → 00:22:40 ก่อนเคยดูหนังใช่ไหมมคะพี่ตังอาจจะเล่นใน
00:22:40 → 00:22:43 นั้นก็ได้ที่แบบตกใจแล้วแบบไฟไหม้หอบโอ่ง
00:22:43 → 00:22:47 ขึ้นไปอๆหอบได้ยังไงเออเวลาปกติคนไม่ตกใจ
00:22:47 → 00:22:50 หอบไม่ได้หอบไม่ได้แต่เป็นเพราะว่าระบบ
00:22:50 → 00:22:53 สมองอ่ะค่ะตัว lmic System เขาไฮแจคสมอง
00:22:53 → 00:22:56 ทั้งหมดแล้วออบอกทุกคนว่าทุกคนทำตามชั้น
00:22:56 → 00:22:59 นี่คือภาวะแบบอันตรายกับชีวิตพวกเธอต้อง
00:22:59 → 00:23:02 ทำตามชั้นเขไฮแจคสมองทั้งหมดอเราจะเบลอ
00:23:02 → 00:23:05 เราจะแบรงแล้วเราจะทำตามสัญชาตญาณอื
00:23:05 → 00:23:09 เหมือนเวลาที่เราโกรธใครมากๆเราโกรธแล้ว
00:23:09 → 00:23:11 แบบตื้ออ่ะเราคิดคำด่าไม่ออกอ่ะตื้อหมด
00:23:11 → 00:23:13 เลยอ่ะนั่นแหละค่ะคือตอนที่ lmic System
00:23:13 → 00:23:17 อ่ะไแจกเราแล้วมันมีภาษากายอะไรมั้ยฮะที่
00:23:17 → 00:23:20 คนมักจะเข้าใจผิดหรือตีความหมายผิดไปบ้าง
00:23:20 → 00:23:24 เยอะมากค่ะพี่ตั๊กเช่นบางคนบอกว่าเนี่ย
00:23:24 → 00:23:28 ไม่สบตาแปลว่าเขาโกหกถ้าสมมุติชัคุยกับ
00:23:28 → 00:23:30 พี่ตั๊กแบบนี้ฉันไม่มองหน้าพี่ตั๊กแปลว่า
00:23:30 → 00:23:33 ฉันโกหกไม่จริงไม่จริงค่ะไม่เสมอไปด้วย
00:23:33 → 00:23:36 วัฒนธรรมไทยที่เราถูกสอนมาว่าอย่าจ้อง
00:23:36 → 00:23:39 หน้าผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็กออือไปแบบสบตามอง
00:23:39 → 00:23:42 หน้าเป็นแบบเป็นเด็กก้าวร้าวไม่ได้อือทำ
00:23:42 → 00:23:46 ให้ในบางเ Generation น่ะค่ะการหลบตาของ
00:23:46 → 00:23:49 เขาอ่ะคือการที่เไม่ได้คิดอะไรเคไม่ได้
00:23:49 → 00:23:52 โกหกอแต่มันมีอีกหลายท่านะคะพี่ตั๊กที่คน
00:23:52 → 00:23:56 เข้าใจผิดบางคนบอกว่าจับจมูกเข้าใจผิดแบบ
00:23:56 → 00:24:01 โกหกจริงมะไม่จริงค่ะเหรอไม่จริงมันบอก
00:24:01 → 00:24:03 ได้แค่ว่าในท็อปปิกนั้นน่ะมีอะไรผิดปกติ
00:24:03 → 00:24:06 มันจะมีบางท่าที่เราแบบทำเยอะๆอย่างจับ
00:24:06 → 00:24:09 จมูกจับหูเนี่ยไม่ได้โกหกแต่คนชอบมาแบบ
00:24:09 → 00:24:13 อุ้ยเขาจับจมูกเโกหกไม่ใช่ค่ะอมันแค่บอก
00:24:13 → 00:24:15 ว่ามันมีอะไรแบบที่อาจจะผิดปกติค่ะแต่คุณ
00:24:15 → 00:24:19 ต้องไปสืบต่อนะอ่ะต้องไปหาต่อนะการนั่ง
00:24:19 → 00:24:23 นั่งไขวห้างบางคนชอบนั่งไขวห้างค่ะมันพอ
00:24:23 → 00:24:25 จะบอกอะไรมั้ยเเบอกว่าการนั่งไววายห้าง
00:24:25 → 00:24:28 เนี่ยพี่ได้ยินมานะเป็นการปิดกัดอ่ะ
00:24:28 → 00:24:32 อันเนี้ยชันจะบอกเลยว่าเค้าเข้าใจผิดอ้า
00:24:32 → 00:24:35 เพราะว่าถ้าเอาตามหลักค่ะเหตุและผลหลัก
00:24:35 → 00:24:37 วิทยาศาสตร์เรื่องความปลอดภัยของร่างกาย
00:24:37 → 00:24:41 การที่เรานั่งไขวห้างปุ๊บอย่างงี้อถ้า
00:24:41 → 00:24:45 เกิดไฟไหม้ขึ้นมาเราจะหนีลำบาก
00:24:45 → 00:24:49 อ๋อการที่คนเรานั่งไขวห้างณสถานที่ใดที่
00:24:49 → 00:24:53 หนึ่งแปลว่าเขารู้สึกปลอดภัยมากๆเหอเค้า
00:24:53 → 00:24:56 รู้สึกปลอดภัยมากอือือเราต้องแยกกันแบบ
00:24:56 → 00:24:59 โอเคเค้ารู้สึกปลอดภัยณตรงนั้นรู้สึกสบาย
00:24:59 → 00:25:02 ใจเปลอดภัยเถึงกล้านั่งไขวห้างเคถึงนั่ง
00:25:02 → 00:25:03 ไขวห้างเพราะไม่งั้นเราจะอยู่ในท่า
00:25:03 → 00:25:07 สแตนด์บายค่ะมีอะไรมาเพญนี่คือ่าท่าพร้อม
00:25:07 → 00:25:10 เผ่นท่าสแตนด์บายพร้อมเผ่นจะเผ่นแล้วนะอ
00:25:10 → 00:25:13 ก็ต้องดูว่าสภาวะแต่ละคนน่ะเป็นแบบไหน
00:25:13 → 00:25:16 เอ้อบางคนสมัยใหม่ชอบนั่งเก้าอี้แล้วกลับ
00:25:16 → 00:25:19 หลังอ่ะยังไงคะพี่ตั๊กกลับหลังคือคือเอา
00:25:19 → 00:25:22 พนักมาไว้ข้างหน้าแล้วก็คร่อมไปเนี่ยแปล
00:25:22 → 00:25:24 ว่าเขารู้สึกปลอดภัยมากๆค่ะอ๋อเปลอดภัย
