00:00:00 → 00:00:03 ทำดีแทบตายแต่ครอบครัวไม่เคยเห็นค่าพูดดี
00:00:03 → 00:00:07 กับคนนอกแต่พูดทำร้ายจิตใจกับคนใกล้ตัว
00:00:07 → 00:00:09 ยิ่งทำก็ยิ่งเจ็บยิ่งพูดด้วยก็ยิ่งทะเลาะ
00:00:09 → 00:00:13 กันทำไมถึงเป็นแบบนี้นี่คือข้อความที่ลูก
00:00:13 → 00:00:15 ๆหลายคนรู้สึกนะครับในการที่จะต้องใช้
00:00:15 → 00:00:18 ชีวิตอยู่ใกล้กับคุณพ่อคุณแม่ทางออกคือ
00:00:18 → 00:00:21 อะไรนี่คือหัวข้อที่เราจะคุยกันในปุปการ
00:00:21 → 00:00:24 ที่เคารพคู่มือการดูแลพ่อแม่ของคนเจนลูก
00:00:24 → 00:00:27 ในวันนี้นะ
00:00:27 → 00:00:30 ครับประเด็นนึงที่เราจะสังเกตว่าเราจะเจอ
00:00:30 → 00:00:33 กันบ่อยก็คือลูกที่บางทีปักหลักดูแลแม่
00:00:33 → 00:00:36 เป็นประจำทุกวันบางทีเขาจะรู้สึกว่าพ่อ
00:00:36 → 00:00:40 แม่ทำไมไม่เห็นข่าเลยเวลาพูดทีไรก็พูดถึง
00:00:40 → 00:00:42 ลูกอีกคนนึงส่วนใหญ่ลูกที่อยู่ประจำตรง
00:00:42 → 00:00:46 นี้จะเจอปัญหาอะไรบ้างครับตรง
00:00:46 → 00:00:49 นี้ตรงเนี้ยผมเรียกว่าสมมุติฐานในใจเนี่ย
00:00:49 → 00:00:52 ว่าไอ้คนเนี้ยมันก็ไม่เอาใจใส่คนเนี้ยไม่
00:00:52 → 00:00:55 รับผิดชอบเวลาเทำอะไรเนี่ยแค่บางทีเขาลืม
00:00:55 → 00:00:58 ตากผ้าประโยคก็พร้อมจะมาเป็นชุดแกเนี่ยก็
00:00:58 → 00:01:02 ไม่เคยรับผิดชอบอะไรได้มันจะไปทำอะไรได้
00:01:02 → 00:01:04 ดีโตขึ้นไปเนี่ยเพราะฉันไม่อยู่แกก็คงไม่
00:01:04 → 00:01:07 มีอนาคตโอ้ยอันนี้แบบว่าโรแมนติกหรือ
00:01:07 → 00:01:09 เปล่าคุณบีนอะไรอย่างเงี้ยนะเอาจจะรู้สึก
00:01:09 → 00:01:12 ว่าโอที่บ้านเใช้วิธีการแบบนี้ไม่ได้หรอก
00:01:12 → 00:01:16 เราจะหาวิธีการไอทิ้งไอ้สมมุติฐานที่มัน
00:01:16 → 00:01:18 ชอบเกิดขึ้นในใจเราได้ยังไงเพราะว่าของ
00:01:18 → 00:01:20 พวกนี้มันมาพร้อมกับความเคยชินความรัก
00:01:20 → 00:01:22 เนี่ยอาจจะเหมือนต้นไม้บางครั้งแล้วต้น
00:01:22 → 00:01:26 ไม้มันอาจจะมีใบที่มันเหี่ยวเฉามีกิ่งที่
00:01:26 → 00:01:28 มันอาจจะเ่อต้องตัดทิ้งบางครั้งความ
00:01:28 → 00:01:31 สัมพันธ์ที่ดีก็อาจจะต้องยอมกินยาขมเพื่อ
00:01:31 → 00:01:34 ตัดดบางอย่างพูดสื่อสารบางอันที่เป็นยาขม
00:01:34 → 00:01:41 ตรงนั้น
00:01:41 → 00:01:45 อบุพการีที่เคารพคู่มือการดูแลพ่อแม่ของ
00:01:45 → 00:01:48 คนเจนลูกถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้ก็อย่าลืมกด
00:01:48 → 00:01:50 Subscribe ไว้้ด้วยนะครับวันนี้บุพการี
00:01:51 → 00:01:53 ที่เคารพคู่มือการดูแลพ่อแม่ของคนเจนลูก
00:01:53 → 00:01:55 จะคุยกันถึงเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นในหลาย
00:01:55 → 00:01:58 ๆบ้านนะครับนั่นก็คือความรู้สึกอาจจะเกิด
00:01:58 → 00:02:00 เป็นความรู้สึกของลูกก็ได้นะครับก็คือว่า
00:02:00 → 00:02:03 อยู่ใกล้ดูแลพ่อแม่มาตลอดแต่ทำไมพ่อแม่
00:02:03 → 00:02:06 ไม่เห็นค่ากลับเห็นค่าของลูกคนไกลมากกว่า
00:02:06 → 00:02:08 กอีกมุมนึงก็เหมือนกันนะครับเวลาพ่อแม่
00:02:08 → 00:02:10 อยู่กับลูกพ่อแม่ก็อาจจะรู้สึกว่าเมื่อ
00:02:10 → 00:02:15 ฉันอายุมากขึ้นเรื่อยๆเออทำไมลูกๆมักจะ
00:02:15 → 00:02:18 ขัดแย้งกันเป็นประจำเริ่มไม่เห็นค่าของคน
00:02:18 → 00:02:20 เฒ่าคนแก่ของคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่านะครับ
00:02:21 → 00:02:23 เข้าใจว่าเรื่องนี้ก็จะเป็นอีกสาเหตุ
00:02:23 → 00:02:25 หนึ่งที่ทำให้คนในบ้านนั้นมีปัญหากระทบ
00:02:25 → 00:02:28 กระทั่งกันนะครับวันนี้เราจะคุยกับ
00:02:28 → 00:02:31 เภสัชกรนพัฒยุทธหรือว่าคุณบีนนะครับนัก
00:02:31 → 00:02:34 จิตบำบัดความคิดและพฤติกรรมนะครับสวัสดี
00:02:34 → 00:02:37 ครับบีนสวัสดีครับพี่พระสาครับสวัสดีครับ
00:02:37 → 00:02:40 ถามถึงงานก่อนครับนักจิตบำบัดความคิดและ
00:02:40 → 00:02:43 พฤติกรรมนี่ทำหน้าที่อะไรครับครับก็นัก
00:02:43 → 00:02:45 จิตบำบัดเนี่ยก็เป็นการพูดคุยอย่างนี้ละ
00:02:45 → 00:02:48 ครับแต่เป็นการพูดคุยเนี่ยเพื่อหาทางออก
00:02:48 → 00:02:51 หรือเพื่อทำให้คนที่มาปรึกษาเนี่ยเห็น
00:02:51 → 00:02:53 ปัญหาได้ชัดเจนขึ้นว่าเอ๊ะเขาคกำลังเผชิญ
00:02:54 → 00:02:57 หน้ากับอะไรรำไปสู่การหาคำตอบที่เหมาะสม
00:02:57 → 00:03:00 กับตัวเขาโดยเราก็อาจจะมีการเชื่อมโยงเค
00:03:00 → 00:03:02 เห็นความคิดของเเชื่อมโยงให้เห็นว่า
00:03:02 → 00:03:05 พฤติกรรมที่ทำออกไปมันทำให้อีกคนรู้สึก
00:03:05 → 00:03:07 ยังไงแล้วเแปลความสิ่งที่คนอื่นทำกลับมา
00:03:07 → 00:03:11 ว่าอะไรเพราะทุกคนเนี่ยมันมีการกระทำที่
00:03:11 → 00:03:13 ปฏิสัมพันธ์กันแล้วก็ตีความแล้วก็แสดงออก
00:03:13 → 00:03:15 ไปหมดเพราะฉะนั้นนักจิตบำบัติเนี่ยก็จะ
00:03:15 → 00:03:18 ชวนเรียบเรียงเรื่องราวเหล่านี้เพื่อพาไป
00:03:18 → 00:03:21 สู่คำตอบอาจจะเป็นเชิงจิตใจก็ได้เช่นถ้า
00:03:21 → 00:03:23 มีคนซึมเศร้ามีคนวิตกกังวลหรือเป็นโรคย้ำ
00:03:24 → 00:03:26 คิดย้ำทำเนี่ยเราก็จะชวนให้เขาเห็นเรื่อง
00:03:26 → 00:03:30 ราวเห็นปัญหามองช้าๆจนเจอทางออกอ่าครับ
00:03:30 → 00:03:32 แล้วปัญหาที่เมื่อสักครู่นี้เรากล่าวเปิด
00:03:32 → 00:03:34 รายการนี่บีนเจอบ่อยมั้ครับเรื่องความ
00:03:34 → 00:03:37 สัมพันธ์ในครอบครัวเจอครับแต่ว่าก็แต่ละ
00:03:37 → 00:03:38 ช่วงวัยเนี่ยก็จะไม่เหมือนกันเช่นช่วงวัย
00:03:38 → 00:03:41 นักเรียนช่วงวัยนักศึกษาก็จะมองพ่อแม่
00:03:41 → 00:03:43 หรือเป็นปัญหาแบบหนึ่งหรือกระทั่งผู้หลัก
00:03:43 → 00:03:46 ผู้ใหญ่ือพอโตขึ้นมาแล้วเนี่ยการดูแลพ่อ
00:03:46 → 00:03:48 แม่เนี่ยก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึก
00:03:48 → 00:03:50 หงุดหงิดรู้สึกอึดอัดแล้วรู้สึกว่าทำอะไร
00:03:50 → 00:03:53 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้อครับอ่าครับแต่
00:03:53 → 00:03:55 ประเด็นนึงที่ที่เราจะสังเกตว่าเราจะเจอ
00:03:55 → 00:03:58 กันบ่อยก็คือบ้านที่บางทีลูกอยู่กับคุณ
00:03:58 → 00:04:01 พ่อคุณแม่นะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่าคุณ
00:04:01 → 00:04:04 ลูกที่อาจจะต้องรับหน้าที่ในการดูแลคุณ
00:04:04 → 00:04:06 พ่อคุณแม่เป็นตัวแทนของพี่ๆน้องๆใน
00:04:06 → 00:04:08 ครอบครัวอะไรอย่างเงี้ยนะครับแล้วก็พี่
00:04:08 → 00:04:11 น้องคนอื่นก็อาจจะออกไปทำงานข้างนอกบ้าง
00:04:11 → 00:04:13 อ่าอยู่ที่นู่นที่นี่บ้างแล้วก็อาจจะส่ง
00:04:13 → 00:04:15 เงินมาบ้างกลับมาบ้างในช่วงวันเสาร์
00:04:15 → 00:04:17 อาทิตย์หรือไม่ไม่งั้นก็กลับมาช่วงวัน
00:04:17 → 00:04:20 สำคัญแต่ก็จะมีลูกคนนึงอ่ะครับปักหลักดู
00:04:20 → 00:04:23 แลพ่อแม่เป็นประจำทุกวันแต่ลูกคนนี้นี่
00:04:23 → 00:04:26 แหละบางทีจะมีอาการกระทบกระทั่งกันบ่อย
00:04:27 → 00:04:29 อ่าแล้วหรือบางทีเขาจะรู้สึกว่าพ่อแม่แม่
00:04:29 → 00:04:33 ทำไมไม่เห็นข่าเลยเวลาพูดทีไรก็พูดถึงลูก
00:04:33 → 00:04:36 อีกคนนึงที่กลับมาเยี่ยมไม่บ่อยมาไม่ไม่
00:04:36 → 00:04:37 ได้กลับมาเยี่ยมแค่เสาร์อาทิตย์หรืออะไร
00:04:37 → 00:04:41 อย่างเดียวฮะอส่วนใหญ่คนอ่าคนตรงเนี้ยฮะ
00:04:41 → 00:04:44 ลูกที่อยู่ประจำตรงนี้จะมีจะเจอปัญหาอะไร
00:04:44 → 00:04:48 บ้างครับตรงนี้โออันดับแรกที่เจอบ่อยๆเลย
00:04:48 → 00:04:50 นะครับคือเขาเหนื่อยมากเหนื่อยมากโดยที่
00:04:50 → 00:04:53 คนอื่นน่ะก็ไม่เคยมารับรู้ว่าเขาเหนื่อย
00:04:53 → 00:04:55 มากอืๆอ่าคือถ้าย้อนกลับไปตอนสมัยเป็น
00:04:55 → 00:04:58 เภสัชกรเยี่ยมบ้านเนี่ยเวลาเราไปดูเรื่อง
00:04:58 → 00:05:00 ยาที่บ้านเนี่ยเราเข้าไปหาคนที่เรียกว่า
00:05:00 → 00:05:03 caregiver หรือคนดูแลเนี่ยแค่เราถามว่า
00:05:03 → 00:05:05 เป็นไงบ้างเหนื่อยมั้ยเนี่ยเขาก็พร้อมที่
00:05:05 → 00:05:08 จะน้ำตาไหลร้องไห้เลยอเพราะว่าไม่เคยมี
00:05:08 → 00:05:11 ใครมาถามเขว่าเหนื่อยมั้ยเวลาใครแวะมา
00:05:11 → 00:05:14 บ้านเนี่ยก็มักจะถามว่าทำไมข้าวหงแบบนี้
00:05:14 → 00:05:17 ทำไมกับข้าวนี้มาให้แม่กินแบบนี้ที่นอน
00:05:17 → 00:05:20 ไม่เห็นซักมีแต่คนมาบอกว่าเขาต้องทำอะไร
00:05:20 → 00:05:23 อีกทำอะไรเพิ่มแต่ไม่เคยมาถามเลยว่าเา
00:05:23 → 00:05:26 เหนื่อยมั้ยอแต่งหน้าครั้งสุดท้ายหรือได้
00:05:26 → 00:05:28 มีเวลาให้กับตัวเองได้สวยงามหรือออกไปใช้
00:05:29 → 00:05:31 ชีวิตเนี่ยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ไม่เคยมี
00:05:31 → 00:05:33 ใครมาถามเมุมนี้เพราะฉนั้นก่อนจะไปถึงว่า
00:05:33 → 00:05:35 เขาต้องเจออะไรเนี่ยอันดับแรกคือคนอื่น
00:05:35 → 00:05:38 ยังไม่ค่อยรู้เลยว่าเขาเป็นคนที่เสียสละ
00:05:38 → 00:05:42 มากนะเหนื่อยมากนะคำบางคำแค่เหนื่อยมั้ย
00:05:42 → 00:05:44 ไปพักหน่อยมั้ยสัก 1 ชั่วโมงก็ยังดี
00:05:44 → 00:05:46 เดี๋ยวพี่ดูแลให้เนี่ยเป็นสิ่งที่พร้อม
00:05:46 → 00:05:49 ที่จะทำให้เขื่อนแตกคือเขาบอกว่าเขาจะดี
00:05:49 → 00:05:53 ใจเขาจะยินดีมากๆครับแสดงว่าเวลาถ้าพูด
00:05:53 → 00:05:58 ง่ายๆพี่ๆน้องๆคนอื่นกลับไปที่บ้านไปเจอ
00:05:58 → 00:06:01 ได้มีโอกาสคุยกับอ่าพี่น้องของตัวเองที่
