00:00:00 → 00:00:03 พฤติกรรมติดเกมกับพฤติกรรมเสพติดเกมไม่
00:00:03 → 00:00:05 เหมือนกันคุณพ่อคุณแม่โดยส่วนใหญ่นะลูก
00:00:05 → 00:00:07 เลิกเล่นเกมได้แล้วไม่ให้เล่นเกมแล้วให้
00:00:07 → 00:00:11 ทำอะไรโหอะไรวะเนี่ยอ่านหนังสือมาก็ 7-8
00:00:11 → 00:00:13 ชั่วโมงเรียนมาก็เบื่อแล้วก็เซ็งเต็มที่
00:00:13 → 00:00:15 อันนี้ก็กลายเป็นไม่ต้องปลดปล่อยกันแล้ว
00:00:15 → 00:00:18 พอแม่ไม่เคยให้คำชื่นชมแต่เกมมันเให้คำ
00:00:18 → 00:00:21 ชื่นชมโซเชียลมีเดียไม่ใช่ว่ามันไม่ดีซะ
00:00:21 → 00:00:24 หมดมันก็มีข้อดีแต่เล่นอย่างมีวินัยเรา
00:00:24 → 00:00:26 เล่นวันละซัก 2 ครั้ง 3 ครั้งก็พอแล้ว
00:00:26 → 00:00:30 มั้งบางข้อความอินมากอารมณ์ขึ้นมันนานๆไป
00:00:30 → 00:00:33 มันจะกลายเป็นนิสัยไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก
00:00:33 → 00:00:35 ต้องดัดได้ถ้าเราสามารถอยู่กับตัวเราได้
00:00:35 → 00:00:38 อยู่กับปัจจุบันไม่ฟุ้งซ่านเราก็รู้จักใน
00:00:38 → 00:00:41 การที่จะสะท้อนความรู้สึกและถอยออกแล้ว
00:00:41 → 00:00:44 กลับมาอีกทีตอนที่เราคุมอารมณ์ตัวเราได้
00:00:44 → 00:00:48 เวลาที่เราเจอเหตุการสติและสมาธิมันจะมา
00:00:48 → 00:00:50 ด้วย
00:00:50 → 00:00:55 อัตโนมัติเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไก
00:00:55 → 00:00:58 โรคสวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะคะกับ
00:00:58 → 00:01:01 รายการเกาแก้วโค่ะวันนี้นะคะเราก็อยู่กัน
00:01:01 → 00:01:04 กับคุณหมอเดลผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรมค่ะ
00:01:04 → 00:01:06 สวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีครับแลสวัสดีทุก
00:01:06 → 00:01:08 ท่านครับค่ะซึ่งหัวข้อที่เราจะมาคุยกันใน
00:01:08 → 00:01:10 วันนี้นะคะเชื่อว่าเป็นประโยชน์กับคนดู
00:01:10 → 00:01:12 ทุกๆคนอย่างแน่นอนค่ะโดยเฉพาะคนที่มีลูก
00:01:12 → 00:01:14 มีหลานนะคะหรือว่ามีเด็กเล็กๆในครอบครัว
00:01:14 → 00:01:16 เนี่ยยิ่งควรดูเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะซึ่ง
00:01:16 → 00:01:18 ท็อปปิกที่เราจะคุยกันในวันนี้นะคะก็เป็น
00:01:18 → 00:01:20 เรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมการเสพติดในเด็ก
00:01:20 → 00:01:22 และวัยรุ่นค่ะไม่ว่าจะเป็นติดวัตถุสิ่ง
00:01:22 → 00:01:25 ของติดสื่อติดเพื่อนติดสารเสพติดหรือแม้
00:01:25 → 00:01:26 กระทั่งเรื่องการหาตัวเองไม่เจออะไรอย่า
00:01:27 → 00:01:28 เงี้ยค่ะคุณหมอมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ
00:01:28 → 00:01:30 เรื่องนี้ยังไงบ้างคะความจริงว่าไปเนี่ย
00:01:30 → 00:01:33 อีกอันนึที่หมอต้องเติมนะไม่ใช่เพียงแค่
00:01:33 → 00:01:37 เด็กและโยชนติดนะพฤติกรรมเสพติดเนี่ย
00:01:37 → 00:01:40 ปัจจุบันนี้ผู้ใหญ่ก็ป่วยเป็นพฤติกรรมเสพ
00:01:40 → 00:01:41 ติดไม่น้อยครับเวลาเราพูดคำว่า
00:01:42 → 00:01:44 โซเชียลมีเดียผู้ใหญ่ทุกท่านนะถ้าฟังเรา
00:01:44 → 00:01:46 อยู่นี่ก้มลงมองดูตัวเองหน่อยมั้ยติดหรือ
00:01:46 → 00:01:49 เปล่าเวลาเราพูดคำว่าเสพติดเนี่ยสมองมัน
00:01:49 → 00:01:53 จะมีอยู่ 3 3 ส่วนคือสมองส่วนข้อมืออัน
00:01:53 → 00:01:55 นี้เป็นสัญชาติญาณก้านสมองต่อเข้าไขสั
00:01:55 → 00:01:58 หลังซึ่งอันนี้มีไว้ดำรงชีพสัญชาติญาณ
00:01:58 → 00:02:01 ทั้งหลายหรือว่าสัญญาณชีพเช่นความดัน
00:02:01 → 00:02:03 โลหิตสูงชีพจรอะไรทั้งหลายอยู่ที่ตรงนี้
00:02:03 → 00:02:06 ศูยในการจัดการให้เราหายใจได้อิ่มก็หยุด
00:02:06 → 00:02:09 แล้วก็หิวก็กินหรือว่านอนหลับพักผรนแล้ว
00:02:09 → 00:02:12 ก็หายใจล้วนมาจากส่วนของข Ban เนรือเปล่า
00:02:12 → 00:02:15 คอ่าใช่เก่งมากเลยคือชื่อเล่นเนี่ยคือ
00:02:15 → 00:02:18 สมองส่วนสัตว์เลื้อยคลานคือตัวเฮียเขาก็
00:02:19 → 00:02:21 มีฮะสมองส่วนนี้แต่เพิ่มขึ้นมาคือสมอง
00:02:21 → 00:02:24 ส่วนอารมณ์คือนิ้วโป้งฮะซึ่งมันซ่อนอยู่
00:02:24 → 00:02:27 ข้างในอันเนี้ยเขาเรียกว่าลิมบิกโกรธโมโห
00:02:27 → 00:02:30 ไม่พอใจเสียใจดีใจมาจากส่วนนี้แล้วชื่อ
00:02:30 → 00:02:33 เล่นมันคือมาน Brain สัตว์เลี้ยงลูกด้วย
00:02:33 → 00:02:35 นมหมีเสพติดมันจะเกิดขึ้นจากตรงนี้
00:02:35 → 00:02:39 พฤติกรรมเสพติดสมมุติว่าเราเสพอะไรแล้วทำ
00:02:39 → 00:02:41 ให้มีความรู้สึกมีความสุขชั่วครั้งชั่ว
00:02:41 → 00:02:45 คราวแลทำให้เคลิ้มทำให้มีความรู้สึกลืม
00:02:45 → 00:02:48 ความเครียดลืมอะไรบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว
00:02:48 → 00:02:52 มันไปกดแล้วไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์แล้ว
00:02:52 → 00:02:55 มันทำให้เกิดความพุมพอใจเนี่ยสมองส่วน
00:02:55 → 00:02:58 อารมณ์เนี่ยคือพฤติกรรมเสพติดที่เกิดขึ้น
00:02:58 → 00:03:00 มันก็สามารถถ่ายทอดออกมาหลากหลายรูปแบบ
00:03:00 → 00:03:02 งั้นเราพูดได้มยคะว่าการที่คนเสพติดมัน
00:03:02 → 00:03:06 เกิดจากเราไปเสพติดอารมณ์นั้นๆใช่ฮะคือก็
00:03:06 → 00:03:09 อย่างยกตัวอย่างเช่นติดหวานเรากินแล้วมี
00:03:09 → 00:03:12 ความรู้สึกมีความสุขเพลิดเพลินแล้วมันก็
00:03:12 → 00:03:15 ไปช่วยกดสูนย์อิ่มคุณไม่รู้จักอิ่มกินได้
00:03:15 → 00:03:18 เรื่อยๆกินได้เรื่อยๆแถมมันมีสารเคมีอัน
00:03:18 → 00:03:20 นี้เราลงลึกกันนิดนึงเช่นสมมุติว่าคนที่
00:03:20 → 00:03:23 อ้วนน่ะมีเซลล์ไขมันอยู่เจ้าสารเคมีใน
00:03:23 → 00:03:26 เซลล์ไขมันนั้นขึ้นไปกระตุ้นสมองให้กิน
00:03:26 → 00:03:28 ได้เรื่อยๆเพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่าคนที่
00:03:28 → 00:03:32 อ้วนๆเนี่ยเขาก็จะมีอะไรพกติดตัวอยู่ตลอด
00:03:32 → 00:03:35 เวลากินจุบกินจิบกินนู่นกินนี่ไปเรื่อยๆ
00:03:36 → 00:03:38 พวกนี้มันก็กลายเป็นเรื่องของวงจรเสพติด
00:03:38 → 00:03:41 ได้อือยากจะถามว่าไอ้พฤติกรรมการเสพติด
00:03:41 → 00:03:43 เนี่ยค่ะไม่ว่าจะเป็นติดเพื่อนติดเกมติด
00:03:43 → 00:03:46 หวานแล้วก็ติดโซเชียลต่างๆอ่ะค่ะลึกๆแล้ว
00:03:46 → 00:03:48 สาเหตุเนี่ยนอกจากพฤติกรรมอ่ะค่ะมันมาจาก
00:03:48 → 00:03:51 การที่เด็กเขาขาดอะไรหรือเปล่าหรือว่าเขา
00:03:51 → 00:03:53 อยากได้รับการยอมรับในด้านไหนหรือว่าอยาก
00:03:53 → 00:03:55 ได้รับการเติมเต็มความรู้สึกในด้านไหน
00:03:55 → 00:03:57 หรือเปล่าก็เลยทำให้เขาแสดงออกด้วยการไป
00:03:57 → 00:04:00 เสพติดบางอย่างอ่ะค่ะหมอตอบเป็น 2 ขยะกับ
00:04:00 → 00:04:03 เรื่องนี้นะในทางการแพทย์พฤติกรรมติดเกม
00:04:03 → 00:04:06 กับพฤติกรรมเสพติดเกมโรคเสพติดเกมไม่
00:04:06 → 00:04:08 เหมือนกันอไม่เหมือนกันไม่เหมือนกันอถ้า
00:04:08 → 00:04:12 เสพติด 3 สัญญาณสัญญาณที่ 1 เล่นหลุดโลก
00:04:12 → 00:04:16 ไม่กินไม่นอนหรือไม่อาบน้ำคือวิถีชีวิต
00:04:16 → 00:04:18 เสียมันเหมือนคล้ายๆคนคลั่งน่ะหรือว่า
00:04:18 → 00:04:21 เล่นจนคลั่งจนแบบประเภทไม่กินข้าวก็ได้
00:04:21 → 00:04:24 ไม่อาบน้ำก็ได้ขอให้ได้เล่นอย่างเดียวนี่
00:04:24 → 00:04:27 คือตัวอย่างนะสัญญาณที่ 2 อินขึ้นหนัก
00:04:27 → 00:04:30 ขึ้นถี่ขึ้นแรงขึ้นอินอารมณ์มากขึ้น
00:04:30 → 00:04:33 สมมุติว่าโซเชียลมีเดียก็อินมากเรากดแชร์
00:04:33 → 00:04:37 ไปแล้วไม่มีคนกดไลคอินอารมณ์ขึ้นทำไมอ่าน
00:04:37 → 00:04:41 แล้วไม่ตอบอารมณ์มาฮะไม่ได้เล่นลงแดงอ้า
00:04:41 → 00:04:44 มีอาการลงแดงอารมณ์ระเบิดซึ่งอารมณ์