00:25:24 → 00:25:26 เหรเพราะถ้าท่านั้นยกตัวอย่างเดิมถ้าไฟ
00:25:26 → 00:25:30 ไหม้ขึ้นมากาเจะหนิหนีได้มันมันนานนะคะเ
00:25:30 → 00:25:33 อาจจะล้มก็ได้หรือเขเจะหนีได้ยากมากมัน
00:25:33 → 00:25:36 นั่งยากนะใช่แล้วมันก็ลุกยากด้วยเออแล้ว
00:25:36 → 00:25:39 ถ้าเขาทำท่าแบบนั้นแปลว่าเขาอยู่ในสถาน
00:25:39 → 00:25:43 ที่ที่เขาสบายใจปลอดภัยชิลที่สุดพี่เนี่ย
00:25:43 → 00:25:46 เอาเอายกตัวอย่างอย่าพี่พี่ชอบนั่งเนี่ย
00:25:46 → 00:25:48 ไม่ได้ทำมืออย่างงี้นะสมมุตินี่เป็นโต๊ะ
00:25:48 → 00:25:50 ไม่ได้พี่ชอบนั่งเอามือขึ้นมาอย่าเงี้ย
00:25:50 → 00:25:54 ค่ะมันแปลว่าอะไรมันคือการแสดงพาเวอรค่ะ
00:25:54 → 00:25:57 ยิ่งเราใช้พื้นที่เยอะเท่าไหร่แปลว่า
00:25:57 → 00:26:00 พาเวอรเราเยอะเท่านั้นพื้นที่ก็กว้างเรา
00:26:00 → 00:26:02 จะกว้างในบริบทที่เรากว้างได้ค่ะเพราะถ้า
00:26:02 → 00:26:05 เรามาแบบอย่างงี้ก็ไม่ได้เราจะมาแบบแหก
00:26:06 → 00:26:08 แข้งแหกขามันไม่ได้อ๋อในบริบทนั้นเราอาจ
00:26:08 → 00:26:12 จะได้แค่นี้ก็เนี่ยคือพื้นที่ของฉันชันมี
00:26:12 → 00:26:15 พาเวอรอยู่ตรงนี้นะอ๋อไม่น่าเวลาเราไปคุย
00:26:15 → 00:26:17 กับคนอื่นที่ไม่ใช่พื้นที่เราเราจะไม่เอา
00:26:17 → 00:26:20 มือขึ้นมาคเพราะเรารู้สึกว่าอันนั้นน่ะ
00:26:20 → 00:26:22 ไม่ใช่พื้นที่ไม่ใช่พื้นที่เราเราก็จะมือ
00:26:22 → 00:26:25 เราจะอยู่ขเราก็จะอยู่เฉยๆใช่มั้ยคะแต่
00:26:25 → 00:26:27 เราจะไม่ได้แบบแสดงพื้นที่อันนี้มันคือ
00:26:27 → 00:26:30 ธรรมชาติของของของสิ่งมีชีวิตค่ะเหมือน
00:26:30 → 00:26:32 เหมือนสัตว์เหมือนแมวเวลาที่เขาต้องการจะ
00:26:32 → 00:26:36 แบบข่มขู่บอกอำนาจเขนใช่เราจะทำตัว
00:26:36 → 00:26:39 ใหญ่ออมนุษย์เองก็เหมือนกันเราก็จะพยายาม
00:26:39 → 00:26:41 ทำตัวใหญ่แล้วอย่างอย่ามือบางคนเนี่ยถ้า
00:26:41 → 00:26:44 เข้าไปนั่งนะเจะเก็บมือเก็บตัวเก็บตัวรีบ
00:26:44 → 00:26:47 อย่างเงี้ยแสดงว่าเขาเป็นไม่ใช่พื้นที่
00:26:47 → 00:26:49 เขาค่ะใช่เขาจะรู้สึกว่าเขาตัวเล็กอยู่ใน
00:26:49 → 00:26:51 นั้นมันก็เลยออกมาในท่าทางที่เขาจะทำตัว
00:26:52 → 00:26:56 เล็กตัวรีบเราเราจะพบท่าเนี้ยค่ะในอ่า
00:26:56 → 00:27:00 ระดับที่เป็นแบบเป็นพนักักงานเป็นผู้ช่วย
00:27:00 → 00:27:02 พนักงานไม่ค่อยเอามือขึ้นไปอยู่ทำตัวรีบ
00:27:02 → 00:27:05 ใช่แต่ถ้าเราเป็นระดับแบบซีเลเวลเราเป็น
00:27:05 → 00:27:07 ระดับผู้บริหารเราจะคุ้นชินกับการทำท่า
00:27:07 → 00:27:10 นี้อ๋อเพราะเรารู้สึกว่าเรามีอำนาจถ้า
00:27:10 → 00:27:14 ต้องการพาวในที่นั้นใช้พื้นที่ให้เยอะค่ะ
00:27:14 → 00:27:18 พองตัวอกผายไหล่ผึ่งอโอขึ้นมาพองตัวให้
00:27:18 → 00:27:21 ได้เราอาจจะเอามือวางไว้ที่ตักแต่ว่าไหล่
00:27:21 → 00:27:26 ยังพองอยู่เออไม่ให้ทำตัวฟีบใช่ค่ะผอง
00:27:26 → 00:27:28 ขึ้นเพราะถ้าเราฟีบปุ๊บเราหอปุ๊บไม่มีใคร
00:27:28 → 00:27:30 เห็นพื้นที่เราน้อยทัน
00:27:30 → 00:27:34 ทีตัวเราไม่พองไม่อำนาจเราก็เลยหายไป
00:27:34 → 00:27:36 ความน่าเชื่อถือมันมาพร้อมกับอำนาจบางที
00:27:36 → 00:27:39 ความน่าเชื่อถือก็หายไปด้วยโอ้แล้วบางคน
00:27:39 → 00:27:42 ชอบกอดอกถ้ากอดอกก็เป็นท่าที่มีคนเข้าใจ
00:27:42 → 00:27:45 ผิดเยอะมากกอดอกแปลได้หลายความหมายมากค่ะ
00:27:45 → 00:27:49 จริงๆกอดอกแปลว่าเราบล็อกก็ได้เรากลัวก็
00:27:49 → 00:27:52 ได้ใช่เราต้องการจะมาแบบหาอะไรมาปกปิดอ
00:27:52 → 00:27:54 ร่างกายของเราเพราะว่าเรารู้สึกว่ามันไม่
00:27:55 → 00:28:00 ปลอดภัยค่ะแต่บางคนก็กอดอกเพราะอยากขู่หึ
00:28:01 → 00:28:04 เอาไงจริงหรอเออใช่ในแบบนักเลงที่เราเห็น
00:28:04 → 00:28:09 เวลาจะต่อยเออยังไงอ่ะก็กอดอกเหมือนกันโอ
