00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับวันก่อนมีคนสอบถามผมเข้ามานะ
00:00:03 → 00:00:05 ครับเกี่ยวกับโพสต์โพสต์หนึ่งนะครับซึ่ง
00:00:05 → 00:00:09 ไปเจอแล้วน่าตกใจว่าโพสต์นี้เนี่ยบอกว่า
00:00:09 → 00:00:13 การผิดพลาดทางการแพทย์นะครับหรือที่ภาษา
00:00:13 → 00:00:16 อังกฤษเราเรียกว่า Manager เป็นสาเหตุการ
00:00:16 → 00:00:19 ตายสูงเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศสหรัฐ
00:00:19 → 00:00:22 อเมริกาโดยมีการอ้างอิงจากงานวิจัยของ
00:00:22 → 00:00:25 มหาวิทยาลัยยอห์นฮอปกินส์นะครับเรื่องนี้
00:00:25 → 00:00:27 เนี่ยก็ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมากนะครับ
00:00:27 → 00:00:30 แล้วผมก็เลยอยากจะมาชี้แจงว่าเรื่องนี้
00:00:30 → 00:00:33 มันมีที่มาที่ไปอย่างไรมันเป็นเช่นนั้น
00:00:33 → 00:00:36 จริงหรือเปล่านะครับก็พบกับผมนะครับนาย
00:00:36 → 00:00:38 แพทย์ธานินทร์วันนะครับเป็นอาจารย์แพทย์
00:00:38 → 00:00:40 อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรค
00:00:40 → 00:00:43 ปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับ
00:00:43 → 00:00:46 งานวิจัยที่ว่าเนี่ยนะครับมันเป็นงานที่
00:00:46 → 00:00:49 ทำโดยมหาวิทยาลัยจอห์นชอบกินจริงๆนะครับ
00:00:49 → 00:00:51 โดยมีนักเรียนที่นั่นเขาทำไว้นะครับแล้ว
00:00:51 → 00:00:56 ก็ลงตีพิมพ์ในวารสารชื่อว่า bmj British
00:00:56 → 00:00:58 manageral นะครับซึ่งเป็นวารสารทางการ
00:00:58 → 00:01:00 แพทย์ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างที่จะสูงมาก
00:01:00 → 00:01:04 เลยทีเดียวนะครับมันก็เลยเป็นที่มาของหัว
00:01:04 → 00:01:07 ข้อนี้นั่นเองนะครับโดยงานเขียนครั้งนี้
00:01:07 → 00:01:11 เนี่ยตีพิมพ์ในปี 2016 นานพอดูแล้วนะครับ
00:01:11 → 00:01:13 ก่อนโควิดอีกนะครับแล้วก็ตอนนั้นเนี่ย
00:01:13 → 00:01:16 สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เป็นงานวิจัยนะครับ
00:01:16 → 00:01:20 เป็นการไปรวบรวมงานเขียนที่เป็นวิจัยทั้ง
00:01:20 → 00:01:23 หมดนะครับที่ดูเรื่องเกี่ยวข้องกับความ
00:01:23 → 00:01:27 ผิดพลาดทางการแพทย์นะครับแล้วก็ดูว่าเฮ้ย
00:01:27 → 00:01:30 มันมีความผิดพลาดทางการแพทย์ในงานวิจัย
00:01:30 → 00:01:32 อันนี้กี่อันนะนำไปสู่ความตายจริงหรือ
00:01:32 → 00:01:34 เปล่าหรือมีการตายตามมาทีหลังจริงหรือ
00:01:34 → 00:01:36 เปล่านะครับพอเอางานวิจัยทุกๆอย่างมา
00:01:36 → 00:01:38 เสร็จปุ๊บแล้วเขาก็มาหาค่าเฉลี่ยก็พบว่า
00:01:38 → 00:01:41 เฮ้ยมันสูงมากเลยเนี่ยที่ข้อผิดพลาดทาง
00:01:42 → 00:01:43 การแพทย์นั้นน่ะ
00:01:43 → 00:01:46 นำไปสู่ความตายนะครับแล้วก็คิดถ้ารวม
00:01:46 → 00:01:49 สถิติเนี่ยจากงานวิจัยทั้งหมดเขาก็ลองเอา
00:01:49 → 00:01:52 ไปคูณประชากรในอเมริกาทั้งหมดที่จำเป็นจะ
00:01:52 → 00:01:55 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนะครับก็
00:01:55 → 00:01:57 เข้าพบว่าถ้าด้วยสถิติของเขาที่เขามีจัด
00:01:57 → 00:02:00 งานวิจัยทั้งหมดเนี่ยแล้วเอาไปเทียบนะ
00:02:00 → 00:02:03 ครับหรือที่ภาษาทางวิทยาศาสตร์เราเรียก
00:02:03 → 00:02:06 ว่า Extra protections ก็คือการที่เรามี
00:02:06 → 00:02:09 ตัวอย่างเล็กๆนิดนึงนะครับแต่ว่าเรา