00:04:44 → 00:04:46 ระเบิดในที่นี้ไม่ใช่นิดหน่อยบางคนลุก
00:04:46 → 00:04:49 ขึ้นมาทำร้ายแม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองได้
00:04:49 → 00:04:52 เลยคือความคลั่งระเบิดทำลายข้าวของไม่พอ
00:04:52 → 00:04:56 ใจถ้าเข้าข่ายเนี้ยถึงจะเรียกว่าเสพติดที
00:04:56 → 00:04:59 นี้กลับมาดูสาเหตุทำไมเถึงได้ติดพวกอย่าง
00:04:59 → 00:05:01 นี้คือถ้าถามว่าเสพติดอย่างเรื่องของ
00:05:01 → 00:05:04 โซเชียลมีเดียโซเชียล Media คือซุเปอร์
00:05:04 → 00:05:07 เพื่อนวันนี้ก็ต้องถามแทนน้องๆอันนี้หมอ
00:05:07 → 00:05:09 ก็พูดเข้าข้างน้องๆเด้วยหน่อยนึงเหมือน
00:05:09 → 00:05:12 กันนะแม่ๆแม่ไม่ให้เล่นเกมแล้วจะให้หนูไป
00:05:12 → 00:05:15 ทำอะไรในเมื่อทุกวันนี้ของสังคมเมืองอ่ะ
00:05:15 → 00:05:18 ออกจากบ้านไปเสร็จไม่มีกิจกรรมต่างประเทศ
00:05:18 → 00:05:21 หลายประเทศเขาไม่ติดโซเชียลมีเดียหนักหนา
00:05:21 → 00:05:23 เท่าบ้านเราเพราะบ้านเราเนี่ยติดโซเชียล
00:05:23 → 00:05:26 เยอะมากเพราะเราใช้โซเชียลเป็นปัจจัยที่ 5
00:05:26 → 00:05:28 หมดออกจากบ้านไปเสร็จหาเพื่อนไม่เจอ
00:05:28 → 00:05:30 เพื่อนก็ไปติดโซเชียลมียอยู่ที่บ้านเขา
00:05:30 → 00:05:32 ตกลงเราก็เลยสื่อสารกันด้วยโซเชียลมีเดีย
00:05:32 → 00:05:35 สมัยหมอเด็กๆเวลาเลิกเล่นเสร็จก็นัดกัน
00:05:35 → 00:05:38 เตะฟุตบอลมันมีกิจกรรมให้เล่นในชุมชนจริง
00:05:38 → 00:05:41 ๆตอนนี้ชุมชนของเราตัวใครตัวมันประเด็น
00:05:41 → 00:05:43 ที่ 2 ครอบครัวมีลูกน้อยลงมีลูกคนเดียว
00:05:43 → 00:05:45 เดี๋ยวนี้เจอเด็กเล่นกับเด็กไม่เป็นก็มี
00:05:45 → 00:05:48 ออเด็กเล่นกับเด็กไม่เป็นเออมันมันดูแปลก
00:05:48 → 00:05:50 ดีนะใช่ค่ะแปลกคือเด็กเล่นกับเด็กไม่เป็น
00:05:50 → 00:05:53 เนี่ยนะหมอสมมุติว่าพ่อแม่มีลูก 2 คนมัน
00:05:53 → 00:05:56 ก็ต้องฟัดกันในบ้านนะหรือ 3 คนก็ได้จะมี
00:05:56 → 00:05:58 พี่น้องก็จะเล่นด้วยกันยิ่งยิ่งฟัดกัน
00:05:58 → 00:06:01 สนุกสนานเลยบางทีก็ก็ทะเลาะบางทีก็งอนบาง
00:06:01 → 00:06:04 ทีก็โกรธแล้วการเล่นกันพ่อแม่ก็จะใส่แบบ
00:06:04 → 00:06:06 ฝึกหัดชีวิตลูกๆอย่าเล่นกับน้องแรงอันนี้
00:06:07 → 00:06:09 แรงไปลูกต้องเล่นให้เบากว่านี้ไอ้เนี่ย
00:06:09 → 00:06:12 คือแบบฝึกหัดชีวิตในบ้านซึ่งในวิถีชีวิต
00:06:12 → 00:06:15 สมัยก่อนน่ะมันมีแต่เดี๋ยวนี้เด็กทุกคนเ
00:06:15 → 00:06:17 มันกลายเป็นคนเดียวจะให้เล่นกับพ่อแม่อ้า
00:06:17 → 00:06:19 ก็ไม่ใช่คอเดียวกันอีกก็มีวิธีเดียวก็
00:06:19 → 00:06:22 ผ่านในโซเชียลมีเดียพ่อแม่ก็ไปทำมาหากิน
00:06:22 → 00:06:24 กลับมาบ้านเสร็จพ่อแม่คิดได้อย่างเดียวแก
00:06:24 → 00:06:26 อ่านหนังสือยังคือไม่อ่านหนังสือก็เล่น
00:06:27 → 00:06:29 เกมมันก็เหลืออยู่แค่วงจรพวกเนี้ยเพราะ
00:06:29 → 00:06:32 ฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นเรื่องของมีโอกาส
00:06:32 → 00:06:35 ติดโซเชียลมีเดียสูงมากทีนี้ถ้าพฤติกรรม
00:06:35 → 00:06:38 ติดที่มากขึ้นแล้วไม่มีจุดยั้งอือไม่มี
00:06:39 → 00:06:42 จุดหยุดคือวินัยในตัวเสียมันจะกลายไปเป็น
00:06:42 → 00:06:45 พฤติกรรมเสพติดได้เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็น
00:06:45 → 00:06:49 พฤติกรรมเสพติดถ้าเข้าข่ายพฤติกรรมเสพติด
00:06:49 → 00:06:52 เมื่อไหร่สารเคมีในสมองจะต่างกันทันที
00:06:52 → 00:06:54 ครับงั้นการรักษาก็ต้องต่างกันถูกมั้ยคะ
00:06:54 → 00:06:56 แน่นอนพฤติกรรมติดกับพฤติกรรมเสพติดรักษา
00:06:56 → 00:07:00 ยากต่างกันยกตัวอย่างง่ายๆเวลาที่เราเล่น
00:07:00 → 00:07:02 เกมโดยส่วนใหญ่่ก็เด็กที่เป็นโรคเสพติด
00:07:02 → 00:07:05 เกมเป็น rov Mob ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นเกม
00:07:05 → 00:07:09 ฆ่าล้างอืความรุนแรงขณะที่กำลังเล่นเนี่ย
00:07:09 → 00:07:12 น้องคิดว่าหัวใจมันเต้นเร็วมั้ยจึ๊กๆๆๆๆ
00:07:12 → 00:07:15 น่าจะเร็วมากแล้วกำลังดุเดือดกับรายการ
00:07:15 → 00:07:18 อยู่มั้ยสารเคมีที่หลังจึงไม่ใช่
00:07:18 → 00:07:20 เอนดอร์ฟินครับแล้วมันคืออะไรคะมันตรงกัน
00:07:20 → 00:07:22 ข้ามกับเอนดอร์ฟินมันจะกลายเป็นคอร์ติซอล
00:07:23 → 00:07:27 หรือดนินเล่นวันนึงไม่ติดหรอกเล่น 2 วัน
00:07:27 → 00:07:31 เล่นทุกวันเล่นทุกเดือนเล่นทั้งปีมันจะ
00:07:31 → 00:07:34 เปลี่ยนจากติดกลายเป็นเสพติดสารเคมีจะ
00:07:34 → 00:07:37 เพิ่มขึ้นกลายเป็นคอร์ติซอลสูงรักษาระดับ
00:07:37 → 00:07:39 เปรียบเทียบอีกพฤติกรรมหนึ่งพฤติกรรมเสพ
00:07:39 → 00:07:42 ติดหวานกินหวานวันนึงกินหวานมื้อ 2 มื้อ 3
00:07:42 → 00:07:46 มื้อไม่เป็นไรเวลาที่เรากินหวานระดับสูง
00:07:46 → 00:07:49 อยู่ทุกวันเวลาร่างกายเรากินหวานเข้าไป
00:07:49 → 00:07:51 น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมั้ยออแน่นอนค่ะอ่า
00:07:51 → 00:07:54 มันสูงขึ้นแต่ร่างกายเราต้องรักษาสมดุล
00:07:54 → 00:07:57 มันต้องมีอะไรหลังเข้ามาเพื่อให้น้ำตาล
00:07:57 → 00:08:00 แทนที่พอกินเข้าไปปุ๊บมันสูงเนี่ยมันต้อง
00:08:00 → 00:08:02 รักษาระดับแสดงว่ามันต้องมีสารเคมีหลั่ง
00:08:02 → 00:08:05 ออกมาเพื่อกดระดับมันลงมามันเรียกว่า
00:08:05 → 00:08:08 อินซูลินอินซูลินหลั่งมาจากอไวว่าอะไรฮะ
00:08:08 → 00:08:10 ตับอ่อนป้าหนุจำไม่ได้แล้วอ่ะโเก่งนะ
00:08:10 → 00:08:14 เยี่ยมมากเลยฮะตับอ่อนทีนี้ลองนึกสภาพดู
00:08:14 → 00:08:17 ตับอ่อนทำงานหนักทุกวันไม่ใช่ทำงานหนัก
00:08:17 → 00:08:20 ครั้งเดียววันเดียว 2 วันเดือนละครั้ง 2
00:08:20 → 00:08:23 ครั้งไม่ใช่นี่ทำงานหนักทุกวันเช้าสาย
00:08:23 → 00:08:26 บ่ายเย็นกลางดึกเอาว่ากินหวานได้ตลอดเวลา
00:08:26 → 00:08:30 บังเอิญบางมื้อไม่ได้กินระดับตับอ่อนมัน
00:08:30 → 00:08:32 ยังหลั่งอินซูลินมั้ยมันก็น่าจะยังหลั่ง
00:08:32 → 00:08:34 อยู่นะคะมันก็หลั่งใช่ทีนี้พอมันหลั่ง
00:08:34 → 00:08:37 เข้ามาปุ๊บไอ้น้ำตาลในเลือดที่รอบนี้ไม่
00:08:37 → 00:08:40 ได้มีน้ำตาลเข้ามาเติมเพิ่มมันก็ฮวบลง
00:08:40 → 00:08:44 อย่างรวดเร็วพอมันฮวบลงกลายเป็นน้ำตาลใน
00:08:44 → 00:08:47 เลือดต่ำปุ๊บเกิดอาการอะไรฮะพฤติกรรมอะไร
00:08:47 → 00:08:52 กระสับกระส่ายเหงื่อแตกใจสั่นเป็นลมต้อง
00:08:52 → 00:08:56 ฉีดกลูโคสเข้าร่างกายเพื่อเอาน้ำตาลระดับ
00:08:56 → 00:08:59 ขึ้นหรือไม่คนๆนั้นถ้ายังสติดีอยู่ก็ต้อง
00:08:59 → 00:09:03 รีบไปหาความหวานเติมเข้าไปเพื่อรักษา
00:09:03 → 00:09:05 ระดับเพราะอินซูลินมันหลังมากขึ้นเรา
00:09:05 → 00:09:08 เริ่มเข้าใจหยังว่าถ้าเรารังแกร่างกายของ
00:09:08 → 00:09:11 เราไอ้วัน 2 วันมันไม่เป็นปัญหาหรอกแต่
00:09:11 → 00:09:15 ถ้าเล่นจนเป็นนิสัยสารเคมีที่หลั่งออกมา
00:09:15 → 00:09:19 มันจะไปรังแกร่างกายเราทันทีครับแล้ว
00:09:19 → 00:09:21 อย่างเงี้ยคนที่เขาเป็นนักเล่นเกมมือ
00:09:21 → 00:09:22 อาชีพอ่ะค่ะมันไม่ได้เรียกว่าพฤติกรรมการ
00:09:22 → 00:09:25 เสพติดถูกมั้ยคะการที่เขาเล่นเเวลาเราใช้
00:09:25 → 00:09:28 คำว่ามืออาชีพหรือเราใช้คำว่าส Player
00:09:28 → 00:09:31 แสดงว่าถ้าคุณจะคิดว่าเป็นนักเล่นเกมมือ
00:09:31 → 00:09:34 อาชีพเราเป็นนักกีฬาเราเก่งในด้านนั้น
00:09:34 → 00:09:38 อาชีพนั้นๆเก่งวิ่งเก่งบาสเก็ตบอลว่าไป
00:09:38 → 00:09:41 แต่เราต้องรู้แพ้รู้ชนะแดว่าเราต้องมีการ
00:09:41 → 00:09:43 ฝึกพฤติกรรมนั้นไปด้วยเราต้องเรียนรู้ใน
00:09:43 → 00:09:47 การมีโภชนาการมีสมาธิมีเรื่องของการออก
