00:00:00 → 00:00:04 อ๋อเออเมื่อกี้ผมเกริ่นไปพอสมควรเอโรคผม
00:00:04 → 00:00:07 เคยได้ยินแต่เอ่อท้องแปรปรวนน่ะแบบเหมือน
00:00:07 → 00:00:11 แว่าคนมักจะพูดบ่นๆกันท้องแปรปรวนวันนี้
00:00:11 → 00:00:13 ไม่รู้อะไรท้องปรวนๆท้องเอ่อกินอะไรก็
00:00:13 → 00:00:15 เดี๋ยวก็ถ่ายเดี๋ยวก็
00:00:15 → 00:00:18 ถ่ายมันมันใช่มั้ยครับหรือว่าจริงๆแล้ว
00:00:18 → 00:00:21 โลคไอ้ลำไส้แปรปรวน ibs เนี่ยมันมันแตก
00:00:21 → 00:00:24 ต่างจากไอ้ท้องแปรปรวนของเราที่รู้จักรู้
00:00:24 → 00:00:28 จักกันอือืครับก็จริงๆมันอาจจะมีจุดที่
00:00:28 → 00:00:31 เหมือนกันและต่างกันครับครับจะเป็นเแนก็
00:00:32 → 00:00:35 คืออ่าอาการของน้ำไส้ปลาปวนส่วนหนึ่งอาจ
00:00:35 → 00:00:38 จะมีเช่นกินแล้วมีถ่ายท้องมากกว่าปกติ
00:00:38 → 00:00:40 หรือว่าไม่กินก็ได้แต่มีถ่ายท้องผิดปกติ
00:00:40 → 00:00:43 ไปหรือแม้กระทั่งขับถ่ายไม่ว่ามากขึ้น
00:00:43 → 00:00:45 หรือน้อยลงอ่ะนะครับผิดปกติแต่ว่าอาการ
00:00:45 → 00:00:49 หลักให้แปบพวนเนี่ยจะนำมาด้วยอาการปวด
00:00:49 → 00:00:52 ก่อนปวดก่อนต้องปวดก่อนใช่มันจะต้องมีปวด
00:00:52 → 00:00:56 เพราะว่าปวดถือเป็นถือเป็นข้อจำข้อกำหนด
00:00:56 → 00:01:00 ข้อหนึ่งในโลก้ำไส้แปพวนว่าจะต้องมีอือื
00:01:00 → 00:01:03 ต้องต้องต้องมีอาการปวดเข้ามาเกี่ยวข้อง
00:01:03 → 00:01:06 ปวดปวดนปวดบ่อยแค่ไหนคะคุณหมอคะอ่าโดยโดย
00:01:06 → 00:01:09 ทั่วๆไปลำไส้ปปวนเนื่องจากรำไส้ปลาปวนจะ
00:01:09 → 00:01:10 เป็นโรคเรื้อรังประมาณนึงนะครับคือหมาย
00:01:11 → 00:01:13 ความว่าจะมีระยะเวลาในการเป็นค่อนข้างยาว
00:01:13 → 00:01:15 นะครับเพราะฉะนั้นอย่างน้อยๆเนี่ยคนไข้จะ
00:01:15 → 00:01:18 ต้องมีประวัติปวดร่วมกับการขับถ่ายที่ผิด
00:01:18 → 00:01:22 ปกติแล้วก็อือาการปวดนั้นน่ะจะสัมพันธ์
00:01:22 → 00:01:25 กับการขับถ่ายที่ผิดปกติไปด้วยเช่นผม
00:01:25 → 00:01:28 สมมุติว่าถ้าปวดแล้วไปเข้าห้องน้ำแล้ว
00:01:28 → 00:01:32 หลังถ่ายท้องไปอาการปวดดีขึ้นหรือกลับกัน
00:01:32 → 00:01:34 ปวดแล้วไปเข้าห้องน้ำถ่ายท้องไปอาการปวด
00:01:34 → 00:01:37 เป็นมากขึ้นทันทีหลังถ่ายอืความสัมพันธ์
00:01:37 → 00:01:39 ในลักษณะนี้จะเป็นลักษณะของลำไส้แปรปวน
00:01:40 → 00:01:42 ครับซึ่งคนไข้อ่ะจะต้องมีอาการมาอย่าง
00:01:42 → 00:01:45 น้อยมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไปแล้วอาการนั้น
00:01:45 → 00:01:50 น่ะจะต้องรบกวนชีวิตประจำวันเขาสุดๆเลยอื
00:01:50 → 00:01:53 รบกวนที่ว่าคือรบกวนแบบไหนครับอย่างไร
00:01:53 → 00:01:56 ครับครับรบกวนในนี่หมายถึงว่าถ้าตอนที่
00:01:56 → 00:01:58 ปวดให้ทำอะไรนี่ทำไม่ไหว
00:01:58 → 00:02:02 อ่ะรุกไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ได้มั้ยคะอ่า
00:02:02 → 00:02:05 เช่นอาจจะกวนสมาธิมากไม่สามารถนั่งประชุม
00:02:05 → 00:02:08 อยู่นั่งประชุมต่อไม่ไหวหรือว่าอ่าเดิน
00:02:08 → 00:02:11 ออกกำลังกายอยู่ดีๆไม่สามารถออกกำลังกาย
00:02:11 → 00:02:14 ต่อได้อะไรแบบเนี้ยครับอ่าอืเพราะมันปวด
00:02:14 → 00:02:17 เพราะมันปวดก็อยู่ดีๆก็ปวดขึ้นมาเลยใช่
00:02:17 → 00:02:21 ครับอ๋อเราใช้คำว่าถ้าตามตามไครทีเรีย
00:02:21 → 00:02:23 ซึ่งเขามีลักษณะของไครทีเรียที่เรียกว่า
00:02:23 → 00:02:25 โรมนะเพราะว่าคนที่คิดคนแรกคืออยู่อ่า
00:02:25 → 00:02:28 ประชุมกันในกรุงโรมมันเป็นโรม 4 โรม 5
00:02:28 → 00:02:32 ครับซึ่งซึ่งอันเนี้ยเาจะใช้คำว่า B suum
00:02:32 → 00:02:35 ซคือกวนแล้วเลยคืออาการมันกวนน่ะมันไม่
00:02:35 → 00:02:38 ได้อยู่สุขได้ 100% อย่าเงี้ยครับอคือไม่
00:02:38 → 00:02:40 ว่าจะทำอะไรนั่งอยู่ดีๆเดี๋ยวมาอีกและ
00:02:40 → 00:02:42 เดี๋ยวมาแสดงว่ามันต้องมาถี่มากๆทำให้เรา
00:02:42 → 00:02:45 แบบทำอะไรไม่ได้เลยคุณหมอครับอาการปวด
00:02:45 → 00:02:48 สามารถมาเป็นระยะระะหรือเป็นจังหวะได้
00:02:48 → 00:02:50 ครับหรือสามารถปวดค้างก็ได้แต่ซึ่งการปวด
00:02:50 → 00:02:52 ค้างนั้นก็จะกวนเราได้เหมือนกันคือเราทำ
00:02:52 → 00:02:55 อะไรต่อไม่ไหวปวดอย่างเงี้ยครับออือค่ะ
00:02:55 → 00:02:58 อือหือซึ่งซึอาการแรกเป็นอาการปวดหลังจาก
00:02:58 → 00:03:00 นั้นน่ะจะเป็นเรื่องของการขับถ่านซึ่งการ
00:03:00 → 00:03:03 ขับถ่ายจะทำให้โรคลำไส้ปลลาปรวนถูกแบ่ง
00:03:03 → 00:03:07 ออกเป็น 4 ชนิดด้วยกันอืครับมีไงบ้างคะ
00:03:07 → 00:03:10 ลำไซปาปวนชนิดท้องผูกก็คือจะมีการขับถ่าย
00:03:10 → 00:03:13 ในลักษณะของท้องผูกซึ่งอาจจะถ่ายทุกวัน
00:03:13 → 00:03:16 แต่ถ่ายไม่หมดหรืออาจจะถ่ายไม่ออกหรือ
00:03:16 → 00:03:18 อุตสาแข็งต้องใช้แรงเบ่งนานอย่างเงี้ย
00:03:18 → 00:03:22 ครับเกิน 25% ของปริมาณการขับถ่ายทั้งหมด
00:03:22 → 00:03:24 ซึ่งอันนี้อันนี้ต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่
00:03:24 → 00:03:27 เขาใช้ในมุมของงานวิจัยชีวิตจริงเราถามคน
00:03:27 → 00:03:31 ไข้แบบนี้คงยากนะฮะว่าท้องปลูกเกิน 25%
00:03:31 → 00:03:33 หรรือเปล่ามันมันคงถามยากแต่กากะเอาได้
00:03:33 → 00:03:36 ว่าเออย่างน้อย 2 2 วันถึง 3 วันใน
00:03:36 → 00:03:38 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะต้องถ่ายผิดปกติเป็น
00:03:38 → 00:03:42 ท้องผูกก็จะเป็นชนิดท้องผูกเป็นท้องเสีย
00:03:42 → 00:03:44 ก็จะเป็นลำไส้ปลาพวนชนิดท้องเสียแต่ถ้า
00:03:44 → 00:03:46 ทั้งท้องผูกและท้องเสียเนี่ยก้ำกึ่งกัน
00:03:46 → 00:03:49 ผสมผสมกันเดี๋ยวผูกมั่งเดี๋ยวเสียมั่งอัน
00:03:49 → 00:03:53 นี้เราเรียกชนิดผสมอืหรือมิกค่ะแล้วก็สุด
00:03:53 → 00:03:55 ท้ายก็คือไม่เข้ากับอะไรเลยท้องผูกก็ไม่
00:03:55 → 00:03:57 ได้เยอะท้องเสียก็ไม่ได้เยอะมีคื่นใส่
00:03:57 → 00:03:59 อาเจียนมวลท้องอย่างเดียวอันนี้ก็ก็จะ
00:03:59 → 00:04:02 เป็นชนิดที่เรียกว่า undf คือยังแบ่งชนิด
00:04:02 → 00:04:05 ไม่ได้มันจะถูกตีกรอบออกเป็น 4 อันครับอื
00:04:05 → 00:04:07 การรักษาก็จะมีจุดต่างกันอย่างละนิดอย่าง
00:04:07 → 00:04:09 ละหน่อย
00:04:09 → 00:04:13 อืค่ะซึ่งมันก็มีข้อข้อสังเกตอย่างเลยนิด
00:04:13 → 00:04:16 อย่างอย่างหน่อยที่จะพอที่จะแบบแยกย่อยไป
00:04:16 → 00:04:18 ได้ว่าอันนี้คืออะไรกันแน่ใช่มั้ยฮะใช่
00:04:18 → 00:04:20 ครับแต่ว่าถ้าไม่ถ้าไม่ปวดเลยเนี่ยเรา
00:04:20 → 00:04:23 ซึ่งๆจะเห็นกันได้อยู่ปะปายอ่ะนะครับไม่
00:04:23 → 00:04:25 ปวดเลยแต่ว่าบอกว่ามีอาการเหมือนลำไส้
00:04:25 → 00:04:28 แบวนตรงนั้นจะไม่ใช่ครับออรำไส้้แบวนจะ
00:04:28 → 00:04:31 ต้องมีปวดมาก่อนอฮะฮะฮะฮะค่ะอาการปวดที่
00:04:31 → 00:04:35 ว่าลักษณะอาการนี้มันเด่นชัดที่คนคนที่
00:04:35 → 00:04:37 เป็นลำไส้แปรปรวนเนี่ยมันอยู่ไม่ได้แล้ว
00:04:37 → 00:04:40 ต้องไปพบแพทย์เลยใช่มั้ยคะคือมันเหมือน
00:04:40 → 00:04:43 กับว่าเราไม่ใช่เป็นเป็นเรื่อยๆแล้วก็แบบ
00:04:43 → 00:04:47 ปวดแล้วก็หยุดเอ่อแล้วก็เหมือนเราชะล่าใจ
