00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world By The
00:00:05 → 00:00:08 Voice ภาพบางภาพอ่ะครับถ้ามันเป็นแค่ภาพ
00:00:08 → 00:00:10 ตัวแทนข้อเท็จจริงเรายังคงรับรู้ว่าสิ่ง
00:00:10 → 00:00:12 นี้คืออะไรอย่างตรงไปตรงมาโดยที่เราไม่
00:00:12 → 00:00:14 ได้ตัดสินว่าภาพนี้ดีหรือไม่ดีแต่เราแค่
00:00:14 → 00:00:16 รับรู้ว่าภาพนี้กำลังจะสื่อสารอะไรเพรา
00:00:16 → 00:00:19 ต้องบอกว่าในการใช้ AI เนี่ยครับ AI ไม่
00:00:19 → 00:00:21 ได้สร้างของมันขึ้นมาเองแต่มนุษย์เนี่ย
00:00:21 → 00:00:23 ครับเป็นคนใส่โค้ดใส่คำสั่งขึ้นไปเพื่อ
00:00:23 → 00:00:25 ให้ AI เนี่ยได้สร้างหรือสิ่งที่เรียกว่า
00:00:25 → 00:00:27 generate แต่กลายเป็นว่าภาพที่ถูกสร้าง
00:00:27 → 00:00:29 ขึ้นมาใหม่เนี่ยครับผู้สร้างเนี่ยมีเจตนา
00:00:29 → 00:00:31 ที่จะบิดข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปอีกแบบนึงที
00:00:31 → 00:00:33 นี้มันเลยกลายเป็นว่าเหตุการณ์การสูญเสีย
00:00:33 → 00:00:34 มันมีความเจ็บปวดอยู่จริงอครับแต่ว่าคน
00:00:35 → 00:00:37 ที่สร้างภาพเนี่ยอาจจะไม่ใช่คนที่เผชิญ
00:00:37 → 00:00:39 การสูญเสียด้วยตัวเองแต่เป็นบุคคลภายนอก
00:00:39 → 00:00:43 ที่มองจากข้างนอกเข้าไปแล้วปรับคอนเซปของ
00:00:43 → 00:00:46 เหตุการณ์นั้นน่ะให้ดูเหมือนโรแมนติกขึ้น
00:00:46 → 00:00:50 มาฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:50 → 00:00:54 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:54 → 00:00:57 This Is tha PBS podcast วันนี้ค่ะ
00:00:58 → 00:01:01 คุณผู้ฟังเราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องของ AI
00:01:01 → 00:01:04 นะคะหรือว่าปัญญาประดิษฐ์แต่สิ่งที่เราจะ
00:01:04 → 00:01:06 คุยกันเนี่ยไม่ได้บอกว่ามาคุยกันถึง
00:01:06 → 00:01:10 เรื่องของการจะใช้อย่างไรนะคะแต่เราจะคุย
00:01:10 → 00:01:12 กันถึงว่าเมื่อ AI ถูกสร้างมาเพื่อเรา
00:01:12 → 00:01:16 อารมณ์ความสูญเสียในโลกออนไลน์ตรงนี้มัน
00:01:16 → 00:01:18 มีผลต่อความรู้สึกอย่างไรเดี๋ยวคุยกับดร
00:01:18 → 00:01:21 สุววุฒิวงษ์ทางสวัสดิ์นจิตวิทยาการปรึกษา
00:01:21 → 00:01:23 ค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้นคะสวัสดีครับคุณรี
00:01:23 → 00:01:25 สวัสดีครับคุณผู้ฟังอืคุยกับคุณเอิ้นวัน
00:01:25 → 00:01:28 นี้ก็แนวๆแบบว่าล้ำๆสมัยกันนิดนึงเกี่ยว
00:01:28 → 00:01:30 กับเรื่องของปัญญาประดิ
00:01:30 → 00:01:34 a ที่เคยกับคำนี้เนาคุณเอิ้เคยใช้อะไที่
00:01:34 → 00:01:37 เกี่ยวกับ AI บ้าง a ถ้าใช้เหรอฮะทำงาน
00:01:37 → 00:01:39 หรืออะไรแบบเนี้ยเอาเอาอย่างแรกที่เราจะ
00:01:39 → 00:01:42 นึกถึงเนาะผมจะใช้เป็นกล้องถ่ายรูปพอถ่าย
00:01:42 → 00:01:46 รูปปั๊บ AI ปรับแสงให้อ๋อหรอปรับแสงให้
00:01:46 → 00:01:48 แล้วก็มีเดี๋ยวนี้มันจะมีพวกฟังก์ชันแบบ
00:01:48 → 00:01:50 อย่างเช่นอัดเสียงอย่างเช่นแบบสมมติเรา
00:01:50 → 00:01:51 ประชุมอย่างเงี้ยครับแล้วก็มันจะมีการถอด
00:01:51 → 00:01:55 เทปให้ถอดเทปสรุปให้ก็มีสิ่งที่เราพิมพ์
00:01:55 → 00:01:57 เป็นโปรแกรมแชทตัวนึงที่แบบค่อนข้างโด่ง
00:01:57 → 00:02:00 ดังในยุกนี้อะไรเงี้ยครับเวลาบางทีที่ผม
00:02:00 → 00:02:02 อยากได้ข้อสรุปกับบางเรื่องที่ที่บางที
00:02:02 → 00:02:04 เราอาจจะเรียกว่าไม่อยากเข้าไปใน Google
00:02:04 → 00:02:07 เพื่อแบบค้นหาเองอืก็จะพิมพ์หาแชทตัวนี้
00:02:07 → 00:02:09 แหละค่ะถามว่าสรุปให้หน่อยว่าเรื่องเนี้ย
00:02:09 → 00:02:12 มีความเห็นยังไงบ้างอือ่าแล้วโปรแกรมแชท
00:02:12 → 00:02:15 เนี้ยก็จะสื่อสารกลับมาว่าเอ่อจากข้อมูล
00:02:15 → 00:02:18 ฐานข้อมูลที่เขามีเาสรุปได้ว่าอันนี้กับ
00:02:18 → 00:02:21 อันนี้ต่างกันยังไงแล้วควรจะเลือกใช้ด้วย
00:02:21 → 00:02:23 ฟังก์ชันไหนก็จะเป็นความเห็นอ่าแต่ในขณะ
00:02:23 → 00:02:25 เดียวกันที่เราก็จะเห็นภาพที่อยู่ใน
00:02:26 → 00:02:30 โซเชียล Media ที่เป็นรูป AI เป็นเอ่อการ
00:02:30 → 00:02:34 ทำภาพหรือว่าการทำเพลงโอเยอะๆเๆมากเนาใช่
00:02:34 → 00:02:37 มั้ยคะทำคลิปทำหนังทำภาพประกอบโอครบเลยฮะ
00:02:37 → 00:02:39 ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เรียนมาไม่ต้องไปเรียน
00:02:39 → 00:02:42 แล้วไม่นั่งทำอย่างงี้เหอะคือการตัดต่อ
00:02:42 → 00:02:45 การใส่เพลงหรืออะไรก็แล้วแต่ทุกอย่างมัน
00:02:45 → 00:02:47 สะดวกมันง่ามันสะดวกมันเร็วไปหมดเลยแต่
00:02:47 → 00:02:49 นี้ต้องบอกว่า AI อ่ะครับมันมาพร้อมกับ
00:02:49 → 00:02:51 ยุคอุตสาหกรรมคำว่ายุคอุตสาหกรรมคือทุก
00:02:51 → 00:02:53 อย่างมันผลิตด้วยความรวดเร็วแล้วมันจะ
00:02:53 → 00:02:56 ต้องมีความเรียกว่าปริมาณมากอ่ะครับที
00:02:56 → 00:02:59 เนี้ถ้าให้คนมานั่งทำงานงานคนทำมันคืองาน
00:02:59 → 00:03:01 าฟงานอาราร์ที่มันต้องค่อยๆปั้นทีละชิ้น
00:03:01 → 00:03:03 แต่ถ้าเกิดเป็นงานที่คอมพิวเตอร์ทำเอ่อ
00:03:03 → 00:03:06 ระบบอะไรพวกเนี้ยทำอ่ะครับแป๊บนึงมันออก
00:03:06 → 00:03:08 มาอาจจะเป็น 10 เตเป็น 10 ภาพเป็น 20 ภาพ
00:03:08 → 00:03:11 ได้หมดเลยใช่สะดวกรวดเร็วมากนะการที่จะนำ
00:03:11 → 00:03:15 มาใคนจะตกงานเอานั่นน่ะสิเนเออแต่ว่าเอ่อ
00:03:15 → 00:03:18 ในขณะเดียวกันเนี่ยมันก็มีกระแสที่เกี่ยว
00:03:18 → 00:03:21 กับเรื่องของภาพต่างๆที่เอามาประกอบอ่ะนะ
00:03:21 → 00:03:24 คะจริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องของอการใส่ข้อ
