00:00:04 → 00:00:06 ที่สมาคมโรคหัวใจอเมริกันเพื่อออกตัวเลข
00:00:06 → 00:00:09 สถิติล่าสุดนะครับว่า 75% ของคนไข้ที่หัว
00:00:09 → 00:00:15 ใจอยู่เต้นเกิดขึ้นที่บ้านนะครับ
00:00:15 → 00:00:17 อีกประเด็นนึงคือเรื่องของการสำลักนะครับ
00:00:17 → 00:00:19 ในประเทศเรานะครับผู้สูงอายุสำลักอาหาร
00:00:19 → 00:00:22 บ่อยมากเลยครับแล้วก็มักจะเกิดช่วงเทศกาล
00:00:22 → 00:00:24 อย่างเช่นตุจีนศาสตร์จีนปีใหม่สงกรานต์
00:00:24 → 00:00:26 อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่เราต้องเรียน
00:00:26 → 00:00:27 รู้อ่ะครับเพราะว่าถ้าเราช่วยเหลือคนไข้
00:00:27 → 00:00:30 ไม่ทันเนี่ยเค้าก็มีโอกาสเสียชีวิตนะครับ
00:00:30 → 00:00:32 บางครั้งเนี่ยเรารู้อ่ะแต่เราไม่กล้าทำ
00:00:32 → 00:00:35 แล้วเรากลัวว่าเรายิ่งทำจะยิ่งแย่มันมัน
00:00:35 → 00:00:37 ควรจะมีความคิดในเรื่องนี้ยังไงครับมีแต่
00:00:37 → 00:00:40 คุณเท่านั้นที่ต้องทำขณะนี้ไม่มีใครช่วย
00:00:40 → 00:00:43 เหลือคุณได้ถ้าคุณไม่ทำคนไข้เสียชีวิตแน่
00:00:43 → 00:00:46 นอนคือถ้าส้มมันช้ำแล้วครับยังไงมันก็ช้ำ
00:00:46 → 00:00:49 อ่ะครับถ้ามาได้เร็วขึ้นเนี่ยสมองมันก็จะ
00:00:49 → 00:00:52 ช้ำน้อยลงโอกาสรอดมันก็จะมากขึ้นนะครับ
00:00:52 → 00:00:56 [เพลง]
00:00:57 → 00:00:59 บุพการีที่เคารพคู่มือการดูแลพ่อแม่ของคน
00:00:59 → 00:01:02 เจนลูกถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้ก็อย่าลืมกด
00:01:02 → 00:01:04 subscribe ไว้ด้วยนะครับเรื่องของการ
00:01:04 → 00:01:07 ปฐมพยาบาลหรือว่าการช่วยเหลือฉุกเฉินใน
00:01:07 → 00:01:09 เบื้องต้นนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สูง
00:01:09 → 00:01:12 อายุควรจะต้องรู้เอาไว้นะคะแล้วก็ลูกหลาน
00:01:12 → 00:01:15 เองด้วยเพื่อที่จะเอาไว้ดูแลบุพการีของ
00:01:15 → 00:01:17 เราค่ะดังนั้นวันนี้นะคะรายการบุพการีที่
00:01:17 → 00:01:20 เคารพคู่มือดูแลพ่อแม่สำหรับคน 7 ลูกนะคะ
00:01:20 → 00:01:24 ก็เลยชวนคุณหมอเจตหมอเจตพัฒ์ทวีโพคาซึ่ง
00:01:24 → 00:01:27 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ฉุกเฉินนะ
00:01:27 → 00:01:29 คะแล้วก็เป็นเจ้าของเพจห้องฉุกฉุกเฉิน
00:01:29 → 00:01:32 ต้องรู้มาพูดคุยกันค่ะว่าเราจะเตรียม
00:01:32 → 00:01:34 พร้อมอย่างไรในการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน
00:01:34 → 00:01:37 ของเรานะคะถ้าหากว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาด
00:01:37 → 00:01:40 ฝันขึ้นบ้านเราเองก็มีทั้งกู้ภัยมีแพทย์
00:01:40 → 00:01:43 มีคลินิกอยู่ใกล้บ้านเต็มไปหมดแต่ว่าทำไม
00:01:43 → 00:01:45 เราถึงจำเป็นที่จะต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
00:01:46 → 00:01:47 ลูกหลานเนี่ยจำเป็นจะต้องรู้เรื่องของการ
00:01:47 → 00:01:49 ปฐมพยาบาลหรือว่าการช่วยเหลือฉุกเฉินด้วย
00:01:49 → 00:01:52 ค่ะสิ่งสำคัญที่จะตอบคำถามนี้คือเรื่อง
00:01:52 → 00:01:54 ของเวลาครับลองคิดว่าถ้าเกิดว่าคนไข้หมด
00:01:54 → 00:01:56 สติแล้วไม่หายใจอ่ะครับก็คือหัวใจหยุด
00:01:56 → 00:01:58 เต้นใช่มั้ยเวลาหัวใจหยุดเต้นเนี่ยสมอง
00:01:58 → 00:02:01 มันก็จะขาดเลือดคุณน้องคิดว่าสมองคนเรา
00:02:01 → 00:02:03 เนี่ยขาดเลือดได้นานกี่นาทีอ่ะครับ 4
00:02:03 → 00:02:05 นาทีใช่มั้คะใช่ครับสมองอยู่ได้แค่ 4
00:02:05 → 00:02:07 นาทีนะั้นเนี่ยการปั๊มหัวใจก็คือการจำลอง
00:02:07 → 00:02:09 ให้หัวใจเนี่ยยังคงบีบเลือดประเดี้ยงสมอง
00:02:09 → 00:02:11 อยู่ได้ถ้าเกิดว่าสมมุติว่าเป็นผู้สูง
00:02:11 → 00:02:13 อยู่ในบ้านนะครับหมดสติแล้วไม่หายใจไป
00:02:13 → 00:02:15 แล้วนะครับแล้วเราก็รอให้กู้ชีพมาปั๊มหัว
00:02:15 → 00:02:18 ใจอ่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่กู้ชีพจะ
00:02:18 → 00:02:20 มาภายใน 4 นาทีถูกต้องมั้ครับเนี่ยถ้า
00:02:20 → 00:02:22 เกิดว่าประชาชนเนี่ยปั๊มหัวใจคุณพ่อคุณ
00:02:22 → 00:02:24 แม่หรือว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวที่เป็นผู้สูง
00:02:24 → 00:02:26 อายุหรือแม้แต่ทุกๆวัยอ่ะครับก็ทำให้
00:02:26 → 00:02:28 เลือดยังคงไปเลี้ยงสมองอยู่ได้มันก็
00:02:28 → 00:02:30 เหมือนเป็นการประวิงเวลาจนกว่าทีมกู้ชีพ
00:02:30 → 00:02:33 จะมาเนี่ยการปฐมพยาบาลเป็นหน้าที่ของ
00:02:33 → 00:02:35 ประชาชนที่ต้องทำอ่ะครับแล้วก็เป็นความ
00:02:35 → 00:02:37 รู้ที่เราต้องรู้ด้วยครับที่สมาคมโรคหัว
00:02:37 → 00:02:39 ใจอเมริกันเพื่อออกตัวเลขสถิติล่าสุดนะ
00:02:39 → 00:02:42 ครับว่า 75% ของคนไข้ที่หัวใจอยู่เต้น
00:02:42 → 00:02:45 เกิดขึ้นที่บ้านนะครับดังนั้นเนี่ย 75%
00:02:45 → 00:02:47 คือ 3 ใน 4 ของการปั๊มหัวใจเกิดขึ้นที่
00:02:47 → 00:02:50 บ้านจะเห็นว่าเนี่ยเรามีโอกาสที่จะเจอคน
00:02:50 → 00:02:52 ที่หมดสติที่บ้านที่ห้างสรรพสินค้าได้มาก
00:02:52 → 00:02:55 ถึง 75% นะครับทีเนี้ยถ้าหากว่าเราไม่
00:02:55 → 00:02:56 เรียนรู้เรื่องของการปั๊มหัวใจคนเหล่านี้
00:02:56 → 00:02:58 ก็จะเสียชีวิตนะครับเมื่อสักครู่คุณหมอ
00:02:58 → 00:03:00 บอกว่าเรื่องของหัวใจหยุดเต้นถ้าเกิดว่า
00:03:00 → 00:03:03 มันนาน 4 นาทีสมองจะขาดเลือดแล้วมันมี
00:03:03 → 00:03:04 เหตุฉุกเฉินอย่างอื่นอีกมั้คะอย่างเช่น
00:03:04 → 00:03:08 หยุดหายใจมันมีเวลาแค่ไหนคะครับการหยุด
00:03:08 → 00:03:10 หายใจส่วนใหญ่เนี่ยถ้าในคำแนะนำปัจจุบัน
00:03:10 → 00:03:13 นะครับถ้าหากว่าเจอคนไข้หยุดหายใจก็ถือ
00:03:13 → 00:03:15 ว่าหัวใจหยุดเต้นให้เริ่มทำการปั๊มหัวใจ
00:03:15 → 00:03:17 เลยคุณน้องครับผมเล่าให้ฟังสมัยก่อนนะ
00:03:17 → 00:03:19 สมัยซัก 10 ปีที่แล้วอ่ะครับเราแนะนำให้
00:03:19 → 00:03:22 ทำการคำชิปจรพี่น้องเคยคำมั้ยครับน่าจะ
00:03:22 → 00:03:25 เคยเรียนฟั้หัวใจของพี่ที่ทำงานใช่ครับ
00:03:25 → 00:03:27 แนะนำให้คำชีพจรเพราะว่าเราเราจะรู้ได้ไง
00:03:27 → 00:03:30 ว่าคนไข้หัวใจหยุดเต้นก็ต้องคำชิปจรแต่ที
00:03:30 → 00:03:32 เนี้ยในคำแนะนำที่เขามีงานวิจัยมาพบว่า
00:03:32 → 00:03:34 การที่ประชาชนคำชิปจรเนี่ยมันล่าช้าบางที
00:03:34 → 00:03:38 คำแบบเอ๊ะมันมีมั้นะไม่แน่ใจแล้วยิ่งตกใจ
00:03:38 → 00:03:40 ด้วยนะคะใช่ครับพอมันนานขึ้นเนี่ยโอกาส
00:03:40 → 00:03:43 ที่ปั๊มหัวใจมันก็จะล่าช้าคนไข้ก็จะแย่ลง
00:03:43 → 00:03:45 แต่คำนปัจจุบันก็เลยตัดออกไปว่าไม่จำเป็น
00:03:45 → 00:03:48 ที่ประชาชนต้องคำชีปจรอีกแล้วแค่เพียงเจอ