00:04:47 → 00:04:50 เป็นเป็นระยะเวลานานได้อ่ะค่ะคุณหมอได้
00:04:50 → 00:04:52 ครับคือหมายความว่าเนื่องจากร้ำไข้ปาปวน
00:04:52 → 00:04:54 คนที่เป็นน่ะจะเป็นมาเรื่อยๆแล้วอาจจะ
00:04:54 → 00:04:56 เป็นเพิ่มขึ้นเป็นน้อยลงเป็นเป็นระยะเป็น
00:04:56 → 00:04:58 เป็นช่วงๆก็ได้แต่ว่าอส่วนใหญ่มันจะมีตัว
00:04:59 → 00:05:01 ที่เป็นตัวสติกเกอร์หรือตัวกระตุ้นนะครับ
00:05:01 → 00:05:04 เช่นการติดเชื้อในอาหารการรับประทานอาหาร
00:05:04 → 00:05:07 บางบางกลุ่มที่ไปกระตุ้นรำไส้แาปรวนได้
00:05:07 → 00:05:09 ครับว่าเชื้อโรคบางตัวเชื้อโรคบางชนิดก็
00:05:09 → 00:05:12 สามารถกระตุ้นลำไส้แปปวนได้อความเครียด
00:05:12 → 00:05:15 ความกังวลการพักผ่อนไม่เพียงพอการเปลี่ยน
00:05:15 → 00:05:18 ถิ่นานที่อยู่อืพวกเหล่านี้กระตุ้นได้หมด
00:05:18 → 00:05:23 เลยครับออแสดงว่าสาเหตุของอาการนี้การทำ
00:05:23 → 00:05:25 ให้รำไส้ทำงานแปรปรวนหรือ ibs เองเนี่ย
00:05:25 → 00:05:29 มันมีหลากสาเหตุมากๆเลยครับเนื่องจากว่า
00:05:29 → 00:05:32 ปัจจุบันน่ะเราเชื่อว่ามันเป็นการที่สื่อ
00:05:32 → 00:05:35 สารกันผิดพลาดระหว่างสมองกับลำไส้เหรอฮะ
00:05:35 → 00:05:38 อ๋อคล้ายๆคล้ายๆกับว่าเา้าส่งสารกันทุก
00:05:38 → 00:05:40 วันทั้งวันอยู่แล้วโดยธรรมชาติแต่คราว
00:05:40 → 00:05:44 เนี้ยดันคนนึงส่งภาษานึงอีกคนนึงรับรับ
00:05:45 → 00:05:48 เป็นอีกภาษานึงอย่างเงี้ยครับเลยทำให้การ
00:05:48 → 00:05:51 การฟีดแบคหรือว่าการการตอบสนองต่างๆมัน
00:05:51 → 00:05:54 ผิดเพี้ยนไปก็เลยเกิดโรคำไส้แปปวนขึ้น
00:05:54 → 00:05:58 ครับอืตรงนี้จริงๆมันมีชื่อเรียกเราเรียก
00:05:58 → 00:06:00 ว่า Brain Guard สอดอก็คือการสื่อสาร
00:06:01 → 00:06:03 ระหว่างสมองกับทางเดินอาหารน่ะมันผิด
00:06:03 → 00:06:07 เพี้ยนครับออครับโอ้โหพอมันสื่อสารกันผิด
00:06:07 → 00:06:09 แสดงว่าเหมือนคนเลยสื่อสารกันผิดมันก็
00:06:09 → 00:06:12 เกิดปัญหาลำไส้กับสมองสื่อสารผิดมันก็
00:06:12 → 00:06:14 เกิดปัญหาเหมือนกันใช่ครับถ้าให้ยกตัว
00:06:14 → 00:06:16 อย่างง่ายๆให้เหมือนกับว่าเรามีคน 10 คน
00:06:17 → 00:06:19 มายืนเรียงกันน่ะครับอแล้วเราบอกคนคนนึง
00:06:19 → 00:06:22 ว่าสีแดงหรือหรือบอกคำว่าอะไรไปก็ได้ที่
00:06:22 → 00:06:25 พูดเบาๆแล้วแต่ละคนก็กระซิบก้างหูไปจนถึง
00:06:25 → 00:06:29 คนสุดท้ายอืคนสุดท้ายอาจจะตอบมาว่าสีดำอื
00:06:29 → 00:06:31 อือืออันเนี้ยครับคือความผิดเพี้ยนของลำ
00:06:31 → 00:06:36 ไส้แป่วนอืออือ่ามันก็เป็นเหมือนเวลาเรา
00:06:36 → 00:06:38 เล่นเกมรับน้องเมื่อก่อนที่แบบบอกต่อๆกัน
00:06:38 → 00:06:41 ไปนึออกนึออกอออ่ะตรงๆที่มันเพี้ยนนั่น
00:06:41 → 00:06:44 แหละครับคือลำไส้แ
00:06:44 → 00:06:47 ปถึงเห็นเห็นว่าที่คุณหมอบอกเมื่อสักครู่
00:06:47 → 00:06:52 นี้ลำไส้แปรปรวนมันมีมันมีมันมีสลอตของ
00:06:52 → 00:06:54 เขาที่มันมันแปลกมากๆเลยคือบางคนก็เป็น
00:06:54 → 00:06:58 แป๊บๆหายบางคนก็ทิ้งช่วงหน่อยบางคนก็ค้าง
00:06:58 → 00:07:02 ไว้บางคนก็ทิ้งระยะเป็นเวลานานทำไมถึงถึง
00:07:02 → 00:07:03 เป็นอย่างนั้นครับเพราะอะไรครับหรือว่า
00:07:04 → 00:07:06 มันแล้วแต่ตัวเชื้อด้วยหรือว่ายังไงใช่
00:07:06 → 00:07:07 อันนี้อันนี้มันจริงๆมันอาจจะไม่ได้แล้ว
00:07:07 → 00:07:09 แต่ตัวทริกเกอร์แต่มันแล้วแต่การตอบสนอง
00:07:09 → 00:07:12 ของแต่ละคนครับอืเพราะว่าภาวะที่ผิดปกติ
00:07:12 → 00:07:15 เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้น
00:07:15 → 00:07:17 ที่ทำให้เกิดการสื่อสารผิดปกติครับการตอบ
00:07:17 → 00:07:22 สนองของแต่ละคนเลยไม่เหมือนกันอืออแล้ว
00:07:22 → 00:07:25 เมื่อกี้คุณหมอบอกว่าบางกลุ่มอาหารที่อาจ
00:07:25 → 00:07:28 จะมีผลต่อลำไส้แปรปวนเงี้ยค่ะเอ่อรควรคุณ
00:07:28 → 00:07:32 หมอยกตัวอย่างอาหารที่มีผลต่อลำไส้แปรปน
00:07:32 → 00:07:34 อ่าให้คุณผู้ฟังฟังหน่อยค่ะว่ามีกลุ่ม
00:07:34 → 00:07:37 อะไรบ้างอ่ะค่ะจริจริงๆจะค่อนข้างกว้าง
00:07:37 → 00:07:39 มากเลยครับแต่ว่าถ้าสามารถไปเสิร์ชได้
00:07:39 → 00:07:41 ง่ายๆมันจะมีกลุ่มนึงที่เราเรียกว่า F
00:07:41 → 00:07:44 Map f Map จะเป็นกลุ่มน้ำตาลอ่าน้ำตาล
00:07:44 → 00:07:49 โมเลกุลเชิงซ้อนอ่าจะเป็น f o m a นะ
00:07:49 → 00:07:52 ครับ SP Map ครับอาหารจะค่อนข้างกว้าง
00:07:52 → 00:07:54 เหมือนกันแต่ว่าถ้าผมยกตัวอย่างง่ายๆก็
00:07:54 → 00:07:56 คือผลไม้ที่มีความหวานมากๆหรือผลไม้ที่มี
00:07:56 → 00:07:59 เปลือกเปรี้ยวๆอ่ะครับอันเนี้ยจะกระตุ้น
00:08:00 → 00:08:02 ได้ง่ายหน่อยผลไม้ที่มีความผลไม้ที่มี
00:08:02 → 00:08:05 เปลือกเปวๆสมมติสมมติอย่างเช่นอย่าง
00:08:05 → 00:08:07 เปลือกเปลือกแข็งๆเขียวๆส้มโออะไรอย่าง
00:08:07 → 00:08:10 เงี้ยครับกระตุ้นได้ง่ายหน่อยแตงมงแตงโม
00:08:10 → 00:08:12 อย่างเงี้ยครับกระตุ้นได้ง่ายหน่อยนะครับ
00:08:12 → 00:08:15 หรือผลไม้ที่มีปริมาณฟรุกโตสสูงๆก็จะ
00:08:15 → 00:08:17 กระตุ้นได้ง่ายหน่อยอย่างเงี้ครับอออย่าง
00:08:17 → 00:08:20 งั้นสาวกทุเรียนก็เดือดร้อนสิคะคุณ
00:08:20 → 00:08:23 หมอสาวกทุเรียนก็อาจจะเดือดร้อนนิดหน่อย
00:08:23 → 00:08:25 ครับแล้วก็กลุ่มคนที่มักจะใช้เรื่องของ
00:08:25 → 00:08:30 อ่าน้ำผึ้งก็อาจจะเดือดร้อนได้มากขึ้นอื
00:08:30 → 00:08:37 เออมาพอพอเราอ่ามีมีแนวโน้มที่เป็นไอ้ตัว
00:08:37 → 00:08:41 ประสบอาการของโรคเนี้ยคุณหมอเอ่อเราจะทำ
00:08:41 → 00:08:44 ยังไงกับเขาบ้างนะคะทั้งระยะแรกระยะกลาง
00:08:45 → 00:08:47 ระยะปลายมันต้องดูแลตัวเองยังไงมันจะหาย
00:08:47 → 00:08:50 มยต้องรักษาขนาดไหนคุณหมอฮะครับโดยโดย
00:08:50 → 00:08:53 ทั่วๆไปมันมีอาการน้อยอาการมากอาการน้อย
00:08:53 → 00:08:56 อาการกลางๆแล้วก็อาการมากอนะครับครับ
00:08:56 → 00:08:58 กลุ่มที่อาการน้อยส่วนใหญ่บางทีมันค่อน
00:08:58 → 00:09:00 ข้างเฟลิก็คือคือมันก็เดี๋ยวมันก็หายไป
00:09:00 → 00:09:02 ล่ะเป็นสักช่วงนึงแล้วก็หายไปหรือบางคน
00:09:02 → 00:09:05 อาจจะอาจจะสามารถอยู่กับมันได้เลยอย่าง
00:09:05 → 00:09:08 เช่นบางท่านกินอาหารอ่ะส้มตำปูปลาร้าแล้ว
00:09:08 → 00:09:10 เป็นอืแต่ก็ฉันชอบกินน่ะไม่เป็นไรหรอก
00:09:10 → 00:09:13 ถ่ายท้อง 2-3 ครั้งเดี๋ยวก็หายไปช่างมัน
00:09:13 → 00:09:17 อะไกลุ่มนี้ก็มีให้เห็นปะปายนะครับกลุ่ม
00:09:17 → 00:09:19 ที่มีอาการกลางๆเช่นอาจจะต้องกินยารด
00:09:19 → 00:09:22 เกร็งกินยารดปวดบางครั้งนะครับหรือว่าอ่า
00:09:22 → 00:09:25 ถ้าถ่ายไม่ออกทานยาระบายช่วยนิดหน่อยแล้ว
00:09:25 → 00:09:27 ก็โอเคอย่างเงี้ยครับก็มีเหมือนกันแล้ว
00:09:27 → 00:09:30 กลุ่มที่มีอาการมากๆจนต้องแมเลยก็มีโมัน
00:09:30 → 00:09:33 มีทั้ง 3 กลุ่มทีนี้ตัวประเมินจริงๆก็คือ
00:09:33 → 00:09:36 เอาอาการที่เด่นที่สุดเป็นตัวประเมินครับ
00:09:36 → 00:09:39 เช่นังไงฮะอาการที่เด่นที่สุดณตอนนั้นคือ
