00:00:00 → 00:00:03 Single Being podcast about Living
00:00:03 → 00:00:07 your Best Single Life โดยหมอผิง
00:00:07 → 00:00:11 แพทย์หญิงธิดารุจิพัฒนกุล
00:00:11 → 00:00:16 จริิงๆอ่ะมันมีมานานมากเลยเนาะิหลาย10บปี
00:00:16 → 00:00:19 แล้วนะคะแต่ทำไมมันถึงมาดังเป็นกระแสใน
00:00:19 → 00:00:21 เมืองไทยในช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมาเคะเอา
00:00:21 → 00:00:25 อันดับแรกเลยเผมว่าคนเราอ่ะเริ่ม concern
00:00:25 → 00:00:27 เรื่องของ aging มากขึ้นจะมีคำถามนึงครับ
00:00:27 → 00:00:31 อาจารย์ที่ว่าคนจะถามเยอะมากนี้คำถยดคิด
00:00:31 → 00:00:33 อันดับเลยนะสำหรับคนที่ใช้กลุ่มเรอยคือ
00:00:33 → 00:00:36 อะไรรู้ยครับอาจารย์คืออะไคเขาจะถามว่าใน
00:00:36 → 00:00:39 เมื่อเราทาเรตินอยด์ตอนกลางคืนใช่มฮะแล้ว
00:00:39 → 00:00:42 ถ้าเรากลัวเรื่องวัยตอแสงจำเป็นไหมว่าทา
00:00:42 → 00:00:45 แล้วต้องรีบปิดไฟอาจารย์มีทริปอะไรแนะนำม
00:00:45 → 00:00:49 คะในการที่จะใช้เริอให้ได้ผลแล้วก็หน้า
00:00:49 → 00:00:53 ไม่แหกไม่แห้งไม่แดงไม่
00:00:53 → 00:00:57 แสบดีที่อยู่เดียว Presented by ไทย
00:00:57 → 00:01:04 ประกันชีวิต
00:01:04 → 00:01:06 สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่ Single
00:01:06 → 00:01:09 Being podcast ที่อยากให้ทุกคนฟังแล้ว
00:01:09 → 00:01:12 รู้สึกว่าดีที่อยู่เดี่ยวค่ะวันนี้นะคะ
00:01:12 → 00:01:15 ใครที่สนใจในเรื่องของสกินแครนะคะเพื่อ
00:01:15 → 00:01:19 ที่จะทาแล้วชะลอไว Anti aging นะคะห้าม
00:01:19 → 00:01:22 พลาดเลยค่ะเพราะว่าหมอนะคะมีแขกรับเชิญนะ
00:01:22 → 00:01:24 คะที่จะมาคุยให้ฟังถึงเรื่องราวของ
00:01:24 → 00:01:26 retinal นะคะซึ่งเป็นตัวเด่นของสกินแคร
00:01:27 → 00:01:28 ที่ช่วยในเรื่องของการชะลอวัยนะคะเรียก
00:01:28 → 00:01:31 ได้ว่าเด่นมามากๆในปีที่ผ่านมาเลยค่ะแต่
00:01:31 → 00:01:34 ว่ามันมี covery มีข้อความเห็นที่แตกต่าง
00:01:34 → 00:01:36 กันมากมายนะคะไม่ว่าจะเป็นเรื่องประโยชน์
00:01:36 → 00:01:39 ของมันหรือว่าเรื่องของผลข้างเคียงแล้วก็
00:01:39 → 00:01:41 ที่สำคัญที่สุดก็คือว่ามันใช้ยากนะครับ
00:01:41 → 00:01:43 หลายๆคนเนี่ยใช้เรตินอลไม่ได้นะคะวัน
00:01:43 → 00:01:47 เนี้ยเรามาไขปริศนาทุกเรื่องของเรตินอลไป
00:01:47 → 00:01:49 ด้วยกันค่ะค่ะขอยินดีต้อนรับนะคะผู้ช่วย
00:01:49 → 00:01:53 ศาสตราจารย์ดดรเภสัชกรกวินด้วงมีอาจารย์
00:01:53 → 00:01:56 สาขาบริบาลทางเภสัชกรรมคณะเภสัชศาสตร์
00:01:56 → 00:02:00 มหาวิทยาลัยศิลปากรค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์
00:02:00 → 00:02:02 ครับสวัสดีครับอาจารย์ผิงค่ะขออนุญาต
00:02:02 → 00:02:06 เรียกอาจารย์เฟิสนะคะครับผมค่ะก็ขอบคุณ
00:02:06 → 00:02:08 อาจารย์มากๆเลยนะคะที่วันนี้จะมาแชร์ให้
00:02:08 → 00:02:11 กับพวกเราฟังในเรื่องของ retinal นะคะ
00:02:11 → 00:02:13 ก่อนอื่นเลยค่ะอาจารย์ retinal คืออะไร
00:02:13 → 00:02:16 ค่ะอาจารย์ต้องพูดอย่างงี้ดีกว่าครับว่า
00:02:16 → 00:02:18 retinol เนี่ยจริงๆเขาเป็นเหมือนฟอร์ม
00:02:18 → 00:02:21 นึงนะครับหรือว่ารูปแบบหนึงของสารในกลุ่ม
00:02:21 → 00:02:24 ที่เราเรียกว่าเรตินอยด์อ่าจริงๆเนี่ยถ้า
00:02:24 → 00:02:26 พูดว่าเรตินอยด์เนี่ยบางคนอาจจะไม่คุ้นหู
00:02:26 → 00:02:30 แต่ถ้าพูดว่าวิตามินเออ่าอันเนี้ยผมว่าห
00:02:30 → 00:02:32 คนเนี่ยน่าจะคุ้นหูมากกว่าครับคือต้องบอก
00:02:32 → 00:02:34 ว่าสมัยก่อนเนี่ย Red นอยเนี่ยจะถูกรวม
00:02:34 → 00:02:37 อยู่ในกลุ่มของวิตามินเอเลยแต่ทีนี้พอลัง
00:02:37 → 00:02:39 หลังที่เราเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับ
00:02:39 → 00:02:42 โครงสร้างของเขามากขึ้นเามีโมเลกุลออกมา
00:02:42 → 00:02:45 มากมายมากขึ้นนะครับในบาง textbook เนาะ
00:02:45 → 00:02:48 หรือบางเรนนะเขาก็จะแยกกลุ่มของเรตินอยด์
00:02:48 → 00:02:50 เนี่ยออกมาเลยแต่ว่าจริงๆแล้วมันก็คือ
00:02:50 → 00:02:52 เป็นหนึ่งในอนุพันธ์ของวิตามินเอนั่นแหละ
00:02:53 → 00:02:57 ครับออือืโอเคนะคะซึ่งตัวเริอเนี่ยก็ถูก
00:02:57 → 00:03:01 นำมาใช้ในเวทสำอางต่างๆในครีมต่างๆในสิ
00:03:01 → 00:03:04 care ใช่มั้ยคะใช่ครับจริงๆเมีหลายฟอร์ม
