00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice ในเรื่องของระดับคุณภาพคนนะครับ
00:00:08 → 00:00:10 มันก็จะมีสเปกตรัมตั้งแต่คนที่พัฒนาตัว
00:00:10 → 00:00:12 เองสูงมากกับคนที่แบบไม่สนใจกับการพัฒนา
00:00:12 → 00:00:15 ตัวเองแค่ใช้ชีวิตประคองไปวันๆเออบางที
00:00:15 → 00:00:17 การดูแลบุพการีเป็นเรื่องดีแต่ต้องแยกให้
00:00:17 → 00:00:20 ออกว่าอันนี้ปรนิบัติพ่อแม่หรือปนเปอพ่อ
00:00:20 → 00:00:22 แม่อยู่ปิบัติเป็นเรื่องของการดูแลปัจจัย
00:00:22 → 00:00:25 4 เป็นสิ่งที่ผู้ได้รับก็ถูกบำรุงผู้ให้
00:00:25 → 00:00:28 ก็ให้ในสิ่งที่ควรแก่การบำรุงแต่ถ้าเกิด
00:00:28 → 00:00:30 เป็นปนเปลอเนี่ยครับมันคือการให้ในสิ่ง
00:00:30 → 00:00:32 ที่ไม่ควรให้คนนั้นก็ไม่ควรได้รับและตัว
00:00:32 → 00:00:34 เราก็ไม่ควรให้คนได้ก็เสื่อมลงเสื่อมใน
00:00:34 → 00:00:37 ที่นี้อาจจะหมายถึงเสื่อมเชิงวิธีคิดเชิง
00:00:37 → 00:00:39 การพึ่งตัวเองเชิงบุคลิกภาพคุณภาพใจบาง
00:00:39 → 00:00:42 อย่างคนให้ก็ให้จนแบบตัวเองไม่มีอะไรจะ
00:00:42 → 00:00:44 ให้แล้วก็จะเป็นความโกรธแค้นว่าทำไมไม่
00:00:44 → 00:00:47 ได้คืนหรือทำไมไม่ถูกเห็น
00:00:47 → 00:00:51 ใจฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟัง
00:00:51 → 00:00:55 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:55 → 00:00:58 This Is tha PBS podcast เอาล่ะค่ะ
00:00:58 → 00:01:01 คุณผู้ฟังวันนี้เราจะชวนคุณผู้ฟังนะคะมา
00:01:01 → 00:01:05 ทำกิจกรรมกิจกรรมนึงที่ง่ายๆเลยนะคะเราก็
00:01:05 → 00:01:08 ไม่ต้องเอ่อเรียกว่าใช้คนให้ยุ่งยากเลย
00:01:08 → 00:01:11 ตัวเราเองนี่แหละนะคะเรามาชวนคุณผู้ฟัง
00:01:11 → 00:01:14 กอดตัวเองกันดีกว่ากอดเพื่อทำไมเพื่อที่
00:01:14 → 00:01:17 จะได้เยียวยาจิตใจกอดตัวเองให้รู้สึกว่า
00:01:17 → 00:01:21 เออเราเนี่ยต้องรักตัวเองนะคะแต่ทำไมก่อน
00:01:21 → 00:01:23 จะต้องมาให้เรากอดตัวเองเนี่ยเพื่อ
00:01:23 → 00:01:26 เยียวยาจิตใจมีอะไรมากระทบเราหรอหรือยัง
00:01:26 → 00:01:29 ไงนะคะเดี๋ยวคุยกับดรสุววุฒิวงทางสวัสดิ์
00:01:29 → 00:01:31 นะจิตวิทยาการการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณ
00:01:31 → 00:01:34 เอิ้นสวัสดีครับคุณรีสวัสดีครับคุณผู้ฟัง
00:01:34 → 00:01:38 มีลูกคอนิดนึงครับผมคุยกันถึงเรื่องดนตรี
00:01:38 → 00:01:40 นอกรอบเมื่อ
00:01:40 → 00:01:43 กี้อ่ะเราก็ต้องแบบว่าหาอะไรให้แบบว่ามี
00:01:43 → 00:01:46 ความบันเทิงในชีวิตบ้างนะคะจากการคุย
00:01:46 → 00:01:49 เพราะว่าแต่ละวันแต่ละวันคุณเอิ้นชีวิต
00:01:49 → 00:01:53 มันท้าทายืถอนหายใจเอาจริงๆเราเป็นเพื่อน
00:01:53 → 00:01:55 กันใน Facebook ถูกมั้ยคุณเอิ้นก็เห็น
00:01:55 → 00:01:58 เนาะ activity ในแต่ละวันอะไรก็ไม่รู้
00:01:58 → 00:02:01 เต้มไปหมดเลยอันนี้เเห็นของคุณเอิ้นอ้อ
00:02:01 → 00:02:03 ไม่ใช่ได้ติดตามคุณเอิ้นใน Facebook หไม่
00:02:03 → 00:02:06 ใช่ไปเห็นของของเค้านะเดี๋ยวจะจะแบบว่า
00:02:06 → 00:02:09 ติดเรทเออก็จะเห็น activity คุณเอิ้นไป
00:02:09 → 00:02:12 บรรยงบรรยายได้ๆนะคะคิวก็แทบจะไม่ค่อย
00:02:12 → 00:02:16 ว่างหัวข้อแต่ละอย่างก็พาเครียดเนาะ
00:02:16 → 00:02:19 อหรือแม้กระทั่งสุรีพรทำงานเองเนี่ยก็
00:02:19 → 00:02:23 โอ๊ยหมดวันนึงเนี่ยตะวันลับฟ้าก็เหมือน
00:02:23 → 00:02:26 เหมือนแบตร่างกายหมดอ่ะเดินห่อเหี่ยวหัว
00:02:27 → 00:02:30 ใจลงมากลับที่พักอะไรแบบเนี้ยรู้สึกแบบ
00:02:31 → 00:02:34 มันเหนื่อยล้าดีเนาะครับในยุคสมัยเนี้ย
00:02:34 → 00:02:36 ครับเพราะว่าผมว่ายุคนี้สังคมมันกดดัน
00:02:36 → 00:02:38 เหมือนกันนะอืคือมันเหมือนกับว่าตั้งแต่
00:02:38 → 00:02:41 หลังโควิดอ่ะครับมันก็จะมีส่วนของการงาน
00:02:41 → 00:02:44 ส่วนของอื่นๆที่เป็นการแข่งขันที่มากขึ้น
00:02:44 → 00:02:47 อือผมว่าไม่ใช่แค่คนทำงานเนาะเด็กๆก็ก็
00:02:47 → 00:02:50 เหมือนกันเด็กๆก็ต้องแข่งกันเรียนในยุค
00:02:50 → 00:02:53 ที่แบบเหมือนโอกาสในการงานก็น้อยลงค่ะ
00:02:53 → 00:02:55 อย่างเงี้ยฮะผมว่ามันมีความเครียดเกิด
00:02:55 → 00:02:57 ขึ้นสะสมแล้วแม้กระทั่งข้างนอกมิจฉาชีพ
00:02:57 → 00:03:00 อะไรก็เยอะเติไปหมดเออจริงงฮะก็จะมีทั้ง
00:03:00 → 00:03:03 คนที่ถูกหลอกคนที่แบบต้องเสียรู้เสียความ
00:03:03 → 00:03:05 รู้สึกจากการถูกหลอกก็มีเยอะแยะไปหมดเลย
00:03:05 → 00:03:07 เพราะงั้นยุคนี้มันเป็นยุคที่สังคมไม่
00:03:07 → 00:03:10 ง่ายอือแล้วผมว่าชีวิตคนทุกคนมีภาวะความ
00:03:10 → 00:03:12 เครียดเยอะอือเยอะเหมือนกันแล้วมันก็มี
00:03:12 → 00:03:14 ความกดดันหลายอย่างเนาะความกดดันเนี้ยมัน
00:03:14 → 00:03:17 จะไม่ใช่แค่คนรอบตัวกดดันเคนะบางครั้งมัน
00:03:17 → 00:03:20 เกิดขึ้นจากการที่เขากดดันตัวเองด้วยอ่า
00:03:20 → 00:03:22 สำคัญตรงนี้เหมือนกันนะบางทีเราไม่รู้ว่า
00:03:22 → 00:03:26 ตัวเราอ่ะกดดันตัวเองโดยแบบอ้าเหรอใช่
00:03:26 → 00:03:30 ครับมันคือการคาดหวังกับตัวเองอ่ะใช่หวัง
00:03:30 → 00:03:32 ว่าตัวเราควรจะเป็นคนที่สมบูรณ์กว่านี้ทำ
00:03:32 → 00:03:35 ได้ดีกว่านี้สิอืหรืออาจจะมีการเปรียบ
00:03:35 → 00:03:38 เทียบว่าค่ะคนอื่นเขทำได้ทำไมฉันทำไม่ได้
00:03:38 → 00:03:43 ล่ะอืเออทำไมคนอื่นเขาดูทำได้เคิดได้ทำไม