00:09:39 → 00:09:42 ปวดรุนแรงมากอืถ้าอาการปวดรุนแรงในลักษณะ
00:09:42 → 00:09:45 ที่รับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้นกรณีเนี้ย
00:09:45 → 00:09:49 อันเนี้ยแนะนำไปโรงพยาบาลอืค่ะแต่ถ้า
00:09:49 → 00:09:51 สมมุติว่าอาการที่รุนแรงมากๆคือโอ้โหถ่าย
00:09:51 → 00:09:54 เป็น 10 เลยอย่างเงี้ยครับแล้วกินอะไรก็
00:09:54 → 00:09:57 ไม่ได้ไม่มีแรงเคลียร์เวียนศีรษะอย่าง
00:09:57 → 00:10:00 เงี้ยครับกรณีเหล่าเนี้ยก็คือเอาอาการตัว
00:10:00 → 00:10:01 นั้นน่ะเป็นตัวประเมินที่จะต้องไปโรง
00:10:02 → 00:10:04 พยาบาลเนื่องจากลำไส้ปลาปวนมันเป็นเป็น
00:10:04 → 00:10:08 คลกของอาการครับอือ่าเราเราจะต้องมา
00:10:08 → 00:10:10 ประเมินเป็นครั้งๆ
00:10:10 → 00:10:13 ไปดูดูตามความรุนแรงของตอนนั้นแล้วเราจะ
00:10:13 → 00:10:18 รักษาอาการที่เป็นเมรของตอนนั้นก่อนอื
00:10:18 → 00:10:22 ค่ะลักษณะอาการที่แบบรุนแรงถึงขั้นต้อง
00:10:22 → 00:10:25 ส่องกล้องไปดูลำไส้อะไรทำนองนั้นเลยมั้ย
00:10:25 → 00:10:26 คะคุณ
00:10:26 → 00:10:29 หมอคือจริงๆการส่องกล้องจะทำต่อเมื่อ
00:10:29 → 00:10:31 เมื่อเรามีข้อสงสัยอื่นๆครับเพราะว่าในลำ
00:10:31 → 00:10:34 ไส้แปลปรวนเนี่ยถ้าเราส่องกล้องไปเราจะ
00:10:34 → 00:10:37 เจอแต่ความปกติครับอืเราจะไม่เจอความผิด
00:10:37 → 00:10:41 ปกติเนื่องจากว่าตัวปัญหาเ่อมันไม่ได้
00:10:41 → 00:10:43 เกิดจากการอักเสบของลำไส้มันไม่ได้เกิด
00:10:43 → 00:10:46 จากการมีแผลภายในลำไส้อือแต่ว่ามันเกิด
00:10:46 → 00:10:48 จากการที่สื่อสารผิดปกติเพราะฉะนั้นตอน
00:10:48 → 00:10:50 ส่องกล้องเข้าไปเนี่ยถ้าเป็นลำไส้แปปรวน
00:10:50 → 00:10:53 จริงๆเราจะเจอแต่ความปกติอ่าแต่ว่าการ
00:10:53 → 00:10:55 ส่องกล้องเนี่ยจะถูกพิจารณาต่อเมื่ออาการ
00:10:55 → 00:10:58 นั้นมันผิดธรรมชาติจากลำไส้แปปวดไปครับ
00:10:58 → 00:10:59 เช่น
00:10:59 → 00:11:02 รักษาด้วยลำไส้ปปรวนไปแล้วไม่หายไม่ดี
00:11:02 → 00:11:04 ขึ้นอ่าอาการท้องผูกดูรุนแรงมากขึ้น
00:11:04 → 00:11:06 เรื่อยๆหรืออาการท้องเสียดูรุนแรงมากขึ้น
00:11:06 → 00:11:08 เรื่อยๆหรือถ่ายแล้วมีเลือดปนอย่างเงี้ย
00:11:08 → 00:11:11 ครับอืออ่าหรืออายุเกิน 60 ปีไปแล้วเพิ่ง
00:11:11 → 00:11:13 จะมาเป็นลำไส้ปาปรวนสิ่งเหล่านี้มันดูผิด
00:11:13 → 00:11:16 ธรรมชาติครับถ้ากรณีเหล่าเนี้ยเราคงจะไป
00:11:16 → 00:11:19 พิจารณาเรื่องของการส่องกล้องอ่าฮะแต่ถ้า
00:11:19 → 00:11:21 นอกเหนือจากกรณีเหล่าเนี้ยจริงๆแล้วเรา
00:11:21 → 00:11:23 ไม่ค่อยได้พิจารณาส่องกล้องมากนักเนื่อง
00:11:23 → 00:11:25 จากว่าเราไส้ปาปรวนน่ะต่อให้มันเป็นไปนาน
00:11:26 → 00:11:28 แค่ไหนอ่ะครับมันไม่ได้สามารถนำไปเกิด
00:11:28 → 00:11:32 ภาวะเองได้ออถ้าถูกพิสูจน์ว่าเป็นลำไส้
00:11:32 → 00:11:35 แปรปรวนจริงๆครับลำไส้แปรปรวนจะไม่เกี่ยว
00:11:35 → 00:11:39 กับการนำไปสู่มะเร็งแน่ๆคุณหมอบอกใช่อถ้า
00:11:39 → 00:11:41 ถ้าถ้าถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นลำไส้ปบวน
00:11:41 → 00:11:43 จริงๆนะครับคนกลุ่มเนี้ยเป็นมะเร็งไม่ได้
00:11:43 → 00:11:45 เนื่องจากความผิดปกติมันคือการสื่อสารของ
00:11:45 → 00:11:48 สัญญาณประสาทอืมไม่ใช่คไม่ได้เกิดแผลไม่
00:11:48 → 00:11:51 ได้เกิดอักเสบใดๆอืนั่นแหละฮะอันนี้จะได้
00:11:51 → 00:11:56 หายวิตกกังวลกันใช่มั้ยคุณหมอใช่ใช่ครับ
00:11:56 → 00:11:59 อืแล้วคนที่เป็นลำไส้แปรปวนน่ะนะคะมันจะ
00:11:59 → 00:12:02 มีโอกาสมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆอะไรได้บ้าง
00:12:02 → 00:12:05 มั้ยคะคุณหมอภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่จะเป็น
00:12:05 → 00:12:08 ผลพวงจากอาการที่เป็นเฉยๆครับแต่ว่าจะไม่
00:12:08 → 00:12:10 ได้เป็นภาวะแทรกซ้อนเช่นติดเชื้อง่ายหรือ
00:12:10 → 00:12:13 ว่าอะไรต่างๆอันนั้นไม่เกี่ยวกันครับไม่
00:12:13 → 00:12:15 ร่างกายเราไม่ได้วคลงในตอนที่เป็นลำไส้
00:12:15 → 00:12:17 แปรปรวนเราไม่ได้อ่อนแอลงคุมคุ้มกันเรา
00:12:17 → 00:12:19 ไม่ได้แย่ลงไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ
00:12:19 → 00:12:22 กว่าใครอือเป่าเลยครับมันเป็นเรื่องของ
00:12:22 → 00:12:25 การตอบสนองเฉยๆเพราะฉะนั้นน่ะในผลแทรก
00:12:25 → 00:12:26 ซ้อนที่จะเกิดขึ้นก็เช่นไม่ถ่ายเลย 4-5
00:12:27 → 00:12:29 วันปวดท้องแน่นท้องอืดท้องกินไม่ไหว
00:12:29 → 00:12:31 อาเจียนอย่างเงี้ยครับอผลแทรกซ้อนตรงนั้น
00:12:31 → 00:12:34 ต่างหากที่จะเกิดแต่ว่าผลแทรกซ้อนในเชิง
00:12:34 → 00:12:36 อื่นเช่นโมีลำไส้อักเสบเรื้อรังมั้ยมี
00:12:36 → 00:12:39 เรื่องของภูมิคุ้มกันผิดปกติมั้ยมีติด
00:12:39 → 00:12:41 เชื้อง่ายกว่าชาวบ้านหรือเปล่าคำตอบคือ
00:12:41 → 00:12:45 เปล่าครับไม่เกี่ยวกันอือืแล้วมันมันมัน
00:12:45 → 00:12:50 แสดงว่าลำไส้แปรปวนแบบเนี้ยฮะมันมันส่ง
00:12:50 → 00:12:53 ไม่ได้ผลผลกระทบเนี่ยต่อร่างกายมันไม่ได้
00:12:53 → 00:12:55 รุนแรงถึงขั้นไอ้มะเร็งมะเริงอะไรเงี้ย
00:12:55 → 00:12:58 ที่คุณหมอบอกไปแต่แต่มันจะสร้างความเขา
00:12:58 → 00:13:01 เรียกว่ามันสร้างสุขภาวะที่ไม่ดีให้กับ
00:13:01 → 00:13:04 ผู้ที่เป็นใช่ใช่ครับถ้าถ้าให้ถ้าให้พูด
00:13:04 → 00:13:07 กันง่ายๆคือมันสร้างความรำคาญมหาศาลเลย
00:13:07 → 00:13:09 ครับอืเพราะว่าต้องอย่าลืมว่าความเครียด
00:13:10 → 00:13:11 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดรำไส้ปราปรวน
00:13:11 → 00:13:13 ใช่มั้ยครับครับใช่เมื่อเมื่อคนไข้มี
00:13:13 → 00:13:17 อาการมากก็กังวลว่าตัวเองเป็นอะไรอเมื่อ
00:13:17 → 00:13:19 กังวลว่าเป็นอะไรลำไส้แพรพรวนก็จะอาการ
00:13:19 → 00:13:22 มากขึ้นจะมาเมื่ออาการมากขึ้นก็กังวลมาก
00:13:22 → 00:13:25 ขึ้นอ๋อมันก็จะทริกเกอร์กันเป็นวงจรไม่จบ
00:13:25 → 00:13:29 ไม่สิ้นเลยยิ่งกังวลยิ่งเป็นใช่ครับยิ่ง
00:13:29 → 00:13:31 คิดมากอันเนี้ยเป็นเป็นจุดที่เกิดบ่อยที่
00:13:31 → 00:13:33 สุดแล้วก็เกิดความน่ารำคาญมากที่สุดเพราะ
00:13:33 → 00:13:35 ว่าสุดท้ายก็จะต้องไปตรวจแล้วก็ไม่เจอ
00:13:35 → 00:13:37 อะไรอีกก็ไม่สบายใจอีก 2 กล้องก็ไม่เจอ
00:13:38 → 00:13:40 อะไรแต่มันยังไม่หายไม่สบายใจตรงเนี้ย
00:13:40 → 00:13:44 ครับสิ่งที่น่าน่าลำบากที่สุดของ้แไแปปวด
00:13:44 → 00:13:48 อจะนั่งทำงานจะเดินทางอยู่ดีๆก็มันมัน
00:13:48 → 00:13:51 กระทบหมดเลยนะใช่ครับออมันจะกลายเป็นมุม
00:13:51 → 00:13:54 นั้นไปครับมันจะมันจะส่งผลกระทบต่อ
00:13:54 → 00:13:56 Quality of Life หรือว่าคุณภาพชีวิต
00:13:56 → 00:13:59 สูงมากครับครับยิงเกลียดยิงนอนไม่หลับอนะ
00:13:59 → 00:14:02 กระสับกระส่ายทั้งวันไม่มีความสุขในการ
00:14:02 → 00:14:05 ทั้งกินทั้งเที่ยวอะไรเงี้ยคุณหมอนะใช่
00:14:05 → 00:14:07 ครับแล้วลองนึกภาพวัในปัจจุบันเราไป