00:03:04 → 00:03:06 มากเลยนะครับอาจารย์ว่าคือนอกเหนือจาก
00:03:06 → 00:03:09 retinal ควมเป็นยาก็มีอะไรอย่างงี้นะอื
00:03:09 → 00:03:11 ใช่ครับก็คือจริงๆแล้ว retinal เนี่ยเป็น
00:03:11 → 00:03:13 แค่ 1 ในฟอร์มนึงเท่านั้นแต่ว่าเวลาที่
00:03:13 → 00:03:16 เขาจะต้องไปออกฤทธิ์ที่ผิวของเรานะครับ
00:03:16 → 00:03:19 เขาก็จะต้องมีการเหมือนแปลงร่างก่อนนะฮะ
00:03:19 → 00:03:21 การแปลงร่างเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนนะครับ
00:03:21 → 00:03:23 จึงจะสามารถไปออกฤทธิได้อย่างตัวของ
00:03:23 → 00:03:26 retinal เนี่ยปกติแล้วก็จะถูกเปลี่ยนไป
00:03:26 → 00:03:30 ได้ 2 พวยนะครับรูปแบบแรกก็คือเปลี่ยน
00:03:30 → 00:03:32 แปลงไปเพื่อเก็บกักไว้ที่ผิวของเราหรือ
00:03:32 → 00:03:34 Storage ไว้ที่เซลล์ผิวของเรานะครับ
00:03:34 → 00:03:36 อันเนี้ยมันจะอยู่ในรูปที่เราเรียกว่า
00:03:36 → 00:03:39 เป็น reid เอตก็คือเป็นรูปของเอสเตอร์
00:03:39 → 00:03:42 ฟอร์มครับอาจารย์หรือว่าถ้าเขาต้องการจะ
00:03:42 → 00:03:44 ออกฤทธิ์เขาก็จะเปลี่ยนโดยการใช้อีก
00:03:44 → 00:03:47 ปฏิกิริยานึงที่เราเรียกว่าออกซิเดชัน
00:03:47 → 00:03:50 ครับพอเปลี่ยนปุ๊บอ่าจากเริอก็จะกลายเป็น
00:03:50 → 00:03:54 ฟอร์มที่เราเรียกว่า retinal หรือว่าที่
00:03:54 → 00:03:57 ทุกวันเนี้ยเราจะได้ยินกันว่าเรตินาเรติน
00:03:57 → 00:03:59 อะไรประมาณนี้ครับอารยใช่ๆๆใช่ค่ะเนี่ย
00:03:59 → 00:04:01 แหละครับจริงๆแล้วชื่อเต็มของเขาคือ
00:04:01 → 00:04:03 retinal High เราก็แบบตั้งชื่อไทยให้เ
00:04:03 → 00:04:06 เนาะน้อง retinal อะไรงี้ให้มันฟังง่ายๆ
00:04:06 → 00:04:09 หน่อยใช่ครับอาจารย์จริงๆก็คือ retinol
00:04:09 → 00:04:11 de High นี่แหละครับแล้วก็ไอ้เจ้าตัว
00:04:11 → 00:04:13 Retin High เนี่ยค่อยถูกเปลี่ยนแปลงไป
00:04:13 → 00:04:16 เป็นตัวที่เราเรียกว่า retinoic acd
00:04:16 → 00:04:19 ซึ่งในรูปที่จะออกฤทธิ์ที่ผิวอ่ะครับก็
00:04:19 → 00:04:23 คือตัวที่เป็น retinoic Acid นี่แหละอือ
00:04:23 → 00:04:26 ค่ะแล้วทีเนี้ยไอ้เจ้ากลุ่มเนี้ยไม่ว่าจะ
00:04:26 → 00:04:28 เรตินอยด์เรตินอลอะไรต่างๆเนี่ยมันส่งผล
00:04:28 → 00:04:31 กับผิวพรรณยังไงบ้างหรออคะอาจารย์มันถึง
00:04:31 → 00:04:33 ได้แบบมีการใช้ในทางผิวหนังเยอะมากเลย
00:04:33 → 00:04:35 จริงๆต้องบอกว่าประโยชน์เ้ามันค่อนข้าง
00:04:35 → 00:04:38 หลากหลายนะครับเพราะว่าเยอะแยะเลยเนาะอือ
00:04:38 → 00:04:40 ใช่ครับเพราะว่าการออกฤทธิ์ของเขาเนี่ย
00:04:40 → 00:04:44 มันจะไปออกฤทธิ์ที่บริเวณของ DNA ของเรา
00:04:44 → 00:04:47 นะครับก็คือเข้าบอกว่าตอนที่แน่นอนครับ
00:04:47 → 00:04:49 เวลาสมมุติเราทาตัวของเรนไปเขาจะต้องแปลง
00:04:50 → 00:04:52 ร่างก่อนใช่มั้ยครับอ่าพอแปลงร่างเสร็จ
00:04:52 → 00:04:55 แล้วปุ๊บนะฮะก็พอได้เป็นรูปของ retinoic
00:04:55 → 00:04:58 Acid เนี่ยเาถึงจะไปจับกับตัวรับคือใน
00:04:58 → 00:05:00 ทางการแพทย์เนี่ยเราจะเรียกว่าเาเป็นซต
00:05:00 → 00:05:03 หรือว่าเป็นตัวรับครับเวลาที่สารหรือยา
00:05:03 → 00:05:05 อะไรก็ตามไปจับกับตัวรับเนี่ยมันก็จะเกิด
00:05:06 → 00:05:09 การกระตุ้นต่อมาซึ่งไอ้ตัวรับที่เขาไปจัด
00:05:09 → 00:05:11 เนี่ยมันก็จะมีอยู่ 2 ตัวครับอาจารย์ก็
00:05:11 → 00:05:15 คือตัวรับที่ชื่อว่า rar กับ rxr อเอา
00:05:15 → 00:05:17 คร่าวๆประมาณนี้ะกันตัวรับ 2 ตัวเเขาก็จะ
00:05:17 → 00:05:20 จับคู่เป็นเหมือนปลาต้องโก๋เลยครับแล้วก็
00:05:20 → 00:05:24 ไปจับกับตัวของ DNA แล้วก็ทำให้มันเกิด
00:05:24 → 00:05:27 การเปลี่ยนแปลงอะไรออกมานะครับเปลี่ยน
00:05:27 → 00:05:30 แปลงการสร้างยีนการแสดงออกของยีนตต่าออก
00:05:30 → 00:05:33 มาซึ่งสิ่งที่จะเป็นผลที่เราจะพูดกันใน
00:05:33 → 00:05:36 เรื่องของ aging ก็คือเขาสามารถกระตุ้น
00:05:36 → 00:05:39 การสร้างของคอลลาเจนได้ครับอาจารย์อืตรง
00:05:39 → 00:05:42 นี้นี่แหละที่มันโดนอ่าใช่ครับแล้วก็นอก
00:05:42 → 00:05:44 เหนือจากเรื่องของการกระตุ้นการสร้าง
00:05:44 → 00:05:47 คอลลาเจนเขาก็ยังสามารถกระตุ้นการเจริญ
00:05:47 → 00:05:50 เติบโตของเซลล์ผิวที่เราเรียกว่าเคติตอ
00:05:50 → 00:05:52 แล้วก็ทำให้ตัวเซลล์ผิวเนี่ยมันมีการ