00:03:24 → 00:03:26 ความแล้วให้เปลี่ยนมาเป็นภาพนะคะในบาง
00:03:26 → 00:03:29 อย่างหลายๆอย่างมันอาจจะมีความบิดเบืนไป
00:03:30 → 00:03:32 จากความเป็นจริงได้สิ่งที่เราคุยกันในหัว
00:03:32 → 00:03:34 ข้อที่คุยกันไปตั้งแต่เอ่อเกริ่นตั้งแต่
00:03:34 → 00:03:37 ตอนต้นน่ะนะคคุณผู้ฟังคุณเอิ้นว่ามันถูก
00:03:37 → 00:03:39 สร้างมาเพื่อเร้าอารมณ์ความรู้สึกความสูญ
00:03:39 → 00:03:43 เสียที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์อันเนี้ยอยาก
00:03:43 → 00:03:45 จะย้อนกลับไปเพราะว่าไปเจอเกี่ยวกับ
00:03:45 → 00:03:48 เรื่องของทางกรมสุขภาพจิตเองอ่ะนะคะที่
00:03:48 → 00:03:50 เขาได้ขอความร่วมมือเรื่องของการที่เราจะ
00:03:50 → 00:03:53 แสดงความไว้อาลัยต่อเหตุการณ์อะไรก็แล้ว
00:03:53 → 00:03:56 แต่นะคะให้หลีกเลี่ยงการวาดภาพประกอบขึ้น
00:03:56 → 00:03:59 มาใหม่มันภาพมันดูซอฟตลงมันไม่ได้มีภาพ
00:03:59 → 00:04:02 อะไรที่มันรุนแรงอยู่แล้วแหละแต่มันกลาย
00:04:02 → 00:04:04 เป็นว่ามันเป็นรูปที่อาจจะทำให้ความรู้
00:04:04 → 00:04:08 สึกของคนเนี่ยอาจจะถูกบิดไปอย่างที่คุณ
00:04:08 → 00:04:10 เอิ้นบอกว่ามันใช้คำว่าบิดใช่มั้ยบิดครับ
00:04:10 → 00:04:12 ใช่ตะกี้เราคุยกันก่อนเข้ารายการเนาว่า
00:04:12 → 00:04:14 มันเหมือนกับภาพบางภาพอ่ะครับถ้ามันเป็น
00:04:14 → 00:04:17 แค่ภาพตัวแทนข้อเท็จจริงอือบางทีคนเวลา
00:04:17 → 00:04:19 รับรู้ข้อเท็จจริงอ่ะครับจะไม่มีการตี
00:04:19 → 00:04:22 ความไม่มีการตัดสินอื่นๆค่ะเช่นสมมุติ
00:04:22 → 00:04:24 เอ่อแต่ก่อนเราอาจจะอันนี้เป็นแค่การยก
00:04:25 → 00:04:27 ตัวอย่างสมมุติเนาะสมมุติเมื่อก่อนเราฉาย
00:04:27 → 00:04:29 ภาพพระอาทิตย์ให้คนดูเราก็จะเห็นว่าโอนี่
00:04:29 → 00:04:32 คือพระอาทิตย์อ่าใช่มั้ยครับต่อมาเราไม่
00:04:32 → 00:04:33 ได้ใช้ภาพพระอาทิตย์จริงแล้วเราใช้ภาพ
00:04:34 → 00:04:36 เป็นพระอาทิตย์การ์ตูนเราก็จะเห็นว่าอ้า
00:04:36 → 00:04:39 นี่คือพระอาทิตย์แต่ว่ามันเป็นภาพการ์ตูน
00:04:39 → 00:04:41 เป็นภาพการ์ตูนแต่เรายังคงรับรู้ว่าสิ่ง
00:04:41 → 00:04:43 นี้คืออะไรอย่างตรงไปตรงมาโดยที่เราไม่
00:04:43 → 00:04:45 ได้ตัดสินว่าภาพนี้ดีหรือไม่ดีแต่เราแค่
00:04:45 → 00:04:48 รับรู้ว่าภาพนี้กำลังจะสื่อสารอะไรที่
00:04:48 → 00:04:50 เป็นข้อเท็จจริงตรงไปตรงมาพอเป็นอย่างนี้
00:04:50 → 00:04:52 ปั๊บตัวเราก็จะไม่ได้คิดอะไรมาก่ะครับเรา
00:04:52 → 00:04:54 ก็จะรับรู้ภาพตรงอย่างที่มันเป็นจริงมัน
00:04:54 → 00:04:56 เป็นวัตถุสัญลักษณ์ที่สื่อสารถึงเหตุ
00:04:56 → 00:04:58 การณ์หรือว่าวัตถุที่เกิดขึ้นจริงทีเนี้ย
00:04:58 → 00:05:00 ครับสิ่งที่เราคุยกันในเทปเนี้ยเรากำลัง
00:05:00 → 00:05:03 พูดถึงว่ามันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
00:05:03 → 00:05:05 อาจจะเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจเหตุการณ์ที่
00:05:05 → 00:05:08 ทำให้เกิดการสูญเสียแล้วก็อาจจะมีคนเอา
00:05:08 → 00:05:10 ภาพไปตกแต่งหรือหรือเป็นการสร้างภาพขึ้น
00:05:10 → 00:05:12 ใหม่เพราะต้องบอกว่าในการใช้ AI เนี่ย
00:05:13 → 00:05:15 ครับ AI ไม่ได้สร้างของมันขึ้นมาเองแต่
00:05:15 → 00:05:17 มนุษย์เนี่ยครับเป็นคนใส่โค้ดใส่คำสั่ง
00:05:17 → 00:05:20 ขึ้นไปเพื่อให้ AI เนี่ยได้สร้างหรือสิ่ง
00:05:20 → 00:05:22 ที่เรียกว่า generate generate ภาพขึ้น
00:05:22 → 00:05:25 มาใหม่ว่าผู้ผู้ใช้เนี่ยต้องการจะให้ภาพ
00:05:25 → 00:05:28 เนี้ยสื่อสารถึงสิ่งนี้อืด้วยด้วยมีตัว
00:05:28 → 00:05:31 ละครแบบแบบนี้แบบนี้แบบนี้อยู่ในรูปค่ะ
00:05:31 → 00:05:34 และคนกลุ่มนี้จะต้องมีความรู้สึกประมาณ
00:05:34 → 00:05:36 ไหนแสดงสีหน้ายังไงอืและมีวัตถุอะไรบ้าง
00:05:36 → 00:05:39 ในในภาพอือย่างเงี้ยครับทีนี้มันเลยกลาย
00:05:39 → 00:05:41 เป็นว่าภาพที่ถูกแต่งขึ้นมาเนี่ยมันไม่
00:05:42 → 00:05:45 ใช่ภาพที่สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงเช่น
00:05:45 → 00:05:47 สมมุติเกิดการสูญเสียคนอาจจะรู้สึกว่า
00:05:47 → 00:05:49 เฮ้ยภาพไอ้ยเหตุการณ์สูญเสียที่แท้จริง
00:05:49 → 00:05:51 เนี่ยมีความรุนแรงมีความเจ็บปวดแต่กลาย
00:05:51 → 00:05:53 เป็นว่าภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เนี่ย
00:05:53 → 00:05:56 ครับผู้สร้างเนี่ยมีความเจตนาที่จะบิดบิด
00:05:57 → 00:05:59 ให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปอีกแบบนึงค่ะการ
00:05:59 → 00:06:01 ใส่ความเห็นเป็นการใส่ภาพลักษณ์ขึ้นไปอีก
00:06:01 → 00:06:05 ชุดนึงขึ้นมาถ้าเราเคยได้ยินคำว่าโรนอะไร
00:06:05 → 00:06:08 โรนิอ่ะครับเคยได้ยินมั้ยครับเคยได้ยิน
00:06:08 → 00:06:10 อย่างเช่นความเจ็บปวดมันสวยงามอะไรอย่า
00:06:10 → 00:06:13 เงี้ยครับเออๆๆเออหรือว่าอะไรนะความยากจน
00:06:13 → 00:06:16 เป็นเสน่ห์หรืออะไรดีน้ำท่วมอยู่บนหลังคา
00:06:16 → 00:06:20 ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกอือปกติก็แบบนั่ง
00:06:20 → 00:06:23 อยู่ในบ้านก็ต่างคนต่างดูทีวีต่างดูจอคือ
00:06:23 → 00:06:26 เหมือนกับว่าจะพยายามทำให้มันดูแบบเป็น
00:06:26 → 00:06:28 เชิงบวกอ่าพยายามดูให้เหมือนเชิงบวก
00:06:28 → 00:06:31 พยายามทำให้ดูโรแมนติกพยายามดูให้สวยงาม
00:06:31 → 00:06:32 ค่ะทีนี้มันเลยกลายเป็นว่าเหตุการณ์การ