00:14:07 → 00:14:09 เสิร์ช Google แล้วทุกครั้งมันขึ้นว่า
00:14:09 → 00:14:12 มะเร็งมเร็งมเร็งมงตลอดเวลาใช่ๆมันจะอยู่
00:14:12 → 00:14:15 สุขไม่ได้ครับมันจะกลัวมันมันเครียดไปอีก
00:14:15 → 00:14:18 เลยค่ะคุณหมอใช่ครับ
00:14:18 → 00:14:22 อออย่างงี้ถ้าเบื้องต้นถ้าปรากฏอาการ
00:14:22 → 00:14:25 สมมุติมีอาการปวดอย่างที่คุณหมอบอกแล้ว
00:14:25 → 00:14:27 มันมันมันมันคืออาการที่แบบใช่กับอาการ
00:14:27 → 00:14:30 เนี้ยเราจะต้องกินยาอะไรก่อนมยครับหรือ
00:14:30 → 00:14:33 ว่าปล่อยไว้เฉยๆเดี๋ยวหาเองหรือต้องทำยัง
00:14:33 → 00:14:37 ไงดีโดยทั่วๆไปถ้าเราสามารถหาตัวกระตุ้น
00:14:37 → 00:14:40 ได้เลยเช่นผมสมมุตินะครับผมสมมุติอ่ะ
00:14:40 → 00:14:42 เมื่อกี้เรายกตัวอย่างส้มตำปูปลาระแล้วะ
00:14:42 → 00:14:44 กันทุกครั้งที่กินส้มตำปูปลาร้าแล้วเป็น
00:14:44 → 00:14:47 แน่นอนฮะเรามี 2 ทางเลือกแล้วครับ
00:14:47 → 00:14:51 1 รู้เลยว่ากินแล้วเป็นแล้วทำใจสบายๆ
00:14:51 → 00:14:56 แล้วกินครับอาที่ 2 คืองั้นก็ไม่อยากเป็น
00:14:56 → 00:14:59 ไม่ต้องกินอ่าอันเนี้ยถ้าเรารู้ตัว
00:14:59 → 00:15:01 ทริกเกอร์นะครับหรือว่ารู้ว่าถ้าเครียด
00:15:01 → 00:15:03 เนี่ยเป็นแน่ๆ
00:15:03 → 00:15:06 100% ก็ต้องคิดแล้วว่าเราจะ manage ความ
00:15:06 → 00:15:07 เครียดเรายังไงเราจะ divert ความเครียด
00:15:07 → 00:15:09 เราอย่างไรซึ่งอันเนี้ยเป็นเรื่องยากแต่
00:15:10 → 00:15:13 ว่ามันพอจัดการได้อืครับหรือไม่งั้นก็รู้
00:15:13 → 00:15:14 เลยว่าเป็นนะเราไม่ต้องไปเครียดเรื่อง
00:15:14 → 00:15:16 นั้นเครียดเรื่องที่ตัวเองเครียดอยู่ให้
00:15:16 → 00:15:17 จบแล้ว
00:15:17 → 00:15:20 กันเพราะว่าเพราะว่ารู้อยู่แล้วว่ายังไง
00:15:20 → 00:15:22 ก็เป็นโอเคตเรื่องนี้ไปเลยยังไงมันก็ไม่
00:15:22 → 00:15:24 เป็นอะไรอย่างเงี้ยครับก็ได้แต่ถ้าอาการ
00:15:24 → 00:15:27 มันเกิดเยอะมากอย่างปกติทั่วๆไปเวลาไปโรง
00:15:27 → 00:15:29 พยาบาลเก็จะถามใช่มั้ยครับว่าเฮ้ยปวดที่
00:15:29 → 00:15:32 สุดในชีวิตเต็มสิทธิ์ปวดสักเท่าไหร่ดี
00:15:32 → 00:15:35 อะไรแบบเนี้ยใช่อ่าฮะเซึ่งเป็นคำถามที่ดู
00:15:35 → 00:15:37 เหมือนจะง่ายแต่ตอบกันยาก
00:15:38 → 00:15:42 ากใช่ค่ะเออเพราะว่าไม่รู้เท่าไหร่คือที่
00:15:42 → 00:15:45 สุดของชีวิตไงคะเพราะบางบางบางคนเไม่ได้
00:15:45 → 00:15:48 แบบเออเหมือนผู้หญิงบางคนจะถูกถามว่า
00:15:48 → 00:15:52 เหมือนคลอดลูกแต่บางคนไม่เคยคลอดนะคะหมอ
00:15:52 → 00:15:55 ใช่ครับจริงๆจริงๆวิธีกะเกณฑ์ให้กะง่ายๆ
00:15:55 → 00:15:58 ครับว่าปวดอะไรก็ได้ที่เราว่าเยอะมากๆ
00:15:58 → 00:16:01 แล้วอ่ะให้ให้คะแนนตรงนั้นเต็มๆอืเช่นคน
00:16:01 → 00:16:04 เคยกระดูกหักอันนั้นคือเยอะที่สุดก็ให้
00:16:04 → 00:16:06 ตรงนั้นเป็นเต็ม 10 ไป
00:16:06 → 00:16:10 อืขอโทษนะครับก็ก็แล้วเราเอาความปวดเรา
00:16:10 → 00:16:12 อ่ะไปเทียบกับตรงนั้นว่าได้คะแนนเท่าไหร่
00:16:12 → 00:16:15 เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะมีจุดตั้งต้นที่ที่
00:16:15 → 00:16:18 สูงที่สุดไม่เท่ากันไม่ต้องไม่ต้องไปไม่
00:16:18 → 00:16:20 ต้องไปคิดถึงว่าคลอดลูกเป็นยังไงรถชนเป็น
00:16:20 → 00:16:23 ยังไงอะไรไม่เป็นไรครับเอาแค่ปวดที่สุด
00:16:23 → 00:16:25 ของเราที่เคยเป็นอือันนั้นคือเต็มสิทธิ์
00:16:26 → 00:16:28 ครับแล้วให้ถอยลงมาถ้าทีนี้ถ้ามัน 6 7
00:16:28 → 00:16:32 เราถือถือว่าเยอะอืถ้ามันเยอะเนี่ยแปลว่า
00:16:32 → 00:16:36 ต้องมีการรักษาด้วยยาละอ๋อออืแต่ถ้ามัน
00:16:36 → 00:16:39 ออกมา 2 3 อันนี้อาจจะไม่จำเป็นอือๆๆอ
00:16:39 → 00:16:42 อาจจะรอสักแป๊บก็น่าจะดีขึ้นหรือจะรักษา
00:16:42 → 00:16:45 ด้วยยาธรรมดาๆอย่างเช่นยาลดการเกร็งของ
00:16:45 → 00:16:47 กล้ามเนื้อในช่องท้องอะไรอย่างเงี้ยครับ
00:16:47 → 00:16:53 ก็ได้ครับครับอืยาลดยาลดการเกร็งมันจะ
00:16:53 → 00:16:57 ช่วยให้ช่วยถึงขั้นปรับสภาพให้มันมันดี
00:16:57 → 00:17:00 ขึ้นเลยหรือว่ามันแค่แบบบรเทาฮบอกอ่ะจริง
00:17:00 → 00:17:02 ๆมันคือเป็นยาเป็นยารักษาตามอาการครับ
00:17:03 → 00:17:05 เนื่องจากว่าลำไส้ปปวนมันเป็นการตอบสนอง
00:17:05 → 00:17:08 ต่อสภาวะที่ถูกกระตุ้นอครับทีนี้เราเราไป
00:17:08 → 00:17:12 กดเราไปกดการตอบสนองลงมาอืการกระตุ้นไม่
00:17:12 → 00:17:14 เป็นผลอย่างสมมุติผมผมผมยกตัวอย่างเวลาคน
00:17:14 → 00:17:18 คนแกล้งใคระกันครับเวลาเราแกล้งใครสักคน
00:17:18 → 00:17:21 แล้วเขาไม่มี resp เไม่ตอบสนองเไม่อือเ
00:17:21 → 00:17:24 ไม่หือไม่อือเราจะเลิกแกล้งครับอ้าฮะ
00:17:24 → 00:17:27 เพราะเราไม่ได้อะไรกลับมาเลยอืถูกมั้ฮะ
00:17:27 → 00:17:30 การกระตุ้นเป็นลักขณะเดียวกันอืเพราะ
00:17:30 → 00:17:33 ฉะนั้นมันเท่ากับว่าเราเราไปเราไปปิดเรา
00:17:33 → 00:17:35 ไปปิดระบบการตอบสนองมันไม่มีการตอบสนอง
00:17:35 → 00:17:38 กลับไปจะไม่มีการกระตุ้นกลับมาเช่นเดียว
00:17:38 → 00:17:41 กันอือมันจะเป็นลักษณะการรักษาตามอาการ
00:17:41 → 00:17:44 ครับอเ่าตรงตรงนี้ตรงนี้จะเป็นแบบนี้นะ
00:17:44 → 00:17:48 ครับอ้าค่ะทั้งนี้ถามว่าเป็นยาที่รักษา
00:17:48 → 00:17:50 แบบไปตลอดต้องกินไปตลอดมยคำตอบคือไม่ใช่
00:17:50 → 00:17:53 ครับกินเฉพาะตอนที่มีอาการเท่านั้นเองอือ
00:17:53 → 00:17:56 ถ้าตอนที่ไม่มีอาการไม่ต้องรับประทานอ๋อ
00:17:56 → 00:17:58 มันมีอีกจุดหนึ่งที่มันมีความสัมพันธ์กัน
00:17:59 → 00:18:01 เยอะขึ้นในอนาคตเอ้ยในในในปัจจุบันนะครับ
00:18:01 → 00:18:03 ในอนาคตน่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้ก็คือ
00:18:03 → 00:18:06 เรื่องของกลุ่มของแบคทีเรียในทางเดิน
00:18:06 → 00:18:10 อาหารเราที่มันผิดเพี้ยนไปอือ่าเนื่องจาก
00:18:10 → 00:18:12 เนื่องจากระบบสัญญาณหรือระบบฟีดแบคต่างๆ
00:18:12 → 00:18:14 เหล่านั้นมันก็พึ่งพาแบคทีเรียเหล่านี้
00:18:14 → 00:18:16 เช่นเดียวกันอือระบบการย่อยของเราก็พึ่ง
00:18:16 → 00:18:18 พาแบคทีเรียเหล่านี้เช่นเดียวกันครับ
00:18:18 → 00:18:20 เพราะฉะนั้นในคนที่เป็นเยอะๆมากๆจริงๆมัน
00:18:20 → 00:18:22 อาจจะไปดูตรงนี้ได้ว่าเอ้ยแบคทีเรียมันมี
00:18:22 → 00:18:24 อะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่ามีความไม่
00:18:24 → 00:18:26 สมดุลมั้ยอมีความหลากหลายไม่เพียงพอมั้ย
00:18:26 → 00:18:28 แล้วไปจัดการกับแบคทีเรียเหล่านั้นเพื่อ
00:18:28 → 00:18:33 ความถี่ของการเป็นลดลงได้ออือืค่ะตรงนั้น
00:18:33 → 00:18:36 น่ะครับมีมีวิธีรักษาตรงนั้นได้หรือว่า
00:18:36 → 00:18:38 ถ้าส่วนใหญ่อาการปวดอ่ะเอ้ยอาการปวดฉันพอ
00:18:38 → 00:18:41 ดลได้ฉันพอสบายๆไอ้ปวดพอทนได้ไม่เป็นไร
00:18:41 → 00:18:44 หรอกเป็นคนที่ทนเก่งแต่ว่ามันเข้าห้องน้ำ
00:18:44 → 00:18:46 ไม่ได้นี่สิมันอึดอัดมันรู้สึกวันนี้ไม่
00:18:46 → 00:18:48 ได้ทำอะไรสักอย่างมันอึดอัดอันนั้นก็จะ