00:02:09 → 00:02:12 ต้องการดูว่าถ้าเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น
00:02:12 → 00:02:14 ในตัวอย่างเล็กๆเกิดขึ้นในตัวอย่างที่
00:02:14 → 00:02:18 ใหญ่ขึ้นเช่นทั้งประเทศเลยเนี่ยมันจะมีผล
00:02:18 → 00:02:21 มากน้อยแค่ไหนนะครับวิธีในการตีความง่ายๆ
00:02:21 → 00:02:25 ก็คือโอ้แล้วเจอสถิติเช่นว่าอ่ามี 5% ใน
00:02:25 → 00:02:28 ในคนกลุ่มเนี้ยนะครับถ้าไปเจอคนกลุ่มใหญ่
00:02:28 → 00:02:31 ก็เอา 5% เนี้ยไปคูณด้วยจำนวนคนกลุ่มใหญ่
00:02:31 → 00:02:33 ก็จะเห็นว่าเป็นตัวเลขมากน้อยแค่ไหนนั่น
00:02:33 → 00:02:37 ก็คือคำว่า experation นะครับเขาพบว่าจาก
00:02:37 → 00:02:39 งานที่เขาเขียนแล้วก็ทดลองมาตรงนี้เนี่ย
00:02:39 → 00:02:41 เอาไปดูแล้วก็จะพบว่า
00:02:41 → 00:02:45 คนอเมริกันถึง 62% นะครับที่เข้าโรง
00:02:45 → 00:02:50 พยาบาลไปรักษาเนี่ยจะเสียชีวิตด้วยความ
00:02:50 → 00:02:52 ผิดพลาดทางการแพทย์ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่
00:02:52 → 00:02:55 สูงมากๆเลยนะครับสูงเป็นอันดับ 3 นะครับ
00:02:55 → 00:02:58 ในสมัยนั้นนะครับในช่วงปี 2016 เนี่ย
00:02:58 → 00:03:01 อันดับการตายอันดับแรกก็คือโรคหัวใจ
00:03:01 → 00:03:04 อันดับที่ 2 คือโรคมะเร็งและอันดับที่ 3
00:03:04 → 00:03:06 ถ้าเป็นจริงก็คือเป็นเรื่องของความผิด
00:03:06 → 00:03:09 พลาดทางการแพทย์นะครับตัวนี้จริงๆผมเคย
00:03:09 → 00:03:11 ได้ข่าวมาตั้งนานแล้วนะครับตั้งแต่งาน
00:03:11 → 00:03:14 วิจัยชิ้นนี้มันออกมาเพราะว่ามันดังมาก
00:03:14 → 00:03:17 เนื่องจากว่ามีงานทีวีนะครับก็ไปออกใน
00:03:17 → 00:03:21 Episode ในทีวีต่างๆนะครับหรือที่สำคัญ
00:03:21 → 00:03:23 ที่สุดในตอนนั้นคืออะไรนะครับที่สำคัญที่
00:03:23 → 00:03:28 สุดในตอนนั้นก็คือคนที่ต้องการบอกว่าอย่า
00:03:28 → 00:03:31 ไปหาหมอเลยให้มาหาฉันแล้วก็ขายอาหารเสริม
00:03:31 → 00:03:35 ขายคอร์สตอนนั้นเราโด่งดังกันมากเลยเขา
00:03:35 → 00:03:39 บอกเป็นๆเหมือนกับมีที่บอกว่าอย่าเชื่อ
00:03:39 → 00:03:41 หมอมาเชื่อผมนะครับตอนช่วงนั้นแนวผู้
00:03:41 → 00:03:44 อำนวยการดังมากๆเลยนะครับคือหลายคนที่สาย
00:03:44 → 00:03:48 สุขภาพนะครับสายอาหารเสริมนะครับหรือกูรู
00:03:48 → 00:03:50 ที่ทำอาหารเสริมขายทั้งหมดเนี่ยตอนช่วง
00:03:50 → 00:03:52 นั้นดังมากแล้วก็ใช้งานวิจัยตัวนี้เป็น
00:03:52 → 00:03:55 ตัวอ้างอิงว่าไปหาหมอและโอกาสการตายมัน
00:03:55 → 00:03:58 สูงถึง 62% ซึ่งเยอะมากๆเลยนะครับ
00:03:58 → 00:04:02 ก็เลยเป็นที่มาของคนที่เขาไปพูดต่อกันนะ
00:04:02 → 00:04:05 ครับแต่บังเอิญนะครับถ้าเป็นคนที่อ่านงาน
00:04:06 → 00:04:09 เขียนงานวิจัยเป็นนี่นะครับแล้วไปอ่านงาน
00:04:09 → 00:04:12 ตรงนี้แล้วถ้าสรุปแบบนี้อีกอันนั้นเรียก
00:04:12 → 00:04:14 ว่าโอ้โหอ่านงานวิจัยไม่เป็นเลยครับเรียก
00:04:14 → 00:04:16 ว่าโอ๋อย่างนั้นต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่
00:04:16 → 00:04:18 เด็กน้อยเลยนะครับเราช่วยไม่ได้นะครับเรา
00:04:18 → 00:04:21 ก็ที่สำคัญคือถ้าเพิ่งจะเอาเรื่องนี้มา
00:04:21 → 00:04:26 โพสต์เอาตอนปี 2023 เนี่ยนะครับเขารู้กัน
00:04:26 → 00:04:27 ตั้งนานแล้วว่ามันไม่จริงนะครับสาเหตุ
00:04:27 → 00:04:30 เอ่อทำยังไงทำไมถึงมันไม่จริงนะครับ