00:28:09 → 00:28:12 อย่างงั้นแปลยากนะยากค่ะไอ้กอดอกนี่แปล
00:28:12 → 00:28:16 ยากบางคนหนาวก็กดกอดตัวเองก็กอดอกบางคน
00:28:16 → 00:28:19 เป็นท่าแบบสบายๆของเขานั่งกอดอกดูทีวีไม่
00:28:19 → 00:28:22 ได้คิดอะไรเพราะว่าเขาสบายอืมันแปลได้
00:28:22 → 00:28:25 หลายความหมายมากค่ะแต่พอเรามองเข้าไปอ่ะ
00:28:25 → 00:28:28 เราจะรู้สึกว่าคนๆเปิดจังเลยเพราะเปิด
00:28:28 → 00:28:30 ร่างกายเขาอยู่อันนี้คือสิ่งที่คนข้างนอก
00:28:30 → 00:28:33 มองแต่มันไม่ใช่ความรู้สึกแท้จริงของเขา
00:28:33 → 00:28:36 อาจจะรู้สึกอย่างอื่นก็ได้แต่เนแชคก็จะ
00:28:36 → 00:28:38 บอกนักเรียนว่าในเมื่อคนข้างนอกมองว่ามัน
00:28:38 → 00:28:41 ปิดอ่ะในสถานการณ์ไหนที่เราต้องการความ
00:28:41 → 00:28:44 Positive ความเปิดอ่ะก็อย่าทำอืืเพราะคน
00:28:44 → 00:28:47 ข้างนอกเมองเราแบบนั้นออมันคือธรรมชาติ
00:28:47 → 00:28:49 มนุษย์ค่ะในเมื่อคุณรู้ธรรมชาติมนุษย์
00:28:49 → 00:28:51 แล้วอ่ะคุณกลับมาดีไซน์ค่ะว่าคุณอยากให้
00:28:51 → 00:28:54 คนมองคุณยังไงค่ะแล้วอย่างแล้วอย่างการ
00:28:54 → 00:28:59 ยิ้มมุมปากอืมเนี่ยทำไมรู้มมันมันมีเนี่ย
00:28:59 → 00:29:01 อย่างมันมีคดีเมื่อเร็วๆเนี่ยแล้วมันมี
00:29:01 → 00:29:05 การยิ้มมุมปากนะมันคืออะไรยิ้มมุมปากยิ้ม
00:29:05 → 00:29:08 มุมปากชนะอันนี้เราเห็นในคดีเดียวกันหรือ
00:29:08 → 00:29:11 เปล่าคะเออพี่ว่าพี่น่าจะเป็นคดีเดียวกัน
00:29:11 → 00:29:14 ที่ยิ้มมุมปากแบบชัดๆยิ้มมุมปากตลอดเวลา
00:29:14 → 00:29:18 ในการยิ้มมุมปากค่ะเป็นท่าที่ดูถูกโอโอ้
00:29:19 → 00:29:21 โชคดีพี่ไม่ไม่เคยยิ้มมุมปากพี่ไม่ชอบ
00:29:21 → 00:29:23 ยิ้มมุมปากคดููเกำลังดูถูกอยู่ใช่เค้า
00:29:23 → 00:29:26 กำลังดูถูกคนอีกคนนึงอยู่ว่าแบบหึดูถูก
00:29:26 → 00:29:28 หือมันคือการดูถูกแบบเป็นธรรมชาติมนุษย์
00:29:28 → 00:29:32 เลยค่ะจริงๆสีหน้าเราอ่ะค่ะมันมี Micro
00:29:32 → 00:29:35 facial expression อยู่ซึ่งจังหวะการยก
00:29:35 → 00:29:38 กล้ามเนื้อยกที่ใช้อ่ะค่ะมันก็จะบอกถึง
00:29:38 → 00:29:41 อารมณ์ต่างๆยิ้มมุมปากที่พี่ตั๊กถามอ่ะ
00:29:41 → 00:29:45 ค่ะมันคือการดูถูกอ๋อเหรอเรายิ้มยิ้มมุม
00:29:45 → 00:29:47 ปากบวบวกกับกรอกตานะคะพี่ตั๊กไปกันใหญ่
00:29:47 → 00:29:54 เลยค่ะอุโอ้ชัดเจนมั้ยคะใช่ๆโอเอ๊ะแต่
00:29:54 → 00:29:56 อย่างงั้นสมมุติเวลายิ้มนี่ต้องพยายามให้
00:29:56 → 00:29:59 มันมาอยู่ตรงกลางนะใช่ไม่ให้มันเอียงไป
00:29:59 → 00:30:02 ข้างนะคาว่าดูถูกเลยจริงๆจริงๆการยิ้มอ่ะ
00:30:02 → 00:30:05 ค่ะหลายคนน่ะชัดเห็นเยอะมากโบทอกหมออ่ะ
00:30:06 → 00:30:09 ผิดมุมไปหน่อยมันทำให้มุมปากเาอ่ะมันขึ้น
00:30:09 → 00:30:12 ไม่เท่ากันแล้วมันกลายเป็นว่าเหมือนเขาดู
00:30:12 → 00:30:15 ถูกใครสักคนตลอดเวลาคนที่เห็นเขาคอ่ะค่ะ
00:30:15 → 00:30:19 ก็จะแบบรู้สึกไม่ดีอ่ะเอออย่างการยิ้มอ่ะ
00:30:19 → 00:30:22 ค่ะพี่ตั๊กมันก็มีหลายระดับมันมีตั้งแต่
00:30:22 → 00:30:23 ยิ้มแบบยิ้มเข้า
00:30:24 → 00:30:26 สังคมยิ้มเข้าสังคมเราจะใช้กล้ามเนื้อแบบ
00:30:26 → 00:30:29 ข้างๆค่ะเดียวมันมันใช้กล้ามเนื้อต่างกัน
00:30:29 → 00:30:32 เราจะใช้กล้ามเนื้อข้างแล้วป่าก็จะไปแบบ
00:30:32 → 00:30:35 แนวข้างอแต่ถ้าเรายิ้มแบบจริงใจอ่ะค่ะเขา
00:30:35 → 00:30:37 จะใช้กล้ามเนื้อช่วงบนแก้มแล้วเราก็จะ
00:30:37 → 00:30:42 ยิ้มขึ้นไปถึงตาแบบอ่าๆมันต่างกันโอคนเรา
00:30:42 → 00:30:45 อ่ะค่ะสมองเขาอ่ะสมองที่เป็นแบบ Thinking
00:30:45 → 00:30:47 Brain อ่ะเขาคิดไม่ทันแต่สมองส่วน
00:30:47 → 00:30:51 สัญชาตญาณน่ะเขาจับได้อืเราก็เลยจะรู้สึก
00:30:51 → 00:30:54 ว่าทำไมคนคนนี้ดูไม่จริงใจเพราะร่อยิ้ม