00:03:48 → 00:03:52 คนที่หมดสติแล้วก็ไม่หายใจเท่ากับหัวใจ
00:03:52 → 00:03:55 หยุดเต้นให้ทำการปั๊มหัวใจได้เลยครับค่ะ
00:03:55 → 00:03:57 แล้วการดูว่าเาไม่หายใจนี่ดูยังไงคะเราดู
00:03:57 → 00:04:00 ที่การหายใจที่หน้าอกมีการขยับสังเกตว่า
00:04:00 → 00:04:03 คนเราถ้าถ้าหายใจหน้าอกมันจะขยายแล้วก็หด
00:04:03 → 00:04:05 เข้าแต่ทีเนี้ยเราก็สังเกตได้ว่าถ้าเขา
00:04:05 → 00:04:08 หมดสตินะเราก็มองที่หน้าอกเ้าว่ามันมีการ
00:04:08 → 00:04:10 ยกขึ้นหรือเปล่าแต่บางครั้งบางคนใส่เสื้อ
00:04:10 → 00:04:12 อย่างผมใส่สูตรเนี่ยครับบางทีแบบเราก็ไม่
00:04:12 → 00:04:15 แน่ใจเขาขยับมั้ยอีกวิธีนึงคือการใช้มือ
00:04:15 → 00:04:17 วางตรงหน้าหน้าอกเขาก็ได้ครับถ้าเราวาง
00:04:17 → 00:04:19 มือตรงหน้าอกคนไข้อ่ะครับสังเกตว่ามือเรา
00:04:19 → 00:04:22 จะขยับถ้าเขาหายใจนะมือก็จะขยับก็จะบอก
00:04:22 → 00:04:24 ได้ว่าเขากำลังหายใจหรือเปล่าสุดท้ายนะ
00:04:24 → 00:04:27 ครับเอ่อสำหรับใครไม่นำประชาชนนะครับถ้า
00:04:27 → 00:04:29 ไม่มั่นใจนะว่าหายใจไม่หายใจโทรขอความ
00:04:29 → 00:04:32 ช่วยเหลือก่อนที่เบอร์ 1669 เป็นสายด่วน
00:04:32 → 00:04:35 ฉุกเฉินประเทศไทยแล้วก็เริ่มทำการปั๊มหัว
00:04:35 → 00:04:37 ใจคุณน้องครับเอ่อผมขอถามคุณน้องผม
00:04:37 → 00:04:40 เปลี่ยนเป็นพิธีกรแทนผมขอถามคุณน้องว่า
00:04:40 → 00:04:42 ถามว่าหรือท่านผู้ชมที่ฟังอยู่ก็ได้นะ
00:04:42 → 00:04:44 ครับเรามีความมั่นใจในการปฐมพยาบาลในการ
00:04:44 → 00:04:46 ปั๊มหัวใจมากน้อยแค่ไหนครับไม่เลยค่ะ
00:04:46 → 00:04:49 สำหรับน้องนะคะคืออาจจะเคยเห็นเคยดูการ
00:04:49 → 00:04:52 สาธิตบ่อยๆหลายๆครั้งเลยด้วยนะคะแต่ว่า
00:04:52 → 00:04:54 ไม่เคยลองทำจริงๆค่ะเพราะฉะนั้นเวลาที่จะ
00:04:54 → 00:04:57 ทำน้องเคยคิดเหมือนว่าถ้าเราอยู่ใน
00:04:57 → 00:04:59 สถานการณ์ที่จะต้องปั๊มหัวใจเนี่ยเราคง
00:04:59 → 00:05:01 ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ที่จะทำนะใน
00:05:01 → 00:05:03 ยุคนี้ครับคุณน้องผมเล่าให้ฟังเป็นสิ่ง
00:05:03 → 00:05:05 ใหม่ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศ
00:05:05 → 00:05:07 ไทยได้คิดค้นขึ้นมานะครับคือการปั๊มหัวใจ
00:05:07 → 00:05:10 โดยทางโทรศัพท์อ่ะครับในยุคก่อนไม่มีนะ
00:05:10 → 00:05:12 ปัจจุบันมีนะครับก็คือว่าสมมุติว่าเราไป
00:05:12 → 00:05:14 เจอเหตุการณ์ที่มีคนหมดสติไม่หายใจตรง
00:05:14 → 00:05:16 หน้าหรือเด็กจมน้ำใช่มั้ยจะทำยังไงนะเรา
00:05:16 → 00:05:18 เคยเรียนปั๊มหัวใจเมื่อสมัยอู 10 ปีที่
00:05:19 → 00:05:20 แล้วหรือว่าเพิ่งเรียนเดือนที่แล้วก็ได้
00:05:20 → 00:05:24 ไม่มั่นใจจะปั๊มยังไงนะแค่เราโทรครับ 1669
00:05:24 → 00:05:26 แค่นั้นนะครับก็จะจะมีคุณหมอทีมพยาบาลทีม
00:05:26 → 00:05:29 กู้ชีพที่อยู่ปลายสายอ่ะแล้วเขาก็จะส่ง
00:05:29 → 00:05:31 ข้อความมาให้เราทำการเปิดกล้องอ่ะครับเรา
00:05:31 → 00:05:34 สามารถที่จะกดข้อความแล้วก็เปิดกล้องได้
00:05:34 → 00:05:36 ก็จะมีคุณหมอสมมุติผมอยู่ในออฟฟิศที่เป็น
00:05:36 → 00:05:39 ศูนย์บัญชาการมีคุณน้องเจอไปเที่ยวที่
00:05:39 → 00:05:41 บางแสนก็ได้หรือสถานที่แห่งนึงเจอเด็กจม
00:05:41 → 00:05:45 น้ำผมปุ๊บเป็นยังไงบ้างครับเปิดกล้องอ้าว
00:05:45 → 00:05:47 ไม่หายใจเดี๋ยวให้คุณน้องทำการปั๊มหัวใจ
00:05:47 → 00:05:49 นะครับแล้วปั๊มได้ยังไงล่ะทำไม่ถูกแบบนี้
00:05:49 → 00:05:52 นะครับวาง 2 มือกดหน้าอกตรงนี้แล้วผมจะ
00:05:52 → 00:05:55 นับจังหวะให้นะ 1 2 3 ดีมากครับรถ
00:05:55 → 00:05:57 พยาบาลก่อนจะไปเห็นมั้ครับว่าปัจจุบัน
00:05:57 → 00:05:59 เนี่ยเทคโนโลยีมันง่ายขึ้นน่ะแล้วก็ทำให้
00:05:59 → 00:06:01 ประชาชนเนี่ยถึงแม้ว่าจะมีความรู้ในการ
00:06:01 → 00:06:04 ปั๊มหัวใจหรือไม่มีหรือมีแต่ไม่มั่นใจก็
00:06:04 → 00:06:06 มีหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือเบอร์นั้น
00:06:06 → 00:06:09 คือเบอร์ 1669 ใช่ครับ 169 แล้วถ้าเกิด
00:06:09 → 00:06:12 ว่าลูกหลานเนี่ยมีมีความรู้สึกอ่ะนะคะว่า
00:06:12 → 00:06:15 บางครั้งเนี่ยเรารู้อ่ะแต่เราไม่กล้าทำ
00:06:15 → 00:06:18 เพราะเรากลัวว่าเรายิ่งทำจะยิ่งแย่จะทำ
00:06:18 → 00:06:22 ให้คนป่วยเนี่ยยิ่งแย่ลงมันมันมันควรจะมี
00:06:22 → 00:06:24 ความคิดในเรื่องนี้ยังไงคะมันควรจะปรับ
00:06:24 → 00:06:26 mindซตยังไงคะในคำถามนี้คือเรื่องของความ
00:06:26 → 00:06:28 กลัวและความไม่กล้าใช่มั้ยครับความกังวล
00:06:28 → 00:06:30 ค่ะมีอยู่ครั้งนึงครับเคุณน้องผมเล่าให้
00:06:30 → 00:06:32 ฟังมีคนไข้โทรหาผมอ่ะครับแล้วก็เราก็ใช้
00:06:32 → 00:06:34 ระบบการโทรศัพท์ที่จะปรึกษาเรื่องการปั๊ม
00:06:34 → 00:06:37 หัวใจแหละก็คือเป็นบุพการีเ้าที่หมดสติ
00:06:37 → 00:06:39 แล้วไม่หายใจอ่ะครับอายุมากแล้วสำรักพวก
00:06:40 → 00:06:42 เสมหะแล้วก็ไม่หายใจเก็โทรมาขอความช่วย
00:06:42 → 00:06:45 เหลือช่วยด้วยนะบอกเออรับทราบสถานที่แล้ว
00:06:45 → 00:06:47 ก็ตอนนี้ผมกำลังส่งรถพยาบาลไปให้นะครับ
00:06:47 → 00:06:49 กรุณาเปิดมือถือตลอดเวลาแล้วก็เปิดสิ่ง
00:06:49 → 00:06:51 ที่เรียกว่าลำโพงนะครับ Speaker Phone
00:06:52 → 00:06:54 ไว้เราจะได้คุยได้แล้วก็บอกว่าเนี่ยในยุค
00:06:54 → 00:06:55 นั้นมันยังไม่มีกล้องอ่ะครับผมบอกว่าคุณ
00:06:56 → 00:06:58 ต้องทำการปั๊มหัวใจนะแล้วก็ทางลูกก็บอก
00:06:58 → 00:07:01 ว่าไม่เอาไม่ปั๊มทำไม่ได้เออมันจะเป็น
00:07:01 → 00:07:03 หลักสูตรเฉพาะนะครับถ้าเกิดว่าเป็นคุณหมอ
00:07:03 → 00:07:06 หรือทางกู้ชีพจะมีคำพูดเฉพาะมีแต่คุณเท่า
00:07:06 → 00:07:08 นั้นที่ต้องทำขณะนี้ไม่มีใครช่วยเหลือคุณ
00:07:09 → 00:07:12 ได้ถ้าคุณไม่ทำคนไข้เสียชีวิตแน่นอนคุณ
00:07:12 → 00:07:15 ต้องปั๊มหัวใจตั้งสตินะครับแล้วก็วางมือ
00:07:15 → 00:07:18 ทุกคนก็ทำตามครับค่ะครับผมคือส่วนใหญ่
00:07:18 → 00:07:21 แล้วการให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์แบบนี้
00:07:21 → 00:07:23 ค่อนข้างได้ผลดีใช่มั้คะได้ผลดีครับต่าง
00:07:23 → 00:07:25 ประเทศเนี่ยมีระบบนี้มานานแล้วแล้วก็
00:07:25 → 00:07:27 เมืองไทยเนี่ยเราพัฒนาจนกระทั่งเริ่มมีใน
00:07:27 → 00:07:29 ปัจจุบันเนี่ยครับชวนคุณหมอคุยนะคะที่มี
00:07:29 → 00:07:31 ลูกหลานแชร์มาในโซเชียลmedมีเดียนะคะ
00:07:31 → 00:07:34 เพื่อนโทรมาบอกว่ายายผมเป็นลมและเพื่อน
00:07:34 → 00:07:37 บ้านกำลังพาไปที่โรงพยาบาลชนบทจากนั้นก็
00:07:37 → 00:07:39 ตรวจพบว่ามีเส้นเลือดในสมองแตกก็เลยส่ง
