00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world By The
00:00:04 → 00:00:09 Voice โรครมชักนะคะหรือโรครมบ้าหมูเนี่ย
00:00:09 → 00:00:12 ค่ะเป็นโรคที่เกิดจากคลื่นสมองมีความผิด
00:00:12 → 00:00:15 ปกติแล้วก็กระตุ้นเซลล์ประสาททำให้มี
00:00:15 → 00:00:19 อาการชักเคร็งกระตุกน้ำตาไหลไม่รู้สึกตัว
00:00:19 → 00:00:22 ซึ่งอันเนี้ยพบได้ทุกเพศทุกใการชัก 1 ที
00:00:22 → 00:00:25 ก็คือสมัขาออกซิเจนสิ่งที่ตามมาก็คือผู้
00:00:25 → 00:00:28 ป่วยก็มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้จาก
00:00:28 → 00:00:30 การชักโรคลมชักอ่ะค่ะมันเกิดได้จากหลาย
00:00:30 → 00:00:33 สาเหตุเลยค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็เลยมี
00:00:33 → 00:00:37 ความหลากหลายบางคนอาจจะรู้ว่าอะไรกระตุ้น
00:00:37 → 00:00:41 ให้ตัวเองชักบางคนอาจจะทำงานอยู่ดีๆเกิด
00:00:41 → 00:00:45 ชั้น Healthy ดีอยู่ดีๆชักขึ้นมา
00:00:45 → 00:00:49 เลยฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:49 → 00:00:52 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:52 → 00:00:56 This Is TY PBS podcast มาค่ะคุณผู้
00:00:56 → 00:00:59 ฟังติดตามกันสำหรับในช่วงเวลานี้นะคะกับ
00:00:59 → 00:01:01 รายการโรงหมอของเรานะคะวันนี้เราจะคุยกัน
00:01:01 → 00:01:05 ต่อถึงเรื่องของโรคลมชักกับการช่วยเหลือ
00:01:05 → 00:01:08 นะคะจะมีวิธีการยังไงกันบ้างแล้วก็สังเกต
00:01:08 → 00:01:10 ยังไงเอ๊ะคนนี้เป็นโรคลมชักวิธีการต่างๆ
00:01:10 → 00:01:12 เหล่านี้จะช่วยเหลือเขาได้อย่างไรเดี๋ยว
00:01:12 → 00:01:15 คุยกับดรพรทิพสุยาสิทธิ์จากภาควิชาการ
00:01:15 → 00:01:18 พยาบาลศัลยศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์
00:01:18 → 00:01:20 มหาวิทยาลัยมหิดลค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์คา
00:01:20 → 00:01:23 ค่ะสวัสดีค่ะค่ะอาจารย์คะวันนี้คุยกันถึง
00:01:24 → 00:01:27 เรื่องโรคลมชักนะคะอ่ะเราก็ต้องมาพูดคุย
00:01:27 → 00:01:30 กันทำความเข้าใจกันก่อนเรื่องของของอาการ
00:01:30 → 00:01:33 ชักต่างๆเหล่านี้นะคะมาทำความรู้จักกับ
00:01:33 → 00:01:36 โรคลมชักกันหน่อยว่าคืออะไรเป็นยังไง
00:01:36 → 00:01:40 อาการแบบไหนคะอาจารย์คะก็คือโรคลมชักนะคะ
00:01:40 → 00:01:43 หรือโรคที่คนทั่วไปเรียกว่าโรคลมบ้าหมู
00:01:43 → 00:01:47 เนี่ยค่ะเป็นโรคที่เกิดจากคลื่นสมองมี
00:01:47 → 00:01:50 ความผิดปกติแล้วก็กระตุ้นเซลล์ประสาททำ
00:01:50 → 00:01:53 ให้มีอาการชักเกรงกระตุกน้ำตาไหลไม่รู้
00:01:54 → 00:01:56 สึกตัวซึ่งอันเนี้ยพบได้ทุกเพศทุกไปเลย
00:01:56 → 00:02:00 ค่ะโดยโรคลมชักเนี่ยนะคะปกติแล้วเนี่ยเรา
00:02:00 → 00:02:05 ก็จะแบ่งเป็น 2 แบบก็คือชักแบบทั่วตัวกับ
00:02:05 → 00:02:09 ชักแบบเฉพาะที่คุณคุณรีเคยได้ยินมั้ยคะอื
00:02:09 → 00:02:12 ทั่วตัวกับเฉพาะที่หรอคะอืออ๋อไม่เคยได้
00:02:12 → 00:02:15 ยินเลยคือถ้าชักคือไปทั้งตัวหรือรู้จัก
00:02:15 → 00:02:18 แค่ชักอย่างเดียวใช่มใช่ๆก็เห็นชักแต่ก็
00:02:18 → 00:02:21 คือจริงๆอ่ะชักทั่วตัวก็คือ
00:02:21 → 00:02:25 เอ่อกระแสประสาทเนี่ยค่ะมันกระจายไปทั่ว
00:02:25 → 00:02:30 สมองทำให้เกิดอาการชักทั้งตัวอือ่าแต่ที
00:02:30 → 00:02:33 นี้ถ้าเกิดสมมุติกระแสประสาทมันที่ผิด
00:02:33 → 00:02:36 ปกตินั้นมันเกิดเฉพาะที่บริเวณใดบริเวณ
00:02:36 → 00:02:40 นึงของสมองมันก็จะทำให้เกิดอาการชักเฉพาะ
00:02:40 → 00:02:45 อวัยวะเป็นส่วนๆอาจจะเป็นแค่แขนขาศีรษะอื
00:02:45 → 00:02:47 อะไรอย่าเงี้ยค่ะค่ะฟังดูแบบนี้แล้ว
00:02:47 → 00:02:50 เหมือนว่าการชักทั้งตัวเนี่ยดูเหมือน
00:02:50 → 00:02:55 อาการจะหนักกว่าเนาะอืก็เอาจริงๆเนี่ย
00:02:55 → 00:02:57 อันตรายทั้งคู่เลยค่ะเพราะว่าอาการชัก
00:02:57 → 00:03:00 เนี่ยมันทำการชัก 1 ทีก็คือสมังขาด
00:03:00 → 00:03:05 ออกซิเจนออเพราะฉะนั้นเนี่ยนอกจากจะเกิด
00:03:05 → 00:03:09 สมองขาดออกซิเจนแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือผู้
00:03:09 → 00:03:12 ป่วยก็มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้จาก
00:03:12 → 00:03:14 การชักนั้นถ้าเกิดสมมุติระหว่างนั้นเคทำ
00:03:14 → 00:03:18 งานอยู่ขับรถอยู่หรือเดินลงบันไดอยู่อัน
00:03:18 → 00:03:23 นี้ก็คือเขาก็จะมีบาดเจ็บได้อืงั้นแสดง
00:03:23 → 00:03:26 ว่าคืออาการชักเนี่ยจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้