00:05:52 → 00:05:55 เหมือนหนาตัวมากขึ้นชั้นผิวของเราก็เกิด
00:05:55 → 00:05:59 ความแข็งแรงมากขึ้นได้ด้วยอค่ะซึ่งมันก็
00:05:59 → 00:06:02 ตอบโจย์ผิวแก่เลยเนาะใช่ครับต้องการ
00:06:02 → 00:06:04 คอลลาเจนและต้องการความแข็งแรงใช่ครับ
00:06:04 → 00:06:08 อาจารย์ก็คือแบบว่าอันเนี้ยผมขอลิงก์จาก
00:06:08 → 00:06:10 การออกฤทธิของเขานิดนึงว่าอย่างเมื่อกี้
00:06:10 → 00:06:12 ที่เฟิร์สบอกว่าเวลาเขาจะออกฤทธิ์เนี่ย
00:06:12 → 00:06:14 เขาต้องไปออกฤทธิ์ในระดับของยีนการแสดง
00:06:14 → 00:06:16 ออกของยีนใช่มั้ยครับเพราะฉะนั้นเนี่ยแปล
00:06:17 → 00:06:20 ว่าเราต้องใช้เวลาครับอาจารย์คือคนไทย
00:06:20 → 00:06:22 เนาะจริงๆไม่ใช่แค่คนไทยว่าทุกคนน่ะเวลา
00:06:22 → 00:06:24 ใช้สกินแคร์จะรู้สึกว่าอุยทำไมทาแล้วยัง
00:06:24 → 00:06:28 ไม่เห็นผลอุยฉันทาปุ๊บหูวันลุกขึ้นริ้ว
00:06:28 → 00:06:35 รอยฉันจะต้องแบบตื้นฟึบ
00:06:35 → 00:06:38 ใชใช้เวลาแล้วก็ต้องอดทในการทาเขาให้มัน
00:06:38 → 00:06:42 แบบต่อเนื่องนิดนึงครับอาจารยอโอเคซึ่ง
00:06:42 → 00:06:45 เพราะอย่างงนี้เนี่ยนะคะก็น่าสนใจมากๆแต่
00:06:45 → 00:06:48 ทีเที่พี่สงสัยก็คือว่าจริงๆอ่ะมันมีมา
00:06:48 → 00:06:52 นานมากเลยเนาะเริหลายสบปีแล้วนะคะแต่ทำไม
00:06:52 → 00:06:55 มันถึงมาดังเป็นกระแสในเมืองไทยในช่วงปี 2
00:06:55 → 00:06:57 ปีที่ผ่านมาเคะอืเว่ามีหลายปัจจัยนะครับ
00:06:57 → 00:07:01 อาจารย์ผิเอาอันดับแรกเลยผมว่าคนเราอ่ะ
00:07:01 → 00:07:03 เริ่ม concern เรื่องของ aging มากขึ้น
00:07:03 → 00:07:06 เพราะผมรู้สึกว่าอ่ะแต่ก่อนเนาะเราก็จะ
00:07:06 → 00:07:07 ไม่ได้พูดถึงกันเยอะใช่มั้ยครับแล้วก็คน
00:07:07 → 00:07:10 หลักๆเนี่ยเราพูดถึงกันมากขึ้นไม่ว่าจะ
00:07:10 → 00:07:12 เป็นไม่ใช่แค่เรื่องของสกิน care นะครับ
00:07:12 → 00:07:14 เรื่องของอาหารการกินหรือไลฟ์สไตล์การใช้
00:07:14 → 00:07:16 ชีวิตอะไรก็ตามเนี่ยครับแล้วก็ในเรื่อง
00:07:16 → 00:07:20 ของสกินแครเองที่เป็นตัวที่จะรั้งรั้ง
00:07:20 → 00:07:23 ความแก่ของเราไว้ได้ด้วยนะฮะก็เลยทำให้คน
00:07:23 → 00:07:26 น่ะเหมือนสนใจเริ่มสนใจมากขึ้นว่าอรนตัว
00:07:26 → 00:07:28 ไหนที่มันจะไปช่วยใช่มั้ยคะอ่ามันก็เลยมา
00:07:28 → 00:07:31 ดอย่างก็คือเหมือนผมว่าเดี๋ยวเโลแพตฟอร์ม
00:07:31 → 00:07:34 เรามันมีหลายแพตฟอร์มครับมันก็เลยทำให้
00:07:34 → 00:07:37 อ่ะตอนเทุกคนน่ะสามารถเป็น influencer
00:07:37 → 00:07:40 ได้ทุกคนสามารถให้ข้อมูลได้ก็เลยมีคนที่
00:07:40 → 00:07:44 มาพูดในการให้ข้อมูลมากขึ้นทีนี้พอมันมี
00:07:44 → 00:07:46 หลายความเห็นใช่มั้ฮะสิ่งที่ตามมาคืออะไร
00:07:46 → 00:07:50 รู้มั้ยครับอาจารย์ค่ะๆก็คือดราม่าฮะแล้ว
00:07:50 → 00:07:52 ใครที่ชอบดราม่าทำไมเหมือนเสียงอาจารย์
00:07:52 → 00:07:53 ชอบ
00:07:53 → 00:07:57 นะคนพูดด้วแหละครับที่ชอบเพราะคมันมีข้อ
00:07:57 → 00:08:01 มูลเยอะฮะมันก็มีแบบดราม่าตามมาอะไรเงี้ย
00:08:01 → 00:08:03 ก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าคนก็เลยสนใจเยอะ
00:08:03 → 00:08:05 ขึ้นจากคนที่แบบหไม่เคยรู้จักเลยนะครับ
00:08:05 → 00:08:09 แบบอุ๊ยฉันขอไปตามดราม่าเรื่องนี้นิดนึง
00:08:09 → 00:08:12 อ่าก็เลยทำให้กลายเป็นว่าเหมือนเป็นกระแส
00:08:12 → 00:08:15 มากขึ้นประมาณนั้นครับอาจารยซึ่งหนึ่งใน
00:08:15 → 00:08:17 คทนที่อาจจะไปได้ดราม่าแต่คนพูดถึงกัน
00:08:17 → 00:08:19 เยอะก็คือเรื่องของผลข้างเคียงต่างๆของ
00:08:19 → 00:08:23 เริอนะคะว่าแบบมันใช้ยากมันนู่นมันนี่ใช้
00:08:23 → 00:08:25 แล้วหน้าแหกก็มีอะไรอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์
00:08:25 → 00:08:27 อันนี้อยากให้อาจารย์เล่าให้ฟังถึงผลข้าง
00:08:27 → 00:08:30 เคียงต่างๆหน่อยจริงๆโดยทั่วไปนะครับก็
00:08:30 → 00:08:32 คือเวลลาสมมุติผมบอกคนไข้หรือว่าแนะนำนะ
00:08:33 → 00:08:35 ผมจะให้จำ 3 อย่างหลักๆก็คือแห้งแดงลอบ
00:08:35 → 00:08:38 อ่าอันนี้แหละครับคือ 3 อย่างหลักๆของเขา
00:08:38 → 00:08:40 เลยก็คือเขาอาจจะทำให้ผิวเนี่ยอทำใจไว้
00:08:40 → 00:08:44 เลยอือใช่ฮะแห้งมากขึ้นอาจจะมีผิวแดงได้
00:08:44 → 00:08:47 นะครับอาจจะมีผิวลอกได้ถ้าเกิดว่าใช้
00:08:47 → 00:08:49 อย่างไม่แบบระมัดระวังครับอาจารย์อันนี้