00:06:32 → 00:06:34 สูญเสียมันมีความเจ็บปวดอยู่จริงอ่ะครับ
00:06:34 → 00:06:36 แต่ว่าคนที่สร้างภาพเนี่ยอาจจะไม่ใช่คน
00:06:36 → 00:06:39 ที่เอ่อเป็นบุคคลที่เผชิญการสูญเสียด้วย
00:06:39 → 00:06:42 ตัวเองแต่เป็นบุคคลภายนอกที่มองจากข้าง
00:06:42 → 00:06:45 นอกเข้าไปแล้วพยายามเรียกว่าปรับคอนเซป
00:06:45 → 00:06:47 ของเหตุการณ์นั้นน่ะให้ดูเหมือนโรแมนติก
00:06:47 → 00:06:50 ขึ้นมาอืให้ดูสวยงามให้ดูแบบมีอะไรบาง
00:06:50 → 00:06:53 อย่างที่ที่ไม่ใช่ความเจ็บปวดค่ะทีนี้
00:06:53 → 00:06:57 ประเด็นคือเาสร้างด้วยจิตใจของเขาเองคน
00:06:57 → 00:07:00 เดียวอือฮึแต่เขาได้ถามไม่ว่าถ้าคนที่เ
00:07:00 → 00:07:01 อยู่ในเหตุการณ์นั้นหรือเคนอื่นๆที่รับ
00:07:01 → 00:07:04 รู้เหตุการณ์เด้วยความเจ็บปวดเรู้สึกยัง
00:07:04 → 00:07:06 ไงอือืเพราะฉะนั้นมันเลยไม่แปลก่ะครับที่
00:07:06 → 00:07:10 จะมีคนรู้สึกต่อต้านว่าทำไมภาพมันฉายไปใน
00:07:10 → 00:07:12 ทางแบบเชิงโรแมนติกเชิงสวยงามเชิงศิลปะซะ
00:07:12 → 00:07:15 อย่างนั้นในขณะที่ปัญหาเนี้ยที่มันเกิด
00:07:15 → 00:07:17 ขึ้นตามเหตุการณ์เงี้ยฮะเป็นปัญหาที่มี
00:07:17 → 00:07:20 ความสูญเสียจริงมีความเจ็บปวดจริงมีการ
00:07:20 → 00:07:23 เรียกว่าทำงานอย่างไม่ถูกต้องในเชิงสังคม
00:07:23 → 00:07:25 ในเชิงหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่มีความผิด
00:07:25 → 00:07:28 ปกติในสังคมเกิดขึ้นจริงแต่กลายเป็นว่า
00:07:28 → 00:07:31 เจ้าของที่ผลิตชิ้นงานเนี้ยครับพูดถึงแต่
00:07:31 → 00:07:34 มุมที่อ่ะเค้าไปสบายแล้วนะเค้าไปยิ้มแย้ม
00:07:34 → 00:07:38 แจ่มใสนะเค้าแบบไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไร
00:07:38 → 00:07:40 เงี้ยครับเออมันเลยกลายเป็นว่าทำให้คนใน
00:07:40 → 00:07:43 สังคมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจว่าเฮ้ยเหตุการณ์
00:07:43 → 00:07:46 เนี้ยมันถูกปิดไปทางโรแมนติกไปในทางสวย
00:07:46 → 00:07:49 งามซึ่งมันเป็นการซุกปัญหาไว้ไม่ได้กล่าว
00:07:49 → 00:07:51 ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะงั้นมันจะไม่
00:07:51 → 00:07:53 แปลกที่คนจะรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกชุดนึงอ
00:07:53 → 00:07:55 ค่ะเหตุการณ์เกิดขึ้นก็เสียใจแล้วนะแต่
00:07:55 → 00:07:58 ยังโกรธอีกที่แบบมีคนแบบนี้ทำภาพขึ้นมา
00:07:58 → 00:08:02 เธอทำขึ้นมาทำไมออเงคือคือเข้าใจเจตนาใน
00:08:02 → 00:08:05 มุมนึงของเขาว่าอโอเคไม่ได้อยากนำเสนอภาพ
00:08:05 → 00:08:08 ของความรุนแรงความสูญเสียอะไรที่เกิดขึ้น
00:08:09 → 00:08:12 น่ะนะคะแต่ว่ามันกลายเป็นภาพที่อีกแบบนึง
00:08:12 → 00:08:14 เนี่ยคนที่เขาสูญเสียเนี่ยเขายังอยู่ใน
00:08:14 → 00:08:19 ภาวะที่ยังอาจจะอยู่ในความยอมรับไม่ได้
00:08:19 → 00:08:21 หรือยังช็อกกับเหตุการณ์เพราะมันเกิดขึ้น
00:08:21 → 00:08:23 แบบปัจจุบันทันด่วนหรอะไรต่างๆเหล่านี้
00:08:23 → 00:08:26 เนี่ยมันก็แน่นอนว่าอ่าทุกคนอยากร่วมไว้
00:08:26 → 00:08:29 อะไรต่อเหตุการณ์เพราะว่ามันกระทบต่อความ
00:08:29 → 00:08:31 รู้สึกของคนเยอะจำนวนมากอย่างนี้เนี่ยก็
00:08:31 → 00:08:34 เข้าใจในเจตนาตรงมุมนั้นได้แต่มันกลาย
00:08:34 → 00:08:37 เป็นว่าเ้าจริงๆภาพสะท้อนต่างๆเหล่าเนี้ย
00:08:37 → 00:08:41 อเราก็เพิ่งมาเอะเอ๊ะเอะใจกันอย่างเงี้ย
00:08:41 → 00:08:44 ว่าเอ้ยมันไม่ใช่เนาะมันถูกบิดไปจริงๆ
00:08:44 → 00:08:47 ด้วยอครับโอเคถ้าเกิดอย่างนี้เนี่ยเราสู้
00:08:47 → 00:08:50 ไม่นำเสนอความสูญเสียไปเลยดีกว่าไม่ต้อง
00:08:50 → 00:08:53 ไปทำภาพอะไรทั้งสิ้นอครับอาจจะเ่อโพสต์
00:08:53 → 00:08:56 ไว้อะไรหรืออะไรเงี้ยมันมันเป็นภาพสะท้อน
00:08:56 → 00:08:59 ของการใช้โซเชียลมีเดียของบ้านเราด้วยม
00:08:59 → 00:09:01 ครับจริงๆต้องบอกว่าการไว้อะไหลอ่ะครับ
00:09:01 → 00:09:05 เอ่อมันจะเกิดขึ้นในจิตใจของเราจริงๆแล้ว
00:09:05 → 00:09:08 ต่อให้เราจะลงภาพไม่ลงภาพจะเขียนถึงหรือ
00:09:08 → 00:09:10 ไม่พูดถึงไม่ได้หมายความว่าจิตเราไว้
00:09:10 → 00:09:12 อาลัยไม่ได้ค่ะถูกมั้ยครับเพราะจริงๆแล้ว
00:09:12 → 00:09:14 การไว้อาลัยเนี่ยโดยธรรมชาติมันสมบูรณ์
00:09:14 → 00:09:17 ด้วยตัวจิตใจเราเองและต่อให้เราไม่ต้อง
00:09:17 → 00:09:19 พูดไม่ต้องมีการแสดงออกไม่ต้องมีการเล่า
00:09:19 → 00:09:22 ให้ใครฟังแต่ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งนี้แบบ
00:09:22 → 00:09:24 เรารู้สึกสะเทือนใจเรารู้สึกเห็นใจเรา
00:09:24 → 00:09:28 อยากจะเรียกว่าเอ่ออธิษฐานจิตเผื่อแบบ
00:09:28 → 00:09:30 คล้ายๆอุทิศส่วนกุศหรืออธิษฐานให้เขาได้
00:09:30 → 00:09:32 แบบไปอยู่ภพภูมิที่ดีอะไรก็แล้วแต่จริงๆ
00:09:32 → 00:09:34 มันสามารถอยู่ตัวเองเงียบๆได้แต่กลายเป็น
00:09:35 → 00:09:37 ว่ายุคเนี้ยฮะเป็นยุคที่ทุกคนคุ้นชินกับ
00:09:37 → 00:09:40 การใช้โซเชียล Media เมื่อฉันคิดเมื่อฉัน
00:09:40 → 00:09:43 รู้สึกอะไรบางอย่างฉันจะต้องโพสต์ลงไป
00:09:43 → 00:09:46 ด้วยอืหมายความว่าแทนที่การไว้อะไรจะ
00:09:46 → 00:09:49 สมบูรณ์ด้วยตัวการกระทำในจิตของเราไม่ใช่
00:09:49 → 00:09:52 ละการแค่อยู่ในจิตเรามันยังไม่สมบูรณ์มัน
00:09:52 → 00:09:55 จะสมบูรณ์ขึ้นเมื่อฉันได้ Express หรือ
00:09:55 → 00:09:57 ว่าได้สื่อสารรหรือประกาศให้คนรู้ว่าฉัน
00:09:57 → 00:10:00 ไว้อะไรอยู่นะค่ะมันก็จะมีผลตรงนี้เหมือน
00:10:00 → 00:10:02 กันมันกลายเป็นว่าเมื่อเรายิงสิ่งพวกเนี้