00:04:30 → 00:04:34 ประเด็นแรกเลยครับถ้าท่านไม่เคยรู้เรื่อง
00:04:34 → 00:04:36 นี้มาก่อนนะครับแล้วกลัวนะครับคิดว่าความ
00:04:36 → 00:04:39 ผิดพลาดทางการแพทย์เนี่ยมันส่งผลทำให้คน
00:04:39 → 00:04:42 ตาย 62% เยอะมากๆเลยเป็นอันดับที่ 3 ของ
00:04:42 → 00:04:44 การตายทั้งหมดในอเมริกาสิ่งแรกที่ท่านควร
00:04:44 → 00:04:47 จะทำเลยครับลองค้นใน Google หา facts
00:04:47 → 00:04:50 เรื่องนี้นะครับเรื่องของเรื่องนี้มันมี
00:04:50 → 00:04:52 คนเขียนไว้เยอะแยะมีเขียนวิเคราะห์ไว้
00:04:52 → 00:04:55 เต็มไปหมดเลยท่านอ่านเองก็ได้นะครับแต่
00:04:55 → 00:04:58 ถ้าท่านซึ่งมีความรู้ในด้านงานวิจัยแล้ว
00:04:58 → 00:05:00 ไปอ่านงานวิจัยตัวนี้ซึ่งผมบอกเลยนะครับ
00:05:00 → 00:05:03 ว่างานวิจัยตัวนี้เนี่ยบังเอิญมันต้อง
00:05:03 → 00:05:06 เสียตังค์เข้าไปครับมันไม่สามารถที่จะดู
00:05:06 → 00:05:08 ฟรีได้ดังนั้นถ้าท่านที่ต้องการจะเข้าใจ
00:05:09 → 00:05:10 งานวิจัยจริงๆตรงเนี้ยต้องเสียตังค์เข้า
00:05:10 → 00:05:12 ไปผมก็ไม่สามารถเอามาให้ท่านดูได้นะครับ
00:05:12 → 00:05:16 เพราะว่ามันจะผิดกฎนะครับผมเข้าทางของมา
00:05:16 → 00:05:18 มหาวิทยาลัย harvard ของผมมันจะสามารถดู
00:05:18 → 00:05:20 ได้ฟรีนะครับแต่ผมไม่สามารถเอามาเผยแพร่
00:05:20 → 00:05:23 ได้มิฉะนั้นเดี๋ยวจะผิดกฎหมายนะครับก็เลย
00:05:23 → 00:05:25 แย่หน่อยที่จะไม่สามารถเอาไว้ท่านดูได้
00:05:25 → 00:05:28 ว่าเป็นตัวๆมันคืออะไรแต่ถ้าท่านที่สงสัย
00:05:28 → 00:05:30 ในคำพูดของผมแล้วท่านไม่เชื่อในสิ่งที่คน
00:05:30 → 00:05:32 อื่นวิเคราะห์ท่านเข้าไปอ่านได้เองและ
00:05:32 → 00:05:35 สิ่งที่ท่านจะอ่านได้เองนั้นแล้วผมอยากจะ
00:05:35 → 00:05:38 ให้ท่านมองให้แน่ๆใจก็คือว่างานเขียนซึ่ง
00:05:38 → 00:05:41 เข้ามาวิเคราะห์ทั้งหมดมันมีหลายงานมาก
00:05:41 → 00:05:43 ให้ไปดูงานพวกนั้นนะครับเขาเขียนอะไรนะ
00:05:43 → 00:05:48 ครับผมจะยกตัวอย่างอันนึงนะฮะคือเขาดูใน
00:05:48 → 00:05:52 งานเขียนอันนึงดูในแง่ของคนไข้ที่เข้ามา
00:05:52 → 00:05:56 ล้างไตนะครับแล้วในคนไข้ที่ล้างไตเนี่ย
00:05:56 → 00:06:00 มันมีความมันมีความผิดพลาดทางการแพทย์บาง
00:06:00 → 00:06:02 อย่างแล้วอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งมี
00:06:02 → 00:06:05 ชีวิตนะครับแล้วเขาก็เอาตัวนี้แหละเป็น
00:06:05 → 00:06:08 ตัวบอกว่าเฮ้ยนี่เห็นไหมในคนไข้ล้างไตพวก
00:06:08 → 00:06:10 นี้ทำให้เสียชีวิตแล้วก็ตัวนี้ไป experate
00:06:10 → 00:06:12 หรือไปคูณจำนวนคนที่เข้าโรงพยาบาลทั้งหมด
00:06:12 → 00:06:14 มันมีปัญหายังไง
00:06:14 → 00:06:18 คนไข้ที่ล้างไตนะครับสุขภาพไม่ปกติอยู่
00:06:18 → 00:06:21 แล้วจะไม่สามารถเป็นตัวแทนให้กับคนไข้ทาง
00:06:21 → 00:06:25 ประเทศได้หรอกครับถูกไหมครับนะมันเหมือน
00:06:25 → 00:06:28 พยายามเอาเอา
00:06:28 → 00:06:31 ความผิดพลาดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่มี
00:06:31 → 00:06:32 ความเกี่ยวข้องกับอีกสิ่งหนึ่งเลยอ่ะแล้ว
00:06:33 → 00:06:35 ไปพยายามไปบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นแบบ
00:06:35 → 00:06:37 นี้นะครับมันเป็นการเปรียบเทียบที่ที่ไม่
00:06:37 → 00:06:41 ถูกต้องนะครับหรือกรณีหนึ่งก็สมมุติว่ายก