00:08:49 → 00:08:52 ก็เป็น 3 อย่างพื้นฐานเลยที่เจอได้ครับอ
00:08:52 → 00:08:55 อืแล้วเรื่องของการไวต่อแดดล่ะคะอาจารย์
00:08:55 → 00:08:58 อันนี้เนี่ยอืต้องบอกเลยว่าอืต้องตั้งใจ
00:08:58 → 00:09:01 ฟังนะเพราะว่าข้อมูลตัวนี้เนี่ยอือๆต้อง
00:09:01 → 00:09:04 ตั้งใจฟังนะฟังไม่ดีเดี๋ยวดราม่าใช่ครับ
00:09:04 → 00:09:06 เพราะว่าอย่างงี้ครับต้องบอกว่าข้อมูล
00:09:06 → 00:09:09 เนี่ยมันมีความ controversy นิดหน่อยอืๆ
00:09:09 → 00:09:11 เล่าให้ฟังอย่างงี้กันครับอาจารย์เรา
00:09:11 → 00:09:14 โฟกัสที่ตัวโมเลกุลของตัวเริอก่อนแล้วะ
00:09:14 → 00:09:17 กันนะครับถ้าเราโฟกัสที่ตัวโมเลกุลของ ral
00:09:17 → 00:09:20 เนี่ยอันเนี้ยแน่นอนครับว่าตัวโมเลกุลของ
00:09:20 → 00:09:23 เขาเนี่ยมีความไวต่อแสงซึ่งจริงๆแล้ว
00:09:23 → 00:09:26 เนี่ยเราจะใช้คำว่าเป็น pH degradation
00:09:26 → 00:09:29 ก็คือสามารถแบบสลายได้โดยการโดนแสกอย่า
00:09:29 → 00:09:32 อะไรก็ตามอันเนี้ยแน่นอนครับตรงกันทุก
00:09:32 → 00:09:34 Reference ตรงกันข้อมูลแบบไม่มี covery
00:09:34 → 00:09:37 ว่าตัวยาเองเนี่ยมันเสื่อมสภาพเมื่อโดน
00:09:38 → 00:09:41 แสงแน่นอนนะครับอทีนี้เนี่ยก็เลยกลายเป็น
00:09:41 → 00:09:44 ว่าเราก็เลยแนะนำว่าไม่ให้ใช้เค้าตอนเช้า
00:09:44 → 00:09:47 เพราะว่าถ้าไปใช้เค้าตอนเช้าเนี่ยมันอาจ
00:09:47 → 00:09:49 จะเสื่อมสลายได้ดังนั้นเนี่ยในปัจจุบันนะ
00:09:49 → 00:09:52 ครับอาจารย์บางผู้ผลิตสารเนาะเค้าก็
00:09:52 → 00:09:55 พยายามจะทำเหมือนให้ตัวของ RN เนี่ยมันมี
00:09:55 → 00:09:58 ความเหมือนเสถียรมากขึ้นครับบางเจ้านะ
00:09:58 → 00:10:02 ครับก็จะเคลมว่าอาจจะสามารถทาตอนเช้าได้
00:10:02 → 00:10:06 เพราะว่าอ่าของเขาเนี่ยทำ formulation ทำ
00:10:06 → 00:10:08 ตำรับมาให้มันทนต่อแสงอะไรประมาณนั้นครับ
00:10:08 → 00:10:11 แต่ว่าโดยทั่วไปโดยตัวโมเลกุลของยาเนี่ย
00:10:11 → 00:10:15 มันไม่ทนต่อแสงอทีนี้อพอเ้าโดนแสงใช่มั้ย
00:10:15 → 00:10:17 ครับแล้วก็สิ่งที่เกิดตามมาก็คือเขาบอก
00:10:17 → 00:10:21 ว่ามันอาจจะมีการ Break Down ของตัวโครง
00:10:21 → 00:10:23 สร้างอะไรบางอย่างทีนี้พอมันเกิดการ
00:10:23 → 00:10:25 เบรคดาวขึ้นเนี่ยในปฏิกิริยาเนี่ยมันอาจ
00:10:25 → 00:10:29 จะมีการปลดปล่อยพวกอมูลอิสระออกมาครับอื
00:10:30 → 00:10:32 อ่าซึ่งไอ้เจ้าอนุมูลอิสระพวกนี้แหละมัน
00:10:32 → 00:10:35 อาจจะทำให้เกิดการ ER หรือว่าการระคาย
00:10:35 → 00:10:37 เคืองเพราะฉะนั้นอฝั่งเนี้ยเขาก็บอกว่า
00:10:37 → 00:10:41 โอเคดังนั้นเนี่ยมันอาจจะทำให้ไวต่อแสงใน
00:10:41 → 00:10:45 แง่ของการที่ว่าพอโดนแสง UV ปุ๊บนะครับ
00:10:45 → 00:10:47 เกิดเป็นอนุมูลอิสระแล้วก็ทำให้ผิวเกิด
00:10:47 → 00:10:49 การระคเคือง
00:10:49 → 00:10:52 อืทีนี้ในอีกฝั่งหนึงครับอาจารยที่ผมบอก
00:10:52 → 00:10:54 ว่าข้อมูลมันยัง covery เพราะว่าอย่างที่
00:10:54 → 00:10:57 เมื่อกี้เฟิร์สเพิ่งเล่าให้ทุกคนฟังว่า
00:10:57 → 00:11:00 การออกฤทธิส่วนนึงของตัวเนอเนี่ยมัน
00:11:00 → 00:11:04 สามารถเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง
00:11:04 → 00:11:07 เพิ่มจำนวนของเครตินไซตอ่าทำให้ผิวเรา
00:11:07 → 00:11:10 แข็งแรงมากขึ้นนั่นแปลว่าจริงๆแล้วอ่ะ
00:11:10 → 00:11:12 ครับถ้าเกิดว่าเราใช้กลุ่มพวกเรตินอยด์ไป
00:11:12 → 00:11:15 เรื่อยๆเนี่ยพอผิวเรามันมีความแข็งแรงมาก
00:11:15 → 00:11:18 ขึ้นเนี่ยจริงๆมันไม่น่าจะไวต่อแสงนี่นา
00:11:18 → 00:11:21 อือ่าเพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่ามัน
00:11:21 → 00:11:24 มีข้อมูล 2 ฝั่งครับที่บอกแล้วว่ามันอาจ
00:11:24 → 00:11:27 จะไวต่อแสงก็ได้หรือมันอาจจะไม่ได้เกี่ยว
00:11:27 → 00:11:30 กับการทำให้ไวต่อแสงก็ได้อืแต่ยังไงก็ตาม
00:11:31 → 00:11:34 นะครับเวลาที่มีคนใช้กลุ่มของพวกเนอเนี่ย
00:11:34 → 00:11:36 เราก็จะแนะนำให้ทากันแดดอยู่แล้วเพราะว่า
00:11:36 → 00:11:39 แน่นอนอันที่ 1 เลยอ่ากันแดดก็เป็นเรื่อง
00:11:39 → 00:11:41 ของพื้นฐานผิวใช่มั้ครับที่ปรากฏจะต้อง
00:11:41 → 00:11:43 ใช้อยู่แล้วแล้วก็สิ่งสำคัญก็คือในเรื่อง
00:11:43 → 00:11:46 ของ aging หรือว่าผิวที่แก่เนี่ยหลักๆเลย