00:07:39 → 00:07:41 ต่อไปที่โรงพยาบาลในเมืองพอไปถึงยายไม่
00:07:41 → 00:07:44 รับรู้อะไรเลยผมได้แต่ร้องไห้กลัวจะเสีย
00:07:44 → 00:07:46 ท่านไปอันนี้น่าจะเป็นสโตรกใช่มั้ยคะอัน
00:07:46 → 00:07:48 นี้คือโรคที่เรียกว่าโรคหล่อเลือดสมอง
00:07:48 → 00:07:50 เฉียบพันนะครับมันเกิดขึ้นเฉียบพันหรือ
00:07:50 → 00:07:52 ว่าภาษาแพทย์เรียกว่า stroke ครับ stroke
00:07:52 → 00:07:55 เนี่ยก็คือจะมีทั้งเชื้อเลือสมองตีบก็ได้
00:07:55 → 00:07:57 แตกก็ได้เป็นต้นจริงๆแล้วเนี่ยหลักการคือ
00:07:58 → 00:08:00 สำหรับคำพำประชาชนนะครับถ้ามาให้เร็ว
00:08:00 → 00:08:03 เนี่ยอาจจะมีการรักษาที่ดีขึ้นเพราะว่า
00:08:03 → 00:08:05 อย่างเช่นถ้าในสมองคนเราเนี่ยมันมีก้อน
00:08:05 → 00:08:07 เลือดเข้าไปอุดปึ้งอ่ะครับพออุดเสร็จปุ๊บ
00:08:07 → 00:08:09 เนี่ยสมองบางส่วนมันขาดเลือดแต่ว่าไม่มี
00:08:09 → 00:08:11 โอกาสฟื้นนะครับถ้าเราสามารถเอาก้อนเลือด
00:08:11 → 00:08:13 ออกไปได้มันก็ดีใช่มั้ยผมว่าหลายท่านคง
00:08:13 → 00:08:17 เคยเวลาที่ไปอาบน้ำใช่มั้ผมยาวผมมันอุดใน
00:08:17 → 00:08:19 ท่อระบายน้ำมันก็ตันใช่มั้ครับถ้าทิ้งไว้
00:08:19 → 00:08:21 นานเนี่ยมันคงจะแย่แน่นอนแต่ถ้าหากว่ามา
00:08:22 → 00:08:23 เร็วนะครับมันก็เหมือนกับการที่คุณหมอ
00:08:23 → 00:08:25 เนี่ยเอาเส้นผมที่ติดตามทอดระบายน้ำออก
00:08:25 → 00:08:28 น้ำมันก็จะไหลไว้ได้ดีอุปมาณเหมือนกันเลย
00:08:28 → 00:08:30 ครับถ้าคนไข้มีเสื้อเลือดสมองตีบเกิดขึ้น
00:08:30 → 00:08:32 ปึ้งฉับพันเนี่ยถ้าเกิดว่ามาโรงพยาบาล
00:08:32 → 00:08:34 เร็วนะครับปัจจุบันเอาที่ 4 ชม.ครึ่งนะ
00:08:34 → 00:08:36 ครับถ้าหากว่ามาภายใน 4 ชม.ครึ่งเนี่ย
00:08:36 → 00:08:39 แล้วเrเห็นว่าเอ๊ะเอ่อบุพการีของเรามี
00:08:39 → 00:08:41 เสื้อสมองตีบเงี้ยครับบางทีคุณหมออาจจะ
00:08:41 → 00:08:43 ให้ยาเพื่อให้ก้อนเลือดมันหลุดไปได้อีก
00:08:43 → 00:08:45 กรณีคือเรื่องของเส้นเลือดสมองแตกอ่ะครับ
00:08:45 → 00:08:48 การที่สมองแตกเนี่ยเลือดมันออกเยอะแต่ถ้า
00:08:48 → 00:08:50 หากว่ามาเร็วอ่ะครับบางทีเราจะให้ยาลด
00:08:50 → 00:08:52 ความดันเพื่อคลุมไม่ให้เลือดมันออกมาก
00:08:52 → 00:08:54 ขึ้นอาจจะมีการฉีดยาห้ามเลือดหรือแม้แต่
00:08:54 → 00:08:56 มีการผ่าตัดบางส่วนของกะโหลกเพื่อลดแรง
00:08:56 → 00:08:59 ดันเนี้ยมันก็จะป้องกันไม่ให้มันกดพวก
00:08:59 → 00:09:02 ก้านสมองคนไข้อาจจะเสียชีวิตได้สรุปว่า
00:09:02 → 00:09:05 สำหรับประชาชนเนี่ยการที่รู้จากว่าโรคโก
00:09:05 → 00:09:07 เสื้อเลือดสมองตีบหรือแตกเฉียบพันมันมี
00:09:07 → 00:09:09 อาการยังไงอ่ะครับแล้วก็รีบมาโรงพยาบาล
00:09:09 → 00:09:11 ให้เร็วเนี่ยมันก็ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นแต่
00:09:11 → 00:09:14 ถ้าหากว่ามาช้าครับคือผมว่าคุณน้องเคย
00:09:14 → 00:09:16 เห็นแบบเวลาที่เราไปตลาดใช่มั้ยเราเลือก
00:09:16 → 00:09:19 ส้มอ่ะคือถ้าส้มมันช้ำแล้วครับยังไงมันก็
00:09:19 → 00:09:21 ช้ำอ่ะครับถ้ามาได้เร็วขึ้นเนี่ยสมองมัน
00:09:21 → 00:09:23 ก็จะช้ำน้อยลงโอกาสรอดมันก็จะมากขึ้นนะ
00:09:23 → 00:09:25 ครับเราคุยกันเรื่องของอาการสโตดีกว่าว่า
00:09:26 → 00:09:27 เป็นยังไงผมว่าหลายท่านพอคิดถึงเรื่องของ
00:09:28 → 00:09:29 อัมพฤติอัมพาทนะครับหรือว่าเส้นเลือสมอง
00:09:29 → 00:09:31 ตีบหรือแตกเฉียบพันธุ์เนี่ยอาการก็คิดแค่
00:09:31 → 00:09:34 ว่าปากเบี้ยวแขนขาอ่อนแรงข้างในข้างนึง
00:09:34 → 00:09:36 มันเป็นแค่ส่วนนึงนะครับเราเลยมีตัวย่อ
00:09:36 → 00:09:38 ที่เรียกว่า BFast นะครับไม่ต้องกังวล
00:09:38 → 00:09:40 เรื่องภาษาอังกฤษนะครับแต่ว่าถ้าฟังผมไป
00:09:40 → 00:09:42 เรื่อยๆเนี่ยแล้วก็ที่คุณน้องได้ถามผม
00:09:42 → 00:09:44 เนี่ยก็จะเข้าใจได้มากขึ้นผมจะบอกว่านอก
00:09:44 → 00:09:46 จากปากเบี้ยวแขนขาวแรงยังมีอย่างอื่นอีก
00:09:47 → 00:09:49 นะครับที่มีโอกาสเป็นได้นะอย่างแรกคือ B
00:09:49 → 00:09:51 ครับ B หมายถึงการ balance balance คือ
00:09:51 → 00:09:54 การเดินเซครับจริงๆแล้วเนี่ยมันจะมีสมอง
00:09:54 → 00:09:55 ส่วนนึงนะครับสมองส่วนข้างหลังที่เรียก
00:09:55 → 00:09:58 ว่าซิบั่มมันช่วยในการทำให้เกิดการประณีต
00:09:58 → 00:10:00 อ่ะครับซึ่งสมองตรงเนี้ยก็มีโอกาสที่จะ
00:10:00 → 00:10:02 เกิดเส้นเลือดสมองตีบหรือแตกก็ได้นะคุณ
00:10:02 → 00:10:04 น้องเคยสนเข็มมั้ยครับค่ะยังทำได้อยู่มั้
00:10:05 → 00:10:07 ครับยังทำได้อยู่ค่ะทำไม่ค่อยได้แล้วคือ
00:10:07 → 00:10:09 มูสั่นคือการที่เราสามารถยกแขนขึ้นมาได้
00:10:09 → 00:10:12 เนี่ยมันใช้สมองส่วนหน้าชื่อว่าซิbrรั่ม
00:10:12 → 00:10:14 ถ้าหากว่ามีเลือดออกหรือเส้นเลือดสมองตีบ
00:10:14 → 00:10:17 ทั้งส่วนหน้าเนี่ยก็จะยกแขนไม่ได้เลยแต่
00:10:17 → 00:10:19 ส่วนหลังอ่ะครับซิริเบรั่มมันใช้ได้การทำ
00:10:19 → 00:10:21 งานที่ประณีตการที่เรายกมือขึ้นมาได้แปล
00:10:21 → 00:10:24 ว่าซิลิบัมผ่านโอเคแต่การที่สนเข็มอ่ะ
00:10:24 → 00:10:27 ครับมันใช้ซิลิเบลัมอ่ะครับทีนี้คนไข้ที่
00:10:27 → 00:10:29 มีซิลิเบลัมตรงเแตกอ่ะครับหรือว่ามีเส้น
00:10:29 → 00:10:31 เลือดตีบตรงเนี้ยก็จะมาด้วยอาการสั่นเซ
00:10:31 → 00:10:33 ข้างในข้างนึงผมเคยเจอคนไข้มาด้วยอาการ
00:10:34 → 00:10:36 เดินเซแล้วก็เวียนหัวครับเวียนหัวเดินเซ
00:10:36 → 00:10:38 ความดันสูงแล้วก็แขนข้างนี้สั่นแบบนี้
00:10:38 → 00:10:40 แหละครับพอเราไปเคอมพิวเตอร์สมองก็พบว่า
00:10:40 → 00:10:42 มีเรื่องของเสื้อเลือดสมองแตกได้เหมือน
00:10:42 → 00:10:44 กันนะครับตัวแรกครับถ้าหากว่ามีอาการ
00:10:44 → 00:10:47 เฉียบพันนะเวียนหัวเฉียบพันเซรู้สึกทรง
00:10:47 → 00:10:49 ตัวไม่ได้แบบบ้านหมุนอันเนี้ยควรจะไปโรง
00:10:50 → 00:10:52 พยาบาลนะครับมีโอกาสนะที่เราจะมีเรื่อง
00:10:52 → 00:10:54 ของสโตรกหรือหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นก็ได้
00:10:54 → 00:10:56 นะครับค่ะไม่ใช่เรื่องของบ้านหมุนไอ้ที่
00:10:56 → 00:10:59 เป็นโรคบ้านหมุนน้ำในหูไม่เท่ากันแค่นั้น
00:10:59 → 00:11:01 แต่ว่ามันเป็นอาการหนึ่งของสโตรกด้วย
00:11:01 → 00:11:04 เหมือนกันใช่ครับจริงๆบ้านหมุนเนี่ยเนี่ย
00:11:04 → 00:11:05 เวียนหัวบ้านหมุนที่เกิดจากน้ำในหูไม่
00:11:05 → 00:11:07 เท่ากันเป็นโรคที่พบได้บ่อยนะครับแต่ว่า
00:11:07 → 00:11:10 ระวังอย่าลืมอย่าพลาดนะครับมันจะมีหลาย
00:11:10 → 00:11:12 เคสที่ดูแบบวินิจฉัยยากครับมีอยู่ครั้ง