00:06:41 → 00:06:43 ตัวอย่างเช่นถ้าคนไข้มีประวัติว่าแพ้ยา
00:06:43 → 00:06:46 ตัวหนึ่งนะครับแล้วบังเอิญมีความผิดพลาด
00:06:46 → 00:06:49 ทางการแพทย์ได้ยาตัวที่แผ่เข้าไปเกิดผื่น
00:06:49 → 00:06:52 รุนแรงมากๆนะครับแล้วก็หมอเขาเปลี่ยนยา
00:06:52 → 00:06:55 ผื่นดีขึ้นแล้วแต่ว่าผ่านไปจากนั้นสักพัก
00:06:55 → 00:06:58 หนึ่งอาจเสียชีวิตถามว่าเกี่ยวข้องกับ
00:06:58 → 00:07:03 ความผิดพลาดทางการแพทย์หรือเปล่าเออมัน
00:07:03 → 00:07:06 อาจจะไม่เกี่ยวอะไรเลยก็ได้นะครับเช่นว่า
00:07:06 → 00:07:09 คนๆนั้นอาจจะไปเป็นโรคหัวใจวายแล้วเสีย
00:07:09 → 00:07:11 ชีวิตทีหลังก็ได้อาจจะเป็นการติดเชื้อที่
00:07:11 → 00:07:13 หลังก็ได้แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยาตัว
00:07:13 → 00:07:16 นั้นก็ได้เช่นกันนะครับหรือบางคนเช่นว่า
00:07:16 → 00:07:20 สมมุติผมมีคนนึงแพ้ยา penicillin นะครับ
00:07:20 → 00:07:24 แล้วบังเอิญได้ยาแผ่นดินไปแต่พอจริงๆ
00:07:24 → 00:07:25 อาการแพ้ของเขาก็คืออาการคลื่นไส้อาเจียน
00:07:25 → 00:07:28 ไม่ใช่อาการแพ้จริงๆแล้วปรากฏว่ากินเข้า
00:07:28 → 00:07:29 ไปก็
00:07:29 → 00:07:32 คือใส่ขอเปลี่ยนยาได้ไหมหมอก็เปลี่ยนยาง
00:07:32 → 00:07:35 โอเคอาการคือ A7 หายแต่เจนไม่ใช่การแพ้
00:07:35 → 00:07:37 เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ในบางคน
00:07:37 → 00:07:41 แล้วคนๆนั้นต่อมาอีก 10 วันเสียชีวิตด้วย
00:07:41 → 00:07:44 โรคหัวใจวายถามว่าเกี่ยวข้องอะไรกับยาตัว
00:07:44 → 00:07:45 นี้ไหม
00:07:45 → 00:07:47 ไม่เกี่ยวเลยครับถ้าคนไหนบอกว่าเกี่ยวอัน
00:07:47 → 00:07:51 นี้โหต้องส่งไปเรียนทางด้านเภสัชวิทยา
00:07:51 → 00:07:53 เบื้องต้นใหม่เลยนะครับเพราะว่าการสรุป
00:07:53 → 00:08:55 แบบนั้นเนี่ยมันมันไม่ถูกต้อง
00:08:55 → 00:08:57 เพราะฉะนั้นเรามาวิเคราะห์แบบนี้มันจะทำ
00:08:57 → 00:08:59 ให้การวิเคราะห์ของเราเนี่ยผิดพลาดไปหมด
00:09:00 → 00:09:02 นะครับแล้วจริงๆก็มีคนทำงานวิจัยตัวนี้
00:09:02 → 00:09:05 ออกมาเยอะแยะไปหมดนะครับทำออกมาที่หลัง
00:09:05 → 00:09:07 งาน bmj ตัวนี้ที่อ้างว่าการเสียชีวิตจาก
00:09:07 → 00:09:11 ความผิดพลาดทางการแพทย์นั้นมี 62% งาน
00:09:11 → 00:09:13 วิจัยที่อื่นผมจะแปะให้ท่านไปดูเองได้นะ
00:09:13 → 00:09:14 ครับ
00:09:14 → 00:09:17 พบว่าเฮ้ยจริงๆความผิดพลาดทางการแพทย์
00:09:17 → 00:09:20 เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตแค่ 3-4% เท่า
00:09:20 → 00:09:24 นั้นเองน้อยมากนะครับแต่ 3-4% นี้ก็ไม่ดี
00:09:24 → 00:09:26 อยู่ดีนะครับผมต้องการให้มันเป็น 0% ให้
00:09:26 → 00:09:28 ได้นะครับไม่ใช่ว่าเป็นข้ออ้างของหมอที่
00:09:28 → 00:09:32 จะไม่ดูแลคนไข้แล้วก็เราเราจะยังไงก็ได้
00:09:32 → 00:09:34 หมอต้องถูกเสมออันนี้ไม่ถูกนะครับหมอก็มี
00:09:34 → 00:09:36 ข้อผิดพลาดได้นะครับทุกคนก็ผิดพลาดได้
00:09:36 → 00:09:39 วิศวกรก็ผิดพลาดได้เช่นกันแต่ว่าเราก็
00:09:39 → 00:09:41 ต้องมาแก้ไขในสิ่งที่เราผิดพลาดไม่ใช่ว่า
00:09:41 → 00:09:43 เราเฮ้ยยอมรับมันน่ะไม่ได้นะครับอันนี้
00:09:43 → 00:09:47 เราต้องแก้ไขให้ได้นะฮะงั้นพวกนี้ก็จะมี
00:09:47 → 00:09:49 วิจัยออกมาแล้วออกมาทีหลังเราก็มาตรวจสอบ