00:09:47 → 00:09:50 warm up ร่างกายเพราะร่างกายเราจะทรุด
00:09:50 → 00:09:54 ไม่ได้ 2-3 สิ่งนี้ต้องมาพร้อมเกม Player
00:09:54 → 00:09:57 ถ้าคุณไม่ทำอันนี้หมอไม่เรียกว่านักเกม
00:09:57 → 00:09:59 มืออาชีพครับแล้วอย่างเงี้ยค่ะสมมุติว่า
00:09:59 → 00:10:01 ลูกเริ่มมีพฤติกรรมการติดเกมละหรือบางที
00:10:01 → 00:10:03 อาจจะไม่ถึงขั้นเสพติดแต่เริ่มติดละคน
00:10:03 → 00:10:05 เป็นพ่อเป็นแม่อย่าเงี้ยเาเห็นเจะมีวิธี
00:10:05 → 00:10:08 การช่วยเอ่อแนะนำหรือว่าแก้ไขเรื่องนี้
00:10:08 → 00:10:11 ได้ยังไงบ้างคะโจทย์แรกเลยฮะไม่ให้เล่น
00:10:11 → 00:10:14 เกมแลให้ทำอะไรต้องหากิจกรรมอื่นให้เา้า
00:10:14 → 00:10:17 ถูกต้องเวลาหากิจกรรมให้เค้าเนี่ยอย่า
00:10:17 → 00:10:20 รังสรรเองคุณพ่อคุณแม่โดยส่วนใหญ่นะเช่น
00:10:20 → 00:10:23 ลูกเลิกเล่นเกมได้แล้วเนี่ยหนังสือนังหา
00:10:23 → 00:10:27 ก็ไม่อโหอะไรวะเนี่ยอ่านหนังสือมาก็ 7-8
00:10:27 → 00:10:29 ช่วโมงเรียนมาก็เบื่อแล้วแล้วก็เซ็งเต็ม
00:10:30 → 00:10:32 ที่อันนี้อุสาจะมีเวลาพักจะได้ปลดปล่อย
00:10:32 → 00:10:34 อะไรบ้างสักหน่อยก็กลายเป็นไม่ต้องปลด
00:10:34 → 00:10:36 ปล่อยกันแล้วกิจกรรมที่มาชดเชยควรจะ
00:10:36 → 00:10:39 ปรึกษาลูกด้วยอืถามความชอบว่าเขาชอบอะไร
00:10:40 → 00:10:42 เขาอยากลองทำอะไรแต่ก็ที่สำคัญอย่างยิ่ง
00:10:42 → 00:10:45 ก็บางคนมันก็โจทย์ยากนิดนึงนะเอาเอาง่ายๆ
00:10:45 → 00:10:48 แล้วกันสมมุติว่าอยากเล่นฟุตบอลฟุตบอลนี่
00:10:48 → 00:10:50 เล่นคนเดียวได้มั้ยฮะก็น่าจะน่าเบื่อ
00:10:50 → 00:10:52 เหมือนกันนะเล่นเตะชิ่งอยู่กับไอ้ผนัง
00:10:52 → 00:10:54 อยู่อย่างเดียวก็สดงว่ามันก็คงต้องมี
00:10:54 → 00:10:57 เพื่อนใช่มั้ยเวลาเกมเนี่ยพ่อแม่ทั้งหลาย
00:10:57 → 00:11:00 เนี่ยกลับไปดูเสน่ห์ของเกมมีจุดเด่นของ
00:11:00 → 00:11:03 มันคือพ่อแม่ไม่เคยให้คำชื่นชมแต่เกมมันเ
00:11:03 → 00:11:06 ให้คำชื่นชมเป็นฮีโร่ในเกมได้ด้วยมีเลวิ
00:11:06 → 00:11:09 ของคำชื่นชมด้วยนะหมายถึงว่าถ้าทำแต้ม
00:11:09 → 00:11:12 เนี้ยมีเลเวลของคำชื่นชมประมาณนี้ถ้าทำ
00:11:12 → 00:11:15 ขึ้นมาดับนี้มีคำชื่นชมเพิ่มขึ้นไปอีกมี
00:11:15 → 00:11:19 ดาวมีโอ้โหมาเป็นคอยมีอะไรเต็มเลยแล้ว
00:11:19 → 00:11:22 ทำไมทีของพ่อแม่ทำดีแทบตายสมมติว่าเอาไป
00:11:22 → 00:11:25 เช็ดปัดกวาดถูกบ้านซักผ้าล้างจานแล้วทำไม
00:11:25 → 00:11:28 ไม่ทำเนี่ยบอกแล้วเนี่ยเ้าแทนที่จะชื่นชม
00:11:28 → 00:11:30 ก็กลับกลายเป็นตำหนิเน็บประชดเปรียบเทียบ
00:11:30 → 00:11:34 กันนิดนึงถ้าให้เขาถอยออกจากเกมต้องตีบท
00:11:34 → 00:11:38 แตกนี้ด้วยนะว่าคำชื่นชมต้องมีไม่มาเหน็บ
00:11:38 → 00:11:41 ไม่มาประชดประชันอย่าให้กลายเป็นว่าคำ
00:11:41 → 00:11:45 ชื่นชมหายากแต่หาในเกมง่าย 2 เกมเดี๋ยว
00:11:45 → 00:11:48 นี้วิวัฒนาการมากเลยนะมันสร้างความยั่ว
00:11:48 → 00:11:51 ยวนฮะเกมมันน่าเล่นไงอ่าเล่นแล้วอยากเล่น
00:11:51 → 00:11:53 อีกอยากเล่นต่อมันไม่ได้นั่งอ่านหนังสือแ
00:11:53 → 00:11:55 น่าเบื่อไงเกมมันน่าเล่นแสดงว่ากิจกรรม
00:11:55 → 00:11:58 นั้นก็ต้องน่าเล่นเกมเดี๋ยวนี้สร้างโมบ้า
00:11:58 → 00:12:01 อีก multiple Player เลยคือกลายเป็นคน
00:12:01 → 00:12:04 ที่มีหาเพื่อนกันข้ามแดนด้วยนะออใช่คือ
00:12:04 → 00:12:07 ไม่ใช่แค่เพื่อนแค่ในโรงเรียนนะหาได้ข้าม
00:12:07 → 00:12:10 แดนเลยดีไม่ดีฝึกภาษาไปได้ด้วยอีกต่างหาก
00:12:10 → 00:12:12 มันกลายเป็นจุดแข็งและกิจกรรมที่กำลังทำ
00:12:12 → 00:12:14 ไม่ต้องข้ามแดนไม่ต้องข้ามต่างประเทศเลย
00:12:14 → 00:12:17 แต่ข้ามโรงเรียนกันบ้างอาจจะเป็นพี่น้อง
00:12:17 → 00:12:20 กันอยู่ในชุมชนเดียวกันสมัยก่อนชุมชนมัน
00:12:20 → 00:12:23 เป็นชุมชนก็คือมันมีกิจกรรมเล่นได้และอาจ
00:12:23 → 00:12:26 จะเป็นลูกบ้านนู้นลูกบ้านนี้ต่างไวยกัน
00:12:26 → 00:12:28 ด้วยนะบางทีมีพี่มีน้องอะไรทั้งหลายเนี่ย
00:12:28 → 00:12:31 ก็สนุกก็เกิดการเรียนรู้และเด็กๆก็ไป
00:12:31 → 00:12:34 รังสรรกิจกรรมกันเอาเองแล้วแต่บทบาทหรือ
00:12:34 → 00:12:37 บริบทในชุมชนนั้นเพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่
00:12:37 → 00:12:40 เวลาที่จะคิดกิจกรรมให้กับลูกเนี่ย 1 คำ
00:12:40 → 00:12:43 ชื่นชมต้องมีกำลังใจต้องมาโอกาสต้องเกิด
00:12:43 → 00:12:46 แล้วถ้าบ้านเดียวไม่พอท่านทำเป็นสหกรณ์
00:12:46 → 00:12:49 พ่อแม่เลยไม่ใช่เอาเงินทองมารวมกันนะแต่
00:12:49 → 00:12:51 เป็นการรวมกันของพ่อแม่ที่คอเดียวกัน
00:12:52 → 00:12:54 สมมุติคอเดียวกันและรวมตัวกันและถึงเวลา
00:12:54 → 00:12:57 ลูกของบ้านนู้นบ้านนี้มารวมตัวกันและทำ
00:12:57 → 00:12:59 กิจกรรมร่วมกันเนี่ยอันนี้มีโอกาสที่จะ
00:12:59 → 00:13:02 เกิดขึ้นแล้วสำเร็จแล้วมันตีบดแตกกับไอ้
00:13:02 → 00:13:05 ตัวเกมได้วินาทีที่แม่สามารถจัดการ
00:13:05 → 00:13:09 พฤติกรรมตนเองไม่ใช่พฤติกรรมลูกนะจัดการ
00:13:09 → 00:13:12 พฤติกรรมตัวเองได้ลูกเปลี่ยนแม่เปลี่ยน
00:13:12 → 00:13:14 ลูกจะเปลี่ยนพ่อเปลี่ยนลูกจะเปลี่ยนเพราะ
00:13:14 → 00:13:17 ฉะนั้นไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยากผิดอ้า
00:13:17 → 00:13:22 ดัดได้เหมือนกันเออเปลี่ยนไมไม้อ่อนดัด
00:13:22 → 00:13:25 ง่ายไม้แก่ต้องดัดได้อื้าไม้แก่ดัดไม่ได้
00:13:25 → 00:13:28 ก็เลิกคิดแล้วถ้าอย่างงั้นน่ะเพราะงั้น
00:13:28 → 00:13:30 เปลี่ยนพฤติกรรมต้องต้องใช้กระบวนการคิด
00:13:30 → 00:13:31 พวกนี้ล่ะครับเหมือนหนูเคยได้ยินคำพูดเขา
00:13:32 → 00:13:34 บอกมาว่าเอ่อถ้าลูกไม่ดีต้องเปลี่ยนที่
00:13:34 → 00:13:36 พ่อแม่พ่อแม่ไม่ดีต้องเปลี่ยนที่ลูกมัน
00:13:36 → 00:13:38 หมายความว่าการให้เราอ่ะเป็นตัวอย่างให้
00:13:39 → 00:13:41 คนที่อยู่กับเราอ่ะเห็นถ้าเราอยากให้เขา
00:13:41 → 00:13:42 ดีเราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็น
00:13:42 → 00:13:45 ถูกมมคะถ้าน้องๆวัยรุ่นเขาฟังอยู่มัน
00:13:45 → 00:13:47 เหมือนไปเปลี่ยนอะไรมันดูฟังดูง่ายนะแต่
00:13:47 → 00:13:50 มันทำยากมากเลยสมมุติว่าหมอน็อตหลุด
00:13:50 → 00:13:52 อารมณ์ระเบิดถ้าเราคิดว่าเราไม่พร้อมจริง
00:13:52 → 00:13:55 ๆเนี่ยเราหยุดการปะทะแล้วใช้เหมือนจะเออ๋
00:13:55 → 00:13:58 กับบ๊ายบายอารมณ์ตัวเองความหมายง่ายๆของ
00:13:58 → 00:14:01 หมอก็คือคือสะท้อนความรู้สึกของเราไปเลย
00:14:01 → 00:14:04 แม่ตอนเกำลังโกรธโกรธพฤติกรรมจุดๆๆอะไร
00:14:04 → 00:14:07 ของเขาอ่ะตอนนี้แม่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
00:14:07 → 00:14:10 แล้วเดินออกเลยครับลูกจะได้เกิดการเรียน
00:14:10 → 00:14:14 รู้ 5 อย่าง 1 แม่ฉันโกรธเป็น 2 แม่ฉัน
00:14:14 → 00:14:17 โกรธเรื่องอะไร 3 ระดับความรุนแรงความ
00:14:17 → 00:14:20 โกรธของแม่แสดงออกพฤติกรรมแสดงออกมา
00:14:20 → 00:14:23 ประมาณนี้ 4 แล้วแม่จัดการพฤติกรรมตัวเอง
00:14:23 → 00:14:27 อย่างไร 5 แม่จะกลับมาคุยกับเราเมื่อสติ
00:14:27 → 00:14:31 แกดีลูกเห็นครั้งนึงยังไม่เปลี่ยนนิสัย
00:14:31 → 00:14:35 เห็น 2 ครั้งเห็นทุกวันเห็นทั้งเดือนใน
00:14:35 → 00:14:38 ที่สุดลูกจะลอกพฤติกรรมนั้นน่ะไปใช้ที่
00:14:39 → 00:14:41 เพื่อนครับเช่นเพื่อนเหวี่ยงมาแล้วเขา
00:14:41 → 00:14:44 โกรธูอารมณ์ไม่ดีไม่คุยด้วยเดินออกซึ่ง
00:14:44 → 00:14:47 พ่อแม่หลายคนก็งงเอ๊ะเราไม่ได้สอนเานะแต่
00:14:47 → 00:14:49 หมอใช้คำว่าอะไรรู้มั้ย Learning by