00:03:26 → 00:03:29 ตอนไหนก็ได้คือมันไม่มีอะไรที่เป็นสัญญาณ
00:03:29 → 00:03:33 บอกก่อนเลยหรอคะบางรายอาจจะมีค่ะก็คือโรค
00:03:33 → 00:03:36 ชักเนี่ยมีหลายประเภทบางประเภทเนี่ยเอ่อ
00:03:36 → 00:03:42 มันจะมีเคเรียกว่ามีตัวกระตุ้นซึ่งผู้
00:03:42 → 00:03:45 ป่วยอ่ะค่ะเขาจะรู้ว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้น
00:03:45 → 00:03:48 ทำให้เคเกิดอาการชักบางรายอาจจะรู้ตัว
00:03:48 → 00:03:52 ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะชักอืบางรายอาจจะ
00:03:52 → 00:03:54 ไม่รู้ค่ะบางรายอาจจะไม่เคยเป็นความจริง
00:03:55 → 00:03:57 อ่ะค่ะโรคลมชักอ่ะค่ะมันเกิดได้จากหลาย
00:03:57 → 00:04:00 สาเหตุเลยค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็ก็เลย
00:04:00 → 00:04:04 มีความเค้าเรียกว่ามีความหลากหลายในในแง่
00:04:04 → 00:04:08 ของเอ่อบางคนอาจจะรู้ว่าอะไรกระตุ้นให้
00:04:08 → 00:04:11 ตัวเองชักบางคนอาจจะทำงานอยู่ดีๆเกิดชั้น
00:04:11 → 00:04:14 Healthy ดีอยู่ดีๆชันชักขึ้นมาเลยอย่าง
00:04:15 → 00:04:19 เงี้ยเ้าอยู่ๆก็จะเอ้ยเดี๋ยวอาจารย์ถาม
00:04:19 → 00:04:21 นิดนึงคือ
00:04:21 → 00:04:24 เอ่อการเป็นโรคลมชักเนี่ยหมายความว่าเรา
00:04:24 → 00:04:26 ต้องเป็นมาตั้งแต่เด็กๆเลยหรือเปล่าหรือ
00:04:26 → 00:04:29 ว่าไม่ได้จำเป็นโตมาขึ้นมาแบบต่อให้
00:04:29 → 00:04:31 Healthy สุขภาพดีแค่ไหนวันนึงก็อาจจะ
00:04:31 → 00:04:35 เกิดอาการชักได้อ่ะคะคือเป็นได้ตั้งแต่
00:04:35 → 00:04:38 เด็กยันผู้สูงอายุเลยค่ะอเพราะว่าอย่าง
00:04:38 → 00:04:41 เช่นยกตัวอย่างนะคะด้ววัยเด็กเนี่ยอาการ
00:04:41 → 00:04:45 ชักอาจจะเกิดจากการบาดเจ็บจากการคลอดทำ
00:04:45 → 00:04:48 ให้สมองได้รับบาดเจ็บพอสมองได้รับบาดเจ็บ
00:04:48 → 00:04:52 ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะสร้างกระแสประสาท
00:04:52 → 00:04:55 ที่ผิดปกติแล้วก็มีอาการชักตามมาหรือเด
00:04:55 → 00:04:59 เด็กที่พบได้บ่อยสุดๆเลยก็คือเกิดจากการ
00:04:59 → 00:05:03 ชักจากไข้สูงซึ่งจะเจอได้ในเด็กอายุ 6
00:05:03 → 00:05:08 เดือนถึง 5 ขวบออก็คือเป็นภาวะชักจากไข้
00:05:08 → 00:05:13 สูงออหรืออาจจะชักจากสมองอักเสบติดเชื้อ
00:05:13 → 00:05:16 ค่ะหรืออาจจะชักจากโรคทาง
00:05:16 → 00:05:19 พันธุกรรมหรืออาจจะชักจากภาวะสมองพิการ
00:05:19 → 00:05:24 แต่กำเนิดอือันนี้คือในวัยเด็กนะคะก็คือ
00:05:24 → 00:05:27 เป็นโรคที่มากับตัวเขาหรือภาวะเจ็บป่วยณ
00:05:27 → 00:05:32 ตอนนั้นทำให้รบกวนการทำงานของสมองค่ะทำ
00:05:32 → 00:05:34 ให้สมองสร้างกระแสประสาทที่ผิดปกติแล้วก็
00:05:34 → 00:05:38 เกิดอาการชักอืสำหรับวัยหนุ่มสาวแล้วก็
00:05:38 → 00:05:42 วัยกลางคนน่ะค่ะอาการชักเนี่ยก็อาจจะเกิด
00:05:42 → 00:05:46 จากเอ่อกรพันธ์ก็ได้อุบัติเหตุก็ได้หรือ
00:05:46 → 00:05:50 อาจจะเกิดจากพยาธในสมองก็ได้เราไปทานอะไร
00:05:50 → 00:05:55 สุกๆติดๆชอบทานมั้ยคะซาชิมิ
00:05:55 → 00:05:57 กุ้งกุ้งเดี๋ยวิเดี๋ยวนี้เห็นมีกุ้ง
00:05:57 → 00:06:02 ซาชิมิด้วยโอ้เอ่าเนี่ยตัวดีเลยมีโอกาส
00:06:02 → 00:06:07 ที่เกิดอเอ่อการติดเชื้อจากพยาธิปอดหนู
00:06:07 → 00:06:11 ซึ่งจะพบในกุ้งในหอยโข่งแต่แต่ชื่อพยาธ
00:06:11 → 00:06:14 นี่คือเหมือนมาจากหมูนะคะเธอไม่ควรไปอยู่
00:06:14 → 00:06:16 ในกุ้งเลยค่ะ
00:06:16 → 00:06:21 โอ๊ยมันๆมันเอ่าใช่ๆๆก็เขาเขาตั้งชื่อ
00:06:21 → 00:06:24 เอ่อเหมนมันมันเจริญเติบโตในปอดหนูอะไร
00:06:24 → 00:06:28 อย่างงี้ค่ะแล้วก็มันก็ infect มาในคนอ่า
00:06:28 → 00:06:32 หรือเอ่อพยาธตัวจี๊ดอ่าก็พบได้ในไก่ปลา
00:06:32 → 00:06:36 น้ำจืดคืออันนี้เคยได้ยินข่าวพวกพยาธขึ้น
00:06:36 → 00:06:39 สมองมยคะอเคยได้ยินค่ะอาจารย์ใช่ๆก็คือ
00:06:39 → 00:06:43 จากจากการกินของสุกๆดิบๆที่ไม่สะอาดอ่ะ
00:06:43 → 00:06:46 ค่ะก็ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อ
00:06:46 → 00:06:47 แล้วก็พยาธ
00:06:47 → 00:06:50 เนี่ยกระดึ๊บกระดึ๊บกระดึ๊บไปถึงสมองข้าง
00:06:50 → 00:06:54 บนได้ใช่แล้วทีนี้พอมีสิ่งแดปอมในสมองนี้
00:06:54 → 00:06:58 ก็คือก็มีอาการฉัได้อื้อหือหรืออาจจะเกิด
00:06:58 → 00:07:03 จากหลอดเลือดผิดปกติหรืออการติดเชื้อใน
00:07:03 → 00:07:07 สมองหรือหลอดเลือดผิดปกติแล้วหลอดเลือด
00:07:07 → 00:07:09 แตกอย่างเงี้ยเคยได้ยินมภาวะอย่างเงี้ย
00:07:09 → 00:07:13 โอ้โหแต่ละอย่างใช่อุยมันเป็นมันเป็น
00:07:13 → 00:07:17 เหมือนหวยเลยนะภาวะหลอดเลือดเอ่อผิดปกติ