00:03:44 → 00:03:46 ตัวฉันถึงคิดไม่ได้นะออือฮึแล้วมันก็กลาย
00:03:46 → 00:03:48 เป็นความรู้สึกผิดหวังกับตัวเองหรือแ้
00:03:48 → 00:03:51 กระทั่งการดูเอ่อโซเชียลคนอื่นเยอะๆที่เา
00:03:51 → 00:03:54 แบบูทำไมเค้าเงินเยอะจังโชว์เงินโชว์ความ
00:03:54 → 00:03:58 สุขิเปรู้นะอะไรก็แล้วแต่กลายเป็นความ
00:03:58 → 00:04:01 เปรียบเทียบกับกับเราอทำไมไม่ได้อย่าทำม
00:04:01 → 00:04:04 เราอายขนาดนี้แล้วเนี่ยดูเพื่อนสิหไปถึง
00:04:04 → 00:04:07 ไหถึงไหเออนัเจอเพื่อนกันทีนึงก็แทบไม่
00:04:07 → 00:04:10 อยากจะบอกเลยว่าทำอะไรอะไรอย่างงี้ใช่
00:04:10 → 00:04:14 มยเออหรือว่ามันถูกสังคมรอบข้างทำให้เรา
00:04:14 → 00:04:18 รู้สึกว่าเออมันเหนื่อยล้าได้ง่ายอ่ะอือ
00:04:18 → 00:04:21 จากถูกกดดันจากตัวเองจากอะไรก็แล้วแต่
00:04:21 → 00:04:24 ความคาดหวังของคนในครอบครัวก็แล้วแต่หรือ
00:04:24 → 00:04:29 การถูกทำร้ายเอ่อสิ่งที่มันเกิดขึ้นมัน
00:04:29 → 00:04:32 มันมันแย่เนาะอืมใช่ครับใช่เพราะงั้นจริง
00:04:32 → 00:04:34 ๆหัวข้อวันเนี้ยครับเอ่อเราคุยเรื่องการ
00:04:34 → 00:04:37 ก่อเเวงจริงๆแล้วการก่อเเวงมันคือการโอบ
00:04:37 → 00:04:40 อุ้มเป็นการใจดีกับตัวเองสมมุติถ้าท่าน
00:04:40 → 00:04:42 ผู้ฟังอยากไปศึกษาต่อเนาะจะมีคอนเซปคำว่า
00:04:42 → 00:04:45 เอ่อ Self compassion อืหรือการเมตตา
00:04:45 → 00:04:48 กรุณาต่อตัวเองอืคือคือเป็นความปรารถนาดี
00:04:48 → 00:04:51 ที่มีต่อตัวเองที่ไม่อยากให้ตัวเองทุกข์
00:04:51 → 00:04:54 และอยากให้ตัวเองเป็นสุขกับชีวิตที่มีมัน
00:04:54 → 00:04:57 คือความอ่อนโยนนะครับมันน่าสนใจตรงที่ว่า
00:04:57 → 00:05:01 ทำไมเรายังปรารถนาดีหรือแบบว่าเอ่ออ่อน
00:05:01 → 00:05:03 โยนกับคนอื่นได้ใจดีกับคนอื่นได้แล้วทำไม
00:05:03 → 00:05:06 กับตัวเราถึงไม่ทำอืมันอาจจะเป็นเพราะเรา
00:05:06 → 00:05:09 รู้สึกว่าตัวเราไว้ทีหลังก่อนก็ได้มั้ง
00:05:09 → 00:05:11 เพราะมันมีภารกิจบางอย่างที่เราจะต้องทำ
00:05:11 → 00:05:13 เพื่อให้รู้สึกสำเร็จเพื่อให้คนอื่นยอม
00:05:13 → 00:05:16 รับอือฮึเพื่ออะไรบางอย่างที่ถ้าเกิดทำ
00:05:16 → 00:05:19 แล้วมันน่าจะรู้สึกพอใจอะไรเงี้ยฮะได้การ
00:05:19 → 00:05:21 ได้ได้รับการยอมรับกลับมาแล้วเราเกิดความ
00:05:21 → 00:05:24 รู้สึกพึงพอใจดีอย่างงี้ใช่ใช่มั้ยอใช่
00:05:24 → 00:05:26 บางทีก็เลยบางคนก็เลยยอมสวญเสียความเป็น
00:05:26 → 00:05:29 ตัวเองอือืเสียสวนเสียความเป็นตัวตัวเอง
00:05:30 → 00:05:32 เพื่อที่จะเป็นบางสิ่งที่คนอื่นชอบค่ะแต่
00:05:32 → 00:05:35 เราไม่ได้ชอบตัวเองอือฮะก็มีพวกนี้เหมือน
00:05:35 → 00:05:38 กันเออแต่ก็เยอะนะเพราะว่าเอาจริงๆก็เคย
00:05:38 → 00:05:41 เคยคุยกับหลายๆคนหรืออะไรเงี้ยหรือบางที
00:05:41 → 00:05:44 เค้ารู้สึกว่าเค้าต้องเป็นคนที่แบกรับใน
00:05:44 → 00:05:47 ในหลายๆอย่างในขณะเดียวกันที่อ้าพอแบกรับ
00:05:47 → 00:05:50 คนในครอบครัวปุ๊บเนี่ยกลายเป็นว่าคนอื่น
00:05:50 → 00:05:54 กลายเป็นไม่ต้องทำอะไรเลยเาต้องคอยดูแลทำ
00:05:54 → 00:05:56 อยู่คนเดียวเหนื่อยอยู่คนเดียวแต่แล้ว
00:05:56 → 00:05:59 สิ่งที่ได้ตอบแทนมามันไม่ได้สิ่งที่คาด
00:05:59 → 00:06:02 คิดเลยบางทีเค้าอาจจะไม่ได้บอกว่าจะต้อง
00:06:02 → 00:06:05 แบบเอ่อตอบแทนเป็นเงินกลับมาให้เค้าหรือ
00:06:05 → 00:06:07 อะไรอย่างเงี้ยแต่ว่าแค่คำพูดดีๆยังไม่มี
00:06:07 → 00:06:09 เลยอย่างเงี้ยมันก็หมดพลังใจได้เหมือนกัน
00:06:09 → 00:06:12 ออืใช่ครับเพราะงั้นมันมีความเครียดหลาย
00:06:12 → 00:06:14 อย่างเาตะกี้ตะกี้ก็เป็นหนึ่งอย่างที่
00:06:14 → 00:06:16 เกิดขึ้นได้คือเรื่องในครอบครัวอืบางที
00:06:16 → 00:06:20 เราก็จะอลุ่มอรวยเราก็จะยืดหยุ่นเราก็จะ
00:06:20 → 00:06:24 ยอมทำตามคำร้องขอของคนในบ้านหรือคนที่เรา
00:06:24 → 00:06:27 รักเออคนที่เรารักแต่เค้ารักเรามั้ยไม่
00:06:27 → 00:06:31 รู้นะอเพราต้องบอกว่าในในความเป็นจริงมัน
00:06:31 → 00:06:33 ก็จะมีพื้นที่อ่ะครับที่ตัวเราเกิดมาใน
00:06:33 → 00:06:36 ครอบครัวที่แบบใช่แหละเรามีคนที่เราเรียก
00:06:36 → 00:06:39 ว่าแม่ได้เรียกว่าพ่อได้เรียกว่าพี่น้อง
00:06:40 → 00:06:44 ได้อือฮึแต่เป็นการเรียกให้โดยสถานะแต่
00:06:44 → 00:06:46 แต่คุณภาพของจิตใจของความเป็นพ่อแม่พี่
00:06:46 → 00:06:49 น้องเนี่ยอือมันอาจจะไม่ถึงก็ได้ฟังแล้ว
00:06:49 → 00:06:51 จุกอ่ะใช่ครับเพราะว่ามันมีเหมือนกันนะ
00:06:51 → 00:06:53 อันนี้ผมก็จะมีลูกค้าหลายท่านที่แบบมี
00:06:53 → 00:06:55 โอกาสได้คุยแล้ววิเคราะห์ครอบครัวเขาค
00:06:55 → 00:06:58 เอ่อเรื่องที่มันน่าเศร้าก็คือว่าบาง
00:06:58 → 00:07:01 ครั้งเก็แค่เกิดมาโดยที่แบบเกิดจากการ
00:07:01 → 00:07:04 พลาดก็คือเหมือนคล้ายๆพลาดตั้งครรภ์โดย
00:07:04 → 00:07:06 ไม่พร้อมของคนเป็นแม่อย่างเงี้ยครับแล้ว
00:07:06 → 00:07:08 ก็จะมีจุดที่เป็นทางแยกของคนเป็นแม่ว่าจะ
00:07:08 → 00:07:12 ทำแท้งดีมั้ยหรือจะเก็บไว้ดีอืทีเนี้ยก็
00:07:12 → 00:07:14 จะมีเรื่องเล่าที่บอกว่าคนรอบตัวเนี่ยบอก
00:07:14 → 00:07:16 ว่าให้เก็บไว้เถอะเดี๋ยวแก่ๆไปลูกจะได้
00:07:16 → 00:07:20 เลี้ยงเราเลยกลายเป็นว่าการที่เค้าเก็บ
00:07:20 → 00:07:23 เด็กคนนี้ไว้เนี่ยจริงๆเขาคิดว่าจะได้ใช้
