00:00:00 → 00:00:02 ปัญหาในการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง
00:00:02 → 00:00:04 จำพวกสะตอ กระเทียม และกะปิ
00:00:04 → 00:00:08 ตอนกินก็อร่อย แต่เมื่อกินแล้วก็มีกลิ่นติดปาก ติดตัว
00:00:08 → 00:00:10 แปรงฟันหรือบ้วนปากเท่าไรก็ยังไม่หาย
00:00:10 → 00:00:16 [เสียงดนตรี]
00:00:16 → 00:00:19 สาเหตุการเกิดกลิ่นของกระเทียม
00:00:19 → 00:00:21 เมื่อกระเทียมถูกตัดหรือถูกเคี้ยว
00:00:21 → 00:00:23 เอนไซม์ในกระเทียมจะเปลี่ยนเป็นสารอัลลิซิน
00:00:23 → 00:00:26 ซึ่งเป็นสารประกอบกำมะถันหรือสารซัลเฟอร์
00:00:26 → 00:00:29 จึงทำให้มีกลิ่นเฉพาะตัวที่ติดปากและลมหายใจ
00:00:29 → 00:00:32 ซึ่งกลิ่นนี้จะอยู่นานถึง 72 ชั่วโมง หรือ 3 วันเลยค่ะ
00:00:32 → 00:00:36 [เสียงดนตรี]
00:00:36 → 00:00:38 ซึ่งประโยชน์ของกระเทียมนั้นคือ อัลลิซิน
00:00:38 → 00:00:42 จะเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ในการต้านอนุมูลอิสระ
00:00:42 → 00:00:45 และก็ช่วยในการลดความดันโลหิตของเรา และลดไขมันในเลือดได้
00:00:45 → 00:00:47 ข้อแนะนำในการลดกลิ่นกระเทียม
00:00:47 → 00:00:49 อันดับแรกเลย คือ การดื่มนม
00:00:49 → 00:00:54 โดยเฉพาะนมที่มีไขมันจะสามารถลดกลิ่น ได้ดีกว่านมพร่องมันเนยหรือนมขาดมันเนย
00:00:54 → 00:00:57 เนื่องจากในนมมีองค์ประกอบของน้ำและไขมัน
00:00:57 → 00:01:02 ซึ่งตัวนี้จะช่วยละลายสารประกอบซัลเฟอร์ ที่ละลายทั้งในน้ำและก็ละลายทั้งไขมันได้
00:01:03 → 00:01:05 ทำให้ลดการระเหยของกลิ่นกระเทียมออกมาได้
00:01:05 → 00:01:08 สำหรับตัวช่วยตัวที่สอง สำหรับลดกลิ่นกระเทียมก็คือ
00:01:09 → 00:01:13 น้ำผลไม้หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างเช่น น้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม
00:01:13 → 00:01:15 เพราะในน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
00:01:15 → 00:01:16 จะมีความเป็นกรด
00:01:16 → 00:01:21 ซึ่งความเป็นกรดจะไปยับยั้งเอนไซม์ ที่เปลี่ยนสารในกระเทียมให้มีกลิ่นออกมาได้
00:01:21 → 00:01:23 [เสียงดนตรี]
00:01:23 → 00:01:25 สะตอเป็นพืชตระกูลถั่วฝัก
00:01:25 → 00:01:29 ซึ่งประโยชน์ของสะตอ ก็จะมีสารพฤกษเคมี ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
00:01:29 → 00:01:31 และช่วยลดระดับน้ำตาลได้
00:01:31 → 00:01:33 ซึ่งสาเหตุของการเกิดกลิ่นของสะตอ
00:01:33 → 00:01:36 ก็เนื่องจากมีองค์ประกอบ ของสารประกอบซัลเฟอร์
00:01:36 → 00:01:39 ซึ่งตรงนี้ก็จะมีกลิ่นออกมา ทั้งกลิ่นปาก กลิ่นลมหายใจ
00:01:39 → 00:01:41 และเมื่อเรารับประทานเข้าไป
00:01:41 → 00:01:43 ร่างกายก็จะมีการขับออกทางปัสสาวะ
00:01:43 → 00:01:45 ทำให้กลิ่นปัสสาวะของเรา ก็จะมีกลิ่นของสะตอด้วย
00:01:47 → 00:01:50 เราสามารถใช้อาหารด้วยกัน ในการลดกลิ่นสะตอได้
00:01:50 → 00:01:51 คือการรับประทานมะเขือเปราะ
00:01:51 → 00:01:54 ซึ่งในตัวของมะเขือเปราะก็จะมีสารพฤกษเคมี
00:01:54 → 00:01:57 และก็เอนไซม์โพลีฟีนอล ออกซิเดส
00:01:57 → 00:02:01 ซึ่งสององค์ประกอบนี้ จะช่วยในการ ทำปฏิกิริยากับสารประกอบซัลเฟอร์
00:02:01 → 00:02:03 ทำให้ลดกลิ่นของสะตอได้
00:02:03 → 00:02:05 [เสียงดนตรี]
00:02:05 → 00:02:07 สาเหตุการเกิดกลิ่นของหอมหัวใหญ่
00:02:07 → 00:02:09 เนื่องจากหอมหัวใหญ่ เป็นพืชกลุ่มเดียวกับกระเทียม