00:10:02 → 00:10:05 เข้าไปในโซเชียล่ะครับเราคือ 1 Content
00:10:05 → 00:10:08 ใช่มั้ครับแต่คนที่รับรู้คนเนี้ยมันมี
00:10:08 → 00:10:11 เป็นล้านๆคนเออแล้วมันก็มีคำว่านานา
00:10:11 → 00:10:15 จิตตังค่ะแต่ละคนรับรู้ศาและการมีการปรุง
00:10:15 → 00:10:17 แต่งมีการตีความต่อศาลนั้นไม่เหมือนกันอื
00:10:17 → 00:10:21 ทีเนี้ยเราในฐานะคนที่ผลิตคทนนี้เข้าไป
00:10:21 → 00:10:23 เราได้ตระหนักข้อนี้หรือเปล่าหรือหรือเรา
00:10:23 → 00:10:27 คิดแค่ว่าตัวฉันอยากจะพูดอยากจะผลิตฉันก็
00:10:27 → 00:10:30 เลยทำไปใครรู้สึกไม่ดีช่างเค้าเอออย่าง
00:10:30 → 00:10:32 งี้มันก็จะกลายเป็นว่าเราก็จะเป็นเป็น
00:10:32 → 00:10:34 หน่วยของสังคมที่ไม่ได้มีความคำนึงถึง
00:10:34 → 00:10:36 สังคมเลยค่ะแต่เราคิดแค่ว่าเราอยากจะทำ
00:10:36 → 00:10:39 ใครไม่ชอบก็ปิดไปสิอ่าก็ไม่ต้องมาเสฟไม่
00:10:39 → 00:10:41 ต้องมาดูเอใช่ครับใช่ซึ่งซึ่งมันกลายเป็น
00:10:41 → 00:10:43 ว่าคนจะคิดว่านี่คือพื้นที่ส่วนตัวเราเคย
00:10:44 → 00:10:46 ได้ยินเนาะใช่เพจเป็นพื้นที่ส่วนตัว
00:10:46 → 00:10:48 Facebook ของฉันเป็นพื้นที่ส่วนตัวแต่
00:10:48 → 00:10:51 การกดของคุณคือเปิดสาธารณะถ้าส่วนตัวจริง
00:10:51 → 00:10:54 อาจจะแบบต้องนี่เลยฮะเห็นเฉพาะฉันโ me เอ
00:10:54 → 00:10:57 Private เออพทไปเลยแต่แต่รับได้มั้ยล่ะ
00:10:57 → 00:11:00 ไม่เพราะคนเราต้องการได้รับการกดไลก์กด
00:11:00 → 00:11:03 แชร์หรือกดหัวใจใดๆเอใช่ใช่่มันเลยกลาย
00:11:03 → 00:11:05 เป็นว่าการไว้อะไรนั้นไม่ได้เป็นการไว้
00:11:05 → 00:11:08 อะไรที่แท้จริงและแต่แต่ต้องการสนองอะไร
00:11:08 → 00:11:10 บางอย่างในจิตตัวเองที่ต้องการการถูกมอง
00:11:10 → 00:11:12 เห็นหรือถูกยอมรับหรือถูกร่วมรู้สึกไป
00:11:12 → 00:11:15 ด้วยมันกลายเป็นว่ามันมีสิ่งบางอย่างแฝง
00:11:15 → 00:11:17 ในเจตนาตรงนั้นใช่ครับมนุษย์มีความซับ
00:11:18 → 00:11:19 ซ้อนเพราะว่าบางครั้งอ่ะครับเขาอยากได้
00:11:19 → 00:11:22 หลายอย่างอือฮึอ่าอยากไว้อาลด้วยอยากได้
00:11:22 → 00:11:25 รับการยอมรับด้วยอยากเป็น viral อยากแช
00:11:25 → 00:11:28 อยากมีคนพูดถึงด้วยค่ะอะไเงี้ยครับแล้วก็
00:11:28 → 00:11:30 ต้องบอกว่าจริงๆแล้วมันก็จะมีโวกหน้าเพจ
00:11:30 → 00:11:32 อะไรต่างๆเนาะที่ที่ทำเพื่อเรียกยอดไลฟ์
00:11:32 → 00:11:35 เพื่อเรียก engagement ค่ะซึ่งพวกเนี้ย
00:11:35 → 00:11:38 มันก็เป็นไปในเชิงอาชีพว่าถ้าแฟนเพจเยอะ
00:11:38 → 00:11:41 มันก็อาจจะหมายความว่าเขามีโอกาสที่จะเ่อ
00:11:41 → 00:11:44 ได้โปรโมทสินค้าอื่นๆหรือมีเอ่อกิจกรรม
00:11:44 → 00:11:47 อื่นๆแล้วมีคนที่สนใจเเมากอืก็มีโอกาสมาก
00:11:47 → 00:11:49 มายเพราะฉะนั้นเรื่องเนี้ยครับแทนที่มัน
00:11:49 → 00:11:51 จะเป็นการไว้อาลัยด้วยจิตบริสุทธิ์กลาย
00:11:51 → 00:11:54 เป็นว่ามันมีสิ่งเจียปนซะแหละอ่าาฮะครับ
00:11:54 → 00:11:56 แล้วสิ่งเนี้ยมันทำให้คนอื่นนะครับเค้า
00:11:56 → 00:11:59 ไม่ใช่เค้ารู้ไม่ทันนะเค้ารู้เค้าเอาจจะ
00:11:59 → 00:12:01 จะไม่ได้คิดว่าคนลงภาพลงซื่อๆก็ได้นะค่ะ
00:12:01 → 00:12:03 แต่บางทีลงแล้วเค้ารู้สึกว่าแบบคนนี้มัน
00:12:03 → 00:12:07 เจตนาแบบไม่น่าใช่อือืถ้าถามว่าดูจากอะไร
00:12:07 → 00:12:10 นะครับบางทีการที่เราลงลงอะไรบางอย่างโดย
00:12:10 → 00:12:12 ที่อาจจะไม่ทันยั้งคิดหรือไม่ทันตั้งใจง
00:12:12 → 00:12:15 เงี้ยครับสิ่งที่คนจะรู้สึกสำนึกเนาะหรือ
00:12:15 → 00:12:17 สิ่งที่คนจะปฏิบัติเมื่อรู้สึกว่าตัวเอง
00:12:17 → 00:12:20 ผิดไปแล้วเจะทำอะไรฮะอาจจะเป็นการลบภาพ
00:12:20 → 00:12:23 อ่าใช่นอกจากลบภาพแล้วอาจจะแบบพิมพ์ขอโทษ
00:12:23 → 00:12:25 ซึ่งอันเนี้ยเป็นการแสดงออกถึงความรับผิด
00:12:25 → 00:12:28 ชอบว่าตัวเราลงไปโดยที่แบบอาจจะแบบอ่ะ
00:12:28 → 00:12:30 สมมุติเราใช้คำคลาสสิกเลยรู้เท่าไม่ถึง
00:12:30 → 00:12:33 การคือไม่ตั้งใจคือคือไม่นึกว่าแบบสิ่ง
00:12:33 → 00:12:36 ที่ทำไปมันจะไปถึงขนาดนั้นอ่าแต่เมื่อ
00:12:36 → 00:12:38 เมื่อรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นนะครับแล้ว
00:12:38 → 00:12:40 เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราได้ลงลงมือทำบาง
00:12:40 → 00:12:43 อย่างสร้างผลกระทบให้กับคนอื่นถ้าตัวเรา
00:12:43 → 00:12:45 มีความรู้สึกว่าเฮ้ยเราเห็นใจอ่ะเราไม่
00:12:45 → 00:12:47 น่าจะเป็นคนที่ได้สร้างอะไรบางอย่างให้คน
00:12:47 → 00:12:49 อื่นเสียความรู้สึกเราอาจจะเลือกที่จะลบ
00:12:49 → 00:12:51 ภาพแล้วก็อาจจะมีการพิมพ์ขอโทษแล้วก็รับ
00:12:51 → 00:12:54 ผิดชอบต่อคำด่าเงี้ยแต่กลายเป็นว่าถ้าเรา
00:12:54 → 00:12:57 สังเกตเห็นเนาะต่อให้มีคนพิมพ์แย้งมีคน
00:12:57 → 00:12:59 ท้วงว่าไม่ควรไม่ควร
00:12:59 → 00:13:01 สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรครับเาก็ปล่อย
00:13:02 → 00:13:04 รูปทิ้งไว้อย่างงั้นแล้วให้เป็นกระแสไป
00:13:04 → 00:13:06 ค่ะอันนี้มันวิเคราะห์มันมันก็ตีความได้
00:13:06 → 00:13:09 อีกว่าเจ้าของภาพกำลังต้องการอะไรอ่ะอื
00:13:09 → 00:13:11 แสดงว่าเขาไม่ได้แคร์หรอกว่าใครกำลังรู้
00:13:11 → 00:13:13 สึกไม่ดีค่ะแต่เขาอาจจะจงใจปล่อยให้สิ่ง
00:13:13 → 00:13:15 นั้นเกิดขึ้นแล้วเขาก็แบบใช้ประโยชน์จาก
00:13:15 → 00:13:17 ตรงเนี้ยให้เขาได้ประโยชน์เป็นที่มองเห็น
00:13:17 → 00:13:19 คือมันกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนจริงๆเนาะ
00:13:19 → 00:13:23 เจตนามันเหมือนจะดีแต่มีอะไรแอบแฝงใช่ใช่
00:13:23 → 00:13:25 ครับซึ่งมันไอ้สิ่งที่แอบแฝงเนี่ยมัน
00:13:25 → 00:13:28 กระทบต่อความรู้สึกของคนที่เผชิญเหตุ
00:13:28 → 00:13:29 การณ์ตรงนั้น
00:13:29 → 00:13:32 อะไรต่างๆเหล่านี้เนี่ยคือมันก็เลยทำให้
00:13:32 → 00:13:35 สิ่งที่จริงๆมันน่าจะทำเอามาใช้ให้เกิด
00:13:35 → 00:13:37 ประโยชน์เนี่ยมันมันก็เกิดประโยชน์ได้นะ
00:13:37 → 00:13:40 แต่แค่แค่ว่ามาใช้กับเหตุการณ์นี้เท่า
00:13:40 → 00:13:42 นั้นเองเพรางั้น AI จริงๆเป็นแค่เครื่อง
00:13:42 → 00:13:46 มือแต่ AI ไม่ได้น่ากลัวเท่าจิตใจมนุษย์
00:13:46 → 00:13:49 นี่วันนี้เรามาน้ำลึกเพราะว่าเหมือนที่
00:13:49 → 00:13:52 บอกอ่ะครับ AI เป็นเครื่องมือให้ให้เทียบ
00:13:52 → 00:13:55 ภาพเหมือนมีดก็ได้มีดมีดสักเล่มนึงเนี่ย
00:13:55 → 00:13:57 มันก็อยู่ที่ว่าจะใช้งานยังไงค่ะใช้เพื่อ
00:13:57 → 00:14:01 ทำอาหารใช้เพื่อแบบเอ่อถักถังที่ให้แบบ
00:14:01 → 00:14:03 สามารถเป็นพื้นที่แบบโล่งๆให้เด็กวิ่ง
00:14:03 → 00:14:06 เล่นอะไรเงี้ก็ได้หรือเป็นมีดในการเอาไป
00:14:06 → 00:14:08 ใช้ทำร้ายคนก็ได้ค่ะมันเกิดขึ้นได้หมด
00:14:08 → 00:14:10 เพราะฉะนั้น AI เหมือนกันครับอยู่ที่ว่า
00:14:10 → 00:14:13 จิตใจผู้ใช้ต้องการจะใช้ไปทางไหนอืถ้าใช้
00:14:13 → 00:14:15 ไปในความเจริญมันทำได้อยู่แล้วครับการใช้
00:14:15 → 00:14:19 AI ทำภาพการใช้ AI สร้างอาชีพมันทำได้อ
00:14:19 → 00:14:21 นะครับแต่พอมันกลายเป็นว่าใช้ AI เพื่อผล
00:14:21 → 00:14:24 ประโยชน์ของตัวเอง AI ก็เลยเป็นเหมือนมีด
00:14:24 → 00:14:26 ที่แบบอีกด้านนึงอ่ะครับที่ทำให้เกิดภัย
00:14:26 → 00:14:29 ร้ายทางสังคมก็เปรียบเสมือนคือทุกอย่างั
00:14:29 → 00:14:31 มันมี 2 ด้านเสมอแหละทั้งดีและไม่ดีอยู่
00:14:31 → 00:14:34 ที่ว่าเราจะหยิบมาใช้ในด้านไหนใช่มั้ยคะ
00:14:34 → 00:14:37 แต่บางทีเราก็ไม่เอาจริงๆนะคือพอมาเห็น
00:14:37 → 00:14:39 เรื่องนี้เนี่ยแล้วก็ทางกรมสุขภาพจิตได้
00:14:40 → 00:14:41 ขอความร่วมมือเนี่ยมันก็เป็นประเด็นที่
00:14:41 → 00:14:43 เราน่าเอามาคุยกันในวันนี้เหมือนกันเนาะ
00:14:43 → 00:14:47 ที่แบบว่าอเราเห็นภาพแล้วมันดูซอฟตดีตอน
00:14:47 → 00:14:51 แรกที่ที่คิดน่ะนะไม่ได้คิดว่ามันจะมีการ
00:14:51 → 00:14:54 อะไรบิดเบือนอ่ะคือเจตนาจะไม่ใช่ถึงขนาด
00:14:54 → 00:14:57 ว่าบิดเบือนแต่อาจจะบิดเล็กน้อยเพื่อให้
00:14:57 → 00:15:00 มันไม่เป็นความรุนแรงอืแล้วก็ไม่กระทบกับ
00:15:00 → 00:15:03 จิตใจของผู้สูญเสียมากขึ้นแต่กลายเป็นว่า
00:15:03 → 00:15:06 ภาพที่สะท้อนที่เราคิดเองเนี่ยว่าไม่น่า
00:15:06 → 00:15:09 กระทบอ่ะมันกลายเป็นสิ่งที่กระทบขึ้นมา
00:15:09 → 00:15:12 เฉยเลยในบางเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มันมีมา
00:15:12 → 00:15:15 นานแล้วนะก็มีเอมีมาสักระยะนึงแล้วใช่ม
00:15:15 → 00:15:18 ที่ใช้ภาพ AI มาใช่เพราะงั้นจริงๆแล้ว
00:15:18 → 00:15:20 จริงๆแล้วการใช้ภาพ AI ครับถ้าจะให้กระทบ
00:15:20 → 00:15:22 ความรู้สึกคนให้น้อยที่สุดให้ให้เป็นภาพ
00:15:22 → 00:15:26 AI ที่เรียกว่าไม่หลุดไปจากข้อเท็จจริง
00:15:26 → 00:15:29 อืแต่แต่อาจจะปรับภาพให้แบบแบบดูไม่ได้
00:15:29 → 00:15:32 ไม่ได้แบบรุนแรงอะไรเงี้ยครับอันนี้ผมผม
00:15:32 → 00:15:34 อาจจะอธิบายเป็นคำพูดยากเพราะว่าพวกนี้
00:15:34 → 00:15:36 มันต้องเห็นด้วยภาพอ่าฮะแต่ว่าสิ่งที่มัก
00:15:36 → 00:15:38 จะสร้างปัญหาคือเราแต่งเติมเรื่องเข้าไป
00:15:38 → 00:15:41 ต่อเราใช้ AI ภาพแต่งเติมเรื่องที่ไม่ได้
00:15:41 → 00:15:44 มีอยู่จริงเข้าไปอีกแล้วเป็นการแต่ง
00:15:44 → 00:15:46 เหมือนแต่งที่ยายเพิ่มเข้าไปอ่ะครับค่ะ
00:15:46 → 00:15:48 อ่าไอ้ภาพตรงเนี้ยผมรู้สึกว่าในสังคมจะ
00:15:48 → 00:15:50 ค่อนข้างไม่ชอบใจเท่าไหร่คือมันกลายเป็น
00:15:50 → 00:15:53 ว่าอ่าคนก็จะจินตนาการหรือมองภาพเพราะว่า
00:15:53 → 00:15:55 ภาพอ่ะจะทำให้เราน่ะสามารถที่คิด
00:15:55 → 00:15:59 จินตนาการต่อไปในเส้นทางอื่นๆได้อีกอืที่
00:15:59 → 00:16:02 เราจะหลังจากที่เห็นใช่มั้ยคะแต่ว่ามันก็
00:16:02 → 00:16:04 เป็นภาพสะทที่อย่างที่คุณเอิ้นบอกว่าเอ้ย
00:16:04 → 00:16:08 มันก็อาจจะมีคนที่ไม่โอเคไม่ไม่เห็นด้วย
00:16:08 → 00:16:10 กับภาพ AI ต่างๆเหล่านี้อ่ะนะคะเพราะว่า
00:16:10 → 00:16:12 อย่างบางคนบอกว่าคือไม่เคยคิดมาก่อนแต่
00:16:12 → 00:16:15 ว่าดีที่มีการออกมาเตือนกับเรื่องเหล่า
00:16:15 → 00:16:19 นี้เพราะว่ามันมีทั้งหลายเพจหลายองค์เอ่อ
00:16:19 → 00:16:23 หลายสำนักออเยอะๆโอยเพียบมากอ่ะทำภาพออก
00:16:23 → 00:16:27 มาแล้วก็รูปแบบอาจจะแนวทางเดียวกันอแต่
00:16:27 → 00:16:30 แค่การนำเสนอหรือไม่เหมือนกันแค่นั้นเอง
00:16:30 → 00:16:33 ครับอืก็ก็ดีนะคือจริงๆเป็นภาพสะท้อนที่
00:16:34 → 00:16:36 ดีต่อไปเราจะได้ระมัดระวังในการที่จะใช้
00:16:36 → 00:16:39 เอ่อพวกใช้รูปภาพประกอบใช่ต่างๆเหล่านี้
00:16:40 → 00:16:42 เมื่อก่อนกว่าจะทำออกมาได้ภาพนึงนี่ยาก
00:16:42 → 00:16:45 องค์ประกอบหลายอย่างเนาะครับใช่ตกงยต้อง
00:16:45 → 00:16:48 ใช้โปรแกรมนู่นนี่นั่นลบภาพเบลอภาพนู่น
00:16:49 → 00:16:53 นี่โอ้โหเพราฉนั้น AI ซะเลยจบใช่ครับที
00:16:53 → 00:16:55 นี้สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือทุกๆที่
00:16:55 → 00:16:58 ต้องการยอด engagement อสมมุติลองนึกภาพ
