00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcส
00:00:03 → 00:00:06 ความรู้สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่หลายคน
00:00:06 → 00:00:09 เวลาไปตรวจสุขภาพแล้วเห็นผลแลบออกมาดี๊ๆ
00:00:09 → 00:00:12 ก็จะสบายใจใช่ไหมครับแต่เคยคิดกันมั้ครับ
00:00:12 → 00:00:15 ว่าบางทีไอ้ค่าที่ดูดีสุดๆเนี่ยแหละอาจจะ
00:00:15 → 00:00:17 เป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างที่ซองอยู่
00:00:17 → 00:00:20 วันนี้เราจะมาขายความลับเรื่องนี้กันครับ
00:00:20 → 00:00:23 โอเคครับเพื่อให้เห็นภาพชัดๆนะครับเรามา
00:00:23 → 00:00:26 เริ่มกันที่เคสจริงๆเคส 1 กันเลยดีกว่า
00:00:26 → 00:00:29 เป็นเคสที่โอ้โหถ้าดูผลตรวจเลือดเพลิน
00:00:29 → 00:00:32 เผินเนี่ยต้องบอกว่าน่าอิจฉามากแต่เชื่อ
00:00:32 → 00:00:34 มั้ครับว่าเบื้องหลังตัวเลขสวยๆเหล่านั้น
00:00:34 → 00:00:38 น่ะมันมีเรื่องราวซ่อนอยู่นี่คืออาการของ
00:00:38 → 00:00:40 คนไข้หญิงคนนึงนะครับลองดูสิครับมีทั้ง
00:00:40 → 00:00:44 ปวดหัวบ่อยๆมีอาการแพนิคนอนก็หลับๆตื่น
00:00:44 → 00:00:47 ไม่สนิทแถมยังปวดคอปวดบ่าเรื้อรังอีกคุ้น
00:00:47 → 00:00:50 ๆมั้ครับหลายคนน่าจะเป็นกันนะอาการแบบ
00:00:50 → 00:00:53 ออฟฟิศsyนrมชัดๆเลยแล้วเราก็มักจะพูดว่า
00:00:53 → 00:00:56 อ๋อเครียดแหละทำงานหนักไปหน่อยใช่ไหมครับ
00:00:56 → 00:00:59 แต่ทีนี้ครับพอไปดูผลแลบเท่านั้นแหละถึง
00:00:59 → 00:01:03 กับต้องขยี้ตาเลยคือค่าต่างๆมันดูดีมาก
00:01:03 → 00:01:06 โดยเฉพาะ 2 ตัวนี้นะครับยูริแค่ 2.2 2
00:01:06 → 00:01:10 เองแล้วก็ไขมันเลวหรือ LDL เนี่ยต่ำเตี้ย
00:01:10 → 00:01:13 เรี่ยดินมากแค่ 38 คือมันต่ำกว่าเกณฑ์
00:01:13 → 00:01:16 มาตรฐานไปอีกดูเผินๆนี่คือสุขภาพดีสุดๆ
00:01:16 → 00:01:19 เลยนะอ่ะแล้วคำถามสำคัญมันอยู่ตรงนี้แหละ
00:01:19 → 00:01:22 ครับว่าในบรรดาค่าที่ดูดีเลิศเลอเพร์เfค
00:01:22 → 00:01:25 พวกนี้ตัวไหนกันแน่ที่เป็นสัญญาณเตือนที่
00:01:26 → 00:01:29 แท้จริงแล้วไอ้ค่าที่ดีมากๆเนี่ยมันจะ
00:01:29 → 00:01:33 กลายเป็นสัญญาณของปัญหาไปได้ยังไงกันเอา
00:01:33 → 00:01:36 ล่ะครับเพื่อจะไขปริศนานี้ได้เนี่ยเรา
00:01:36 → 00:01:39 ต้องไปทำความรู้จักกับพระเอกเอ่อต้อง
00:01:39 → 00:01:42 เรียกว่าเป็นพระเอกที่ถูกเข้าใจผิดมาตลอด
00:01:42 → 00:01:46 นั่นก็คือกรดยูริกนั่นเองครับคือพอพูดถึง
00:01:46 → 00:01:49 กรดยูริกปุ๊บภาพแรกที่ลอยมาเลยคืออะไร
00:01:49 → 00:01:52 ครับโรคเก๊าใช่มั้ยเราจะถูกสอนมาว่ามัน
00:01:52 → 00:01:55 เป็นของเสียเป็นตัวร้ายแต่เดี๋ยวก่อนนั่น
00:01:55 → 00:01:57 เป็นแค่ด้านเดียวของเหรียญครับความจริง
00:01:57 → 00:02:00 แล้วในอีกบทบาทนึงที่สำคัญมากๆเนี่ยกฎ
00:02:00 → 00:02:03 ยูริกคือหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่
00:02:03 → 00:02:05 สำคัญที่สุดในกระแสเลือดของเราเลย
00:02:05 → 00:02:08 ใช่เลยครับได้ยินไม่ผิดเลยหน้าที่หลักของ
00:02:08 → 00:02:12 มันคือการปกป้องร่างกายไม่ใช่การทำร้าย
00:02:12 → 00:02:14 และไอ้ความจริงข้อนี้นี่แหละครับคือ
00:02:14 → 00:02:16 จิ๊กซอชิ้นที่สำคัญที่สุดเลยที่จะช่วยให้
00:02:16 → 00:02:20 เราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของคนไข้เคสนี้
00:02:20 → 00:02:23 แล้วคำถามต่อมาก็คือโอเครู้แล้วว่ากรวด
00:02:23 → 00:02:26 ยูริกมันสำคัญแล้วการที่มันต่ำเนี่ยมันไป
00:02:26 → 00:02:29 เกี่ยวข้องอะไรคำตอบของเรื่องนี้มันอยู่
00:02:29 → 00:02:32 ที่อวัยวะชิ้นหนึ่งที่ทำงานหนักเยี่ยง
00:02:32 → 00:02:35 ธาตุในร่างกายเราครับนั่นก็คือตับของเรา
00:02:35 → 00:02:38 นั่นเองโดยเฉพาะกระบวนการนึงที่เรียกว่า
00:02:38 → 00:02:39 sulvation
00:02:39 → 00:02:42 sulvation ชื่ออาจจะฟังดูยากนิดนึงนะ
00:02:42 → 00:02:45 ครับแต่ถ้าให้อธิบายง่ายๆเลยนะมันก็
00:02:45 → 00:02:47 เหมือนกับเป็นหน่วยเก็บกวาดพิเศษของตับนะ