00:18:48 → 00:18:51 เป็นการรักษาด้วยอาจจะเป็นยาระบายอาจจะ
00:18:51 → 00:18:53 เป็นยาลดจำนวนครั้งการถ่ายอะไรแบบเยครับ
00:18:53 → 00:18:55 เพราะฉะนั้นการรักษาจะมีความหลากหลายแตก
00:18:55 → 00:18:57 ต่างกันออกไปในแต่ละในแต่ละคนที่เป็น
00:18:57 → 00:19:00 เพราะว่าอาการเด่นแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
00:19:00 → 00:19:02 อืครับถ้าให้ผมเปรียบเทียบก็คือลำไส้ปลา
00:19:02 → 00:19:06 ปวนจะไม่ใช่โลคที่มีไซส์ sml XL อ่ะออฮะ
00:19:06 → 00:19:10 ๆจะเป็นจะเป็นเทเลอร์เดทุกอันเลยทุกคนเลย
00:19:10 → 00:19:13 ต้องมานั่งดูว่าแต่ละคนเป็นยังไงเป็นจะ
00:19:13 → 00:19:16 กินอะไรมั้ยเครียดอะไรหรือเปล่าอาการเด่น
00:19:16 → 00:19:17 เป็นตัวไหนเราจะเริ่มรักษาอย่างไรก่อน
00:19:18 → 00:19:22 อย่างเงี้ยครับออืค่ะอย่างอย่างคนที่เขา
00:19:22 → 00:19:24 บอกว่าตัวเขาเป็นบ่อยมากเกิดอาการแบบนี้
00:19:24 → 00:19:30 บ่อยๆเอันนี้อันนี้จะรักษาตามอาการไปคือ
00:19:30 → 00:19:33 กินยาเองก็ได้หรือว่าจำเป็นและต้องมาดูหา
00:19:33 → 00:19:36 หมอกันบ้างและอย่างงี้ครับจริงๆถ้าถ้า
00:19:36 → 00:19:37 เป็นบ่อยแล้วอยู่ในเกณฑ์ที่แบบว่าเป็น
00:19:37 → 00:19:40 บ่อยแต่ว่าพอกินยาปั๊บวันนึงก็หาย 2 วัน
00:19:40 → 00:19:42 ก็หายนะครับอันนี้ไม่ค่อยมีปัญหาครับเรา
00:19:42 → 00:19:44 ถือว่าเป็นมาเลยแต่ถ้ารู้สึกว่าโอ้โหเป็น
00:19:44 → 00:19:47 บ่อยๆแล้วมันรบกวนตลอดเวลาแทบจะต้องลงาน
00:19:47 → 00:19:49 ทุกรอบเงี้ยครับอันนี้อาจจะแนะนำพบแพทย์
00:19:49 → 00:19:52 เพราะว่าเราจะได้ไปเสาะหาว่าจริงๆแล้วตัว
00:19:52 → 00:19:54 เพราะประเด็นการรักษาที่สำคัญที่สุดคือ
00:19:54 → 00:19:56 เราต้องไปดูว่าตัวที่ทริกเกอร์คืออะไร
00:19:56 → 00:19:58 ครับอืครับครับแล้วเราไปแก้ที่ตัวที่มัน
00:19:59 → 00:20:02 ทริกเกอร์อืครับตรงนั้นนะครับคือจุดที่
00:20:02 → 00:20:04 จุดที่เราจะไปรักษาลำไส้แปปวนได้ดีที่สุด
00:20:04 → 00:20:07 อือ่าความถี่มันก็จะลดลงทีนี้ลำไส้แปร
00:20:07 → 00:20:09 ปรวนเองอ่ะครับเป็นโรคที่มันมีการหยุดไป
00:20:09 → 00:20:11 ได้ด้วยตัวเองนะครับอือไม่ได้หมายความว่า
00:20:11 → 00:20:13 ถ้าเราเป็นแล้วมันจะเป็นไปตลอดชีวิตที่
00:20:13 → 00:20:16 เหลือมันไม่ได้แปลแบบนั้นครับณจุดๆหนึง
00:20:16 → 00:20:18 เนี่ยมันก็จะค่อยๆอาการเบาบางลงแล้วะหาย
00:20:18 → 00:20:22 ไปอืแต่เพียงแต่ไอ้ตรงจุดๆนั้นน่ะเราไม่
00:20:22 → 00:20:24 รู้ว่าแต่ละคนเนี่ยใช้เวลาเท่าไหร่อืถึง
00:20:24 → 00:20:27 จะถึงจุดๆนั้นตรงนั้นเป็นพอย์ที่เราไม่
00:20:27 → 00:20:29 รู้เพราะฉะนั้นถ้าเราเราสามารถลดตัว
00:20:29 → 00:20:31 กระตุ้นลงไปได้อ่ะครับเมื่อความถี่มันลด
00:20:31 → 00:20:33 ลงอย่างที่ผมบอกเมื่อกี้มันเป็นฟีดแบค
00:20:33 → 00:20:35 ทั้งหมดทั้งวงจรใช่มั้ยครับครับเมื่อความ
00:20:36 → 00:20:38 ถี่มันลดลงการตอบสนองลดลงทุกอย่างลดลงมัน
00:20:38 → 00:20:41 ก็จะค่อยๆเบาบางลงไปเช่นเดียวกันฮะ
00:20:41 → 00:20:45 อืในในที่สุดมันก็จะหายไปถ้าเราแบบเหมือน
00:20:45 → 00:20:48 กับว่าลดตัวที่เป็นตัวกระตุ้นออกไปจาก
00:20:48 → 00:20:50 ชีวิตอันนี้เข้าใจถูกต้องมั้ยคะคุณหมอถูก
00:20:50 → 00:20:54 ต้องครับใช่ครับอืจัดการกระบวนการต้นตอ
00:20:54 → 00:20:56 ของมัน
00:20:56 → 00:20:59 ซะการกินความเครียดอะไรก็ตัดต้นตอใช่ครับ
00:20:59 → 00:21:03 อืแล้วในลำไส้เนี่ยคือ
00:21:03 → 00:21:07 เอ่อเราจะรักษาสมดุลในลำไส้ให้ลำไส้มัน
00:21:07 → 00:21:10 เอ่อมีแบคทีเรียที่ดีจุลินทรีย์ที่ดีใน
00:21:11 → 00:21:13 การที่จะช่วยเราขับถ่ายเนี่ยมันมีวิธีการ
00:21:13 → 00:21:16 อะไรยังไงได้บ้างคะคุณหมอครับจริงๆแล้ว
00:21:16 → 00:21:18 ต้องต้องบอกว่าอาหารส่วนใหญ่ที่เรารับ
00:21:18 → 00:21:20 ประทานนะครับถ้าเรารับประทานอาหารหลาก
00:21:20 → 00:21:23 ชนิดอยู่แล้วแล้วก็มีความครบถ้วนสมบูรณ์
00:21:23 → 00:21:25 ในแง่ของคุณค่าทางอาหารอยู่แล้วครับตรง
00:21:25 → 00:21:27 นั้นน่ะจะสร้างให้ความจุลินทรียมันมีความ
00:21:27 → 00:21:31 หลากหลายอยู่แล้วอ๋อแต่ถ้าสมมุติว่าเกิด
00:21:31 → 00:21:33 เผอิญเราต้องบอกว่าโลกในปัจจุบันมัน
00:21:33 → 00:21:35 เปลี่ยนไปเยอะนะครับเนื่องจากจากชนิดของ
00:21:35 → 00:21:38 อาหารที่เรารับประทานมันมันหาได้ง่าย
00:21:38 → 00:21:40 เหลือเกินวันนี้จะเป็นอาหารญี่ปุ่นพรุ่ง
00:21:40 → 00:21:42 นี้จะเป็นอาหารฝรั่งจะเป็นอาหารอะไรมัน
00:21:42 → 00:21:46 มันมันเปลี่ยนไปเยอะมากอทีนี้ค่ะมันมัน
00:21:46 → 00:21:48 เปลี่ยนไปได้เยอะมากอ่ะครับก็เลยทำให้
00:21:48 → 00:21:51 สมดุลของจุลินทรีย์ของเราในบางกรณีอาจจะ
00:21:51 → 00:21:54 เพี้ยนได้บ้างอือ่ะตัวที่เราจะมีตัวช่วย
00:21:54 → 00:21:57 เสริมในปัจจุบันก็จะมีกลุ่มที่เราเห็นกัน
00:21:57 → 00:21:59 อยู่เต็มไปหมดเลยตามท้องตลาดก็จะเป็นพวก
00:21:59 → 00:22:03 โปรไบโอติกอืหรือว่าจุลินทรีย์ที่ดีที่
00:22:03 → 00:22:05 รับประทานกันนี่แหละครับที่ซื้อกันตามตาม
00:22:05 → 00:22:08 ร้านขายยาได้หรือแม้กระทั่งตามโรงพยาบาล
00:22:08 → 00:22:09 บางครั้งไปพบแพทย์แพทย์ก็จะให้มาเช่น
00:22:10 → 00:22:12 เดียวกันอืแต่ทีนี้ในพาร์ทของโอติกเนี่ย
00:22:12 → 00:22:14 ครับอาจจะต้องเลือกตัวนิดนึงเพราะว่าไม่
00:22:14 → 00:22:18 ใช่ทุกตัวที่เหมาะกับลำไส้แปปวนอืครับมัน
00:22:18 → 00:22:20 จะมีแค่บางตัวเท่าที่เหมาะกับลำไส้แปปวน
00:22:20 → 00:22:22 เพราะฉะนั้นถ้าไปถึงตรงจุดนั้นนะครับอาจ
00:22:22 → 00:22:25 จะอ่าถ้าสมมุติว่ารับซื้อรับประทานเอง
00:22:25 → 00:22:27 แล้วไม่ดีขึ้นหรือว่าไม่ได้ซื้อรับประทาน
00:22:27 → 00:22:28 แล้วไม่แน่ใจอย่างเงี้ยครับอาจจะลอง
00:22:28 → 00:22:31 ปรึกษาพ่อดูได้ว่าเอ้ยในกลุ่มลำไส้แปปวน
00:22:31 → 00:22:34 มีโปรไบโอติกตัวไหนที่ช่วยเราได้บ้างอื
00:22:34 → 00:22:39 อ๋อมีลักพอเจาะจงค่ะใช่ครับแต่ถ้าสมมุติ
00:22:39 → 00:22:40 อยากรู้เลยว่าเอ้ยแล้วเราอ่ะจริงๆแล้ว
00:22:40 → 00:22:43 แบคทีเรียของเรามันมีความเสียหายอะไรไป
00:22:43 → 00:22:45 หรือเปล่าหรือไม่ปกติยังไงหรือเปล่าอัน
00:22:45 → 00:22:46 นั้นมันปัจจุบันก็จะมีวิธีการตรวจเยอะ
00:22:46 → 00:22:49 ครับก็จะเป็นตัวเรื่องของอ่าการตรวจ
00:22:49 → 00:22:51 จุลินทรีย์ในในทางเดินอาหารโดยอาศัยการ
00:22:51 → 00:22:54 ตรวจผ่านทางอุจจระอือฮึอันนี้ก็มีหลาย
00:22:54 → 00:22:57 หลายหลายๆวิธีการตรวจละนะครับตรงนั้นก็
00:22:57 → 00:22:59 สามารถไปตรวจดูได้แล้วก็มาดูผลกันได้ว่า
00:22:59 → 00:23:01 เออแนวโน้มมันน่าจะเป็นอะไรอย่างไรเรา
00:23:01 → 00:23:03 ต้องปรับอย่างไรบ้างหรือเปล่าปรับวิธีการ
00:23:03 → 00:23:05 กินแบบไหนมั้ยต้องกินโปรไบโอติกตัวไหน
00:23:05 → 00:23:08 เป็นพิเศษหรือเปล่างี้ตรงนี้มันก็จะมีถ้า
00:23:08 → 00:23:10 ถ้าถ้าใครที่จะลงลึกไปขนาดนั้นก็ได้อีก
00:23:10 → 00:23:13 เช่นเดียวกันอืครับหรือไม่งั้นจะไปเลือก