00:07:23 → 00:07:26 เป็นแรงงานเพื่อให้มีหน้าที่เพื่อให้ตอน
00:07:26 → 00:07:29 แก่จะมีคนมาดูแลเราเค้าก็เลยเลี้ยงเด็กเก
00:07:29 → 00:07:31 ไม่วเป็นคล้ายๆคนที่แค่ช่วยให้เลี้ยงไว้
00:07:31 → 00:07:33 ตอนแก่อย่าเงี้ยฮะให้ให้เลี้ยงเขาตอนแก่
00:07:33 → 00:07:36 เดี๋ยวนะแล้วอันนี้คือเค้ารู้เพราะมีคนมา
00:07:36 → 00:07:40 พูดให้ฟังว่าแม่หรือใใช่ครับแม่เพูดว้าย
00:07:40 → 00:07:41 ใช่ครับเพราะฉะนั้นเรื่องเนี้ยครับบาง
00:07:41 → 00:07:43 ครั้งมันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใน
00:07:43 → 00:07:46 สังคมเราแล้วมันมีอยู่จริงเพราะงั้นตัวผม
00:07:46 → 00:07:50 จะไม่บอกว่าโลกนี้สวยงามผมจะมองว่ามันมี
00:07:50 → 00:07:53 ทั้งพารทที่สวยงามและพารทที่ไม่สวยงาม
00:07:53 → 00:07:56 โอ๊ยไม่ต้องพูดก็ได้ใหม่อ่ะคือแค่ในละคร
00:07:56 → 00:08:00 เราก็ว่าแบบเออนะนี่ชีวิตจริงมีใช่ครับ
00:08:00 → 00:08:04 เรื่องนี้มีจริงเพราะบางทีเอ่อเด็กคนนึง
00:08:04 → 00:08:08 จะสงสัยในสิ่งที่เขาถูกปฏิบัติจากคุณแม่
00:08:08 → 00:08:10 อืมเค้าก็อาจจะแบบคล้ายๆทวงถามเรื่องแบบ
00:08:10 → 00:08:13 แม่รักหนูมั้ยอะไรเงี้ยหรือหรืออาจจะเป็น
00:08:13 → 00:08:15 เหตุการณ์เก่าๆอะไรเงี้ยครับหรือบางทีพ
00:08:15 → 00:08:17 เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันมันมีเหมือนกันนะ
00:08:17 → 00:08:20 ที่แม่พูดว่าฉันไม่น่าเก็บแกไว้เลยอ่าอัน
00:08:20 → 00:08:22 นี้ได้เรื่องของการแบบพูดแบบไม่ทันได้
00:08:23 → 00:08:25 คิดูแบบโกธอะไรเงี้ยครับก็มีหรือบางทีก็
00:08:25 → 00:08:27 พูดแบบพูดจริงๆแบบไม่ค่อยมีความคิดอะไร
00:08:27 → 00:08:30 มากก็เลยพูดๆไปอย่างเงี้ยก็มีเหมือนกันออ
00:08:30 → 00:08:33 เออเพราะงั้นในเรื่องของระดับคุณภาพคนนะ
00:08:33 → 00:08:35 ครับมันก็จะมีสเปคตรัมตั้งแต่คนที่พัฒนา
00:08:35 → 00:08:38 ตัวเองสูงมากกับคนที่แบบไม่สนใจกับการ
00:08:38 → 00:08:41 พัฒนาตัวเองอือแค่ใช้ชีวิตประคองไปวันๆ
00:08:41 → 00:08:44 อ่าเขาก็จะไม่ได้พัฒนาความละเอียดอ่อนกับ
00:08:44 → 00:08:47 คนรอบตัวค่ะก็จะกลายเป็นคนที่ค่อนข้าง
00:08:47 → 00:08:50 หยาบก้านใช้คำพูดอะไรที่ไม่ได้ถนอมใจไม่
00:08:50 → 00:08:53 ได้พูดถึงความรักเท่าไหร่อืเข้าใจได้เ้น
00:08:53 → 00:08:56 อืทีนี้พอตัวเอยากให้แม่รักเอย่างเงี้ย
00:08:56 → 00:08:58 ครับบางครั้งเขาก็เลยเหมือนกับกลื่น
00:08:58 → 00:09:00 เหมือนกลืนเลือดอ่ะเนาะก็พยายามทำพยายาม
00:09:00 → 00:09:02 ทำทุกอย่างเพื่อให้วันนึงหวังว่าแม่จะรัก
00:09:02 → 00:09:05 เขาบ้างอืมันก็เลยกลายเป็นว่าตัวเขาก็แทบ
00:09:05 → 00:09:08 จะไม่ได้มองความเป็นจริงเลยว่าเฮ้ยแม่
00:09:08 → 00:09:10 เค้าเนี่ยไม่ได้ไม่ได้ใช้ชีวิตเติบโตมา
00:09:10 → 00:09:13 กับความละเอียดอ่อนของใจเพราะฉะนั้นการ
00:09:13 → 00:09:15 ที่ผู้หญิงคนนี้จะเห็นหรือเข้าใจเรื่อง
00:09:15 → 00:09:18 การรักคนอื่นอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยก็ได้
00:09:18 → 00:09:21 เพราะว่าเพราะเขาคไม่ได้เติบโตมากับการ
00:09:21 → 00:09:24 เข้าใจเรื่องความรักเใช้เเติบโตมากับการ
00:09:25 → 00:09:29 ปักกัดตีนถีบต้องอยู่รอดอืๆก็แล้วแต่
00:09:29 → 00:09:31 อย่างเงี้ยครับมันกลายเป็นว่าลูกคนนี้อาจ
00:09:32 → 00:09:33 จะไม่สามารถได้ความรักจากคนเป็นแม่ทั้ง
00:09:33 → 00:09:36 ชีวิตเลยก็ได้เกิดความแข็งกระด้างในจิตใจ
00:09:36 → 00:09:38 ใช่ครับคือเรียกร้องไปก็เท่านั้นก็ก็ไม่
00:09:38 → 00:09:40 ได้อยู่ดีใช่เพราะงั้นเขก็จะมีแต่ความ
00:09:40 → 00:09:42 เจ็บปวดตลอดทำไปเท่าไหร่ก็จะไม่เคยมีคำ
00:09:42 → 00:09:45 ว่าดีพอโอยแล้วต่อให้ดีพอแล้วจะดีขึ้นได้
00:09:45 → 00:09:48 อีกจะจะเอาจะเรียกร้องเพิ่มอีกอือๆๆไม่มี
00:09:48 → 00:09:51 ทางจบเพราะงั้นตัวเาก็เลยเหมือนกับให้ๆๆๆ
00:09:51 → 00:09:53 ให้ไปหมดไม่เออมันไม่จบซะทีเนาะไม่จบแต่
00:09:53 → 00:09:57 กับตัวเองกับไม่ได้เซฟอะไรเผื่อตัวเองเลย
00:09:57 → 00:10:00 โอเพะเเไม่ได้เซฟตัวเองอ่ะครับคนอื่นจะ
00:10:00 → 00:10:03 ไม่เซฟเค้าเออแต่เขาคต้องเซฟตัวเองนะอัน
00:10:03 → 00:10:05 นี้คือสิ่งที่ผมจะต้องย้ำให้เขาคฟังเสมอ
00:10:05 → 00:10:08 อืเค้าเคยังคงสามารถเอื้อเฟื้อคนอื่นให้
00:10:08 → 00:10:12 คนอื่นได้แต่จะต้องให้อย่างมีสติเออบางที
00:10:12 → 00:10:15 การดูแลบุพการีเป็นเรื่องดีอืแต่ต้องแยก
00:10:15 → 00:10:17 ให้ออกว่าอันนี้ปรนนิบัติพ่อแม่หรือปน
00:10:17 → 00:10:20 เปรอพ่อแม่อยู่อุ้ยเออคำนี้มันต่างกันนะ
00:10:20 → 00:10:22 อ่าใช่ปรนิบัติกับปนเปรออ่ะใช่ปรนนิบัติ
00:10:22 → 00:10:25 เป็นเรื่องของการดูแลปัจจัย 4 การให้คำ
00:10:25 → 00:10:28 พูดที่ดีต่อกันถูกมั้ยครับอ่าารักษาโรค
00:10:28 → 00:10:30 ที่อยู่อาศัยอาหารการกินคำพูดที่ดีความ
00:10:30 → 00:10:34 รักเนาะเอ่อเป็นสิ่งที่ผู้ได้รับก็ถูก
00:10:34 → 00:10:38 บำรุงอือฮึผู้ให้ก็ให้ในสิ่งที่ควรแก่การ
00:10:38 → 00:10:40 บำรุงอือแต่ถ้าเกิดเป็นปนเปลอเนี่ยครับ
00:10:40 → 00:10:43 มันคือการให้ในสิ่งที่ไม่ควรให้อือ่าคน
00:10:43 → 00:10:46 นั้นก็ไม่ควรได้รับและตัวเราก็ไม่ควรให้
00:10:46 → 00:10:50 อือ่าเช่นแบบแม่จะกู้เงินไปเข้า
00:10:50 → 00:10:54 บ่อนหรือจะไปสร้างบ้านใหญ่ๆเพราะจะได้ไป