00:11:46 → 00:11:49 อันนึงก็คือ pH edging อ่าอ่าก็คือแสง
00:11:49 → 00:11:51 แดดทำให้ผิวเราแก่แล้วดังนั้นเนี่ยถ้าเรา
00:11:52 → 00:11:55 อยากจะอือแ aging จริงๆนะฮะเราก็ต้องใช้
00:11:55 → 00:11:58 ให้มันครบอ่ะเห็นด้วยค่ะโดยส่วนตัวก็เห็น
00:11:58 → 00:12:00 ด้วยนะคะว่าจริงๆแล้วอ่ะไม่ต้องกลัวมากใน
00:12:00 → 00:12:03 เรื่องของการทำให้ผิวไวต่อแสงโดยเฉพาะถ้า
00:12:03 → 00:12:05 เป็นอย่างในคนไทยดังนั้นเนี่ยแล้วถ้ากลาง
00:12:05 → 00:12:06 วันเนี่ยเราก็ไม่ได้ทาเรตินอลแล้วเราก็ทา
00:12:06 → 00:12:09 กันแดดเนาะแล้วเราก็ทาเรตินอลกลางคืนนะ
00:12:09 → 00:12:11 แล้วผิวเราก็ค่อนข้างทนต่อแดดประมาณนึง
00:12:11 → 00:12:14 อยู่แล้วพี่ว่าไม่น่าจะมีปัญหาตรงนั้นมัน
00:12:14 → 00:12:16 จะมีคำถามนึงครับอาจารย์ที่ว่าคนจะถาม
00:12:16 → 00:12:19 เยอะมากอันนี้เป็นคำถามยอดคิดอันดับ 1
00:12:19 → 00:12:21 เลยนะฮะสำหรับคนที่ใช้กลุ่มเรตินอยด์คือ
00:12:21 → 00:12:23 อะไรรู้มั้ยครับอาจารย์คืออะไรคะเขาจะถาม
00:12:23 → 00:12:26 ว่าในเมื่อเราทาเรตินอยด์ตอนกลางคืนใช่
00:12:26 → 00:12:29 มั้ยฮะแล้วถ้าเรากลัวเรื่องวัยตอแสง
00:12:29 → 00:12:32 จำเป็นมว่าทาแล้วต้องรีบปิดไฟอ๋ออาจารย์
00:12:32 → 00:12:34 ผิดเคยได้ยินคำถามนี้มั้ยครับเคยได้ยินคน
00:12:34 → 00:12:37 เป็นพยาบาลมั้งเก็ถามเเป็นพยาบานต้องออก
00:12:37 → 00:12:41 ไปอยู่ใน or ทุกคนจะถามเลยว่าอุ้ยเฮ้ยเรา
00:12:41 → 00:12:43 ทาเรตินอลเสร็จปุ๊บันต้องรีบวิ่งไปปิดไฟ
00:12:43 → 00:12:46 แล้วก็โจนลงเตียงอะไรแบบนี้ครับอาจารย์
00:12:46 → 00:12:49 อันนี้เป็นคำถามคลาสสิคมากเลยก็จะบอกทุก
00:12:49 → 00:12:52 คนว่าไม่ต้องกลัวนะครับเพราะว่าจริงๆแล้ว
00:12:52 → 00:12:54 เนี่ยไอ้เจ้าแสงที่เกิดจากหลอดไฟหรือแสง
00:12:54 → 00:12:56 ที่มันอยู่ในห้องของเราเนี่ยมันไม่ได้มี
00:12:56 → 00:13:00 ความเข้มขนาดนก็อใช่ฮะจริงๆมันมีงานวิจัย
00:13:00 → 00:13:02 เหมือนกันนะครับที่ดูในเรื่องของ pH
00:13:02 → 00:13:05 stability อครับอาจารย์แล้วก็เราก็พบว่า
00:13:05 → 00:13:07 มันไม่ได้ทำให้เกิดการสลายขนาดนั้นแล้วก็
00:13:07 → 00:13:10 ในงานวิจัยเองเนี่ยก็ใช้ความเข้มข้นของ
00:13:10 → 00:13:12 แสงที่มันแบบเยอะมากที่มันเป็นไปไม่ได้
00:13:12 → 00:13:14 ที่มันจะอยู่ในชีวิตประจำวันของเราหมาย
00:13:14 → 00:13:16 ถึงว่าอจากหลอดไฟนะครับอาจารย์คือถ้าจาก
00:13:16 → 00:13:19 แสงแดดเนี่ยจาก UV นี่แน่นอนค่ะอแต่ถ้า
00:13:19 → 00:13:21 เป็นแสงไฟในห้องนี่ไม่ต้องกลัวดังนั้นไม่
00:13:21 → 00:13:25 ต้องทาเสร็จปุ๊บปิดไฟกระโจนลงเตียงอะไร
00:13:25 → 00:13:27 ไม่ต้องขนาดนั้นนะครับสบายใจได้เล่นมือ
00:13:27 → 00:13:30 ถือต่อได้ครับผมเองก็อย่างงี้ฮะใช้ชีวิต
00:13:30 → 00:13:33 แบบนี้ครับค่ะทีเนี้ยเราก็เห็นทั้งข้อดี
00:13:33 → 00:13:37 ของเขาะนะคะแล้วก็ทราบข้อต้องควรระวังละ
00:13:37 → 00:13:39 มีใครมยคะที่อาจารย์ไม่แนะนำว่าให้ใช้
00:13:39 → 00:13:42 เรตินอลไม่ควรใช้พูดง่ายๆอันดับ 1 เลยนะ
00:13:42 → 00:13:45 ครับก็คือคนที่ตั้งครรภ์ครับอาจารย์อืแน่
00:13:45 → 00:13:48 นอนอันนี้คือข้อมูลค่อนข้างเยอะครับโดย
00:13:48 → 00:13:51 เฉพาะตัวที่เป็นตัวยาอย่าง retinoic
00:13:51 → 00:13:54 Acid แน่นอนฮหรือว่าตัวยารับประทาน
00:13:54 → 00:13:56 สำหรับคนที่รักษาสิวที่แบบคุ้นเคยกัน
00:13:56 → 00:13:59 อย่างเช่นตัวของไอซินครับอันยห้ามแน่นอน
00:13:59 → 00:14:02 ห้ามแบบเด็ดขาดเลยแล้วก็อาจจะต้องมีการ
00:14:02 → 00:14:04 หยุดยาก่อนตั้งครรภ์ด้วยอันนั้นเราพูดถึง
00:14:04 → 00:14:07 ยารับประทานใช่มั้ยครับทีนี้พอเป็นตัวของ
00:14:07 → 00:14:10 เรอเนี่ยที่มันเป็นตัวของสกิน care เนาะ
00:14:10 → 00:14:12 ไม่ใช่ตัวของยานะครับถามว่าเราจะต้อง
00:14:13 → 00:14:15 ระมัดระวังขนาดนั้นมยจริงๆแล้วเนี่ยข้อ
00:14:15 → 00:14:18 มูลก็บอกว่ามันไม่ได้ถึงขนาดนั้นครับแต่
00:14:18 → 00:14:21 ว่าอ่ะพูดแบบง่ายๆนะครับอาจารย์ถ้าให้
00:14:21 → 00:14:23 เลือกระหว่างลูกนะกับผิวหน้าเราเราก็ต้อง
00:14:23 → 00:14:26 เลือกลูกเราก่อนใช่มั้ยครับดังนั้นคงไม่
00:14:26 → 00:14:29 มีใครที่กล้าจะแนะนำครับอาจารย์ว่าให้ใช้
00:14:29 → 00:14:32 แล้วก็มันก็มีข้อมูลครับว่าตัวของ RN