00:11:12 → 00:11:14 นึงผมเจอคนไข้เ้ามาด้วยอาการเวียนศีรษะ
00:11:14 → 00:11:16 บ้านหมุนคนไข้ก็แบบบ้านหมุนแล้วก็หลับตา
00:11:17 → 00:11:19 ไม่อยากลืมตาแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นน้ำใน
00:11:19 → 00:11:22 หูไม่เท่ากันไงเราก็ฉีดยาแก้วเวียงเวียน
00:11:22 → 00:11:24 ใช่มั้ครับแล้วก็ผมให้คนไข้ลืมตาแล้วตรวจ
00:11:24 → 00:11:27 ตาปรากฏว่าการกรอกตามันทำไม่ได้สokeก
00:11:27 → 00:11:30 เนี่ยเป็นโรคที่มีระบบประสาทผิดปกติเฉียบ
00:11:30 → 00:11:33 พันคนไข้มีตาเหล่อ่ะครับมีรูปที่ผมวาดให้
00:11:33 → 00:11:35 ดูนะครับจะสังเกตว่าพอเราตรวจคนไข้อ่ะคน
00:11:35 → 00:11:37 ไข้ลองมองมือตรงนี้นะลองมองตามนี้ผมนะ
00:11:38 → 00:11:40 ครับปกติตาคนเรามันก็ต้องไปด้วยกันใช่มั้
00:11:40 → 00:11:42 ครับแต่เคสเนี้ยพอผมให้ลืมตาเนี่ยตาข้าง
00:11:42 → 00:11:45 นี้ไปครับแต่ข้างนี้มันไม่ไปก็คือเกิด
00:11:45 → 00:11:48 ภาวะตาเหล่เฉียบพันซึ่งอาการกรอกตาพวกนี้
00:11:48 → 00:11:51 มันเกิดขึ้นในก้านสมองคนไข้โดนตรงเนี้ย
00:11:51 → 00:11:53 ครับโดนตรงก้านสมองมีเสื้อเลือดแตกก็ทำ
00:11:53 → 00:11:55 ให้เขามีอาการเวียนหัวทรงตัวไม่ได้แล้วก็
00:11:55 → 00:11:58 มีตาเหล่
00:11:58 → 00:12:00 เรื่องที่เราว่าต้องตรวจว่าต้องตรวจตา
00:12:00 → 00:12:03 มั้ยแต่ผมจะเน้นย้ำว่าถ้ามีอาการการเวียน
00:12:03 → 00:12:05 หัวทรงตัวไม่ได้เฉียบพันระวังนะครับมัน
00:12:05 → 00:12:07 อาจจะไม่ใช่แค่น้ำในหูไม่เท่ากันก็ได้ควร
00:12:07 → 00:12:09 จะต้องมาโรงพยาบาลนะครับค่ะเพราะว่าถ้า
00:12:09 → 00:12:12 เป็นสโตรกแล้วนี่มันต้องเร็วมันถึงจะแก้
00:12:12 → 00:12:14 ไขให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิมถ้าช้า
00:12:14 → 00:12:17 นี่โอกาสที่จะสูญเสียหรือมันรุนแรงมาก
00:12:17 → 00:12:20 เนี่ยมันเป็นไปได้มากใช่มั้คะอาการต่อไป E
00:12:20 → 00:12:22 คือการมองเห็นครับทีนี้การมองเห็นอันนี้
00:12:22 → 00:12:25 น่าสนใจมากผมว่าเป็นสิ่งที่คนเราอาจจะคิด
00:12:25 → 00:12:27 ไม่ถึงด้วยซ้ำไปนะการที่มองไม่เห็นเฉียบ
00:12:27 → 00:12:29 พันธุนะครับมีโอกาสเกิดขึ้นนะในรูปที่ผม
00:12:29 → 00:12:32 วาดให้ดูนะครับมันจะเป็นลูกตาแล้วก็ข้าง
00:12:32 → 00:12:34 หลังเนี่ยเนี่ยเค้าเรียกว่าจอประสาทตาจอ
00:12:34 → 00:12:35 ประสาทตาก็มีเส้นเลือดมาเลี้ยงเหมือนกัน
00:12:35 → 00:12:37 นะครับการที่เกิดสโตรกเนี่ยเกิดได้ทุก
00:12:37 → 00:12:39 เส้นเลือดในสมองเลยแม้แต่เส้นเลือดที่ลูก
00:12:39 → 00:12:42 ตาก็ยังเกิดขึ้นได้มีอยู่เคสนึงคนไข้มาหา
00:12:42 → 00:12:45 ผมเป็นคุณยายมาด้วยตามัวถามว่าเวลาที่มา
00:12:45 → 00:12:47 หาตามัวเราคิดถึงอะไรอ่ะตัดแว่นนะสายตา
00:12:47 → 00:12:50 สั้นมั้งอ่ะมาวันหลังก็ได้มั้งจริงๆแล้ว
00:12:50 → 00:12:52 เนี่ยเ้าตาบอดไปข้างนึงครับแต่ว่าคนเรา
00:12:52 → 00:12:54 เนี่ยไม่เคยตาบอดเลยครับเวลาที่เราตาบอด
00:12:54 → 00:12:56 ไปข้างนึงเนี่ยเราบอกไม่ได้ว่าเราตาบอด
00:12:56 → 00:12:59 เราจะบอกว่าตามัวครับเพราะเราไม่รู้สึก
00:12:59 → 00:13:01 ว่าก็ยังเห็นอยู่อ่ะครับแต่มันมัวทีนี้พอ
00:13:01 → 00:13:03 ตรวจร่างกายก็ตัวว่าเห็นมั้ยหลักการของ
00:13:03 → 00:13:05 คุณหมออย่างรูปที่ผมวาดให้ดูนะครับก็จะมี
00:13:05 → 00:13:08 การปิดตาคุณหมอปิดตาข้างนึงคนไข้ก็ปิดตา
00:13:08 → 00:13:10 ข้างนึงแล้วดูว่านิ้วที่เข้ามาเนี่ยเขาจะ
00:13:10 → 00:13:13 มองเห็นมั้ยปรากฏว่าตาข้างขวานะครับบอดไป
00:13:13 → 00:13:15 เลยครับมองไม่เห็นแล้วเกิดขึ้นเฉี่ยพันธุ
00:13:15 → 00:13:17 อันนี้ก็คิดถึงว่าเสื้อเลือดมันอุดตรง
00:13:17 → 00:13:20 ตำแหน่งจอประสาทตาเคสเนี้ยมาเร็วอ่ะครับ
00:13:20 → 00:13:23 แล้วก็ส่งไปหาคุณหมอตาก็ทำการสวนเนี่ย
00:13:23 → 00:13:25 เพื่อเปิดเส้นเลือดคนไข้ก็สามารถกลับมา
00:13:25 → 00:13:27 มองเห็นได้เหมือนเดิมเลยเป็นความสำคัญว่า
00:13:27 → 00:13:30 ใครจะคิดถึงใช่มั้ยว่าตามัวอาจจะเป็นเส้น
00:13:30 → 00:13:33 เลือดสมองตีหรือก็ได้ค่ะก็คืออาการที่มัน
00:13:34 → 00:13:36 จะเกิดขึ้นมันจะบ่งชี้ว่าเป็นเส้นเลือด
00:13:36 → 00:13:39 ส่วนไหนที่มันตีบหรือแตกถูกมั้คะเพราะว่า
00:13:39 → 00:13:41 ถ้าสมมุติอยู่ในส่วนที่คุณหมอบอกว่า
00:13:41 → 00:13:43 ซิลิบrัมหรือซลิเบลรั่มเนี่ยมันก็จะมี
00:13:43 → 00:13:46 อาการอย่างนึงถ้าเป็นที่ตามันก็จะมีอาการ
00:13:46 → 00:13:48 อย่างนึงเพราะฉะนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือ
00:13:48 → 00:13:50 Bฟastเนี่ยจะเป็นอาการทั้งหมดที่มันอาจจะ
00:13:50 → 00:13:52 เกิดขึ้นได้อย่างใดอย่างหนึ่งใช่ใช่ครับเ
00:13:52 → 00:13:55 ถึงขมวดเป็นคำย่อเพื่อจะบอกว่าอาการมัน
00:13:55 → 00:13:56 เกิดขึ้นตรงไหนบ้างไม่ได้หมายความว่าต้อง
00:13:56 → 00:14:00 ครบทุกอย่างในใน 5 ตัวนี้ใน 6 ตัวนี้ที่
00:14:00 → 00:14:02 ระวังพลาดคือเรื่องของการเวียนหัวนะครับ
00:14:02 → 00:14:04 เวียนหัวเนี่ยมีโอกาสเป็นได้นะและอย่าง
00:14:04 → 00:14:06 ที่ 2 คือตามัวเฉียบพันธุ์มันก็ไม่แน่
00:14:06 → 00:14:09 เหมือนกันนะครับถัดมาคือคำว่า F อ่ะครับ F
00:14:09 → 00:14:11 หมายถึงเฟซก็คือปากเบี้ยวใบหน้าซึ่งผมว่า
00:14:11 → 00:14:13 หลายท่านคงคุ้นเคยอ่ะครับถ้าหากว่าปาก
00:14:13 → 00:14:15 เบี้ยวข้างในข้างนึงฉับพันธุ์เนี่ยมี
00:14:15 → 00:14:17 โอกาสเป็นประวัติปากเบี้ยวก็คืออย่างเช่น
00:14:17 → 00:14:19 ดื่มน้ำอ่ะครับคนไข้กินน้ำดื่มน้ำแล้ว
00:14:19 → 00:14:22 ปรากฏว่าน้ำมันไหลทางมุมปากหรือเห็นชัด
00:14:22 → 00:14:24 เจนเนี่ยแต่ในผู้สูงอายุอ่ะครับก็จะมี
00:14:24 → 00:14:26 ร่องของแก้มอ่ะบางทีมีรอยย่นของผิวหนัง
00:14:26 → 00:14:29 เกิดขึ้นเราก็จะไม่แน่ใจว่าตกลงปากเบี้ยว
00:14:29 → 00:14:31 หรือว่าปุ่มปากตกจากอายุมากหรือเปล่าหลัก
00:14:31 → 00:14:33 การนึงคือลองให้ยิ้มดูอ่ะครับการที่ยิ้ม
00:14:33 → 00:14:36 เนี่ยมันใช้กล้ามเนื้อใบหน้าอือคนไข้ชัด
00:14:36 → 00:14:38 เจนเลยครับพอยิ้มเสร็จปุ๊บเนี่ยจะเห็นว่า
00:14:38 → 00:14:40 ข้างเนี้ยมันยกได้แต่ข้างนี้ยกไม่ได้ถ้า
00:14:40 → 00:14:42 เราไม่แน่ใจก็ลองให้ค่อยยิ้มดูนะครับเรา
00:14:42 → 00:14:45 จะสังเกตเห็นได้นะครับตัวถัดมาคือคำว่า a
00:14:45 → 00:14:48 ครับ a ก็หมายถึงอาร์มคือแขนและขามันจะมา
00:14:48 → 00:14:50 ด้วยกันนะครับเพราะมันใช้สมองส่วนเดียว
00:14:50 → 00:14:53 กันระหว่างปากกับแขนและขาไปด้วยกันสังเกต
00:14:53 → 00:14:55 ว่าถ้าคนไข้มีเส้นเลือดสมองตีบหรือแตกเขา