00:10:54 → 00:10:58 อวดคนข้างบ้านแล้วแบบบ้านชั้นใหญ่เว้ยอืม
00:10:58 → 00:11:01 มีมันมีเรื่องนี้อยู่จริงเรื่องนี้มันมี
00:11:01 → 00:11:04 อยู่จริงทำไมกลายเป็นเรื่องเครียดแล้วไป
00:11:04 → 00:11:06 คิ้วคิ้วขมวดมากเลยเนี่ยใช่ครับใช่ทีนี้
00:11:06 → 00:11:09 มันเลยกลายเป็นว่าพอพอเขาให้ไปไม่จบไม่
00:11:09 → 00:11:12 สิ้นเนาะเอ่อคนเป็นพ่อแม่ที่ถูกเรียกว่า
00:11:12 → 00:11:15 พ่อแม่ก็อาจจะแบบยิ่งเฮ้ยฉันมีคนที่สูม
00:11:15 → 00:11:18 เงินมาทำให้ฉันแบบทะเยทะยานมากขึ้นได้ก็
00:11:18 → 00:11:21 กลายเป็นว่าคนที่ให้ก็หมดตัวให้ไม่จบเป็น
00:11:21 → 00:11:24 หนี้สินอืถูกมั้ครับเพราะงั้นไอ้สิ่ง
00:11:24 → 00:11:26 เนี้ยมันจะแยกตรงที่ว่าถ้าเกิดเราปิบัติ
00:11:26 → 00:11:30 เนี่ยจะไม่มีใครเสื่อมเอ่อคนได้รับก็ถูก
00:11:30 → 00:11:32 บำรุงคนให้ก็ให้ในสิ่งที่แบบไม่เกินตัวอื
00:11:32 → 00:11:34 แต่ถ้าเกิดปนเปิเนี่ยจะเสื่อมด้วยกันหมด
00:11:34 → 00:11:37 อือคนได้ก็เสื่อมลงเสื่อมในที่นี้อาจจะ
00:11:37 → 00:11:39 หมายถึงเสื่อมเชิงวิธีคิดเชิงการพึ่งตัว
00:11:39 → 00:11:43 เองเชิงบุคลิกภาพเชิงคุณภาพใจบางอย่างคือ
00:11:43 → 00:11:46 ความเสื่อมคนให้ก็ให้จนแบบตัวเองไม่มี
00:11:47 → 00:11:49 อะไรจะให้อือแล้วก็จะเป็นความกรดแค้นว่า
00:11:49 → 00:11:52 ทำไมไม่ได้คืนหรือทำไมไม่ถูกเห็นใจอือ
00:11:52 → 00:11:54 หรือมากกว่านั้นเป็นความกดแค้นที่แบบว่า
00:11:54 → 00:11:57 อยากจะแบบให้ให้คนที่แบบเป็นบุพการีเสีย
00:11:57 → 00:11:59 ชีวิตไปช้าอะไรเงี้ยก็มีเหมือนกันอ่าใช่
00:11:59 → 00:12:01 อันนั้นเห็นจุดที่โกดจัดแล้วก็น้อยใจจัดๆ
00:12:01 → 00:12:03 หรือบางทีจะกลายเป็นความคิดที่กลับมาทำ
00:12:03 → 00:12:06 ร้ายตัวเองก็มีว่าแบบถ้าไม่รักเราก็แบบ
00:12:06 → 00:12:08 เราตายดีกว่าอะไรเงี้ยมันก็มีเหมือนกันนะ
00:12:08 → 00:12:10 เหมือนเป็นคำถามที่เกิดว่าแล้วจะอยู่ไป
00:12:10 → 00:12:12 ทำไมทำไปทำไมไปทำไมใช่น้อยใจอย่างเงี้ย
00:12:12 → 00:12:15 ครับไอ้ตรงเนี้ยมันเลยกลายเป็นว่าถ้าถ้า
00:12:15 → 00:12:17 บางคนเกิดมาพร้อมกับชีวิตที่แบบมันน่า
00:12:18 → 00:12:20 เศร้าเพราะคนรอบตัวไม่ได้รักอ่ะครับอือฮึ
00:12:20 → 00:12:22 เออบางทีสิ่งที่เราอาจจะหวังได้มากที่สุด
00:12:22 → 00:12:25 คือการที่เรากลับมารักตัวเองนี่แหละอืม
00:12:25 → 00:12:28 ถ้าไม่มีใครรอบตัวที่รักเราได้ขอให้ตั้ง
00:12:28 → 00:12:30 ต้นจากการรักตัวเองก่อน
00:12:30 → 00:12:32 มันฟังดูเหมือนง่ายเนาะบอกให้รักตัวเอง
00:12:32 → 00:12:34 อ่ะแต่ว่าเรายังไม่รู้เลยว่าต้องรักตัว
00:12:34 → 00:12:36 เองยังไงเพราะเราไม่เคยทำมาก่อนเพราะว่า 1
00:12:36 → 00:12:40 การไม่ถูกเคยให้ความรักเลยกับแล้วแล้วฉัน
00:12:40 → 00:12:42 ต้องรักตัวเองยังไงอือๆคือเพราะถ้าเกิดพอ
00:12:42 → 00:12:44 หันกลับมารักตัวเองอ่ะจะถูกมองว่าเห็นแก่
00:12:44 → 00:12:47 ตัวเป่าอ่าครับตรงนี้เป็นเรื่องที่เรา
00:12:47 → 00:12:50 ต้องระมัดระวังสายปั่นเออนัไงคนสายปั่น
00:12:50 → 00:12:53 เออปั่นเพราะตัวเราอาจจะไม่ได้แบบเห็นแก่
00:12:53 → 00:12:55 ตัวอะไรเลยนะเราแค่คุ้มครองตัวเองอ่ะครับ
00:12:55 → 00:12:58 เรียกว่าคุ้มครองสวัสดิภาพตัวเองอือฮึเออ
00:12:58 → 00:13:01 แต่กลายเป็นว่าคนที่จะใช้คำด่าว่าเราเห็น
00:13:01 → 00:13:04 แ่ตัวเนี่ยดูให้ดีครับเคอาจจะเป็นคนที่
00:13:04 → 00:13:07 ไม่ได้ถูกริดรอนอะไรจากเรานะแต่เขาเป็นคน
00:13:07 → 00:13:11 ที่เสียประโยชน์จากการที่เราไม่ให้อ่าบาง
00:13:11 → 00:13:13 ทีอาจจะไม่ต้องเป็นในครอบครัวนะแต่บาง
00:13:13 → 00:13:16 อย่างเนี่ยทำงานเนี่ยเคยเจอคำพูดเนี้ยว่า
00:13:16 → 00:13:20 บางทีก็งงนะเอมันเห็นแก่ตัวตรงไหนยังงง
00:13:20 → 00:13:22 มันไม่ใช่การเห็นแก่ตัวแต่มันเป็นสิ่งที่
00:13:22 → 00:13:26 ต้องทำใช่แต่เมาว่าเราว่าเฮ้ยเธอมันเห็น
00:13:26 → 00:13:28 แก่ตัวเธอเห็นแก่ตัวอะไรอย่าเงี้ยเราก็จะ
00:13:28 → 00:13:33 อยู่ในคความงงอ่างงว่าเค้าพูดยังไงนะะที
00:13:33 → 00:13:34 นี้ถ้าเราถ้าเราไม่มีหลักการในการ
00:13:34 → 00:13:37 วิเคราะห์เรื่องพวกเนี้ยหากือแยกแยะเราจะ
00:13:37 → 00:13:39 ไปหยิบคำนั้นมาใส่ตัวว่าอ๋อนี่คือเห็นแก่
00:13:39 → 00:13:41 ตัวเหรอเคถึงพูดว่าเราเห็นแก่ตัวอย่างงี้
00:13:41 → 00:13:43 ใช่มั้ยอย่างเงี้ยแล้วก็จะคิดว่าเราอ่ะ
00:13:43 → 00:13:46 เห็นแก่ตัวใช่ๆครับเพราะเราก็จะมีการปรับ
00:13:46 → 00:13:48 ตัวคอยตามสิ่งแวดล้อมถ้าเกิดเราถูกสิ่ง
00:13:48 → 00:13:50 แวดล้อมปั่นเราก็จะคิดว่าเราเป็นอย่าง
00:13:50 → 00:13:51 งั้นเราแล้วเราไม่ได้อยากเป็นคนเห็นแก่
00:13:51 → 00:13:54 ตัวด้วยเอาจริงๆใช่มั้ยคะเราก็ยังอยากจะ
00:13:54 → 00:13:57 เป็นคนดีของใครหลายๆคนของสังคมหรือคนใน
00:13:57 → 00:14:00 ครอบครัวเรานี่หลคนที่เรารักค่ะใช่มยเรา
00:14:00 → 00:14:02 ไม่อยากถูกว่าเธอมันคนเห็นแก่ตัวซึ่งจริง
00:14:02 → 00:14:04 ๆที่ผ่านมาไม่เคยเห็นแก่ตัวเลยด้วยซ้ำอืม
00:14:04 → 00:14:07 ใช่ครับแค่นิดเดียวแค่นั้นน่ะใช่ครับ
00:14:07 → 00:14:09 เพราะงั้นเรื่องนี้เราเลยจำเป็นที่ต้อง
00:14:09 → 00:14:12 วิเคราะห์ให้ออกว่าคนที่กำลังพูดคำเนี้ย
00:14:12 → 00:14:15 เป็นคนยังไงตะกี้เหมือนที่ผมพูดตั้งแต่
00:14:15 → 00:14:19 ต้นรายการเนาะอือผมไม่ได้มองว่าโลกนี้สวย