00:09:49 → 00:09:51 ไม่ใช่ตรวจสอบในประเทศเดียวนะครับตรวจสอบ
00:09:51 → 00:09:54 หลายประเทศด้วยเหมือนกันแล้วก็มีงานเขียน
00:09:54 → 00:09:57 อีกอย่างหนึ่งก็คือ systematic Review
00:09:57 → 00:09:59 นะครับเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย
00:09:59 → 00:10:01 นะออกมาปีหลังๆอีกเหมือนกันผมจำไม่ได้
00:10:01 → 00:10:03 แล้วปีอะไรน่าจะปี 21 นี่แหละครับในช่วง
00:10:03 → 00:10:06 แถวๆโควิดตอนนั้นเรื่องของความผิดพลาดทาง
00:10:06 → 00:10:09 การแพทย์เหมือนกันนะครับแต่ถ้าท่านเข้าไป
00:10:09 → 00:10:13 อ่านประโยคแรกๆที่เขาบอกเลยคือใน
00:10:13 → 00:10:14 systematic Review เนี่ยคือเขาจะไปดู
00:10:14 → 00:10:16 พวกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาด
00:10:16 → 00:10:18 ในการแพทย์แล้วเอามาดูสถิติพวกนี้ใช่ไหม
00:10:18 → 00:10:19 ครับ
00:10:19 → 00:10:22 ในคนที่ไปอ่านงานวิจัยพวกนี้ในทีมของเขา
00:10:22 → 00:10:25 ก็มีหลายคนนะครับเขาเขียนไว้ในประโยคแรกๆ
00:10:25 → 00:10:28 เลยว่าขนาดคนในทีมเองเนี่ยยังเห็นไม่
00:10:28 → 00:10:30 เหมือนกันเลย
00:10:30 → 00:10:32 เช่นสมมุติคนคนนึงบอกว่าไอ้งานวิจัยนี้
00:10:32 → 00:10:34 อ่านแล้วรู้สึกว่าเออมันน่าจะเกี่ยวข้อง
00:10:34 → 00:10:37 กับการเสียชีวิตนะการผิดทางผิดพลาดทางการ
00:10:37 → 00:10:39 แพทย์น่าจะเกี่ยวข้องกันเสียชีวิต
00:10:39 → 00:10:41 ครับเพราะว่าคนอื่นๆในทีมเนี่ยมีแค่
00:10:41 → 00:10:45 ประมาณ 16% ของทีมที่เห็นตรงกันเออแปลว่า
00:10:45 → 00:10:48 คนมันเห็นไม่ตรงกันมหาศาลดังนั้นแปลว่า
00:10:48 → 00:10:52 อะไรแปลว่าขึ้นอยู่กับคนที่เอางานตัวนี้
00:10:52 → 00:10:53 ไปเขียนแล้วจะเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า
00:10:53 → 00:10:57 นั่นน่ะครับปัญหาเพราะว่าถ้า 16% เห็นตรง
00:10:57 → 00:10:59 กันอ้าวแล้วไอ้ที่เหลือ 84% ที่เห็นไม่
00:10:59 → 00:11:02 ตรงกันล่ะจริงไหมครับ
00:11:02 → 00:11:04 ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นไม่ตรงกันแล้วงานวิจัย
00:11:04 → 00:11:07 มันสรุปออกมามันก็ไม่มีน้ำหนักแล้วสิครับ
00:11:07 → 00:11:09 นี่ขนาดคนทำวิจัยเองเลยนะครับที่เขียนงาน
00:11:09 → 00:11:11 เองยังเห็นไม่ตรงกันเฮ้ยอย่างนี้มันก็ไม่
00:11:12 → 00:11:15 ได้แล้วสิครับถูกมั้ยฮะดังนั้นตรงนี้
00:11:15 → 00:11:18 เนี่ยมันมีข้อผิดพลาดหลายอย่างมากคำกล่าว
00:11:18 → 00:11:21 คำนี้เนี่ยจริงๆโดนปัดตกไปตั้งนานแล้วนะ
00:11:21 → 00:11:24 ครับตั้งแต่สมัยที่ออกมาใหม่ๆเลยมีการ
00:11:24 → 00:11:26 ศึกษามากมายมายืนยันเอาทีหลังนะครับต้อง
00:11:26 → 00:11:29 บอกว่าอย่างนี้ครับคือการพูดอะไรที่มันทำ
00:11:29 → 00:11:32 ให้คนเรากลัวเราตื่นเต้นตกใจทุกๆอย่างนะ
00:11:32 → 00:11:36 ครับมันพูดง่ายครับแต่เวลาแก้ไขเวลาที่จะ
00:11:36 → 00:11:39 ทำให้คนเข้าใจถูกต้องเนี่ยโอ้โหกว่าเราจะ
00:11:39 → 00:11:42 หาหลักฐานทุกอย่างมาเพียบพร้อมได้เนี่ย
00:11:42 → 00:11:46 เราไม่รู้ว่าความเสียหายมันโดนไปมากน้อย
00:11:46 → 00:11:48 แค่ไหนแล้วอ่ะครับคือตรงนี้เป็นความลำบาก
00:11:48 → 00:11:52 มากของทางการแพทย์สายวิจัยจริงๆนะครับทาง
00:11:52 → 00:11:54 การแพทย์ที่ถูกต้องจริงๆเพราะว่าคนเรา
00:11:54 → 00:11:57 เนี่ยจะพูดอะไรก็ได้เดี๋ยวนี้สื่อมันเสรี