00:14:55 → 00:14:58 จะมีปากเบี้ยวที่ข้างเนี้ยสมมุติว่า
00:14:58 → 00:15:00 เบี้ยวที่ข้างขวาเจะเห็นว่าแขนและขาข้าง
00:15:00 → 00:15:03 ขวาก็อ่อนแรงเหมือนกันนะครับมันจะมาด้วย
00:15:03 → 00:15:06 กันค่ะอันนี้ก็คือทั้งหน้าและแขนขาจะมา
00:15:06 → 00:15:08 ด้วยกันส่วนใหญ่จะมาด้วยกันใช่ครับค่ะตัว
00:15:08 → 00:15:11 ต่อไป S S นี่น่าสนใจมากครับ S คือคำว่า
00:15:11 → 00:15:14 Speed Speed คือการพูดอ่ะครับอ่าคุณ
00:15:14 → 00:15:17 น้องเชื่อมั้ครับว่าการพูดอ่ะบางคนคิดว่า
00:15:17 → 00:15:19 พูดไม่ได้ลิ้นแข็งอันเนี้ยมันก็รู้ใช่
00:15:19 → 00:15:22 มั้ยถ้าเป็นสโตก็คือลิ้นแข็งพูดไม่ชัดจะ
00:15:22 → 00:15:24 มีเหตุการณ์นึงครับการที่นึกคำพูดไม่ออก
00:15:24 → 00:15:27 คุณน้องเคยเป็นมั้ครับอ๋อค่ะนึกคำพูดนึก
00:15:27 → 00:15:29 ชื่อนึกคำพูดไม่ออกอย่างงี้แหละค่ะนึกไม่
00:15:29 → 00:15:31 ออกเหรอครับใช่ครับอย่างรูปที่ผมว่าให้ดู
00:15:31 → 00:15:33 เป็นนักการเมืองที่อเมริกานะครับท่านก็
00:15:33 → 00:15:35 อายุมากครับนักการเมืองท่านก็ปราศรัยอยู่
00:15:35 → 00:15:38 ก็แถลงนโยบายอยู่ดีก็
00:15:39 → 00:15:41 หยุดพูดไปเลยอ่ะครับหยุดแบบแต่เค้ามีสติ
00:15:41 → 00:15:44 นะหยุดไปเลยครับอันนี้คือ s ไง speed คือ
00:15:44 → 00:15:47 พูดออกมาไม่ได้ใช่ครับหยุดไปเลยครับเพราะ
00:15:47 → 00:15:49 ว่าอะไรนะสมองคนเรามีหน้าที่อะไรทุกการ
00:15:49 → 00:15:51 กระทำทุกกิริยาของเราเกิดจากสมองครับการ
00:15:51 → 00:15:54 ที่เราพูดเนี่ยได้ยินแล้วก็พูดไปเนี่ยการ
00:15:54 → 00:15:57 พูดใช้สมองส่วนนึงด้วยนะในภาพที่ผมวาดนะ
00:15:57 → 00:15:59 ครับจะเห็นว่ามันจะมีสมองส่วนด้านข้างที่
00:15:59 → 00:16:01 เป็นสีแดงแดงกับสีเขียวสมองส่วนเนี้ยช่วย
00:16:01 → 00:16:04 ในการพูดนะครับพวกไวยากรณ์แกรมมาภาษาตรง
00:16:04 → 00:16:06 เนี้ยมันก็มีโอกาสเกิดเส้นเลือดสมองแตก
00:16:06 → 00:16:08 หรือตีบได้เหมือนกันปรากฏว่านักการเมือง
00:16:08 → 00:16:10 ท่านเนี้ยมันโดนตรงนี้พอดีเลยครับกำลัง
00:16:10 → 00:16:12 ปราศรัยไงแล้วก็การดื่มน้ำน้อยมีผลทำให้
00:16:12 → 00:16:14 เสื้อเลือดมันตีบนะครับท่านอาจจะดื่มน้ำ
00:16:14 → 00:16:16 น้อยครับแล้วก็อากาศร้อนเสียเหงื่อมาก
00:16:16 → 00:16:19 เลือดมันก็เลยมีความข้นปรากฏว่าเกิดก้อน
00:16:19 → 00:16:21 เลือดตรงนั้นปึ้งพอดีครับท่านก็เลยหยุด
00:16:21 → 00:16:23 พูดกระทันหันแต่เคสนั้นโชคดีนะครับที่
00:16:23 → 00:16:26 อเมริกาก็พาท่านมาหาคุณหมอที่โรงพยาบาล
00:16:26 → 00:16:28 แล้วก็เซเrคอมพิวเตอร์สมองก็เจอว่าเ้นี้
00:16:28 → 00:16:30 มันตีบจริงๆอ่ะครับแล้วก็มีการให้ยาลาลืม
00:16:30 → 00:16:31 เลือดนะครับก็สามารถทำให้ลืมเลือดเนี่ย
00:16:31 → 00:16:33 มันหลุดออกไปได้ท่านก็สามารถกลับมาพูดได้
00:16:33 → 00:16:35 เหมือนเดิมอีกเหตุการณ์ครับคุณน้องใครจะ
00:16:35 → 00:16:38 คิดนะครับว่าคุณหมอที่เป็นคุณหมอสมอง
00:16:38 → 00:16:40 เนี่ยเค้าก็เป็นสโตกด้วยเหมือนกันนะครับ
00:16:40 → 00:16:41 มีอยู่เหตุการณ์นึงคุณหมอเค้าเชี่ยวชาญ
00:16:41 → 00:16:43 เรื่องสมองเลยนะคุณหมอกำลังเขียนออเดอร์
00:16:43 → 00:16:45 กำลังเขียนคำสั่งการรักษาอยู่ดีคุณหมอก็
00:16:45 → 00:16:48 หยุดขึ้นมาแล้วก็คิดว่าเจ้าสิ่งเนี้ยมัน
00:16:48 → 00:16:51 เรียกว่าอะไรครับมันคืออะไรอ่ะมันมีภาษา
00:16:51 → 00:16:54 ไทยว่าอะไรท่านก็มันคืออะไรนะคิดว่าเฮ้ย
00:16:54 → 00:16:57 สงสัยเราจะเป็นสโตกรือเปล่านะท่านก็บอก
00:16:57 → 00:16:59 คุณพยาบาลว่าเฮ้ยผมว่าผมไม่ปกติอ่ะไปเray
00:16:59 → 00:17:01 คอมพิวเตอร์สมองให้ผมหน่อยปรากฏว่าคุณหมอ
00:17:02 → 00:17:03 ท่านเป็นสโตรจริงๆด้วยนะครับเป็นเสื้อ
00:17:03 → 00:17:06 สมองตีบตำแหน่งที่จะคิดคำพูดอ่ะครับเพราะ
00:17:06 → 00:17:07 ว่าการที่เราจะบอกได้ว่าเนี่ยเรียกว่า
00:17:07 → 00:17:10 ปากกามันต้องมีไวยากรณ์ซึ่งอยู่ในสมองมัน
00:17:10 → 00:17:13 โดนตอนนั้นพอดีคุณหมอก็เลยคิดคำพูดไม่ออก
00:17:13 → 00:17:15 อีกเหตุการณ์นึงครับเป็นคุณผู้หญิงคนนึง
00:17:15 → 00:17:17 กำลังขับรถตอนเช้าก็รีบไปทำงาน 8:00 น.
00:17:17 → 00:17:20 ใช่มั้ยแล้วก็หยิบวัตถุชิ้นนึงจะเสียบ
00:17:20 → 00:17:24 เข้าไปนิดว่าวัตถุนี้มันเรียกว่าอะไรนะ
00:17:24 → 00:17:26 คือกุญแจรถเนี่ยเหรอใช่ครับเคิดคำว่า
00:17:26 → 00:17:28 กุญแจไม่ออกก็เลยมาที่โรงพยาบาลปรากฏว่า
00:17:28 → 00:17:31 เป็นสมองแตกเหมือนกันครับเนี่ยสำคัญว่า
00:17:31 → 00:17:33 มันไม่ใช่แค่พูดไม่ชัดนะครับการที่เรานึก
00:17:33 → 00:17:35 คำพูดไม่ออกหยุดพูดกระทันหันอย่างผู้สูง
00:17:35 → 00:17:37 อายุไงอยู่นี่ก็หยุดไปเลยครับนิ่งไปหรือ
00:17:37 → 00:17:40 ว่าแบบคิดคำพูดไม่ออกอันเนี้ยไม่ได้แปล
00:17:40 → 00:17:42 ว่าเราสมองเสื่อมนะระวังนะครับบางทีเป็นส
00:17:42 → 00:17:44 มันต่างกันยังไงคะคุณหมอมันต่างกันที่
00:17:44 → 00:17:45 ความเฉียบพันนะครับอย่างเคสเมื่อกี้คุณ
00:17:45 → 00:17:48 หมอสมองกำลังเขียนอยู่คุณหมอก็แบบว่ามัน
00:17:48 → 00:17:51 นึกไม่ออกเฉียบพันเ่ะพยายามนึกมันก็นึกคำ
00:17:51 → 00:17:53 พูดไม่ออกครับมันดูแปลกเกินผมว่าผมก็เป็น
00:17:53 → 00:17:55 นะครับผมว่าคุณน้องก็เป็นเหมือนกันเวลา
00:17:55 → 00:17:58 ที่เราเป็นพิธีกรสัมภาษณ์บางทีเรามันอยู่
00:17:58 → 00:18:00 ที่ลิฟมันคิดไม่ออกแต่สักพักนึงมันก็คิด
00:18:00 → 00:18:02 ออกแต่อันเนี้ยมันคิดไม่ออกเลยครับจะคิด
00:18:02 → 00:18:05 ไม่ออกเลยใช่มั้คะไม่ว่าจะใช้เวลาสัก 5
00:18:05 → 00:18:07 นาที 10 นาทีมันก็จะคิดไม่ออกเพราะมันไป
00:18:07 → 00:18:09 โดนอุตตันตรงนั้นแล้วใช่ใช่ตัวตำแหน่งของ
00:18:09 → 00:18:11 สมองที่เกี่ยวกับความจำความนึกคิดของ
00:18:11 → 00:18:13 วัตถุเนี่ยจะหายไปอันนี้ต้องระวังนะครับอ
00:18:13 → 00:18:15 เพราะฉะนั้นเวลาที่เราลืมหรือนึกอะไรไม่
00:18:15 → 00:18:17 ออกเราต้องรีบลองพยายามนึกดูว่าเรานึกออก
00:18:17 → 00:18:20 มั้ยใช่ครับใช่มั้คะอืถ้านึกไม่ออกไปโรง
00:18:20 → 00:18:22 พยาบาลครับต้องรีบไปโรงพยาบาลเอออันนี้
00:18:22 → 00:18:24 คือความเฉียบพลันที่มันเกิดขึ้นแล้วมันจะ
00:18:24 → 00:18:27 ไม่กลับมาคือมันหายไปความจำมันหายไปแล้ว
00:18:27 → 00:18:30 มันจะไม่กลับมามันไม่ใช่การลืมใช่ครับแต่
00:18:30 → 00:18:33 มันจะนึกไม่ออกเลยอืเพราะว่านั้นมันไปโดน
00:18:33 → 00:18:35 ส่วนสมองตัวสุดท้ายตัว T ค่ะ T ก็คือเวลา
00:18:35 → 00:18:38 นี่แหละถ้ามาให้เร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้