00:14:49 → 00:14:53 Feeling เรียนรู้จนซึมซาบโดยไม่ต้องพูด
00:14:53 → 00:14:57 แม่ไม่ต้องพูดอะไรเลยแต่ทำให้ดูทำทำทำทำ
00:14:57 → 00:14:59 ครั้งเดียวไม่เปลี่ยนนิสัยหลอกคนเราเวลา
00:14:59 → 00:15:01 มันเปลี่ยนมันต้องใช้เวลาฮะแล้วบางที
00:15:01 → 00:15:04 ต้องการกำลังใจด้วยเช่นสมมติว่าเขาตั้ง
00:15:04 → 00:15:06 ท่าจะเปลี่ยนนิสัยแล้วอย่าเพิ่งเหนบอย่า
00:15:06 → 00:15:09 เพิ่งประชดชื่นชมสมมุติว่าไม่กินผักแค่
00:15:09 → 00:15:12 เหล่ตามองผักเนี่ยน้องว่าต้องชื่นชมมชื่น
00:15:12 → 00:15:15 ชมค่ะเพื่อให้กำลังใจเขาใช่โอ้โหลูกแม่
00:15:15 → 00:15:18 เก่งมากเลยนี่ชื่นชื่นชมเลยนะตอนนี้เริ่ม
00:15:18 → 00:15:21 สนใจผักแล้วใช่มนี่ถ้าจะเก่งกว่านี้อีก
00:15:21 → 00:15:24 ถ้ากินถูกป่ะอันนี้กำลังใจก็ดีแต่เหล่นี่
00:15:24 → 00:15:28 แหละมองๆอยู่นั่นแหละไม่รู้จักในการโอ้โห
00:15:28 → 00:15:31 ถ้าถามจริงๆไ 2 วิธีสื่อสารแบบนี้อันนึง
00:15:32 → 00:15:34 พลังบวกอันนึงพร้อมบวกฮะเพราะฉะนั้นวิธี
00:15:34 → 00:15:37 การสื่อสารพวกนี้มันมีความหมายค่ะอันนี้
00:15:37 → 00:15:39 เราลองกลับมาที่เรื่องโซเชียลที่เราได้
00:15:39 → 00:15:41 พูดกันไปเมื่อตอนต้นแล้วอ่ะพฤติกรรมการ
00:15:41 → 00:15:43 เสพติดอะไรเงี้ยนะคะทีนี้อยากรู้ว่า
00:15:43 → 00:15:44 โซเชียลอ่ะถ้าเราใช้เป็นมันจะเกิด
00:15:44 → 00:15:46 ประโยชน์ถูกมยคะถ้าใช้ไม่เป็นเมันจะเกิด
00:15:46 → 00:15:49 โทษแน่นอนแล้วทีเนี้ยในนิยามคำว่าใช้เป็น
00:15:49 → 00:15:51 ของคุณหมออ่ะค่ะคือมันใช้ยังไงถึงเรียก
00:15:51 → 00:15:53 ว่าใช้เป็นคะที่แน่ๆก็คือใช้
00:15:53 → 00:15:57 โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาดถ้ามีเวลาถกกัน
00:15:57 → 00:16:00 บ้างก็ดีนะถึงแม้ว่าโซเชียลมีเดียอันนั้น
00:16:00 → 00:16:02 มันอาจจะเป็นเรื่องราวที่ไม่ดียกตัวอย่าง
00:16:02 → 00:16:05 เช่นว่าไปตามวัยอย่างสมมุติว่าถ้าเกิด
00:16:05 → 00:16:08 เป็นเรื่องอะไรที่เป็นน 18 ก็หน 18 มาเวบ
00:16:08 → 00:16:10 โป๊งเวบโปมาอะไรทั้งหลายนี่มันไม่เหมาะใน
00:16:10 → 00:16:13 วัยนึงแน่นอนเพราะมันอธิบายไม่ได้สมมุติ
00:16:13 → 00:16:15 ว่าเด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบความเป็นเข้า
00:16:15 → 00:16:18 ใจนามธรรมไม่เข้าใจเลยหรือบางเรื่องที่
00:16:18 → 00:16:21 เราจะพยายามอธิบายเขาเขาไม่เข้าใจจะเห็น
00:16:21 → 00:16:24 เลยว่าที่เขาจัดเรตติ้งไว้เนี่ยเขาจัด
00:16:24 → 00:16:27 เรตติ้งเพื่อให้พ่อแม่จะใช้เรี่ยวแรงใน
00:16:27 → 00:16:30 การอธิบายมันอธิายเข้าใจยากหรือเข้าใจ
00:16:30 → 00:16:32 ง่ายสมมุติว่ามันเป็นน 18 ดันมาให้เด็ก
00:16:32 → 00:16:35 อายุน้อยกว่า 18 ปีดูถึงขึ้นกิมมิกมาเลย
00:16:35 → 00:16:38 ว่าน 18 อันนี้เป็นอันที่ถ้าเด็กอายุต่ำ
00:16:38 → 00:16:41 กว่า 18 ปีพ่อแม่แนะนำหมอต้องถามกสทชนะจะ
00:16:41 → 00:16:44 ให้แนะว่าไงบอกก่อนอย่างเช่นอยู่ดีๆเห็น
00:16:44 → 00:16:48 ฉากฆ่าฆ่ากันตายซึ่งทุกวันนี้ในข่าวมี
00:16:48 → 00:16:52 เพียบเลยนะเด็ก 10 ขวบกำลังดูฉากเห็นข่าว
00:16:52 → 00:16:55 ซึ่งบางทีไม่ขึ้นนอด้วยนะข่าวนี่ไม่มีนะ
00:16:55 → 00:16:59 แต่มาจัดเต็มแล้วพ่อแม่แนะนำน้องเรแนะนำ
00:16:59 → 00:17:01 หน่อยซิว่าจะแนะยังไงโหก็คงยากเพราะพ่อ
00:17:01 → 00:17:03 แม่ก็ไม่เคยถูกสอนมาเหมือนกันว่าจะต้อง
00:17:03 → 00:17:06 แนะนำยังไงจะเห็นว่าเรื่องพวกนี้เราไม่
00:17:06 → 00:17:09 ได้เตรียมความพร้อมผู้ชมเลยพ่อแม่หลายคน
00:17:09 → 00:17:12 แนะนำไม่ถูกหมอให้คาถาวิเศษครับ 3 ข้อนี้
00:17:12 → 00:17:14 ง่ายๆเลยฮะลูกเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร
00:17:14 → 00:17:18 สมมุติว่าอาชีวตรีกันเกิดเสียชีวิตอะไรใน
00:17:18 → 00:17:20 ที่เกิดเหตุอะไรทั้งหลายข่าวออกแล้วแม่
00:17:20 → 00:17:23 กำลังดูลูกเห็นพอดีถามว่าเราจะคุยกับลูก
00:17:23 → 00:17:26 อะไรถามเลยลูกเห็นแล้วรู้สึกยังไงบ้าง
00:17:26 → 00:17:31 สะใจแม่โหงานงอกแน่นอนเฮ้ยใจเย็นๆนะแม่
00:17:31 → 00:17:33 ตั้งหลักกันก่อนนะพ่อกับแม่นี่คืออย่า
00:17:33 → 00:17:36 เพิ่งไฝ้กับเขาไปด้วยนะคือฟังเก่อนว่าลูก
00:17:36 → 00:17:39 เห็นแล้วรู้สึกยังไงโอ้สงสารแม่แล้วลูก
00:17:39 → 00:17:42 คิดเห็นยังไงถ้าเกิดสมมุติเหตุการณ์เนี้ย
00:17:42 → 00:17:45 เกิดขึ้นแล้วมันมีคนที่เราสนิทด้วยลูกของ
00:17:45 → 00:17:48 แม่จะแก้ปัญหายังไงเพราะั้นมัน 3 คำถาม 1
00:17:48 → 00:17:53 รู้สึกยังไงคิดเห็นยังไงแล้วถ้าเราเจอแก้
00:17:53 → 00:17:55 ยังไงจะสังเกตว่าหมอใช้คำว่าเหลาความคิด
00:17:55 → 00:17:58 หมอไม่ได้ใช้คำว่าครอบงำความคิดละเรื่อง
00:17:58 → 00:18:01 กันนะเช่นพยายามให้เขาคิดเหมือนกับเราไม่
00:18:01 → 00:18:04 ใช่สมมุติว่าแม่ฟังความคิดมีความรู้สึก
00:18:04 → 00:18:06 คิดอย่างนี้ได้ไงวะเรามีสิทธิ์ที่จะบอก
00:18:06 → 00:18:09 เลยว่าเออลูกสมัยแม่เป็นวัยรุ่นน่ะคิด
00:18:09 → 00:18:12 เหมือนลูกเลยเออลูกฟังก็คงดูดีนะเออความ
00:18:12 → 00:18:15 คิดเราใกล้เคียงเว้ยแต่แม่น่ะเคยเจอปัญหา
00:18:15 → 00:18:17 1 2 3 ตอนนั้นแม่เคยลองทำแบบที่ลูก
00:18:17 → 00:18:20 กำลังเสนออยู่นี่แหละลูกคิดว่ามันจะมี
00:18:20 → 00:18:23 โอกาสเกิดปัญหาเหมือนคล้ายๆที่แม่เจอได้ม
00:18:23 → 00:18:26 พฤติกรรมใดก็ตามมันสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของ
00:18:26 → 00:18:30 เขาพฤติกรรมใดก็ตามที่สต่อชีวิตคนอื่น
00:18:30 → 00:18:33 พฤติกรรมใดก็ตามที่มันผิดกฎหมายหรือมัน
00:18:33 → 00:18:36 กำลังกายเป็นการใช้ความรุนแรงพฤติกรรม
00:18:36 → 00:18:38 เช่นนั้นท่านต้องหยุดครับจะปล่อยให้มัน
00:18:38 → 00:18:41 ดำเนินไม่ได้ครับทดลองดูเลยลูกกำลังจะไป
00:18:41 → 00:18:45 ฆ่าเ้าเนี่ยนะทดลองดูตายสิครับกราดยิง
00:18:45 → 00:18:48 เนี่ยเพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจสิทธิเสรีภาพ
00:18:48 → 00:18:51 และที่ส่วนตัวลูกมีห้องส่วนตัวที่คอนโด
00:18:51 → 00:18:55 ลูกกำลังซ่องมอาวุธสามารถหาปืนมาได้มัว
00:18:55 → 00:18:58 แต่กังวลกับพื้นที่ส่วนตัวเลยไม่ได้เข้า
00:18:58 → 00:19:01 ไปดูพอไม่ได้เข้าไปดูลูกก็เลยก่อการเรียบ
00:19:01 → 00:19:04 ร้อยเลยฮะไม่ได้ครับทีนี้คำว่าถามว่าต้อง
00:19:04 → 00:19:07 หยุดยังไงกรณีเสพติดถ้าพ่อแม่เจอต่างกัน
00:19:07 → 00:19:10 ติดเกมนะต่างกันติดโซเชียลมีเดียถ้าติด
00:19:10 → 00:19:12 เนี่ยท่านใช้กระบวนการเมื่อตะกี้ท่านใช้
00:19:12 → 00:19:15 ได้แต่ถ้าโรคเสพติดเกมนะท่านต้องขอตัว
00:19:15 → 00:19:18 ช่วยครับต้องไปหาหมอมีทั้งการพบจิตแพทย์
00:19:18 → 00:19:21 หรือว่านักจิตวิทยาหรือว่าจำเป็นต้องมี
00:19:21 → 00:19:24 สหวิชาชีพก็ต้องขอทีนี้มันมีประเด็นบาง
00:19:24 → 00:19:28 ประเด็นก็คือคนที่เล่นน่ะแล้วติดหนักเข้า
00:19:28 → 00:19:31 ไปแล้วเนี่ยบางทีเาไม่เข้าใจว่าตัวเอง
00:19:31 → 00:19:34 ป่วยอืมเไม่รู้ตัวว่าเาป่วยไม่รู้ตัวถ้า
00:19:34 → 00:19:37 พูดคุยกันรู้เรื่องแยกออกสัมพันธภาพใน
00:19:37 → 00:19:39 บ้านดีกับสัมพันธภาพบ้านแตกถ้าสัมพันธภาพ
00:19:39 → 00:19:43 ในบ้านดีท่านก็ต้องใช้วาจาเขาเรียกสื่อ
00:19:43 → 00:19:45 สารไม่ใช่พร้อมบวกแต่สื่อสารพลังบวกยกตัว
00:19:45 → 00:19:48 อย่างนะแม่เคยพาลูกมาพบหมอแล้วแม่ก็บอก
00:19:48 → 00:19:50 ว่าลูกเนี่ยเดี๋ยวเนี้ยพูดไม่เชื่อฟัง
00:19:50 → 00:19:53 ดื้อดึงแล้วก็กลายเป็นคนที่อะไรคือเท