00:30:54 → 00:30:57 เมื่อกี้ไงคะออีกอันนึงภาษาไกในที่ทำงาน
00:30:57 → 00:30:59 เราจะเห็นว่าบางทีคนนี้เนี่ยคนนี้คุยด้วย
00:30:59 → 00:31:03 แล้วเออโอเคนะคนนี้คุยด้วยแล้วไม่โอเคมัน
00:31:03 → 00:31:06 มีท่าทางยังไงอันนี้เข้าเรื่องในที่ทำงาน
00:31:06 → 00:31:09 อ่ะที่ทำงานอันดับแรกคือต้องสังเกตแรพอ
00:31:09 → 00:31:11 ก่อนว่ามันมีความสัมพันธ์ที่มันเชื่อม
00:31:11 → 00:31:14 ขึ้นมั้ยอือถ้ามันเป็นท่านั่งเหมือนกันมย
00:31:14 → 00:31:18 เราคุยจังหวะเดียวกันมยอือถ้ามันเป็นคนละ
00:31:18 → 00:31:20 เรื่องอ่ะค่ะอันเนี้ยเราอ่ะจะรู้สึกว่า
00:31:20 → 00:31:23 ไม่ฉันไม่ได้เป็นพวกเดียวกว่าเคมันจะรู้
00:31:23 → 00:31:27 สึกโดยอัตโนมัติอืและมันจะมีบางท่าเช่น
00:31:27 → 00:31:30 สมมุติว่าเราคุยกันอยู่แล้วแชทบอกยังไงนะ
00:31:30 → 00:31:33 คะพี่ตั๊กแชทเอียงคอเอียงอ่าเออคนเอียงคอ
00:31:33 → 00:31:37 เป็นไงอ่ะอคนเอียงคออ่ะค่ะสบายใจเลยเอิน
00:31:37 → 00:31:40 กับสิ่งที่เราพูดอยู่ออเพราะถ้าเขาไม่อิน
00:31:40 → 00:31:42 น่ะค่ะคอมันคือช่วงที่มีเส้นเลือดอยู่นึก
00:31:42 → 00:31:45 ออกมใครปาดปุ๊บคือตายเลยอ๋อมันเลยเป็นจุด
00:31:45 → 00:31:47 อ่อนไหวที่ร่างกายพยายามจะโทคการที่เขา
00:31:47 → 00:31:50 โชว์คอเอียงคอหาเราแปลว่าเขาปลอดภัยเมื่อ
00:31:50 → 00:31:54 อยู่กับเราอ๋อเโอเคเราโอเคเโอเคกับเรา
00:31:54 → 00:31:56 เพราะเขาจะเอียงคอหาค่ะแต่ถ้าเขาอยู่
00:31:56 → 00:31:59 อย่างนี้แปลว่าเอ๊ะไม่ค่อยโอเคเพราะเค้า
00:31:59 → 00:32:03 คอแข็งอยู่เอาตัวออกอ่ะคอแข็งด้วยเอาตัว
00:32:03 → 00:32:06 ออกด้วยออเพราะถ้าเขาคยื่นหน้าเข้ามาหา
00:32:06 → 00:32:09 แปลว่าเค้าอินกับสิ่งที่เราพูดเาอยากใกล้
00:32:09 → 00:32:13 ชิดเรามากขึ้นมันมีมารยาทในสังคมอย่างนึง
00:32:13 → 00:32:15 อันนี้เราเราพูดถึงเรื่องมารยาทในสังคม
00:32:16 → 00:32:19 กับกายภาษากายค่ะเบอกระยะห่างนี่สำคัญ
00:32:19 → 00:32:22 สำคัญการคุยกันในสังคมการคุยกับคนสนิทการ
00:32:22 → 00:32:25 คุยกับอะไรมันควรมีระยะห่างมั้ยฮะควรค่ะ
00:32:25 → 00:32:28 เพราะว่าพี่พี่เคยเจอกับตัวเองเนี่ยเนี่ย
00:32:28 → 00:32:31 มันมีคนนึงซึ่งก็เป็นผู้ชายก็จะเป็นลูก
00:32:32 → 00:32:35 น้องแต่ว่ากำลังจะคุยด้วยก็พุ่งพรวดมาพี่
00:32:35 → 00:32:39 บอกเฮ้ยไม่ยิไกลๆฉันตใจคือเราเรามันใกล้
00:32:39 → 00:32:42 ไปอ่ะมันใกล้ไปมันมีระยะห่างของมันมั้ยฮะ
00:32:42 → 00:32:44 มันก็กลับมาที่เดิมค่ะว่าสมองเราอ่ะค่ะ
00:32:44 → 00:32:47 พยายามจะทำให้เราปลอดภัยในทุกสถานการณ์
00:32:47 → 00:32:50 การที่อยู่ดีๆมีคนวิ่งเข้ามาปึ๊บเหมือน
00:32:50 → 00:32:53 ที่พี่ตืใกลอย่าเงี้ยเราร่างกายเราอ่ะค่ะ
00:32:53 → 00:32:56 จะไปโดยอัตโนมัติว่าไม่ปลอดภัยไปไกลๆนี่
00:32:56 → 00:33:00 ไม่ปลอดภัยนะเธอต้องอยู่ห่างๆชั้นค่ะแล้ว
00:33:00 → 00:33:03 ระยะปลอดภัยของแต่ละคนน่ะค่ะไม่เท่ากัน
00:33:03 → 00:33:06 โดยทั่วๆไปอ่ะค่ะอันเนี้ยตามแบบที่วิจัย
00:33:06 → 00:33:09 กันมาถ้าเราคุยกันแบบ 2 คนแบบ Personal
00:33:09 → 00:33:11 เราอาจจะอยู่ห่างกันประมาณครึ่งเมตรค่ะ
00:33:12 → 00:33:13 ครึ่งเมตรนี่ประมาณไหนประมาณนี้ค่ะได้
00:33:13 → 00:33:16 ประมาณนี้โอก็ใกล้นะก็ใกล้นะประใช่อันนี้
00:33:16 → 00:33:19 คือปลายเท้าที่อยู่ค่ะอันนี้คือครึ่งเม็ด
00:33:19 → 00:33:22 นั้นคือ Personal ค่ะแต่ถ้าเราคุยกันแบบ
00:33:22 → 00:33:25 ห่างออกไปอีกจะเป็นแบบโซเชียลถ้าเราไม่
00:33:25 → 00:33:28 รู้จักกันถ้าเราไม่สนิทกันมันจะจห่างตั้ง
00:33:28 → 00:33:31 แต่ครึ่งเมตรไปจนถึง 1.2 เมตรนิดๆออก็
00:33:31 → 00:33:34 ประมาณนี้ๆอเหมือนเหมือนที่ใช้กับพี่ั