00:02:47 → 00:02:50 ครับที่มีหน้าที่จัดการกับขยะพิษบาง
00:02:50 → 00:02:53 ประเภทโดยเฉพาะพวกสารพิษฮอร์โมนหรือยา
00:02:53 → 00:02:56 ต่างๆที่เข้ามาในร่างกายขั้นตอนของมันก็
00:02:56 → 00:02:59 ตรงไปตรงมามากครับคือพอมีสารพิษเข้ามาที่
00:02:59 → 00:03:02 ตับปุ๊บตับก็จะดึงเอาวัตถุดิบที่ชื่อว่า
00:03:02 → 00:03:05 ซัลเฟตมาใช้จัดการกับมันพอจัดการเสร็จ
00:03:05 → 00:03:07 เปลี่ยนให้มันหมดพิษแล้วก็จะส่งไปทิ้งนอก
00:03:07 → 00:03:10 ร่างกายง่ายๆแค่นั้นเลยครับแต่มันมี
00:03:11 → 00:03:13 เงื่อนไขสำคัญอยู่ข้อนึงนะคือตับก็มี
00:03:13 → 00:03:18 ซัลเฟตพอใช้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับถ้า
00:03:18 → 00:03:21 ตับเราทำงานหนักมากเจอกับสารพิษเยอะแยะ
00:03:21 → 00:03:24 เต็มไปหมดจนไอ้วัตถุดิบที่ว่าเนี้ยไอ้
00:03:24 → 00:03:28 เจ้าซันลเฟตเนี่ยมันดันมีไม่พอใช้อ่าตรง
00:03:28 → 00:03:30 นี้ละครับคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องเลย
00:03:31 → 00:03:33 มาถึงตรงนี้เราจะเริ่มเอาจิ๊กสอดทั้งโหมด
00:03:33 → 00:03:36 มาต่อกันแล้วนะครับทั้งเรื่องของกรดยูริก
00:03:36 → 00:03:39 ฮีโร่ที่ถูกเข้าใจผิดกับเรื่องของตับที่
00:03:39 → 00:03:42 ทำงานหนักเกินพิกัดเดี๋ยวเรามาดูกันว่า
00:03:42 → 00:03:46 มันเกี่ยวกันยังไงคือพอซันเฟสขาดแคนปุ๊บ
00:03:46 → 00:03:49 ร่างกายเราฉลาดมากครับมันไม่ยอมแพ้ง่าย
00:03:49 → 00:03:51 มันจะเข้าสู่โหมดเอาตัวรอดทันทีมันจะ
00:03:51 → 00:03:53 เริ่มมองหาแหล่งกรรมถรรพ์ซึ่งเป็นส่วน
00:03:54 → 00:03:56 ประกอบสำคัญของซัลเฟตจากที่อื่นๆในร่าง
00:03:56 → 00:04:00 กายเพื่อดึงมาใช้ในภารกิจล้างพิษที่สำคัญ
00:04:00 → 00:04:04 นี้ก่อนแล้วทายสิครับว่ามันไปขโมยมาจาก
00:04:04 → 00:04:08 ไหนคำตอบก็คือมันไปดึงมาจากคลังสารต้าน
00:04:08 → 00:04:11 อนุมูลอิสระของร่างกายเราเองนี่แหละครับ
00:04:11 → 00:04:14 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือใช่แล้วครับกรดยูริก
00:04:14 → 00:04:18 ของเรานั่นเองพูดง่ายๆก็คือตับยอมสละ
00:04:18 → 00:04:20 เกราะป้องกันตัวเองเพื่อเอากำลังไปสู้กับ
00:04:20 → 00:04:23 สารพิษก่อนเป็นสถานการณ์ที่แบบจำเป็นต้อง
00:04:23 → 00:04:27 ทำอ่ะครับและนี่แหละครับคือคำตอบว่าทำไม
00:04:27 → 00:04:30 ค่าโกรธยูริของคนไข้เคสนี้ถึงได้ต่ำเตี้ย
00:04:30 → 00:04:33 เรี่ยดินเหลือแค่ 2.2 2 มันไม่ใช่สัญญาณ
00:04:33 → 00:04:35 ที่ดีเลยนะครับแต่มันเป็นสัญญาณขอความ
00:04:35 → 00:04:38 ช่วยเหลือเป็นสัญญาณว่ากรดยูริกกำลังถูก
00:04:38 → 00:04:40 ร่างกายดึงไปใช้งานอย่างหนักหน่วงเพื่อ
00:04:40 → 00:04:42 ช่วยพยุงการทำงานของตับที่กำลังจะล้มอยู่
00:04:42 → 00:04:46 แล้วนั่นเองสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาเนี่ยมัน
00:04:46 → 00:04:49 เหมือนโดมิโนที่ล้มต่อๆกันเลยครับคือพอ
00:04:49 → 00:04:52 สารพิษมันเยอะซัลเฟตก็หมดตับก็เลยต้องไป
00:04:52 → 00:04:55 ดึงกรดยูริกมาใช้พอกรดยูริกในเลือดต่ำลง
00:04:55 → 00:04:58 เกราะป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระของร่าง
00:04:58 → 00:05:01 กายก็อ่อนแอลงไปด้วยสุดท้ายร่างกายก็เลย
00:05:01 → 00:05:03 เกิดภาวะที่เรียกว่าเครียดออกซิเดชสูง
00:05:03 → 00:05:06 ขึ้นซึ่งไอ้ภาวะนี้เนี่ยแหละครับที่อาจจะ
00:05:06 → 00:05:08 เป็นต้นตอของอาการแปลกๆทั้งหลายทั้งปวด
00:05:08 → 00:05:11 หัวเรื้อรังอ่อนเพลียที่คนไข้เป็นอยู่
00:05:11 → 00:05:14 นั่นเองเรื่องราวมันดูสมเด็จสมผลใช่มั้ย
00:05:14 → 00:05:17 ครับแต่เดี๋ยวก่อนเราลองกลับมาดูที่ผลแลบ
00:05:17 → 00:05:19 อีกทีมันยังมีเบาะแสอีกชิ้นนึงซ่อนอยู่
00:05:19 → 00:05:21 ที่จะมาช่วยยืนยันเรื่องราวทั้งหมดนี้
00:05:21 → 00:05:24 ครับเบาะแสที่ว่าเนี่ยมันไม่ได้อยู่ที่
00:05:24 → 00:05:26 ค่าใดค่าหนึ่งเดี่ยวๆครับแต่มันอยู่ที่
00:05:26 → 00:05:30 ความสัมพันธ์หรืออัตราส่วนระหว่างค่าaซับ