00:11:57 → 00:11:59 ถูกไหมครับดังนั้นใครจะตั้งตัวมาเป็นกูรู
00:11:59 → 00:12:02 ใครจะพูดอะไรออกไปคือเรารู้จริงๆมันเป็น
00:12:02 → 00:12:04 การส่งข้อมูลเท็จเข้าสู่อินเตอร์เน็ตแต่
00:12:04 → 00:12:07 ว่าทำอะไรเขาก็ไม่ได้อยู่ดีถูกไหมครับคุณ
00:12:07 → 00:12:09 ทำอะไรไม่ได้นะฮะแต่เราฟ้องไปก็ไม่เกิด
00:12:09 → 00:12:12 อะไรขึ้นอยู่ดีนะครับมันก็เลยต้องหนักหัว
00:12:12 → 00:12:15 ของคนที่เขาทำวิจัยจริงๆที่มีความรับผิด
00:12:15 → 00:12:18 ชอบจริงๆต่อการอ่านงานวิจัยแบบจริงๆไม่
00:12:18 → 00:12:20 ใช่อ่านแค่พาดหัวข้อแล้วเอาออกมาพูดอย่าง
00:12:20 → 00:12:22 นี้มันก็เลยเจอว่าโอ้โหกว่าเราจะแก้ไขพอ
00:12:22 → 00:12:24 นี้ได้ตอนช่วงอเมริกาโดนโดนแรกๆเนี่ย
00:12:24 → 00:12:27 โอ้โหหนักเลยนะครับตอนช่วงนั้นนี่ก็ผู้
00:12:27 → 00:12:29 ขายอาหารเสริมก็โอ้โหใช้คำนี้บอกเลยบอก
00:12:29 → 00:12:32 ว่าโอ๊ยอ้างงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น
00:12:32 → 00:12:34 ฮอปกินเนี่ยเห็นไหมไปหาหมอแล้วมันเสีย
00:12:34 → 00:12:37 ชีวิตมาหาฉันดีกว่าฉันทำแบบนี้มานะอย่าไป
00:12:37 → 00:12:39 เชื่อหมอที่ฉันที่ฉันทำเนี่ยโอ้โหทำนี่
00:12:39 → 00:12:43 แล้วมะเร็งหายเบาหวานหายความดันก็คุมได้
00:12:43 → 00:12:45 ดีไม่ต้องกินยาอะไรทั้งสิ้นนะครับให้มา
00:12:45 → 00:12:48 กินอาหารเสริมตัวนี้ของฉันสินะครับตอน
00:12:48 → 00:12:49 ช่วงนั้นที่อเมริกาบูมเต็มไปหมดเลยนะครับ
00:12:49 → 00:12:54 เยอะแยะไปหมดและสิ่งหนึ่งซึ่งมันแย่อย่าง
00:12:54 → 00:12:57 นึงก็คือว่ามีกูรูทางด้านอาหารเสริมบางคน
00:12:57 → 00:13:00 ที่เขาขายอาหารเสริมเนี่ยเอิ่มเขาออกมา
00:13:00 → 00:13:03 พูดอย่างนึงบอกว่าเวลาที่เราจะเลือกอาหาร
00:13:03 → 00:13:06 เสริมเนี่ยเราควรจะเลือกที่มันน่าเชื่อ
00:13:06 → 00:13:11 ถือนะครับมีหน่วยงานอิสระตรวจสอบในส่วน
00:13:11 → 00:13:13 ประกอบในสิ่งเจือปนให้มั่นใจว่ามีส่วน
00:13:13 → 00:13:16 ประกอบครบถ้วนนะครับตามที่ฉลากเขียนแล้ว
00:13:16 → 00:13:20 ก็มี fda หรืออยรับรองไม่มีสารปนเปื้อน
00:13:20 → 00:13:24 เกินนะครับเขาออกมาพูดแบบนั้นนะครับแต่
00:13:24 → 00:13:29 แต่นี่ครับพอไปหลังๆเริ่มไม่ค่อยพูดตรง
00:13:29 → 00:13:33 นี้เริ่มเอาอาหารเสริมที่ตัวเองผลิตออกมา
00:13:33 → 00:13:36 แล้วก็บอกว่าไอ้นี่มันดีอย่างนั้นดีอย่าง
00:13:36 → 00:13:38 นี้มีงานวิจัยบอกว่าเฮ้ยไอ้นี่มันช่วย
00:13:38 → 00:13:41 เรื่องของความจำเรื่องของภาวะซึมเศร้า
00:13:41 → 00:13:43 เรื่องของจิตใจเรื่องของความแข็งแรงของ
00:13:43 → 00:13:44 ร่างกายเรื่องเบาหวานเรื่องความดันเรื่อง
00:13:44 → 00:13:47 หัวใจเรื่องทุกอย่างเรื่องโรคไตเริ่มออก
00:13:47 → 00:13:49 มาพูดโฆษณานั้นแต่ถ้าท่านไปดูตรงนั้น
00:13:49 → 00:13:51 เนี่ยเฮ้ย
00:13:51 → 00:13:54 มันไม่มีบุคคลที่สามมาตรวจสอบเลยแฮะไม่
00:13:54 → 00:13:55 รู้ว่าในนั้นมีส่วนประกอบครบถ้วนหรือ
00:13:55 → 00:13:59 เปล่าไม่รู้ว่ามีอะไรเจือปนไหมไม่มีอยรับ
00:13:59 → 00:14:03 รองไม่มี FM รับรองเฮ้ยตัวเองเป็นคนพูด
00:14:03 → 00:14:06 ว่าควรจะต้องมีคนรับรองแต่พอถึงอาหารที่
00:14:06 → 00:14:09 ตัวเองทำให้มันไม่มีอ่ะนะครับอย่างนี้แปล
00:14:09 → 00:14:10 ว่าอะไร
00:14:10 → 00:14:13 เออท่านกินของเขาเข้าไปก็อาจจะได้