00:33:34 → 00:33:36 อยู่ประมาณอย่างเงี้ยมันคืออย่างเงี้ถือ
00:33:36 → 00:33:38 ว่าเออเพิ่งๆเพิ่งรู้จักกันเพิ่งคุยกัน
00:33:38 → 00:33:41 อะไรอย่างเงี้เราก็จะรู้สึกปลอดภัยแต่ถ้า
00:33:41 → 00:33:45 มันไปถึงเมตรกว่าๆไปจนถึง 3 เมต 3 มครึ
00:33:45 → 00:33:47 ประมาณนี้มันคือการแบบอยู่กันแบบพลิ
00:33:47 → 00:33:49 สาธารณะอันนี้อันนี้ถือว่าเป็นระยะห่าง
00:33:49 → 00:33:52 ที่พอสมควรใช่ใช่ค่ะแต่ทีนี้อย่างที่ชัท
00:33:52 → 00:33:56 บอกว่าในแต่ละคนระยะปลอดภัยไม่เท่ากัน
00:33:56 → 00:34:00 ระยะปลอดภัยอาจจะ 30 ซมก็ได้หรือระยะปลอด
00:34:00 → 00:34:02 ภัยชอาจจะ 80 ก็ได้อย่ามายุ่งอยู่อยู่ตรง
00:34:02 → 00:34:04 นั้นแหละอ๋อๆเหมือนกันพี่เป็นเพราะฉะนั้น
00:34:04 → 00:34:07 เรามีวิธีเทสค่ะว่าถ้าเราขยับเข้าไปใกล้เ
00:34:07 → 00:34:10 นิดนึงแล้วเเบนตัวอย่างงี้อ่าเ้าอาจจะไม่
00:34:11 → 00:34:13 ได้เบนแชทแบบไม่ได้แบบชัดเหมือนที่แชททำ
00:34:13 → 00:34:17 แต่เขาอาจจะแค่แบบหึชะงักเรารู้แล้วค่ะ
00:34:17 → 00:34:19 ว่าเราอ่ะล้ำระยะปลอดภัยเาให้เราสตถอยออก
00:34:19 → 00:34:24 มาเราอใช่การจับมือเดี๋ยวนี้สมัยใหม่นะ
00:34:24 → 00:34:26 เราก็มีการจับมือคุยกันอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:34:26 → 00:34:29 มันบอกอะไรได้บ้างคือการจับมือภาษากาย
00:34:29 → 00:34:30 เนี่ยถ้าเอาเป็นการทักทายอ่ะค่ะอย่าง
00:34:30 → 00:34:33 วัฒนธรรมแบบยุโรปอเมริกาเขาก็จะจับมือทัก
00:34:33 → 00:34:36 ทายกันตั้งแต่แรกมันก็มีหลักจิตวิทยาอยู่
00:34:36 → 00:34:38 ข้างหลังเพราะว่ามันคือการสัมผัสกันครั้ง
00:34:38 → 00:34:41 แรกเออบางคนนี่จับแล้วมีบีบบางคนจับเบา
00:34:41 → 00:34:43 เอออันนี้บอกอะไรได้บ้างจะบอกว่ามันด้วย
00:34:43 → 00:34:48 วัฒนธรรมด้วยค่ะบางคนอาจจะถูกสอนมาว่าแบบ
00:34:48 → 00:34:51 อย่างโดยเฉพาะชาติเอเชียอเวลาชาติเอเชีย
00:34:51 → 00:34:53 ไปจับอ่ะค่ะเพราะปกติเราไม่ได้จับมือเช็ค
00:34:53 → 00:34:55 แฮนเราไวยเราโค้งเราอะไรก็แล้วแต่แต่พอ
00:34:55 → 00:34:58 เราไปจับเราจะไม่ค่อยกล้าจับใชเจะจับเบาๆ
00:34:58 → 00:35:00 แต่ถ้าเป็นต่างชาติฝรั่งนี่จับบเมาแบบ
00:35:00 → 00:35:03 เฟิมเจะมาแบบเฟิร์มๆเพื่อบ่งบอกถึงความ
00:35:03 → 00:35:07 หนักแน่นความจริงใจของเขาปึ๊บอ๋อใช่ๆ
00:35:07 → 00:35:09 เพราะฉนั้นแล้วก็จะจับเบามากเพราะฉะนั้น
00:35:10 → 00:35:11 เรื่องวัฒนธรรมคืออีกหนึ่งเรื่องที่เรา
00:35:11 → 00:35:14 ต้องดูค่ะอยู่ที่ไหนทำแบบนั้นอ่าถ้าอยู่
00:35:14 → 00:35:17 ญี่ปุ่นเขาโค้งมาเราโค้งกลับอ่าอยู่
00:35:17 → 00:35:19 อินเดียส่ายหัวก็ส่ยหัวกลับเายื่นมือมา
00:35:19 → 00:35:22 แล้วก็จับแต่ว่าญี่ปุ่นก็จะจับเบาๆแต่ถ้า
00:35:22 → 00:35:24 ฝรั่งเราถ้าเราต้องไปอเมริกาเราต้องไป
00:35:24 → 00:35:28 ยุโรปเจับแรงก็จับแรงไปเลยคโแรงเลยแอย่า
00:35:28 → 00:35:32 ใช้คำว่าแรงใช้คำว่าแมชน้ำหนักให้เท่าเขา
00:35:32 → 00:35:34 คือทำยังไงก็ได้ให้เราเป็นพวกเขามากที่
00:35:34 → 00:35:37 สุดค่ะการโชว์มือเนี่ยมันมันแสดงถึงความ
00:35:37 → 00:35:41 จริงใจได้มั้ยได้ค่ะได้เลยจะบอกว่ามันก็
00:35:41 → 00:35:43 กลับมาที่เดิมค่ะพี่ตั๊กเรื่องความปลอด
00:35:43 → 00:35:47 ภัยค่ะเพราะถ้าเราไม่โชว์มือชัอาจสมมติ
00:35:47 → 00:35:49 มือชันอยู่ข้างหลังค่ะพี่ตั๊กไม่รู้เลย
00:35:49 → 00:35:52 ครับว่าชัซ่อนมีดซ่อนปืนซ่อนน้ำกดซ่อน
00:35:52 → 00:35:55 อะไรหรือเปล่าโอค่ะมือก็เป็นอีกหนึ่ง
00:35:55 → 00:35:58 ปัจจัยเขาจะรู้สึกปลอดภัยไม่ไม่ปลอดภัย
00:35:58 → 00:36:00 มือก็สำคัญอืเพราะถ้ามือเราถือมีดอยู่
00:36:00 → 00:36:03 สมมุติแชทมีมีดอยู่ในมือพี่ตัคงไม่รู้สึก