00:07:17 → 00:07:21 อ่ะค่ะคือแบบอมันจะไม่มีอาการมาก่อนเลยคน
00:07:21 → 00:07:24 เราคนๆนั้นสามารถใช้ชีวิตได้ปกติเลยแต่
00:07:24 → 00:07:28 อยู่ดีๆเกิดเอ่อหลอดเลือดเนี่ยมันปกพอง
00:07:28 → 00:07:33 แล้วก็อือแตกพอแตกปุ๊บก็เลื่อดออกในสมอง
00:07:33 → 00:07:38 ก็ทำให้เกิดอาการชักได้ออแต่ว่าชักนี้ถ้า
00:07:38 → 00:07:40 เกิดเลื่อนออกในสมองแบบนี้เนี่ยชักแล้วก็
00:07:40 → 00:07:43 อาจจะเสียชีวิตได้ใช่ไหมมคะคือแบบความ
00:07:43 → 00:07:46 เสี่ยงสูงมากใช่ใช่ค่ะอาการชากนี้ก็คือ
00:07:46 → 00:07:51 เป็นแค่อาการที่นำมาสู่พามาสู่โรงพยาบาล
00:07:51 → 00:07:54 เท่านั้นเองแต่ว่าเลือดออกจริงๆนั้นมันทำ
00:07:54 → 00:07:57 ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆมากมายที่เป็น
00:07:57 → 00:07:59 อันตรายถึงชีวิตได้เลยค่ะ
00:08:00 → 00:08:03 อื้อหือฟังแล้วนี่คือต้องระมัดระวังแล้ว
00:08:03 → 00:08:06 ต้องใส่ใจแล้วเพราะว่าอาจารย์บอกว่าจริงๆ
00:08:06 → 00:08:08 คืออ่ะถ้าเกิดตั้งแต่เด็กก็อาจจะจากหลาย
00:08:08 → 00:08:11 ปัจจัยแต่โตมาก็ใช่ว่าจะไม่เกิดอยู่ๆเกิด
00:08:11 → 00:08:15 ขึ้นมาก็ได้ก็จากหลายๆปัจจัยอีกเช่นเดียว
00:08:15 → 00:08:18 กันซึ่งเราอาจจะต้องไปหาสาเหตุดูว่าเอ่อ
00:08:18 → 00:08:21 อาการชักเนี่ยใช่มันเกิดเริ่มต้นจากอะไร
00:08:21 → 00:08:24 เออพฤติกรรมการกินหรือเปล่าของสุกๆดิบๆ
00:08:24 → 00:08:27 ซึ่งบางบางพื้นที่เเป็นวัฒนธรรมการกินแบบ
00:08:27 → 00:08:31 นี้นะคะอ่าแต่ก็ต้องใช่ใช่
00:08:31 → 00:08:37 ๆนึงอืใช่ๆก็เอาจริงๆแบบก็เข้าใจนะแบบ
00:08:37 → 00:08:41 เค้าก็ชอบทานแบบนั้นแต่ว่าบางทีเราก็ต้อง
00:08:41 → 00:08:44 ให้คำแนะนำแล้วก็เน้นย้ำรณรงเรื่องการทาน
00:08:44 → 00:08:47 อาหารที่ปรุงสุกอ่ะคะเพราะว่าความจริง
00:08:47 → 00:08:49 เนี้ยการทานอาหารปรุงสุขเนี่ยเป็นเรื่อง
00:08:49 → 00:08:54 สำคัญมากเพราะว่าก็มีหลายคนนอกจากจะเอ่อ
00:08:54 → 00:08:57 เจ็บป่วยจากการติดเชื้อแล้วเนี่ยมันไม่
00:08:57 → 00:09:00 ได้เอ่อไปติดเชเชื้อได้ที่สมองที่นเดียว
00:09:00 → 00:09:03 นะมันอาจจะติดเชื้อที่อวัยวะอื่นก็ได้อ้อ
00:09:03 → 00:09:06 อาจจะเป็นที่เอ่อทางเดินอาหารหรือมันอาจ
00:09:07 → 00:09:09 จะแบบพยาธิเนี่ยอาจจะชัไปทั้งตัวเป็นการ
00:09:09 → 00:09:13 ติดเชื้อทั่วร่างกายก็ได้ซึ่งมันทำให้
00:09:13 → 00:09:17 เกิดอันตรายแล้วก็สามารถนำไปสู่ความพิการ
00:09:17 → 00:09:20 หรือเสียชีวิตได้เลยอค่ะเพราะว่าอาจารย์
00:09:20 → 00:09:24 บอกแล้วว่ามันบางทีมันไปชักกระตุกเนี่ย
00:09:24 → 00:09:28 แค่บางอวัยวะแค่นั้นเองไม่ได้บอกว่าทั้ง
00:09:28 → 00:09:30 ตัวอืแต่ว่าก็ใช่มีความเสี่ยงที่ทำให้
00:09:30 → 00:09:32 เสียชีวิตได้อันนี้อาจารย์ย้อนไปถามนิด
00:09:32 → 00:09:35 นึงเกี่ยวกับเรื่องของเด็กๆโลกลมชักใน
00:09:35 → 00:09:37 เด็กเนี่ยเออถ้าลูกเราชักอ่ะบางทีคุณพ่อ
00:09:37 → 00:09:40 คุณแม่ทำตัวไม่ถูกหรือแบบคนดูแลเงี้ยจริง
00:09:40 → 00:09:42 ๆเถ้าเกิดว่าเด็กมีอาการชักเราต้องทำยัง
00:09:42 → 00:09:45 ไงบ้างอ่ะคะอ่าเราก็ต้องดูก่อนค่ะว่าเขา
00:09:45 → 00:09:48 ชักจากอะไรส่วนใหญ่เนี่ยเทสที่เจอได้บ่อย
00:09:48 → 00:09:50 ก็คือชักจากไข้สูง
00:09:50 → 00:09:53 อืก็คือถ้าเกิดชักจากไข้สูงเนี่ยคะคุณพ่อ
00:09:53 → 00:09:57 คุณแม่เช็ดตัวรูปไข้ได้เลยลดไข้ได้เลยก็
00:09:57 → 00:10:02 คือเอาผ้าฉุบน้ำอภูมิห้องอ่ะค่ะเช็ดโดย
00:10:02 → 00:10:06 เน้นบริเวณซอกคอซอกข้อพับขาแขงอันเนี้ยจะ
00:10:06 → 00:10:10 ช่วยระบายความร้อนเพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย
00:10:10 → 00:10:13 อือแล้วอาการชักก็จะดีขึ้นเขาจะหยุดชัก
00:10:13 → 00:10:17 ได้เองแต่อย่างไรก็ตามถ้าเด็กเนี่ยมี
00:10:17 → 00:10:21 อาการชักก็ควรที่จะพาไปพบแพทย์เพราะว่า
00:10:21 → 00:10:25 มันมีโอกาสที่เขาจะชักซ้ำได้อีกอ๋อคือแค่
00:10:25 → 00:10:29 ครั้งเดียวก็ต้องยังไงก็ดีขึ้นแล้วก็เป็น
00:10:29 → 00:10:32 ให้พาไปพแพใช่ค่ะเพราะว่ามันมีโอกาสที่เข
00:10:32 → 00:10:34 จะชักซ้ำได้อือหือ
00:10:34 → 00:10:38 ใช่แล้วก็ถ้าเกิดพาเด็กๆไปเอ่อเนอเซอรี่
00:10:38 → 00:10:40 หรือว่าฝากพี่เลี้ยงหรือใครก็ตามเลี้ยง
00:10:40 → 00:10:43 แทนเนี่ยก็ต้องบอกเขาด้วยว่าลูกเราเคยมี
00:10:43 → 00:10:46 อาการชักหรือว่าเอ่อมีความเสี่ยงตรงนี้
00:10:46 → 00:10:48 อยู่ก็คืออาจต้องบอกรายละเอียดเนาะเพราะ
00:10:48 → 00:10:52 บางทีเขาอาจจะไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้ก่อน