00:05:30 → 00:05:35 2 ตัวนั่นก็ก็คือ SGOT กับ SGPT ของเคส
00:05:35 → 00:05:38 นี้ถ้าเราลองเอาค่า SGOT คือ 14 มาหาร
00:05:38 → 00:05:42 ด้วยค่า SGPT คือ 32 เราจะได้ตัวเลขออกมา
00:05:42 → 00:05:45 คือ 0.44 ซึ่งตามหลักแล้วเนี่ยถ้าอัตรา
00:05:45 → 00:05:47 ส่วนนี้มันต่ำกว่า 0.8 8 มันอาจจะเป็น
00:05:47 → 00:05:50 ตัวบ่งชี้ถึงภาวะไขมันพอกตับหรือเป็น
00:05:50 → 00:05:52 สัญญาณว่าตับกำลังทำงานหนักมากซึ่งมันก็
00:05:52 → 00:05:55 เป๊ะเลยตรงกับเรื่องราวที่เราคุยกันมา
00:05:55 → 00:05:58 ทั้งหมดเลยครับเห็นมั้ยครับนี่คือบทเรียน
00:05:58 → 00:06:01 ที่สำคัญมากของการดูผลแลบเลยนะคือค่าตัว
00:06:01 → 00:06:05 เลขค่าเดียวเนี่ยมันก็เป็นแค่จุดๆนึงแต่
00:06:05 → 00:06:08 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าต่างๆนี่แหละครับ
00:06:08 → 00:06:10 ที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราฟัง
00:06:10 → 00:06:12 งั้นเรามาสรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันใน
00:06:12 → 00:06:15 วันนี้หน่อยนะครับ 1 คือกรดยูริกที่ต่ำ
00:06:15 → 00:06:18 ต่ำกว่า 3 อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปมันอาจ
00:06:18 → 00:06:21 เป็นสัญญาณเตือนได้ 2 มันอาจจะกำลังบอก
00:06:21 → 00:06:24 เราว่าระบบต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย
00:06:24 → 00:06:27 กำลังถูกใช้งานอย่างหนัก 3 ซึ่งมันมักจะ
00:06:27 → 00:06:29 เกี่ยวโยงกับตับที่กำลังทำงานหนักเกินไป
00:06:29 → 00:06:32 ในขบวนการล้างพิษและสุดท้ายการดูอัตรา
00:06:32 → 00:06:36 ส่วนของค่าต่างๆอย่าง sgtot/sgpt
00:06:36 → 00:06:38 เนี่ยมันให้ข้อมูลเชิงลึกได้มากกว่าการดู
00:06:38 → 00:06:41 แค่ตัวเลขเดี่ยวๆเยอะเลยครับเรื่องราวใน
00:06:41 → 00:06:43 วันนี้ก็เป็นเหมือนการเปิดมุมมองใหม่ๆใน
00:06:43 → 00:06:46 การดูผลสุขภาพของเราเองนะครับมันทำให้เรา
00:06:46 → 00:06:49 ต้องกลับมาถามตัวเองว่าแล้วผลตรวจเลือด
00:06:50 → 00:06:52 ของเราล่ะมันกำลังบอกเล่าเรื่องราวอะไร
00:06:52 → 00:06:57 ที่เราอาจจะกำลังมองข้ามไปอยู่หรือเปล่า
00:06:57 → 00:07:00 >> สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับสู่การเจาะลึกข้อ
00:07:00 → 00:07:03 มูลสุขภาพกับเราอีกครั้งนะคะคือปกติเวลา
00:07:03 → 00:07:06 เราพูดถึงกรดยูริกเนี่ยเอ่อส่วนใหญ่เราจะ
00:07:06 → 00:07:09 นึกถึงอะไรที่มันสูงๆใช่มั้ยคะกลัวเป็น
00:07:09 → 00:07:13 โรคเก๊าปวดข้ออะไรแบบนั้นไปแต่ว่าวันนี้
00:07:13 → 00:07:16 นะคะเราจะมาลองมองอีกมุมมุมนึงค่ะเป็น
00:07:16 → 00:07:18 เรื่องที่อาจจะไม่ค่อยมีใครนึกถึงเท่า
00:07:18 → 00:07:21 ไหร่นั่นก็คือภาวะที่กรดยูริกมันต่ำผิด
00:07:21 → 00:07:25 ปกติคือต่ำกว่า 3 มลกรัต่อเดซิลิตรซึ่ง
00:07:25 → 00:07:27 เอ่อมันอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับ
00:07:27 → 00:07:30 สุขภาพที่เราคาดไม่ถึงก็ได้นะคะวันนี้เรา
00:07:30 → 00:07:33 มีข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูลชุดนึงค่ะชื่อ
00:07:33 → 00:07:37 ว่าการแปรผลแลบยูริกต่ำและต่มาสำรวจกัน
00:07:37 → 00:07:40 ค่ะว่าไอ้ค่ากรดยูริคที่มันต่ำๆแบบนี้
00:07:40 → 00:07:43 เนี่ยมันกำลังบอกอะไรเราโดยเฉพาะความ
00:07:43 → 00:07:45 เชื่อมโยงที่น่าสนใจมากๆกับการทำงานของ
00:07:45 → 00:07:48 ตับในกระบวนการที่เรียกว่า Salvation น่ะ
00:07:48 → 00:07:51 ค่ะภารกิจของเราวันนี้ก็คือการกลั่นเอา
00:07:51 → 00:07:54 เอ่อแก่นความรู้สำคัญจากข้อมูลนี้ออกมานะ
00:07:54 → 00:07:57 คะทั้งคำอธิบายกลไกต่างๆแล้วก็มีกรณี
00:07:57 → 00:08:00 ศึกษาที่น่าสนใจด้วยเพื่อให้เห็นภาพชัดๆ
00:08:00 → 00:08:03 กันไปเลยว่าทำไมเรื่องกรดยูริกต่ำเนี่ย
00:08:03 → 00:08:06 มันถึงสำคัญแล้วเราควรจะมองผลตรวจสุขภาพ
00:08:06 → 00:08:09 ในมุมที่กว้างขึ้นยังไงได้บ้างเอาล่ะค่ะ
00:08:09 → 00:08:12 มาเริ่มแกะกล่องเรื่องนี้กันเลย