00:23:13 → 00:23:15 ตัวโปรไบโอติกที่เฉพาะสำหรับรไส้แบบกนมา
00:23:15 → 00:23:19 ใช้เลยก็ได้เหมือนกันครับอ๋อแสดงว่าคนที่
00:23:19 → 00:23:22 กินอาหารที่หลากหลายไม่จำเจนี่ก็จะมี
00:23:22 → 00:23:25 โอกาสแนวโน้มค่อนข้างที่จะลำไส้ใ่ก็จะมี
00:23:25 → 00:23:28 มันจะมีกลุ่มอาหารที่มีโปเอ่อจุเอ่อจุลิซ
00:23:28 → 00:23:31 ดีๆเยอะอยู่ครับอย่างเช่นกลุ่มอาหารที่
00:23:31 → 00:23:33 เป็นกลุ่มอาหารหมักต่างๆกลุ่มอาหารดอง
00:23:33 → 00:23:35 เงี้ยครับอย่างอย่างเต้าหู้ยี้อย่างเงี้ย
00:23:35 → 00:23:37 ครับอย่างกินจิอย่างเงี้ยครับอ่าตรงสิ่ง
00:23:37 → 00:23:39 เหล่านี้จะมีจุลินทรีย์ที่ดีที่จะช่วย
00:23:39 → 00:23:42 เข้าไปหาเราได้อยู่ครับอืแต่ไม่ได้หมาย
00:23:42 → 00:23:45 ความว่าต้องกินถี่ทุกวันอย่างงี้ก็ไม่ใช่
00:23:45 → 00:23:49 ใช่มั้ยคุณหมออืไม่ใช่ครับเดี๋ยวไม่ใช่
00:23:49 → 00:23:52 ฟังกันไปแล้วไปกินกันโอ้โหเอาทางสายกลาง
00:23:53 → 00:23:55 ครับอะไรที่มากไปก็ไม่ก็ไม่
00:23:55 → 00:23:59 ดีเออนะครับแล้วอย่าพวพวกอะไรนะเอ่อที่
00:23:59 → 00:24:04 เขาเขานิยมกันโยเกิร์ตเอ่อนมเปรี้ยวอะไร
00:24:04 → 00:24:07 พวกนี้ละครับครับโยเกิร์ตสามารถกินได้ที
00:24:07 → 00:24:11 นี้ต้องต้องบอกว่าอ่าการรักษาถ้าเราไป
00:24:11 → 00:24:12 มุ่งเป้ามันอยู่ที่มันอยู่ที่
00:24:12 → 00:24:14 วัตถุประสงค์ของการรับประทานนะครับตัว
00:24:14 → 00:24:16 โปรไบโอติกหรือว่าแม้กระทั่งโยเกิครับถ้า
00:24:16 → 00:24:18 วัตถุประสงค์ของการรับประทานเพื่อรักษา
00:24:18 → 00:24:22 โรคอืถ้าอย่างนั้นโยเกิอาจจะไม่พออ๋ออ
00:24:22 → 00:24:24 เพราะว่าจำนวนของจุลินทรีย์มันมีความ
00:24:24 → 00:24:27 สำคัญในเรื่องของการรักษาโรคมันต้องได้
00:24:27 → 00:24:29 จำนวนที่พอเหมาะด้วยแล้วชนิดที่ใช่ด้วย
00:24:29 → 00:24:31 อือๆๆมันถึงจะรักษาโรคได้สำคัญตรงชนิดที่
00:24:31 → 00:24:34 ใช่เนี่ยเนาะคุณหมอใช่แต่ถ้าสมมุติว่าถ้า
00:24:35 → 00:24:37 ถ้าสมมุติว่ากินเพื่อแบบให้รู้สึกว่าเออ
00:24:37 → 00:24:38 ให้ทางเดือนอาหารมัน Healthy ขึ้นอะไร
00:24:39 → 00:24:41 ขึ้นแต่เราไม่ได้มีโรคอะไรอย่างนิโยมเกิด
00:24:41 → 00:24:46 เพียงพอครับออือืครับผมอย่างเออผมมีมี
00:24:46 → 00:24:49 กรณีนึงอันนั้นอันนี้สงสัยเป็นเป็นพิเศษ
00:24:49 → 00:24:52 อย่างสมมุติอยู่ดีเรา
00:24:52 → 00:24:55 กินกินข้าวหรือว่ากินอาหารอะไรก็แล้วแต่
00:24:56 → 00:25:00 ในช่วงช่วงช่วงหลังกินอ่ะมันดันแบบปวดมัน
00:25:00 → 00:25:02 ปวดท้องขึ้นมาทันทีเลยอันเนี้ยมันเกี่ยว
00:25:02 → 00:25:07 กับเป็นการขับถ่ายปกติหรือมันเป็นการเกิด
00:25:07 → 00:25:09 สาเหตุของลำไส้ครับคุณหมอพอๆจะหมายความ
00:25:09 → 00:25:11 ว่าหลังรับประทานอาหารแล้ววิ่งเข้าห้อง
00:25:11 → 00:25:12 น้ำเลยอย่างงั้นครับถูกต้องครับพอกิน
00:25:12 → 00:25:15 เสร็จสัก 5 นาที 10 นาทีอะไรเงี้ยคุณหมอ
00:25:15 → 00:25:18 โอเคแบบนี้อาจจะถูกแบ่งออกมาเป็น 3 กรณี
00:25:18 → 00:25:21 ครับครับกรณีที่ 1 คือถ้าเป็นคนที่ถ่าย
00:25:21 → 00:25:24 ลำบากอยู่วเดิมหรือถ้าเป็นคนที่ถ่ายท้อง
00:25:24 → 00:25:26 ไม่ค่อยหมดอยู่เดิมอือแล้วรับประทานเข้า
00:25:26 → 00:25:29 ไปแล้วต้องเข้าห้องน้ำเลยกรณีนี้อาจจะ
00:25:29 → 00:25:31 เป็นปัญหาเรื่องของการที่ถ่ายแล้วมันไม่
00:25:31 → 00:25:34 หมดอยู่เดิมอยู่แล้วครับออออก็คือหรือว่า
00:25:34 → 00:25:37 มีมีภาวะท้องผูจนอุจจระมันเยอะมากอยู่ใน
00:25:37 → 00:25:38 ท้องอยู่แล้วอันนี้เป็นได้ครับอันนี้อัน
00:25:39 → 00:25:41 ที่ 1 แล้วเผอิญอาหารที่ทานเข้าไปอาจจะมี
00:25:41 → 00:25:43 อาจจะมีแรงในการกระตุ้นลำไส้ได้เยอะกว่า
00:25:43 → 00:25:46 ปกติอืเช่นทานพริกลงไปทานเปรี้ยวลงไปอะไร
00:25:46 → 00:25:49 แบบเยครับน้ำไส้จะบีบตัวมากกว่าปกติก็จะ
00:25:49 → 00:25:51 วิ่งไปเข้าห้องน้ำได้เลยอันนี้อันที่ 1
00:25:51 → 00:25:53 นะครับอันที่ 2 ก็คือเราย่อยอาหารบาง
00:25:54 → 00:25:56 ประเภทไม่ได้ครับครับเช่นอย่างสมมุติผลิต
00:25:56 → 00:25:58 พันธุ์จากนมแลกโตสอย่างเงี้ยครับเราย่อย
00:25:59 → 00:26:01 ไม่ได้แล้วเราทานเข้าไปอืเมื่อย่อยไม่ได้
00:26:01 → 00:26:04 ดูดซึมก็ไม่ได้ดูดซึมไม่ได้มันก็จะเกิด
00:26:04 → 00:26:08 การการอ่าหมักหรือว่าเกิดการสร้างก๊าซ
00:26:08 → 00:26:11 ต่างๆเกิดขึ้นภายในทางเดินอาหารลำไส้ก็จะ
00:26:11 → 00:26:13 ป่องมากขึ้นเมื่อป่องมากขึ้นจะมีแรงบีบ
00:26:13 → 00:26:16 ตัวกลับมากขึ้นออหรือคาร์โบไฮเดรตที่ย่อย
00:26:16 → 00:26:18 ไม่ได้อย่างแลคโตสเงี้ยมันก็จะดึงน้ำเข้า
00:26:18 → 00:26:21 หาตัวเยอะๆครับเพราะว่ามันย่อยไม่ได้ก็จะ
00:26:21 → 00:26:23 กลายเป็นมีวอลุมที่มากขึ้นก็จะไปผลักให้
00:26:23 → 00:26:26 การมีการขับถ่ายเกิดขึ้นเพราะเราย่อยมัน
00:26:26 → 00:26:28 ไม่ได้อันนี้อันที่ 2 ครับคือเรายมันไม่
00:26:28 → 00:26:31 สำเร็จนะครับอ่าเช่นเอนไซม์เราไม่พอเรา
00:26:31 → 00:26:34 พร่องเอนไซม์ตัวนั้นไปอย่างเงี้ยครับออ่ะ
00:26:34 → 00:26:36 กรณีที่ 3 ก็จะมาว่ากันถึงกลุ่มที่เป็นลำ
00:26:36 → 00:26:39 ไส้ป่าปวนก็ได้ออฮะอ่าก็คือก็มันอาจจะ
00:26:39 → 00:26:42 ต้องมาพิจารณากันเป็นกรณีกรณีไปว่ามันน่า
00:26:42 → 00:26:44 จะเป็นอะไรมากกว่าแต่ถ้าถ้าลำไส้ป่าปวน
00:26:44 → 00:26:45 ข้อสังเกตก็คืออย่างที่คุณหมอบอกอย่างแรก
00:26:45 → 00:26:48 เลยต้องปวดใช่มั้ยฮะใช่มันจะปวดอแต่ถ้า
00:26:48 → 00:26:51 ไม่ได้ปวดอาจจะไป 1 หรือ 2 แทนก็เป็นได้
00:26:51 → 00:26:54 ใช่ใช่ครับจะไม่จะไม่ได้เป็นอืดท้องนะ
00:26:54 → 00:26:56 ครับ 2 อย่างแรกจะเป็นอืดท้องแน่นท้องได้
00:26:56 → 00:26:59 ครับแต่จะไม่ค่อยปวดอือถ้าลำไส้ปปวดเนี่ย
00:26:59 → 00:27:02 จะปวดเลยครับอืเเป็นข้อสังเกตที่น่าน่าจะ
00:27:02 → 00:27:04 คนหลายๆคนอาจจะสังเกตตัวเองก็ได้นะผมว่า
00:27:04 → 00:27:08 ผมเชื่อว่าหลายๆคนเป็นมักจะเป็นเป็นแล้ว
00:27:08 → 00:27:11 ก็อาจจะสงสัยเอ้ยเกี่ยวฉันกินอะไรลงไป
00:27:11 → 00:27:13 เนี่ยหรือว่าเป็นอะไรกันแน่เนี่ยอีกแล้ว
00:27:13 → 00:27:16 หรออะไรเงี้ยโดยเฉพาะช่วงเดินทางนะคุณหมอ
00:27:16 → 00:27:20 คือใครๆก็แบบเออถ้าถ้าเป็นกลุ่มรำไส้ปา
00:27:20 → 00:27:23 ปวนเราจะเจอในคนที่เดินทางบางทีคือไปต่าง
00:27:23 → 00:27:25 ประเทศปุ๊บไม่ต้องพูดถึงเลยเข้าห้องน้ำ
00:27:25 → 00:27:29 ไม่ได้สัก 3-4 วันน่ะมันไม่ชิน
00:27:29 → 00:27:31 มันไม่กินที่มันมีเปลี่ยนสถานที่เกิดขึ้น
00:27:31 → 00:27:35 ฮะอันเนี้ยฮะจะมีให้เห็นกันบ้างป่าายว่า
00:27:35 → 00:27:37 แล้วถ้าไม่เดินทางก็ไม่เป็นไรเลยนะสบาย
00:27:37 → 00:27:39 ที่ีที่เดินทางคือไม่ได้เลยครับครับมัน
00:27:39 → 00:27:42 กังวลเรื่องการเดินทางเรื่องของเวลาที่
00:27:42 → 00:27:44 เปลี่ยนไปห้องน้ำห้องท่าไม่รู้จะเป็นยัง
00:27:44 → 00:27:49 ไงครับเอ่อไปเจออาหารที่แปลกๆจากที่เคย