00:14:13 → 00:14:15 ประโยชน์บ้างก็ได้นะครับแต่ว่าท่านมี
00:14:15 → 00:14:17 สิทธิ์รู้เลยนะครับว่ากินเข้าไปเนี่ย
00:14:17 → 00:14:18 กลิ่นอะไรเข้าไป
00:14:18 → 00:14:22 ท่านกินเข้าไปแล้วมีโทษหรือเปล่าไม่มีใคร
00:14:22 → 00:14:23 รับรองได้นะครับ
00:14:23 → 00:14:26 แล้วถามว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมากับร่างกาย
00:14:26 → 00:14:29 ท่านแล้วอ่ะท่านจะเลือกไปหาหมอหรือเลือก
00:14:29 → 00:14:32 ไปหาคนขายอาหารเสริม
00:14:32 → 00:14:35 ท่านต้องคิดเองดีๆนะครับคือการขายอาหาร
00:14:35 → 00:14:38 เสริมเนี่ยไม่ใช่เรื่องผิดนะครับการจะกิน
00:14:38 → 00:14:40 อาหารเสริมก็ไม่ใช่เรื่องผิดเหมือนกันแต่
00:14:40 → 00:14:43 มันควรจะเป็นอาหารเสริมที่มีการตรวจสอบ
00:14:43 → 00:14:47 รับรองให้แน่ใจซะก่อนและไม่มีการโฆษณาที่
00:14:47 → 00:14:50 มันเกิด Over กว่าความเป็นจริงนั่นถึงจะ
00:14:50 → 00:14:52 เป็นสิ่งที่ท่านควรจะใช้แล้วถ้าเกิด
00:14:52 → 00:14:55 สมมุติว่ามีโฆษณาเยอะแยะไปหมดนะครับแล้ว
00:14:55 → 00:14:57 ท่านรู้สึกว่าอยากจะทดลองเนี่ย
00:14:57 → 00:15:00 ควรจะไหมนะครับถ้าถามผมนะครับผมบอกว่า
00:15:00 → 00:15:03 อาหารเสริมหลายประเภทเนี่ยมันมีงานวิจัย
00:15:03 → 00:15:06 ที่บอกว่ามันไม่ได้ผลบางอย่างก็บอกว่ามัน
00:15:06 → 00:15:08 อาจจะได้ผลนะครับบางอย่างก็ไม่มีงานวิจัย
00:15:08 → 00:15:12 เลยสักนิดเดียวนะครับแต่เราสบายใจเราฟัง
00:15:12 → 00:15:14 ว่าคนนั้นเขาใช้เราดีคนที่เขาใช้เราดี
00:15:14 → 00:15:16 ดาราใช้แล้วหล่อขึ้นได้เวลาใช้แล้วสวย
00:15:16 → 00:15:19 ขึ้นหุ่นดีขึ้นอยากจะทดลอง
00:15:19 → 00:15:21 ทดลองได้ครับถ้ามันไม่หนักกระเป๋าท่านจน
00:15:21 → 00:15:24 เกินไปแต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมอยากจะให้ท่านทำ
00:15:24 → 00:15:30 เลยก็คือว่าดูสังเกตตัวท่านไม่ให้ดีก่อน
00:15:30 → 00:15:33 กลับหลังใช้ต่างกันหรือเปล่าไปตรวจร่าง
00:15:33 → 00:15:36 กายตรวจเลือดต่างกันหรือเปล่าก่อนกำลัง
00:15:36 → 00:15:37 ใช้
00:15:37 → 00:15:41 ถามคนขายให้ชัดเจนว่าต้องกินนานเท่าไหร่
00:15:41 → 00:15:46 จึงจะเห็นผลแล้วท่านวัดดูเลยก่อนเป็นยัง
00:15:46 → 00:15:48 ไงตรวจร่างกายตรวจเลือดตรวจให้หมดความรู้
00:15:48 → 00:15:49 สึกตัวเองเป็นยังไงเขียนบรรยายให้ชัดเจน
00:15:49 → 00:15:51 ถ่ายรูปตัวเองถ่ายที่เดิมแสงเหมือนเดิม
00:15:51 → 00:15:55 หุ่นถอดเสื้อผ้าและถ่ายตรงไหนก็แล้วแต่
00:15:55 → 00:15:59 ท่านดูนะครับแล้วหลังจากนั้นเทียบตัวเอง
00:16:00 → 00:16:01 ตลอด
00:16:01 → 00:16:04 แล้วพอมันครบระยะเวลาที่คนขายอาหารเสริม
00:16:04 → 00:16:07 เบาหวานมันควรจะได้ผลท่านไปตรวจว่าได้ผล
00:16:07 → 00:16:09 หรือเปล่าถ้าได้ผลนะแล้วมันไม่ได้หนัก
00:16:09 → 00:16:12 กระเป๋าท่านจนเกินไปทำต่อเนื่องครับทำต่อ
00:16:12 → 00:16:16 ได้เลยกินต่อได้เลยไม่มีปัญหาครับแต่ถ้า
00:16:16 → 00:16:19 มันไม่ได้ผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผล
00:16:19 → 00:16:21 เลือดของท่านหรือการตรวจร่างกายของท่าน
00:16:21 → 00:16:24 มันผิดปกติไปแล้วล่ะก็
00:16:24 → 00:16:27 ท่านควรจะหยุดกินครับ
00:16:27 → 00:16:31 แล้วกรณีแบบนี้แหละครับควรจะมีการร้อง