00:06:01 → 00:06:03 ทำหน้าที่ดูแลคุณพ่อคุณแม่ส่วนหนึ่งนอก
00:06:03 → 00:06:05 จากจะห่วงพ่อแม่แล้วคือต้องห่วงคนดูแล
00:06:05 → 00:06:09 ด้วยอยากให้มีเลนส์ที่กว้างขึ้นเพราะว่า
00:06:09 → 00:06:11 ปกติเวลาคนที่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่เนี่ย
00:06:11 → 00:06:14 เลนส์เขาจะโฟกัสที่พ่อแม่่แล้วก็กลายเป็น
00:06:14 → 00:06:16 ตำหนิคนที่ดูแลเพราะฉะนั้นผมคิดว่าที่พูด
00:06:16 → 00:06:18 เมื่อกี้เนี่ยอยากให้เริ่มขยายซูมออกมา
00:06:18 → 00:06:21 หน่อยว่านอกจากพ่อแม่แล้วเนี่ยคนที่ดูแล
00:06:21 → 00:06:23 อยู่ตรงเนี้ยที่คงเป็นพี่น้องของเราเนี่ย
00:06:23 → 00:06:27 เป็นคนที่เราควรมองให้เห็นแล้วก็ดูแลเ
00:06:27 → 00:06:30 ด้วยอครับใช่ครับอืใช่เพราะว่าบางทีแบบ
00:06:30 → 00:06:33 กลับไปเนาะเกลับไปปุ๊บเขาก็พ่อแม่เป็นไง
00:06:33 → 00:06:35 เออกินได้มั้ยอยู่ได้มั้ยเี้แต่เขาไม่เคย
00:06:35 → 00:06:39 ถามคนดูแลว่าคุณดูแลสบายดีมั้ยใช่อ่าครับ
00:06:39 → 00:06:42 แลในมุมกลับกันล่ะครับคนตรงนี้ทำหน้าที่
00:06:42 → 00:06:46 ดูแลแต่พ่อแม่บางทีอยู่ใกล้กับลูกที่ดูแล
00:06:46 → 00:06:49 มากบางทีก็ลืมมองเหมือนกันนะครับจะถามแต่
00:06:49 → 00:06:52 ว่าเออคนนั้นเป็นยังไงคนที่อยู่นอกบ้านเ
00:06:52 → 00:06:55 เออเขาคสบายดีมยนู้นในนี่แล้วเวลาเขากลับ
00:06:55 → 00:06:57 ลูกอีกคนนึงกลับมาเยี่ยมวันเสาร์อทิก็จะ
00:06:57 → 00:07:00 ดีใจเป็นพิเศษด้วยเออใช่แน่นอนคนตรงเนี้ย
00:07:00 → 00:07:04 จะเกิดความน้อยใจใช่อาจจะน้อยเนื้อต่ำใจ
00:07:04 → 00:07:07 ครับพ่อแม่นี่ควรทำยังไงครับในกรณีที่พ่อ
00:07:07 → 00:07:09 แม่อาจจะยังแข็งแรงอยู่ไม่ได้ติดเตียงยัง
00:07:09 → 00:07:11 สื่อสารอะไรได้นี่เป็นพ่อแม่ถูกมั้ยฮะคือ
00:07:11 → 00:07:13 ถ้าคนฟังเป็นพ่อแม่เนี่ยจริงๆอยากให้ถอย
00:07:13 → 00:07:16 กลับมาเห็นเหมือนกันก็คือให้มีเลนส์เนี่ย
00:07:16 → 00:07:19 เห็นคนที่อยู่ข้างๆเพราะบางทีสายตาเขามอง
00:07:19 → 00:07:21 ข้ามคนที่อยู่ใกล้เหมือนกับเหมือนอยู่ใต้
00:07:21 → 00:07:23 คางอยู่เงี้ยทำให้เรามองเห็นสิ่งที่อยู่
00:07:23 → 00:07:26 ไกลแต่ลืมมองแต่ถามว่าคนทำยังไงเนี่ยถ้า
00:07:26 → 00:07:28 คนที่ฟังหรือคุณผู้ฟังเป็นคุณพ่อคุณแม่
00:07:28 → 00:07:31 เนี่ยอยากให้ถามเค้าหน่อยว่าลูกกินข้าว
00:07:31 → 00:07:33 หรือยังลูกเหนื่อยมั้ยเอ่อเป็นยังไงบ้าง
00:07:33 → 00:07:36 ไหนแกอยากทำอะไรบ้างเนี่ยเพราะบางทีเรา
00:07:36 → 00:07:38 อยู่ด้วยกันเนี่ยเหมือนพอคุ้นเคยกันมาก
00:07:38 → 00:07:42 เราจะเริ่มเดาใจว่าแกก็คิดอย่างนี้แหละ
00:07:42 → 00:07:43 หรือว่าเดี๋ยวแกก็จะเป็นอย่างนี้บางครั้ง
00:07:43 → 00:07:46 เอาเรื่องความหลังเนี่ยมาคาดการณ์ไปด้วย
00:07:46 → 00:07:48 ว่าเนี่ยนิสัยแกก็ไม่เคยเปลี่ยนแต่จริงๆ
00:07:48 → 00:07:51 คนทุกคนเนี่ยเปลี่ยนไปในทุกวันเปลี่ยนไป
00:07:51 → 00:07:53 ในทุกโอกาสที่เราไปอ่านหนังสือไปคุยกับคน
00:07:53 → 00:07:56 ไปใช้ชีวิตแต่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เนี่ยทด
00:07:56 → 00:07:59 ไว้ในใจว่าลูกของเราเนี่ยก็อาจจะเปลี่ยน
00:07:59 → 00:08:01 แปลงเติบโตไปได้เขาอาจจะไม่ใช่เหมือนเด็ก
00:08:01 → 00:08:04 ตัวเล็กๆที่เราเคยจำได้หรืออาจจะไม่ได้
00:08:04 → 00:08:06 เป็นคนเดิมคนเดียวเสมอไปเพราะงั้นอยากให้
00:08:06 → 00:08:09 ทำความรู้จักเใหม่หรืออย่าเพิ่งฝังใจว่า
00:08:09 → 00:08:12 เขาต้องทำแบบนี้แน่ๆนิสัยแบบนี้แน่ๆเพราะ
00:08:12 → 00:08:14 ว่าตรงเนี้ยผมเรียกว่าสมมุติฐานคือพอเรา
00:08:14 → 00:08:17 มีสมมุติฐานในใจเนี่ยว่าไอ้คนเนี้ยมันก็
00:08:17 → 00:08:20 ไม่ชอบไม่เอาใจใส่คนเนี้ยไม่รับผิดชอบ
00:08:20 → 00:08:23 เวลาเขาทำอะไรเนี่ยแค่บางทีเขาลืมตากผ้า
00:08:23 → 00:08:25 ประโยคก็พร้อมจะมาเป็นชุดแกเนี่ยก็ไม่เคย
00:08:25 → 00:08:29 รับผิดชอบอะไรได้มันจะไปทำอะไรได้ดีโต
00:08:29 → 00:08:31 ขึ้นไปเนี่ยเพราะฉันไม่อยู่แกก็คงไม่มี
00:08:31 → 00:08:34 อนาคตกลายเป็นว่าจากสมุติฐานในใจที่ปัก
00:08:34 → 00:08:37 หมุดแปะป้ายไปแล้วว่าเาเป็นคนแบบไหนเนี่ย
00:08:37 → 00:08:40 ลามไปที่คำด่าเป็นคำที่สาปส่งว่าอนาคต
00:08:40 → 00:08:42 ต้องเป็นอย่างนี้เนี่ยซึจริงๆไม่จริงเลย
00:08:42 → 00:08:45 คนเราเปลี่ยนแปลงได้แล้วก็พูดจาแบบสามารถ
00:08:45 → 00:08:47 ที่จะคุยกันได้ดีกว่านี้ได้แต่เพราะคำว่า
00:08:47 → 00:08:50 สมมุติฐานในใจหรือ Assumption เนี่ยทำให้
00:08:50 → 00:08:52 เรามองอะไรก็ตกล็อคไปที่สิ่งที่เราอยาก
00:08:52 → 00:08:55 เชื่อไปซะครับใช่เพราะผมเข้าใจว่าอาจจะ
00:08:55 → 00:08:58 เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ที่บ้านเนี่ยพอ
00:08:58 → 00:09:02 เวลาลูกมองลูกคนที่มาดูแลเนี่ยอันนี้ัน
00:09:02 → 00:09:04 นี้ผมก็คิดว่าไม่อาจจะไม่ใช่ทุกบ้านนะ
00:09:04 → 00:09:07 ครับอาจจะแบบพอมองลูกเ่อสถานภาพของลูกที่
00:09:07 → 00:09:10 มาดูแลเนี่ยเจะมองว่าคนนี้อาจจะไม่ใช่คน
00:09:10 → 00:09:13 ที่เป็นคนเก่งคือเขจะมองว่าคนเก่งคือคน
00:09:13 → 00:09:16 ที่ออกไปทำงานหาเงินทำอะไรได้ได้เยอะๆมี
00:09:16 → 00:09:20 อาชีพเติบโตเติบโตในหน้าที่การงานแต่คน
00:09:20 → 00:09:23 ที่ไปอยู่ตรงเนี้ยเออเขาอาจจะแบบว่าถ้า
00:09:23 → 00:09:25 อะไรน่ะอาจจะถ้าออกไปข้างนอกก็คงจะไม่
00:09:25 → 00:09:27 success หรอกเก็ไม่อยู่มาอยู่ตรงนี้นี่
00:09:27 → 00:09:28 แหละอย่างงั้นใช่่มั้ยฮะใชแต่มันเป็นวงจร
00:09:29 → 00:09:31 นะฮะเป็นวงจรความคาดหวังที่สุดท้ายมัน
00:09:31 → 00:09:35 กลายเป็นจริงก็คือว่าจากเดิมแม่คิดว่าคน
00:09:35 → 00:09:37 เนี้ยเอ่อทำงานไม่เก่งทำงานไม่ดีครับ
00:09:37 → 00:09:40 เสร็จแล้วพอแม่เชื่อแบบนั้นนะฮพอลูกทำ
00:09:40 → 00:09:44 อะไรแม่ก็พูดตลอดว่าเนี่ยแกทำอันนี้ไม่
00:09:44 → 00:09:46 เห็นดีเลยพอลูกก็รู้สึกตะกุกตะกะรู้สึก
00:09:47 → 00:09:50 พวงรู้สึกกระวนว่าแม่จับๆผิดก็รู้สึกว่า
00:09:50 → 00:09:52 ทำตะกุกตะกักงงเงินๆมันก็เลยกลับมา
00:09:52 → 00:09:55 คอนเฟิร์มว่านั่นไงเห็นมั้ยฉันก็บอกแล้ว
00:09:55 → 00:09:57 ว่าแกทำงานไอ้พวกเนี้ยไม่ได้ดีมันก็วน
00:09:57 → 00:09:59 กลับมาคอนเฟิร์มหรือกระทั่งจริงๆแล้วถ้า
00:09:59 → 00:10:02 มองภาพใหญ่ขึ้นมาอีกนิดเนี่ยคนที่เขาได้
00:10:02 → 00:10:05 ออกไปทำงานไม่ต้องมาดูแลที่บ้านเนี่ยเขา
00:10:05 → 00:10:07 ก็อาจจะมีโอกาสได้เรียนรู้ได้มี
00:10:07 → 00:10:10 ประสบการณ์อะไรพอกลับมาเนี่ยเขาก็คงมี
00:10:10 → 00:10:12 เรื่องมาเล่าหรือมีความก้าวหน้าทางอาชีพ
00:10:13 → 00:10:15 แต่ปรากฏว่าคนๆเนี้ยจุดเริ่มต้นคือเขา
00:10:15 → 00:10:17 เสียสละที่จะอยู่ตรงนี้ครับแต่กลายเป็น
00:10:17 → 00:10:20 ว่าพอเขาไม่ได้ถูกตั้งต้นอยู่ในลู่วิ่ง
00:10:20 → 00:10:22 เดียวกันว่าเนี่ยวิ่งออกไปทำงานนี่วิ่ง
00:10:22 → 00:10:25 ออกไปเรียนรู้พัฒนามันก็วนกลับมาบอกว่า
00:10:25 → 00:10:27 เพราะฉะนั้นฉันอยู่บ้านเวลาส่วนใหญ่อยู่
00:10:27 → 00:10:30 กับแม่ดูทีวีหรืออยู่กับทำอาหารดูแลคนใน
00:10:30 → 00:10:33 บ้านมันก็เลยไม่ได้มีเวลาที่เขาจะไปเรียน
00:10:33 → 00:10:35 รู้อะไรเพิ่มไม่ได้มีเวลาไปฝึกฝนเพราะ
00:10:35 → 00:10:38 ฉะนั้นบางทีอยากให้คุณแม่เนี่ยมองเสริม
00:10:38 → 00:10:41 ด้วยว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จ
00:10:41 → 00:10:44 แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับแม่เลือกที่จะดู
00:10:44 → 00:10:47 แลและยอมแลกอะไรบางอย่างที่จะอยู่จุดนี้
00:10:47 → 00:10:50 อือันนี้เป็นจุดสำคัญเลยที่ทำให้สมการ
00:10:50 → 00:10:52 เปลี่ยนเลยถ้าเขามองว่าจริงๆลูกคนเนี้ยก็
00:10:52 → 00:10:54 มีความสามารถนะถ้าเคเปลี่ยนใหม่ว่าเค
00:10:54 → 00:10:56 เชื่อไปก่อนลูกคนนี้มีความสามารถแต่เอ่ะ
00:10:56 → 00:10:58 เลือกจะอยู่กับฉันก็เลยทำให้เเนี่ยอาจจะ
00:10:58 → 00:11:01 ยังไม่ได้ใช้ความสามารถเเต็มที่ถ้าแม่
00:11:01 → 00:11:03 เชื่อแบบเนี้ยคนดูแลก็มีกำลังใจเพราะว่า
00:11:03 → 00:11:06 คนข้างๆเนี่ยศรัทธาในตัวเขาว่าเคเก่งเคมี
00:11:06 → 00:11:08 ความสามารถนะแต่แค่ด้วยข้อจำกัดตอนเทำให้
00:11:09 → 00:11:11 เขายังไม่เฉิดฉายเขาก็รู้สึกว่าดีใจจัง
00:11:11 → 00:11:14 เลยเเพราะฉะนั้นอยากให้เปลี่ยนตรงนี้นคือ
00:11:14 → 00:11:16 ส่วนหนึก็ต้องมองว่าเเเสียสละด้วยใช่มั้ย
00:11:16 → 00:11:18 ฮะเออเราเราถึงจะมองเห็นตัวตัวคุณค่าของ
00:11:18 → 00:11:21 เขาครับแต่ละบ้านก็อาจจะมีอย่างนี้ครับมี
00:11:21 → 00:11:24 ปัญหาเรื่องวิธีการชมคือบางคนน่ะชมไม่
00:11:24 → 00:11:27 เป็นใช่ยิ่งกรณีแบบนี้ด้วยนะครับคืออยู่
00:11:27 → 00:11:29 บ้านเดียวกันอยู่ใกล้กันมากๆเนี่ยคนอะไร
00:11:29 → 00:11:31 ที่มันอยู่ใกล้กันมันก็จะกระทบกระทั่งกัน
00:11:31 → 00:11:34 เป็นเรื่องธรรมดาจนบางทีไอ้ความขัดแย้ง
00:11:35 → 00:11:37 กระทบกระทั่งกันรายวันตั้งแต่เรื่องเล็ก
00:11:37 → 00:11:39 เรื่องน้อยเนี่ยไปจนถึงเรื่องใหญ่เนี่ย
00:11:39 → 00:11:43 บางทีมันทำให้มันลืมการชมกันอจริงครับบิน