00:19:53 → 00:19:56 ปัญหาไปให้ลูกหมดเลยวิธีการอันหนึ่งที่
00:19:56 → 00:19:59 หมอจะบอกเลยก็คือความเป็นพ่อแม่แม่ลูก
00:19:59 → 00:20:01 เนี่ยเอาปัญหาวางไว้ว่าครอบครัวเราตอนนี้
00:20:01 → 00:20:05 มีปัญหาเห็นมยไม่ได้โทษใครเลยนะแต่เรา
00:20:05 → 00:20:07 กำลังอยู่ว่าเรามีปัญหาครอบครัวเกิดขึ้น
00:20:07 → 00:20:10 ลูกแม่ก็ไม่สามารถสื่อสารกับลูกได้เลยและ
00:20:10 → 00:20:13 แม่อยากมีสัมธภาพที่ดีแม่จำเป็นจะต้องไป
00:20:13 → 00:20:16 ปรึกษาหมอแต่คุณหมอจะเอาข้อมูลจากแม่ฝ่าย
00:20:16 → 00:20:18 เดียวไม่ได้มันมีความจำเป็นจะต้องเอาข้อ
00:20:18 → 00:20:22 มูลจากลูกด้วยแม่จึงขอพาลูกไปด้วยได้ไหม
00:20:22 → 00:20:25 ถ้าท่านใช้วิธีการสื่อสารแบบเจะได้รับ
00:20:25 → 00:20:27 ความร่วมมือเราก็มีนะเด็กผีเข้าผีออกนะ
00:20:27 → 00:20:30 คือบางอารม์ผมก็ดี๊ๆแบบคุยกันรู้เรื่อง
00:20:30 → 00:20:33 มากเลยสัปดาห์บางสัปดาห์นี่เหวี่ยงแบบ
00:20:33 → 00:20:37 ฮอร์โมนมาแบบสมมติเมนมาเงี้ยอใช่ค่ะโอโห
00:20:37 → 00:20:39 อารมณ์อ่อนไหวระเบิดเถิดเทิงแต่หมอก็
00:20:39 → 00:20:42 เชื่อนะว่าลูกในลักษณะนั้นเขาก็มีตัวช่วย
00:20:42 → 00:20:46 ที่เขาอบอุ่นถ้าในจังหวะที่เขอารมณ์ดีๆ
00:20:46 → 00:20:48 เราลองปรึกษาก็ได้เราลองคุยดีๆกับเขาก็
00:20:48 → 00:20:51 ได้ก็ลูกรู้สึกยังไงบ้างเอประเภทบ้านแตก
00:20:51 → 00:20:55 คือคุยกันไม่รู้เรื่องท่านก็ต้องแยกมี 1.1
00:20:55 → 00:20:58 1.2 อีกเช่นท่านมีใครที่ท่านต้องประเมิน
00:20:58 → 00:21:02 แล้วแหละว่าลูกคนเนี้ยเกรงใจจะเป็นครูจะ
00:21:02 → 00:21:04 เป็นใครบางบ้านเนี่ยนะสัมธภาพภายในบ้าน
00:21:04 → 00:21:07 พ่อแม่นี่คุยกับลูกไม่ได้เลยนะแต่อาจจะมี
00:21:07 → 00:21:10 พี่ป้าน้าอาย่ายายหรือลุงหรือใครก็ตามที่
00:21:10 → 00:21:12 เขาสนิททุกครั้งเขามีความทุกข์เขาจะไป
00:21:12 → 00:21:15 เปลยกับคนเนี้ยเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้
00:21:15 → 00:21:18 ปกครองที่เขารักอบอุ่นและไว้วางใจเขาเป็น
00:21:18 → 00:21:21 ตัวช่วยและใส่เทคนิคแบบเนี้ยเข้าไปก็จะ
00:21:21 → 00:21:23 สามารถได้รับความร่วมมือกรณีบ้านแตกแต่
00:21:23 → 00:21:27 ถ้าบ้านแตกถึงขนาดที่มันไม่มีใครเลยแล้ว
00:21:27 → 00:21:29 มันเหลือแค่นี้อย่างเดียวคุยกันไม่ได้
00:21:29 → 00:21:32 แล้วลูกกำลังอาการหนักเราจำเป็นจะต้อง
00:21:32 → 00:21:35 หยุดพฤติกรรมนั้นพระราชบัญญัติกฎหมายบ้าน
00:21:35 → 00:21:38 เมืองเราณขณะนี้มันมีกฎหมายสุขภาพจิต
00:21:38 → 00:21:41 บังคับบำบัดจับตัวมารักษาครับก็คือจับตัว
00:21:41 → 00:21:43 แล้วไปรักษาเหมือนติดเหล้าติดอะไรอย่าง
00:21:43 → 00:21:45 งี้เลยถูกมั้ยคะครับทีนี้ถ้าพ่อแม่ทำได้
00:21:45 → 00:21:48 ด้วยตนเองก็บังคับบำบัดแต่ถ้าเกิดว่าพ่อ
00:21:48 → 00:21:50 แม่ทำเองไม่ได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจโ
00:21:50 → 00:21:53 ฟังดูค่อนข้างรุนแรงออแน่นอนก็บ้านแตกนะ
00:21:53 → 00:21:56 อืนี่เดี๋ยวก่อนนะผู้ชมผู้ฟังเนี่ยกรุณา
00:21:56 → 00:22:01 อย่าไปใช้กับปผิดปเพศนะงานงอกแน่นอนนะ
00:22:01 → 00:22:04 เช่นสัมธภาพในบ้านดีบังคับบำบัดรับรอง
00:22:04 → 00:22:08 บ้านแตกถ้าสัมธภาพดีกรุณาใช้เหมือนที่
00:22:08 → 00:22:10 เมื่อตะกี้หมอเล่าให้ฟังค่ะมันไม่ได้เป็น
00:22:10 → 00:22:15 ปัญหาของใครอย่าพยายามโยนปัญหาไปหาใครแต่
00:22:15 → 00:22:18 ถ้าสมมุติกรณีที่ต้องการตัวช่วยข้างนอก
00:22:18 → 00:22:21 แสดงว่าท่านไม่มีใคระเช่นพี่ป้าน้าอาญ่า
00:22:21 → 00:22:24 ยายครูเครออะไรไม่มีทั้งสิ้นตัวท่านคน
00:22:24 → 00:22:26 เดียวกำลังเผชิญเหตุแล้วในขณะที่ประเมิน
00:22:26 → 00:22:30 ไม่ได้ด้วยว่าสัมธภาพมันเสียโอเค 1300
00:22:31 → 00:22:33 หรือโทรศัพท์ของกรมสุขภาพจิตก็ได้กรณี
00:22:33 → 00:22:36 ปรึกษาเรื่องบางเรื่องก็สามารถทำได้อค่ะ
00:22:36 → 00:22:39 แล้วแบบเนี้ยค่ะเราควรจะให้เด็กอ่ะอายุ
00:22:39 → 00:22:41 เท่าไหร่ดีคะถึงจะเริ่มเล่นโซเชียล Media
00:22:41 → 00:22:42 ได้ถึงจะมี acc account แบบ Facebook
00:22:42 → 00:22:44 Instagram tiktok หรืออะไรเงี้ยค่ะควร
00:22:44 → 00:22:47 จะอายุเท่าไหร่ดีอายุน้อยกว่า 6 ขวบเนี่ย
00:22:47 → 00:22:50 บูรณาการประสาทสัมผัสหัดไปดูหนัง inside
00:22:50 → 00:22:52 out บ้างก็ได้ฮอันนี้ไม่ได้โฆษณาเหรอก
00:22:52 → 00:22:55 แต่เขาทำได้ดีก็จะเห็นเลยว่ามันมีรีโมท
00:22:55 → 00:22:57 Memory มันมี resent Memory เเรียก
00:22:57 → 00:23:00 หน่วยความจำระยับ working Memory ในทาง
00:23:00 → 00:23:02 การแพทย์เราใช้คำว่า Brain executive
00:23:02 → 00:23:04 function EF ทั้งหลายเนี่ยที่เราเคยได้
00:23:04 → 00:23:08 ยินมาเด็กน้อยกว่า 6 ขวบเนี่ยมันอยู่ใน
00:23:08 → 00:23:09 โลกจินตนาการ
00:23:09 → 00:23:13 ธรรมชาติทั้งโลกแล้วอันที่ 2 เนี่ยก็คือ
00:23:13 → 00:23:17 บูรณาการประสาทสัมผัสหูตาจมูกลิ้นกายใจ
00:23:17 → 00:23:20 มันผ่านการเล่นไม่ใช่เล่นโซเชียล Media
00:23:20 → 00:23:23 โซเชียล Media เนี่ยมัน one way ค่ะถึง
00:23:23 → 00:23:27 แม้ทวในเด็กเล็กที่เขาอาจจะพยายามทำแต่
00:23:27 → 00:23:30 อย่าลืมส่วนใหญ่มันเป็นววแล้วมันไม่เห็น
00:23:30 → 00:23:35 บูรณาการลึกตื้นหนาบางกลิ่นรูปกลิ่นเสียง
00:23:35 → 00:23:39 มันไม่เกิดการพัฒนาแล้วถ้าชวดโอกาสในช่วง
00:23:39 → 00:23:43 นี้ซึ่งมันเป็น Golden พดโอกาสทองในการ
00:23:43 → 00:23:46 ให้รากประสาทคือสมองเราเนี่ยมันมีราก
00:23:46 → 00:23:49 ประสาทนะโย่งใหญ่ทำไมหมอถึง Men ถึง
00:23:49 → 00:23:51 เรื่อง inside out เนี่ยเพราะในหนัง
00:23:51 → 00:23:54 inside out มันจะเห็นการทำงานของประสาท
00:23:54 → 00:23:58 สมองทั้งหมดส่วนไหนคิดดีกำลังถูกเจริญเติ
00:23:58 → 00:24:02 โตคิดเลวกำลังเจริญเติบโตตัวชสออกมาโอ้โห
00:24:02 → 00:24:05 มันวิตกกังวลตลอดมันอยู่ในบู print ช่วง
00:24:06 → 00:24:08 น้อยกว่า 6 ขวบเพราะฉะนั้นถ้าต่ำกว่า 6
00:24:08 → 00:24:09 ขวบเนี่ยถ้าเป็นไปได้ก็พยายามหลีกเลี่ยง
00:24:09 → 00:24:12 ไม่ให้เขาใช้โซเชียลจะดีที่สุดถูกมั้ยคะ
00:24:12 → 00:24:15 ถูกต้องท่านอย่าหาว่าหมอโบราณแต่หมอกำลัง
00:24:15 → 00:24:18 ตอบด้วยหลักของบูรณาการเพราะมันคือแผน
00:24:18 → 00:24:21 พิมพ์เขียวคนเรามันมีล้มแล้วลุกล้มแล้ว
00:24:21 → 00:24:25 ลุกตลอดเวลาอยู่แล้วเราฝึกตอนช่วงอนุบาล
00:24:25 → 00:24:29 ภาพจำมันเนี้ยมันจะก่อตัวขึ้นมาแล้วมัน
00:24:29 → 00:24:33 อยู่ยั้งยืนยงทั้งชีวิตยกตัวอย่างนะ
00:24:33 → 00:24:37 วินาทีที่นักกีฬากำลังท้อสุดขีดหมดพลัง
00:24:37 → 00:24:41 และไฟไม่เหลือเลยเนี่ยในวินาทีนั้นน่ะเขา
00:24:41 → 00:24:44 จะหวนกลับไประลึกถึงตอนเด็กว่าเขาเคยล้ม
00:24:44 → 00:24:49 แล้วลุกล้มแล้วลุกล้มจนร้องไห้แต่วินาที
00:24:49 → 00:24:52 ที่เขาสามารถทำสำเร็จแล้วมันกลายเป็นน้ำ
00:24:52 → 00:24:56 ตานองหน้าบนความภาคภูมิใจนั้นทำไมตอนเด็ก
00:24:56 → 00:24:59 ทำได้ะไฉนตอนนี้เราจะยอมแพแล่ะรู้มครับ
00:24:59 → 00:25:03 ว่ายูเนสโกเานิยามปฐมวัยตั้งแต่ตอนไหนรู้
00:25:03 → 00:25:06 มยแบ่งเป็น 4 ช่วง 1 คือช่วงในท้องในท้อง
00:25:06 → 00:25:09 แม่ระบบนิเวศของเด็กคือครรภมารดาช่วงที่ 2
00:25:09 → 00:25:13 ก็คือช่วงแรกเกิดจนถึง 3 ปีช่วงที่ 3 คือ
00:25:13 → 00:25:18 3-6 ปีช่วงที่ 4 คือ 6-8 ปีคือช่วง
00:25:18 → 00:25:21 เปลี่ยนผานทั้ง Early childhood คือ
00:25:21 → 00:25:25 ปฐมวัยเนี้ยเลี้ยงเหมือนกันใกล้เคียงกัน