00:14:19 → 00:14:23 งามอือฮึคนที่พัฒนาตัวเองได้ดีมากๆก็มีอ
00:14:23 → 00:14:25 กับคนที่มันมีความหยาบกระด้างแล้วไม่เคย
00:14:25 → 00:14:27 คิดจะแบบเรียกว่าพัฒนาตัวเองแล้วก็เอาแต่
00:14:27 → 00:14:30 เอาเปรียบชีวิตอะไรนะเอ่อใช้ชีวิตด้วยการ
00:14:30 → 00:14:32 เอาเปรียบคนอื่นให้ตัวเองรอดเนี่ยมันมี
00:14:32 → 00:14:34 อยู่จริงครับอืเพราะงั้นเรื่องเนี้ยเราจะ
00:14:34 → 00:14:37 ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าคนตรงหน้าเราเนี่ย
00:14:37 → 00:14:42 เป็นคนแบบไหนอโอถ้าถ้าจำแนกออกแยกแยะออก
00:14:42 → 00:14:44 เราจะไม่เซอร์ไพรสเลยว่าทำไมเถึงพูดอย่าง
00:14:44 → 00:14:48 งั้นเราก็จะก็เออก็ไม่แปลกใจเลยไม่แแต่
00:14:49 → 00:14:52 เราก็จะไม่คอยตามอืเพราะคำพูดที่มาจากคน
00:14:52 → 00:14:56 ไม่มีคุณภาพคำพูดนั้นจะไร้คุณภาพด้วยอือ
00:14:56 → 00:14:58 แต่เราต้องมองให้ได้ก่อนไงใช่ครับตรงนี้
00:14:58 → 00:15:00 มันเลยเป็นเรื่องเรื่องของการเก็บข้อมูล
00:15:00 → 00:15:02 มันไม่ได้หมายความว่าผมเป็นนักจิตวิทยา
00:15:02 → 00:15:05 ปั๊บเห็นหน้าเห็นหน้าคนปั๊บอ่านขาดเผมไม่
00:15:05 → 00:15:08 รู้หรอกผมก็ไม่ได้ขนาดนั้นแต่สุดท้ายอ่ะ
00:15:08 → 00:15:11 ครับวิถีที่เขาปฏิบัติสิ่งที่เขาพูดสิ่ง
00:15:11 → 00:15:14 ที่เขาทำอยู่ในชีวิตของเขาเนี่ยมันจะ
00:15:14 → 00:15:17 ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้
00:15:17 → 00:15:22 เราได้สรุปว่าคนๆเนี้ยเป็นคนยังไงแต่ใช้
00:15:22 → 00:15:25 เวลาแต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นเราก็ต้องใช้
00:15:25 → 00:15:27 ชีวิตด้วยความไม่ประมาทรอบคอบก่อนอะไรที่
00:15:27 → 00:15:30 เซฟตัวเองได้อะไรที่แบบหลบเลี่ยงที่มันจะ
00:15:30 → 00:15:34 เป็นภัยต่อเราทำได้ทำก่อนอืมแต่ในบางเคส
00:15:34 → 00:15:37 บางกรณีอ่ะเค้าก็ต้องแบกรับอ่ะคือหมาย
00:15:37 → 00:15:39 ความว่าโอเคพยายามที่จะจัดการจัดสรรหรือ
00:15:39 → 00:15:43 ยื่นคำขาดหรือหรือพยายามที่จะอ่ะดูแลตัว
00:15:43 → 00:15:45 เองกันนะฉันจะถอยแล้วนะหรืออะไรอย่าเงี้ย
00:15:45 → 00:15:47 แต่สุดท้ายเคก็ไปสร้างเรื่องสุดท้ายเรา
00:15:47 → 00:15:49 ซึ่งเป็นลูกหรืออะไรอย่าเงี้ยก็ต้องกลับ
00:15:49 → 00:15:52 มาดูแลเ้าอยู่ดีอครับก็เพื่อกลับมาช่วย
00:15:52 → 00:15:54 เค้าสุดท้ายตัวเองก็บาดเจ็บอยู่อีกเหมือน
00:15:54 → 00:15:55 เดิมใช่อันนี้อันนี้เป็นเรื่องบริบทและ
00:15:55 → 00:15:59 เพราะว่าเอ่อบางทีถ้าเป็นเรื่องที่ทำงาน
00:15:59 → 00:16:03 มันอาจจะพอแบบช่างมันได้ถูกมั้แบบเออถ้า
00:16:03 → 00:16:05 ถ้าเขาจะได้รับผลกระทบเอาไปเลยมันเป็น
00:16:05 → 00:16:07 ความรับผิดชอบเค้านี่ต่อให้เขาคจะด่าเรา
00:16:07 → 00:16:09 เห็นแก่ตัวแล้วแต่แต่เท่าที่ดูทรงมันไม่
00:16:09 → 00:16:11 ใช่เราเห็นแก่ตัวแล้วเคนั่นแหละไม่รับผิด
00:16:11 → 00:16:13 ชอบอือเค้านั่นแหละที่ไม่มืออาชีพถูกมั้ย
00:16:13 → 00:16:15 อันนี้เราก็จะมองออกอ่าบางทีเรื่องพวก
00:16:15 → 00:16:17 เนี้ยเรารู้สึกว่าปล่อยให้ผลกระทบอยู่กับ
00:16:17 → 00:16:19 เค้าไปเลยก็ได้มันอาจจะเป็นอย่างนี้ด้วย
00:16:19 → 00:16:21 มั้ยคะคุณเอิ้ลว่าเรื่องของครอบครัวเนี่ย
00:16:21 → 00:16:23 คือเรามีความละเอียดอ่อนอ่ะมันเป็นเรื่อง
00:16:23 → 00:16:25 ละเอียดอนเป็นความผูกพันอ่ะครับเป็นความ
00:16:25 → 00:16:28 ผูกพันแต่ที่ทำงานเนี่ยอย่างที่เจออย่าง
00:16:28 → 00:16:30 เงี้ยปึ๊บเราก็ไม่ได้จำเป็นจะต้องแคร์
00:16:30 → 00:16:32 อะไรมากใช่คือหักกันไปไม่เป็นไรอ่ะเออเออ
00:16:32 → 00:16:34 แต่คนที่บ้านมันหักกันแล้วมันรู้สึกว่า
00:16:34 → 00:16:36 แบบครอบครัวแตกแยกได้เพราะฉะนั้นตรงเนี้ย
00:16:36 → 00:16:40 ครับจะมีหลายคนที่รู้สึกรู้สึกได้รับผล
00:16:40 → 00:16:42 กระทบแล้วก็ไม่สามารถที่จะต่อรองกับ
00:16:42 → 00:16:45 เรื่องที่บ้านได้อืเพราะเพราะเหมือนกับ
00:16:45 → 00:16:47 ตัวเายังคงมีความรักมีความอยากให้
00:16:47 → 00:16:50 ครอบครัวยังคงอยู่ได้ดีเป็นตัวละครที่เขา
00:16:50 → 00:16:52 ไม่สามารถปล่อยให้ตายได้นึกออกมั้ยออือฮึ
00:16:52 → 00:16:55 อเออบางทีมันทำให้ใจเราไม่ได้แข็งพอที่จะ
00:16:55 → 00:16:58 แบบให้มันเป็นไปอ่ะเราก็เลยต้องเข้าไป
00:16:58 → 00:17:00 แทรกแซงอย่างอืทีนี้อย่างที่บอกเนาะต่อ
00:17:00 → 00:17:05 ให้แทรกแซงแล้วเจ็บตัวอยู่ดีอืไม่จบและ
00:17:05 → 00:17:07 อาจสำหรับบางบ้านการที่เราไปตามล้างตาม
00:17:07 → 00:17:11 เช็ดให้อาจจะเป็นการสปอยให้คนๆนึงรู้สึก
00:17:11 → 00:17:14 ว่าโอ้เดี๋ยวก็มีคนล้างให้
00:17:14 → 00:17:17 อ้าก็เลยไม่ต้องทำอะไรเลยใช่แล้วก็ก็ไปวน
00:17:17 → 00:17:19 อย่างงี้ทั้งชีวิตนะครับลอยตัวลอยตัวละอ
00:17:19 → 00:17:21 ใช่ก็เลยกลายเป็นว่าคนๆนั้นก็จะใจร้ายกับ
00:17:21 → 00:17:25 ตัวเองหน่อยเพราะตัวเองก็เป็นทุกข์แล้วก็
00:17:25 → 00:17:27 ต้องไปนั่งตามล้างตามเช็ดให้คนอื่นแล้วก็
00:17:27 → 00:17:29 เป็นวังวนอย่างเงี้ยที่ตอกย้ำไปเรื่อยๆ
00:17:30 → 00:17:32 แล้วก็รู้สึกเหนื่อยแล้วก็รู้สึกแบบว่า
00:17:32 → 00:17:34 ไม่ไหวแต่ก็ต้องทำอใช่ครับเพราะว่าไม่
00:17:34 → 00:17:37 อยากถูกว่าไม่ซึ่งซึ่งอันนี้ผมต้องย้ำ
00:17:37 → 00:17:40 ก่อนเนาะบางแต่ละคนมีความแข็งของใจไม่