00:11:43 → 00:11:45 ๆมีคำแนะนำยังไงบางทีผู้ใหญ่นี่ชมไม่เป็น
00:11:45 → 00:11:48 นะใช่ครับผมคิดว่ามันคือการสื่อสารเนี่ย
00:11:48 → 00:11:50 เป็นประเด็นสำคัญเลยที่วันนี้เราต้องพูด
00:11:50 → 00:11:53 คุยกันเพราะว่าถ้าเราไม่สื่อสารกันเนี่ย
00:11:53 → 00:11:56 เราก็จะไม่รู้ว่าเครักเรามั้ยเคชมเราหรือ
00:11:56 → 00:12:00 เปล่าหรือเขาคพอใจดีใจมั้ยซึ่งพอพคนผู้
00:12:00 → 00:12:02 สูงอายุที่อายุเยอะขึ้นไปเนี่ยบางทีเขา
00:12:02 → 00:12:05 ไม่เคยแสดงออกหรือเขาพอใจไม่พอใจเขาไม่
00:12:05 → 00:12:08 บอกแต่อยากให้เรารู้เองเพราะการที่เรารู้
00:12:08 → 00:12:11 ได้เนี่ยมันเหมือนเอ้ยเขารู้ใจฉันเขาทำ
00:12:11 → 00:12:13 แล้วถูกใจเพราะฉะนั้นอันนี้ก็อาจจะทำให้
00:12:13 → 00:12:15 เขาพูดน้อยหรือไม่ค่อยแสดงออกแล้วคนอื่น
00:12:15 → 00:12:17 จะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบไม่ชอบหรือต้องการ
00:12:18 → 00:12:21 อะไรสเต็ปแรกคืออาจจะต้องเริ่มพูดออกมา
00:12:21 → 00:12:23 บ้างหรือเริ่มสื่อสารบ้างอแต่สิ่งที่อยาก
00:12:23 → 00:12:26 ชวนชวนให้เห็นครับคือคำว่าสื่อสารเนี่ย
00:12:26 → 00:12:29 ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูดอย่างเดียวอืหลายๆ
00:12:29 → 00:12:32 คนบอกว่าสื่อสารเนี่ยต้องพูดคือบางทีแล้ว
00:12:32 → 00:12:34 ถ้าสมมุติผมเป็นคนที่ดูแลนะผมก็จะรู้สึก
00:12:34 → 00:12:36 ว่าแม่ไม่เห็นเคยชมแม่ไม่รักเราบ้างเลย
00:12:36 → 00:12:39 หรือเขาไม่เคยใส่ใจเราแต่เพราะเราเนี่ย
00:12:39 → 00:12:42 อาจจะไปมีบบรรทัดอยู่ที่ว่าเขาเคยเอ่ยปาก
00:12:42 → 00:12:45 พูดบ้างมั้ยเพราะจริงๆการแสดงออกความรัก
00:12:45 → 00:12:47 เนี่ยอาจจะแสดงได้หลายแบบถ้าเกิดมีคนเคย
00:12:48 → 00:12:50 นิยามไว้เนี่ยก็จะมีตั้ง 5 แบบบางคนเนี่ย
00:12:50 → 00:12:53 พูดด้วยคำพูดอ่าบอกว่าเธอเก่งจังขอบคุณนะ
00:12:53 → 00:12:57 ชื่นชมอันนี้ใชคำพูดใช้คำพูดแบบที่ 2
00:12:57 → 00:13:00 เนี่ยอาจจะไปด้วยการกระทำเชอ่ะเอ่อหิวน้ำ
00:13:00 → 00:13:03 มั้ยอ่ะหยิบน้ำมาให้หรือพ่อแม่ในอดีตเข
00:13:03 → 00:13:06 อาจจะทำปิ่นโตก็ได้ตอนเช้าลูกจะไปทำงาน
00:13:06 → 00:13:09 อ่ะเนี่ยข้าวแกแต่ไม่เคยบอกว่ารักนะไม่
00:13:09 → 00:13:12 เคยบอกว่าภูมิใจนะแต่มีข้าวใส่กล่องไว้
00:13:12 → 00:13:15 ให้เอาไปกินที่ทำงานทุกวันหรือบางครั้ง
00:13:15 → 00:13:18 ถ้าเป็นคุณพ่อก็เช็กหม้อน้ำรดแจะไปทำงาน
00:13:18 → 00:13:20 แล้วเหรอเปิดฝากระโปรงแล้วก็เช็กหม้อน้ำ
00:13:20 → 00:13:22 อันเนี้ยเขากำลังบอกรักอยู่แต่เป็นภาษา
00:13:22 → 00:13:25 รักที่ไม่ได้มาด้วยคำพูดแต่เขามาด้วยการ
00:13:25 → 00:13:28 ทำอะไรบางอย่างให้ทำกับข้าวเช็คหม้อน้ำ
00:13:28 → 00:13:30 เพราะฉะนั้นบางทีเอาจจะกำลังบอกรักแต่
00:13:30 → 00:13:33 สไตล์ของคนในบ้านเราไม่ใช่พูดก็ได้นะอัน
00:13:33 → 00:13:36 ที่ 3 เนี่ยอาจจะเป็นเรื่องของเวลาคุณภาพ
00:13:36 → 00:13:38 อคือถ้าเกิดเราบอกว่าเนี่ยเราอยากจะไป
00:13:38 → 00:13:41 เที่ยวนี่พ่อแม่อาจจะเคยจัดตารางเคลียร์
00:13:41 → 00:13:44 เวลาแล้วอยู่กับเราก็ได้หรือบางครั้งอาจ
00:13:44 → 00:13:46 จะแบบนั่งดูทีวีคือเราทำอะไรก็อยากจะมา
00:13:46 → 00:13:49 นั่งใกล้อยู่ข้างๆอือเาอาจจะไม่ได้พูดว่า
00:13:49 → 00:13:51 รักเอาจจะไม่ได้ทำอะไรให้แต่เขาเนี่ยมี
00:13:51 → 00:13:55 เวลาคุณภาพให้เราเสมออือ่าเพราะฉะนั้นเรา
00:13:55 → 00:13:56 อยากจะทำอะไรหรือบางทีเราเดินไปเดินมาใน
00:13:57 → 00:13:59 บ้านเาก็อยากจะอยู่ใกล้ๆตรงนั้นแหละเพราะ
00:13:59 → 00:14:01 เรู้สึกว่าการได้ใกล้ชิดกับลูกได้มีเวลา
00:14:01 → 00:14:04 ที่คุณมีคุณภาพกับเเนี่ยคือการบอกรักที่
00:14:04 → 00:14:07 สำคัญอ่านี้ก็เป็น 3 แบบแล้วบางคนลืมมอง
00:14:07 → 00:14:10 ว่าเออเขาก็ทำให้เราบางทีเขาให้เวลาเรา
00:14:10 → 00:14:13 เต็มที่เลยออันที่ 4 เป็นพวกของขงของขวัญ
00:14:13 → 00:14:15 บางคนไม่เคยบอกรักบางคนไม่เคยทำอะไรแต่
00:14:15 → 00:14:18 เวลาเขาเลือกอะไรบางอย่างให้เราเนี่ยเขา
00:14:18 → 00:14:21 พยายามจะเข้าใจเรามากๆจะซื้อปากกาสักแท่ง
00:14:21 → 00:14:23 เนี่ยอย่างแกเขียนปากกาหมึกซึมแล้วเดี๋ยว
00:14:23 → 00:14:26 มันเลอะมือฉันเลยซื้อปากกาอันนี้ให้หรือ
00:14:26 → 00:14:28 ว่ากระเป๋าที่แกจะใช้เนี่ยฉันว่ามันต้อง
00:14:28 → 00:14:32 มีซนะแกเป็นคนซุ่มซ่ามชอบทำของหล่นอ่า
00:14:32 → 00:14:34 หรือบางทีเนี่ยแม่ซื้อที่ออกกำลังมาอยาก
00:14:34 → 00:14:38 ให้แกยกดัมเบลแต่ไม่เคยพูดว่ารักไม่เคยทำ
00:14:38 → 00:14:40 อะไรให้ด้วยไม่ได้ให้เวลาด้วยแต่ให้เป็น
00:14:40 → 00:14:43 ของขวัญที่รู้สึกว่าเหมาะหรือพิถีพิถันใน
00:14:43 → 00:14:46 การเลือกมาให้เราอเขาก็กำลังบอกรักครับ
00:14:46 → 00:14:49 ครับหรือข้อสุดท้ายคือการแตะสัมผัสบางคน
00:14:49 → 00:14:53 ไม่บอกรักไม่อะไรแต่ว่ารูปเราจับมือเรา
00:14:53 → 00:14:58 หรือว่าจับบาลูกหัวเไม่บอกรักนะแต่เาการ
00:14:58 → 00:15:01 แตะสัมผัสกอดตรงเนี้ยคือเขากำลังพูดภาษา
00:15:01 → 00:15:04 รักของเขาทีเนี้ยพอเราไม่ได้มองเห็นภาพ
00:15:04 → 00:15:07 กว้างว่าการสื่อสารเนี่ยภาษามันมีได้หลาย
00:15:07 → 00:15:11 ภาษาเราก็เลยอาจจะทดไปในใจว่าเขาไม่เคย
00:15:11 → 00:15:14 บอกรักเราเลยเาไม่แคร์เราเลยอ่าซึ่งอัน
00:15:14 → 00:15:15 นี้ก็ไม่แฟะหรือบางครั้งเขาอยากจะบอกรัก
00:15:16 → 00:15:18 มาเ่อพ่อก็บอกว่าเนี่ยมาเดี๋ยวพ่อถือ
00:15:18 → 00:15:21 กระเป๋าให้ไม่ต้องโตแล้วพ่อจะมาถืออะไร
00:15:21 → 00:15:23 มือไม่ได้ด้วนกกลว่าเขากำลังจะบอกรักเรา
00:15:24 → 00:15:27 ก็ไปปิดปากเอๆไม่ให้พูดแต่เกำลังเกำลังจะ
00:15:27 → 00:15:29 บอกรักแล้วอยู่อเพราะฉนั้นอันเนี้ยเป็น
00:15:29 → 00:15:31 เรื่องที่อยากให้ถอยมาด้วยว่าการสื่อสาร
00:15:31 → 00:15:34 ในบ้านเนี่ยบางทีอาจจะไม่ใช่คำแค่คำพูด
00:15:34 → 00:15:37 แต่มีอีกตั้งหลายแบบที่เขากำลังบอกรัก
00:15:37 → 00:15:39 ครับผมว่าอันนี้จะเป็นประโยชน์มากๆเพราะ
00:15:39 → 00:15:42 บางทีผู้ใหญ่ฟังผู้ใหญ่จะได้รู้วิธีการ
00:15:42 → 00:15:44 อะไรล่ะวิธีการบอกรักหรืออาจจะแบบเป็น
00:15:45 → 00:15:47 เป็นการแสดงการชื่นชมทางหนึ่งแต่ในขณะ
00:15:47 → 00:15:50 เดียวกันลูกที่อยู่กับพ่อแม่บางทีก็อาจจะ
00:15:50 → 00:15:53 ไปคาดหวังว่าเขาไม่เคยพูดเลยก็เลยจะไป
00:15:53 → 00:15:56 เข้าใจว่ามันมีแค่อย่างเดียวแต่จริงๆเรา
00:15:56 → 00:15:59 ลืมมองว่าบางทีเามีการแสดงออกดวิธีการ
00:15:59 → 00:16:03 อื่นๆด้วยใช่อ่าครับแล้วอย่างกรณีว่าลูก
00:16:04 → 00:16:06 ที่อยู่บ้านน่ะฮะด้วยกันมันจะมีความขัด
00:16:06 → 00:16:10 แย้งกันบ่อยๆเช่นไอ้นั่นนิดไอ้นี่หน่อย
00:16:10 → 00:16:12 เพราะว่าแม่อยู่ใกล้ลูกคนนี้นะก็จะเห็น
00:16:12 → 00:16:15 อะไรที่แบบเขาอาจจะทำแล้วเขาก็ไม่ชอบใช่
00:16:15 → 00:16:17 อะไรอย่างนี้นะครับแต่ในขณะที่ลูกคนไกล
00:16:17 → 00:16:20 นานๆมาทีไงก็เลยไม่รู้ว่าไม่ชอบอะไรบ้าง
00:16:20 → 00:16:21 ตรงนี้ไอ้ความขัดแย้งตรงนี้ครับมันมีอะไร
00:16:21 → 00:16:23 บ้างหรือเราจะป้องกันยังไงบ้างครับปีนี้
00:16:23 → 00:16:25 อันดับแรกคือต้องยอมรับว่ามันเป็น
00:16:25 → 00:16:27 ธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นเพราะว่าเรามี
00:16:27 → 00:16:29 ชั่วโมงบินหรือชั่วโมงเวลาที่ใช้ชีวิต
00:16:29 → 00:16:31 ด้วยกันเนี่ย 10 ชมงกับแม่ในขณะที่คนที่
00:16:31 → 00:16:34 แวะเวียนมาเยี่ยมเนี่ยอยู่แค่ 30 นาที
00:16:34 → 00:16:36 หรือชั่วโมงนึงหรือไม่เกินครึ่งวันเพราะ
00:16:36 → 00:16:38 ฉะนั้นจำนวนชั่วโมงที่มันต้องอยู่ด้วยกัน
00:16:38 → 00:16:41 เนี่ยมันน้อยกว่ากันมากเพราะฉะนั้นโอกาส
00:16:41 → 00:16:43 ที่จะเกิดความขัดแย้งเนี่ยก็ยิ่งน้อย
00:16:43 → 00:16:45 เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่าคนที่อยู่
00:16:45 → 00:16:47 ใกล้เนี่ยจะเจอปัญหาทีนี้ผมก็เลยบอกว่า
00:16:47 → 00:16:50 ถ้ามันเป็นความขัดแย้งที่เราเชื่อว่ามัน
00:16:50 → 00:16:51 ก็จะเกิดขึ้นได้เมื่อคนอยู่ใกล้กันมาก
00:16:51 → 00:16:55 ขึ้นอือเราก็ต้องเรียนรู้ว่าวิธีการจัด
00:16:55 → 00:16:58 การความขัดแย้งจัดการยังไงเช่นนะครับคำ
00:16:58 → 00:17:00 แนะนำเช่นพอมันเกิดความขัดแย้งเนี่ยเรา
00:17:00 → 00:17:03 อาจจะต้องถามทวนก่อนว่าที่เขาพูดแบบเย
00:17:03 → 00:17:05 หมายความว่ายังไงเพราะบางทีความขัดแย้ง
00:17:05 → 00:17:08 มันเกิดจากการที่ฟังคำนึงแล้วเราก็มาผ่าน
00:17:08 → 00:17:10 สมุติฐานหรือ Assumption ในใจแล้วก็ตี
00:17:10 → 00:17:14 ความไปแบบนึงสมมุติแม่บอกว่าเอ้ยข้าวมัน
00:17:14 → 00:17:18 ไม่เห็นร้อนเลยอือๆอ่าแค่พูดประโยคนี้ลูก
00:17:18 → 00:17:20 ที่มาเยี่ยมข้าวไม่เห็นร้อนเสเอาไปอุ่น
00:17:20 → 00:17:22 อะไรอย่างเงี้แต่พอเราที่อยู่ใกล้เนี่ย
00:17:22 → 00:17:25 ข้าวไม่เห็นร้อนเลยเราตีความว่าทำไมฉันดู
00:17:25 → 00:17:28 แลไม่ดีเหรอหรือทำไมฉันไม่เหาว่าฉันไม่
00:17:28 → 00:17:31 ใส่ใจอปรากว่าตัวสมมติฐานในใจเป็นตัวแป