00:16:58 → 00:17:01 นะว่าอู้ต่อให้มีภาพหรือไม่มีภาพยังไง
00:17:01 → 00:17:04 สำนักข่าวเราก็มีคนดูอสมมุตินะบางทีเรา
00:17:04 → 00:17:05 อาจจะไม่ต้องลงภาพก็ได้เราก็แค่เขียน
00:17:05 → 00:17:08 แคปชั่นธรรมดาง่ายๆว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะแต่
00:17:08 → 00:17:10 นี้มันกลายเป็นว่าพอยุคเนี้ยครับแต่ละที่
00:17:10 → 00:17:13 ก็ต้องการเรตติ้งอืเพราะเรื่องนี้ยยังไง
00:17:13 → 00:17:14 มันเกี่ยวพันกับเรื่องผลประโยชน์ด้วยอ
00:17:14 → 00:17:18 ครับค่ะมันถึงมีการต้องเลือกรูปเลือกภาพ
00:17:18 → 00:17:20 ที่ทำให้เกิดคนคนสนใจแล้วเป็นกระแสมันมัน
00:17:20 → 00:17:22 Impact อ่ะใช่ครับกระแทกใจเขไม่งั้นเรา
00:17:22 → 00:17:24 อาจจะแค่แบบไม่ต้องมีภาพแล้วเขียนว่าไว้
00:17:24 → 00:17:27 อาลัยเด็กๆจบหรือไว้อาลัยผู้ปกครองไว้
00:17:27 → 00:17:30 อาลัยพ่อพ่อแม่บาๆไปได้เรื่อยๆอย่าเงี้ย
00:17:30 → 00:17:32 ครับออืออืทีนี้มันกลายเป็นว่ามันมี
00:17:33 → 00:17:35 เรื่องของ engagement มีเรื่องของยอดเรติ
00:17:35 → 00:17:36 เข้ามาเกี่ยวมีเรื่องของการประเมินผลงาน
00:17:36 → 00:17:38 เขมาเกี่ยวหรืออาจจะเป็นเรื่องของการรู้
00:17:38 → 00:17:41 สึกอยากถูกสนใจก็ได้คือเข้าใจด้วยว่าความ
00:17:41 → 00:17:44 เป็นธรรมชาติของคนของมนุษย์น่ะคือการเห็น
00:17:44 → 00:17:47 ภาพอ่ะมันมันสื่อได้ชัดเจนกว่าแค่ตัว
00:17:47 → 00:17:49 หนังสือเพราะมันจะมีบฮะเรื่องอะไรถ้าเกิด
00:17:49 → 00:17:52 คนไม่ได้ดูข่าวหรือรู้เรื่องอะไรเลยอย่าง
00:17:52 → 00:17:54 เงี้ยมันก็จะมีคำถามขึ้นมาแล้วมันก็จะถูก
00:17:54 → 00:17:57 ขุดภาพนู่นนี่นั่นขึ้นมาอีกใช่มั้ยแต่ถ้า
00:17:57 → 00:18:01 เกิดเป็นภาพสื่อเลยเนี่ยเอ้ยเข้าใจอืภาพ
00:18:01 → 00:18:04 แทนคำพูดหลายๆอย่างเคยได้ยินประโยคนี้ใช่
00:18:04 → 00:18:06 ป่ะเคยได้ยินครับเคยได้ยินทีนี้มันขึ้น
00:18:06 → 00:18:09 อยู่กับว่ามันเป็นตัวแทนที่ดีและคทนดีใช่
00:18:09 → 00:18:12 มั้ยแม้กระทั่งคนที่ทำภาพกราฟฟิกพวกนี้
00:18:13 → 00:18:15 อ่ะเขายังบอกเลยว่าเออภาพ AI พวกนี้มัน
00:18:15 → 00:18:19 ซอฟตก็จริงนะแต่มันทำให้กระทบกับความรู้
00:18:19 → 00:18:22 สึกและสุขภาพจิตได้มันมันมีเรื่องของ
00:18:22 → 00:18:25 สุขภาพจิตมันมีคำเนี้ยอยู่ในนี้ไงอคือคน
00:18:25 → 00:18:28 ที่เผชิญเหตุอ่ะเราก็ไม่ได้อยากเห็นอะไร
00:18:28 → 00:18:31 เลยไม่ได้อยรับรู้อะไแม้กระทต่อให้เหตการ
00:18:31 → 00:18:35 เผ่านไปแล้วเถอะิพวกเยมันไม่ควรจะอยู่ใน
00:18:35 → 00:18:37 โลกออนไลน์เลยอ่าใช่ครับเชไปก็เจอเป็น
00:18:37 → 00:18:40 อดีตที่ล็อกล้อนนะเออจริงไม่ว่าจะเรื่อง
00:18:40 → 00:18:43 อะไรก็แล้วแต่ภาคมันขึ้นมาแล้วมันก็จะวน
00:18:43 → 00:18:46 กลับไปวนกลับไปให้นึกถึงใช่เพราะว่าความ
00:18:46 → 00:18:49 สูญเสียของคนที่เขาเจอเผชิญน่ะมันบางคน
00:18:49 → 00:18:52 ไม่ได้สามารถทำใจได้ในระยะเวลาอันสั้นนะ
00:18:52 → 00:18:55 อือมันใช้เวลานานสำหรับบางคนใช่ครับบางคน
00:18:55 → 00:18:58 อาจจะลืมไปแล้วแหละโอเคอยู่ได้ละลืมไป
00:18:58 → 00:19:00 แล้วแหละแต่ผูกถูกมาสะกิดปึ๊บมันอาจจะถูก
00:19:00 → 00:19:05 ย้อนมาครบรอบ 1 ปี 5 ปี 10 ปีปุ๊บขึ้นมา
00:19:05 → 00:19:07 อีกก็ได้ออใช่ครับอือทีนี้มันเลยกลายเป็น
00:19:07 → 00:19:10 ว่าคนอื่นในสังคมที่ผลิตสื่อผลิตภาพอะไร
00:19:10 → 00:19:12 พวกเนี้ครับเลยเลยขาดจิตใจที่สำรวมอ่ะผม
00:19:12 → 00:19:15 รู้สึกว่าการสำรวมนี่สำคัญมากนะเราอาจจะ
00:19:15 → 00:19:18 มีความรู้สึกอยากพูดอยากพิมพ์อยากทำภาพ
00:19:18 → 00:19:20 ค่ะแต่ปกติอ่ะครับพอเราคิดถึงพวกนี้ปั๊บ
00:19:20 → 00:19:22 เราจะนึกถึงแค่ว่าเราอยากจะตอบสนองความ
00:19:22 → 00:19:25 ต้องการจะทำของตัวเองแต่ลืมนึกไปว่าสิ่ง
00:19:25 → 00:19:28 ที่เราทำเนี้ยกำลังจะส่งผลกระทบกับชีวิต
00:19:28 → 00:19:31 ใครใระยะยาวบ้างอืทีนี้พอเราไม่สำรวมปั๊บ
00:19:31 → 00:19:33 มันก็เลยตอบสนองตัวเองล้วนๆนะครับว่าฉัน
00:19:33 → 00:19:36 จะต้องทำฉันจะฉันจะลงฉันจะสร้างภาพขึ้นมา
00:19:36 → 00:19:39 อือปึ๊บมันก็เหมือนที่บอกครับดิจิตอลฟุ
00:19:39 → 00:19:42 print สุดท้ายมันก็อยู่ถาวรไปอืกลายเป็น
00:19:42 → 00:19:44 ว่าตัวเราได้ผลประโยชน์เสร็จแล้วในการได้
00:19:44 → 00:19:47 บอกว่าเฮ้ยฉันได้แสดงถึงความไว้อาลัยฉัน
00:19:47 → 00:19:50 อาจจะเป็นคนดีฉันอาจจะแบบรู้สึกเป็นส่วน
00:19:50 → 00:19:53 หนึ่งของสังคมที่ได้พูดเรื่องนี้แล้วสุด
00:19:53 → 00:19:55 ท้ายมันก็ผ่านไปเราทิ้งสิ่งนั้นไว้ให้กับ
00:19:55 → 00:19:57 คนอื่นส่วนตัวเราก็จะเริ่มไปสนใจเรื่อง
00:19:57 → 00:20:00 อื่นแทนะมีเรื่องใหม่แล้วเราก็จะตอบสนอง
00:20:00 → 00:20:02 จิตตัวเอย่างนี้เรื่อยๆอืแล้วส่วนคนอื่น
00:20:02 → 00:20:05 ที่เขาได้รับผลกระทบจากภาพนี้ครับสุดท้าย
00:20:05 → 00:20:08 เขก็ยังโดนสิ่งนั้นอยู่ตลอดอ่ะอืเออเพราะ
00:20:08 → 00:20:10 งั้นผมว่าไอ้การสำรวมใจตรงเนี้ยสำคัญมาก
00:20:10 → 00:20:12 เลยสำหรับคนในสังคมอ่ะครับคือมีหลายครั้ง
00:20:13 → 00:20:15 เหมือนหลายเหตุการณ์เหมือนกันนะที่เอ่อ
00:20:15 → 00:20:17 มันมีการแชร์เนาะเราก็จะเห็นเพื่อนๆมีการ
00:20:17 → 00:20:19 แบบร่วมไว้อลร่วมร่วมแชร์หรืออะไรก็แล้ว
00:20:19 → 00:20:22 แต่เนี่ยบางทียังเคยรู้สึกว่าเอ๊ะเราควร
00:20:22 → 00:20:24 จะด้วยไหมเพราะว่าเดี๋ยวมันจะกลายเป็นว่า
00:20:24 → 00:20:28 เอ๊ะเพื่อนจะมองเราว่าเฮ้ยทำไมถึงไม่แชร์