00:17:40 → 00:17:43 เท่ากันความเด็ดขาดไม่เท่ากันเพราะงั้น
00:17:43 → 00:17:45 อันเนี้ยครับที่ที่ทุกท่านกำลังฟังอันนี้
00:17:45 → 00:17:47 เรากำลังคุยบนหลักการหลักการจะไม่อ้างอิง
00:17:47 → 00:17:50 กับอารมณ์นะอเออเพราะงั้นแต่แต่การ
00:17:50 → 00:17:53 ประยุกต์จริงจะอิงกับอารมณ์เสมออืเพราะ
00:17:53 → 00:17:54 ฉะนั้นชีวิตของแต่ละท่านนะครับอันเนี้ย
00:17:54 → 00:17:57 ทุกท่านต้องเลือกเองว่าท่านไหวแค่ไหนอื
00:17:57 → 00:17:59 เออถ้าท่านรู้สึกรู้สึกว่าไหวฟังแล้วแบบ
00:17:59 → 00:18:01 รู้สึกว่าได้สติว่าแบบฉันว่าฉันพอดีกว่า
00:18:01 → 00:18:05 อ่ะทำได้ทำอือแต่ถ้าเกิดรู้สึกว่าเข้าใจ
00:18:05 → 00:18:07 หลักการนะแต่ในทางปฏิบัติใจฉันยังไม่แข็ง
00:18:07 → 00:18:11 พอถ้ารู้สึกจะต้องทำก็ทำครับไม่ต้องไปฝืน
00:18:11 → 00:18:13 ไม่ต้องไปไม่ต้องฝืนไม่ต้องฝืนแต่แต่ขอ
00:18:13 → 00:18:17 ให้รู้ว่าเอ่อถ้าดูทรงแล้วทำไปยาวๆไม่มี
00:18:17 → 00:18:20 อะไรเปลี่ยนจากนี้และเราน่าจะรู้สึกถึง
00:18:20 → 00:18:23 จุดอิ่มตัวจุดนึงอือปล่อยให้ตัวเองทำไป
00:18:23 → 00:18:26 ก่อนจนกว่าจะรู้สึกว่าพอะไม่สงสัยตัวเอง
00:18:26 → 00:18:27 ละ
00:18:27 → 00:18:31 อืถึงจุดนั้นเมื่อไหร่จะวางจะคิดแบบที่
00:18:31 → 00:18:34 ว่าจะจะแบบไม่ทำแล้วเนี่ยไว้ให้อนาคตเป็น
00:18:34 → 00:18:38 ตัวบอกอือฮึเออแต่แต่อย่างอย่างน้อยอครับ
00:18:38 → 00:18:41 เราทำไปเรื่อยๆด้วยความเจ็บปวดสิ่งที่ผม
00:18:41 → 00:18:46 อาจจะอยากแนะนำไว้เพื่อลดลดระดับความความ
00:18:46 → 00:18:49 ตึงหรือความทุกข์อ่ะครับคือเรื่องของความ
00:18:49 → 00:18:53 คาดหวังบางทีบางทีสมมุติจะแกเหมือนที่พี่
00:18:53 → 00:18:56 รีพูดนะครับว่ายังไงพอเป็นคนในครอบครัว
00:18:56 → 00:18:59 มันตัดไม่ขาดยังต้องไปรับตามล้างตามเช็ด
00:18:59 → 00:19:01 อยู่ดีเพราะบุคคลคนนี้เป็นบุคคลสำคัญที่
00:19:02 → 00:19:05 เราทำใจทิ้งไม่ได้ถูกมั้ยครับทีเนี้ยสิ่ง
00:19:05 → 00:19:08 ที่มันจะทำให้เจ็บเพิ่มคือว่าเราทำไปโดย
00:19:08 → 00:19:11 คาดหวังว่าวันนึงเขาจะเห็นอืเราหวังว่า
00:19:12 → 00:19:14 วันนึงที่ฉันทำไปเนี้ยเขาจะตระหนักว่าฉัน
00:19:14 → 00:19:17 สำคัญแล้วเขาจะเห็นใจฉันบ้างค่ะตรงนี้
00:19:17 → 00:19:19 เป็นเรื่องความคาดหวังคาดหวังว่าทำแล้วจะ
00:19:19 → 00:19:22 ได้รีเทิร์นกลับมาได้คืนมาอืออือฮึไอ้ตรง
00:19:23 → 00:19:25 เนี้ยทำให้เจ็บหนักขึ้นแต่ถ้าสมมุติเรา
00:19:25 → 00:19:28 ลองตัดความคาดหวังทิ้งว่าที่ฉันทำไปฉัน
00:19:28 → 00:19:31 รู้หรอกคนๆเนี้ยไม่มีทางเห็นว่าแบบที่ฉัน
00:19:31 → 00:19:33 ทำเนี้ยมันเป็นสิ่งที่ดีอืหรือเขาจะไม่มี
00:19:33 → 00:19:36 ทางหยุดแน่นอนถูกมั้ยครับอย่างน้อยมัน
00:19:36 → 00:19:40 ช่วยตัดความเจ็บเรื่องการหวังแล้วไม่ได้
00:19:40 → 00:19:44 แต่เป็นการทำแบบรู้ว่าฉันตัดไม่ขาดฉันทำ
00:19:44 → 00:19:46 ฉันทำแบบไม่ไม่หวังว่าเขาจะต้องคิดได้แต่
00:19:47 → 00:19:50 ฉันแค่ชั่งน้ำหนักแล้วระหว่างทิ้งเขไปเลย
00:19:50 → 00:19:53 กับการที่ฉันทำประมาณเนี้ยฉันรู้สึกว่าทำ
00:19:53 → 00:19:55 แบบเทุกข์เหมือนกันนะแต่ไม่ทุกข์เท่ากับ
00:19:55 → 00:19:58 การเห็นว่าฉันต้องทิ้งให้เขาคแบบเละเท้
00:19:58 → 00:20:01 อ่ะอือือๆคือคนบางคนอาจจะบอกว่าฉันยอม
00:20:01 → 00:20:03 เจ็บแบบนี้แหละแต่แต่ฉันขอไม่เลือกทางที่
00:20:03 → 00:20:06 ปล่อยให้เขาคเละเทะไม่อยากเห็นภาพนั้นใช่
00:20:06 → 00:20:08 แล้วมันจะยิ่งแย่ไปกว่าเก่าใช่มันจะแย่คน
00:20:08 → 00:20:11 ละแบบว่าเราจะรู้สึกว่าเออทำไมเราไม่ช่วย
00:20:11 → 00:20:13 เค้าวะเงี้ใช่เพราะงั้นเรื่องเนี้ยเหมือน
00:20:13 → 00:20:15 ผมเหมือนที่ผมย้ำเลยครับว่าทุกอย่างเป็น
00:20:15 → 00:20:18 เรื่องของสิทธิ์ในการเลือกเออแต่ละท่านมี
00:20:18 → 00:20:21 ความพร้อมในใจไม่เท่ากันมีความจำเป็นมี
00:20:21 → 00:20:24 การให้คุณค่าไม่เท่ากันใจเด็ดก็ไม่เท่า
00:20:24 → 00:20:26 กันอเพราะงั้นเรื่องเนี้ยครับจุดไหนแย่
00:20:26 → 00:20:29 น้อยที่สุดก็ให้เราทำอืเออผมไม่ได้ใช้คำ
00:20:29 → 00:20:31 ว่าดีที่สุดเนาะบางอย่างเราเจอแต่เรื่อง
00:20:31 → 00:20:34 แย่อืแต่ให้เลือกว่าอันไหนแย่น้อยที่สุด
00:20:35 → 00:20:37 อย่างน้อยถ้าเรายังคงช่วยเค้ามันเจ็บแต่
00:20:37 → 00:20:39 ขอให้ตัดไอ้ความคาดหวังที่ทำไปแล้วเจะ
00:20:40 → 00:20:42 เห็นข่าเนี่ยทิ้งไปก่อนเพราะว่าจะได้เจ็บ
00:20:42 → 00:20:45 น้อยลงคือพราะมันมีความคาดหวังแล้วมันไม่
00:20:45 → 00:20:48 ได้สิ่งนั้นกลับมามันยิ่งเจ็บเนาะมันมัน
00:20:48 → 00:20:51 ทวีคูณไปอีกจจากที่เหนื่อยอยู่แล้วอ่ะมัน
00:20:51 → 00:20:53 ยิ่งเอ้ายิเ็บไม่เห็นได้อะไรกลับมาเลย
00:20:53 → 00:20:55 หนักกว่าเดิมอีกใช่ครับเพราะงั้นอย่าง
00:20:55 → 00:20:57 น้อยขอให้รถทอนส่วนนี้ลงบ้างเราจะได้เจ็บ
00:20:57 → 00:21:00 น้อยลงโอ๊แต่ว่ามันก็ยากอีกแหละคุณเอิ้น
00:21:00 → 00:21:03 คือการที่จะไม่คาดหวังมันมันบางทีมันไม่
00:21:03 → 00:21:06 ได้ตั้งใจจะคิดนะแต่มันคาดหวังไปแล้วอ่ะ
00:21:06 → 00:21:08 ใช่ครับตรงนี้มันเลยเป็นเรื่องของสติด้วย
00:21:08 → 00:21:10 ทีเนี้ยอย่างที่บอกเนาะเราคุยกันบนหลัก
00:21:11 → 00:21:14 การหลักการจะยืนพื้นเสมอแต่ในทางปฏิบัติ
00:21:14 → 00:21:16 ่ะครับมันจะมีช่วงที่ทำได้ทำไม่ได้อือฮึ