00:17:31 → 00:17:34 ความทำว่าข้าวมันข้าวต้มมันไม่ร้อนเลยให้
00:17:35 → 00:17:37 กลายเป็นคำด่าตัวเองก็ได้หรือให้กลายเป็น
00:17:37 → 00:17:40 คำตำหนิทที่จริงๆคือเขแค่อาจจะบอกก็ได้
00:17:40 → 00:17:43 ว่าข้าวต้มมันไม่ร้อนอ่าเราอาจจะต้องถาม
00:17:43 → 00:17:46 ทวนว่าอ๋อแม่อยากให้เอาไปอุดเหรออะไร
00:17:46 → 00:17:49 อย่างเงี้ยเพราะบางทีเราเนี่ยประมวลผล
00:17:49 → 00:17:51 เร็วมากเออคิดตัวอย่างนี้ผมว่าชัดดีเนา
00:17:51 → 00:17:53 คือจริงๆแม่แค่พูดถึงเรื่องข้าวต้มไม่
00:17:53 → 00:17:57 ร้อนแต่นี่เวลาไปฟังฟังเป็นคำตำหนิไปใช่
00:17:57 → 00:18:00 เพราอันก็อาจขั้นแรกคือถามทวนหน่อยว่าเขา
00:18:00 → 00:18:02 หมายถึงอะไรเพราะบางทีเราเดาใจด้วย
00:18:02 → 00:18:05 สมมุติฐานเพราะคิดว่าอยู่ด้วยกันมานานอ้า
00:18:05 → 00:18:07 ปากก็เห็นลิ้นไก่บางทีฝั่งลูกก็บอกว่าแม่
00:18:08 → 00:18:11 ไม่ห่มผ้าห่มเหรอครับทำไมแกหาว่าฉันไม่ดู
00:18:11 → 00:18:15 แลตัวเองเหรอเ้าเราพูดว่าไม่ห่มผ้าห่มแต่
00:18:15 → 00:18:17 เขาตีความว่าเหมือนเราไปตำหนิว่าเขาไม่ดู
00:18:17 → 00:18:20 แลตัวเองหรืออาจจะคิดไปไกลว่าทำแบบนี้
00:18:20 → 00:18:23 เดี๋ยวก็ตายไวคือคิดไปอีกไกลเลยเพรา
00:18:23 → 00:18:25 สมมุติฐานหรือการตีความในใจนี่แหละที่ทำ
00:18:26 → 00:18:29 ให้คอนฟลิกหรือความขัดแย้งในบ้านเนี่ยบาง
00:18:29 → 00:18:32 ทีมันแก้ยากเพราะว่าเราเนี่ยไปตีความนะ
00:18:32 → 00:18:34 เพราะงั้นอันดับแรกคือถามทวนว่าหมายความ
00:18:34 → 00:18:36 ว่ายังไงนะหรือต้องการอะไรหรือบางครั้ง
00:18:36 → 00:18:39 อาจจะต้องเป็นเราแหละที่สื่อสารว่าเราพอ
00:18:39 → 00:18:42 ใจหรือไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำแต่พูดแบบ
00:18:42 → 00:18:45 ที่มีเทคนิคหน่อยใช่คือความขัดแย้งเนี่ย
00:18:45 → 00:18:48 มันจะหายได้ก็ต่อเมื่อจากเดิมเนี่ยเป็น
00:18:48 → 00:18:51 ปัญหาระหว่างผมกับพี่ประสานอือแต่มันคือ
00:18:51 → 00:18:53 เหมือน i verus u คือผมหรือพี่ใครผิด
00:18:53 → 00:18:56 กันแน่แต่จริงๆความขัดแย้งมันจะแก้ได้ดี
00:18:56 → 00:18:58 คือเป็น V verus problem ก็คือผมพี่
00:18:58 → 00:19:00 ประสาเนี่ยอยู่ฝั่งเดียวกันแล้วปัญหาที่
00:19:00 → 00:19:04 เราเห็นคืออะไรอ่าผมก็ต้องมาชวนว่าแม่ไหน
00:19:04 → 00:19:07 ไหมานั่งคุยกันหน่อยเอิมแปลว่าตอนเเรา 2
00:19:07 → 00:19:10 คนเนี่ยอาจจะต้องแก้ปัญหานะว่าตอนเนี้ย
00:19:10 → 00:19:12 เรารู้สึกว่าเราทะเลาะกันบ่อยเรื่องของ
00:19:12 → 00:19:15 กับข้าวไหนเราจะทำยังไงให้เราทะเลาะกัน
00:19:15 → 00:19:18 น้อยลงอือ่ามันคือเราใช้คำว่าเราคือเราจะ
00:19:18 → 00:19:20 ทำยังไงให้เราทะเลาะกันน้อยลงเรื่องกับ
00:19:20 → 00:19:22 ข้าวแต่ละมื้ออะไรเงี้ยเพราะว่ามันต้อง
00:19:22 → 00:19:25 กินกัน 3 มื้อทะเลาะกันได้ทุกมื้อใชเรา
00:19:25 → 00:19:28 ทเลาะนแม่ก็บอกว่าเนี่ยแม่ไม่ชอบกินเค็ม
00:19:28 → 00:19:31 แม่ไม่ชอบชอบกินหมู 3 ชั้นอครับโอเคแม่โอ
00:19:31 → 00:19:33 หนูเข้าใจมากขึ้นหนูก็คิดว่าหนูเคยเห็น
00:19:33 → 00:19:37 แม่ชอบกินไข่พะโล้หนูก็สั่งมาประจำเลยอ
00:19:37 → 00:19:40 ใช่คนเรามันชอบแต่แม่กินทุกวันหรือกินทุก
00:19:40 → 00:19:42 อาทิตย์อ่ะแม่ก็เบื่อมั้ยอันนี้มันไม่ใช่
00:19:42 → 00:19:44 ปัญหาว่าใครผิดใครถูกแล้วมันคือเรามานั่ง
00:19:44 → 00:19:46 ฝั่งเดียวกันแล้วบอกว่ามานั่งดูไข่พะโล
00:19:46 → 00:19:48 ด้วยกันว่าอ้าทำไมไข่พะโลแม่ถึงไม่ชอบมัน
00:19:48 → 00:19:51 ก็เลยทำให้ปัญหาเนี่ยไม่รู้สึกว่าเราไป
00:19:51 → 00:19:54 โจมตีเาแต่เราโจมตีปัญหาด้วยกันต่างหากอ
00:19:54 → 00:19:56 เนี่ยก็ต้องเป็น mind เซตที่เราเริ่มบอก
00:19:56 → 00:19:59 ว่าเราต่อสู้กับปัญหาอยู่ครับปญหานั้นคือ
00:19:59 → 00:20:03 อะไอ่าแต่ถ้าเป็นเป็นเรากับเราคือฉันกับ
00:20:03 → 00:20:05 แม่อ่าอ่าถ้าเป็นสถานการที่ก็อาจจะพูดว่า
00:20:05 → 00:20:07 ทำไมแม่ไม่ชอบกินไข่พะโล้อ่ะครับก็เห็นค
00:20:07 → 00:20:09 แม่เคยชอบกินกันอันนี้เป็นปัญหาระหว่าง
00:20:09 → 00:20:11 เรากับแม่แล้วไอไอเราก็เราคันก็พูดว่าก็
00:20:11 → 00:20:13 ใครจะใครจะไปกินทุกวันได้กินหน้าจะเป็น
00:20:13 → 00:20:16 หน้าจะเป็นไข่อยู่แล้วใช่อนี้ก็ปัญหาไม่
00:20:16 → 00:20:18 หายเลยกว่าทะเลาะไปทะเลาะกันมาอ่าแต่ถ้า
00:20:18 → 00:20:20 เกิดเราบอกว่าแม่เดี๋ยวหนูปรึกษาหน่อยทำ
00:20:20 → 00:20:22 ยังไงถึงแม่จะได้แม่จะกินไข่พะโล้หรือว่า
00:20:22 → 00:20:25 ทำไงถึงหนูจะรู้เมนูที่แม่อยากกินอะไร
00:20:25 → 00:20:27 อย่างเงี้ยฮะอันนี้ก็จะทำให้ปัญหาเนี่ย
00:20:27 → 00:20:30 หรือความขัดแย้งเริ่มคลายออครับครับแล้ว
00:20:30 → 00:20:34 ก็คำแนะนำบางข้ออาจจะเป็นเรื่องของการยืน
00:20:34 → 00:20:36 ยันจุดยืนอหรือว่าการบอกว่าสิ่งที่แม่ทำ
00:20:36 → 00:20:39 เนี่ยบางครั้งเราก็ไม่พอใจนะเพราะบางที
00:20:39 → 00:20:42 ข้อเนี้ยคนที่เป็นคนดูแลไม่เคยบอกแม่แล้ว
00:20:42 → 00:20:44 ก็หวังว่าแม่จะรู้นะว่าสิ่งที่แม่พูด
00:20:44 → 00:20:47 เนี่ยทกิหรือสิ่งที่แม่พูดเนี่ยกระทบเรา
00:20:47 → 00:20:49 แต่แม่จะรู้ได้ไงเราไม่เคยบอกแม่ว่าเรา
00:20:49 → 00:20:51 ไม่พอใจเราได้แต่เก็บเก็บซึ่งอันนี้เขา
00:20:51 → 00:20:54 เรียกว่าการ assertive หรือการยืนยันหรือ
00:20:54 → 00:20:56 การยืนกรานว่าจุดยืนเราเป็นแบบนี้นะซึ่ง
00:20:57 → 00:21:00 เทคนิคมี 4 ขันข้อแรกก็คือให้เราพูดว่า
00:21:00 → 00:21:04 ฉันรู้สึกจุดๆๆนะแม่อ่าฉันรู้สึกจุดๆคือ
00:21:04 → 00:21:07 แม่หนูรู้สึกเสียใจเหมือนกันนะหนูรู้สึก
00:21:07 → 00:21:10 เสียใจอซึ่งตรงเนี้ยต้องระมัดระวังว่า
00:21:10 → 00:21:12 เวลาที่เนี่ยอย่าบอกสิ่งที่เราตีความเช่น
00:21:12 → 00:21:15 สมมุติหนูรู้สึกเสียใจนะเวลาที่แม่ด่าหนู
00:21:15 → 00:21:17 อันเนี้ยเราไปตีความว่าแม่ด่าแต่เราต้อง
00:21:17 → 00:21:21 บอกว่าเวลาที่แม่พูดว่าเราไม่ยอมหนูไม่
00:21:21 → 00:21:23 ค่อยดูแลตัวเองอ่าอ่าแทนที่จะบอกว่าเวลา
00:21:23 → 00:21:25 ที่แม่ด่าหนูพ่อแม่พ่อแม่จะเสียกอันดีฉัน
00:21:25 → 00:21:28 ดแกที่ไหนันใช่เพราะฉะนั้นเทคนิคคือเรา
00:21:28 → 00:21:30 ต้องแปลงไอ้สิ่งที่เราตีความให้กลายเป็น
00:21:30 → 00:21:33 เหมือนกับสิ่งที่เราสังเกตเห็นก็คือใครทำ
00:21:33 → 00:21:35 อะไรที่ไหนยังไงเช่นหนูรู้สึกเสียใจ
00:21:35 → 00:21:38 เหมือนกันนะเวลาที่แม่พูดว่าหรือเวลาที่
00:21:38 → 00:21:40 แม่ทำว่าอะไรอย่าเงี้ยเพราะว่าคนเรามันตี
00:21:40 → 00:21:43 ความกันตลอดเวลาเช่นบางทีแม่ก็บอกว่าแกทำ
00:21:43 → 00:21:45 ตัวให้มันเรียบร้อยหน่อยครับเรียบร้อยของ
00:21:46 → 00:21:49 แม่คือทำอะไรอ่ะอเช่นแม่เรียบร้อยของแม่
00:21:49 → 00:21:51 คือหนูทำอะไรผิดเหรอหรือคือทำอะไรเนี่ย
00:21:51 → 00:21:55 รองเท้าถอดไว้เก็บขึ้นตู้สิอ๋อโอเคแม่
00:21:55 → 00:21:58 อยากให้หนูเก็บรองเท้าเข้าตู้ว่าเนี่ยทำ
00:21:59 → 00:22:01 ตัวให้มันสะอาดหน่อยคืออะไรอ่ะแม่อเนี่ย
00:22:02 → 00:22:04 จานที่แกล้างเนี่ยกินเสร็จแล้วก็ล้างทัน
00:22:04 → 00:22:07 ทีได้มอ๋อแม่อยากให้หนูล้างจานทันทีหลัง
00:22:07 → 00:22:09 กินเสร็จเพราะไม่งั้นชีวิตในความสัมพันธ์
00:22:09 → 00:22:12 คนในบ้านเนี่ยจะอยู่แต่การตีความว่าเนี่ย
00:22:12 → 00:22:14 อย่าเลิกขี้เกียจได้มั้ยแกก็ขี้เกียจตลอด
00:22:14 → 00:22:16 แล้วขี้เกียจคืออะไรเหรอแม่อแต่แต่ขี้
00:22:16 → 00:22:19 เกียจมันอาจจะแค่แกทิ้งจานไว้ไม่ยอมร้า
00:22:19 → 00:22:21 จานไซิ้งใชหรือไม่ได้ผับผ้าห่มแต่พอเรา
00:22:22 → 00:22:24 พูดกันอยู่บนคำว่าขี้เกียจเนี่ยมันลามไป
00:22:24 → 00:22:26 ได้ไกลเลยแม่หาว่าหนูไม่ทำงานเหรออะไร
00:22:26 → 00:22:28 อย่างเงี้ยแต่จริงๆความขี้เกียจในใจของ
00:22:28 → 00:22:30 แม่ก็คือตื่นแล้วไม่เห็นพับผ้าห่มอย่า
00:22:30 → 00:22:32 เงี้ยฮเพราะงั้นอันเนี้ยเมื่อกี้ขั้นแรก
00:22:32 → 00:22:35 คือหนูรู้สึกเสียใจนะเวลาที่คือให้พูด
00:22:35 → 00:22:37 เป็นสิ่งที่เราสังเกตเห็นไม่ใช่สิ่งที่ตี
00:22:37 → 00:22:41 ความอแบบเวลาที่แม่พูดกับหนูว่าไม่ได้
00:22:41 → 00:22:45 เรื่องอ่าเนี่ยอเพราะแล้วก็ถัดไปข้อที่ 3
00:22:45 → 00:22:49 ก็คือเพราะว่าเพราะว่าหนูอ่ะก็ไม่รู้ว่า
00:22:49 → 00:22:51 การจะได้เรื่องในมุมของแม่มันต้องทำยังไง
00:22:51 → 00:22:54 หนูก็พยายามจะทำดีแล้วนะแล้วปิดท้ายด้วย
00:22:54 → 00:22:56 Request คือคำขอร้องก็คือว่าเป็นไปได้
00:22:56 → 00:22:59 มั้ยแม่ถ้าแม่จะพูดถึงเรื่องของไม่ได้
00:22:59 → 00:23:02 เรื่องเนี่ยแม่ช่วยแนะนำหนูทีละเรื่องให้
00:23:02 → 00:23:04 มันชัดหรือว่าพูดเป็นประเด็นที่ชัดเจน
00:23:04 → 00:23:06 เพราะว่าหนูฟังคำว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้
00:23:06 → 00:23:10 เรื่องแต่ละครั้งอ่ะหนูเสียใจตลอดเลยอออ
00:23:10 → 00:23:13 คือข้อสุดท้ายเนี่ยก็สำคัญก็คือคำว่า
00:23:13 → 00:23:15 Request คือเราขอร้องอะไรเพราะว่าหลายๆ
00:23:15 → 00:23:17 ครั้งเราจะบอกว่าหนูไม่ชอบให้แม่พูดว่า
00:23:17 → 00:23:19 ไม่ได้เรื่องอือแม่อย่าพูดว่าไม่ได้