00:08:12 → 00:08:15 >> ครับผมประเด็นนี้เริ่มต้นได้น่าสนใจมาก
00:08:15 → 00:08:18 ครับคือมันชี้ให้เห็นเลยว่าค่าบางอย่างใน
00:08:18 → 00:08:21 ผลเลือดเนี่ยที่เรามองเผินๆเออมันดู
00:08:21 → 00:08:24 เหมือนจะดีหรือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติอย่าง
00:08:24 → 00:08:28 เช่นค่าที่มันต่ำๆเนี่ยครับในทางเอ่อการ
00:08:28 → 00:08:30 แพทย์หรือชีวเคมีจริงๆแล้วเนี่ยมันอาจจะ
00:08:30 → 00:08:34 มีความหมายซ่อนอยู่ลึกกว่านั้นหรืออาจจะ
00:08:34 → 00:08:36 เป็นเหมือนสัญญาณเตือนบางอย่างที่เราต้อง
00:08:36 → 00:08:39 พิจารณาให้รอบด้านมากขึ้นคือการมองแค่ตัว
00:08:39 → 00:08:41 เลขสูงหรือต่ำเทียบกับค่าอ้างอิงอย่าง
00:08:41 → 00:08:44 เดียวเนี่ยบางทีมันอาจจะไม่พอสักเสมอไป
00:08:44 → 00:08:45 ครับ
00:08:45 → 00:08:47 >> น่าสนใจมากเลยค่ะงั้นเรามาเริ่มกันที่
00:08:47 → 00:08:51 กรณีศึกษาที่เขา้าหยิบยกมาในแหล่งข้อมูล
00:08:51 → 00:08:54 นี้เลยนะคะเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงค่ะ
00:08:54 → 00:08:57 คือมีอาการที่น่าเห็นใจหลายอย่างเลยทั้ง
00:08:57 → 00:09:01 ปวดหัวบ่อยๆมีอาการแบบแพนิคนอนก็ไม่ค่อย
00:09:01 → 00:09:04 หลับแล้วก็ปวดคอบาดไหลเรื้อรังด้วยค่ะ
00:09:04 → 00:09:07 พฤติกรรมการกินก็น่าสนใจนะคะคือเขาจะกิน
00:09:07 → 00:09:10 น้อยๆแต่กินบ่อยมากแบบแทบจะทั้งวันเลยไม่
00:09:10 → 00:09:13 ค่อยชอบกินขักเท่าไหร่ไม่ค่อยกินข้าวหรือ
00:09:13 → 00:09:16 ตักเข้ามาก็กินไม่หมดดูเหมือนจะเน้นแป้ง
00:09:16 → 00:09:20 แต่ก็ปริมาณน้อยค่า BMI หรือดัชนีมลกายก็
00:09:20 → 00:09:23 อยู่ประมาณ 20 ค่ะถือว่าค่อนข้างผอมเลย
00:09:23 → 00:09:27 แต่จุดที่ทำให้เคสนี้มันเอ่อพีคขึ้นมา
00:09:27 → 00:09:30 หรือเป็นประเด็นสำคัญขึ้นมาเนี่ยไม่ใช่
00:09:30 → 00:09:33 อาการภายนอกพวกนี้นะคะแต่เป็นผลตรวจเลือด
00:09:33 → 00:09:35 ที่ไปเจอความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับตับ
00:09:35 → 00:09:36 ของเขาน่ะค่ะ
00:09:36 → 00:09:39 >> ใช่ครับข้อมูลที่น่าสังเกตมากๆเลยอย่าง
00:09:39 → 00:09:43 แรกก็คืออัตราส่วนของเอนไซมตับ 2 ตัวคือ
00:09:43 → 00:09:48 SGOT ต่อ SGPT นะครับผลออกมาเนี่ยต่ำมาก
00:09:48 → 00:09:50 อยู่ที่ 14:32
00:09:50 → 00:09:53 พอคิดเป็นอัตราส่วนแล้วเนี่ยมันได้แค่
00:09:53 → 00:09:56 0.44 44 เท่านั้นเองซึ่งจะเห็นเลยว่า
00:09:56 → 00:10:00 ค่า SGPT เนี่ยสูงกว่าค่า SGOT อย่างชัด
00:10:00 → 00:10:02 เจนเลยครับคือโดยหลักการทั่วไปแล้วนะครับ
00:10:02 → 00:10:05 ในคนที่ตับสุขภาพดีโดยเฉพาะในผู้หญิง
00:10:05 → 00:10:10 เนี่ยค่า SGPT ควรจะใกล้เคียงกับ SGOT
00:10:10 → 00:10:12 หรือจริงๆแล้วทั้ง 2 ตัวนี้ควรจะค่อนข้าง
00:10:12 → 00:10:16 ต่ำคือต่ำกว่า 20 ด้วยซ้ำไปส่วนในผู้ชาย
00:10:16 → 00:10:19 อาจจะสูงกว่านิดหน่อยควรต่ำกว่า 28 การ
00:10:19 → 00:10:24 ที่อัตราส่วน SGOT SGPT มันต่ำขนาดนี้
00:10:24 → 00:10:27 โดยที่ SGPT สูงกว่า SGOT เยอะๆเนี่ยมัน
00:10:27 → 00:10:30 เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งครับที่บ่งชี้ว่าอาจ
00:10:30 → 00:10:33 จะมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับการทำ
00:10:33 → 00:10:34 งานของเซลล์ตับได้
00:10:34 → 00:10:36 >> แล้วก็มาถึงจุดสำคัญที่เชื่อมโยงกับหัว
00:10:36 → 00:10:39 ข้อหลักของเราในวันนี้นะค่ะนอกจากเรื่อง
00:10:39 → 00:10:41 เอนไซม์ตับแล้วเนี่ยค่ากรดยูริกในเลือด
00:10:41 → 00:10:45 ของเธอก็ต่ำมากเหมือนกันค่ะวัดได้แค่ 2.2
00:10:45 → 00:10:48 2 มกรัต่อเดซีลิตรเท่านั้นเองตรงนี้แหละ
00:10:48 → 00:10:51 ค่ะที่มันแบบน่าสนใจเป็นพิเศษเลยเพราะ
00:10:51 → 00:10:54 ปกติเราคุ้นๆกันแต่ว่ากรดยูริกสูงสิถึงจะ
00:10:54 → 00:10:57 เป็นปัญหาใช่มั้ยคะเสี่ยงเป็นเก๊าทแล้ว
00:10:57 → 00:11:00 ทำไมล่ะคะพอมันต่ำมากๆแบบนี้ถึงกลายเป็น
00:11:00 → 00:11:02 เรื่องที่เราต้องมาให้ความสนใจหรืออาจจะ