00:25:25 → 00:25:28 ได้รับความรักความอบอุ่นหัวใจคือพ่อแม่ก็
00:25:28 → 00:25:30 เป็นข้อเตือนใจของพ่อแม่ที่ดีเหมือนกันนะ
00:25:30 → 00:25:31 คะก็ต้องกลับมาดูว่าเฮ้ยเราอ่ะมาถูกทาง
00:25:31 → 00:25:34 หรือยังอยากจะรู้ว่าอย่างเมื่อกี้เราเชั
00:25:34 → 00:25:36 ถึงเรื่องโซเชียลว่าเออเด็กอายุต่ำกว่า 6
00:25:36 → 00:25:38 ขวบก็ไม่ควรให้เล่นนะอะไรเงี้ยค่ะเพราะ
00:25:38 → 00:25:40 ว่าเท่าที่หนูสังเกตดูนะตั้งแต่โซเชียล
00:25:40 → 00:25:43 มันเริ่มบูมเข้ามาคนก็มีพฤติกรรมทุกข์
00:25:43 → 00:25:45 ง่ายสุขยากเพราะว่าเกิดการเปรียบเทียบแต่
00:25:45 → 00:25:47 ก่อนเหมือนกับว่าเราจะต้องไปโรงเรียนไป
00:25:47 → 00:25:49 เจอเพื่อนในสังคมเราถึงจะเกิดการเปรียบ
00:25:49 → 00:25:51 เทียบถูกมั้ยคะแต่ทุกวันเนี้ยแค่เราลืมตา
00:25:51 → 00:25:53 ตื่นมาเราไถโซเชียลอ่ะแล้วก็เกิดการ
00:25:53 → 00:25:56 เปรียบเทียบะรู้ได้หมดทั่วโลกเลยฮะใช่
00:25:56 → 00:25:58 แล้วก็ไหนจะเครียดจากเศรษฐกิจจากเรื่อง
00:25:58 → 00:26:00 การเงินเรื่องอะไรต่างๆในชีวิตอีกอ่ะค่ะ
00:26:00 → 00:26:03 มันก็เลยทำให้แบบคนไทยตอนเป่วยจิตเพิ่ม
00:26:03 → 00:26:05 มากขึ้นคุณหมอมีวิธีแนะนำแบบการเพิ่มพลัง
00:26:05 → 00:26:07 บวกให้ตัวเองแล้วคนรอบข้างยังไงบ้างคะคือ
00:26:07 → 00:26:10 ประเด็นแรกโซเชียล Media ไม่ใช่ว่ามันไม่
00:26:10 → 00:26:12 ดีซะหมดมันก็มีข้อดีเราเมื่อตกี้เราพูด
00:26:12 → 00:26:15 ถึงปฐมวัยแต่ถ้าเป็นเด็กโตเาก็เล่นได้แต่
00:26:15 → 00:26:18 เล่นอย่างมีวินัยก็คือมีชั่วโมงไหนที่
00:26:18 → 00:26:20 เล่นชั่วโมงไหนไม่เล่นอันนี้คือสร้าง
00:26:20 → 00:26:23 วินัยในตัวให้เรียบร้อยด้วยไม่งั้นเดี๋ยว
00:26:23 → 00:26:25 จะเสียแล้วก็ในขณะเดียวกันเองเนี่ยการ
00:26:25 → 00:26:28 เป็นต้นแบบของพ่อแม่เองลูกไม่ติดโซเชียล
00:26:28 → 00:26:30 หรอกแต่พ่อเล่นหัวปักหัวปันอย่างงี้เนี่ย
00:26:30 → 00:26:32 โอหอย่างงี้ไม่ไหวเหมือนกันนะมันก็จะมี
00:26:32 → 00:26:35 ปัญหาเกิดขึ้นได้เพราะในบ้านมันก็ต้อง
00:26:35 → 00:26:37 เป็นกติกาเดียวกันแล้วก็ทำให้เกิดการ
00:26:37 → 00:26:40 เรียนรู้จงใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด
00:26:40 → 00:26:42 ที่เรามีเวลาในการถกกันในประเด็นของ
00:26:42 → 00:26:45 โซเชียลมีเดียซะบ้างทีนี้ถ้าถกกันเนี่ย
00:26:45 → 00:26:48 ท่านก็อย่าไปครอบงำความคิดคิดอะไรไม่ออก 3
00:26:48 → 00:26:52 คำถามหมอเออลูกรู้สึกยังไงบ้างก็ได้คิด
00:26:52 → 00:26:54 เห็นยังไงได้เรียนรู้อะไรไปบ้างแล้วถ้า
00:26:54 → 00:26:57 ลูกเจอแก้ปัญหายังไงอะไรพวกนี้ก็ได้ถ้า
00:26:57 → 00:27:00 คิดไม่ออกจริงๆให้ใชคำถปิดในลักณะนี้ได้
00:27:00 → 00:27:02 ในประเด็นพวกนี้เนี่ยหมอเข้าใจว่ามันจะ
00:27:02 → 00:27:05 ต้องฝึกฝนในทุกๆครอบครัวที่ทำให้เกิดขึ้น
00:27:05 → 00:27:07 อยากรู้ว่าเวลาเล่นโซเชียลค่ะรู้สึก
00:27:07 → 00:27:09 เหมือนว่าเราได้พลังลบจากโซเชียลเยอะคือ
00:27:09 → 00:27:12 ตอนนี้หนูเลิกเล่น tiktok มา 6 เดือนะรู้
00:27:12 → 00:27:14 สึกว่าชีวิตดีขึ้นมากเลยอ่ะไม่รู้ว่ามัน
00:27:14 → 00:27:16 เกี่ยวหรือเปล่าเพราะว่าพอเราเลิกเลิก
00:27:16 → 00:27:18 สกอร Facebook IG tiktok เงี้ยค่ะรู้
00:27:18 → 00:27:21 สึกว่าเออชีวิตมันมันมีอะไรให้โฟกัสเยอะ
00:27:21 → 00:27:23 มากนอกจากแค่โซเชียลอ่ะก็เลยคือธรรมชาติ
00:27:23 → 00:27:25 ของคนเนี่ยจับผิดมากกว่าจับถูกทุก
00:27:25 → 00:27:28 โซเชียลมีเดียนะเรายิ่งเล่นอะไรเยอะ
00:27:28 → 00:27:30 เหมือนเหมือนมีเมมของมันน่ะเหรอแล้วมันก็
00:27:30 → 00:27:32 จะปรากฏไอ้พวกนั้นน่ะขึ้นมาเหมือนเหมือน
00:27:32 → 00:27:36 เอาใจลูกค้าก็คือว่าชอบดูใช่มั้ยก็เลย
00:27:36 → 00:27:38 ขึ้นอันเนี้ยมาเยอะซึ่งถ้าเราเข้าใจเี่
00:27:38 → 00:27:41 เราต้องหัดหยุดตัวเองเขาเรียกว่าพักก่อน
00:27:41 → 00:27:44 โพสต์หรือไม่ก็คือรู้จักในการหยุดตัวเอง
00:27:44 → 00:27:47 บ้างโซเชียลมีเดียเนี่ยเราเล่นวันละสัก 2
00:27:47 → 00:27:50 ครั้ง 3 ครั้งก็พอแล้วมั้งจะได้เบรคตัว
00:27:50 → 00:27:53 เองได้มีวินัยในตนเองสมมุติว่าอ่านข้อ
00:27:53 → 00:27:55 ความบางข้อความอินมากอินมากแล้วกำลัง
00:27:55 → 00:27:59 อื้อหืออารมณ์ขึ้นอยากจะโพสต์พักก่อนมัน
00:27:59 → 00:28:02 นานๆไปมันจะกลายเป็นนิสัยเพราะเราทำครั้ง
00:28:02 → 00:28:05 2 ครั้งมันไม่เป็นนิสัยแต่พอเราทำหลายๆ
00:28:05 → 00:28:07 ครั้งคือทุกครั้งเราจะไม่แชร์เราจะไม่
00:28:07 → 00:28:10 โพสต์แต่เราจะพักไว้ก่อนยังไม่กดยังไม่กด
00:28:10 → 00:28:13 อดใจไว้นิดนึงก่อนจะกดแชร์หยุดๆๆไอ้นิ้ว
00:28:14 → 00:28:17 เยหยุดๆไปกินน้ำก่อนไปพักก่อนแล้วพอกลับ
00:28:17 → 00:28:21 มาอีกทีอ่านใหม่อ่านใหม่อีกทีว่าแน่ใจนะ
00:28:21 → 00:28:23 ว่าจะพูดแบบนี้เออแล้วก็รับผิดชอบเราจะ
00:28:23 → 00:28:26 เริ่มเรียนรู้เลยว่าบางเรื่องเราพิมพ์ไป
00:28:26 → 00:28:28 ได้ยังไงแล้วเราจะเริ่มเรียนเรียนรู้กฎ
00:28:28 → 00:28:32 กติกามารยาทในการโพสต์ในการแชร์เราก็จะ
00:28:32 → 00:28:36 ค่อยๆลดทอนพลังลบแล้วแปลงมันกลายไปเป็น
00:28:36 → 00:28:39 พลังบวกภายใต้โซเชียล Media ได้แต่ถ้า
00:28:39 → 00:28:41 สมมุติว่าอยากจะ Turn Out ออกไปเป็นพลัง
00:28:41 → 00:28:45 บวกอื่นเลยก็ไปเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติ
00:28:45 → 00:28:50 เรียนรู้ศิลปะดนตรีกีฬาพวกเนี้ยสปอ Art
00:28:50 → 00:28:53 มิวสิคเนี่ยเอาพวกนี้เลยเอาที่ตัวเองถนัด
00:28:53 → 00:28:55 เพื่อเป็นการพักมันจะได้พักออกจาก
00:28:55 → 00:28:58 โซเชียลมีเดียและทุกครั้งที่เราไปอยู่กับ
00:28:58 → 00:29:01 ธรรมชาตินั่งเงียบๆไปเลยนะหรือฟังดนตรี
00:29:01 → 00:29:03 สบายๆไม่ใช่ร็อกป๊อบอะไรนั่นนะพลังบวกมา
00:29:04 → 00:29:06 ฮะไปออกกำลังกายกีฬาออกกำลังกาย
00:29:06 → 00:29:09 เอ็นดอร์ฟินหลังเล่นมิวสิคของเราเองหรือ
00:29:09 → 00:29:13 วาดรูปเขามีศิลปะวางสมาธิไม่ได้มีแต่นั่ง
00:29:13 → 00:29:16 พุทโธพุทโธหรือว่าหายใจเข้าหายใจออกมัน
00:29:16 → 00:29:18 ไม่ได้มีแค่นั้นนะไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน
00:29:18 → 00:29:21 นะนึกออกมั้ยแต่เรามีวิธีการใช้ศิลปะใน
00:29:21 → 00:29:24 การสมาธิก็ได้หรือไม่ก็คือออกไปเดินเล่น
00:29:24 → 00:29:26 Walking Meditation Exercise
00:29:26 → 00:29:30 Meditation Meditation ทำทุกวันหน่อย
00:29:30 → 00:29:33 เถอะพอเวลาเราทำทุกวันปุ๊บบวกเนี่ยมันจะ
00:29:33 → 00:29:36 เพิ่มขึ้นลบมันจะค่อยๆลดลงถ้าสมมุติว่า
00:29:36 → 00:29:38 พ่อเป็นคนทำงานคนเดียวแต่แม่กับไม่ได้ทำ
00:29:38 → 00:29:40 งานเงี้ค่ะแค่เลี้ยงดูลูกอย่างเดียวอะไร
00:29:40 → 00:29:43 เงี้ยแล้วก็เขาก็เลยทุ่มเวลาทั้งชีวิตให้
00:29:43 → 00:29:44 ลูกหมดเลยแล้วทีเนี้ยเราจะรู้ได้ไงว่า
00:29:45 → 00:29:47 สปอยแค่ไหนถึงจะดีหรือว่าไม่ควรสปอยเลย
00:29:47 → 00:29:50 ค่ะแค่ชื่อมันก็บอกแล้วแหละว่าสปอยคือไม่
00:29:50 → 00:29:54 พอดีก็คือกำลังจะตามใจบ้านทุกบ้านมันต้อง
00:29:54 → 00:29:57 มีขอบเขตของมันไม่ใช่เป็นครอบครัวที่อิระ
00:29:57 → 00:30:01 เสรีไร้ขอบเขตกติกาครอบครัวมี 3 แบบ 1
00:30:01 → 00:30:04 คือครอบครัวประเภทที่ปล่อยป่าระเลยอยาก
00:30:04 → 00:30:06 ได้ลูกเป็นคนดีนะแต่ชาวบ้านช่วยเลี้ยงลูก
00:30:06 → 00:30:09 ฉันให้เป็นคนดีให้หน่อยอแต่ไม่สอนเองแม่
00:30:09 → 00:30:12 สอนแล้วพ่อไปทำมาหากินและเอาเงินมาให้ะ