00:14:32 → 00:14:34 เนี่ยถึงแม้จะเป็นแบบพานะครับมันก็อาจจะ
00:14:34 → 00:14:36 สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดเราได้บ้าง
00:14:36 → 00:14:39 เล็กๆน้อยๆดังนั้นช่วงท้องก็ยอมสวยน้อยลง
00:14:40 → 00:14:42 หน่อยแล้วกันเนาะไปทายอย่างอื่นใช่ครับ
00:14:42 → 00:14:44 Play เซฟ Play เซฟฮะแล้วก็จะมีคนถามต่อ
00:14:44 → 00:14:48 ว่าอ่ะแล้วถ้าคลอดแล้วให้นมน้องอยู่อ่า
00:14:48 → 00:14:50 อย่างเงี้ยให้นมน้องอยู่ให้ได้มอันเนี้ย
00:14:50 → 00:14:54 จะต้องบอกว่าข้อมูลเนี่ยค่อนข้างโอเคมาก
00:14:54 → 00:14:56 กว่าตั้งครรภ์ครับคือถ้าเราแบบเซิร์ช
00:14:56 → 00:14:58 สมมติเราเสิร์ชทั่วๆไปเมื่อกี้ผมลอง
00:14:58 → 00:15:01 เซิร์ชดูเนา a gole eng หลอย่าก็จะบอก
00:15:01 → 00:15:05 ว่าไม่นะเพราะว่าดยทั่วไปก็จะบอกว่าไม่
00:15:05 → 00:15:08 แต่ว่าพอเราไปดูในข้อมูลในเชิงลึกในทาง
00:15:08 → 00:15:10 วิทยาศาสตร์จาก textbook ต่างๆพวก
00:15:10 → 00:15:13 pregnancy elation อะไรพวกเครับจริงๆ
00:15:13 → 00:15:16 แล้วสำหรับ topical นะฮเขาก็บอกว่าปริมาณ
00:15:16 → 00:15:19 มันแบบน้อยมากๆที่จะไปผ่านตัวของน้ำนมแต่
00:15:20 → 00:15:22 ถ้าเราดูจากโมเลกุลโครงสร้างของเขาเนี่ย
00:15:22 → 00:15:25 จริงๆแล้วมันมีโอกาสไปได้นะครับอาจารย์มี
00:15:25 → 00:15:27 โอกาสไปถึงได้เพราะฉะนั้นเนี่ยเขาก็เลย
00:15:27 → 00:15:30 บอกว่าโอเคก็ยังไงก็ Safety First ก็
00:15:30 → 00:15:32 ปลอดภัยไวก่อนแต่ถ้าถามว่าใช้แล้วมันจะ
00:15:32 → 00:15:35 ผิดมากขนาดนั้นมยผมมองว่าก็อาจจะไม่ได้
00:15:35 → 00:15:38 ขนาดนั้นในกรณีของการให้นมนองนะครับแต่
00:15:38 → 00:15:41 ตั้งคันอันนี้เราแนะนำให้ลีกเลี่ยงแล้วก็
00:15:41 → 00:15:44 เราไม่อยากจะให้เหมือนแบบลดของทุกคนที่
00:15:44 → 00:15:47 ฟังพแสนี้อยู่นะครับเพราะฉะนั้นโดยเบื้อง
00:15:47 → 00:15:49 ต้นเนี่ยก็ไม่ต้องใช้เลยก็ได้ไม่ต้องใช้
00:15:49 → 00:15:52 เลยดีกว่าอใช่ครับทั้งคนที่ตั้งครรภ์แล้ว
00:15:52 → 00:15:55 ก็คนที่ให้นมนครับอาจารยค่ะอือฮึแล้วก็
00:15:55 → 00:15:57 อันนี้นะคะมาถึงตอนที่สำคัญที่สุดแล้วค่ะ
00:15:57 → 00:16:00 อาจารย์สำหรับคนที่ฟังแล้วอยากจะใช้นะคะ
00:16:00 → 00:16:02 อาจารย์มีทิปอะไรแนะนำมั้ยคะในการที่จะ
00:16:03 → 00:16:06 ใช้เรตินอลให้ได้ผลแล้วก็หน้าไม่แหกไม่
00:16:06 → 00:16:10 แห้งไม่แดงไม่แสบอ่าโอเคครับก็อันนี้นะ
00:16:10 → 00:16:12 ครับอันดับแรกเลยนะครับผมแนะนำนะฮะทุกคน
00:16:12 → 00:16:15 จะต้องรู้จักกับผิวตัวเองก่อนนะครับว่า
00:16:15 → 00:16:18 ผิวของตัวเองเนี่ยเป็นยังไงอือฮึคำถามเย
00:16:19 → 00:16:20 หมายถึงอะไรหมายถึงว่าอันดับแรกเราดูก่อน
00:16:20 → 00:16:23 นะคะว่าเราเป็นคนที่ผิวแพ้ง่ายผิวระคาย
00:16:23 → 00:16:26 เคืองง่ายหรือเปล่านะครับหรือว่าเราเป็น
00:16:26 → 00:16:29 คนที่ผิวแข็งแรงหรือว่าถ้าผมพูดภาษาง่ายๆ
00:16:29 → 00:16:32 แล้วผิวถึกอผิวเราถึกนะทาอะไรก็ไม่เคย
00:16:32 → 00:16:35 เป็นอะไรเลยนะครับงั้นอันดับแรกเนี่ยอยาก
00:16:35 → 00:16:38 ให้ทุกท่านที่ฟังพแสให้อยู่เนี่ยทำความ
00:16:38 → 00:16:40 เข้าใจกับผิวตัวเองก่อนว่าเป็นคนผิวแพงย
00:16:40 → 00:16:42 อ่าสมมติบอกเป็นคนผิว sensitive ค่ะแพ้
00:16:42 → 00:16:45 ง่ายค่ะอ่าถ้าเป็นคนที่ผิวแพ้ง่ายนะครับ
00:16:45 → 00:16:47 อันดับต่อไปเนี่ยเราก็แนะนำว่าเวลาที่เรา
00:16:48 → 00:16:50 จะเลือกใช้กลุ่มของ RN เนี่ยก็ให้เลือก
00:16:50 → 00:16:54 ใช้ตัวที่เปอร์เซ็นต์มันน้อยๆอือเราอย่า
00:16:54 → 00:16:56 ไปเริ่มที่ความเข้มข้นสูงๆครับเราก็เริ่ม
00:16:56 → 00:16:59 ตรวจที่เปอร์เซ็นต์มันน้อยๆทนี้เนี่ยหา
00:16:59 → 00:17:01 ของบ้านเราจะเป็นอย่างงนี้ครับอาจารย์ว่า
00:17:01 → 00:17:03 ในหลายๆแบรนด์เนาะเขาก็ไม่ได้มีการบอก
00:17:03 → 00:17:07 เปอร์เซ็นต์นั่นสิกำลังจะถามว่าเไม่บอก
00:17:07 → 00:17:09 ใช่ครับอันนี้ก็จะลำบากนิดนึงครับแต่ว่า
00:17:09 → 00:17:12 ถ้าเกิดว่าแบรนด์ไหนที่บอกเนี่ยก็โอเคะ
00:17:12 → 00:17:13 แต่ว่าสิ่งที่ต้องระวังคือบางทีอ่ะครับ
00:17:13 → 00:17:16 เวลาที่เขาเขียนเนาะเขาอาจจะเขียนเป็น
00:17:16 → 00:17:19 1.5% retinal Complex แบบเนี้ยไม่ได้
00:17:19 → 00:17:23 แปลว่า retinal 1.5% นะครับแต่ว่ามันอาจ