00:36:03 → 00:36:04 ปลอดภัยเมื่อนั่งอยู่กับแชทถูกมั้ยอไม่
00:36:05 → 00:36:07 ได้แต่พอชัดซ่อนข้างหลังอ่ะค่ะค่ะคนทั่ว
00:36:07 → 00:36:11 ไปจะแบบซ่อนอะไรข้างหลังมีอะไรอันเนี้ย
00:36:11 → 00:36:15 มันไปตามสัญชาตญาณโดยที่บางทีสมองเราอ่ะ
00:36:15 → 00:36:19 จับไม่ทันค่ะแต่เราอ่ะโดยแบบลึกๆบางคนจะ
00:36:19 → 00:36:21 บอกว่ากึ่นของเราอ่ะบอกว่านี่ไม่ปลอดภัย
00:36:21 → 00:36:24 กึ่นของเราบอกว่าคนนี้ไม่ได้เราก็จะเฟด
00:36:24 → 00:36:27 ออกมันมีงานวิจัยที่อเมริกาค่ะพี่ตั๊แต่
00:36:27 → 00:36:29 ว่างานวิจัยเนี้ยนานมาแล้วนะเไปถามผู้
00:36:29 → 00:36:34 พิพากษาค่ะว่าการที่จำเลยอ่ะหรือว่าใครก็
00:36:34 → 00:36:37 ตามที่อยู่ในชั้นศาของเขาอ่ะเอามือวางไว้
00:36:37 → 00:36:39 ข้างล่างเขาไม่เห็นมืออ่ะเขาครู้สึกยังไง
00:36:40 → 00:36:42 ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ค่ะเขาจะบอกเลยว่าคนๆ
00:36:42 → 00:36:45 เนี้ยมีอะไรปิดบังอยู่เพราะเขาไม่เห็นมือ
00:36:45 → 00:36:48 ออแค่การที่เขาไม่เห็นมืออ่ะค่ะแล้วเขา
00:36:48 → 00:36:50 คิดแล้วว่าคนๆนี้มีอะไรปิดบังเพราะฉะนั้น
00:36:50 → 00:36:55 เขาจะจี้ต่อแต่การที่คนๆนึงเอาขึ้นมาโชว์
00:36:55 → 00:36:57 นึกออกมั้ยคะที่ที่ของอเมริกาเจะมีแบบ
00:36:57 → 00:37:01 โต๊ะที่วางมือได้อะไรได้ถ้าเอาขึ้นมาเขา
00:37:01 → 00:37:04 จะรู้สึกว่าคนเนี้ยไม่ได้มีอะไรปิดบัง
00:37:04 → 00:37:07 อ๋อเห็นในหนังเอ้ไม่ใช่ในหนังในในเรื่อง
00:37:07 → 00:37:11 จริงอ่ะที่เเอ่อสัมภาษณ์พวกที่เป็นเอ่อ
00:37:11 → 00:37:13 นักโทษอะไรเงี้ยบางคนนั่งมือไป้ข้างล่าง
00:37:13 → 00:37:16 แล้วพิงงี้อีกค่ะไอ้นั้นท่านั้นบอกอะไร
00:37:16 → 00:37:18 ไม่รู้บคนมันมันไม่ควรจะสบายขนาดนั้นน่ะ
00:37:18 → 00:37:22 แปว่าอ่ะข้อ 1 เขาอาจจะสบายมากพิงหรือข้อ
00:37:22 → 00:37:24 2 เขาอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยมากๆแล้วก็
00:37:24 → 00:37:27 เลยพยายามหนีออพยายามเอาตัวออกออกห่างให้
00:37:28 → 00:37:32 เยอะที่สุด่าๆอๆๆออซึ่งถ้าในบริบทนั้น
00:37:32 → 00:37:35 บริบทที่พี่ตั๊กบอกชันว่าเขาไม่ได้สบาย
00:37:35 → 00:37:38 แต่เขาอยากหนีเขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่ต้อง
00:37:38 → 00:37:41 อยู่ตรงนั้นไม่ปลอดภัยอืแต่การที่เอามือ
00:37:41 → 00:37:45 ขึ้นมาถือว่าน่าเชื่อถือได้ใช่ค่ะว่าคน
00:37:45 → 00:37:49 นั้นน่าจะพูดจริงใช่คนเราจะคิดว่าคนๆ
00:37:49 → 00:37:52 เนี้ยจริงใจเพราะว่าเราเห็นมือมือเขาไม่
00:37:52 → 00:37:54 ได้ซ่อนอาวุธมือเขาไม่ได้ซ่อนอะไรอยู่
00:37:54 → 00:37:58 เพราะฉะนั้นเขาจริงใจและฉั้นปลอดภัโอห
00:37:58 → 00:38:00 อย่างงี้ไปไหนเราต้องเอามือมาโชว์บ่อยๆนะ
00:38:00 → 00:38:02 เอามืออย่างงี้อ้าแล้วบางคนพูดแล้วเอามือ
00:38:02 → 00:38:05 เยอะๆร่ะใช่ค่ะมือเยอะๆอันเนี้ยก็ต้องดู
00:38:05 → 00:38:08 ว่าแต่ละคนน่ะเออมันไม่เหมือนกันบางทีมัน
00:38:08 → 00:38:11 เป็นนิสัยเค้าค่ะพี่ตอค่ะมันเป็นนิสัยเขา
00:38:11 → 00:38:14 เลยในการแบบใช้มืออธิบายซึ่งจริงๆแล้วมัน
00:38:14 → 00:38:17 ดีนะคะแต่บางคนน่ะมันจะเยอะเกถ้าเยอะมาก
00:38:17 → 00:38:19 ก็ไม่ดีเพราะว่าตัว Power สียมันจะอยู่
00:38:19 → 00:38:22 แค่นี้ยังค่ะอย่าอย่ากว้างกว่างถ้าใหญ่
00:38:22 → 00:38:25 เกินมันคือเยอะแล้วบางแบบคนที่อยู่ด้วย
00:38:25 → 00:38:27 อ่ะค่ะเขาจะรู้สึกไม่ดีเพราะมันพื้นที่
00:38:27 → 00:38:31 เยอะไปอ๋อแต่ถ้าเขาอยู่ประมาณนี้คู่สนทนา
00:38:31 → 00:38:33 ยังโอเคเพราะว่ามันอยู่ใน Power spe ของ
00:38:33 → 00:38:37 เขาค่ะอย่างบางคนล้วงกระเป๋าตลอดอ่ะค่ะ
00:38:37 → 00:38:39 พี่เคยเห็นพิธีกรบางคนแต่ถ้าเป็นสมัยพี่