00:23:19 → 00:23:22 เรื่องได้มแต่เราไม่เคยปิดท้ายว่าแล้วให้
00:23:22 → 00:23:24 พูดอะไรแล้วให้ทำอะไรกลายเป็นว่าคนที่ฟัง
00:23:24 → 00:23:27 ก็ต้องเดาใจว่าแล้วฉันต้องพูดว่าอะไรอ่ะ
00:23:27 → 00:23:29 แล้วฉันต้องทำไงต่อครับเพราะฉะนั้นที่เรา
00:23:29 → 00:23:33 ป้ายด้วยคำรรขเสนแมันทำให้เนี่ยมีโอกาสทำ
00:23:33 → 00:23:36 ถกมากกว่าทำผิดเพราะว่าไม่ต้องไปเดใจเรา
00:23:36 → 00:23:38 อีกเราบอกไปชัดๆเลยว่าอยากให้ทำแบบไหน
00:23:38 → 00:23:41 เพราะฉะนั้นทวนขั้นตอนช้าๆอีกทีขั้นแรก
00:23:41 → 00:23:45 คือฉันรู้สึกจุดๆๆก็คือบอกอารมณ์รู้สึก
00:23:45 → 00:23:48 เศ้ารู้สึกเสียใจรู้สึกโกรธนะเวลาที่อให้
00:23:48 → 00:23:50 บอกเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นน่ะเวลาที่เขา
00:23:50 → 00:23:53 พูดว่าเวลาที่เขาทำกระแทกจานเี้เวลาที่ทำ
00:23:53 → 00:23:56 อะไเงี้ยจริงๆกระแทกจานก็อาจจะเป็นตีความ
00:23:56 → 00:23:58 ต้องบอกว่าเวลาที่แม่วางจานแล้วมันเสียง
00:23:58 → 00:24:01 ดังเออเพราะว่ากระแทกเนี่ยแม่อาจจะไม่ได้
00:24:01 → 00:24:04 ตั้งใจกระแทกแต่แม่เขาอาจจะมือไม่มีแรง
00:24:04 → 00:24:06 แล้วจานมันรนมาเสียงดังอย่าเงี้เพราะ
00:24:06 → 00:24:09 ฉนั้นเราก็ต้องบอกว่าเวลาที่แม่วางจาน
00:24:09 → 00:24:12 เสียงดังเอทีนี้ฉันรู้สึกเวลาที่อันที่ 3
00:24:12 → 00:24:15 คือเพราะว่าทำไมอ่ะทำไมูถึงรู้สึกแบบนั้น
00:24:15 → 00:24:17 แล้วข้อสุดท้ายคือ Request คือขอร้องว่า
00:24:17 → 00:24:20 แล้วอยากให้ทำแบบไหนอประโยคแพทเทิร์น 4
00:24:20 → 00:24:22 อันนี้ยครับเราเรียกว่าไ Message คือ
00:24:22 → 00:24:25 ประโยคที่เป็นชั้นอครับเพราะที่ผ่านมา
00:24:25 → 00:24:27 เวลาเรามีความขัดแย้งเนี่ยจะเป็นย Message
00:24:27 → 00:24:30 คือแก้แกอ่าเธออ่าเราจะไปแบบ Message
00:24:30 → 00:24:32 เสมอเลยแต่ถ้าเกิดเราพูดว่าไ Message
00:24:32 → 00:24:35 เนี่ยแม่ไม่มีทางมาบอกว่าแกไม่เศร้าหรอก
00:24:35 → 00:24:38 ไม่จริงอ่ะฉันพูดในมุมขษฉันพูดในมุมว่า
00:24:38 → 00:24:41 ฉันชี้นิ้วขาตัวเองว่าหนูรู้สึกเศร้าแม่
00:24:41 → 00:24:44 จะไม่มีทางมาแย้งได้ว่าเธอไม่เศร้านะก็
00:24:44 → 00:24:47 หนูเศร้าอ่ะหนูพูดถึงตัวเองเราไม่ได้ไป
00:24:47 → 00:24:49 โจมตีแม่อ่าเรารู้สึกเศร้าเพราะว่าอะไร
00:24:49 → 00:24:51 ที่เห็นอะไรแบบไหนเพราะงั้นประโยคแบบ
00:24:51 → 00:24:54 เนี้ยจะทำให้เราเข้าใจกันได้มากขึ้นครับ
00:24:55 → 00:24:56 เพราะฉะนั้นเนี่ยในความสัมพันธ์คนในบ้าน
00:24:56 → 00:24:59 เนี่ยเราจะเริ่มอยู่กันด้วยการเข้าใจมาก
00:24:59 → 00:25:01 กว่าเดาใจเพราะที่ผ่านมาที่เราทะเลาะบ่า
00:25:01 → 00:25:03 แวงเนี่ยเพราะเราเดาใจกันท่างนั้นเลยเดใจ
00:25:03 → 00:25:07 กันอ่าครับอันนี้ผมพูดดักคอผู้ฟังผมไว้
00:25:07 → 00:25:10 ก่อนเขอาจจะรู้สึกว่าโอ๊ยอันนี้แบบว่า
00:25:10 → 00:25:12 โรแมนติกหรือเปล่าคุณบีนอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:25:12 → 00:25:15 เอาจจะเอาจจะเอาจจะรู้สึกว่าโอที่บ้านเ
00:25:15 → 00:25:18 ที่บ้านเราอ่ะใช้วิธีการแบบนี้ไม่ได้หรอก
00:25:18 → 00:25:21 ก็เลยอยากจะบอกว่าจริงๆลองเอาคู่มือนี้ไป
00:25:21 → 00:25:24 ทดลองดูก่อนใช่มั้ยต้องลองต้องลองอ่ะหรือ
00:25:24 → 00:25:26 ถ้ายังรู้สึกว่าฟังแล้วมันยังสั้นไปลอง
00:25:26 → 00:25:29 ค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าครับหรือว่าภาษา
00:25:29 → 00:25:32 ฉันเนี่ยเราลองเห็นตัวอย่างเราลองเห็น
00:25:32 → 00:25:35 แล้วจะมีคนมาคอมเมเยอะเลยว่าพอลองพูดแบบ
00:25:35 → 00:25:37 นี้แล้วเนี่ยปรากฏว่าดีขึ้นเพราะว่าเรา
00:25:37 → 00:25:39 ได้เราไม่อึดอัดด้วยเราได้บอกจุดยืนว่า
00:25:39 → 00:25:42 เรารู้สึกอะไรเราได้แสดงคำขอร้องออกไปว่า
00:25:42 → 00:25:45 คนตรงหน้าช่วยเราทำได้ยแล้วมันก็เกิดความ
00:25:45 → 00:25:47 เข้าใจดีขึ้นเพราะงั้นถ้ารู้สึกว่ายังทำ
00:25:47 → 00:25:50 ไม่ไหวเนี่ยอาจจะหาตัวอย่างเพิ่มแล้วก็
00:25:50 → 00:25:53 ฝึกซ้อมไม่ได้โรแมนติกเกินไปใก็ใช้อยู่
00:25:53 → 00:25:56 แล้วก็หลายๆคนก็ได้ผลจริงๆครับอันนี้ผม
00:25:56 → 00:25:59 เลยพูดดักคอพูสไว้ก่อนนะว่าอย่าน้อยๆลอง
00:25:59 → 00:26:01 ก่อนเออไปลองอาจจะต้องไปลองก่อนเพราะว่า
00:26:01 → 00:26:03 ส่วนหนึถ้าเราไม่ถ้าเราไม่ลองแล้วปล่อย
00:26:03 → 00:26:05 ให้สถานการณ์เดิมๆมันมันอยู่อ่ะมันก็ไม่
00:26:05 → 00:26:07 ได้มันก็ไม่ได้รับการแก้ไขไม่ได้ะการคลี่
00:26:07 → 00:26:09 คลายเนาะใช่อ่าหรือไม่งั้นผมอาจจะมีคำแนะ
00:26:09 → 00:26:11 นำที่อาจจะง่ายขึ้นหน่อยเช่นอารมณ์ขันธ์
00:26:11 → 00:26:15 เนี่ยช่วยช่วยมากๆในความสัมพันธ์แต่บาง
00:26:15 → 00:26:17 ครั้งเราไปไม่ถึงอารมณ์ขันเพราะว่าอเรา
00:26:17 → 00:26:20 เออเราพอฟังมาแล้วมันกระแทกใจมันรู้สึก
00:26:20 → 00:26:23 ว่าจี้มาที่ใจเราแล้วเราก็ขำไม่ออกเออ
00:26:23 → 00:26:25 เพราะว่าถ้าเกิดเราสามารถมีอารมณ์ขันได้
00:26:25 → 00:26:28 บอกว่าเนี่ยแกเอาอาหารเอาเอาข้าวมาให้แบบ
00:26:28 → 00:26:31 เนี้ยให้หมูให้หมากินเหรอโหขนาดนั้นเลย
00:26:31 → 00:26:34 เหรอแม่เงี้ยปรากฏว่าแม่ก็เริ่มขำเพราะ
00:26:34 → 00:26:37 ว่าจากที่เขาดุๆเนี่ยพอลูกแบบว่าขนาดนั้น
00:26:37 → 00:26:40 เลยเหรอแม่โอหมูหมากินดีขนาดนี้เลยแม่ก็
00:26:40 → 00:26:43 เริ่มไปไม่ถูกแล้วะเพราะที่ผ่านมาคือเขา
00:26:43 → 00:26:46 พูดแบบนี้ปั๊บเราเองก็อาจจะกระแทกจานเรา
00:26:46 → 00:26:49 อาจจะวางไม่ดีทำให้กินซื้อมาให้กินเพราะ
00:26:49 → 00:26:52 ที่ผ่านมามันไปท่าเดิมท่าที่คุนเคยตลอด
00:26:52 → 00:26:54 แต่ปรากฏว่าพอเราเริ่มมีอารมณ์ขันในหัว
00:26:54 → 00:26:57 แล้วเราสามารถทำตอบสนองในเชิงบวกหรือตอบ
00:26:57 → 00:27:00 สนองตต่างไปจากที่เคยทำเนี่ยครับมันก็จะ
00:27:00 → 00:27:03 เริ่มพาเราไปสู่พื้นที่ใหม่ๆเพราะว่าการ
00:27:03 → 00:27:06 ที่เราทำแบบเดิมซ้ำเดิมมันก็ลงเอยแบบเดิม
00:27:06 → 00:27:08 ทุกทีเพราะฉะนั้นเราทำยังไงให้ลองวิธีตอบ
00:27:08 → 00:27:11 สนองที่ต่างไปเพราะว่าเราจะไปเปลี่ยนลม
00:27:11 → 00:27:13 ที่พัดเข้ามาเนี่ยไม่ค่อยได้แต่เราปรับใบ
00:27:13 → 00:27:17 พัดของเราให้เข้ากับลมเนี่ยน่าจะง่ายกว่า
00:27:17 → 00:27:19 ครับโอ้อันนี้ดีมากๆเลยเพราะว่าแต่ส่วน
00:27:19 → 00:27:22 หนึ่งมันปฏิเสธไม่ได้ว่าคนในครอบครัวอยู่
00:27:22 → 00:27:25 ด้วยกันมานานๆใกล้ชิดกันอย่าเงี้ยเวลาเจอ
00:27:25 → 00:27:28 เหตุการณ์อะไรมันจะมันก็จะใช้นิสัย
00:27:28 → 00:27:31 ใช่เพราะเราแปลความโดยสมมุติฐานที่ตั้ง
00:27:31 → 00:27:34 ไว้ครับว่าเาก็เป็นอย่างงี้แหละเอ่อแม่ก็
00:27:34 → 00:27:36 ไม่เคยรักสมมุติในหัวเนี่ยผมไปเสิร์ฟข้าว
00:27:36 → 00:27:38 ด้วยการบอกว่าแม่ก็ไม่เคยรักเราแม่ก็ไม่
00:27:38 → 00:27:40 เคยรักเรามีเสียงเนี่ยอยู่ในหัวตลอดแค่
00:27:40 → 00:27:43 แม่พูดว่าเอ้ยแกขอน้ำปลาหน่อยอหาว่าชั้
00:27:43 → 00:27:45 กลายเป็นว่าแม่แม่ก็ไม่เคยรักเราอีกแล้ว
00:27:45 → 00:27:48 บอกทำอะไรก็ไม่เคยดีในสายตาแม่เ้าจริงๆ
00:27:48 → 00:27:50 แม่แค่ขอน้ำปลาเพราะฉะนั้นเนี่ยบางทีกลับ
00:27:50 → 00:27:53 มาทบทวนตัวเองก่อนว่าเรามีสมมุติฐานอะไร
00:27:53 → 00:27:56 ในใจหรือเปล่าถ้ามีเนี่ยเรารู้ทันเราก็
00:27:56 → 00:27:59 อาจจะแปลความในมุมที่ต่างไปได้อเรามี
00:27:59 → 00:28:01 สมมุติฐานอะไรในใจหรือเปล่าเอใช่ครับ
00:28:01 → 00:28:03 สมมุติฐานส่วนมากในใจเนี่ยอาจจะมีได้สัก
00:28:04 → 00:28:06 3-4 แบบที่ผมไกไว้จริงๆมีได้หลายแบบแหละ
00:28:06 → 00:28:09 แต่ว่าอันแรกคือสมติฐารประเภทที่เครักไม่
00:28:09 → 00:28:12 รักแคร์ไม่แคร์อือ่าแบบเนี้ยก็คือเวลาจะ
00:28:12 → 00:28:14 มีสมติฐานสไตล์เนี่ยก็คือเราจะตีความ
00:28:14 → 00:28:18 พฤติกรรมคนตรงหน้าเลยแค่เขาไม่พูดถึงเรา
00:28:18 → 00:28:21 แค่เขาไม่ตอบสนองเรามันกลายเป็นเไม่รัก
00:28:21 → 00:28:24 ไม่แคร์ไปได้ในทันทีอ่าหรือพกติปุ๊บก็หา
00:28:24 → 00:28:27 เราไม่เก่งใช่เกวอะไรเงี้ยใช่มยรฐานแบบ
00:28:27 → 00:28:29 ที่ 2 คือเรื่องเก่งไม่เก่งก็คือว่า
00:28:29 → 00:28:31 เหมือนเขาก็รู้สึกว่าฉันไม่มีความสามารถ
00:28:31 → 00:28:34 ฉันดีไม่พอฉันไม่เก่งพอพูดอะไรไปเราก็ตี
00:28:34 → 00:28:37 ความไปในมุมว่าเนี่ยแม่หาว่าฉันไม่มีความ
00:28:37 → 00:28:39 สามารถทำกับข้าวไม่เก่งทำงานอะไรไม่ได้
00:28:39 → 00:28:42 เรื่องทำอะไรไม่ดีก็ตีความไปมุมนั้นอีก
00:28:42 → 00:28:43 อ่าเมื่อกี้อันแรกคือรักไม่รักแคร์ไม่
00:28:43 → 00:28:46 แคร์อันที่ 2 เก่งไม่เก่งเก่งอันที่ 3
00:28:46 → 00:28:49 เนี่ยสมมุติฐานไปในมุมเรื่องของอนาคตหมาย
00:28:49 → 00:28:52 หมาถึงว่าสิ้นหวังมีอนาคตไมเหมือนประมาณ
00:28:52 → 00:28:55 ว่าบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวแกก็อยู่กับแม่ไปอีก
00:28:55 → 00:28:58 สักอาทิตย์นึงเนาะปรากฏว่าสมมติฐานคือ
00:28:58 → 00:29:00 เฮ้ยฉันต้องอยู่กับแม่ไปตลอดกาลหรือว่า
00:29:00 → 00:29:03 ฉันไม่มีทางออกจากวงจรนี้แล้วอารมณ์ก็