00:16:31 → 00:16:33 เรียนไปว่าเฮ้ยสิ่งที่ท่านโฆษณาเนี่ยมัน
00:16:33 → 00:16:35 ไม่ถูกต้องอ่ะมันเกิดจริงอย่างน้อยๆก็
00:16:35 → 00:16:40 ชั้นคนนึงแหละที่มีปัญหานะครับงั้นตัวผม
00:16:40 → 00:16:42 เองเนี่ยผมก็กินอาหารเสริมพวกวิตามินพวก
00:16:42 → 00:16:44 นี้เหมือนกันแต่ผมก็สังเกตตัวเองว่าเฮ้ย
00:16:44 → 00:16:46 กินแล้วดีหรือเปล่ากินแล้วมีปัญหาหรือ
00:16:46 → 00:16:47 เปล่าบางอย่างกินเข้าไปก็ไม่ได้เกิดอะไร
00:16:47 → 00:16:50 ขึ้นนะครับผมก็ไม่เลิกผมก็เลิกกินไปเท่า
00:16:50 → 00:16:53 นั้นเองนะครับร่างกายแต่ละคนตอบสนองไม่
00:16:53 → 00:16:55 เหมือนกันนะครับเราก็จะต้องมาสังเกตตัว
00:16:55 → 00:16:57 เองคำว่าสังเกตตัวเองคำว่าตรวจร่างกายตัว
00:16:57 → 00:17:00 เองเป็นประจำตรวจสุขภาพประจำตรงนี้สำคัญ
00:17:00 → 00:17:03 ที่สุดก่อนที่ท่านจะเลือกเสิร์ฟอะไรสัก
00:17:03 → 00:17:05 อย่างนะครับดังนั้นจากงานวิจัยตัวนี้ผม
00:17:05 → 00:17:08 เชื่อว่ามันเป็นงานวิเคราะห์ที่ผิดพลาดไป
00:17:08 → 00:17:10 หมดนะครับ
00:17:10 → 00:17:12 ความผิดพลาดทางการแพทย์ไม่ใช่สาเหตุ
00:17:12 → 00:17:16 อันดับ 3 ของการตายในอเมริกาไม่ได้สูงถึง
00:17:16 → 00:17:20 62% มันเหลือแค่ 3-4% เท่านั้นเองแต่ก็
00:17:20 → 00:17:23 จำเป็นจะต้องทำการตรวจทางการแพทย์
00:17:23 → 00:17:25 วิเคราะห์ทางการแพทย์ทุกๆอย่างเพื่อไม่
00:17:25 → 00:17:27 ให้มีการผิดพลาดทางการแพทย์ให้มันมีให้
00:17:27 → 00:17:29 น้อยที่สุดหรือไม่มีเลยได้ก็เป็นสิ่งที่
00:17:29 → 00:17:33 ดีเราจะต้องพัฒนาตรงนี้ให้ได้ถ้าท่านเห็น
00:17:33 → 00:17:35 คนที่กินอาหารเสริมแล้วเขาขายอาหารเสริม
00:17:35 → 00:17:37 เป็นแบบนี้สิ่งที่ต้องตรวจสอบก็คือข้อแรก
00:17:37 → 00:17:41 อาหารของเขามีการวิเคราะห์จากหน่วยงาน
00:17:41 → 00:17:46 อิสระหรือไม่ถ้ามีเราได้ผลอย่างไรมีอยรับ
00:17:46 → 00:17:49 รองหรือไม่ถ้าไม่มีแล้วท่านอยากจะกินท่าน
00:17:49 → 00:17:53 ต้องสังเกตตัวเองให้ดีนะครับท่านต้องตรวจ
00:17:53 → 00:17:55 ให้ดีนะครับดูว่ามันมีประโยชน์จริงหรือ
00:17:55 → 00:17:58 เปล่าแล้ววัดได้อย่างไรนะครับต้องมีตัว
00:17:58 → 00:18:00 ที่วัดได้ถ้าไม่มีตัวที่วัดได้อันนั้น
00:18:00 → 00:18:01 ท่านกินแล้วท่านก็ไม่รู้สิเหมือนกันครับ
00:18:01 → 00:18:05 ถูกไหมแบบนี้มันถึงเป็นสิ่งที่ควรจะต้อง
00:18:05 → 00:18:08 ทำนะครับโอเควันนี้ก็อยากจะออกมาเล่า
00:18:08 → 00:18:10 เพียงเท่านี้นะครับมันไม่ใช่สิ่งที่แปลก
00:18:10 → 00:18:12 ใหม่อะไรเท่าไหร่นะครับเดี๋ยวนี้เรื่อง
00:18:12 → 00:18:14 ของ Miss information ข้อมูลที่มันผิด
00:18:14 → 00:18:17 ปกติที่ข้อมูลที่เป็นบิดเบือนหรือข้อมูล
00:18:17 → 00:18:20 ที่บางครั้งจงใจที่จะเล่าให้มันผิดๆเพื่อ
00:18:20 → 00:18:22 ให้คนตกใจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมัน
00:18:22 → 00:18:24 เยอะแยะเต็มไปหมดนะครับมันเป็นหน้าที่ของ
00:18:24 → 00:18:28 ทุกๆคนนะครับที่จะต้องทราบจะต้องรู้แหล่ง
00:18:28 → 00:18:31 ที่มาแล้วก็จะต้องพิจารณาข้อมูลได้อย่าง
00:18:31 → 00:18:34 มีประสิทธิภาพแล้วถูกต้องมิฉะนั้นปัญหาก็
00:18:34 → 00:18:37 จะตกอยู่กับตัวของท่านเองนะครับโอเควัน
00:18:37 → 00:18:38 นี้ฝากไว้เท่านี้นะครับขอบคุณมากครับ
00:18:38 → 00:18:41 สวัสดีครับ