00:02:10 → 00:02:14 ก็จะมีสารประกอบซัลเฟอร์หรืออัลลิซิน ที่ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัวได้
00:02:15 → 00:02:19 ซึ่งหอมหัวใหญ่จะมีองค์ประกอบของ อาหารสำหรับจุลินทรีย์สุขภาพ
00:02:19 → 00:02:20 หรือเรียกว่า พรีไบโอติก
00:02:20 → 00:02:23 ซึ่งก็จะมีประโยชน์ในการ ช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
00:02:23 → 00:02:25 ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
00:02:25 → 00:02:28 แล้วก็ช่วยฟื้นฟู แล้วก็รักษาเรื่อง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ด้วย
00:02:28 → 00:02:30 ข้อแนะนำในการลดกลิ่นของหอมหัวใหญ่
00:02:30 → 00:02:32 ถ้าเรารับประทานในรูปแบบของสลัด
00:02:33 → 00:02:35 เราสามารถรับประทานร่วมกับผักกาดหอมดิบ
00:02:35 → 00:02:37 ซึ่งผักกาดหอมดิบ จะมีสารพฤกษเคมี
00:02:37 → 00:02:39 และเอนไซม์โพลีฟีนอล ออกซิเดส
00:02:39 → 00:02:42 ที่จะทำปฏิกิริยากับสารประกอบซัลเฟอร์
00:02:42 → 00:02:44 ทำให้ลดการเกิดกลิ่นของหอมหัวใหญ่ได้
00:02:44 → 00:02:46 [เสียงดนตรี]
00:02:46 → 00:02:48 สาเหตุการเกิดกลิ่นของทุเรียน
00:02:48 → 00:02:51 เนื่องจากทุเรียนมีสารประกอบซัลเฟอร์ ที่ระเหยได้ง่าย
00:02:51 → 00:02:54 ก็จะทำให้มีกลิ่นติดปากและลมหายใจ เมื่อรับประทานไป
00:02:54 → 00:02:57 [เสียงดนตรี]
00:02:57 → 00:03:00 ซึ่งการรับประทานในปริมาณมาก ก็มีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ
00:03:00 → 00:03:02 อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด
00:03:02 → 00:03:05 ข้อแนะนำในการลดกลิ่นของทุเรียน
00:03:05 → 00:03:06 ก็ผลไม้ด้วยกันเลยค่ะ
00:03:06 → 00:03:07 ก็คือตัวแอปเปิล
00:03:07 → 00:03:10 เนื่องจากแอปเปิลจะมีตัวของสารพฤกษเคมี
00:03:10 → 00:03:12 และเอนไซม์โพลีฟีนอล ออกซิเดส
00:03:12 → 00:03:15 ในการที่จะทำปฏิกิริยากับตัวซัลเฟอร์
00:03:15 → 00:03:17 ทำให้ลดการเกิดกลิ่นของทุเรียนได้
00:03:17 → 00:03:19 [เสียงดนตรี]
00:03:19 → 00:03:23 อาหารกลิ่นแรงชนิดสุดท้าย ได้แก่ กะปิและปลาร้า
00:03:23 → 00:03:27 อาหารทั้งสองอย่างนี้ จะเป็นอาหาร ที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร
00:03:27 → 00:03:28 โดยกระบวนการหมัก
00:03:28 → 00:03:30 ทำให้มีกลิ่นเกิดขึ้นมา
00:03:30 → 00:03:31 เมื่อรับประทานเข้าไป
00:03:31 → 00:03:34 นอกจากตัวของกลิ่นแล้ว ก็จะมีตัวของโซเดียม
00:03:34 → 00:03:36 ซึ่งการรับประทานโซเดียมในปริมาณเยอะ
00:03:36 → 00:03:38 ก็ทำให้ไตและหัวใจเราทำงานหนักมากขึ้นค่ะ
00:03:38 → 00:03:41 ข้อแนะนำในการลดกลิ่นกะปิและปลาร้า
00:03:41 → 00:03:44 คือการใช้เปลือกของผลไม้ตระกูลส้มและมะนาว
00:03:44 → 00:03:47 เนื่องจากเปลือกของส้มและมะนาว
00:03:47 → 00:03:50 จะมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งก็จะสามารถช่วยลดกลิ่นได้
00:03:50 → 00:03:51 โดยวิธีการใช้ก็คือ
00:03:51 → 00:03:55 ให้ฝานมะนาวหรือส้มเป็นชิ้นบาง ๆ ติดเปลือก
00:03:55 → 00:03:58 และให้นำมาเคี้ยว หลังรับประทานกะปิหรือปลาร้า
00:03:58 → 00:04:01 หรือถ้าเราจะดับกลิ่นกะปิหรือปลาร้า ที่ติดบริเวณมือของเรา
00:04:01 → 00:04:04 เราสามารถใช้เปลือกของมะนาวหรือเปลือกส้ม
00:04:04 → 00:04:06 ถูบริเวณมือของเรา และล้างด้วยน้ำสะอาด
00:04:06 → 00:04:08 ก็สามารถดับกลิ่นได้แล้วค่ะ
00:04:08 → 00:04:13 [เสียงดนตรี]