00:10:52 → 00:10:56 เงใช่่ก็ต้องก็ต้องบอกผู้ดูแลว่าเวลาถ้า
00:10:56 → 00:10:59 เกิดสมมุติว่าเกิดกรณีว่าลูกเราชักขึ้นมา
00:10:59 → 00:11:03 เราก็ต้องบอกค่ะว่าก็ต้องให้ลูกเราอ่ะค่ะ
00:11:03 → 00:11:07 จับลูกเรานอนค่ะแล้วก็หาหมอนนุ่มๆอันๆอัน
00:11:07 → 00:11:10 นี้เป็นพูดในกรณีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยนะ
00:11:10 → 00:11:14 คะเพราะว่าการดูแลไม่ไม่ต่างกันก็คือจับ
00:11:14 → 00:11:18 นอนราบกับพื้นแล้วก็เอิ่เอาหัวหนุนหมอน
00:11:18 → 00:11:22 โดยนอนตะแคงหน้าไปด้านใดด้านนึงเพื่อที่
00:11:22 → 00:11:25 จะให้น้ำลายอ่ะค่ะเขาไหลออกมาเพราะว่า
00:11:25 → 00:11:28 ปกติเวลาคนเราเวลาฉากอเขาจะไม่รู้สึกตัว
00:11:28 → 00:11:31 ค่ะพอคไม่รู้สึกตัวก็มีโอกาสที่น้ำลาย
00:11:31 → 00:11:34 เนี่ยจะลงปอดได้ก็คือสำลักลงปอดได้ก็เลย
00:11:35 → 00:11:37 ต้องนอนตะแคงหน้าเพื่อให้เอาน้ำลายออกมา
00:11:37 → 00:11:43 แล้วก็อย่าเอาอะไรไปงัดไปง้างอืมอ่ะๆอัน
00:11:43 → 00:11:48 นี้อันนี้ที่ที่เคยเห็นมาก่อนนะคะอันนี้
00:11:48 → 00:11:51 แต่เดี๋ยวนี้เค้าน่าจะมีเอ่อในรูปแบบของ
00:11:51 → 00:11:53 การทำความเข้าใจกับการที่ไม่เอาอะไรไป
00:11:53 → 00:11:57 ง้างอ่าช้อนอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์ไปเอางัด
00:11:57 → 00:12:00 ไว้ค้างไว้ไม่ให้แบบเเผลอกัดปากกัดดลิ้น
00:12:00 → 00:12:03 อะไรอย่างเงี้ยเออประมาณเนี้ยอเอาๆเอา
00:12:03 → 00:12:06 จริงๆห้ามทำเด็ดขาดเลยนะคะห้ามเอาสิ่งปาก
00:12:06 → 00:12:11 ปลอมไม่ว่าจะเป็นช้อนเป็นยาเป็นลูกบอล
00:12:11 → 00:12:14 อะไรก็ตามห้ามเอาใส่ปากเด็ดขาดเพราะว่า
00:12:14 → 00:12:17 การที่เอาของใส่เข้าไปในปากเนี่ยอาจจะมี
00:12:17 → 00:12:21 โอกาสทำให้ฟันหักได้ออพอฟันหักปุ๊บฟัน
00:12:21 → 00:12:24 เนี่ยล่ะค่ะตัวอันตรายมันมีโอกาสที่จะลง
00:12:24 → 00:12:28 หลอดลมแล้วก็ไปอุดตันทางเดินหายใจซ้ำเติม
00:12:28 → 00:12:32 คนป่วยเข้าไปอีกค่ะอเพราะฉะนั้นเวลาชัก
00:12:32 → 00:12:35 เราห้ามเอาอะไรใส่ปากเด็ดขาดเราปล่อยให้
00:12:35 → 00:12:41 เขาคชักไปเลยค่ะแล้วเรามีหน้าที่ดูแลสิ่ง
00:12:41 → 00:12:46 แวดล้อมรอบตัวเค้าให้ปลอดภัยหมายความว่า
00:12:46 → 00:12:51 ถ้ามีโต๊ะมีเก้าอี้ขยับออกไปอืมเพราะว่า
00:12:51 → 00:12:54 มันมีโอกาสที่เอ่อแขนขาอะไรอย่างเงี้ยจะ
00:12:54 → 00:12:57 ไปกระแทกหรือศีรษะกระแทกหลายครั้งที่ผู้
00:12:57 → 00:13:02 ป่วยพาที่มีภาวะชักอ่ะค่ะค่ะก็มีการบาด
00:13:03 → 00:13:06 เจ็บขึ้นมาด้วยจากการที่แขนขาไปกระแทก
00:13:06 → 00:13:09 แล้วทำให้มีบาดเจ็บกล้ามเนื้อบาดเจ็บ
00:13:09 → 00:13:14 กระดูกตามมาอ๋อคือเ้าไม่รู้ตัวด้วยอ่ะ
00:13:14 → 00:13:19 เนาะเวลาที่แบบใช่ๆค่ะแล้วก็อือฮึให้ใส่
00:13:19 → 00:13:21 เสื้อผ้าหลวมๆถ้าเกิดสมมุติเป็นผู้ใหญ่
00:13:21 → 00:13:24 ผูกเนก typ อยู่หรือติดกระดุมที่คออยู่ก็
00:13:24 → 00:13:27 ปลดกระดุมออกเพื่อไม่ให้มันรัดเกินไปอ่ะ
00:13:27 → 00:13:31 ค่ะแล้วก็พูดผู้ดูแลก็อย่าไปกดมีหลาย
00:13:31 → 00:13:35 ครั้งที่แบบสมมุติชากพังตัวอย่างเงี้ยแขน
00:13:35 → 00:13:38 แขนขาเค้าชิโดชิเดเงี้เราก็ไม่ต้องไปกด
00:13:38 → 00:13:43 เค้าไม่ต้องไปพยายามหยุดเค้าเพราะว่าเค้า
00:13:43 → 00:13:47 จะหยุดได้เองอ่าทีนี้ถ้าเกิดสมมุติ
00:13:47 → 00:13:52 ว่าผู้ป่วยหยุดชักแล้วก็ให้รีบนำส่งโรง
00:13:52 → 00:13:57 พยาบาลอืเพื่อที่เขาจะได้ตรวจรับการตรวจ
00:13:57 → 00:14:00 วินิจฉัยแล้วก็รับการรักษาที่เหมาะสมค่ะ
00:14:00 → 00:14:03 คือหมายความว่าปล่อยให้เขาคชักกระตุกไป
00:14:03 → 00:14:06 คือจะกี่นาทีก็แล้วแต่ก็ปล่อยอย่างงั้น
00:14:06 → 00:14:10 เลยแต่แค่ว่าเคลียร์สถานที่แล้วก็ปลดเ่อ
00:14:10 → 00:14:12 อะไรที่มันเป็นการพันธนาการตัวให้มันดู
00:14:12 → 00:14:15 แบบว่าอึดอัดใช่เอออะไรอย่างงี้ใช่มั้ยคะ
00:14:15 → 00:14:17 อ๋อหรอใช่ค่ะเพื่อป้องกันการบาดเจ็บเพิ่ม
00:14:17 → 00:14:20 เติมอ่ะค่ะเคหยุดเองได้เลยหรอคะโรคชัก
00:14:20 → 00:14:25 กตุกเนี่ยหยุดเองได้ค่ะอืแต่แต่ละคนเขาก็
00:14:25 → 00:14:28 มิ่งไม่เหมือนกันเจะหยุดชักเมื่อไรแต่ว่า
00:14:28 → 00:14:31 หลักการสเลยก็คือคนดูแลจะต้องป้องกัน
00:14:31 → 00:14:34 อุบัติเหตุแล้วก็พอเขาหยุดชักปุ๊บพาเขาไป
00:14:34 → 00:14:36 โรงพยาบาล
00:14:36 → 00:14:40 อืมโอ้โหกำลังนึกภาพอยู่ค่ะอาจารย์ว่าอ่ะ
00:14:40 → 00:14:43 ถ้าสมมุติว่าอยู่บ้านหรือแบบอ่ะสถานที่ทำ