00:38:40 → 00:38:42 สมัยก่อนที่พิธีกรทำมาพวกคอนเซอเวทีฟสมัย
00:38:42 → 00:38:46 ก่อนเนี่ยเขาจะไม่ค่อยเาจะไม่ให้ทำท่านี้
00:38:46 → 00:38:49 ใช่ไม่มีมารยาทแต่ในยุคปัจจุบันพี่เห็น
00:38:49 → 00:38:52 พิธีกรผู้ชายชอบเอามือล้วงกระเป๋าแล้วพูด
00:38:52 → 00:38:56 กับคนดูก็ท่านี้บอกอะไรบ้างท่าเนี้ยค่ะ
00:38:56 → 00:39:00 มันคือการที่เารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอ้าไม่
00:39:00 → 00:39:03 สบายใช่แล้วมันทำให้คนที่ดูเ้าอ่ะรู้สึก
00:39:03 → 00:39:07 ว่าอึมันมีอะไรเอ๊ะอมันเอ๊ะแต่พี่ไม่ได้
00:39:07 → 00:39:10 มองว่าเค้าไม่ปลอดภัยแต่พี่มองว่ามันดู
00:39:10 → 00:39:13 ไม่เรียบร้อยหรือมันดูจะฝรั่งเกินไปหรือ
00:39:13 → 00:39:15 เปล่าเอามือล้วงกระเป๋าอ๋อเ้าไม่ปลอดภัย
00:39:15 → 00:39:18 เหรอคือเราต้องแยกก่อนค่ะว่าวัฒนธรรมเอา
00:39:18 → 00:39:21 เอาหมวกวัฒนธรรมออกไปก่อนเอาหมวกของจิต
00:39:21 → 00:39:23 วิทยาเข้ามาเพราะว่าถ้ามันมีเรื่อง
00:39:24 → 00:39:26 วัฒนธรรมมาเกี่ยวข้องอ่ะเราก็จะรู้ะไม่มี
00:39:26 → 00:39:30 มารยาทใช่ใช่มยคะใช่แต่ถ้าสมมุติว่าเรา
00:39:30 → 00:39:32 เอาคำว่ามารยาทออกแล้วเขาทำท่าแบบนั้นน่ะ
00:39:32 → 00:39:34 มันคือบางทีกระบ๋องกางเกงอย่าเงี้ยนะเอ้อ
00:39:34 → 00:39:37 จริงๆมันก็แปลได้หลายความหมาย 1 เขาอาจจะ
00:39:37 → 00:39:39 รู้สึกว่าเขาไม่ปลอดภัยเขาต้องซ่อนอะไร
00:39:39 → 00:39:42 บางอย่าง 2 เขารู้สึกสบายเพราะใส่ใน
00:39:42 → 00:39:45 กระเป๋าแล้วมันสบายดีเออหรือสบายอาจจะ
00:39:45 → 00:39:47 สบายก็ได้มั้งอาจจะสบายเราก็ชอบไปมองว่า
00:39:47 → 00:39:51 เอ๊มันล่วงกระเป๋าพูดมันดูไม่เรียบร้อย
00:39:51 → 00:39:54 แต่พอเราเอาคำว่ามารยาทไปใส่ปุ๊บไม่มี
00:39:54 → 00:39:58 มารยาททันทีอมันเลยต้องมาคู่กับค่ะค่ะใน
00:39:58 → 00:40:00 ฐานะที่คุณแชทนี่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
00:40:00 → 00:40:05 ด้านภาษากายมีมเหมือนเรารู้เยอะไงค่ะเรา
00:40:05 → 00:40:07 จะแอบระแวงมั้ยเวลาคุยกับใครเราจะระแวง
00:40:07 → 00:40:10 ไอ้คนนี้มันจะมางงี้มันเป็นมั้ยไม่เป็น
00:40:10 → 00:40:14 ค่ะหะเพราะถ้ามันมามันจะมันจะมาเลยแล้ว
00:40:14 → 00:40:16 แล้วคุยกับใครไม่สังเกตเหมดเลยเหรอก็
00:40:16 → 00:40:19 สังเกตบ้างเหรอจริงหรอแต่อย่างงี้ค่ะถ้า
00:40:19 → 00:40:22 เราสังเกตทุกคนน่ะค่ะเราเหนื่อยเหนื่อย
00:40:22 → 00:40:25 เครียดเปล่าๆใช่แชทก็เลยจะมีสวิตช์แชทมี
00:40:25 → 00:40:28 สวิตช์เปิดปิดถ้าปิดก็คือไม่สนใจจอย่าง
00:40:28 → 00:40:30 พี่พี่ที่อยู่ในสตูดิโฉันก็จะปล่อยฉันไม่
00:40:30 → 00:40:34 สนใจไม่สนใอ๋อไม่สนใจเลยแต่ถ้าเป็นคนที่
00:40:34 → 00:40:37 เฮ้ยต้องดิวงานต้องไปคุยกับนายเขาเป็นลูก
00:40:37 → 00:40:40 ค้ากำลังจะปิดดิวใหญ่อันนี้สนใจค่ะแล้ว
00:40:40 → 00:40:42 ถามจริงๆเวลาเราใช้ความรู้ในเรื่องของ
00:40:42 → 00:40:45 ภาษากายเนี่ยเราไปดีลงานเนี่ยมันได้ผล
00:40:45 → 00:40:48 มั้ยค่ะได้ผลสิค่ะพี่ตัเพราะเรารู้เลยว่า
00:40:48 → 00:40:52 เาไม่โอเคตรงไหนสมมุติชันมีสัญญามาต้องมา
00:40:52 → 00:40:57 ดูสัญญากันว่าแบบอ่ะคอนดิเป็นแบบนี้ๆๆเอๆ
00:40:57 → 00:41:00 แล้วระหว่างที่เนั่งไล่สัญญาชดเห็นแล้ว
00:41:00 → 00:41:05 ว่าอืเทำหน้าเทำคิ้วขมวดอืเคอ่านอยู่ตรง
00:41:05 → 00:41:07 ไหนนะเคอ่านอยู่ช่วงกลางๆช่วงกลางๆคือ
00:41:07 → 00:41:10 อะไรนะออโปรโมชั่นโปรโมชั่นเราก็จะรู้
00:41:10 → 00:41:12 แล้วว่าเฮ้ยไม่ค่อยแฮปปี้กับโปรโมชั่นอ่ะ
00:41:12 → 00:41:17 เดี๋ยวค่อยถามว่าโปรโมชั่นนี้โอเคไยออแชท
00:41:17 → 00:41:20 สามารถเสนออชั่นอื่นได้ไหมมูลค่าอาจจะ