00:27:49 → 00:27:53 กินที่บ้านบ้านเราด้วยใช่ครับเออ
00:27:53 → 00:27:57 อืก่อนหน้านี้คุณหมอบอกว่าเอ่อลำไส้แปร
00:27:57 → 00:27:59 ปรวนเนี่ยมันคือความผิดพลาดของการสื่อ
00:27:59 → 00:28:03 ระหว่างสมองกับลำไส้แสดงว่าตัวลำไส้แปร
00:28:03 → 00:28:06 ปวนเนี่ยใครๆก็เป็นได้อนี้เข้าใจถูกต้อง
00:28:06 → 00:28:09 มั้ยคะหรือว่ามันมีความเฉพาะว่าอันไหนใคร
00:28:09 → 00:28:11 เสี่ยงเป็นพิเศษหรือเปล่าคะคุณหมอจริงๆ
00:28:11 → 00:28:13 แล้วต้องบอกว่าเป็นได้ทุกอายุเลยครับไม่
00:28:13 → 00:28:15 ได้มีข้อกำหนดว่าจะเป็นอายุไหนเป็นพิเศษ
00:28:15 → 00:28:18 หรือเป็นเพศไหนเป็นพิเศษนะครับมันเป็นได้
00:28:18 → 00:28:21 ค่อนข้างเฉลี่ยทั่วๆไปในทุกอายุเลยนะครับ
00:28:21 → 00:28:23 แล้วก็ถามว่าใครๆก็เป็นได้ใช่ไหมคำตอบคือ
00:28:23 → 00:28:26 ใช่ครับมันไม่มีตัวบอกเลยว่ามันไม่มี
00:28:26 → 00:28:28 มาร์เกอร์ที่จะบอกว่าใครกันแน่ที่จะเป็น
00:28:28 → 00:28:31 เป็นอืแต่แน่นอนมันจะพบกับคนที่มีภาวะ
00:28:31 → 00:28:33 เครียดมากๆได้เนื่องจากว่ามันมีตัว
00:28:33 → 00:28:36 กระตุ้นใส่เข้าไปเยอะมากๆอ่ะครับครับอื
00:28:36 → 00:28:39 อ่าอันนั้นเราก็จะเจอได้เพราะฉะนั้นในคน
00:28:39 → 00:28:41 ในกลุ่มเหล่าเนี้เราอาจจะเจอได้เยอะขึ้น
00:28:41 → 00:28:42 อืออันที่ 2 ก็คือเนื่องจากมันเป็นการ
00:28:43 → 00:28:45 สื่อสารที่ผิดปกติจากสมองเพราะฉะนั้นการ
00:28:45 → 00:28:47 สื่อสารที่ผิดปกติจะเกิดขึ้นต่อเมื่ออะไร
00:28:47 → 00:28:51 ต่อเมื่อมีการใช้งานที่เยอะเกินออืออ่า
00:28:51 → 00:28:53 ซึ่งการใช้งานที่เยอะเกินของสมองก็คือคิด
00:28:53 → 00:28:56 เยอะเกินคิดเยอะเกินโออ่าเพราะฉะนั้นนั่น
00:28:56 → 00:28:58 หมายถึงว่ายิ่งเครียดเยอะเยอะมากๆความ
00:28:58 → 00:29:00 เสี่ยงในการเป็นมันก็เยอะขึ้นเช่นเดียว
00:29:00 → 00:29:02 กันอืโอกาสที่เราจะไปเจอในกลุ่มคนที่
00:29:02 → 00:29:04 เครียดมันก็จะยิ่งเยอะขึ้นอย่างเงี้ยครับ
00:29:04 → 00:29:06 แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคคิดไปเองนะ
00:29:06 → 00:29:08 ครับเมื่อก่อนเนี้ยถอยไปหลายสิบปีก่อนเรา
00:29:08 → 00:29:11 เข้าใจว่าโรคลำไส้แปรปวนคือโรกที่คนคิดไป
00:29:11 → 00:29:14 เองจริงๆไม่ได้เป็นอะไรเลยอ๋อแต่ปัจจุบัน
00:29:14 → 00:29:16 มันถูกพิสูจน์มาหมดแล้วว่ามันมีความผิด
00:29:16 → 00:29:19 ปกติถึงระดับของการสื่อสารในเส้นประสาท
00:29:19 → 00:29:22 และระดับของตัวไมโครไบโอมหรือจุลินทรีย์
00:29:22 → 00:29:24 ที่ที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารดูดซึมอาหารให้
00:29:24 → 00:29:27 เราเนี่ยมันผิดปกติผิดเพี้ยนไปส่งสัญญาณ
00:29:27 → 00:29:30 กันเพี้หมดเลยตลอดแนวอือันนั้นนะครับคือ
00:29:30 → 00:29:32 ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจริงเพราะฉะนั้น
00:29:32 → 00:29:34 โรคเหล่าเนี้ยมันไม่ใช่โรคที่เราคิดไปเอง
00:29:34 → 00:29:37 หรือแบบอ่ะเครียดลงกระเพาะเครียดลงลำไส้
00:29:37 → 00:29:39 ไม่ใช่ครับคือถ้าใช้คำว่าเครียดลงลำไส้
00:29:39 → 00:29:41 อาจจะได้แต่ไม่ได้หมายความว่าเาคิดไปเอง
00:29:41 → 00:29:44 นะมันมีความผิดปกติจริงที่เกิดจากความ
00:29:44 → 00:29:48 เครียดเป็นตัวนำอือืแสดงว่าเครียดลง
00:29:48 → 00:29:51 กระเพาะก็อีกอีกสาเหตุอีกอีกกรณีนึงอาการ
00:29:51 → 00:29:54 ค่อนข้างจอันนั้นจะเป็นอีกโรคนึงซึ่งเป็น
00:29:54 → 00:29:56 เรื่องของความ sensitive เหมือนกันแต่ตัว
00:29:56 → 00:29:58 นั้นจะมีชื่อโรคเรียกต่างหากออกไปครับ
00:29:58 → 00:30:01 ครับเราเรียกว่า functional dpia อ๋อ
00:30:01 → 00:30:03 ครับหรือว่า FD จะเป็นอีกอันนึงครับออัน
00:30:03 → 00:30:05 นั้นจะอาการคือจะอ้วกอะไรอย่างงี้มี
00:30:05 → 00:30:07 อาเจียนเลยใช่มอ่าก็อาจจะกินแล้วอิ่มเร็ว
00:30:07 → 00:30:09 กว่าปกติรู้สึกแสบท้องตลอดเวลาอะไรแบบ
00:30:10 → 00:30:13 เนี้ยครับอ๋อเครียดลงกระพออือๆซึ่งซึคน
00:30:13 → 00:30:16 อาจจะสับสนมันมี 2 เทอมนะครับเทอมนึงเรา
00:30:16 → 00:30:18 เรียกว่า ibs หรือที่เรียกว่าลำไส้แปปวน
00:30:18 → 00:30:21 ครับกับอีกเทอมนึงเราเรียกว่า ibd หรือ
00:30:21 → 00:30:24 ที่เรียกว่าภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรังครับ
00:30:25 → 00:30:27 ซึ่งภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือ ibd
00:30:27 → 00:30:29 เนี่ยมันเป็นเป็นความผิดปกติของภูมิคุ้ม
00:30:29 → 00:30:33 กันเราที่ไปทำลายเซลล์ของนำไส้เราอืไม่
00:30:33 → 00:30:35 เหมือนกันอันนั้นจะมีอักเสบเลยมีแผลเลยมี
00:30:35 → 00:30:37 เรื่องของเซลล์ที่สามารถเกิดเป็นมะเร็ง
00:30:37 → 00:30:40 ได้มันคนละขั้นกันตัว ibs เนี่ยไม่ได้
00:30:40 → 00:30:43 เป็นอะไรแต่ตัว ibd เนี่ยเป็นออเพราะ
00:30:43 → 00:30:46 ฉะนั้นค่ะแล้วอีกกรณีหนึ่งถ้าจะ 2 กล้อง
00:30:46 → 00:30:47 ก็คือแยกระหว่าง 2 อันเนี้ยครับเพราะ
00:30:47 → 00:30:50 อาการเริ่มต้นมันมีโอกาสที่จะคล้ายกันอื
00:30:51 → 00:30:52 ค่ะ
00:30:52 → 00:30:56 อืครับอันนี้อันนี้น่าสนใจเดี๋ยวผมจีบคุณ
00:30:56 → 00:30:58 หมอไว้ก่อนเดี๋ยวเ้าหน้า
00:30:58 → 00:31:03 คุยอันนี้กัน ibd เหรอเหรอ ibd ใช่เขาน
00:31:03 → 00:31:07 อ๋อค่ะคุณหมอขาถ้าฟังจากเบื้องต้นเนี่ย
00:31:07 → 00:31:10 ความเครียดเป็นสาเหตุหลักเลยแสดงว่าถ้า
00:31:10 → 00:31:13 เราเอ่อบริหารจัดการความเครียดได้เนี่ยก็
00:31:13 → 00:31:16 ถือว่าเป็นแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิด
00:31:16 → 00:31:20 ลำไส้แปรปรวนกับตัวเราอันนี้คือใช่วิธีมย
00:31:20 → 00:31:23 หรือว่ามีมันมีวิธีอื่นๆอีกด้วยการออก
00:31:23 → 00:31:25 กำลังกายมันเกี่ยวมั้ยสูบบุหรี่หรือดื่ม
00:31:25 → 00:31:28 เหล้าอะไรอย่างเงี้ยค่ะคุณมอจริงๆในมุม
00:31:28 → 00:31:31 ของการออกกำลังกายการปรับเ่าการปรับสภาวะ
00:31:31 → 00:31:33 การใช้ชีวิตในประจำวันหรือว่าแม้กระทั่ง
00:31:33 → 00:31:35 การพักผ่อนให้เพียงพออ่าการลดความเครียด
00:31:35 → 00:31:37 ลงตรงนี้เป็นส่วนของการรักษาทั้งหมดครับ
00:31:37 → 00:31:40 เราเรียกว่า Lifestyle modification
00:31:40 → 00:31:42 หรือว่าการปรับไ style ของตัวเราให้ให้
00:31:42 → 00:31:44 เปลี่ยนไปอครับตรงนี้มีส่วนของการรักษา
00:31:44 → 00:31:47 หมดแล้วก็จริงๆในการรักษาลำไส้แปรปวนเอง
00:31:47 → 00:31:49 อ่ะครับมันมีการรักษานึงที่ที่ใช้เรื่อง
00:31:49 → 00:31:52 ของสภาวะจิตใจหรือว่าความตระหนักรู้อ่ะ
00:31:52 → 00:31:54 ครับมาช่วยด้วยเราเรียกว่า cognitive
00:31:54 → 00:31:59 behavioral therapy หรือ cbt อตรงเลไส้
00:31:59 → 00:32:01 แนด้วยเช่นเดีวกันเพราะฉะนั้นการรักษาจะ
00:32:01 → 00:32:06 มีจะมีเลเวลตั้งแต่ปรับปรับไลฟ์สไตล์รับ
00:32:06 → 00:32:08 ประทานยาใช้ cognitive beh therapy มา
00:32:08 → 00:32:11 ช่วยก็จะมีแล้วแต่ว่าซึ่งตรงนี้มันจะถูก