00:14:43 → 00:14:46 งานที่แบบมีคนช่วยเหลืออะไรเงี้ยแต่ถ้า
00:14:46 → 00:14:48 เกิดเขาไปอยู่ในจุดที่เป็นอันตรายเช่น
00:14:48 → 00:14:50 อย่างเช่นการขับรถอยู่แล้วอาการพวกนี้
00:14:50 → 00:14:53 อยู่ๆก็บางคนไม่รู้ตัวชักกระตุกขึ้นมา
00:14:53 → 00:14:57 เอ้ยมันเกิดอุบัติเหตุได้อีกนเอาๆเอาจริง
00:14:57 → 00:15:01 ๆเอ่อคนที่เป็นโรคลมชักอ่ะค่ะไม่แนะนำให้
00:15:01 → 00:15:04 ขับรถเลยอันตรายมากเพราะว่ามันมีความ
00:15:04 → 00:15:07 เสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุตามมาอืหรือเาเ
00:15:08 → 00:15:11 มีอาการนั่นสิคะอาจารย์หรือว่าถ้าเกิดใคร
00:15:11 → 00:15:15 ที่ทำงานอยู่ในส่อสถานประกอบการที่จะต้อง
00:15:15 → 00:15:17 ทำงเื่องจเอออะไรพวกเนี้ยก็อาจจะต้อง
00:15:17 → 00:15:21 เปลี่ยนแผนกมั้ยคะหรือว่าแบบแบบเฟี้เพราะ
00:15:21 → 00:15:23 ว่ามันมีโอกาสถ้าเกิดเขามีอาการขึ้นมานี่
00:15:23 → 00:15:27 ก็คือมันจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรกตามมาได้
00:15:27 → 00:15:31 แต่ทีนี้คุณหมอเขาก็มีการรักาที่จะรักษา
00:15:31 → 00:15:35 เพื่อลดอาการชักหรือถ้าบางรายสามารถรักษา
00:15:35 → 00:15:40 หายขาดได้ก็มีวิธีรักษาอยู่โดยการผ่าตัด
00:15:40 → 00:15:45 ออผ่าตัดเลยเหรอคะใช่ตใช่ค่ะคือมันมัน
00:15:45 → 00:15:48 แล้วแต่ความรุนแรงของของเคสนะคะคือไม่ได้
00:15:48 → 00:15:51 แปลว่าทุกเคสจะต้องผ่าตัดแล้วแต่ดูพินิ
00:15:51 → 00:15:54 ของหมอบางรายอาจจะแค่ทานยาเพื่อลดอาการ
00:15:54 → 00:15:58 ชักก็ดีแล้วก็คุมอาการชักได้แต่บางราย
00:15:58 → 00:16:02 เนี่ยเขามีมีอาการชักบ่อยอือฮึหรือมีข้อ
00:16:02 → 00:16:07 บุกชี้ที่ต้องผ่าตัดคุณหมอก็จะรักษาโดย
00:16:07 → 00:16:12 การผ่าตัดเพื่อลดอาการชารค่ะค่ะหรือเพื่อ
00:16:12 → 00:16:15 ที่จะบางรายอาจจะหายขาดบางรายอาจจะยังมี
00:16:15 → 00:16:18 อาการอยู่เงอือาจารย์แล้วแบบว่าการชัก
00:16:18 → 00:16:22 บ่อยๆมันมีผลต่อสมองมยคะคือแบบว่าโอ๋แล้ว
00:16:22 → 00:16:24 เราปล่อยให้เขาคแบบบางคนไม่ทันแบบเค้า
00:16:24 → 00:16:26 เรียกว่าอะไรคะมันมันน่ากังวลน่ะค่ะตรง
00:16:26 → 00:16:28 ที่เราปล่อยให้เขาชักไปแล้วมันไม่มีผลต่อ
00:16:28 → 00:16:32 สมองล่ะคะแล้วเค้าอยู่ๆเค้าก็หายเองมัน
00:16:32 → 00:16:35 เอาจริงๆอ่ะค่ะมันมีผลต่อสมองค่ะก็คือ
00:16:35 → 00:16:38 อย่างที่อาจารย์บอกไปว่าการชักก็คือคนไข้
00:16:38 → 00:16:41 ก็จะขาดออกซิเจนตอนชักนะคะเพราะฉะนั้นถ้า
00:16:41 → 00:16:43 สมองขาดออกซิเจนสมองก็มีโอกาสที่จะบาด
00:16:43 → 00:16:46 เจ็บจากการขาดออกซิเจนได้หมายความว่ามัน
00:16:47 → 00:16:50 จะมีผลต่อการทำงานของสมองในแง่ของอาจจะมี
00:16:50 → 00:16:54 นะคะในแง่ของสติปัญญาการสื่อสารการรู้คิด
00:16:54 → 00:16:59 อืก็คือมันเป็นผลพวงที่ตามมาจากการช้อ่ะ
00:16:59 → 00:17:06 ค่ะค่ะใช่แต่ว่าทีเนี้ยในในในตอนณตอนที่
00:17:06 → 00:17:11 เค้าชักอยู่อ่ะค่ะผู้ดูแลไม่สามารถทำอะไร
00:17:11 → 00:17:15 ได้ให้เขาหยุดชักอ่ะค่ะออนอกจากนอกจากจะ
00:17:15 → 00:17:18 จะปล่อยให้เขาหยุดชักเองเออเป็นอะไรที่
00:17:18 → 00:17:21 ที่แบบว่ามันแปลกกว่าอาการหรือโรคอื่นๆ
00:17:21 → 00:17:23 ที่เราจะต้องแบบว่ารีบช่วยเหลืออะไรอย่า
00:17:23 → 00:17:26 เงี้ยแต่อันนี้คือแบบว่าอ่ะเดี๋ยวก็หาย
00:17:26 → 00:17:31 เองดูแบบว่าจัดจัดจัดท่าให้ถูกป้องกัน
00:17:31 → 00:17:34 อันตรายเพิ่มเติมจากการชักอันนี้คือหน้า
00:17:34 → 00:17:38 ที่ของผู้ดูแลอคือถ้าสมมุติว่าเค้าเชัก
00:17:38 → 00:17:40 แล้วเคว่ำหน้าลงไปหรือแบบอะไรอย่างเงี้ย
00:17:40 → 00:17:45 ก็ก็หมายถึงว่าต้องจับตัวพลิกมาให้แบบ
00:17:45 → 00:17:50 แล้วก็ใช่แล้วก็ตะแคงศีรษะอ่ะตัวนอนหงาย
00:17:51 → 00:17:54 แต่แค่ตะแคงศีรษะอย่างเดียวใช่มั้ยคะค่ะ
00:17:54 → 00:17:59 แล้วก็หนุนหมอนซะหน่อยใช่ค่ะอือืแต่ถ้า
00:17:59 → 00:18:05 เกิดไม่ได้จริงๆแบบอคนไข้แบบตัวดิ้นไป
00:18:05 → 00:18:07 ดิ้นมาก็คืออย่างน้อยก็ให้ศีรษะของเขาค
00:18:07 → 00:18:11 อ่ะค่ะตะแคงเพื่อที่น้ำลายเขาจะได้ออกมา
00:18:11 → 00:18:17 ออต้องให้น้ำลายออกมาใช่ๆมันเกี่ยวกันยัง
00:18:17 → 00:18:20 ไงคะเพราะว่ามันจะได้ไม่สำลักก็ใช่สำลัก
00:18:20 → 00:18:23 น้ำลายลงปอด
00:18:23 → 00:18:28 อ๋อเอออันยังไม่เคยเจอเคสที่แบบว่ามี
00:18:28 → 00:18:32 อาการสำลักเลยเลยแบบพยายามจะนึกภาพตามว่า
00:18:32 → 00:18:34 เราจะต้องทำยังไงเพราะว่าบางทีเกิดสมมุติ
00:18:34 → 00:18:37 เราเราไม่รู้เหมือนกันนะคะคุณผู้ฟังไปไหน