00:30:12 → 00:30:14 นี่ไปซื้อระบบนิเวศโรงเรียนอีกและไปฝาก
00:30:14 → 00:30:17 ความหวังลมๆแล้งๆไว้กับโรงเรียนว่าแกต้อง
00:30:17 → 00:30:20 มีหน้าที่ในการสอนกล่อมเกาลูกฉันให้เป็น
00:30:20 → 00:30:22 คนดีแต่ฉันไม่มีเวลานะเพราะฉันต้องไปทำมา
00:30:22 → 00:30:25 หากินหมอต้องถามพ่อแบบนั้นว่ามีลูกทำไมอ
00:30:25 → 00:30:27 เนี่ยถ้าท่านมีลูกแล้วท่านไม่คิดจะเป็น
00:30:27 → 00:30:30 ต้นแบบแอะไรให้กับลูกเลยก็แสดงว่ามันขาด
00:30:30 → 00:30:34 สมดุลนะอย่าคิดนะครับว่าในบ้านเนี่ยคือ
00:30:34 → 00:30:36 เป็นงานของแม่โปรดเข้าใจด้วยว่ามันเป็น
00:30:36 → 00:30:41 งานของทุกคนงานบ้านคืองานของส่วนรวมไม่
00:30:41 → 00:30:44 ใช่หน้าที่ใครคนใดคนหนึ่งทุกคนต้องมาแชร์
00:30:44 → 00:30:48 กันแบ่งปันกันพ่อก็ต้องทำแม่ก็ต้องทำลูก
00:30:48 → 00:30:50 ก็ต้องทำเพราะั้นถ้าเราเข้าใจคอนเซปต์ตรง
00:30:50 → 00:30:52 นี้ปุ๊บเราจะรู้ทันทีเลยว่าเออมันไม่ใช่
00:30:53 → 00:30:56 หมายถึงเป็นข้อยกเว้นไม่มีแต่คุยกันซะว่า
00:30:56 → 00:30:58 จะเลี้ยงลูกกันยไปในที่ทางเดียวกันไม่ได้
00:30:58 → 00:31:01 แย้งกันซะเองครอบครัวประเภทที่ 2 คือไม่
00:31:01 → 00:31:06 มีกติกาขอบเขตอะไรเลยแไปพักบ้านค้างคืนจะ
00:31:06 → 00:31:09 กลับมาบ้านกี่โมงแบบไหนอย่างไรก็ได้ไม่มี
00:31:09 → 00:31:12 กฎเกณฑ์เลยหรือกฎเกณฑ์ของบ้านมีไว้แต่มี
00:31:12 → 00:31:16 ข้อยกเว้นเช่นกฎนี้มีบังคับทุกคนยกเว้น
00:31:16 → 00:31:19 พ่อเสียแน่นอนพวกนี้แหละคือสปอยหมดเลยฮะ
00:31:19 → 00:31:21 มันจะมีปัญหาแน่นอนแลทีนี้กฎเกณฑ์ใครเป็น
00:31:21 → 00:31:25 คนออกแบบก็ต้องช่วยกันต้องออกแบบร่วมวิธี
00:31:25 → 00:31:27 ออกแบบอ่ะหมอทำยังไงวิธีง่ายๆท่านไม่ต้อง
00:31:27 → 00:31:30 มีกฎกดหยุมๆยุๆเอา Daily Life เอาวิถี
00:31:30 → 00:31:33 ชีวิตตื่นนอนกี่โมงเข้านอนกี่โมงกินข้าว
00:31:33 → 00:31:37 ยังไงแล้วใครจะล้างจานดูแลอันนี้ Daily
00:31:37 → 00:31:39 Life เขาเรียกชีวิตประจำวันเสาร์อาทิตย์
00:31:39 → 00:31:41 มีกิจกรรมอะไรกันยังไงอันนี้คือประมาณ
00:31:41 → 00:31:44 คร่าวๆรายละเอียดกติกาหยุมหยิมเนี่ยท่าน
00:31:44 → 00:31:47 ไม่ต้องออกแบบแต่ใช้เผชิญเหตุหมอยกตัว
00:31:47 → 00:31:49 อย่างเช่นพี่น้องทะเลาะกันแล้วท่านจะมา
00:31:49 → 00:31:52 ร่างกติกาว่าห้ามทะเลาะไม่งั้นจะโดนตี 1
00:31:52 → 00:31:55 ที 2 ทีอะไรอย่างเงี้ยหมอบอกเทคนิคให้ข้อ
00:31:55 → 00:31:59 ที่ 1 เลยถ้าพฤติกรรมนี้เสี่ยงต่อการทำ
00:31:59 → 00:32:01 ร้ายกันเราต้องหยุดพฤติกรรมนั้นใช่มั้ย
00:32:01 → 00:32:03 ใช่ค่ะต้องหยุดททีจำได้ใช่มั้ยฮะใช่ค่ะ้
00:32:03 → 00:32:06 แสดงว่าพ่อแม่สิ่งที่จะต้องบอกเลยก็คือ
00:32:06 → 00:32:09 ลูกถ้าพ่อกับแม่เห็นลูกทะเลาะกันแล้วมัน
00:32:09 → 00:32:13 อาจจะอันตรายต่อตัวลูกหรืออันตรายต่อคน
00:32:13 → 00:32:16 อื่นเช่นอันตรายต่อระหว่างกันพ่อจำเป็น
00:32:16 → 00:32:18 ต้องหยุดพฤติกรรมนั้นเวลาหยุดพฤติกรรมนี่
00:32:18 → 00:32:21 พ่อแม่ต้องเหนื่อยแรงมั้ยก็ต้องเหนื่อยนะ
00:32:21 → 00:32:23 คะต้องเหนื่อยควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้
00:32:23 → 00:32:26 อ่ามันเหนื่อยที่ควบคุมอารมณ์พ่อแม่หลาย
00:32:26 → 00:32:28 ท่านนี่แอบฟังหมอกันอยู่เนี่ยนะเอาจจะ
00:32:28 → 00:32:31 นั่งคิดก็เหนื่อยดิหมอเพราะต้องลงไม้ลง
00:32:31 → 00:32:34 มือไงไม่ใช่ท่านจะเข้าใจผิดไอ้ที่เหนื่อย
00:32:34 → 00:32:37 คือเหนื่อยควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้น็อต
00:32:37 → 00:32:40 หลุดไปด้วยระเบิดอารมณ์กับไอ้ที่แกทะเลาะ
00:32:40 → 00:32:42 กันเนี่ยไม่ใช่ใช่มั้ยเราต้องเหนื่อยแรง
00:32:42 → 00:32:46 ก็คือต้องหยุดเหตุการนั้นคุมสติแลแยกเข
00:32:46 → 00:32:48 ออกไปแล้วเราต้องพูดอะไรมั้ยฮะน่าจะต้อง
00:32:48 → 00:32:51 พูดนะคะแต่ว่าไม่ต้องยคะแค่แยกเอาแยกไป
00:32:51 → 00:32:54 ก่อนแยแล้วกลับไปพักใจตัวเองด้วยโดยที่ดู
00:32:54 → 00:32:57 ลูกอยู่ห่างๆเวลาเกำลังน็อตหลุดกันอยู่อ
00:32:57 → 00:33:00 อารมณ์ระเบิดเต่างฝ่ายต่างพรรคตอนกลับมา
00:33:00 → 00:33:04 คุยกันนี่แหละ 3 คำถามจะมาะอันนี้คุยทีละ
00:33:04 → 00:33:08 คนนะอย่าคุยพร้อมกันเพราะเพร้อมบวกเขาจะ
00:33:08 → 00:33:10 พร้อมบวกกันอยู่แล้วแหละเราก็ใช้วิธีนี้
00:33:10 → 00:33:13 แหละว่าเมื่อกี้พ่อรู้ว่าลูกโกรธบอกซิ
00:33:13 → 00:33:16 เกิดอะไรขึ้นคราวนพ่อก็ไม่อยากเห็นเหตุ
00:33:16 → 00:33:18 การณ์นี้อีกบอกพ่อซิว่าคราวหน้าจะแก้ยัง
00:33:18 → 00:33:22 ไงเขาจะไหลวิธีการออกมาโอเคจดแปะฝ่าบ้าน
00:33:22 → 00:33:26 กลับไปที่น้องแม่รู้ว่าลูกเสียใจบอกแม่ซิ
00:33:26 → 00:33:28 เกิดอะไรขึ้นไคพั่งพลูออกมาแล้วเราไม่
00:33:29 → 00:33:31 ต้องอินนะไม่จริงไม่จริงแกก้ไม่ต้องไม่
00:33:31 → 00:33:34 ต้องให้เขาพรั่งพลูออกมา Landing ว่าอะไร
00:33:34 → 00:33:37 ฮะแม่ไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์นี้อีกบอก
00:33:37 → 00:33:40 แม่ซิจะทำยังไงตกลงกันได้เสร็จแปะฝ่าบ้าน
00:33:40 → 00:33:43 เนี่ยครับคือกติกาและเป็นกติกาที่เด็กออก
00:33:43 → 00:33:46 แบบเองก็เหมือนให้เขาได้รีเฟลกตัวเองไป
00:33:46 → 00:33:48 ด้วยใช่เพราะฉะนั้นทั้งเรื่องสปอยที่
00:33:48 → 00:33:51 เมื่อตะกี้พูดหมอบอกได้เลยว่าไม่มีคำว่า
00:33:52 → 00:33:55 สปอยพอดีฮะแค่ขึ้นว่าสปอยก็จบะไม่ใช่ละ
00:33:55 → 00:33:58 ครอบครัวประเภทที่ 3 คือครอครัวที่เขาา
00:33:58 → 00:34:01 รักษาสมดุลพวกนี้ได้นี่แหละอเขาเรียก
00:34:01 → 00:34:04 ครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยฟังเสียงลูกและ
00:34:04 → 00:34:07 สร้างการมีส่วนร่วมมีกฎกติกาในบ้านแล้ว
00:34:07 → 00:34:09 สามารถอยู่ร่วมกันได้ครับเพราะงั้น
00:34:09 → 00:34:12 ครอบครัวมี 3 รูปแบบเราอยากเห็นครอบครัว
00:34:12 → 00:34:14 ประเภทที่ 3 เยอะๆทีนี้มันมีประเภทบางอัน
00:34:14 → 00:34:17 น้องครับที่หมอก็เห็นใจพ่อแม่บางคนเขา
00:34:17 → 00:34:20 นั่งฟังอยู่แอบฟังเราเนี่ยนะเกิดเขานั่ง
00:34:20 → 00:34:23 นึกขึ้นได้ว่าหมอแต่เราเป็นพ่อแม่ที่เป็น
00:34:23 → 00:34:26 เลี้ยงเดี่ยวไม่มีโอกาสปักกัดตีนถีเนี้ย
00:34:26 → 00:34:29 สังคมสวัสดิการรัสวัสดิการต้องช่วยเพราะ
00:34:29 → 00:34:31 อันนี้น่าเห็นใจเพราะว่าเไม่สามารถทำหน้า
00:34:31 → 00:34:34 ที่ได้ทุกเรื่องสมบูรณ์แบบแต่บ้านที่มี
00:34:34 → 00:34:37 พ่อแม่พร้อมเนี่ยพ่อแม่ต้องช่วยกันฮะไม่
00:34:37 → 00:34:39 ใช่เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเป็นหน้า
00:34:39 → 00:34:41 ที่ทุกคนแล้วอย่างเงี้ยค่ะคนเป็นพ่อเป็น
00:34:41 → 00:34:44 แม่จะมีวิธีการช่วยเสริมสร้างเซลเอมให้
00:34:44 → 00:34:45 ลูกให้หลานตัวเองยังไงได้บ้างเพื่อให้เขา
00:34:46 → 00:34:48 เกิดความภาคภูมิใจในชีวิตของตัวเองอ่ะค่ะ
00:34:48 → 00:34:51 อันที่ 1 เนี่ยก็คือการชื่นชมแต่อยู่ดีๆ
00:34:51 → 00:34:54 ชื่นชมไม่ได้มันต้องเปิดโอกาสของพื้นที่
00:34:54 → 00:34:57 กิจกรรมเช่นงานบ้านหรือว่าอาจจะเป็นงาน
00:34:57 → 00:35:00 กิจกรรมร่วมที่มันไม่ใช่มีแค่วิชาเรียน
00:35:00 → 00:35:02 แม้กระทั่งวิชาเรียนก็ได้ที่เขสามารถรับ
00:35:02 → 00:35:05 ผิดชอบได้เมื่อไหร่ก็ตามที่เขสามารถสร้าง
00:35:05 → 00:35:07 การเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีเรา
00:35:07 → 00:35:10 ต้องมีคำชื่นชมไม่ใช่อามิตสินจ้างนะอามิต