00:29:03 → 00:29:06 ยิ่งเศร้ายิ่งแย่เราก็เลยตอบสนองแม่ไปว่า
00:29:06 → 00:29:07 ใครบอกแม่จะอยู่ไปตลอดกาลอะไอย่างเงี้ยก็
00:29:07 → 00:29:10 คือทั้งที่แม่ไม่ได้พูดคำว่าตลอดกาลแม่
00:29:10 → 00:29:11 พูดว่าอาทิตย์หน้าเนี่ยแกอยู่เป็นเพื่อน
00:29:11 → 00:29:14 แม่หน่อยแต่ว่าพอสมมุติฐานในใจมันไปใน
00:29:14 → 00:29:17 เรื่องว่าฉันติดอยู่ในกับดักวังวนไม่มี
00:29:17 → 00:29:20 ความหวังมันก็เลยกลายเป็นว่ามีปัญหาอ่า
00:29:20 → 00:29:22 ครับสมมุติที่ฐาประมาณอีกอันนึงก็เป็น
00:29:22 → 00:29:24 เรื่องความยุติธรรมแฟร์ไม่
00:29:24 → 00:29:28 แฟร์เบางทีแค่แม่พูดว่าเนี่ยเดี๋ยวฝากเอา
00:29:28 → 00:29:31 อันเนี้ยไปให้พี่ชายแกหน่อยครับลำเอียง
00:29:31 → 00:29:33 แต่จริงๆประโยคถัดไปคือเดี๋ยวอันเนี้ยแม่
00:29:33 → 00:29:36 ให้แกนะแต่ว่ายังไม่ทันรอแม่พูดประโยคที่
00:29:36 → 00:29:38 2 แค่พูดว่าเอาอันเนี้ยฝากให้พี่ชายแก
00:29:38 → 00:29:41 หน่อยครับมันก็ไปแล้วไปตีสมมุติฐานในใจ
00:29:41 → 00:29:44 ว่าลำเอียงไม่ยุติธรรมออันเนี้ยก็เลยทำ
00:29:44 → 00:29:47 ให้เป็นปัญหาเพราะเราลองดูสมมุติฐานในใจ
00:29:47 → 00:29:49 ก่อนนะครับส่วนข้อสุดท้ายเป็นทเรื่อง
00:29:49 → 00:29:51 เรื่องของปลอดภัยไม่ปลอดภัยอ่าแต่อันนี้
00:29:51 → 00:29:53 อาจจะไม่ค่อยได้เกิดในครอบครัวเเช่นรู้
00:29:54 → 00:29:56 สึกว่าโลกนี้อันตรายหรือว่ามีคนที่พร้อม
00:29:56 → 00:29:59 จะเอาเปรียบเราตลอดเวล
00:29:59 → 00:30:03 เรยคืออันอาจเกิดขึ้นบางีเรามีคนมาทัก
00:30:03 → 00:30:06 สวัสดีครับพี่ปสาเฮ้ยเขต้องการประโยชน
00:30:06 → 00:30:08 อะไรจากเราอะไรเงี้ยเพราะถ้าเกิด
00:30:08 → 00:30:10 Assumption เราหรือสมมติฐานเราเนี่ยตี
00:30:10 → 00:30:12 ความไปในเรื่องว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัยเนี่ย
00:30:12 → 00:30:15 เราอาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เอ่อรู้
00:30:15 → 00:30:18 สึกอบอุ่นรู้สึกปลอดภัยได้เลยเพราะว่าไม่
00:30:18 → 00:30:20 ว่าใครจะพูดอะไรทำอะไรเนี่ยเราตีความไปใน
00:30:20 → 00:30:23 มุมอันตรายหรือต้องระแวงหรือเขาต้องการ
00:30:23 → 00:30:25 อะไรพูดแบบนี้เเขาจะจับผิดอะไรรเปล่า
00:30:25 → 00:30:27 เพราะงั้นสมมติฐาน 5 อันที่ผมลองพูดไป
00:30:28 → 00:30:30 เนี่ยเป็นแค่ตัวอย่างว่าในหัวเราเนี่ยมี
00:30:31 → 00:30:33 แบบนี้บ้างหรือเปล่าแล้วถ้ามีเนี่ยเรารู้
00:30:33 → 00:30:35 ทันมว่าฮะแน่มาอีกแล้วสมมติที่หาเรื่อง
00:30:36 → 00:30:38 รักไม่รักแค่เราฮแนกก่อนฮะเราก็จะเริ่ม
00:30:38 → 00:30:41 เห็นมันแล้วเริ่มควบคุมมันได้อันนี้อาจจะ
00:30:41 → 00:30:44 ทำให้เราสามารถยืนตรงมั่นคงได้แม้กระทั่ง
00:30:44 → 00:30:46 แม่จะพูดอะไรเนี่ยเราก็ยังอย่าเพิ่งเชื่อ
00:30:46 → 00:30:49 ความคิดเพราะว่าในมุมนักจิตบำบัดแบบ cbt
00:30:49 → 00:30:51 เนี่ยที่ผมเป็นเนี่ยอครับมันคือการให้คน
00:30:51 → 00:30:54 เนี่ยเห็นความคิดตัวเองแล้วก็บอกว่าอย่า
00:30:54 → 00:30:57 เพิ่งเชื่อความคิดเสมอไปเพราะว่าทุกความ
00:30:57 → 00:31:00 คิดที่ปรากขึ้นมาเนี่ยไม่ได้จริงเสมอไปจน
00:31:00 → 00:31:02 กว่าเราจะพิสูจน์ว่าจริงแล้วค่อยเชื่อ
00:31:02 → 00:31:04 เพราะว่าส่วนมากความคิดมันมาจากความคุ้น
00:31:04 → 00:31:07 เคยมาจากความสิฐาใช่อติที่มีในใจเพราะ
00:31:07 → 00:31:09 งั้นในการบำบัดเนี่ยผมก็จะบอกว่าเอ๊ะแล้ว
00:31:09 → 00:31:12 พอแม่พูดแบบเยคุณคิดขึ้นมาว่าอะไรขึ้นมา
00:31:12 → 00:31:14 แม่ก็เอาอีกะเอ๊ะคำว่าเอาอีกแล้วเนี่ย
00:31:14 → 00:31:16 หมายความว่าไงหรอเอาแล้วก็คือแม่ก็ไม่เคย
00:31:16 → 00:31:18 รักเราอีกแล้วอตรงไหนที่แม่พูดมาหรือที่
00:31:18 → 00:31:21 แม่ทำแปลว่าเขาไม่รักเราอีกแล้วหรอครับพอ
00:31:21 → 00:31:23 เขาก็บอกเออไม่จริงอ่ะมันเป็นสิ่งที่เขา
00:31:23 → 00:31:26 กระโจนไปหาข้อสรุปตั้งแต่ต้นอะไรอย่า
00:31:26 → 00:31:28 เงี้ยครับใช่เมื่อกี้กำลังจะจะถามบีนอยู่
00:31:28 → 00:31:31 ว่าเออแล้วเราจะหาวิธีการไอทิ้งไอ้
00:31:31 → 00:31:33 สมมุติฐานที่มันชอบเกิดขึ้นในใจเราได้ยัง
00:31:34 → 00:31:35 ไงเพราะว่าของพวกนี้มันมาพร้อมกับความเคย
00:31:35 → 00:31:39 ชินใช่ใช่มั้ยเพราะว่าถ้าถ้าเกิดว่าในการ
00:31:39 → 00:31:41 บำบัดนะฮะเราก็จะให้เขาจดบันทึกความคิด
00:31:41 → 00:31:43 ก่อนหรือบันทึกเหตุการณ์ว่าเนี่ยวันนี้
00:31:43 → 00:31:45 ทะเลาะกับแม่อีกแล้วเหตุการณ์มันเป็นยัง
00:31:45 → 00:31:48 ไงพอเราได้มากรอภาพช้าๆหรือมาทบทวนเนี่ย
00:31:48 → 00:31:51 เราจะเห็นเลยว่าเออจริงๆจุดที่ทำให้เริ่ม
00:31:51 → 00:31:54 ทะเลาะเนี่ยมันคือจุดนี้นี่นาอ่าเพราะ
00:31:54 → 00:31:56 อันดับแรกคือเราลองเทคนิคแรกคือลองค่อยๆ
00:31:56 → 00:31:59 เรียบเรียงว่าแม่ประโยคไหนที่เป็นประโยค
00:31:59 → 00:32:01 จุดชนวนอ่าแล้วเราตอบสนองกับประโยคจุด
00:32:02 → 00:32:04 ชนวนนั้นยังไงเพราะบางครั้งเนี่ยความคิด
00:32:04 → 00:32:06 เรารีบกระโจนไปแปลความหรือบางครั้ง
00:32:06 → 00:32:09 พฤติกรรมเราครับดันใช้ท่าที่คุ้นเคยพอแม่
00:32:09 → 00:32:13 พูดปั๊บเราเงียบใสแม่พูดปั๊บเราสะบัดหนี
00:32:13 → 00:32:16 ครับถ้าเรายังทำพฤติกรรมแบบเดิมๆที่เป็น
00:32:16 → 00:32:18 วิธีนั้นเนี่ยผลลัพธ์ก็จะลงเอยแบบเดิมอ
00:32:18 → 00:32:21 เพราะงั้นถ้าเราได้กรอภาพช้าๆค่อยๆบันทึก
00:32:21 → 00:32:23 เราอาจจะเห็นว่านี่ไงชนวนเริ่มมาตรงนี้
00:32:23 → 00:32:26 แล้วเราก็ทำท่าเดิมๆคิดแบบเดิมปฏิบัติแบบ
00:32:26 → 00:32:28 เดิมผลลับก็
00:32:28 → 00:32:32 กรอภาพช้าๆนี่เหมือนดูดู slow นะดูผ่าน
00:32:32 → 00:32:34 กล้องวงจรปิดว่าเออเราเรารีแอคกับเรื่อง
00:32:34 → 00:32:36 นั้นยังไงแต่ผมชอบอันที่พูดว่าฮัแน่นะอ่ะ
00:32:37 → 00:32:39 ฮันแน่ความคิดอมาอีกแล้ว่คือถ้าส์ภาษา
00:32:39 → 00:32:41 อังกฤษก็ aware คือให้เราตื่นตัวแต่ภาษา
00:32:41 → 00:32:43 ไทยง่ายๆคือฮัแน่เราเห็นอีกะเพราะว่าคน
00:32:43 → 00:32:45 เราการจะเปลี่ยนเนี่ยไม่ได้แปลว่าเรา
00:32:45 → 00:32:47 เปลี่ยนได้ทันทีแต่การฮแน่เนี่ยเป็นขั้น
00:32:47 → 00:32:50 แรกของจุดเริ่มต้นเพราะว่าแค่เราเห็นก่อน
00:32:50 → 00:32:52 แต่เราเห็นแล้วก็ยังจะพลาดท่านะแต่พอเรา
00:32:52 → 00:32:54 เห็นบ่อยๆเห็นบ่อยๆเราจะเริ่มไหวขึ้นว่า
00:32:54 → 00:32:57 เราจะเริ่มเห็นก่อนเราแอชอ่าเห็นก่อนเรา
00:32:57 → 00:32:58 ปิ
00:32:58 → 00:33:00 พอถัดไปเราจะเริ่มรู้ทันแล้วว่าพอ้าแน่
00:33:00 → 00:33:02 ปั๊บเปลี่ยนมันก่อนว่ามันคิดเป็นอย่าง
00:33:02 → 00:33:05 อื่นได้หรือเปล่าหรือที่เราคิดว่าแม่เา
00:33:05 → 00:33:07 คิดกับเราแบบเนี้ยมันจริงหรือเปล่าเนี่ย
00:33:07 → 00:33:10 เราจะเริ่มมาสได้เหมือนมีเบรคทันแต่เริ่ม
00:33:10 → 00:33:12 ต้นที่ฮัแน่ก่อนแล้วเดี๋ยวพอฮแน่ได้ไว
00:33:12 → 00:33:15 ขึ้นค่อยมาถามตัวเองด้วย 3 คำถามอันแรก
00:33:15 → 00:33:18 คือจริงหรือเปล่าจริงแค่ไหนที่บอกที่แม่
00:33:18 → 00:33:20 พูดแบบนี้แปลว่าแม่ไม่รักเนี่ยจริงหรือ
00:33:20 → 00:33:23 เปล่าจริงแค่ไหนอันที่ 2 คือคิดเป็นอย่าง
00:33:23 → 00:33:26 อื่นได้เปล่าคือที่เขพูดประโยเขอน้ำความ
00:33:26 → 00:33:28 อย่างงั้นก็ได้อื่นได้หรือเปล่าแทนที่จะ
00:33:28 → 00:33:31 คิดว่าเด่าว่าฉันทำอาหารไม่อร่อยจืดอะไร
00:33:31 → 00:33:34 เงี้ยคิดเป็นอย่างอื่นได้มนะหรืออันที่ 3
00:33:34 → 00:33:37 คือคิดแบบไหนแล้วเป็นประโยชน์อที่เราคิด
00:33:37 → 00:33:39 แบบนี้ซ้ำๆคิดว่าแม่ไม่รักหรือคิดว่าแม่
00:33:39 → 00:33:42 ด่าเราเนี่ยครับมันมีข้อดีคืออะไรข้อดี
00:33:42 → 00:33:44 คือเราก็อาจจะไม่บัดเจ็บระมัดระวังตัว
00:33:44 → 00:33:47 หรือปกป้องตัวเองแต่มีข้อเสียมยเออข้อ
00:33:47 → 00:33:49 เสียก็หลายข้อเหมือนกันเลยนะทำให้เรา
00:33:49 → 00:33:52 เนี่ยก็มองหน้าแม่ก็เริ่มรู้สึกจะไม่ค่อย
00:33:52 → 00:33:55 พอใจใช้ชีวิตก็รู้สึกรู้สึกด้อย่าตัวเอง
00:33:55 → 00:33:58 เพราะงั้นดูไม่มีประโยชน์เท่าไหรกับความ
00:33:58 → 00:34:01 คิดอันนี้ที่เรามักจะคิดอยู่บ่อยๆงั้นคิด
00:34:01 → 00:34:03 แบบไหนล่ะถึงจะดีก็อาจจะไม่ต้องคิดเป็น
00:34:03 → 00:34:06 โรคสวยหรือลาเวนเดอร์ว่าแรักเรา 100% ก็
00:34:06 → 00:34:08 แค่คิดเป็นอย่างอื่นที่ดีกว่าก็พอซึ่งแค่
00:34:08 → 00:34:11 เมันก็ขยับแล้วแทนที่เดิมคิดว่าแม่ด่าเรา
00:34:11 → 00:34:14 เสมอแม่ไม่ชอบเราเลยแค่ปรับเป็นคิดอย่าง
00:34:14 → 00:34:16 อื่นแล้วก็คิดในทางที่เป็นประโยชน์ขึ้น
00:34:16 → 00:34:18 อีกนิดเนี่ยเราก็จะเริ่มมีชีวิตที่ต่างไป
00:34:18 → 00:34:22 อีกหน่อยแล้วอืครับอันนึงที่บางทีลูกกับ
00:34:22 → 00:34:24 พ่อแม่ที่อยู่ใกล้กันมากๆแล้วแล้วจะ
00:34:24 → 00:34:27 ทะเลาะกันก็คือต่างคนหวังว่าฉันอยากอยาก
00:34:27 → 00:34:30 จะไปเปลี่ยนเขาเช่นลูกก็หวังว่าอยากจะไป
00:34:30 → 00:34:32 เปลี่ยนพ่อแม่ที่เาเคยเห็นว่ามีนิสัยไม่
00:34:33 → 00:34:36 ดีทั้งๆที่เอายุมากแล้วในขณะที่พ่อแม่ก็
00:34:36 → 00:34:39 อยู่ใกล้กันก็เห็นบ่อยๆก็อยากจะไปเปลี่ยน