00:17:23 → 00:17:26 จะมีสารอื่นๆอยู่ด้วยอ่าแล้วก็รวมใน
00:17:26 → 00:17:29 ปริมาณของเาเนี่ย 1.5% แต่จริงๆแล้วเนี่ย
00:17:29 → 00:17:32 เพียเริอเนี่ยอาจจะแค่0จกว่าเท่านั้นเอง
00:17:32 → 00:17:35 ครับอาจารยโอ้หลอกกันนี่นาอ่าประมาณนั้น
00:17:36 → 00:17:37 ครับคือจริงๆมันก็เป็นถามว่าเป็นส่วน
00:17:37 → 00:17:39 หนึ่งของการตลาดมยก็คงเป็นส่วนหนึ่งครับ
00:17:40 → 00:17:42 แต่ว่าบางทีอาจจะเป็นเรื่องของบริษัทที่
00:17:42 → 00:17:45 เขาทำสารที่มันจะมีการคลกอือื่นด้วยแต่
00:17:45 → 00:17:47 ว่าเียวของเรตินอลมีเท่านี้ค่ะอ่าแล้วถ้า
00:17:47 → 00:17:50 ที่อาจารย์บอกว่าถ้าเกิดเขาบอกตรงๆเนี่ย
00:17:50 → 00:17:52 อาจารย์อยากให้มองหาที่เปอร์เซ็นต์เท่า
00:17:52 → 00:17:55 ไหร่นะคะถ้าสำหรับคน sensitive ถ้าสำหรับ
00:17:55 → 00:17:58 คน sensitive ครับจะให้เริ่มต้นที่ 0.1%
00:17:58 → 00:18:02 ครับคือตอนเในท้องตลดของเรานจะมีได้ถึง 1%
00:18:02 → 00:18:04 เลยแต่ว่าโดยทั่วไป 1% ไม่ค่อยเจอครับ
00:18:04 → 00:18:08 ส่วนใหญ่จะเจอ 0.1 0.2 แล้วก็ 0.3% ครับ
00:18:08 → 00:18:12 ออ๋อก็เริ่มจาก 0.1 ก่อนเลยค่ะใช่ครับถ้า
00:18:12 → 00:18:14 เกิดว่าเป็นผิวแพ้ง่ายระคายเคืองง่ายเรา
00:18:14 → 00:18:16 ก็แนะนำให้เริ่มในเปอร์เซ็นต์ที่มันต่ำๆ
00:18:16 → 00:18:19 ก่อนแต่ถ้าสมมุติเรารู้สึกว่าอุ้ยผิวเรา
00:18:19 → 00:18:22 แข็งแรงแล้วเราอาจจะเริ่มไปที่เยอะหน่อย
00:18:22 → 00:18:26 ก็ได้หรือว่าถ้าใครนะฮที่เคยเป็นสายสิว
00:18:26 → 00:18:29 รักษาสิวมาก่อนซึ่งแน่นอนครับ ess ของการ
00:18:29 → 00:18:32 รักษาสิวเนี่ยอาจจะได้รับยาในตัวของ
00:18:32 → 00:18:34 retinoic Acid มาแล้วก็คืออุยฉันเคย
00:18:34 → 00:18:37 ผ่านแบบว่าตัวโหดมาแล้วอะไรอย่างงี้ครับ
00:18:37 → 00:18:41 อาจาริไม่เป็นไรเลยใช้ได้สบายมากอือฮึใช่
00:18:41 → 00:18:42 ครับเพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็สามารถอาจจะใช้
00:18:42 → 00:18:45 ตัวที่ความเข้มข้นสูงหน่อยได้หรือว่า
00:18:45 → 00:18:47 อย่างงี้นะครับอาจารย์ตอนต้นของ podcast
00:18:47 → 00:18:49 เนี่ยผมพูดถึงอนุพันธ์ต่างๆใช่มั้ยครับ
00:18:49 → 00:18:52 ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงอ่ะเดี๋ยวผมทวน
00:18:52 → 00:18:54 ให้อีกรอบนึงนะครับตัวของ retinal เนี่ย
00:18:54 → 00:18:56 เวลามันมีการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลนะครับมัน
00:18:56 → 00:18:59 จะเริ่มจากตัวที่เป็น retinal s
00:18:59 → 00:19:02 นะครับเปลี่ยนเป็นเรอนะครับเปลี่ยนเป็น
00:19:02 → 00:19:05 เริอแล้วก็เปลี่ยนเป็น retinoic Acid
00:19:05 → 00:19:07 ซึ่งที่ผมเรียงลำดับให้เนี่ยเพราะว่าอะไร
00:19:07 → 00:19:09 นะฮะเพราะว่ามันเป็นการเรียงตามความ
00:19:09 → 00:19:13 รุนแรงหรือประสิทธิภาพของเขาอ่าแน่นอนฮะ
00:19:13 → 00:19:16 ตัวที่เป็นตัวยาอย่างเริ aid ก็จะมีความ
00:19:16 → 00:19:18 แรงใช่ตัวแม่เลยก็จะมีความรุนแรงมากที่
00:19:18 → 00:19:22 สุดนะครับแล้วก็ไล่ลำดับลงมาและในทางกลับ
00:19:22 → 00:19:25 กันครับในเรื่องของการทำให้เกิดการระคาย
00:19:25 → 00:19:27 เครื่องมันก็จะเรียนกลับกันอย่างตัว ric
00:19:27 → 00:19:30 aid ที่มีความคแมาที่สดก็จะเป็นตัวที่
00:19:30 → 00:19:35 ระคเคืองมากที่สุดแล้วก็ไล่ลำดับไปอนะตัว
00:19:35 → 00:19:38 แม่ก็ฟาดสุดใช่ก็ฟาดสุดเลยฮเพราะฉะนั้น
00:19:38 → 00:19:41 เนี่ย R เถือว่าเป็นตัวลูกแบบกลางๆก็แล้ว
00:19:41 → 00:19:43 กันครับดังนั้นถ้าสมมุติว่าใครที่รู้สึก
00:19:43 → 00:19:47 ว่าอุ้ยใช้แล้วไม่ไหวเราอาจจะขยับลงไปใช้
00:19:47 → 00:19:50 ในกลุ่มที่เป็น retinal EST ก็ได้ออือัน
00:19:50 → 00:19:52 นี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกนึงครับเพราะ
00:19:52 → 00:19:54 ฉะนั้นเวลาที่เราจะเลือกอันดับแรกเรารู้
00:19:54 → 00:19:56 จักและว่าตัวเองเป็นผิวแพ้ง่ายหรือเปล่า
00:19:56 → 00:19:58 หรือผิวแข็งแรงนะครับเราก็เลือก
00:19:58 → 00:20:01 เปอร์เซ็นต์ให้มันเหมาะสมนะครับก็พยายาม
00:20:01 → 00:20:03 เลือกจากเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำๆก่อนนะครับแต่
00:20:03 → 00:20:05 ว่ายังไงก็ตามนะครับอาจารย์ไม่ว่าจะ
00:20:05 → 00:20:07 เปอร์เซ็นต์ต่ำหรือเปอร์เซ็นต์สูงเนี่ย