00:41:20 → 00:41:22 เท่ากันแต่ว่าเปลี่ยนแบบ A B C เป็น def
00:41:22 → 00:41:26 EF เราจะสามารถชาร์จได้เลยว่าตรงเนี้ย
00:41:26 → 00:41:31 เขาไม่โอเคโอเคแชทอยากได้วนี้มากๆแชทจะสน
00:41:31 → 00:41:33 ใจเตั้งแต่เขาหายใจเลยค่ะอืถ้าเกิดเขา
00:41:33 → 00:41:36 อ่านโปรโมชั่นอยู่แล้วเ
00:41:36 → 00:41:40 แบบมีรเหรอทำอย่างงี้มันไม่ได้แรงเพราะ
00:41:40 → 00:41:42 อันเนี้ยชัจงใจทำให้พี่ตั๊กเห็นเป็นตัว
00:41:42 → 00:41:46 อย่างอแต่คนบางคนจะมาแค่นี้
00:41:46 → 00:41:50 ค่ะเหรออันนี้ไม่โอเคใช่ถ้าโอเคจะมีท่า
00:41:50 → 00:41:57 ทางไงถ้าโอเคเา้าจะพยักหน้าอือโอเค
00:41:57 → 00:42:02 ้าเออว่าสีหน้าเขึ้นหรือสีหน้าเลงอ่าถ้า
00:42:02 → 00:42:06 สีหน้าขึ้นตาขึ้นปากขึ้นแก้มขึ้นโอเคแต่
00:42:06 → 00:42:09 ถ้าสีหน้าลงโโอโอดูเออดูง่ายดีเหมือนกัน
00:42:09 → 00:42:14 เนามันดูง่ายค่ะโอขึ้นแปลว่าโอเคลงแปลว่า
00:42:14 → 00:42:17 แกด่วนเท้าก็เหมือนกันค่ะพี่ตังถ้าเรามอง
00:42:17 → 00:42:21 เห็นเท้าเขาอ่ะแล้วถ้าเขาแบบนี่ตึ๊ดๆๆึด
00:42:21 → 00:42:24 ขึ้นมาถ้าเห็นเท้านะแปลว่าอะไรดึ๊กๆๆถ้า
00:42:24 → 00:42:26 เห็นเท้าแปลว่าเขาแฮปปี้มากแล้วถ้าไม่
00:42:26 → 00:42:29 แฮปปี้อ่ะเ้าก็จะปกตินิ่งเลยใช่ก็จะนิ่ง
00:42:29 → 00:42:31 อันอันนี้อันนี้มันอาจจะเป็นเฉยๆแต่ถ้า
00:42:31 → 00:42:33 เขาแฮปปี้เราจะเห็นเลยว่าเท้าเขาจะแบบ
00:42:33 → 00:42:39 ขึ้นมาและอ๋อออเหรอเออจะได้แต่คงไม่ต้อง
00:42:39 → 00:42:41 ก้มลงไปดูนะเพราะส่วนมากเวลาโต๊ะประชุมคง
00:42:41 → 00:42:44 ไม่ให้เขดูทาไม่เห็นแต่เราจะเห็นจาก
00:42:44 → 00:42:47 จังหวะที่เขาเคลื่อนไหวบางทีการขยับเท้า
00:42:47 → 00:42:50 มันขึ้นมาถึงตัวไงคะอแต่บางคนก็ขยับบ่อย
00:42:50 → 00:42:53 มากเลยนะก็อาจลำบากเก็กลับมาที่กฎแรกว่า
00:42:53 → 00:42:57 ต้องดูว่าเบสปกติปกติเป็นยังไงทั้งหมดอ่ะ
00:42:57 → 00:43:00 ค่ะจะบอกว่าที่เราอยากให้เราอ่านได้อ่ะ
00:43:00 → 00:43:03 เพื่อที่เราจะได้จัดการกับความสัมพันธ์
00:43:03 → 00:43:05 และสถานการณ์ตรงหน้าได้เพราะถ้าเราอ่าน
00:43:05 → 00:43:08 ไม่ออกอ่ะแล้วเาป่วยอ่ะแล้วเไม่สบายใจอ่ะ
00:43:08 → 00:43:11 แล้วเราปล่อยผ่านน่ะค่ะบางทีไอ้ความปล่อย
00:43:11 → 00:43:14 ผ่านมันสะสมนะคะพี่ตังออมันกลายเป็นก้อน
00:43:14 → 00:43:18 ใหญ่ๆสะสมแล้วก็บึ้มอืแตกค่ะจริงด้วยวัน
00:43:18 → 00:43:20 นี้เลยได้รู้หลายเรื่องนะอย่างน้อยเราก็
00:43:20 → 00:43:23 ไปดูคนใกล้ตัวเราค่ะเอ่อเพื่อนร่วมงาน
00:43:23 → 00:43:26 หรือคนที่เรากำลังอยากจะรู้จักนะคะอยากจะ
00:43:26 → 00:43:29 ทำงานร่วมกันด้วยอยากจะไปติดต่ออะไรกับเา
00:43:29 → 00:43:31 เนี่ยนะฮอย่างน้อยพอจะเป็นแนวทางถึงแม้จะ
00:43:31 → 00:43:34 ไม่ได้ 100% ก็ตามแต่ก็พอจะรู้ว่าอ้อที่
00:43:34 → 00:43:38 เขาแสดงท่าทางอย่างงี้ภาษากายแบบนี้ค่ะ
00:43:38 → 00:43:41 ตอนนี้เารู้สึกยังไงบ้างนะคะขอบคุณคุณแท
00:43:41 → 00:43:43 ค่ะขอบคุณ
00:43:43 → 00:43:47 ค่ะพี่ตั๊กต้องขอขอบพระคุณทุกท่านนะคะที่
00:43:47 → 00:43:50 รับชมรายการตั๊กททางช่องไ doot นะคะดูราย
00:43:50 → 00:43:53 การจบแล้วชอบอะไรไม่ชอบอะไรอยากให้
00:43:53 → 00:43:56 คอมเมนต์กันเข้ามาเยอะๆคอมเมนต์บอกกัน
00:43:56 → 00:43:59 เข้ามาหน่อยนะครับเพราะว่าทุกคำติชมของ
00:43:59 → 00:44:03 ทุกท่านนั้นมีคุณค่าสำหรับพวกเราเราทุกคน
00:44:03 → 00:44:05 พร้อมจะอยู่เป็นกำลังใจอยู่เี่ยงข้างใน
00:44:05 → 00:44:08 เรื่องของสุขภาพร่างกายเป็นกำลังใจให้กับ
00:44:08 → 00:44:11 ทุกคนนะคะอย่าลืมนะคะรอฟังอยากให้
00:44:11 → 00:44:14 คอมเมนต์กันเข้ามาเยอะๆติชมกันเข้ามาเลย
00:44:14 → 00:44:16 ค่ะ
00:44:16 → 00:44:19 [เพลง]