00:20:28 → 00:20:30 ไม่เราไม่ได้รู้สึกกับเหตุการณ์ต่างๆ
00:20:30 → 00:20:31 เหล่านี้หรอหรืออะไรอย่างเงี้ยใช่มั้ยคะ
00:20:31 → 00:20:33 จริงๆต้องบอกว่ารู้สึกเหมือนกันนะมัน
00:20:33 → 00:20:36 สะเทือนใจถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นผู้สูญ
00:20:36 → 00:20:38 เสียก็เถอะแต่ว่ามันบางทีมันเป็นเรื่อง
00:20:38 → 00:20:41 ละเอียดอ่อนมันเป็นเรื่องของบุคคลกลุ่ม
00:20:41 → 00:20:45 บุคคลอ่าที่เป็นกลุ่มอ่อนไหวเปราะบางหรือ
00:20:45 → 00:20:48 อะไรอย่างเงี้ยมันจะรู้สึกอยู่อยู่แหละ
00:20:48 → 00:20:52 แต่แค่ว่าในอีกมุมนึงเอ๊ะถ้าเราไม่ร่วม
00:20:52 → 00:20:54 ไว้อะไรถ้าเราไม่ร่วมแสดงความรู้สึกกับ
00:20:55 → 00:20:58 เหตุการณ์เนี้ยมันจะดูแบบแปลกมยเฮ้ยผิด
00:20:58 → 00:21:01 หรือเปล่าอืไม่มันจริงๆมันไม่ได้ผิดครับ
00:21:01 → 00:21:03 เพราะว่าจริงๆในใจเรารู้ดีแหละว่าเรื่อง
00:21:03 → 00:21:06 นี้เรารู้สึกเสียใจหรือว่าไว้อะไรแค่ไหน
00:21:06 → 00:21:08 อืหรือเรื่องนี้เรารับรู้มันในฐานะแค่ข้อ
00:21:08 → 00:21:10 เท็จจริงตามเป็นจริงแต่ไม่ได้เข้าไปรู้
00:21:10 → 00:21:12 สึกอะไรมากแต่การไม่รู้สึกอะไรกับเหตุ
00:21:13 → 00:21:14 การณ์นั้นไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนจิต
00:21:14 → 00:21:17 ใจชั่วช้านะหรือแข็งกระดาไม่รู้สึกอะไร
00:21:17 → 00:21:19 เออคเรื่เออจิตใจชั่วช้าคือถ้าบอกว่าโห
00:21:19 → 00:21:21 เห็นแล้วสะใจจังอันเนี้ยอาจะพูดอีกอย่าง
00:21:21 → 00:21:24 นึงว่าแบบจิตใจเรามีความชั่วช้าอยู่อย่าง
00:21:24 → 00:21:26 เงี้ยฮะแต่ถ้าเห็นว่าอ๋อโอเคเรารับรู้
00:21:26 → 00:21:29 เหตุการณ์เนี้ยเช่นการฝึเสียความรุนแรง
00:21:29 → 00:21:32 เราเห็นทุกๆวันทุกๆวันนะครับจนเรารับรู้
00:21:32 → 00:21:34 ว่าสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงเรา
00:21:34 → 00:21:36 อาจจะไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้วก็ได้เพราะ
00:21:36 → 00:21:38 เราเห็นจนชาชินอแต่ไม่ได้หมายความว่าจิต
00:21:38 → 00:21:40 ใจเราหยาบกระด้างหรือชั่วช้าคนละเรื่อง
00:21:40 → 00:21:42 กันถูกมยฮเพราะฉะนั้นเรื่องเนี้ยต้องต้อง
00:21:42 → 00:21:44 แยกให้ดีว่าการที่เราไม่ได้ไม่ได้ไปมี
00:21:44 → 00:21:47 ส่วนร่วมไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนไม่ดี
00:21:47 → 00:21:49 ทีนี้การที่คนอื่นจะตัดสินเราอ่ะครับก็
00:21:49 → 00:21:52 ต้องดูคุณภาพใจของคนตัดสินเราอีกว่าเขา
00:21:52 → 00:21:55 เป็นคนที่มักจะเรียกร้องและคาดหวังที่จะ
00:21:55 → 00:21:58 เห็นกระแสสังคมวิ่งตามเหรือเปล่าอืคิดว่า
00:21:58 → 00:21:59 เป็นพวกเดียวกเคหรือเปล่านั่นหมายความว่า
00:21:59 → 00:22:02 ตัวเคคอ่ะครับก็จะมีความแคบบางอย่างอยู่
00:22:02 → 00:22:04 ที่ที่คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องแบบนั้นแบบ
00:22:04 → 00:22:06 นี้แบบโน้นแล้วไปนั่งจ้องจับผิดคนอื่นอื
00:22:06 → 00:22:08 เออแต่จริงๆแล้วคนเรา่ะครับมันมีสิทธิ์
00:22:08 → 00:22:11 ที่จะคิดที่จะรู้สึกถ้าเขาคกว้างพอเขอาจ
00:22:11 → 00:22:13 จะรู้สึกว่าเฮ้ยมันก็มีแหละบางคนที่อาจจะ
00:22:13 → 00:22:15 เห็นข่าวนี้แบบไม่รู้สึกอะไรบางคนอาจจะ
00:22:15 → 00:22:17 เห็นข่าวนี้แล้วเสียใจแต่ไม่อยากพิมพ์ไม่
00:22:17 → 00:22:19 อยากตอบสนองอะไรถ้าเขารับรู้ว่ามนุษย์โดย
00:22:19 → 00:22:21 ทั่วไปแล้วมันก็มีคนแบบนี้อยู่เหมือนกัน
00:22:21 → 00:22:24 เขาจะไม่คาดคันไม่คาดหวังกับใครอ่ะจริงๆ
00:22:24 → 00:22:28 เขาก็ไม่ควรไปที่จะบอกว่าทำไมเธอไม่เออ
00:22:28 → 00:22:31 ต้องใช้คำว่าอย่าไปยุ่งกับเมันก็เป็น
00:22:31 → 00:22:33 เรื่องของฉันไปอะไรเงี้ยเร่องเรื่องของ
00:22:33 → 00:22:35 ฉันเออเออแต่ว่าแค่เรารู้สึกอยู่ในใจแค่
00:22:35 → 00:22:37 เราไม่ได้โพสต์แต่ว่าคุณจะมาท้างทวงว่า
00:22:37 → 00:22:40 ทำไมเราถึงไม่ร่วมไว้อะไรหรืออะไรอย่าง
00:22:40 → 00:22:41 เงี้ยคือแบบเอ้ยอันนี้มันก็เป็นสิทธิ์
00:22:41 → 00:22:45 ส่วนบุคคลจริงๆนะเราแค่อก็ไม่เป็นไรถ้า
00:22:45 → 00:22:48 เกิดจะขนาดนั้นก็อืๆเออไม่ต้องตามกันก็
00:22:48 → 00:22:51 ได้้างั้นอะไรอย่างงี้ใช่มั้ยคะคือมัน
00:22:51 → 00:22:52 เรื่องของโซเชียลมันเป็นเรื่องอะไรที่มัน
00:22:52 → 00:22:55 อ่อนไวมากๆก็ใช้อย่างระมัดระวังด้วยนะคะ
00:22:56 → 00:22:59 ในหลายๆเหตุการณ์บางอย่างเราอาจจะโอเค
00:22:59 → 00:23:01 อยากจะไปร่วมแสดงความเสียใจหรืออะไรก็
00:23:02 → 00:23:04 แล้วแต่กับเหตุการณ์ต่างๆอาจจะพิมพ์เป็น
00:23:04 → 00:23:07 คอมเมนต์กันไปก็ได้นะคะว่าเขาแสดงความ
00:23:07 → 00:23:10 เสียใจอ่าในความสูญเสียหรืออะไรเงี้ยแบบ
00:23:10 → 00:23:13 กว้างๆหรืออะไรงได้ก็ต้องระมัดระวังเพราะ
00:23:13 → 00:23:15 ว่าเดี๋ยวเมันอะไรก็เป็นประเด็นเป็น
00:23:15 → 00:23:18 ดราม่าเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของคนที่เา
00:23:18 → 00:23:21 อยู่ในเหตุการณ์ได้เสมอครับใช่นะคะก็ฝาก
00:23:21 → 00:23:23 ไว้หัวข้อนี้มีประโยชน์มากๆเพราะว่าจะทำ
00:23:23 → 00:23:25 ให้เราได้ตระหนักถึงเรื่องของการที่จะ
00:23:25 → 00:23:30 ระมัดระวังในการที่จะทำอะไสภาใช่ถูกต้อง
00:23:30 → 00:23:32 นะคะฝากไหวค่ะขอบคุณค่ะคุณเอินสวัสดี
00:23:33 → 00:23:36 สวัสดีค่ะเอาล่ะค่ะพบกันใหม่ครั้งหน้ากับ
00:23:36 → 00:23:38 รายการรุงหมอทางไย PBS podcast นะคะวัน