00:18:38 → 00:18:40 ดีหรือหายเป็นปกติได้เร็วขึ้นนะครับใน
00:18:40 → 00:18:42 ปัจจุบันถ้าหากว่ามีเส้นเลือสมองตีบเกิด
00:18:42 → 00:18:44 ขึ้นเนี่ยมีก้อนเลือดเข้าไปอุดปึ้งเนี่ย
00:18:44 → 00:18:47 ครับถ้ามาภายใน 4 ชม.ครึ่งอ่ะครับบางที
00:18:47 → 00:18:49 คุณหมออาจจะให้ยาเพื่อละลายก้อเลือดให้
00:18:49 → 00:18:52 มันหลุดไปคนไข้ก็อาจจะกลับมายกแขนยกขาได้
00:18:52 → 00:18:54 ใกล้เคียงกับเดิมนะครับแต่ปัจจุบันเนี่ย
00:18:54 → 00:18:56 มีมากกว่านี้นะครับเราขยับไปถึง 6-8 ชมง
00:18:57 → 00:18:59 มีการสวนด้วยนะครับปกติเราเรียกว่าสวนหัว
00:18:59 → 00:19:01 ใจใช่มั้ยอันเนี้ยคือสวนเส้นเลือดเนี่ย
00:19:01 → 00:19:03 สวนขดเลือดไปในสมองเพื่อไปเอาก้อนเลื่อน
00:19:03 → 00:19:06 ออกทำได้นะครับซึ่งมันจะทำภายในระยะเวลา
00:19:06 → 00:19:08 6-8 ชมงนะจะเกิดเหตุขึ้นแล้วนะครับแต่
00:19:08 → 00:19:10 ถ้าหากว่านานกว่าเนี้ยสมองมันขาดเลือดไป
00:19:10 → 00:19:13 หมดแล้วอ่ะครับการที่เราไปสวนเส้นเลือด
00:19:13 → 00:19:15 สมองหรือว่าการให้ยาเนี่ยมันก็จะไม่ค่อย
00:19:15 → 00:19:17 ได้ผลเพราะสมองมันขาดเลือดไปแล้วอ่ะทีจึง
00:19:17 → 00:19:20 สำคัญมากต้องวินิจฉัยให้เร็วอ่ะครับแล้ว
00:19:20 → 00:19:22 ก็วันเนี้ยต้องขอบคุณทางรายการมนุษย์ต่าง
00:19:22 → 00:19:24 วัยที่ให้ความรู้ประชาชนนะครับถ้าเจอปุ๊บ
00:19:24 → 00:19:27 เนี่ยมาโรงพยาบาลเลยครับคุณหมอก็จะมีการ
00:19:27 → 00:19:29 รักษาแล้วมีโอกาสที่เขาจะหายดีนะครับใน
00:19:29 → 00:19:31 กรณีที่เราเป็นลูกหลานในบ้านแล้วเจอผู้
00:19:31 → 00:19:34 สูงอายุในบ้านมีอาการในกลุ่มที่คุณหมอบอก
00:19:34 → 00:19:36 สิ่งที่เราต้องทำคืออะไรคะอย่างแรกนะครับ
00:19:36 → 00:19:38 โทรที่เบอร์ 1669 นะครับเพราะว่าอย่างที่
00:19:38 → 00:19:41 ว่าไปไม่ได้มีแต่โรงพยาบาลนะยังมีทีม
00:19:41 → 00:19:43 แพทย์เข้ามาช่วยเหลือได้บางครั้งครับเส้น
00:19:43 → 00:19:45 เลือดสมองตีบมันเกิดขึ้นตำแหน่งที่สำคัญ
00:19:45 → 00:19:47 มากอย่างเช่นตีบที่ก้านสมองหรือว่าตีบที่
00:19:47 → 00:19:49 สมองส่วนใหญ่เนี่ยคงไข้จะเอามาพลาดไป
00:19:49 → 00:19:51 ครึ่งนึงเลยครับแล้วก็บางครั้งเนี่ยมี
00:19:51 → 00:19:54 อาการซึมมากหยุดหายใจได้ระหว่างที่มาโรง
00:19:54 → 00:19:55 พยาบาลอย่างไม่ถูกวิธีเค้าอาจจะเสียชีวิต
00:19:55 → 00:19:57 จากการหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นเกิด
00:19:57 → 00:19:59 ขึ้นได้ถ้าเราโทรขอความช่วยเหลือเนี่ย
00:19:59 → 00:20:01 แพทย์ก็จะเข้ามาถึงนะครับมีการอาจจะมีการ
00:20:01 → 00:20:04 ให้ออกซิเจนตามความเหมาะสมนะครับอาจจะมี
00:20:04 → 00:20:06 การตรวจคลื่นหัวใจมีการให้น้ำเกลือสารน้ำ
00:20:07 → 00:20:08 แล้วก็ดูแลให้ดีแล้วก็พามาโรงพยาบาลอัน
00:20:08 → 00:20:10 นี้กรณีที่มันรุนแรงนะครับแต่ถ้าหากว่า
00:20:10 → 00:20:12 ไม่รุนแรงมากเนี่ยสามารถที่จะมาโรงพยาบาล
00:20:12 → 00:20:14 เลยก็ได้นะอย่างเช่นคุณหมอเมื่อกี้ครับ
00:20:14 → 00:20:16 ที่เขียนอยู่แล้วคิดไม่ออกว่าปากกาคือ
00:20:16 → 00:20:18 อะไรเรายังมีสติอยู่อันเนี้ยมาโรงพยาบาล
00:20:18 → 00:20:21 เลยครับสามารถเหมือนกันครับค่ะในกรณีที่
00:20:21 → 00:20:25 ผู้สูงอายุเอ่อเป็นช่วงเวลากลางวันแล้ว
00:20:25 → 00:20:27 เราก็อยู่ด้วยเราเห็นอาการแบบนี้อันนี้ก็
00:20:27 → 00:20:30 ไม่มีปัญหาแล้วก็โทร 1669 มันมีโอกาสที่
00:20:31 → 00:20:33 จะเกิดขึ้นตอนที่นอนได้มั้ยคะจริงๆแล้วนะ
00:20:33 → 00:20:35 ครับโอกาสที่เกิดขึ้นเนี่ยสูงมากครับคน
00:20:35 → 00:20:37 ไข้เส้นเลือดสมองตีดแต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้น
00:20:37 → 00:20:40 ตอนที่นอนหลับอ่ะครับหลายครั้งมากก็คือ
00:20:40 → 00:20:42 ตื่นเช้ามาก็เห็นคุณแม่คุณพ่อที่จะปาก
00:20:42 → 00:20:44 เบี้ยวไปแล้วอ่ะครับซึ่งก็ไม่รู้ว่ามัน
00:20:44 → 00:20:46 เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่มันเกิดขึ้นได้
00:20:46 → 00:20:48 แล้วก็ถ้าเวลาไม่แน่นอนนะครับว่ามันเกิด
00:20:48 → 00:20:50 ขึ้นครั้งแรกเนี่ยตอนกี่โมงซึ่งมันอาจจะ
00:20:50 → 00:20:53 เกิน 4 ช่โมงเกิน 6 ช่มงเกิน 8 ช่มง
00:20:53 → 00:20:55 อันเนี้ยเราก็อาจจะเลือกที่จะไม่ให้ยาที่
00:20:55 → 00:20:58 จะทำการละลายก้อนเลือดนะครับเพราะว่าถ้า
00:20:58 → 00:21:00 เวลาที่มันนานไปเนี่ยสมองมันขาดเลือดมาก
00:21:00 → 00:21:02 ถ้าเราให้ยาเนี่ยอาจจะมีผลเสียมากกว่า
00:21:02 → 00:21:04 เกิดขึ้นบ่อยครับโดยที่เราไม่ทราบว่ามัน
00:21:04 → 00:21:06 เกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้วก็มักจะเกิดขึ้นตอน
00:21:06 → 00:21:09 กลางคืนด้วยสิ่งสำคัญคือการป้องกันนะครับ
00:21:09 → 00:21:11 เส้นเลือดสมองตีบหรือแตกมันสามารถป้องกัน
00:21:11 → 00:21:14 ได้นะครับค่ะป้องกันยังไงคะหลักการแรกปั
00:21:14 → 00:21:15 ปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นนะครับเมื่อเรา
00:21:15 → 00:21:17 อายุมากขึ้นน่ะเส้นเลือดของเรามันก็จะมี
00:21:17 → 00:21:20 การตีบมากขึ้นอย่างเช่นบางท่านสูบบุหรี่
00:21:20 → 00:21:22 หรือว่ากินอาหารที่มีไขมันสูงพอสูบบุหรี่
00:21:22 → 00:21:24 เนี่ยเสื้อเลือดมันถูกทำลายมากมันก็จะมี
00:21:24 → 00:21:26 การเส้นเลือดตีบได้ง่ายขึ้นมันก็ทำให้
00:21:26 → 00:21:29 เกิดโอกาสเกิดเส้นเลือดสมองตีบหรือแตกได้
00:21:29 → 00:21:31 ทีเนี้ยก็คือควรจะงดการสูบบุหรี่แล้วก็
00:21:32 → 00:21:33 ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่นะครับ
00:21:33 → 00:21:35 เพื่อลดปัจจัยเนี้ยอันที่ 2 คือเรื่องของ
00:21:35 → 00:21:37 ไขมันในเส้นเลือดอ่ะครับถ้าหากว่าเรากิน
00:21:37 → 00:21:39 อาหารที่มีไขมันสูงไขมันก็จะไปอุดในเส้น
00:21:39 → 00:21:42 เลือดได้แล้วก็บางครั้งเนี่ยมาตรวจสุขภาพ
00:21:42 → 00:21:44 ประจำปีครับคุณหมอจะมีการตรวจไขมันในเส้น
00:21:45 → 00:21:47 เลือดแล้วก็ถ้ามันสูงมากเนี่ยอาจจะไม่ให้
00:21:47 → 00:21:49 ให้การออกกำลังกายคุมอาหารหรือไม่ก็อาจจะ
00:21:49 → 00:21:52 มีการให้ยาที่ลดไขมันในเส้นเลือดก็ได้อัน
00:21:52 → 00:21:54 สุดท้ายที่พบใหม่มากคือเรื่องของความดัน
00:21:54 → 00:21:57 โลหิตสูงอ่ะครับเวลาที่ความดันสูงมัน
00:21:57 → 00:21:59 กระแทกหลอดเลือดนะครับการกระแทกเนี่ยหลอด
00:21:59 → 00:22:00 เลือดก็อาจจะเกิดแผลได้แล้วก็เกิดก้อน
00:22:00 → 00:22:03 เลือดอุดตังค์ได้ทีนี้ก็ควรจะต้องมีการมา
00:22:03 → 00:22:05 หาคุณหมอแล้วก็กินยาลดความดันอย่างสม่ำ