00:11:02 → 00:11:03 ต้องกังวลกันล่ะคะ
00:11:03 → 00:11:06 >> นั่นเป็นคำถามที่ดีมากๆเลยครับเพราะมัน
00:11:06 → 00:11:09 สะท้อนความเข้าใจโดยทั่วไปของเราจริงๆแต่
00:11:09 → 00:11:13 ว่าจริงๆแล้วนะครับกรดยูริกเนี่ยมันไม่
00:11:13 → 00:11:15 ได้มีแต่โทษอย่างเดียวนะครับมันมีบทบาท
00:11:15 → 00:11:19 ที่สำคัญมากๆในร่างกายเราด้วยบทบาทหนึ่ง
00:11:19 → 00:11:22 ที่สำคัญมากเลยก็คือมันทำหน้าที่เป็นสาร
00:11:23 → 00:11:25 ต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุดตัวนึงใน
00:11:25 → 00:11:28 กระแสเลือกของเราเลยนะครับมีส่วนช่วยปก
00:11:28 → 00:11:30 ป้องเซลล์ปกป้องหลอดเลือดจากความเสียหาย
00:11:30 → 00:11:33 ที่เกิดจากอนุมูลอิสระดังนั้นเนี่ยพอ
00:11:33 → 00:11:36 ระดับกรดยูริกในเลือดมันลดต่ำลงไปมากๆจน
00:11:36 → 00:11:40 ผิดปกติมันอาจจะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปนะ
00:11:40 → 00:11:43 แต่เอ่อมันอาจจะกำลังสะท้อนถึงปัญหาบาง
00:11:43 → 00:11:45 อย่างในระบบการป้องป้องกันและต่อต้าน
00:11:45 → 00:11:48 อนุมูลอิสระของร่างกายซึ่งระบบเนี้ยมัน
00:11:48 → 00:11:50 สัมพันธ์ใกล้ชิดกับการทำงานของตับมาก
00:11:50 → 00:11:53 เพราะตับเป็นอวัยวะหลักเลยที่ต้องจัดการ
00:11:53 → 00:11:55 กับสารพิษต่างๆที่อาจจะเข้ามาก่ออนุมูล
00:11:55 → 00:11:58 อิสระในร่างกายเราได้ครับถ้าเราจะเชื่อม
00:11:58 → 00:12:01 โยงเรื่องนี้ให้เห็นภาพใหญ่ขึ้นนะครับเรา
00:12:01 → 00:12:03 ต้องเข้าใจกระบวนการหนึ่งที่สำคัญมากใน
00:12:03 → 00:12:06 ตับก่อนนั่นคือกระบวนการกำจัดสารพิษหรือ
00:12:06 → 00:12:09 ที่เราเรียกว่า detoxification ซึ่งมันมี
00:12:09 → 00:12:12 หลายเฟสหลายระยะซึ่งสำคัญมากๆครับกระบวน
00:12:12 → 00:12:15 การsulฟชเนี่ยหน้าที่มันเหมือนเป็นแม่
00:12:15 → 00:12:18 บ้านของร่างกายเลยครับคือคอยจับเอาสาร
00:12:18 → 00:12:21 ต่างๆที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วหรืออาจจะ
00:12:21 → 00:12:24 เป็นพิษเช่นพวกฮอร์โมนบางชนิดที่ใช้เสร็จ
00:12:24 → 00:12:28 แล้วสารสื่อประสาทบางตัวยาหรือสารพิษจาก
00:12:28 → 00:12:32 สิ่งแวดล้อมมาเติมหมู่ซัลเฟตซอลเฟตเข้าไป
00:12:32 → 00:12:35 เพื่อให้สารพวกนั้นมันละลายน้ำได้ดีขึ้น
00:12:35 → 00:12:37 และก็ขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะหรือน้ำ
00:12:37 → 00:12:40 ดีได้ง่ายขึ้นครับกระบวนการนี้เลยจำเป็น
00:12:40 → 00:12:43 ต้องใช้ซัลเฟตในปริมาณที่เพียงพอครับที
00:12:43 → 00:12:46 นี้ปัญหามันอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าหากว่า
00:12:46 → 00:12:49 ร่างกายเรามีซัลเฟตไม่พอหรือในกรณีที่ตับ
00:12:49 → 00:12:53 ต้องทำงานหนักมากๆในการกำจัดสารพิษต่างๆ
00:12:53 → 00:12:56 แบบว่าโอเวอร์โหลADไปเลยเช่นอาจจะได้รับ
00:12:56 → 00:12:59 สารเคมีเยอะกินยาบางอย่างต่อเนื่องหรือ
00:12:59 → 00:13:02 แม้แต่มีความเครียดสูงมากๆร่างกายอาจจะ
00:13:02 → 00:13:04 ต้องพยายามหาแหล่งกรรมถร์ซัลเฟอร์ซึ่ง
00:13:05 → 00:13:07 เป็นส่วนประกอบสำคัญของซัลเฟตจากที่อื่น
00:13:07 → 00:13:10 มาใช้แบบเร่งด่วนเพื่อให้กระบวนการซัลเฟช
00:13:10 → 00:13:13 มันยังพอเดินหน้าต่อไปได้และหนึ่งในสาร
00:13:13 → 00:13:16 ที่ร่างกายอาจจะเอ่อสลายเพื่อดึงเอา
00:13:16 → 00:13:20 กรรมถัน์มาแชงในภาวะแบบนี้หรือถ้าจะมอง
00:13:20 → 00:13:23 อีกมุมคือเมื่อตับทำงานหนักในกระบวนการ
00:13:23 → 00:13:26 กำจัดสารพิษมันจะเกิดอนุมูลอิสระขึ้นมา
00:13:26 → 00:13:29 เยอะมากร่างกายก็เลยต้องใช้สารต้านอนุมูล
00:13:30 → 00:13:34 อิสระในปริมาณมหาศาลเพื่อมาต่อสู้กับภาวะ
00:13:34 → 00:13:37 นี้ซึ่งกรดยูริกเนี่ยเป็นสารต้านอนุมูล
00:13:37 → 00:13:40 อิสระตัวหลักในเลือดก็จะถูกดึงมาใช้ไป
00:13:40 → 00:13:43 เยอะมากเช่นกันผลที่ตามมาก็คือระดับของ
00:13:43 → 00:13:46 กรดยูริกในกระแสเลือดก็อาจจะลดต่ำลงอย่าง