00:34:39 → 00:34:42 นิสัยรูปจริงๆมันเป็นไปได้มครับกรณีแบบ
00:34:42 → 00:34:46 นี้คือถ้าเอาพลังงานที่จะต้องเปลี่ยนคน
00:34:46 → 00:34:49 ตรงหน้าหรือคนอื่นเนี่ยก็อาจจะสิ้นเปลือง
00:34:49 → 00:34:51 พลังงานเยอะแต่ถามว่ามีเทคนิคที่แนะนำได้
00:34:51 → 00:34:53 มพอมีอเดี๋ยวจะกลับมาแนะนำแต่ผมบอกว่า
00:34:53 → 00:34:55 ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยอยากให้ปรับที่ตัวเรา
00:34:55 → 00:34:58 ว่าพอมีเสียงมากระทบเราอครับเราคิดอะไร
00:34:58 → 00:35:00 บ้างเราแปลความว่าอะไรแล้วเราจะตอบสนอง
00:35:00 → 00:35:02 แบบไหนผมคิดว่าอันเนี้ยเป็นสิ่งที่ใช้
00:35:02 → 00:35:05 พลังงานไม่ไม่มากเท่ากันไปเปลี่ยนใครแต่
00:35:05 → 00:35:09 ปรับระบบของเราว่าพอคิดอะไรตอบสนองแบบไหน
00:35:09 → 00:35:11 ตอบสนองต่างไปเพราะว่าผมบอกว่าสิ่งที่
00:35:11 → 00:35:13 เกิดขึ้นตรงหน้าเนี่ยเราอาจจะเลือกไม่ได้
00:35:13 → 00:35:16 หรอกว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหนทำอะไรบ้างแต่
00:35:16 → 00:35:19 เราเลือกวิธีตอบสนองได้เสมออตอบสนองแบบ
00:35:19 → 00:35:22 นึงก็ได้ผลลัพธ์แบบนึงตอบสนองอีกแบบก็ได้
00:35:22 → 00:35:23 ผลลัพธ์อีกแบบเพราะฉะนั้นถ้าเราปรับที่
00:35:24 → 00:35:27 วิธีตอบสนองเนี่ยดูจะคุ้มค่าคุ้มราคาที่
00:35:27 → 00:35:30 เราจะฝึกฝแต่ถ้าเกิดเราจะทุ่มพลังงานทุ่ม
00:35:30 → 00:35:31 เวลาไปเปลี่ยนคนตรงหน้าเหมือนไปเปลี่ยน
00:35:31 → 00:35:34 ตัวปัจจัยตั้งต้นเนี่ยเราอาจจะใช้เวลา 10
00:35:34 → 00:35:35 ปีก็ยังไม่เปลี่ยนเพราะขนาดเปลี่ยนตัวเรา
00:35:35 → 00:35:37 เองเนี่ยยังไม่ง่ายเลยแล้วไปเปลี่ยนใคร
00:35:37 → 00:35:39 เนี่ยอาจจะต้องใช้เวลาเยอะผมก็เลยบอกว่า
00:35:40 → 00:35:42 ถ้าเกิดคิดจะเปลี่ยนอันดับแรกคือปรับที่
00:35:42 → 00:35:44 วิธีรับมือหรือวิธีตอบสนองเนี่ยอาจจะคุ้ม
00:35:44 → 00:35:47 กว่าแต่ถ้าถึงจุดที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยน
00:35:47 → 00:35:50 จริงๆเพราะว่าเราปรับตัวเองดีสุดๆแล้วก็
00:35:50 → 00:35:53 ยังบาดเจ็บก็ยังรู้สึกถูกกระทบกระแทกผม
00:35:53 → 00:35:57 คิดว่าเทคนิคที่จะแนะนำได้เนี่ยมีสัก 2 ค
00:35:57 → 00:36:00 ครับข้อแรกคือเราเนี่ยให้จับถูกมากกว่า
00:36:00 → 00:36:04 จับผิดอืคือหลายๆครั้งเนี่ยเราจะจับผิด
00:36:04 → 00:36:06 ว่าเนี่ยแม่เอาอย่างเงี้นะแม่พูดอย่างนี้
00:36:06 → 00:36:09 อีกแล้วนะแม่ขึ้นเสียงอีกแล้วนะแม่พูดเรา
00:36:09 → 00:36:12 จับผิดกับเขาการจับผิดเนี่ยเขาไม่รู้หรอก
00:36:12 → 00:36:14 ว่าเราทำไงให้ถูกหรือว่าจับผิดแล้วจะรู้
00:36:14 → 00:36:16 ได้ไงว่าทำถูกคืออะไรแต่ถ้าเกิดบังเอิญ
00:36:16 → 00:36:19 เขาพูดดีวันเนี้ยเออลูกขอบคุณมากนะโอแม่
00:36:19 → 00:36:22 ขอบคุณเหมือนกันที่แม่ขอบคุณหนูเพราะว่า
00:36:22 → 00:36:24 อะไรอย่างเงี้ยคือเราหยอดกระปุกให้กับ
00:36:24 → 00:36:26 สิ่งที่เขาทำถูกอือเพราะว่าคนเราเนี่ยการ
00:36:26 → 00:36:29 จะมีพฤติกคนตรงหน้าแบบไหนเนี่ยมันมาจาก
00:36:29 → 00:36:32 การหยอดกระปุกในอดีตว่าเราเคยทำแบบไหน
00:36:32 → 00:36:34 แล้วมีคนชื่นชมอย่างเช่นตอนเด็กๆเราอ่าน
00:36:34 → 00:36:37 หนังสือแล้วพ่อแม่มากอดเรามาชื่นชมเราเรา
00:36:37 → 00:36:40 ก็อยากหยิบหนังสือมาอ่านซ้ำเพราะว่ามัน
00:36:40 → 00:36:42 ได้รับความรักเราไม่ได้หยิบหนังสือมาอ่าน
00:36:42 → 00:36:44 เพราะเราอยากได้สอบได้ที่ 1 หรอกแต่มันมา
00:36:44 → 00:36:47 จากความสัมพันธ์เป็นหลักก่อนว่าเราหยิบมา
00:36:47 → 00:36:49 แล้วแนวโน้มพอเราหยิบมาอ่านเมื่อไหร่พ่อ
00:36:49 → 00:36:52 แม่ก็จะยิ้มก็จะพูดถึงเราในแง่ดีเพราะ
00:36:52 → 00:36:54 งั้นเนี่ยคือการหยอดกระปุกเหมือนกันพอ
00:36:54 → 00:36:56 กลับมาที่พ่อแม่เราอาจจะเคยหยอดกระปุกมา
00:36:56 → 00:36:59 ในอดีตว่าเทำแบบเนี้ยเราก็จะแรงมาแรงกลับ
00:36:59 → 00:37:01 ไม่โกงอแต่ว่าถ้าเราเปลี่ยนใหม่ว่าถ้าเขา
00:37:01 → 00:37:04 บังเอิญทำถูกเนี่ยให้เราจับถูกว่าขอบคุณ
00:37:04 → 00:37:07 แม่มากที่พูดคำเมื่อกี้หนูดีใจมากเลยที่
00:37:07 → 00:37:10 แม่ขอบคุณหนูเ่าแล้วการหยอดกระปุกที่
00:37:10 → 00:37:12 สำคัญเนี่ยไม่จำเป็นต้องให้ของไม่ใช่ว่า
00:37:12 → 00:37:15 แม่พูดขอบคุณโอ้ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ความ
00:37:15 → 00:37:18 สัมพันธ์ที่ดีความรักที่ดีเนี่ยเป็นการ
00:37:18 → 00:37:20 หยอดกระปุกที่ดีมากๆเพราะยิ่งคนเราโตขึ้น
00:37:20 → 00:37:23 เนี่ยเรายิ่งหันหลังให้กันและกันเรายิ่ง
00:37:23 → 00:37:26 รู้สึกว่าความสัมพันธ์มันดูห่างเหินเมื่อ
00:37:26 → 00:37:29 ไหร่ก็ตามที่เขาทำอะไรดีๆเราจับถูกแล้ว
00:37:29 → 00:37:31 ความสัมพันธ์ให้กระชับแน่นขึ้นเช่นยิ้ม
00:37:31 → 00:37:35 กับเกอดเแตะเขอบคุณเเนี่ยมันคือทรงพลัง
00:37:35 → 00:37:37 มากเหรียญนั้นนาจะเป็นเหรียญใหญ่ที่หยอด
00:37:37 → 00:37:39 กระปุกลงไปออครับคำแนะนำข้อที่ 2 ครับก็
00:37:39 → 00:37:42 คือการเอ่อหยอดกระปุกตรงเนี้ยหรือว่าทาง
00:37:42 → 00:37:44 จิตวิทยาเราเรียกว่าการเสริมแรงเนี่ยเรา
00:37:44 → 00:37:48 ควรทำเจาะจงก็คือว่าแทนที่แม่พูดขอบคุณ
00:37:48 → 00:37:51 ปั๊บเลยบอกขอบคุณนะแม่อืเราต้องบอกว่า
00:37:51 → 00:37:54 ขอบคุณที่แม่ชื่นชมหนูนะขอบคุณที่แม่ดีใจ
00:37:54 → 00:37:57 ในอาหารที่หนูทำมาเพราะว่าถ้าเกิดเราไม่
00:37:57 → 00:37:59 พูดถึงพฤติกรรมเจาะจงเนี่ยเราอาจจะไปหยอด
00:37:59 → 00:38:01 กระปุกมั่วซั่วคือแม่ก็ไม่รู้ว่าขอบคุณ
00:38:01 → 00:38:03 เรื่องไหนแต่ถ้าเกิดเราพูดว่าขอบคุณที่
00:38:03 → 00:38:07 แม่เอ่อชมว่าอาหารหนูอร่อยครับแสดงว่าแม่
00:38:07 → 00:38:10 รู้ทันทีเลยว่าอถ้าพูดว่าอาหารอร่อยเนี่ย
00:38:10 → 00:38:13 ลูกคนเนี้ยดีใจอือ่าหรือหรือถ้าเกิดเรา
00:38:13 → 00:38:15 กลับมาในชีวิตประจำวันเนี่ยเราอยู่ใน
00:38:15 → 00:38:17 ออฟฟิศมีคนเอาน้ำมาให้ขอบคุณหน้าที่เอา
00:38:17 → 00:38:20 น้ำมาให้อหรือขอบคุณหน้าที่ช่วยเก็บขยะ
00:38:20 → 00:38:23 คือเรากำลังชี้ให้ชัดว่าเราเสริมแรงที่
00:38:23 → 00:38:25 พฤติกรรมไหนเหมือนเราซาบซึ้งเรื่องอะไร
00:38:26 → 00:38:29 ด้วยเพราที่เนี่ยเขเหมือนมีคำใบ้ว่าอุ้ย
00:38:29 → 00:38:32 ถ้าเขาทำอันนี้ในครั้งหน้าเนี่ยคนตรงหน้า
00:38:32 → 00:38:34 จะต้องดีใจคนตรงหน้าจะต้องชอบเราก็ค่อยๆ
00:38:35 → 00:38:37 หยอดกระปุกไปเพราะคำพูดแบบเนี้ยไม่ได้มี
00:38:37 → 00:38:40 ต้นทุนแต่ก็ต้องยอมรับว่าแรกๆอาจจะเขินๆ
00:38:40 → 00:38:43 หน่อยแต่ว่าพอเราทำไปเรื่อยๆเนี่ยสุดท้าย
00:38:43 → 00:38:45 มันจะเริ่มเปลี่ยนเพราะว่ากระปุกเนี้ยมัน
00:38:45 → 00:38:48 เริ่มเต็มมันเริ่มโตมันเริ่มฟูว่าครับ
00:38:48 → 00:38:51 เฮ้ยแม่ทำแบบนี้เมื่อไหร่ลูกคนเนี้ยดีใจ
00:38:51 → 00:38:54 มากเลยนะลูกคนนี้ขอบคุณลูกคนนี้จะเดินไป
00:38:54 → 00:38:57 ดี๊ดาล้างจานแล้วร้องเพลงคือทำอะไรแบบนี้
00:38:57 → 00:38:59 นี้แล้วแม่ก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าอ๋อที่
00:38:59 → 00:39:02 ผ่านมาฉันแค่ไม่เคยทำในสิ่งเหล่านี้เท่า
00:39:02 → 00:39:05 นั้นเองโอ้อันนี้อันนี้อันนี้ก็ดีครับ
00:39:05 → 00:39:07 เดี๋ยวเเดี๋ยวจะจำไปใช้ครับอันนี้เรียก
00:39:07 → 00:39:11 ว่าเป็นการจับถูกมากกว่าจับผิดแล้วก็ทำ
00:39:11 → 00:39:13 ให้เขาย้ำย้ำให้เห็นบ่อยๆว่าเออวิธีการ
00:39:13 → 00:39:16 แบบนี้เป็นวิธีการที่เราพึงพอใจครับอีก
00:39:16 → 00:39:18 อันนึงผมคิดว่าจะเป็นนิสัยที่จะเกิดขึ้น
00:39:18 → 00:39:22 บ่อยๆหรือบางทีหลายๆบ้านจะรู้สึกก็คือ
00:39:22 → 00:39:25 น้อยใจอือ่าน้อยใจบางทีลูกก็น้อยใจแล้วก็
00:39:25 → 00:39:28 ไม่พูดพ่อแม่ก็น้อยใจด้วยแล้วก็ไม่พูด
00:39:28 → 00:39:32 น้อยใจนี่แก้ยังไงอฮะคือถ้าผมในมุมนัก
00:39:32 → 00:39:34 จีบัตรผมจะแตกน้อยใจเเป็นอารมณ์ 2 อัน
00:39:34 → 00:39:37 ก่อนเพราะจริงๆน้อยใจมันเหมือนผสมสีฮะ
00:39:37 → 00:39:39 น้อยใจเนี่ยมันเหมือน 2 อารมณ์ที่ซ้อนกัน
00:39:39 → 00:39:43 อยู่ก็คือน้อยใจเนี่ยจริงๆมันเป็นเศร้าปน
00:39:43 → 00:39:47 โกรธอ่าก็คือว่าเราโกรธที่ทำไมฉันไม่ได้
00:39:47 → 00:39:50 แบบนั้นโกรธที่ทำไมฉันถึงไม่ไม่ได้รับ
00:39:50 → 00:39:52 เหมือนที่คนอื่นได้รับมันมีโทนของความ
00:39:52 → 00:39:55 โกรธแต่มันก็ผสมความเศร้าว่าเออฉันคงไม่
00:39:55 → 00:39:59 ดีพอหรือฉันคงไม่โอเคแหละฉันก็เลยไม่ได้
00:39:59 → 00:40:01 คือพอโกรธปนเศร้าเนี่ยมันก็เลยเป็นอารมณ์
00:40:01 → 00:40:04 ที่น้อยใจว่าเนี่ยทำไมแม่ไม่เคยชมฉันแต่
00:40:04 → 00:40:07 ชมคนอื่นอมันคือเนี่ยจริงๆมันโกรธที่แม่
00:40:07 → 00:40:09 ชมคนอื่นนะแล้วก็น้อยใจเอ้ยเราก็เศร้าที่
00:40:09 → 00:40:12 แม่ไม่ชมเราเพราะฉะนั้นพอแตกออกมาเป็น 2
00:40:12 → 00:40:14 ชิ้นเนี่ยการจัดการเนี่ยก็ส่วนมากผมก็จะ
00:40:15 → 00:40:18 พาไปดูที่ความคิดก่อนว่าเอ๊ะที่เราน้อยใจ
00:40:18 → 00:40:22 เนี่ยที่เราโกรธทำไมเราถึงรู้สึกว่าโกรธอ
00:40:22 → 00:40:25 มันคิดอะไรขึ้นมาเหรอคิดว่าแม่ก็ไม่เคยชม
00:40:25 → 00:40:28 ฉันเลยชมแต่พี่ชายอ