00:18:37 → 00:18:39 มาไหนเนี่ยเราอาจจะเจอใครแล้วมีอาการชัก
00:18:39 → 00:18:42 ได้เพราะว่าเอาเชื่อว่าหลายๆคนไม่รู้วิธี
00:18:42 → 00:18:45 การที่จะปฐมพยาบาลหรือการดูแลคนชักใน
00:18:45 → 00:18:48 เบื้องต้นว่าต้องทำยังไงอ่ะจริงๆนะคะค่ะ
00:18:48 → 00:18:54 อืมแล้วถ้าสมมุติว่าเอ่อเค้าอยู่ในที่ทำ
00:18:54 → 00:18:57 งานอ่ะแต่ว่าแบบไม่รู้ชักตอนไหนอ่ะล้มฟาด
00:18:57 → 00:18:59 ไปเลยอย่างเงี้ยค่ะ
00:18:59 → 00:19:02 แบบหมดสติไปเลยอย่าเงี้ยค่ะ
00:19:02 → 00:19:06 อาจารย์เป็นไปได้มถ้าเ้าหมดสติไปเลยก็
00:19:06 → 00:19:12 เรียกรถพยาบาลได้เลยค่ะอือหรือพาไปหาหมอ
00:19:12 → 00:19:15 ให้เร็วที่สุดมันมันเกิดอะไรขึ้นได้จริงๆ
00:19:15 → 00:19:20 เนาะเดี๋ยวเนี้ยใช่ค่ะต้องดูแลกันดีๆนะคะ
00:19:20 → 00:19:23 อ่ะแต่ว่าย้ำนะคะอาจารย์ย้ำให้หน่อยว่า
00:19:23 → 00:19:27 ห้ามเอาอะไรเข้าปากเนอะใช่ก็คือไม่ไม่
00:19:27 → 00:19:32 ง้างไม่ง้างัดไม่ถ่างไม่กดอ่าไม่ง้างเออ
00:19:32 → 00:19:35 ไม่ไม่งัดก็คือไปเอาอะไรแบบช้อนหรืออะไร
00:19:35 → 00:19:37 ก็แล้วแต่ช้อนมางัดเออไม่ถ่างก็คือไม่
00:19:37 → 00:19:42 ถ่างไม่กดก็คือเอามือไปกดตัวคนไข้พยายาม
00:19:42 → 00:19:47 จับแขนถ่างขาถ่างเพื่อหวังว่าจะหยุดคนไข้
00:19:47 → 00:19:50 ชักแต่ความจริงคนไข้อาจจะบาดเจ็บเพิ่ม
00:19:50 → 00:19:54 เติมได้ออค่ะมันมีถึงขั้นขนาดแบบว่าชัก
00:19:54 → 00:19:57 แบบแรงๆแล้วแบบว่าที่อาจารย์เคยเจอคือแบบ
00:19:58 → 00:20:02 ว่ามาด้วยกันฟกช้ำดำเขียวกระดูกกระดิกแบบ
00:20:02 → 00:20:05 มันบาดเจ็บได้เลยหรอคะที่แบบรุนแรงมันมี
00:20:05 → 00:20:08 โอกาสทำให้กระดูกหักได้ค่ะถ้าเกิดสมมุติ
00:20:08 → 00:20:13 ว่าเขาชักคือมันขึ้นอยู่กับเอ่อของที่
00:20:13 → 00:20:17 เป็นกระทบขั้นใช่ใช่ถ้าแบบตกบันไดมาอย่าง
00:20:17 → 00:20:21 เงี้ยอุ้ยก็มีโอกาสบาดเจ็บรรุนแรงขาหัก
00:20:21 → 00:20:25 แขนหักได้หรือแบบชักแล้วศีรษะไปฟาดกับขอบ
00:20:25 → 00:20:28 โต๊ะแขนไปฟาดกับขอบโต๊ะก็มีโอกาสที่จะ
00:20:28 → 00:20:32 เกิดการบาดเจ็บของกระดูกได้ออทีนี้ถ้า
00:20:32 → 00:20:34 เกิดว่าเจอแล้วชักเชักเสร็จแล้วรีบพาส่ง
00:20:34 → 00:20:38 โรงพยาบาลเลยใช่ค่ะอแต่อันอันอันนี้ขอเนน
00:20:38 → 00:20:41 ย้ำอีกอย่างนึงก็คือถ้าเป็นเด็กชักในเด็ก
00:20:41 → 00:20:44 แล้วเด็กไม่สบายมีไข้สูงเงี้ยก็ให้คุณพ่อ
00:20:44 → 00:20:49 คุณแม่เสร็จตัวลดไข้ก่อนแล้วก็พาไปพบ
00:20:49 → 00:20:53 แพทย์อืบางทีก็เข้าใจคุณพ่อคุณแม่บางทีตก
00:20:53 → 00:20:55 ใจอ่ะค่ะยิ่งถ้าเกิดเป็นคุณพ่อคุณแม่มือ
00:20:55 → 00:20:57 ใหม่ที่เพิ่งมีลูกคนแรกอ่ะค่ะอาจารย์อาจ
00:20:58 → 00:21:00 จะตกใจลูกชักแล้วก็รีบอุ้มไปอย่างงั้นเลย
00:21:00 → 00:21:04 ไปโรงพยาบาลเลยอย่างเงี้ยได้มยคะใช่ๆแต่
00:21:04 → 00:21:06 ความจริงเขาสามารถช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น
00:21:06 → 00:21:09 โดยการเช็ดตัวรดไข้ก่อนได้เด็กๆอายุ 6
00:21:09 → 00:21:13 เดือนถึง 5 ขวบนะคะอืย้ำๆอายุายุออทำไม
00:21:14 → 00:21:17 อ่ะแสดงว่าคือมันมันมันมันเป็นอาการที่พบ
00:21:17 → 00:21:22 ได้บ่อยในเด็กอายุเท่านี้ค่ะอ๋อใช่ก็เป็น
00:21:22 → 00:21:26 ไปได้ถ้าเป็นไข้มีไข้โอกาสชักมีสูงในเด็ก
00:21:26 → 00:21:31 เล็กเล็กๆเลยใช่ถก็ลดโอ้โหมัวแต่จะมาลด
00:21:32 → 00:21:35 ไข้อาจารย์หัวใจจะวายสิคะคุณพ่อคุณแม่คุณ
00:21:35 → 00:21:39 พ่อคุณแม่ตั้งสติก่อนจริงๆมันมันมันมัน
00:21:39 → 00:21:42 มันมันฟังดูเหมือนแบบอะไรลูกชันชักจะมา
00:21:42 → 00:21:46 เช็ดตัวรดไข้ทำไมแต่ว่าวิธีเนี้ยมันเป็น
00:21:46 → 00:21:48 เหมือนการจัดการที่ต้นตอของปัญหาเลยคือ
00:21:48 → 00:21:53 ไข้ถ้าเด็กไข้รถก็มีโอกาสชักชักซ้ำน้อย
00:21:53 → 00:21:57 ค่ะอ่าแต่แต่ว่าเช็ดตัวเนี่ยใช้น้ำ
00:21:57 → 00:22:01 อุณหภูมิปกติไม่ต้องน้ำเยินใช่ไม่ต้องไม่
00:22:01 → 00:22:05 ต้องไอคบอาฮะไม่ต้องไ CU challeng ไม่
00:22:05 → 00:22:09 ต้องเอาเออะไรนะเอ่อแผ่นแปะเจลรดไข้หรือ
00:22:09 → 00:22:11 ว่าไอ้ที่มันเป็นอแผ่นแปะเจลรดไข้ได้ค่ะ
00:22:11 → 00:22:14 อ๋อได้ใช่มยอันนั้นแต่ถ้าเป็นไอ้ที่เป็น
00:22:14 → 00:22:16 อะไรนะเค้าเรียกว่าอะไรอาจารย์ลืมไอ้ที่
00:22:16 → 00:22:21 เป็นสีฟ้าๆเป็นเจลรถไเจลรถไอ้ที่เป็นแบบ
00:22:21 → 00:22:24 ประคบสีฟ้าอ๋อแผ่นประคบเย็นอ๋อไม่ต้อง
00:22:24 → 00:22:29 ประคบเย็นค่ะประใช้ใชแค่ผ้าชุบน้ำคือๆคือ
00:22:29 → 00:22:33 คือมันจะมีเจลประคบร้อนประคบเย็นคุณรี