00:13:46 → 00:13:47 ผิดปกติได้ครับ
00:13:47 → 00:13:51 >> โยงแล้วนะคะแปลว่าถ้ากระบวนการซัลเฟชที่
00:13:51 → 00:13:53 ตับเนี่ยมันทำงานได้ไม่เต็มที่หรือว่า
00:13:53 → 00:13:56 ต้องทำงานหนักมากๆมันไม่ได้แค่ทำให้การ
00:13:56 → 00:13:59 กำจัดสารพิษแย่ลงอย่างเดียวแต่ยังส่งผล
00:13:59 → 00:14:01 กระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงระดับสารต้านอนุมูล
00:14:01 → 00:14:03 อิสระอย่างกรดยูริกด้วยหรอคะ
00:14:03 → 00:14:06 >> ถูกต้องเลยครับถ้ากระบวนการเซัลเฟชมันติด
00:14:06 → 00:14:09 ขัดหรือไม่เพียงพอเนี่ยสารพิษต่างๆทั้ง
00:14:09 → 00:14:12 จากข้างนอกและที่ร่างกายสร้างเองก็อาจจะ
00:14:12 → 00:14:15 ถูกกำจัดออกไปได้น้อยลงเกิดการสะสมหรือ
00:14:15 → 00:14:18 ว่าไหลเวียนอยู่ในร่างกายเรามากขึ้นซึ่ง
00:14:18 → 00:14:20 ภาวะนี้เองครับที่จะนำไปสู่สิ่งที่เรียก
00:14:20 → 00:14:24 ว่าความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิชัหรือve
00:14:24 → 00:14:27 stress ที่สูงขึ้นในร่างกายซึ่งหมายถึง
00:14:27 → 00:14:29 ภาวะที่มันเกิดความไม่สมดุลกันระหว่าง
00:14:29 → 00:14:32 อนุมูลอิสระที่สร้างความเสียหายกับความ
00:14:32 → 00:14:35 สามารถของร่างกายเราในการต่อต้านหรือซ่อม
00:14:35 → 00:14:38 แซมความเสียหายนั้นและเมื่อร่างกายตกอยู่
00:14:38 → 00:14:41 ในภาวะ oxidative stress สูงๆเนี่ยมันก็
00:14:41 → 00:14:43 เหมือนกับมีไฟไหม้เล็กๆเกิดขึ้นทั่วร่าง
00:14:43 → 00:14:45 กายเราเลยนะครับร่างกายก็ยิ่งต้องการนัก
00:14:45 → 00:14:48 ดับเพลิงซึ่งก็คือสารต้านอนุมูลอิสระมาก
00:14:48 → 00:14:51 ขึ้นไปอีกเพื่อมาควบคุมสถานการณ์ร่างกาย
00:14:51 → 00:14:53 ก็จะยิ่งเร่งดึงเอาสารต้านอนุมูลอิสระที่
00:14:54 → 00:14:56 มีอยู่รวมถึงกรดยูริกเนี่ยมาใช้อย่างสิ้น
00:14:56 → 00:14:59 เปลืองมากขึ้นมันเลยกลายเป็นเหมือนวงจร
00:14:59 → 00:15:01 ที่อาจจะส่งผลให้ระดับกรดยูริกลดตมลงไป
00:15:01 → 00:15:04 เรื่อยๆได้ครับแต่ต้องเน้นย้ำตรงนี้นิด
00:15:04 → 00:15:07 นึงนะครับว่าการที่เราเห็นแค่กรดยูริกต่ำ
00:15:07 → 00:15:09 กว่า 3 มกรัต่อเดซลิตรเนี่ยไม่ได้หมาย
00:15:09 → 00:15:13 ความว่าเราฟันธงได้เลยนะว่าคนๆนั้นมี
00:15:13 → 00:15:16 ปัญหากับกระบวนการชัที่ต่แน่นอนอ
00:15:16 → 00:15:19 >> มันไม่ใช่การวินิจฉัยโดยตรงขนาดนั้นครับ
00:15:19 → 00:15:22 แต่ให้มองว่ามันเป็นเหมือนข้อสังเกตหรือ
00:15:22 → 00:15:25 ตัวชี้วัดทางอ้อมที่สำคัญตัวหนึ่งที่
00:15:25 → 00:15:29 กำลังบอกเราว่าร่างกายอาจจะกำลังเผชิญกับ
00:15:29 → 00:15:31 ภาระในการกำจัดสารพิษที่สูงมากผิดปกติ
00:15:31 → 00:15:34 อยู่แล้วก็มีการใช้กลไกการต้านอนุมูล
00:15:34 → 00:15:37 อิสระซึ่งรวมถึงกรดยูริกเนี่ยไปอย่างมาก
00:15:37 → 00:15:40 จนทำให้ระดับของสารต้านอนุมูลอิสระตัว
00:15:40 → 00:15:42 หลักตัวหนึ่งในเลือดมันลดต่ำลงอย่างเห็น
00:15:42 → 00:15:43 ได้ชัดเจนครับ
00:15:43 → 00:15:45 >> การเอาข้อมูลหลายๆอย่างมาประกอบกันเนี่ย
00:15:45 → 00:15:48 มันช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นจริงๆค่ะคือทั้ง
00:15:48 → 00:15:51 อัตราส่วน SGOT SGPT ที่ต่ำมากผิดปกติ
00:15:52 → 00:15:55 แค่ 0.44 44 ที่ชี้ว่าตับอาจจะมีปัญหา
00:15:55 → 00:15:58 บวกกับค่ากรดยูริกที่ต่ำมากแค่ 2.2 2
00:15:58 → 00:16:01 ซึ่งอาจจะสะท้อนถึงภาระงานหนักของตับใน
00:16:01 → 00:16:03 การกำจัดสารพิษหรือการใช้สารต้านอนุมูล
00:16:03 → 00:16:06 อิสระไปเยอะมันยิ่งสนับสนุนข้อสงสัยว่า
00:16:06 → 00:16:08 น่าจะมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับ
00:16:08 → 00:16:11 การทำงานของตับของเขาจริงๆนะคะซึ่งใน
00:16:11 → 00:16:14 แหล่งข้อมูลที่เราดูกันอยู่ก็เลยมีคำแนะ
00:16:14 → 00:16:17 นำต่อว่าสำหรับกรณีที่เจอค่าลักษณะนี้ควร
00:16:17 → 00:16:19 จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันแล้ว