00:21:16 → 00:21:19 แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่าความถี่มากกว่าเรา
00:21:19 → 00:21:22 ทำได้ถี่แค่ไหนอืช่วงที่พลาดสัดส่วนเท่า
00:21:22 → 00:21:26 ไหร่อือฮึพลาดได้อืเพราะงั้นเราจะไม่ตึง
00:21:26 → 00:21:29 ว่าฉันจะต้องคิดได้ 100% อะไเงี้ยครับอัน
00:21:29 → 00:21:31 นั้นคือการที่เราไม่ได้ใจดีกับตัวเองแล้ว
00:21:31 → 00:21:33 มันจะขัดแย้งกับหัวข้อวันนี้ด้วยที่เราอบ
00:21:33 → 00:21:36 กอดตัวเองเราต้องกอดตัวเองเพราะถ้าเราทำ
00:21:36 → 00:21:38 ไม่ได้เราเฆี่ยนตัวเองมันก็จะไม่ใช่
00:21:38 → 00:21:40 เรื่องของวันนี้นะถูกมคือมันมีเรื่องให้
00:21:41 → 00:21:43 เราเยียวยาจิตใจอีกเยอะแหละแต่ว่ามันก็มี
00:21:43 → 00:21:45 อะไรคือเอานี้ว่ามันมีเรื่องบั่นทอนเรา
00:21:45 → 00:21:47 อ่ะค่อนข้างเยอะเอออาจจะไม่ใช่เรื่อง
00:21:47 → 00:21:49 ครอบครัวอย่างเดียวอาจจะเป็นแค่ตัวเราเอง
00:21:49 → 00:21:53 อ่ะก็บั่นทอนตัวเองจากสิ่งที่เราคาดหวัง
00:21:53 → 00:21:55 ในตัวเองแล้วไม่เป็นอย่างหวังก็เป็นไปได้
00:21:55 → 00:21:57 อีกเหมือนกันเพราะฉะนั้นคำว่าไม่เป็นไร
00:21:57 → 00:22:00 มันเลยสำคัญมากไม่ใช่ใช้พ่ำเพื่อนะช่าง
00:22:00 → 00:22:02 ไม่เป็นไรช่างมันทุกอย่างเออช่างมันก็จะ
00:22:02 → 00:22:04 เหมาะอีกคำนึงช่างเออันนั้นเอออันนั้นมัน
00:22:04 → 00:22:06 ก็จะกลายเป็นว่าเราเค้าเรียกว่ามักง่าย
00:22:07 → 00:22:09 มักง่ายกับชีวิตไปหน่อยเออแต่แต่อย่างต
00:22:09 → 00:22:12 เก๊ที่บอกอ่ะครับเรามีความตั้งใจอเรามี
00:22:12 → 00:22:14 ความสู้อะไรเงี้ยครับแต่มนุษย์ไม่ใช่สิ่ง
00:22:15 → 00:22:17 มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบบางครั้งก็จะมีจุด
00:22:17 → 00:22:20 ที่พลาดบ้างขาดสติบ้างทำไม่สมบูรณ์บ้าง
00:22:20 → 00:22:22 อือๆแต่ถ้าเรามีคำว่าไม่เป็นไรกับตัวเอง
00:22:22 → 00:22:24 บ้างเอ้ยไม่เป็นไรเรามาลองเรียนรู้ว่าวัน
00:22:24 → 00:22:27 นี้อะไรที่ทำให้เราพลาดเช่นเฮ้ยวันนี้เรา
00:22:27 → 00:22:29 เผลอเหนื่อยไปหน่อยเราเลยคุมคุมสติคุม
00:22:29 → 00:22:32 ฟอร์มได้ไม่ดีหรือวันนี้เราอาจจะแบบมอง
00:22:32 → 00:22:34 ข้ามอะไรบางอย่างไปบางทีพวกเนี้ยเป็นครู
00:22:34 → 00:22:37 ให้เราได้แล้วมันทำให้เราไม่ต้องเฆี่ยนตี
00:22:37 → 00:22:39 ตัวเองด้วยแต่เราเปลี่ยนสิ่งที่ทำให้แบบ
00:22:39 → 00:22:41 เราพลาดเนี่ยเป็นเรื่องของบทเรียนให้เรา
00:22:41 → 00:22:43 เรียนรู้ได้มากกว่าออย่างเงี้ยครับเพราะ
00:22:43 → 00:22:45 ฉะนั้นไอ้ตรงเนี้ยครับไอ้ควว่าไม่เป็นไร
00:22:45 → 00:22:48 มันเลยลิ้งกับที่ผมบอกว่าบางทีมันไม่
00:22:48 → 00:22:50 สมบูรณ์มันเกิดขึ้นได้แต่อยู่ที่ว่าสัด
00:22:50 → 00:22:53 ส่วนที่เรากำลังพยายามเนี้ยเออมันอยู่ใน
00:22:53 → 00:22:55 สัดส่วนเท่าไหร่อือก็ค่อยๆปรับบอกตัวเอง
00:22:55 → 00:22:58 ไม่เป็นไรค่อยๆแก้ไปอไอ้ตรงเนี้ยครับเป็น
00:22:58 → 00:23:01 1 ในความเมตตากรุณาตัวเองที่บางทีเราก็
00:23:01 → 00:23:04 เป็นเหมือนคนๆนึงที่ก็อยากได้กำลังใจอ่ะ
00:23:04 → 00:23:07 บางทีได้จากคนรอบตัวยากมันก็หวังเสียงของ
00:23:07 → 00:23:09 ตัวเองนี่แหละที่จะบอกกับตัวเองว่าเฮ้ย
00:23:09 → 00:23:12 ไม่เป็นไรเว้ยเอาใหม่อือเออบางทีก็ตบบาต
00:23:12 → 00:23:16 ตัวเองไม่เป็นไรช้ำนะช้ำนะเจ็บนะแต่แบบ
00:23:16 → 00:23:19 ไม่เป็นไรอ้าแต่จริงๆนะก็ได้ยินมาบ่อยๆ
00:23:19 → 00:23:22 เหมือนกันว่าการที่คือเราไม่ต้องไปรอรับ
00:23:22 → 00:23:25 กำลังใจอะไรจากใครหรอกเราให้กำลังใจตัว
00:23:25 → 00:23:28 เองให้ได้คือไม่ต้องไปรอเพราะบางทีการรอ
00:23:28 → 00:23:31 เราออาจจะไม่เคยได้อะไรมาเลยก็ได้เอาเอา
00:23:31 → 00:23:33 ตัวเราเองก่อนอใช่ครับเพราะผมเองบางทีมัน
00:23:33 → 00:23:35 จะมีเหมือนกันนะเช่นแบบทำงานแล้วแบบวัน
00:23:35 → 00:23:37 นี้ไม่เป็นังวังเงี้ยครับอบางทีผมก็จะมอง
00:23:37 → 00:23:39 กระจกว่าแหมเอิ้นเซ็งว่ะแต่ไม่เป็นไรนะ
00:23:40 → 00:23:41 เอาใหม่อเออไม่เป็นไรเว้ยเอาใหม่อย่าง
00:23:41 → 00:23:45 เงี้ยครับผมก็จะบอกตัวเองเสมอครับแต่แต่
00:23:45 → 00:23:46 คือจะเหมือนที่บอกเนาะมันอยู่ที่ว่า
00:23:46 → 00:23:49 ทัศนคติของเราที่มีต่อชีวิตตัวเองเป็นยัง
00:23:49 → 00:23:52 ไงอือของผมเนี่ยคำคำนี้ในการบอกให้คนอื่น
00:23:52 → 00:23:55 ใจดีกับตัวเองเนี่ยไม่ใช่แค่ผมพูดะผมใช้
00:23:55 → 00:23:57 กับตัวเองด้วยอืถ้าถามว่ามีจุดผิดหวัง
00:23:57 → 00:24:00 บ้างมั้ยมีมันมีอยู่แล้วครับคนเรามันมี
00:24:00 → 00:24:02 ความคาดหวังมีความผิดหวังอือแต่เราจะดึง
00:24:02 → 00:24:05 คำว่าไม่เป็นไรและการแบบเรียนรู้ใหม่
00:24:05 → 00:24:08 อย่างเงี้ยครับมาใช้กับตัวเองเพื่อประกบ
00:24:08 → 00:24:11 กับความผิดหวังเนี่ยได้มยอืเออถ้าเกิดมี
00:24:11 → 00:24:13 ความผิดหวังด้วยแล้วประกบด้วยความแบบไม่
00:24:13 → 00:24:15 เป็นไรเอาใหม่เรียนรู้มันจะทำให้ความผิด
00:24:15 → 00:24:18 หวังเนี่ยมันทุเราลงมันเบาลงอแต่ว่ามันก็
00:24:18 → 00:24:21 ต้องต้องพยายามพัฒนาตัวเองด้วยนะใชไม่
00:24:21 → 00:24:23 เป็นไรอยู่อย่างเงี้ยอยู่เรื่อยๆไม่เป็นไ
00:24:23 → 00:24:25 ใช่ครับมันถึงมีคำว่าไม่เป็นไรเอาใหม่
00:24:25 → 00:24:27 เรียนรู้ใหม่ออ่าตรงนี้มันจะเป็นเรื่อง