00:22:33 → 00:22:36 หมายถึงอันนั้นใช่มยคะใช่ๆๆอ๋อไม่ต้องไม่
00:22:36 → 00:22:40 ต้องเราใช้แค่ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิน้ำเช็ด
00:22:40 → 00:22:43 ทั่วร่างกายแล้วก็เอาแปะไว้ที่บริเวณซอก
00:22:43 → 00:22:47 คอซอกแขนท้อพับอมันจะช่วยระบายความร้อน
00:22:47 → 00:22:49 ได้ดีมากแล้วถ้าเกิดสมมุติมีแผ่นเจียวรรด
00:22:49 → 00:22:53 ไข้ก็เอาแปะที่ศีรษะเพิ่มได้อ๋ออ๋แต่ไม่
00:22:53 → 00:22:56 ต้องเอาแบบว่าความเย็นจัดมาเพื่อลด
00:22:56 → 00:22:59 อุณหภูมิความร้อนในร่างกายไม่ต้องค่ะ
00:22:59 → 00:23:02 เดี๋ยวเด็กจะชิลกว่าเดิมเด็กจะหนาวกว่า
00:23:02 → 00:23:08 เดิมโยแบบตกยากเะโออาจารย์กว่าจะไคร่รถอื
00:23:08 → 00:23:11 ใช้ระยะเวลาโอหัวใจจะวายเอาสิคุณพ่อคุณ
00:23:11 → 00:23:13 แม่ก็จะแบบไม่ไหว
00:23:13 → 00:23:17 อืมแต่ทางที่ิแต่ถ้าสมมุติว่าเอาจริงๆนะ
00:23:17 → 00:23:20 ก็เช็ดตัวไปด้วยพาส่งโรงพยาบาลด้วยเลยได้
00:23:20 → 00:23:25 มั้ยคะได้ค่ะไม่มีข้อห้ามแต่พอไปถึงโรง
00:23:25 → 00:23:29 พยาบาลพยาบาลก็อาจจะบอกว่าเข้าใจก็คือคุณ
00:23:29 → 00:23:32 พ่อคุณแม่ก็เป็นห่วงลูกเนาะอยากให้ลูกถึง
00:23:32 → 00:23:34 คุณใช่ไงเอจริงๆณตอนนั้นน่ะสิ่งสำคัญเลย
00:23:35 → 00:23:38 ต้องตั้งสติแล้วก็ต้องคิดว่าเราต้องทำยัง
00:23:38 → 00:23:41 ไงเพื่อที่จะลดอันตรายจากอาการเจ็บป่วย
00:23:41 → 00:23:45 นั้นอือจากอาการชักนั้นอืเพราะฉะนั้นคุณ
00:23:46 → 00:23:49 แม่ถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่เห็นเฮ้ยเด็กป่วย
00:23:49 → 00:23:53 มีไข้มาก่อนค่ะอย่างเงี้ยอันเนี้ยก็เป็น
00:23:53 → 00:23:55 วิธีที่เราจะสามารถช่วยเหลือเขาเบื้องต้น
00:23:55 → 00:23:59 ได้แล้วก็พาเไปพบคุณหมอออออเราไม่มียากัญ
00:23:59 → 00:24:03 ชักหรอคะหรือว่ามีอ๋อยากัญชักมีค่ะก็คือ
00:24:03 → 00:24:06 ถ้าคุณหมอคิดเอ่อพิจารณาแล้วว่าเคสนี้
00:24:06 → 00:24:09 ต้องใช้ยากัญชักก็จะมีให้ยากัญชักรับ
00:24:09 → 00:24:12 ประทานอย่างที่อาจารย์บอกไปว่าการรักษา
00:24:12 → 00:24:16 ค่ะมีทั้งการใช้ยาแล้วก็การผ่าตัดอืขึ้น
00:24:16 → 00:24:19 อยู่กับแต่ละคนว่าใช่แล้วตามดุลเรียพินิจ
00:24:19 → 00:24:24 ของแพทย์เลยค่ะไงอืแต่ก็มีโอกาสหายได้ใน
00:24:24 → 00:24:26 วันนึงไม่ได้แบบว่าจะชักอยู่อย่างงี้ไป
00:24:26 → 00:24:30 ตลอดชีวิตไม่ใช่แล้วแล้วแต่เคสเลยค่ะว่า
00:24:30 → 00:24:34 เจ็บป่วยรุนแรงอืมากหน่อยแค่ไหนบางเคสอาจ
00:24:34 → 00:24:38 อาจจะหายได้บางเคสอาจจะทำได้แค่คุมอาการ
00:24:38 → 00:24:42 ค่ะอ๋อแต่แต่ถ้าเกิดว่าคนที่เขาเอ่อคุม
00:24:42 → 00:24:44 อาการอยู่แล้วก็เคยมีอาการชักตั้งแต่เด็ก
00:24:45 → 00:24:47 ๆเชื่อว่าเขาระวังตัวมากอยู่แล้วในการที่
00:24:47 → 00:24:50 จะต้องไปไปทำอะไรเพราะว่ามีความเสี่ยง
00:24:50 → 00:24:52 แล้วเขาก็จะลดความเสี่ยงด้วยตัวเองอยู่
00:24:52 → 00:24:56 แล้วต้องต้องหลีกเคสคนไข้แบบเนี้ยค่ะคือ
00:24:56 → 00:24:57 ต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เป็น
00:24:57 → 00:25:01 อันตราค่ะอย่างเช่นการขับรถการว่ายน้ำการ
00:25:01 → 00:25:05 ทำงานกับเครื่องจักรการปีนป่ายปีนหน้าผา
00:25:05 → 00:25:08 อะไรอย่าเงี้ยก็อาจจะไม่เหมาะอืหรือไป
00:25:08 → 00:25:11 เที่ยวไหนหรืออะไรยังไงที่แบบว่าอาจจะ
00:25:11 → 00:25:13 เป็นพื้นที่ที่มีความสุมเสี่ยงหรือไปอยู่
00:25:13 → 00:25:15 ในจุดที่มีความอันเป็นอันตรายก็ได้อีก
00:25:15 → 00:25:18 เหมือนกันใช่เพราะว่ามันมีโอกาสที่เขาจะ
00:25:18 → 00:25:22 ชักซ้ำได้ถ้าเกิดเขตเกิดเหตุขึ้นมามันก็
00:25:22 → 00:25:26 เป็นอันตรายต่อตัวเขาเองอืเพรานั้นก็แต่
00:25:26 → 00:25:28 ว่าค่ะเขาสามารถดำเนิน
00:25:28 → 00:25:33 ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไปก็คือออกกำลังกาย
00:25:33 → 00:25:36 สม่ำเสมอแล้วก็บำรุงทานอาหารให้เขบผ้า
00:25:36 → 00:25:40 หมู่อืเงี้ก็ใช้ชีวิตได้แต่ว่าก็คือต้อง
00:25:40 → 00:25:44 ระวังพวกเวลาทำกิจกรรมอ่ะค่ะค่ะอืรวมทั้ง
00:25:44 → 00:25:49 เอ่อการอดนอนการดื่มสุราหรือการทำงานหรือ
00:25:49 → 00:25:53 ออกกำลังกายหนักมากจนเกินไปอันเนี้ยก็
00:25:53 → 00:25:57 กระตุ้นให้ชักได้อืแต่แล้วก็สิ่งสำคัญเลย
00:25:57 → 00:26:03 ในเคสที่ต้องทานยาค่ะก็คือต้องทานยาตามคำ
00:26:03 → 00:26:07 สั่งการรักษาของแพทย์ต่อเนื่องอย่าขาดยา
00:26:07 → 00:26:12 อือย่าปรับยาเองค่ะอันอันอันนี้อันนี้
00:26:12 → 00:26:16 เป็นสิ่งที่อยากเน้นย้ำเพราะว่าคนไทยบาง