00:40:28 → 00:40:30 ถ้าเรามาดูความคิดนี้เราก็จะวงวงเลยว่า
00:40:30 → 00:40:33 แม่ไม่เคยชมฉันเลยออจริงหรือเปล่าหรือ
00:40:33 → 00:40:36 จริงแค่ไหนที่แม่ไม่เคยชมฉันเลยอ่าเพราะ
00:40:36 → 00:40:38 บางทีมันอาจจะเป็นว่าแม่ก็ชมวันจันทร์วัน
00:40:38 → 00:40:41 อังคารแต่วันพฤหัสบเนี่ยไม่ชมครับแต่เรา
00:40:41 → 00:40:45 ก็พร้อมจะเหมารวมว่าแม่ไม่ชมเราเลยใช่อ่ะ
00:40:45 → 00:40:47 เหมือนเรามีแฝนเโทรไปเราคุยกันทุกคืนเลย
00:40:47 → 00:40:49 แต่คืนนี้บอกเธอเราคุยแป๊บเดียวนะเดี๋ยว
00:40:50 → 00:40:52 ต้องไปทำงานเธอก็ไม่เคยให้เวลาฉันเลยอ่า
00:40:52 → 00:40:54 นั่นไงเพราะฉะนั้นอันนี้คืออันดับแรกคือ
00:40:54 → 00:40:56 ที่เราโกรธเนี่ยเรามาดูประโยคความคิดเรา
00:40:56 → 00:40:59 ก่อนว่าแม่ไม่เคยชมฉันเลยเนี่ยมันมีอะไร
00:40:59 → 00:41:02 ที่เรามองข้ามไปหรือเปล่านะทีนี้มาดูมุม
00:41:02 → 00:41:07 เศร้าฉันก็คงไม่ดีไม่มีคุณค่าที่แม่จะเ่า
00:41:07 → 00:41:11 รักหรือแม่จะภูมิใจอครับจริงแค่ไหนเออแม่
00:41:11 → 00:41:14 เาไม่ภูมิใจดีใจแล้วทำไมเาถึงส่งเราร่ำ
00:41:14 → 00:41:17 เรียนมาถึงขนาดนี้ทำไมเขาถึงเ่อให้ของเรา
00:41:17 → 00:41:20 หรือว่าเขาดูแลเรามาตั้งขนาดนี้อครับ
00:41:20 → 00:41:23 เพราะบางทีเราตัดตอนหรือสมองเรามีทางลัดใ
00:41:23 → 00:41:27 ทางลัดของเราเนี่ยมักจะทำอ่า 3 อย่างดี
00:41:27 → 00:41:29 อันแรกคือลบบางอย่างทิ้งไปเหมือนตัดทอนทำ
00:41:30 → 00:41:32 ให้เราลืมบางอย่าง delete อันที่ 2 คือ
00:41:32 → 00:41:35 ort คือบิดเบือนจริงๆคือเขาก็ทำแบบนึง
00:41:35 → 00:41:38 แต่เราบิดเบือนไปด้วยความเชื่ออะไรในใจ
00:41:38 → 00:41:40 อันที่ 3 คือเหมารวมคือ Over General ก็
00:41:40 → 00:41:43 คือเหมารวมไปแล้วว่า 1 ครั้งเท่ากับ 100
00:41:43 → 00:41:46 ครั้งอ่าเพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราเนี่ยรู้
00:41:46 → 00:41:48 สึกน้อยใจเราอาจจะต้องกลับมาถามตัวเองว่า
00:41:48 → 00:41:50 เอ้อจริงหรือเปล่าที่ความคิดที่เรามีเรา
00:41:50 → 00:41:54 delete อะไรทิ้งไปไม้ลบทอนเราเราบิด
00:41:54 → 00:41:56 เบือนอะไรที่มันเรามองข้ามหรืออะไรไปือ
00:41:56 → 00:41:57 เปล่าครับ
00:41:57 → 00:42:00 คือเราเหมารวมบางที 1 ครั้งเท่ากับ 10
00:42:00 → 00:42:02 ครั้งบางทีเราก็เหมารวมซึ่งอันนี้ผมเลย
00:42:02 → 00:42:04 บอกว่ามันคือวันนี้ที่คุยกันเนี่ยผมจะ
00:42:04 → 00:42:07 เชียร์ให้จัดการที่ตัวเองเพราะว่าถ้าแม่
00:42:07 → 00:42:10 พูดมาแล้วเราไม่ขึ้นแม่พูดมาแล้วเราไม่
00:42:10 → 00:42:13 กระทบเนี่ยเราจะรับมือกับแม่มากเพราะเรา
00:42:13 → 00:42:15 เป็นต้นไม้ที่ตั้งตรงที่ทำให้แม่เนี่ยเขา
00:42:15 → 00:42:18 มาพึ่งพิงแล้วค่อยๆจัดการอารมณ์ตัวเองได้
00:42:18 → 00:42:20 สมมุติถ้าเขาเหมือนสาดน้ำมันมาแล้วไฟไม่
00:42:20 → 00:42:24 ลุกเนี่ยเราก็จะเริ่มถามเกลับได้ว่าเอ่อ
00:42:24 → 00:42:26 ที่แม่พูดเนี่ยหมายความว่าไงนะหรือว่า
00:42:26 → 00:42:29 จริงป่าแม่ที่หนูไม่เคยดูแลแม่เลยจากเดิม
00:42:29 → 00:42:32 พอแกก็ไม่เคยดูแลฉันเราก็ไปะไม่เคยดูแล
00:42:32 → 00:42:35 อะไรแต่อันเนี้ยพอพอเราเริ่มตั้งตรงเรา
00:42:35 → 00:42:36 เริ่มถามเขกลับเริ่มเป็นนักบำบัดให้เขา
00:42:36 → 00:42:39 ว่าจริงหรอแม่ที่หนูไม่เคยดูแลแม่อ้าว
00:42:39 → 00:42:42 แล้วข้าวนี่อะไรเนี่ยอ่าหรือว่าขนหนูนี่
00:42:42 → 00:42:45 คืออะไรอะไรเงี้ยแม่ก็จะแบบเออๆๆพูดอะไร
00:42:45 → 00:42:47 เยอะแยะแต่จริงๆคือในหัวเขาก็เริ่มแล้ว
00:42:47 → 00:42:49 เริ่มเริ่มคิดแล้วว่าเออจริงๆที่เขาพูด
00:42:49 → 00:42:52 เนี่ยก็เป็นอคติหรือว่าเป็นทางลัดที่เขา
00:42:52 → 00:42:54 เหมารวมไปเหมือนกันแต่อันดับแรกเนี่ยตัว
00:42:54 → 00:42:57 เราต้องตั้งตรงก่อนซึ่งการตั้งตรงก็คือ่า
00:42:57 → 00:43:01 แน่ให้ได้บ่อยๆอ่าหรือว่ามาสลวภาพช้าๆลอง
00:43:01 → 00:43:03 ดูว่าจุดเกิดเหตุมันคือตรงไหนนะแล้วเราจะ
00:43:03 → 00:43:05 ปรับเปลี่ยนวิธีตอบสนองยังไงได้บ้างออ่า
00:43:05 → 00:43:09 ตรงเก็จะทำให้สถานการณ์มันเริ่มเปลี่ยน
00:43:09 → 00:43:11 แล้วเดี๋ยวบรรยากาศในบ้านมันค่อยๆเริ่ม
00:43:11 → 00:43:14 ขยับรวมไปถึงภาษาฉันอ่าไอ Message ชุดเ
00:43:14 → 00:43:16 ตัวโลมีเครื่องมือเยอะแล้วที่จะไปปรับ
00:43:16 → 00:43:18 เปลี่ยนบรรยากาศในบ้านโอ้โหนี้เครื่องมือ
00:43:18 → 00:43:21 เพียบเลยครับวอันนี้นี่ที่ผมว่าดูรอบ
00:43:21 → 00:43:23 เดียวไม่ได้นะต้องคยๆต้องค่อยๆต้องขึ้น
00:43:23 → 00:43:26 ซัยหลายอันเพะันนี้มีทำอธิบายเยอะภาษาเรา
00:43:26 → 00:43:29 ก็คือไปกรอกรอดูย้อนหลังนะครับมันจะได้จะ
00:43:29 → 00:43:31 ได้วิธีการรับมือแต่แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
00:43:31 → 00:43:33 เหมือนกับอย่างฮัแน่มันก็คือตั้งการตั้ง
00:43:33 → 00:43:35 สตินั่นแหละใช่มั้ยกลับมากลับมากลับมา
00:43:35 → 00:43:40 ตั้งสติแล้วก็หาวิธีการรับมือถ้าถ้ายัง
00:43:40 → 00:43:42 ไม่รู้วิธีการอะไรก็ก็อาจจะทวนสิ่งที่ี
00:43:42 → 00:43:44 แนะนำครับอันนี้มันเป็นเป็นเครื่องมือใน
00:43:44 → 00:43:47 การรับมือและที่สำคัญคือเข้าใจว่าต้องทด
00:43:47 → 00:43:50 ลองเอาไปใช้ใช่ครับต้องลองต้องทดลองเอาไป
00:43:50 → 00:43:51 ใช้ดูว่าว่าเป็นยังไงใช้กับเพื่อนก็ได้
00:43:51 → 00:43:53 ใช้กับคนใกล้ตัวก่อนก็ได้แล้วก็ค่อยใช้
00:43:53 → 00:43:56 กับเ่าคนที่บ้านครับๆใช่ผมเข้าใจว่าอัน
00:43:56 → 00:43:58 นี้จะเป็นประโยช์มากๆเพราะว่าบางอย่างเรา
00:43:58 → 00:44:01 ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าความสัมพันธ์บาง
00:44:01 → 00:44:03 อย่างเนี่ยต่อให้เราไม่ชอบกันยังไงเราก็
00:44:03 → 00:44:06 ไม่สามารถทำให้มันแตกหักได้ยังไงเราเนาะ
00:44:06 → 00:44:08 ต่อให้เราไม่ชอบไม่พึงพอใจหรือเราอยู่ใน
00:44:08 → 00:44:10 ความทุกข์ในการเจอหน้ากันน่ะบางทีเราก็
00:44:10 → 00:44:12 ไม่สามารถที่จะจะแยกออกจากกันได้ยังไงมัน
00:44:12 → 00:44:15 ก็ต้องต้องคงตรงนั้นนะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
00:44:15 → 00:44:17 ความสัมพันธ์แบบใชพ่อพ่อแม่ลูกอย่างเงี้ย
00:44:17 → 00:44:20 เนาะผมคิดว่าทิ้งท้ายอันนี้ดีกว่าครับว่า
00:44:20 → 00:44:22 หลายๆคนมองความสัมพันธ์เป็นเหมือนแก้วว่า
00:44:22 → 00:44:25 มันแตกหรือมันร้าวแล้วมันจะกลับมาใช้ไม่
00:44:25 → 00:44:27 ได้แต่พอดีผมอ่ะชอบฟังเพลงเก่าผมก็บอกว่า
00:44:28 → 00:44:30 ความรักเนี่ยอาจจะเหมือนต้นไม้เออเพราะ
00:44:30 → 00:44:33 ฉะนั้นคือรักเป็นหนังต้นไม้ก็คือว่าบาง
00:44:33 → 00:44:36 ครั้งแล้วต้นไม้มันอาจจะมีใบที่มันเหี่ยว
00:44:36 → 00:44:39 เฉามีกิ่งที่มันอาจจะเ่อต้องตัดทิ้งบาง
00:44:39 → 00:44:42 ครั้งความสัมพันธ์ที่ดีก็อาจจะต้องยอมกิน
00:44:42 → 00:44:45 ยาขมเพื่อตัดบางอย่างพูดสื่อสารบางอันที่
00:44:45 → 00:44:48 เป็นยาขมตรงนั้นอครับหรือบางครั้งมันอาจ
00:44:48 → 00:44:51 จะแตกหักรู้สึกว่ามันผิดไปแล้วมันคงย้อน
00:44:51 → 00:44:53 กลับมาไม่ได้แต่ถ้าเราเชื่อว่ามันคือต้น
00:44:53 → 00:44:56 ไม้เนี่ยมันสามารถเติบโตงอกงามได้ใหม่
00:44:56 → 00:44:58 เพราะฉะนั้นเรายังมีความหวังอยู่ว่ามัน
00:44:58 → 00:45:01 เปลี่ยนได้สิถ้าเราลดน้ำพนดินใส่ปุ๋ยซึ่ง
00:45:01 → 00:45:03 วันนี้เทคนิคต่างๆที่แนะนำไปเนี่ยมันคือ
00:45:03 → 00:45:06 การดูแลต้นไม้ต้นเดิมแหละด้วยวิธีการที่
00:45:06 → 00:45:09 ต่างไปเพราะว่าปุ๋ยแบบเดิมน้ำแบบเดิมแดด
00:45:09 → 00:45:11 แบบเดิมอาจจะไม่ได้พาเราให้ต้นไม้มันโตไป
00:45:11 → 00:45:14 ได้ใหญ่กว่านี้เพราะฉะนั้นเราลองหาวิธี
00:45:14 → 00:45:16 ใหม่ๆลองไปดูแลต้นไม้ต้นนี้และความ
00:45:16 → 00:45:18 สัมพันธ์ของเรากับคนที่บ้านคงดีขึ้นครับ
00:45:18 → 00:45:21 ครับๆโอ้วันนี้ดีมากๆวันนี้สนุกนะครับผม
00:45:21 → 00:45:23 ว่าน่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ะๆอเพราะว่า
00:45:24 → 00:45:25 ไอ้ประเด็นที่เราคุยกันผมเขจะเป็นกันหลาย
00:45:25 → 00:45:29 บ้านเอ่าลูกๆนี่หลายๆคนเจอเจอปัญหาแบบนี้
00:45:29 → 00:45:32 กันหมดนะครับเพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่เคย
00:45:32 → 00:45:35 อะไรนะเอาเอาทฤษฎีหรือเอาอะไรไปทดลองนะ
00:45:35 → 00:45:37 เดี๋ยววันนี้ผมคิดว่าได้ฟังลองลองไปทดลอง
00:45:37 → 00:45:42 ดูครับถ้าใครทำแล้วเกิดว่าได้ผลอ่ะอาจจะ
00:45:42 → 00:45:44 มาบอกหน่อยก็ได้นะครับแต่อาใช้เวลานาน
00:45:44 → 00:45:47 เหมือนกันนะฮะครับดูซ้ำเรื่อยๆใช่ปั่นวิว
00:45:47 → 00:45:49 ให้หน่อยแต่ถ้าได้ได้ประโยชน์อย่าลืมนะ
00:45:49 → 00:45:51 ครับมาคอมเมนต์บอกหน่อยบีนจะได้รู้ครับ
00:45:51 → 00:45:53 ว่าที่แนะนำไปได้ผลยังไงบ้างขอบคุณนะครับ
00:45:53 → 00:45:56 ีขอบคุณครับขอบคุณ
00:45:56 → 00:46:03 [เพลง]
00:46:03 → 00:46:06 บุพการีที่เคารพคู่มือการดูแลพ่อแม่ของคน
00:46:06 → 00:46:09 เจนลูกถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้ก็อย่าลืมกด
00:46:09 → 00:46:13 Subscribe ไว้ด้วยนะครับ