00:23:38 → 00:23:42 นี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is Thai PBS
00:23:42 → 00:23:45 podcast อาการวูบสายเหตุและปัจจัยเสี่ยง
00:23:45 → 00:23:47 มีอะไรได้บ้างรองศาสตราจารย์นายแพทย์
00:23:47 → 00:23:50 กรกิจชัยเจนกิจจากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และ
00:23:51 → 00:23:54 เทคโนโลยีการกีฬามหาวิทยาลัยมหิดลมาเล่า
00:23:54 → 00:23:58 ให้ฟังครับจริงๆอาการวูบเนี่ยเป็นอาการ
00:23:58 → 00:24:01 แสดงแดงออกของนักกีฬาหรือคนไข้นะครับส่วน
00:24:01 → 00:24:03 ใหญ่ก็จะมาด้วยเรื่องหมดสติสาเหตุส่วน
00:24:03 → 00:24:06 หนึ่งเนี่ยมาจากการที่สมองของเราเนี่ยมี
00:24:06 → 00:24:09 การขาดเลือดนะครับจากสาเหตุบางอย่างทำให้
00:24:09 → 00:24:12 คนไข้หรือนักกีฬาเนี่ยมีอาการเวียนศีรษะ
00:24:12 → 00:24:15 ปวดศีรษะนะครับหรือบางท่านก็อาจจะมีการ
00:24:15 → 00:24:17 อ่อนแรงแล้วก็หมดสติเป็นลักษณะที่เส้น
00:24:17 → 00:24:20 เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงนะครับแต่จริงๆจะ
00:24:20 → 00:24:23 มีสาเหตุอยู่ 3 อย่างครับอย่างแรกเนี่ยมี
00:24:23 → 00:24:26 คนศึกษาว่าเเชื่อว่ามันเกิดจากการที่มัน
00:24:26 → 00:24:29 มีการเปลี่ยนท่าทางเร็วๆนะครับหรือบาง
00:24:29 → 00:24:31 กรณีเนี่ยพบว่ามีการศึกษาพบว่าอาจจะเกิด
00:24:31 → 00:24:34 จากการที่มีความเครียดอดนอนเป็นปัจจัยทาง
00:24:34 → 00:24:36 จิตใจทำให้เกิดอาการวูบได้นะครับซึ่ง
00:24:36 → 00:24:38 สาเหตุหลักๆทางการแพทย์เนี่ยบางครั้งยัง
00:24:39 → 00:24:41 ยังหาคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้ยาก
00:24:41 → 00:24:43 แต่เกิดขึ้นได้ในกลุ่มนึงที่เราเจอได้
00:24:43 → 00:24:45 เนี่ยก็เป็นกลุ่มที่เกิดจากหลังจากการออก
00:24:45 → 00:24:48 กำลังกายหนักๆนะครับในกลุ่มเมีคำอธิบาย
00:24:48 → 00:24:50 ว่าเนื่องจากเวลาเราออกกำลังกายหนักๆ
00:24:50 → 00:24:52 เนี่ยปกติเราออกกำลังกายเนี่ยเส้นเลือด
00:24:52 → 00:24:54 เนี่ยเราต้องฉีดสูบฉีดเลือดเพื่อไปเลี้ยง
00:24:54 → 00:24:56 ววัต่างๆนะครับหลังจากนั้นเราก็จะมีเลือด
00:24:56 → 00:24:59 วิ่งไหลกลับหัวใจทีนี้เวลาเราหยุดออก
00:24:59 → 00:25:02 กำลังกายเร็วๆออกมาหนักๆเนี่ยเลือดที่
00:25:02 → 00:25:04 วิ่งไหลกลับจากร่างกายเนี่ยเฉพาะยิ่งจาก
00:25:04 → 00:25:06 กรณีที่กล้ามเนื้อมันบีบกลับอืมันลดลง
00:25:07 → 00:25:09 อย่างเร็วนะครับมันทำให้เลือดเนี่ยมัน
00:25:09 → 00:25:11 เข้าสู่หัวใจน้อยในขะเดียวกันมันก็เลยทำ
00:25:11 → 00:25:13 ให้เลือดออกไปน้อยลงทุกท่านลองนึกภาพ
00:25:13 → 00:25:15 เหมือนปั๊มน้ำไงครับถ้าเรามีปั๊มน้ำเนี่ย
00:25:15 → 00:25:17 แล้วทุกท่านปั๊มน้ำไว้ท่านต้องมีแหล่ง
00:25:17 → 00:25:19 เก็บน้ำถูกมั้ยครับเมื่อไหร่ก็ตามถ้า
00:25:19 → 00:25:22 แหล่งกับน้ำมันพร่องลงน้อยไปปั๊มน้ำทำงาน
00:25:22 → 00:25:24 ได้ลดลงมันก็ไม่มีน้ำปั๊มออกอันนี้ก็เป็น
00:25:24 → 00:25:27 คำอธิบายในในปัจจัยอันที่ 2 ก็คือหยุดออก
00:25:27 → 00:25:31 กำลังกายเร็วๆอืครับอันที่ 3 เนี่ยก็เป็น
00:25:31 → 00:25:33 กลุ่มที่เกิดจากการที่มีโรคประจำตัวนะ
00:25:33 → 00:25:36 ครับเช่นโรคหัวใจนะครับหรือมีปัญหาเกี่ยว
00:25:37 → 00:25:39 กับเรื่องของต่างๆที่เกี่ยวกับการบีบตัว
00:25:39 → 00:25:42 ของเส้นเลือดก็จะทำให้การบีบตัวมีปัญหา
00:25:42 → 00:25:44 ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะเกิดอาการวูบได้ครับเรา
00:25:44 → 00:25:45 พบว่าอย่างงี้ครับในกลุ่มคนที่ออกกำลัง
00:25:45 → 00:25:48 กายทั่วไปเนี่ยถ้ามีอาการวูบขึ้นมาได้
00:25:48 → 00:25:50 เนี่ยก็มีปัจจัยกระตุ้นได้นะครับยกตัว
00:25:50 → 00:25:54 อย่างเช่นมีภาวะอดนอนมาอนะครับอดนอนนะ
00:25:54 → 00:25:57 ครับหรือบางท่านเนี่ยมีการทำงานหนักมา
00:25:57 → 00:25:59 ก่อนเนาะนะครับผมมีเคสตัวอย่างเช่นเราเคย
00:25:59 → 00:26:02 มีนักวิ่งที่ร่างกายแข็งแรงครับปรากฏใน
00:26:02 → 00:26:04 วันนั้นเนี่ยก่อนหน้านั้นนะครับมีการทำ
00:26:04 → 00:26:07 งานหนักนะอย่างเช่นก็คือต่อเวรในเวลาหลาย
00:26:07 → 00:26:09 หลายครั้งเป็นคุณหมออีกนะแล้วก็หลังจาก
00:26:09 → 00:26:11 นั้นเนี่ยก็มีในเรื่องของการอดนอนนะครับ
00:26:11 → 00:26:15 ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นนึงทำให้เกิดวูบได้นะ
00:26:15 → 00:26:18 ในอันดับต่อมานะครับในกลุ่มที่มีประวัติ
00:26:18 → 00:26:21 นะครับมีโรคหัวใจในครอบครัวนะหรือมีคน
00:26:21 → 00:26:24 เสียชีวิตกทันหันนะครับเยกลุ่มนี้เองก็
00:26:24 → 00:26:26 อาจจะเป็นกลุ่มเสี่ยงนึงที่อาจจะเป็น
00:26:26 → 00:26:29 กลุ่มที่อาจจะมีโรคซ่อนโรคหัวใจซ่อนเล้น
00:26:29 → 00:26:32 ได้นะครับหรือกลุ่มที่ไม่เคยมีอาการแต่มี
00:26:32 → 00:26:35 ประวัติเคยวูบมาก่อนเช่นเวียนศีรษะง่ายๆ
00:26:35 → 00:26:38 นะครับทุกท่านบางทนท่านอาจจะเคยเป็นลูก
00:26:38 → 00:26:40 นั่งเร็วๆเวียนศีรษะนะครับหรือในบางท่าน
00:26:40 → 00:26:42 ถ้ายิ่งเคยมีประวัติว่าเวลามีเรื่อง
00:26:42 → 00:26:44 เครียดนะหรือมีเรื่องวิตกกังวลต่างๆก็มี
00:26:44 → 00:26:46 อาการเวียนศีรษะกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่มี
00:26:47 → 00:26:49 ปัจจัยเสี่ยง
00:26:49 → 00:26:54 ครับ This Is tha PBS
00:26:54 → 00:26:57 podcast ติดตามรายการของไย PBS podcast
00:26:57 → 00:27:14 ได้ทางเว็บไซต์ www.thaipbs.or.th
00:27:14 → 00:27:17 [เพลง]