00:22:05 → 00:22:08 เสมอส่วนใหญ่นะครับถ้าเราย้อนกลับไปเคส
00:22:08 → 00:22:10 ที่เป็นสตรกเนี่ยหรือว่าเสื้อสมองตีบหรือ
00:22:10 → 00:22:13 แตกประวัติก็คือว่ามีความดันมีเบาหวานแต่
00:22:13 → 00:22:15 ว่ากินยาไม่ครบหรือว่าไม่ได้กินยาเสมอ
00:22:15 → 00:22:18 ความดันสูงมากไม่มาตรวจสุขภาพเลยอันเนี้
00:22:18 → 00:22:21 เป็นปัจจัยเสี่ยงสูงมากทีนี้ผมคิดว่าคำ
00:22:21 → 00:22:23 ถามที่บอกว่ามันเกิดขึ้นกลางคืนแล้วทำยัง
00:22:23 → 00:22:25 ไงอ่ะผมว่าย้อนกลับไปถ้าป้องกันได้ดีมัน
00:22:25 → 00:22:28 ก็จะลดการเกิดสโตรกในกลางคืนได้ครับอค่ะ
00:22:28 → 00:22:30 อย่างี้ในกรณีที่ลูกหลานอยู่ไกลแล้วพ่อ
00:22:30 → 00:22:33 แม่อาจจะอยู่กับคนดูแลหรืออะไรก็แล้วแต่
00:22:33 → 00:22:35 เนี่ยสมมุติคนดูแลโทรแจ้งลูกหลานลูกหลาน
00:22:35 → 00:22:37 โทร 1669 ให้ไปที่บ้านเลยอย่างนี้ก็ได้
00:22:37 → 00:22:39 เหมือนกันสามารถครับอ๋อมีอยู่เคสนึงครับ
00:22:39 → 00:22:42 เป็นกล้องวงจรปิดเดี๋ยวนี้เนาะเพราะว่า
00:22:42 → 00:22:44 เอ่อผู้เอ่อผู้ที่ทำงานวัยทำงานไม่ได้
00:22:44 → 00:22:46 อยู่บ้านแล้วก็เป็นห่วงบุพการีใช่มั้คุณ
00:22:46 → 00:22:48 พ่อคุณแม่ก็จะมีกล้องวงจรปิดที่ดูว่าคุณ
00:22:48 → 00:22:51 พ่อคุณแม่ทำอะไรมีเหตุนึงครับเขาก็ดู
00:22:51 → 00:22:54 ปรากฏว่าล้มอ่ะครับพอล้มเสร็จปุ๊บเนี่ย
00:22:54 → 00:22:56 เขาเห็นน่ะกล้องมันสามารถที่จะบอกได้ว่า
00:22:56 → 00:22:58 ผู้สูงอายุกำลังล้มอ่ะครับพอล้มเสร็จปุ๊บ
00:22:58 → 00:23:01 เนี่ยหัวกระแทกพื้นหมดสติไปลูกหลานทำยัง
00:23:01 → 00:23:03 ไงอยู่ต่างประเทศด้วยครับเาจัดการโทรที่
00:23:03 → 00:23:06 เบอร์ 1669 ครับบอกว่าเนี่ยแจ้งเหตุว่า
00:23:06 → 00:23:07 สมมุติว่าอยู่ที่จังหวัดแห่งนึงในต่าง
00:23:08 → 00:23:10 จังหวัดผมเห็นกล้องว่าคุณแม่ของผมเนี่ย
00:23:10 → 00:23:13 ล้มแล้วหมดสติบอกพิกัดบอกตำแหน่งถูกก็บอก
00:23:13 → 00:23:16 ว่าเดี๋ยวผมจะส่งรถพยาบาลไปครับสามารถ
00:23:16 → 00:23:18 ครับผมออันนี้เป็นทางออกของลูกหลานที่บาง
00:23:18 → 00:23:21 ทีทำงานอยู่ไกลจากพ่อแม่ไกลจากบุพการีนะ
00:23:22 → 00:23:24 คะ 1669 นี่เป็นเบอร์ที่สำคัญมากต้องจำ
00:23:24 → 00:23:27 ไว้นะคะมาอีกเคสนึงนะคะเป็นประสบการณ์เฉด
00:23:27 → 00:23:29 ตายของที่บ้านพ่อมีอาการแน่นหน้าอกก็เลย
00:23:30 → 00:23:32 ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปประมาณ 2 แก้วแต่อาการ
00:23:32 → 00:23:34 ก็ยังไม่ดีขึ้นอาการแน่นหน้าอกยังคงเพิ่ม
00:23:34 → 00:23:37 ขึ้นเริ่มมีเหงื่อออกมากพูดไม่เป็นคำแต่
00:23:37 → 00:23:39 ยังรู้ตัวพยายามบอกว่าไม่ไหวแล้วหายใจไม่
00:23:39 → 00:23:42 ออกจะเป็นลมแล้วคนที่บ้านทำอะไรไม่ถูกตัด
00:23:42 → 00:23:45 สินใจเรียก 1669 เพราะว่าที่บ้านตกใจจน
00:23:45 → 00:23:47 ไม่คิดว่าจะขับรถพาพ่อไปส่งโรงพยาบาลเอง
00:23:47 → 00:23:49 ได้อาการนี้ฟังแล้วดูเหมือนเรื่องของ
00:23:49 → 00:23:52 กล้ามในหัวใจขาดเลือดอย่างมากครับอาการ
00:23:52 → 00:23:54 คือจะแน่นที่หน้าอกข้างซ้ายนี่ก็คือหัวใจ
00:23:54 → 00:23:56 คนเราอยู่ทางไหนรู้มั้ครับหัวใจอยู่ด้าน
00:23:56 → 00:23:58 ซ้ายนะครับด้านซ้ายอาการแน่นมันก็คือแน่น
00:23:58 → 00:24:01 ที่หน้าอกข้างซ้ายบางคนก็ราวไปที่หัวไหล่
00:24:01 → 00:24:03 ขึ้นที่กราได้อันนี้คือการที่แบบเฉพาะมาก
00:24:03 → 00:24:06 ครับขาดเลือดปุ๊บมันจะแน่นปุ๊บแต่ทีเนี้ย
00:24:06 → 00:24:08 อาการแน่นบางทีมันไม่ชัดเจนนะครับอย่าง
00:24:08 → 00:24:10 เช่นคนไข้บางคนเป็นเบาหวาหรือว่าอายุเยอะ
00:24:10 → 00:24:12 เส้นประสาทเสื่อมเส้นประสาทแห่งการรับ
00:24:12 → 00:24:14 ความเจ็บโปรดมันก็เสื่อมด้วยคนไข้ก็จะมา
00:24:14 → 00:24:16 ด้วยอาการไม่เมื่อยมีอยู่คำนึงไม่รู้คุณ
00:24:16 → 00:24:20 น้องอาจจะเคยได้ยินเปล่าสวอยมวยทางภาค
00:24:20 → 00:24:23 อีสานนะครับเราจะเรียกอาการสวอยก็คือสว
00:24:23 → 00:24:26 อาการเมื่อยๆรู้สึกเมื่อยครับท็อปแน่นๆ
00:24:26 → 00:24:28 อะไรเงี้ยครับสวอยสอยบางทีคุณยายก็มาด้วย
00:24:28 → 00:24:30 การเหนื่อยเป็นต้นพวกนี้ก็คืออาการของ
00:24:30 → 00:24:33 ก้ามในหัวใจขาเลือดผมมีภาพให้ดูนะครับใน
00:24:33 → 00:24:35 ภาพจะเห็นว่าเป็นที่มีการเหมือนเข็มขัด
00:24:35 → 00:24:37 มารัดถ้าในต่างประเทศนะเขาจะบอกว่าอาการ
00:24:37 → 00:24:39 ที่ถ้าเกิดคุณตื่นขึ้นมาหรือว่ามีอาการ
00:24:39 → 00:24:41 ปุ๊บเนี่ยมันเหมือนเข็มขัดรัฐเนี่ยก็แปล
00:24:41 → 00:24:44 ว่าคุณน่าจะเป็นกล้ามหัวใจขาดเลือดแต่ใน
00:24:44 → 00:24:46 เมืองไทยนะครับผมยังไม่เจอเจอคนไข้คนไหน
00:24:46 → 00:24:49 ที่บอกว่ามีเข็มขัดมรัที่บรรยายความรู้
00:24:49 → 00:24:50 สึกแบบนี้ใช่มั้ยคะใช่เพราะผมรู้สึกว่า
00:24:50 → 00:24:52 การบรรยายเป็นเรื่องวัฒนธรรมของแต่ละ
00:24:52 → 00:24:54 ประเทศอ่ะครับในเมืองไทยเนี่ยจะคิดไม่ออก
00:24:55 → 00:24:57 ว่าเข็มขัดมารัดหน้าอกมันรัดได้ยังไงนะคน
00:24:57 → 00:24:59 ไทยจะบอกว่าเหมือนช้างมาเหยียบอ่ะครับ
00:24:59 → 00:25:01 เหมือนรถมาทับเหมือนเด็กมานั่งทับอ่ะครับ
00:25:01 → 00:25:03 มันจะแน่นทีนี้ช้างเหยียบเนี่ยในต่าง
00:25:04 → 00:25:06 ประเทศก็ไม่มีนะครับเพราะว่าคนต่างประเทศ
00:25:06 → 00:25:08 คิดว่าช้างเหยียบมันมีอาการยังไงนะแต่คน
00:25:08 → 00:25:10 ไทยจะบอกว่าเหมือนช้างมาเหยียบมันแน่นคือ
00:25:10 → 00:25:13 มันหนักแน่นอยู่ที่หน้าอกใช่ครับซึ่งจะ
00:25:13 → 00:25:15 เป็นด้านซ้ายแล้วก็มันจะร้าวมาที่หัวไหล่
00:25:15 → 00:25:17 ข้างซ้ายก็ได้ขึ้นมาที่กรามข้างซ้ายก็ได้
00:25:17 → 00:25:20 เหมือนกันทีนี้อันนี้เป็นอาการเฉพาะมาก
00:25:20 → 00:25:22 ครับก็คือเป็นไปตามตำรานี่แหละแน่นด้าน
00:25:22 → 00:25:24 ซ้ายเหมือนมีคนมาเหยียบช้างมาเหยียบแต่
00:25:24 → 00:25:26 ว่าการที่เราแน่นเนี่ยครับเราใช้เส้น
00:25:26 → 00:25:28 ประสาทรับความรู้สึกนะอย่างเช่นเวลาที่ผม
00:25:28 → 00:25:30 หยิกที่ผิวหนังก็รู้ว่าเจ็บตรงไหนใช่มั้ย
00:25:31 → 00:25:32 เหมือนกันครับการเจ็บเนี่ยมันมีเส้น
00:25:32 → 00:25:34 ประสาทที่รับเหมือนกันถ้าคนไข้อายุมาก
00:25:34 → 00:25:36 ขึ้นหรือเป็นเบาหวานเส้นประสาทมันเสื่อม
00:25:36 → 00:25:38 อ่ะเค้าอาจจะเกิดกล้ามหัวใจขาเลือดขึ้นก็
00:25:38 → 00:25:40 จริงแต่ว่าเขาจะไม่ค่อยเจ็บมากไงเพราะว่า
00:25:41 → 00:25:42 เส้นประสาทมันเสื่อมอาการก็อาจจะประมาณ
00:25:42 → 00:25:45 แค่รู้สึกแบบแน่นๆไม่ค่อยตื้อรู้สึกเพลีย