00:24:27 → 00:24:30 ของการทำตัวเองให้ดีขึ้นพัฒนาขึ้นอหรือ
00:24:30 → 00:24:32 ว่าถ้าว่างๆก็ลองยืนอยู่หน้ากระจกค่ะแล้ว
00:24:32 → 00:24:35 ลองมองดูแล้วลองยิ้มสิคะแล้วดูสิว่าอย่าง
00:24:35 → 00:24:37 น้อยยังมีคนนึงยิ้มให้กับเรานะใช่เออแล้ว
00:24:37 → 00:24:42 ก็มือแขนเราอ่ะมันมันยาวใช่มั้ยคะมันไม่
00:24:42 → 00:24:44 ได้แขนสั้นเนาะเราก็กอดตัวเองตัวเองได้
00:24:44 → 00:24:47 ใช่ได้เหมือนกันค่ะหรืออาจจะแบบเอาหมอน
00:24:47 → 00:24:50 ข้างมานั่งกอดหรือกอดหมากอดแมวหรือจะชม
00:24:50 → 00:24:52 ตัวเองด้วยก็ได้อะไรเงี้ยเออฉันสวยฉันดี
00:24:52 → 00:24:56 ฉันโอเคแล้วฉันอะไรว่าไปอะไรที่มันดีๆให้
00:24:56 → 00:24:59 ให้พูดให้กับตัวเองนะคะไม่จำเป็นจะต้องไป
00:24:59 → 00:25:02 รออ้อมกอดจากใครก็ได้ครับกอดตัวเองให้ได้
00:25:02 → 00:25:04 ครับเยวยาจิตใจเอาใจช่วยทุกคนครับสู้ค่ะ
00:25:04 → 00:25:08 ใจดีกับตัวเองไว้นะครับอันนี้วิธีการใจดี
00:25:08 → 00:25:09 กับตัวเองคือการหาอะไรอร่อยๆกินครับ
00:25:10 → 00:25:12 เดี๋ยวผมคงไปกินแล้วเนี่ยอ้วนเลยเนี่ย
00:25:12 → 00:25:16 ขอบคุณคุณเอิ้นค่ะสวัสดีค่ะอ่ะหมดเวลา
00:25:16 → 00:25:18 จริงๆนะคะคุณผู้ฟังคงต้องลากันไปด้วยเวลา
00:25:18 → 00:25:20 เพียงเท่านี้แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้ากับ
00:25:20 → 00:25:23 รายการโรงหมอไทย PBS PC ค่ะวันนี้ลาไป
00:25:23 → 00:25:26 ก่อนสวัสดีค่ะ This Is tha PBS
00:25:26 → 00:25:29 podcast อากาศหนาวเย็นเป็นช่วงฤดูที่
00:25:29 → 00:25:31 เชื้อโรคจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นโรคอะไร
00:25:31 → 00:25:34 บ้างที่เรามักจะเป็นกันเยอะในช่วงฤดูนี้
00:25:34 → 00:25:36 บ้างแพทย์หญิงกิตยาสรีเลิศฟ้าแพทย์
00:25:36 → 00:25:40 อายุรกรรมฝ่ายการแพทย์มาเล่าให้ฟังครับ
00:25:40 → 00:25:42 การที่อุณหภูมิร่างกายเนี่ยเปลี่ยนแปลง
00:25:42 → 00:25:45 อย่างรวดเร็วเนี่ยก็จะทำให้ร่างกายเนี่ย
00:25:45 → 00:25:48 ป่วยได้ง่ายกว่าปกตินะคะแล้วอากาศเย็น
00:25:48 → 00:25:51 เนี่ยมันเอื้อต่อการอยู่รอดแล้วก็การแพร่
00:25:51 → 00:25:54 กระจายของไวรัสมากที่สุดเลยก็เลยทำให้
00:25:54 → 00:25:58 เกิดโรคที่พบบ่อยโรคฮิตในหน้าหนาวก็มีมี
00:25:58 → 00:26:02 ไข้หวัดไข้หวัดใหญ่ปอดบวมหัดอุจจาระร่วง
00:26:02 → 00:26:06 ไข้สุขใสนะคะแล้วก็ยังมีโรคในกลุ่มที่ไม่
00:26:06 → 00:26:09 เกี่ยวกับเชื้อโรคนะคือโรคไม่ติดต่อก็คือ
00:26:09 → 00:26:12 คนที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้วเป็นหอบหืดหรือ
00:26:12 → 00:26:15 ว่าเป็นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ผิวหนังอะไร
00:26:15 → 00:26:19 อยู่แล้วเนี่ยก็จะเป็นมาขึ้นโรคไข้หวัดพบ
00:26:19 → 00:26:21 บ่อยที่สุดเลยเพราะว่าจริงๆอ่ะพบแทบทุก
00:26:21 → 00:26:24 ฤดูกาลนะแต่ว่าฤดูหนาวเนี่ยจะเป็นได้ง่าย
00:26:24 → 00:26:27 ผปกติถึง 2 เท่าแนะคะโดยเฉพาะถ้าร่างกาย
00:26:27 → 00:26:30 อ่อนแอคราวนี้ที่เราเป็นตั้งแต่เด็กจนวัย
00:26:30 → 00:26:34 ชรานะไม่ไม่พูดจนแก่อย่างี้แล้วกันนะเป็น
00:26:34 → 00:26:36 เป็นๆหายๆอยู่นั่นแหละก็เพราะว่าไอ้กลุ่ม
00:26:37 → 00:26:39 ไวรัสที่เกิดทำให้เกิดไข้หวันเนี่ยมันมี
00:26:40 → 00:26:42 มากกว่า 100 ชนิดสมมุติตั้งแต่เด็กเราติด
00:26:42 → 00:26:46 เชื้อเอ่อสายพันธุ์นี้อ้าไปกี่ขวบก็ติด
00:26:46 → 00:26:49 อีกสายพันนึงก็จนโตมาเรื่อยๆก็เป็นหวัด
00:26:49 → 00:26:52 เป็นๆหายๆอยู่นั่นแหละมันเป็นได้ซ้ำซากที
00:26:52 → 00:26:54 นี้อาการหวัดทุกคนทุกท่านก็ทราบอยู่แล้ว
00:26:55 → 00:27:00 มีไข้ต่ำๆคัดจมูกน้ำมูกไหลไอจามคันคอนะคะ
00:27:00 → 00:27:04 แล้วก็อาจจะมีไข้ที่ไม่ไม่สูงมากไข้ต่ำๆ
00:27:04 → 00:27:07 ปวดเมื่อยตามตัวไม่มากอะไรแบบนี้แต่มี
00:27:07 → 00:27:11 หลายคนที่เป็นโควิดแล้วก็เนี่ยสัก 2-3
00:27:11 → 00:27:13 อาทิตย์เนี่ยเป็นไข้ใหใหญต่อเลยเนี่ยโดย
00:27:13 → 00:27:17 เฉพาะคนที่ไปประชุมเอ่อรอยกว่าคนอะไร
00:27:18 → 00:27:21 อย่างงั้นน่ะกินข้าวเปิดปากร่วมกันน่ะมี
00:27:21 → 00:27:25 คัสเตอร์ของไข้หบัดใหญ่่ซึ่งที่เขารายงาน
00:27:25 → 00:27:28 ในเยอรมันหรืออะไรเนี่ยอันนั้นเกิดพร้อม
00:27:28 → 00:27:31 โควิดด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นวิธีป้องกันก็คือ
00:27:31 → 00:27:34 ควรฉีดวัคซีนไข้เป็นใหญ่เนาะตั้งแต่ต้นปี
00:27:34 → 00:27:37 จริงๆเขาชวนฉีดตั้งแต่ต้นปีแล้วก็ท่านผู้
00:27:37 → 00:27:41 ฟังก็ควรนะโดยเฉพาะนะกลุ่มผู้มีอายุมาก
00:27:41 → 00:27:45 กว่า 60-65 ปีโรคปอดเรื้อรังหอบหืดโรคหัว
00:27:45 → 00:27:49 ใจอยู่แล้วโรคระบบไหลเวียนเลือดพวกที่มี
00:27:49 → 00:27:52 โรคเรื้อรังเช่นโรคไตเบาหวานภูมิคุ้มกัน
00:27:52 → 00:27:55 บกพร่องนะคะผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ใน
00:27:55 → 00:27:58 ไตรมาสที่ 2 และ 3 รวมทั้งบุคากรทางการ
00:27:58 → 00:28:02 แพทย์ที่ทำงานดูแลในสถานผู้ป่วยผู้สูง
00:28:02 → 00:28:05 อายุด้วย
00:28:05 → 00:28:09 อ This Is Thai PBS
00:28:09 → 00:28:12 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:28:12 → 00:28:28 podcast ได้ทางเว็บไซต www.thaipbs.or.th
00:28:28 → 00:28:29 อ
00:28:29 → 00:28:32 [เพลง]