00:16:19 → 00:16:22 ก็ประเมินการทำงานของตับให้ละเอียดให้รอบ
00:16:22 → 00:16:25 ด้านมากขึ้นเช่นอาจจะตรวจค่าGMม GT หรือ
00:16:25 → 00:16:28 GMA GT ซึ่งเป็นอีกเอนไซมนึงที่ช่วยดู
00:16:28 → 00:16:31 การทำงานของตับแล้วก็อาจจะรวมถึงท่อน้ำดี
00:16:31 → 00:16:34 ด้วยหรือการตรวจการทำงานของตับแบบเต็มรูป
00:16:34 → 00:16:36 แบบหรือ LFT liver ฟังก์ชัน Test ที่จะ
00:16:36 → 00:16:39 ดูค่าเอนไซมและสารอื่นๆหลายตัวเลยแล้วก็
00:16:39 → 00:16:41 อาจจะรวมถึงการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ด
00:16:41 → 00:16:44 เลือดหรือ CBC Complete Blood C เพื่อ
00:16:44 → 00:16:46 ดูภาพรวมของเซลล์เม็ดเลือดต่างๆด้วยค่ะ
00:16:46 → 00:16:49 ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะผิดปกติ
00:16:49 → 00:16:52 เรื้อรังได้เหมือนกันการมีข้อมูลพวกนี้
00:16:52 → 00:16:54 เพิ่มก็จะช่วยให้ประเมินสถานการณ์ได้แม่น
00:16:54 → 00:16:55 ยำขึ้นค่ะ
00:16:55 → 00:16:59 >> ใช่ครับการมีข้อมูลรอกด้านขึ้นจะช่วยให้
00:16:59 → 00:17:02 เข้าใจปัญหาได้ดีขึ้นแน่นอนแล้วก็ในแหล่ง
00:17:02 → 00:17:04 ข้อมูลนี้ยังมีข้อควรระวังเพิ่มเติมอีก
00:17:04 → 00:17:07 ประเด็นนึงซึ่งก็น่าสนใจนะครับแล้วก็
00:17:07 → 00:17:09 เกี่ยวกับการแปรผลแลบโดยรวมโรมเลยคือ
00:17:09 → 00:17:12 เรื่องการดูผลค่าไขมันในเลือดหรือ Lipid
00:17:12 → 00:17:17 Profile พวกค่าคอเลสเตอรอลรวม LDL HDL
00:17:17 → 00:17:20 แล้วก็ไตรกลีซอไรด์โดยเฉพาะค่า LDL ที่คน
00:17:20 → 00:17:23 ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่ายิ่งต่ำยิ่งดีใช่
00:17:23 → 00:17:26 มั้ยครับเขาเตือนว่าเราไม่ควรจะด่วนสรุป
00:17:26 → 00:17:29 แค่เห็นค่า LDL ต่างๆอย่างในเคสที่ยกมา
00:17:29 → 00:17:33 อาจจะวัด LDL ได้ต่ำมากเช่นอาจจะแค่ 38
00:17:33 → 00:17:37 MGDL แล้วก็รีบดีใจว่าโอ้โหสุขภาพดี
00:17:37 → 00:17:40 เยี่ยมเพราะจริงๆแล้วค่าตัวเลขที่วัดได้
00:17:40 → 00:17:42 เนี่ยมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างมาก
00:17:42 → 00:17:45 ครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอ่อน้ำยาที่ใช้ใน
00:17:45 → 00:17:48 การตรวจแล้วก็การตั้งค่าการควบคุมคุณภาพ
00:17:48 → 00:17:51 หรือ QC ของแต่ละห้องแลบซึ่งอาจจะแตกต่าง
00:17:51 → 00:17:54 กันไปในแต่ละที่ทำให้ค่าอ้างอิง Reference
00:17:54 → 00:17:57 Range มันไม่เท่ากันครับบางแลบอาจจะตั้ง
00:17:57 → 00:18:00 ค่าอ้างอิง LDL ไว้ค่อนข้างสูงทำให้ค่า 38
00:18:01 → 00:18:04 ดูต่ำมากๆแต่ในขณะที่แลบอีกที่อาจจะตั้ง
00:18:04 → 00:18:07 ค่าอ้างอิงไว้ต่ำกว่าทำให้ค่า 38 อาจจะ
00:18:07 → 00:18:09 ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติของที่นั่นก็ได้ดัง
00:18:09 → 00:18:13 นั้นการดูแค่ตัวเลขดิบๆว่าสูงหรือต่ำ
00:18:13 → 00:18:15 เทียบกับค่าอ้างอิงอย่างเดียวเนี่ยอาจจะ
00:18:15 → 00:18:18 ยังบอกภาพรวมได้ทั้งหมดสิ่งที่สำคัญกว่า
00:18:18 → 00:18:21 ในการแปรผลค่าไขมันหรือจริงๆก็รวมถึงค่า
00:18:22 → 00:18:25 แลบอื่นๆด้วยนะครับก็คือการพิจารณาค่า
00:18:25 → 00:18:28 ความสัมพันธ์หรืออัตราส่วนระหว่างค่าต่าง
00:18:28 → 00:18:31 ๆประกอบกันครับตัวอย่างเช่นการดูอัตรา
00:18:31 → 00:18:34 ส่วนระหว่างไตรกีซerideกับ HDL TGHDR
00:18:34 → 00:18:37 ratio หรืออัตราส่วนระหว่างคอเลสเตอรอล
00:18:37 → 00:18:41 รวมกับ HDL TCHDL ratti ซึ่งอัตราส่วน
00:18:41 → 00:18:43 พวกนี้มักจะให้ข้อมูลเชิงเหลือเกี่ยวกับ
00:18:43 → 00:18:46 ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือภาวะ
00:18:46 → 00:18:49 ดื้ออินซูลินได้ดีกว่าการดูค่า LDL หรือ
00:18:49 → 00:18:52 ค่าอื่นๆแค่ค่าเดียวโดดๆการมองภาพรวมและ
00:18:52 → 00:18:55 ความสัมพันธ์แบบนี้จะช่วยให้เราเข้าใจ
00:18:55 → 00:18:58 สถานะสุขภาพที่แท้จริงได้แม่นยำขึ้นซึ่ง
00:18:58 → 00:19:00 ก็เป็นหลักการเดียวกับที่เราดูค่ากรด