00:32:11 → 00:32:14 torm อีกทีให้เหมาะสมกับคนไข้คนนั้นๆนะ
00:32:14 → 00:32:17 ครับอืซึ่งคุณหมอที่ผู้ผู้ผู้ที่เป็นคนทำ
00:32:17 → 00:32:20 การรักษาเขาก็จะพิจารณาเป็นรายๆไปว่าคน
00:32:20 → 00:32:22 ไหนณตอนนี้ต้องทำอะไรอย่างไรอย่างเงี้ย
00:32:22 → 00:32:27 ครับอือืจริงๆมันมีไปถึงเรื่องของอ่าอ่า
00:32:27 → 00:32:30 ทางลีอีก 23 ส่วนที่สามารถมาช่วยเรื่อง
00:32:30 → 00:32:32 ของลำไส้ปลาปรวนได้เพราะว่าอย่างที่บอก
00:32:32 → 00:32:35 คือจะมี 2 อย่างที่สำคัญๆคืออาหารกับความ
00:32:35 → 00:32:37 เครียดที่กระตุ้นหนักๆเลยที่เหลือจะเป็น
00:32:37 → 00:32:40 ส่วนประกอบซึ่งซึ่งการกระตุ้นส่วนใหญ่จะ
00:32:40 → 00:32:41 ไม่ใช่แรงกระตุ้นแรงเดียวมันมักจะเป็น
00:32:41 → 00:32:45 หลายๆอย่างประกอบกันในเวลาเดียวกันอืค่ะ
00:32:45 → 00:32:48 ทำให้การรักษาต้องจัดการเป็นส่วนๆไปอย่าง
00:32:48 → 00:32:52 เงี้ยครับอืครับผมเอ่อช่วงท้ายอยากให้คุณ
00:32:52 → 00:32:56 หมอทิ้งทิ้งท้ายสักหน่อยนะครับว่าเอ่อ
00:32:56 → 00:32:59 เมื่อเราประสบกับอาการรำไส้แปรปรวนแล้ว
00:32:59 → 00:33:03 จริงๆแล้วเนี่ยเอ่อสิ่งที่เราจะทำได้
00:33:03 → 00:33:05 อย่างแรกคืออะไรบ้างแล้วถ้ามันเกิดอาการ
00:33:05 → 00:33:08 ถึงขั้นไหนควรจะไปพบแพทย์กันดีครับคุณหมอ
00:33:08 → 00:33:11 ครับอย่างอย่างอย่างแรกเลยก็คืออันอันแรก
00:33:11 → 00:33:14 ให้ให้ให้สังเกตตัวเองก่อนครับว่าอาการ
00:33:14 → 00:33:17 เราหนักและรุนแรงแค่ไหนอถ้าอาการเราเป็น
00:33:17 → 00:33:19 เรื่อยๆแต่มันเท่าเดิมมาตลอดนะครับแนว
00:33:19 → 00:33:22 โน้มที่จะเป็นอะไรที่รุนแรงเนี่ยมันมี
00:33:22 → 00:33:26 ค่อนข้างน้อยอือ่าเพราะว่าถ้าถ้าถ้าถ้า
00:33:26 → 00:33:28 มันเป็นกลุ่มอาการที่มันมีความอันตราย
00:33:28 → 00:33:30 หรือความรุนแรงอ่ะครับโดยมากอาการจะเป็น
00:33:30 → 00:33:33 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอาการจะไม่ค่อยคงที่ครับ
00:33:33 → 00:33:36 อ่าอันนี้อันที่ 1 นะครับเพื่อเพื่อลด
00:33:36 → 00:33:39 ความกังวลต่อโรคของเราเกินไปฮะค่ะ 2
00:33:40 → 00:33:42 อย่างที่ผมเอ่อเกริ่นไปเมื่อกี้ในตอนแรก
00:33:42 → 00:33:45 วงวงจรที่มันไม่จบไม่สิ้นคือเมื่อเรา
00:33:45 → 00:33:48 คอนเซิร์นมากเราเป็นมากเราจะคอนเซิร์นมาก
00:33:48 → 00:33:50 แล้วเราก็จะเป็นมากมันจะไม่จบฮะอืเพราะ
00:33:50 → 00:33:53 ฉะนั้นเราอาจจะต้องหาวิธีที่อ่าลองลองถาม
00:33:53 → 00:33:55 ตัวเองก่อนว่าตรงไหนที่จะเบคคอนเซิร์นเรา
00:33:56 → 00:33:58 ได้ดีที่สุดเช่นสมมุติถ้าไปพบแพทยเค
00:33:58 → 00:34:00 concern ได้ดีที่สุดงั้นไปพบแพทย์เลย
00:34:00 → 00:34:02 ครับไม่ต้องรอไม่ว่าอาการจะเบาแค่ไหนก็
00:34:02 → 00:34:04 ตามผมเชื่อว่าคุณหมอทุกท่านยินดีที่จะให้
00:34:04 → 00:34:07 คำปรึกษาอเพื่อที่จะอธิบายสิ่งที่เป็น
00:34:07 → 00:34:10 อยู่แล้วครับนะครับอือ่ะหรือกรณีมีข้อ
00:34:10 → 00:34:12 สงสัยจากการเปิดอินเทอร์เน็ตมาแล้วมีข้อ
00:34:12 → 00:34:15 สงสัยใดๆก็ตามเนี่ยครับอย่าเพิ่งไปไปไปไป
00:34:15 → 00:34:17 ตั้งมั่นว่ามันจะต้องเป็นักแบบนั้นแบบนี้
00:34:18 → 00:34:21 เพราะว่า ibs เนี่ยถ้าเป็น ibs จริงๆหรือ
00:34:21 → 00:34:23 ว่ารำไส้แพวนจริงๆมันไปเป็นโรคที่รุนแรง
00:34:23 → 00:34:27 กว่านั้นไม่ได้ออฮะมันไม่สามารถนำได้
00:34:27 → 00:34:29 เพราะฉะนั้นตรงเนี้ยครับไม่อยากให้ไม่
00:34:29 → 00:34:33 อยากให้กังวลตรงนั้นกันเกินไปอือนะครับ
00:34:33 → 00:34:36 จุดที่ 4 อันนี้ทำได้ทุกคนแล้วทำง่ายๆมาก
00:34:36 → 00:34:39 ๆเลยอืสิ่งที่เรามอนิเตอร์ได้แน่ๆคือ
00:34:39 → 00:34:42 เรื่องการรับประทานของเราครับเราอาจจะ
00:34:42 → 00:34:45 อยู่กับบ้านแล้วนั่งจดเลยก็ได้ว่าเอ้ยเรา
00:34:45 → 00:34:47 กินอะไรยังไงในแต่ละวันจดไปเรื่อยๆโดยไม่
00:34:47 → 00:34:50 มีจุดมุ่งหมายก็ได้นะครับสักประมาณ 1-2
00:34:50 → 00:34:52 สัปดาห์แต่ว่าวันไหนก็ตามที่เรามีอาการ
00:34:52 → 00:34:55 ให้เราช่วยมาร์คเอาไว้ครับเราจะพอมองเห็น
00:34:55 → 00:34:59 ว่าเอ้ยมันมีอะไรที่เป็นตัวกตุนฮะแล้วเรา
00:34:59 → 00:35:01 ค่อยมาดูจุดที่ซ้ำกันในแต่ละอันที่
00:35:01 → 00:35:03 กระตุ้นอย่างเช่นผมสมมุติเล่นๆนะครับไม่
00:35:03 → 00:35:06 ได้บอกว่ากระเทียมจะทำให้เป็นนะอผมสมมุติ
00:35:06 → 00:35:09 ว่าเ้ยถ้าผมกินส้มตำถ้าผมกินข้าวผัด
00:35:09 → 00:35:12 กระเทียมถ้าผมกินอ่าสปาเกตตี้ผัดกระเทียม
00:35:12 → 00:35:15 ผมเป็นทุกรอบเลยแต่ 3 อันเนี้ยมีสิ่งที่
00:35:15 → 00:35:19 ำคัญคือกระเทียมอืแต่ว่างั้นผมลองเลี่ยม
00:35:19 → 00:35:21 กระเทียมดูดีมั้ยผมอาจจะไม่เป็นอครับเออ
00:35:21 → 00:35:24 อย่างเงี้ยครับอ่าวิธีหาวิธีหาจุดร่วม
00:35:24 → 00:35:26 ง่ายๆอาจจะเป็นลักษณะอย่างนี้ก็ได้ว่าเรา
00:35:26 → 00:35:28 ลองจดๆดูแล้วแล้วทุกครั้งที่เป็นเราก็
00:35:28 → 00:35:31 ค่อยมาดูว่าตรงไหนที่มันซ้ำกันอกนไหนหรือ
00:35:31 → 00:35:34 วัตถุดิบไหนที่มันซ้ำๆกันนะครับตรงนั้น
00:35:34 → 00:35:37 น่าจะเป็นตัวกระตุ้นอืแล้วเราเลี่ยงสิ่ง
00:35:37 → 00:35:39 เหล่านั้นลงไปถ้าอาการไม่ได้รุนแรงแต่ถ้า
00:35:39 → 00:35:42 อาการรุนแรงน่ะผมแนะนำว่าไปพบแพทย์ครับนะ
00:35:42 → 00:35:47 ครับอือือยู่ที่เราที่สำคัญคืออย่าอย่า
00:35:47 → 00:35:49 เพิ่งกังวลไปเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่า
00:35:49 → 00:35:52 เป็นนำไส้แปปวนนะครับมันเป็นมันเป็นสภาวะ
00:35:52 → 00:35:54 หนึ่งที่ผิดปกติจริงแล้วอยู่กับเราได้ยาว
00:35:54 → 00:35:57 จริงแต่เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นสภาวะที่ที่
00:35:57 → 00:35:59 จะกอกเกิดอันตรายอะไรขนาดนั้นแล้วก็ไม่
00:35:59 → 00:36:01 ได้เป็นสภาวะที่รักษาไม่ได้อย่างที่เข้า
00:36:01 → 00:36:04 ใจกันอืมนะฮะก็หลายๆคนฟังอาจจะสบายใจไป
00:36:04 → 00:36:07 เปราะนึงก็รู้และรู้จักวิธีในการดูแลตัว
00:36:07 → 00:36:10 เองยามเป็นโดยเฉพาะเรื่องของความเครียดนะ
00:36:10 → 00:36:13 คุณหมอนะไม่อยากเครียดกันเครียดทั้งโดย
00:36:13 → 00:36:16 เฉพาะตอนนี้ร้อนก็เครียดแล้วคุณหมอครับ
00:36:16 → 00:36:21 ครับแปิดประตูบ้านก็เครียดแล้ว
00:36:21 → 00:36:25 ครับเจอบินข้าไฟก็เครียดค่ะหมอครับครับ
00:36:25 → 00:36:27 ขอบคุณครับคุณหมอมีโอกาสเดี๋ยวผมอาจจะ
00:36:27 → 00:36:29 ประสานคุยกับคุณหมอเพิ่มเติมอีกในโอกาส
00:36:29 → 00:36:31 หน้านะครับคุณหมอครับได้เลยครับครับ
00:36:32 → 00:36:34 ขอบพระคุณมากครับคุณหมอครับสวัสดีครับ
00:36:34 → 00:36:38 สวัดีครับค่ะสวัสดีค่ะครับก็ถือว่าเป็น
00:36:38 → 00:36:41 อีกหนึ่งโรคนะที่คุณหมอมาให้คข้อมูลความ
00:36:41 → 00:36:44 รู้นะครับกับนายแพทย์กุลเทพรัตนโกวนะครับ
00:36:44 → 00:36:46 อายุรแพทย์แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทาง
00:36:46 → 00:36:50 เดินอาหารโรงพยาบาลวิมุตินะครับ