00:35:11 → 00:35:13 สินจ้างแปลว่าอะไรคะเ่อเช่นทำกิจกรรมนี้
00:35:13 → 00:35:16 ได้เงินเท่านี้บาททำกิจกรรมนู้นได้เท่า
00:35:16 → 00:35:18 นู้นบาทอย่าทำแบบนั้นนะแต่หมายถึงว่าคำ
00:35:18 → 00:35:21 ชื่นชมจากเรานั่นแหละะชมมี 3 ระดับเเรียก
00:35:21 → 00:35:25 ชมสุดซอยฮะอืพ่อแม่ชมไม่เป็นคือชมระดับ
00:35:25 → 00:35:29 ที่ 1 คือชมเก่งมากลูกภูมิใจมากอันนี้พ่อ
00:35:29 → 00:35:32 แม่ส่วนใหญ่่ทำเป็นแต่เขาลืมประเด็นที่ 2
00:35:32 → 00:35:35 ว่าชมเรื่องอะไรลูกมาล้างจานเราเกรงมาก
00:35:35 → 00:35:37 เลยลูกทีเหลือแกเข้าใจเอาเองนะว่าแม่
00:35:38 → 00:35:40 กำลังชื่นชมเรื่องอะไรเติมซะหน่อยสิเก่ง
00:35:40 → 00:35:44 มากลูกที่ช่วยแม่ล้างจานถ้าไปถึงสุดของ
00:35:44 → 00:35:47 มันก็คือว่ารู้มช่วยแม่ล้างจานเนี่ยทำให้
00:35:47 → 00:35:51 แม่เบาสบายขึ้นเยอะเลยนี่แหละคนดีของแม่
00:35:51 → 00:35:55 ทำชมนั่น 1 และ 2 ชมเรื่องอะไร 3 ก็คือผล
00:35:55 → 00:35:59 ของการที่เขาช่วยเได้อะไรแล้วเขาก็จะได้
00:35:59 → 00:36:02 มีโอกาสในการชื่นถ้าทำแบบนี้บ่อยๆมันเป็น
00:36:02 → 00:36:06 การเพิ่ม S แล้วการเปิดพื้นที่จังหวะของ
00:36:06 → 00:36:08 การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเราสามารถใส่คำ
00:36:08 → 00:36:11 ชื่นชมได้ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาเป็นเงินอัน
00:36:11 → 00:36:13 นี้ก็สามารถที่จะเติม Self esteem ของ
00:36:13 → 00:36:17 เด็กได้อยากถามคุณหมอว่าสมาธิแล้วก็สติ
00:36:17 → 00:36:19 เนี่ยค่ะมีความสำคัญยังไงบ้างในการพัฒนา
00:36:19 → 00:36:22 ตนเองแล้วก็ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์
00:36:22 → 00:36:25 ในครอบครัวค่ะสัมพันธภาพมันไม่เกิดขึ้น
00:36:25 → 00:36:28 ด้วยอารมณ์มนุษย์เราเนี่ยมีสมองส่วนที่
00:36:28 → 00:36:31 หมอไม่ได้พูดถึงคือสมองที่มนุษย์มีเท่า
00:36:31 → 00:36:34 นั้นก็คือสมองส่วนหน้าสัตว์เลี้ยงลูกด้วย
00:36:34 → 00:36:37 นมและตัวเฮียเขาไม่มีมันมีเฉพาะมนุษย์เลย
00:36:37 → 00:36:40 คือสมองส่วนคิดชั้นสูงไอ้สมองส่วนคิดชั้น
00:36:40 → 00:36:43 สูงสติและสมาธิคือเบรกเกอร์อารมณ์
00:36:43 → 00:36:47 เบรกเกอร์นิสัยเวลาคนเราจะดำเนินชีวิตมัน
00:36:47 → 00:36:51 ต้องดำเนินชีวิตทั้งมีคันเร่งและเบรกทำ
00:36:51 → 00:36:55 งานสมดุลกันเบรกทำงานดีรู้จังหวะในการยับ
00:36:55 → 00:36:58 ยั้งอารมณ์อารมณ์มีได้ไม่แปลกแต่รู้วิธี
00:36:58 → 00:37:01 การจัดการ Landing อารมณ์ตัวเองรู้วิธี
00:37:01 → 00:37:04 บัฟเฟอร์อารมณ์ของเราเองได้รู้วิธีในการ
00:37:04 → 00:37:07 เบรคสถานการณ์นั้นได้อันนี้แหละที่เขา
00:37:07 → 00:37:11 เรียกว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์เพราะฉะนั้นสติ
00:37:11 → 00:37:14 และสมาธิเนี่ยจึงกลายเป็นหัวใจของความ
00:37:14 → 00:37:17 เป็นมนุษย์ถ้าท่านไม่มีสติสมาธิก็เท่ากับ
00:37:17 → 00:37:20 ว่าท่านกำลังใช้สมองส่วนหมาและส่วนตัว
00:37:20 → 00:37:24 เฮียทำงานซึ่งยิ่งนานไปก็จะกลายเป็นการทำ
00:37:24 → 00:37:28 งานแบบสัญชาติญาณที่หมอเรียกว่าสมองส่วน
00:37:28 → 00:37:31 ซานด้าคือสันดานครับเพราะฉะนั้นอย่าให้
00:37:31 → 00:37:34 หลุดออกมากลายไปเป็นพฤตินิสัยที่มันไม่
00:37:34 → 00:37:36 เหมาะสมเพราะมันจะติดตัวเราไปแล้วถ้ามัน
00:37:37 → 00:37:40 ติดตัวเราไปเมื่อไหร่โปรดอย่าลืมองค์การ
00:37:40 → 00:37:43 อามัยโรคเกำลังเซต 1 เรื่องมาแล้วว่ามัน
00:37:43 → 00:37:46 สามารถถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของท่าน
00:37:46 → 00:37:49 ต่อไปได้อีกเช่นกันมันถ่ายทอดผ่าน
00:37:49 → 00:37:51 พันธุกรรมเหรอคะอ่ามันจะถ่ายทอดเป็น
00:37:51 → 00:37:54 รักษณะีน predispose คือยีนโน้มหนำมันไม่
00:37:54 → 00:37:57 ได้เปลี่ยน DNA หรอกมันยังไม่มีสมรรถนะ
00:37:57 → 00:37:59 เปลี่ยนดีเอ็นเอถ้าผู้ชมนึกไม่ออกก็คือ
00:38:00 → 00:38:02 โปรดเข้าใจว่าคนบางคนกินหวานมาทั้งชีวิต
00:38:02 → 00:38:06 ก็ไม่เป็นเบาหวานคนบางคนกินหวานนิดเดียว
00:38:06 → 00:38:09 ก็เป็นเบาหวานเพราะมันมียีโน้มนำต่างกัน
00:38:09 → 00:38:12 ถ้าคนที่มียีโน้มนำถ่ายทอดมาแล้วกินหวาน
00:38:12 → 00:38:15 นิดเดียวก็เป็นเบาหวานเพราะฉะนั้นเราคง
00:38:15 → 00:38:18 ไม่ถ่ายทอดความรุนแรงหรือพฤตินิสัยที่ไม่
00:38:18 → 00:38:22 ดีไปเป็นเเรชต่อเเรชเพราะว่าถ้าทำแบบนั้น
00:38:22 → 00:38:24 ก็เท่ากับว่าท่านกำลังใส่ความรุนแรงท่าน
00:38:24 → 00:38:27 กำลังใส่พฤตินิสัยที่ไม่เหมาะสมจนมัน
00:38:27 → 00:38:30 กำลังจะลุกลามกลายไปเป็นโรคเสพติแล้วแบบ
00:38:30 → 00:38:33 นี้เราจะมีวิธีการเพิ่มสมาธิแล้วก็สติของ
00:38:33 → 00:38:35 เราได้ยังไงบ้างคะในการใช้ชีวิตประจำวัน
00:38:35 → 00:38:37 ง่ายๆจริงๆมันอยู่ใน on the job
00:38:37 → 00:38:40 Training ก็คือการที่รู้จักในการจัดการ
00:38:40 → 00:38:43 อารมณ์ของเราวันต่อวันเลยฮะยิ่งถ้าเกิด
00:38:43 → 00:38:46 สามารถทำให้แต่ละวันของเรามีโอกาสในการ
00:38:46 → 00:38:50 คิดบวกมากกว่าพร้อมบวกแล้วก็ถอยกับเรื่อง
00:38:50 → 00:38:52 ของคิดลบซะบ้างแล้วก็ได้มีโอกาสอยู่กับ
00:38:53 → 00:38:56 ธรรมชาติอยู่กับเรื่องของการใช้กีฬาก็ได้
00:38:56 → 00:38:58 ดนตรีก็ได้หรือว่าว่าอย่างเมื่อตะกี้ที่
00:38:58 → 00:39:00 หมอยกตัวอย่างวิธีการเพิ่มสมาธิมีหลาก
00:39:00 → 00:39:03 หลายรูปแบบถ้าเราสามารถอยู่กับตัวเราได้
00:39:03 → 00:39:06 อยู่กับปัจจุบันไม่ฟุ้งซ่านเราสามารถครอง
00:39:06 → 00:39:09 สติของเราได้เวลาเราเจอกับเหตุการณ์เราก็
00:39:09 → 00:39:12 รู้จักในการที่จะสะท้อนความรู้สึกและถอย
00:39:12 → 00:39:15 ออกแล้วกลับมาอีกทีตอนที่เราคุมอารมณ์ตัว
00:39:15 → 00:39:18 เราได้ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆก็จะเกิดสมาธิ
00:39:18 → 00:39:21 แล้วในที่สุดก็สามารถจัดการกับเรื่องราว
00:39:21 → 00:39:24 ต่างๆได้ประเด็นก็คือเราได้ฝึกตัวเรากับ
00:39:24 → 00:39:28 เรื่องสติสมาธิแล้วฝึกกับขบวนการจัดการ
00:39:28 → 00:39:32 อารมณ์บ่อยแค่ไหนถ้ายิ่งบ่อยมากับฟังทำจน
00:39:32 → 00:39:35 เป็นนิสัยเลยเวลาที่เราเจอเหตุการณ์สติ
00:39:35 → 00:39:38 และสมาธิมันจะมาด้วยอัตโนมัติของมันเลย
00:39:38 → 00:39:42 ทันทีครับก็คือการฝึกจนมันอยู่ในจิตใต้
00:39:42 → 00:39:44 สำนึกของเราไปเลยนะคะค่ะซึ่งวันนี้นะคะก็
00:39:44 → 00:39:47 โอโหได้รับความรู้มากมายเลยนะคะจากคุณหมอ
00:39:47 → 00:39:49 เชื่อว่ามีประโยชน์ต่อทุกคนอย่างมากแน่ๆ
00:39:49 → 00:39:51 นอนค่ะถ้าใครมีคำถามอะไรนะคะก็สามารถ
00:39:51 → 00:39:53 คอมเมนต์ไว้ได้ที่ใต้คลิปเลยนะคะเดี๋ยว
00:39:53 → 00:39:55 เราจะให้ทีมงานอ่ะค่ะไปคัดเลือกคำถามแล้ว
00:39:55 → 00:39:57 ก็มาถามคุณหมอค่ะสำหรับวันนี้นะคะก็ต้อง
00:39:57 → 00:40:00 ขอขอบคุณคุณหมอเดียวมากๆเลยค่ะแล้วเราก็
00:40:00 → 00:40:02 มีเสื้อมามอบให้คุณหมอด้วยค่ะเป็นเสื้อ
00:40:02 → 00:40:04 จากเพจเกานี้ิแสอันตรายนะคะถ้าใครที่ชื่น
00:40:04 → 00:40:06 ชอบก็สามารถสั่งซื้อได้เลยนะคะอย่าลืมกด
00:40:06 → 00:40:09 ไลค์กดแชร์กด Subscribe แล้วก็ส่งคลิปนี้
00:40:09 → 00:40:11 ไปให้คนที่คุณรักดูด้วยนะคะสำหรับวันนี้
00:40:11 → 00:40:13 ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่ใน EP
00:40:13 → 00:40:14 หน้าสวัสดี
00:40:14 → 00:40:26 [เพลง]
00:40:26 → 00:40:28 ค่ะ n
00:40:28 → 00:40:36 [เพลง]