00:19:00 → 00:19:03 ยูริกต่ำร่วมกับค่าเอนไซมต่นั่นเองครับ
00:19:03 → 00:19:05 คือต้องดูภาพรวมและความเชื่อมโยงกัน
00:19:05 → 00:19:08 >> โหฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความ
00:19:08 → 00:19:10 เข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นจริงๆนะคะไม่ใช่แค่
00:19:10 → 00:19:14 ดูผ่านๆว่าค่าไหนสูงค่าไหนต่ำแล้วทั้งหมด
00:19:14 → 00:19:16 นี้มันหมายความว่ายังไงถ้าจะให้สรุปสิ่ง
00:19:16 → 00:19:19 ที่เราเจาะลึกกันมาในวันนี้ก็คือค่ากรด
00:19:19 → 00:19:22 ยูริกที่ต่ำกว่า 3 mgl
00:19:22 → 00:19:25 ใช่สัญญาณที่ดีเสมอไปอย่างที่หลายคนคิดนะ
00:19:25 → 00:19:28 คะแต่มันอาจจะเป็นตัวบ่งชี้ทานอ้อมว่าตับ
00:19:28 → 00:19:31 ของเราอาจจะกำลังทำงานหนักมากในกระบวนการ
00:19:31 → 00:19:35 กำจัดสารพิษที่เรียกว่าจนต้องดึงเอา
00:19:35 → 00:19:38 ทรัพยากรสำคัญอย่างสารต้านอนุมูลอิสระคือ
00:19:38 → 00:19:41 กรดยูริกเนี่ยมาใช้มากเกินไปจนระดับใน
00:19:41 → 00:19:43 เลือดมันลดต่ำลงผิดปกติซึ่งเราก็ได้เห็น
00:19:43 → 00:19:46 ตัวอย่างจากกรณีศึกษาแล้วว่าเมื่อค่ากรด
00:19:46 → 00:19:49 ยูริกต่ำๆนี้เกิดขึ้นร่วมกับสัญญาณอื่น
00:19:49 → 00:19:52 เช่นอัตราส่วนเอนไซม์ตับที่ผิดปกติมันก็
00:19:52 → 00:19:54 ยิ่งช่วยชี้เป้าไปที่ปัญหาการทำงานของตับ
00:19:55 → 00:19:58 ได้ชัดเจนขึ้นและอีกบทเรียนสำคัญก็คือเรา
00:19:58 → 00:20:00 ต้องระมัดระวังในการตีความค่าแลบใดค่า
00:20:01 → 00:20:03 หนึ่งแบบเดี่ยวๆโดยไม่พิจารณาความ
00:20:03 → 00:20:06 สัมพันธ์กับค่าอื่นๆหรือบริบททางสุขภาพ
00:20:06 → 00:20:07 โดยรวมด้วยค่ะ
00:20:07 → 00:20:09 >> ถูกต้องเลยครับการทำความเข้าใจความเชื่อม
00:20:09 → 00:20:12 โยงที่ซับซ้อนแต่ก็สมเหตุสมผลเหล่านี้
00:20:12 → 00:20:14 เนี่ยมันช่วยเปิดมุมมองให้เรามองผลการ
00:20:14 → 00:20:17 ตรวจสุขภาพประจำปีหรือผลเลือดต่างๆได้ลึก
00:20:17 → 00:20:19 ซึ้งกว่าเดิมนะครับทำให้เราตระหนักว่า
00:20:19 → 00:20:22 ระบบต่างๆในร่างกายเราเนี่ยมันทำงาน
00:20:22 → 00:20:24 สัมพันธ์กันอย่างน่าทึ่งจริงๆและบางครั้ง
00:20:24 → 00:20:26 ค่าที่ดูเหมือนปกติหรือแม้กระทั่งดู
00:20:26 → 00:20:29 เหมือนจะดีเยี่ยมในแวบแรกเช่นค่ากรดยูริก
00:20:29 → 00:20:32 ต่ำๆหรือค่า LDL ต่ำๆเนี่ยอาจจะมีความ
00:20:32 → 00:20:35 หมายอื่นซ่อนอยู่ก็ได้หากเราพิจารณาในภาพ
00:20:35 → 00:20:37 รวมที่กว้างขึ้นหรือดูความสัมพันธ์กับ
00:20:37 → 00:20:40 ปัจจัยอื่นๆประกอบกันครับและเรื่องราวที่
00:20:40 → 00:20:43 เราคุยกันวันนี้ก็นำไปสู่คำถามที่น่าขบ
00:20:43 → 00:20:46 คิดเป็นการบ้านทิ้งท้ายไว้นะครับในเมื่อ
00:20:46 → 00:20:48 กระบวนการเซาเฟชั่นที่ตับนี้มีความสำคัญ
00:20:48 → 00:20:50 อย่างยิ่งเลยต่อการจัดการกับทั้งสารพิษ
00:20:50 → 00:20:52 ที่เราอาจจะได้รับจากสิ่งแวดล้อมในชีวิต
00:20:52 → 00:20:56 ประจำวันไม่ว่าจะเป็นอาหารอากาศน้ำหรือ
00:20:56 → 00:20:58 สารเคมีต่างๆแล้วก็ยังรวมถึงการจัดการกับ
00:20:58 → 00:21:00 สารที่ร่างกายสร้างขึ้นเองอย่างฮอร์โมน
00:21:00 → 00:21:04 หรือสารสื่อประสาทบางชนิดด้วยคำถามคือหาก
00:21:04 → 00:21:06 กระบวนการสำคัญนี้ต้องทำงานหนักอย่างต่อ
00:21:06 → 00:21:08 เนื่องเป็นเวลานานหรือว่ามีทรัพยากรที่
00:21:08 → 00:21:10 จำเป็นอย่างเช่นซัลเฟตไม่เพียงพออยู่
00:21:10 → 00:21:14 เรื่อยๆถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอาการเจ็บป่วย
00:21:14 → 00:21:18 ที่ชัดเจนแสดงออกมาในทันทีมันอาจจะส่งผล
00:21:18 → 00:21:22 กระทบต่อสุขภาพองค์รวมในระยะยาวในรูปแบบ
00:21:22 → 00:21:26 ที่เราอาจจะคาดไม่ถึงได้อย่างไรบ้างนี่
00:21:26 → 00:21:28 อาจจะเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของการดูแลสุขภาพ
00:21:28 → 00:21:31 เชิงป้องกันที่น่าจะมีการศึกษาและให้ความ
00:21:31 → 00:21:34 สำคัญกันมากขึ้นต่อไปนะครับ
00:21:34 → 00:21:52 [เพลง]