00:26:16 → 00:26:19 ทีคิดว่าโอ๊ยฉันไม่เห็นมีอาการเลยฉันทาน
00:26:19 → 00:26:22 ยามานานแล้วเลิกทานยาแล้วะกันอ้าวปรากฏ
00:26:22 → 00:26:23 เป็น
00:26:23 → 00:26:29 ซ้ำค่ะทีนี้ดื้อยาแล้วนะปรับยาใหม่เลยนะ
00:26:29 → 00:26:32 ใช่ๆค่ะเพราบางทีก็แบบว่าเก่งกว่าหมอไงคะ
00:26:32 → 00:26:35 แบบว่าอันเนี้ยต้องเตือนย้ำเลยนะกินก็
00:26:35 → 00:26:38 ต้องกินยาให้หมดตามที่คุณหมอบอกนะคะบางที
00:26:38 → 00:26:41 บบว่าก็ดีขึ้นแล้วอ่ะเบื่อกินยาแล้ว
00:26:41 → 00:26:43 อาจารย์
00:26:43 → 00:26:46 เนาะซึ่งอันเนี้ยเป็นเป็นเป็นข้อที่ต้อง
00:26:46 → 00:26:49 ทำความเข้าใจกับคนไข้ถึงความจำเป็นว่าการ
00:26:49 → 00:26:52 กินยาตามแผนการรักษาเนี่ยมันสำคัญมากเลย
00:26:52 → 00:26:57 นะอย่าหยุดยาเองอค่ะเพราะว่ามันเราก็ไม่
00:26:57 → 00:27:00 อยากอยากจะให้เขาเนี่ยต้องเจ็บป่วยหนักๆ
00:27:00 → 00:27:03 หรือเจอเรื่องที่ไม่ดีใช่มั้ยคะหมายถึง
00:27:03 → 00:27:07 เจออุบัติเหตุหรือเจอเจ็บป่วยในอนาคตแล้ว
00:27:07 → 00:27:09 ป่วยหนักแล้วเจอภาวะแทรกซอนู่นนี่นั่น
00:27:09 → 00:27:12 เพราะฉะนั้นการกินยาตามแผนการรักษาและการ
00:27:12 → 00:27:16 พบแพทย์ตามนัดเป็นอะไรที่สำคัญมากขีดเส้น
00:27:16 → 00:27:20 ใต้มากที่ที่ที่คนไทยชอบละเลยกันจริงๆ
00:27:20 → 00:27:23 เพราะว่าบางคนพอคิดว่าตัวเองอาการดีก็
00:27:23 → 00:27:25 หยุดยาเองแล้วกลายเป็นว่า
00:27:25 → 00:27:30 โรคควบคุมได้ไม่ดีอือก็จะเกิดผลลัพธ์ที่
00:27:30 → 00:27:33 แย่กว่าเดิมอีกอะไรอย่างเงี้ยค่ะอนะคะก็
00:27:33 → 00:27:35 ฝากไว้ไม่ต้องกคุณหมอว่างงานค่ะหรือว่า
00:27:35 → 00:27:38 คุณไม่ต้องกลัวคุณหมอเหนื่อยนะคะหยุดยา
00:27:38 → 00:27:41 เองไม่ต้องนะคะไม่ต้องไม่ต้องค่ะดูแล
00:27:42 → 00:27:45 สุขภาพกันด้วยค่ะอ่ะขอบคุณอาจารย์พรทิพย์
00:27:45 → 00:27:47 ค่ะที่มาร่วมพูดคุยในในรายการของเราในวัน
00:27:47 → 00:27:50 นี้ด้วยนะคะหมดเวลาแล้วค่ะอาจารย์ค่ะโอ
00:27:50 → 00:27:53 เพิๆเพินๆใช่ค่ะขอบคุณค่ะอาจารย์สวัสดี
00:27:53 → 00:27:56 ค่ะค่ะสวัสดีค่ะเอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังหมด
00:27:56 → 00:27:58 เวลาแล้วนะคะพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการ
00:27:58 → 00:28:01 โรงหมอทางไย PBS podcast ค่ะวันนี้ลาไป
00:28:01 → 00:28:04 ก่อนสวัสดีค่ะ This Is Thai PBS
00:28:04 → 00:28:07 podcast คุณรู้หรือไม่ขนมปังที่เราระวัง
00:28:07 → 00:28:09 เรื่องคาร์โบไฮเดรตแต่กลับแฝงไปด้วย
00:28:09 → 00:28:11 โซเดียมที่สูงมากผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร
00:28:11 → 00:28:14 เอกราชบำรุงพืชผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
00:28:14 → 00:28:18 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมาบอกให้รู้ครับ
00:28:18 → 00:28:21 จริงๆแล้วในกลุ่มของอาหารที่มีโซเดียมแฝง
00:28:21 → 00:28:24 นี่ต้องใช้คำว่ามันแฝงเนาะกลุ่มแรกเลยก็
00:28:24 → 00:28:28 คือพวกเบเกอรี่ขนมปังอาจารย์อ่าอบางคนตก
00:28:28 → 00:28:31 กระใจเอ๊ขนมปังทำไมเรากินอยู่มันมี
00:28:31 → 00:28:33 โซเดียมแฝงอยู่เหรอจากข้อมูลสำรวจนะครับ
00:28:33 → 00:28:36 ตัวเลขโซเดียมปริมาณโซเดียมในขนมปังเนี่ย
00:28:36 → 00:28:38 มีตั้งแต่ 100 จนถึง 400 กว่าเกือบ 500
00:28:38 → 00:28:41 มิลลิกรัมเลยปริมาณโซเดียมที่แฝงซึ่งวัน
00:28:41 → 00:28:44 นึงนะครับคุณรีวันนึงเนี่ยเราแนะนำเลยว่า
00:28:44 → 00:28:47 ปริมาณโซเดียมที่เราควรได้รับในแต่ละวัน
00:28:47 → 00:28:50 เนี่ยไม่ควรเกิน 2,000 มิลิกรัมต่อวันนะ
00:28:50 → 00:28:53 จำไว้ในใจถูกต้องครับ 2,000 มิลลิกรัมจำ
00:28:53 → 00:28:56 ไว้ในใจหรือว่าต่อวันต่อวันอ่าอ่านะแล้ว
00:28:56 → 00:29:00 เราก็ต้องมาดูวันนึงเราไม่ได้กินแค่เกลือ
00:29:00 → 00:29:02 น้ำปลาเรารู้แล้วไอ้เกลือน้ำปลาเครื่อง
00:29:02 → 00:29:05 ปรุงรสพวกเนี้ยค่ะมีโซเดียมอยู่เพราะมัน
00:29:05 → 00:29:09 เค็มใช่แต่ไอ้อันอื่นๆรายการอาหารอื่นๆ
00:29:09 → 00:29:12 ที่มันแฝงอยู่เนี่ยเราอาจจะไม่รู้อย่าง
00:29:12 → 00:29:14 ที่เราคิดไม่ถึงว่าเอ้ยขนมปังมันมีด้วย
00:29:14 → 00:29:17 เหรออือ่าพวกเบเกอรี่มันมีด้วยเหรอเพราะ
00:29:17 → 00:29:23 ว่ามันไปแฝงอยู่ในองค์ประกอบของผง
00:29:23 → 00:29:29 ฟู This Is Thai PBS podcast
00:29:29 → 00:29:32 ติดตามรายการของ Thai PBS podcast ได้
00:29:32 → 00:29:47 ทางเว็บไซต์ www.thaipbs.or.th
00:29:47 → 00:29:50 [เพลง]