00:20:07 → 00:20:10 โดยหลักการเนี่ยเราจะใช้หลักการที่เรียก
00:20:10 → 00:20:12 ว่า start low Go slow ครับอันนี้
00:20:12 → 00:20:15 เหมือนแบบคนไข้ที่ได้ยาพวกโรคหัวใจที่เขา
00:20:15 → 00:20:18 จะต้องเริ่มในโดสต่ำๆก่อนขยับไปโดสสูง
00:20:18 → 00:20:20 ครับอาจารย์เหมือนกันเลยครับอย่างที่บอก
00:20:20 → 00:20:23 ฮะทำไมฮะใจเย็นๆครับคนไทยอย่าใจร้อนนะ
00:20:23 → 00:20:26 ครับค่อยๆทาฮะเราเริ่มเปอร์เซ็นต์ต่ำๆเรา
00:20:26 → 00:20:29 ก็ค่อยๆทาก่อนสมมุตว่า้าถ้าเราไม่แน่ใจ
00:20:29 → 00:20:33 จริงๆนะครับว่าเราเป็นยังไงนะครับผมแนะนำ
00:20:33 → 00:20:36 ว่าเราเริ่มจากความถี่ที่น้อยที่สุดอย่าง
00:20:36 → 00:20:40 เช่นอาจจะทาเป็น 1 วันเว้น 2 วันก่อนนะ
00:20:40 → 00:20:42 ครับสักประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็ได้ครับ
00:20:42 → 00:20:45 อาจารย์แล้วก็ลองดูซิว่าเฮ้ยเราใช้แบบวัน
00:20:45 → 00:20:50 เว้น 2 วันทนไหวไหนะครับแบบมีหน้าแห้งแดง
00:20:50 → 00:20:53 ลอกอ่ะตามคีย์เวิร์ด 3 อันที่ผมบอกไปหรือ
00:20:53 → 00:20:55 เปล่านะครับถ้าไม่มีเราก็ลองขยับไปเป็น
00:20:55 → 00:20:58 วันเว้นวันก็ได้นะครับสักประมาณ1ถ 2
00:20:58 → 00:21:01 สัปดาห์เหมือนกันนะครับถ้าเกิดอุ๊ยขยับ
00:21:01 → 00:21:04 เป็นวันุๆันก็ยังรอดนะไม่มีปัญหาอะไรคราว
00:21:04 → 00:21:07 นี้แหละเราก็สามารถใช้ทุกวันได้เลยครับ
00:21:07 → 00:21:11 อาจารย์อืสุดยอดเลยอันนี้ยคือ practical
00:21:11 → 00:21:14 ทิปที่สำคัญมากๆครับว่าคือถึงแม้ว่าเราจะ
00:21:14 → 00:21:16 ผิวแข็งแรงหรืออะไรก็ตามถึงเราจะเริ่มที่
00:21:16 → 00:21:19 ความเข้มข้นต่ำหรือสูงส่วนตัวจะแนะนำว่า
00:21:19 → 00:21:23 ให้ใจเย็นๆแล้วค่อยๆเพิ่มค่อยเพิ่มค่ะโห
00:21:23 → 00:21:27 วันนี้เนะคะเรียกได้ว่าครบจบทุกข้อสงสัย
00:21:27 → 00:21:29 ในเรื่องเรตินอลเลยนะคะทั้งแบบว่า
00:21:29 → 00:21:32 ประโยชน์นะคะข้อควรระวังแล้วก็ที่ชอบที่
00:21:32 → 00:21:34 สุดเลยคือ practical Tips ที่อาจารย์นำ
00:21:34 → 00:21:37 มาฝากพวกเรานี่แหละค่ะทีนี้ถ้าเกิดคนที่
00:21:37 → 00:21:39 แบบมีข้อสงสัยต่อนะไม่ว่าจะในเรื่องของ
00:21:39 → 00:21:41 เริอหรือเรื่องของ skin care อ่ะค่ะ
00:21:41 → 00:21:43 อาจารย์อาจารย์มีแบบช่องทางติดต่อที่จะไป
00:21:43 → 00:21:46 ติดตามไป Follow อาจารย์ได้บ้างมั้ยคะ
00:21:46 → 00:21:49 ครับผมก็จริงๆทำเพจเล็กๆนะครับเพราะว่ามี
00:21:49 → 00:21:51 เวลาค่อนข้างน้อยครับแต่ว่าก็พยายามแบบมี
00:21:51 → 00:21:54 เวลาก็อยากจะมาแชร์อะไรทุกคนฟังครับชื่อ
00:21:54 → 00:21:56 เพจว่า Who care skin care ครับใน
00:21:56 → 00:22:00 Facebook หรือว่าใน instagram
00:22:00 → 00:22:03 ก็ได้ครับโอไปติดตามกันได้เลยนะคะก็
00:22:03 → 00:22:06 อาจารย์ก็จะมีความรู้ดีๆเกี่ยวกับสิน care
00:22:06 → 00:22:09 มาฝากนะคะวันนี้นะคะถึงแม้อาจารย์จะจบ EP
00:22:09 → 00:22:12 นี้แต่ไม่จบกับ Single be นะคะสำหรับใคร
00:22:12 → 00:22:14 ที่ชอบเรื่อง skin care นะคะต้องมาติด
00:22:14 → 00:22:18 ตามกันต่อนะคะกับสัปดาห์หน้านะคะซึ่งแน่
00:22:18 → 00:22:20 นอนนะคะว่าสนุกมากๆเลยเพราะว่าจะชวน
00:22:20 → 00:22:22 อาจารย์มาอัปเดตเรื่องของเทรน skin care
00:22:22 → 00:22:25 ของปีหน้าค่ะแต่สำหรับวันนี้นะคะก็ต้องขอ
00:22:25 → 00:22:28 ขอบคุณอาจารย์นะคะครับยินดีครับสวัสดีส
00:22:29 → 00:22:32 ค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์กวินยังไม่ไปไหนนะคะ
00:22:32 → 00:22:35 เพราะจะอยู่กับเราต่ออีก EP นึงนะคะซึ่ง
00:22:35 → 00:22:38 ใครที่ไม่อยากพลาดนะคะก็กด Subscribe กด
00:22:38 → 00:22:40 like กด Follow กดกระดิ่งในทุกช่องทาง
00:22:40 → 00:22:44 ที่คุณกำลังฟัง podcast รอไปได้เลย
00:22:44 → 00:22:47 ค่ะวันนี้นะคะขอบคุณที่ติดตามฟัง podcast
00:22:47 → 00:22:50 กันนะคะและสุดท้ายขอบคุณไทยประกันชีวิต
00:22:50 → 00:22:54 ที่สนับสนุนพแสกันมาโดยตลอดค่ะสวัสดี
00:22:54 → 00:22:58 ค่ะ Single Being podcast about
00:22:59 → 00:23:02 Living your Best Single Life โดย
00:23:02 → 00:23:06 หมอผิงแพทย์หญิงธิดาการรุจิพัฒนกุล
00:23:06 → 00:23:11 ดีที่อยู่เดียว Presented by ไทยประกัน
00:23:11 → 00:23:14 ชีวิต