00:25:45 → 00:25:48 บ้างแล้วก็แบบปวดต้นคอบ้างมีอยู่เคสนึง
00:25:48 → 00:25:50 ครับคุณน้องผมเคยเจอคุณยายคุณยายอายุ
00:25:50 → 00:25:53 ประมาณ 80 ปีมาหาผมที่ห้องเฉินตอน 3:00
00:25:53 → 00:25:57 น.คุณยายปวดฟันหนปวดฟันเหรอพออ้าปากดูมา
00:25:57 → 00:25:59 คุณยายอ้าปากหน่อยซิไม่มีฟันเลยครับมีแต่
00:25:59 → 00:26:02 เหงือกบอกว่าคุณยายปวดอะไรเหรอเหงือกก็
00:26:02 → 00:26:05 ไม่อยากเสพอมาทำไมเนี่ยปวดฟันปวดเหงือก
00:26:05 → 00:26:08 แล้วคิดถึงเอ๊มันก็มีโอกาสนะคุณยายปวดปวด
00:26:08 → 00:26:10 กามอ่ะข้างซ้ายครับแล้วก็ถามว่าแน่นหน้า
00:26:10 → 00:26:14 อกมั้ยไม่หรอกลูกไม่แน่นปวดกามอือพอไป
00:26:14 → 00:26:17 ตรวจขึ้นหัวใจโหชัดเจนเลยครับคุณยายมี
00:26:17 → 00:26:19 กล้ามหัวใจขาดเลือดชัดเจนนะเนี่ยจะบอกว่า
00:26:19 → 00:26:21 บางทีอาการที่หลงเหลือมันเหลืออยู่แค่นี้
00:26:21 → 00:26:24 ก็มีนะครับเพราะว่าเส้นประสาทมันเสื่อม
00:26:24 → 00:26:26 อีกกรณีนึงที่น่ากลัวมากคืออาการลิ้นปี่
00:26:26 → 00:26:28 อ่ะครับถ้าให้ดูในโมเดลที่ผมวาดให้ดูนะ
00:26:28 → 00:26:31 ครับหรือโมเดลนี้นะในหัวใจคนเราอ่ะครับ
00:26:31 → 00:26:33 ใต้ตัวหัวใจก็จะมีกระเพาะอาหารนะครับมัน
00:26:33 → 00:26:36 ติดกันนะหัวใจวางตัวอยู่บนกำลังลมข้าง
00:26:36 → 00:26:39 ล่างคือกระเพาะอาหารบางคนเนี่ยมีอาการที่
00:26:39 → 00:26:41 ฐานหัวใจมันขาดเลือดอ่ะก็จะรู้สึกว่า
00:26:41 → 00:26:42 เหมือนการแน่นที่หน้าอกตรงลิ้นปี่ได้
00:26:43 → 00:26:45 เหมือนกันเนี้ยถ้าเกิดว่าเจอผู้สูงอายุนะ
00:26:45 → 00:26:47 ครับส่วนใหญ่เนี่ยผู้สูงอายุมักจะไม่ค่อย
00:26:47 → 00:26:49 เป็นโรคกระเพาะนะโรคกระเพาะจะเจอในคน
00:26:49 → 00:26:51 หนุ่มสาวที่ทำงานหนักแล้วก็ไม่ค่อยกิน
00:26:51 → 00:26:54 อาหารตรงเวลาในผู้สูงเจอน้อยอ่ะครับซึ่ง
00:26:54 → 00:26:56 ถ้าเขามาด้วยการจุกเสียลิ้นปี่เนี่ยอย่า
00:26:56 → 00:26:58 คิดว่าเขาเป็นแค่กระเพาะนะครับเค้าอาจจะ
00:26:58 → 00:27:00 เป็นกล้ามตัวใจขาเลือดก็ได้อันเนี้ยน่า
00:27:00 → 00:27:03 กังวลนะครับมาดูอีกเคสนึงนะคะแม่พาหมาออก
00:27:03 → 00:27:05 ไปเดินเล่นแต่ว่าในระหว่างพักรู้สึกว่า
00:27:05 → 00:27:09 หน้ามืดอยู่ๆก็วูบเซไปพิงกำแพงเห็นคนที่
00:27:09 → 00:27:12 เดินสวนกันไม่ชัดดูเบลอๆโฟกัสหน้าคนไม่
00:27:13 → 00:27:16 ได้หูอื้อหน้ามืดจับเสียงรอบข้างไม่ได้ก็
00:27:16 → 00:27:19 เลยพยายามที่จะพยุงตัวเองดีที่มีคนแถ่า
00:27:19 → 00:27:21 นั้นเห็นก็เลยช่วยพากลับบ้านได้ถ้าไปวูบ
00:27:21 → 00:27:23 ตอนที่ไม่มีคนอยู่ก็ไม่อยากจะคิดคงจะ
00:27:23 → 00:27:26 อันตรายมากๆอันนี้น่าจะเป็นกรณีอะไรได้
00:27:26 → 00:27:28 บ้างคะอาการวูบอ่ะครับอาการวูบเนี่ยในผู้
00:27:28 → 00:27:30 สูงอายุส่วนใหญ่ก็จะเกิดได้จาก 2 สาเหตุ
00:27:30 → 00:27:33 หลักเลยครับก็คือ 1 หัวใจอย่างที่ 2 คือ
00:27:33 → 00:27:36 สมองออาการวูบคือเราหมดสติขณะนึงอ่ะครับ
00:27:36 → 00:27:38 แต่ว่าเรายังหายใจอยู่นะถ้าไม่หายใจเราก็
00:27:38 → 00:27:41 ปั๊มหัวใจถามว่าคนเรายังมีสติอย่างผม
00:27:41 → 00:27:43 เนี่ยพูดคุยได้เกิดจากอะไรนะอย่างแรกคือ
00:27:43 → 00:27:45 หัวใจต้องเต้นนะครับหัวใจต้องมีการบีบตัว
00:27:45 → 00:27:47 ที่สม่ำเสมอนะเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง
00:27:47 → 00:27:49 ถ้าหากว่าผู้สูงอายุมีหัวใจที่เต้นผิด
00:27:49 → 00:27:52 จังหวะหัวใจคนเราเต้นตึบตึบตึบๆแต่บาง
00:27:52 → 00:27:54 ครั้งเนี่ยเวลาที่หัวใจมันเสื่อมสภาพครับ
00:27:54 → 00:27:57 อาจจะเต้นแบบเนี้ยตึ๊บตะึบตึบตึบตึ๊ดตึ๊ด
00:27:57 → 00:28:00 อทำให้เลือดมันไปเลี้ยงสมองแบบไม่ค่อยดี
00:28:00 → 00:28:02 อ่ะครับคนไข้ก็มาด้วยวูบได้ถ้าเขามาที่
00:28:02 → 00:28:04 โรงพยาบาลคุณหมอก็ตรวจคลื่นหัวใจว่าเป็น
00:28:04 → 00:28:06 ยังไงบ้างแล้วก็อาจจะมีการให้ยาที่รักษา
00:28:06 → 00:28:09 อันที่ 2 คือสมองอ่ะครับคือถ้าหัวใจมัน
00:28:09 → 00:28:11 อาจจะบีบตัวได้ดีอยู่แต่ว่าสมองมันมี
00:28:11 → 00:28:14 ปัญหาไงอย่างเช่นมีหลอดเลือดสมองตีบแตก
00:28:14 → 00:28:16 หรือว่าภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอ่ะครับคนไข้
00:28:16 → 00:28:18 ก็หมดสติได้เฉียบพลันนะครับนี้ถ้าหากว่า
00:28:18 → 00:28:20 เริ่มมีอาการก็ควรจะต้องมาโรงพยาบาลมานะ
00:28:20 → 00:28:22 ครับอาจจะโทรขอความช่วยเหลือก็ได้ครับค่ะ
00:28:22 → 00:28:24 ถึงแม้ว่าจะสามารถพยุงตัวแล้วก็มีเพื่อน
00:28:24 → 00:28:26 บ้านพากลับไปบ้านแล้วแต่ก็ควรจะไปตรวจซ้ำ
00:28:26 → 00:28:29 ที่โรงพยาบาลใช่ครับอาการนี้ไม่ปกติเลย
00:28:29 → 00:28:31 ครับมีเหตุการณ์นึงครับผมดูในโซเชียลใน
00:28:31 → 00:28:34 virอลเป็นคุณยายคนนึงที่อายุเกือบจะ 100
00:28:34 → 00:28:36 ปีแล้วครับคุณยายก็แบบหลับยาวอ่ะแล้วเขา
00:28:36 → 00:28:38 ก็ถ่ายคลิปให้ดูว่าเนี่ยเอ้ยวันนี้แปลก
00:28:38 → 00:28:41 จังเลยคุณแม่หลับมา 3 วัน 3 วันเลยครับ
00:28:41 → 00:28:44 ไม่กินไม่ตื่นหลับ 3 วันนะครับแต่เขายัง
00:28:44 → 00:28:46 หายใจอยู่แล้วก็พยายามเรียกคุณแม่เป็นยัง
00:28:46 → 00:28:49 ไงบ้างถามว่าจริงๆแล้วเนี่ยหลักการคือครู
00:28:49 → 00:28:51 ควรจะพาเป็นโรงพยาบาลทันทีนะครับหรือไม่
00:28:51 → 00:28:54 ก็โทรที่เบอร์ 169 นะภาวะนี้เป็นภาวะที่
00:28:54 → 00:28:57 เกิดจากภาวะสับสนในผู้สูงอายุครับผมว่า
00:28:57 → 00:28:58 คุณน้องเคยได้ยินคำว่าสับสนนะสับสนส่วน
00:28:58 → 00:29:01 ใหญ่ก็จะอาละวาดใช่มั้ยโวยวายผู้สูงอายุ
00:29:01 → 00:29:03 กลางคืนก็แบบโวยวายจะมีสับสนอีกประเภทนึง
00:29:03 → 00:29:06 คือสับสนแบบซึมอ่ะครับซึมมากซึ่งเราต้อง
00:29:06 → 00:29:08 ดูว่าเป็นน้ำตาลในเลือดต่ำหรือเปล่าหรือ
00:29:08 → 00:29:11 ว่าบางทีเนี่ยมีปัญหาเกลือแร่ในสมองทำให้
00:29:11 → 00:29:13 เขาซึมอ่ะครับการซึมมากๆก็อาจจะหยุดหายใจ
00:29:13 → 00:29:16 ได้ดังนั้นเนี่ยควรจะพามาโรงพยาบาลนะครับ
00:29:16 → 00:29:18 คือไม่ใช่ว่าเราจะรอ 3 วันแล้วก็รอจนกว่า
00:29:18 → 00:29:21 คุณแม่จะตื่นเนี่ยมันอาจจะทำให้เกิดภาวะ
00:29:21 → 00:29:23 ที่แทรกซ้อนมากขึ้นนะครับค่ะแล้วสำหรับ
00:29:23 → 00:29:27 ผู้สูงอายุที่นอนมากๆนอนยาวแค่ไหนที่เรา
00:29:27 → 00:29:30 ควรจะต้องกังวลค่ะเราต้องดูว่าในพื้นเดิม
00:29:30 → 00:29:32 อ่ะครับผู้สูงอยู่ท่านนั้นเนี่ยเขามีการ
00:29:32 → 00:29:35 กิจวัประจำวันที่นอนประมาณไหนบางทีถ้า
00:29:35 → 00:29:37 เกิดว่าคุณพ่อคุณแม่เรานอนประมาณสัก 6-8
00:29:37 → 00:29:40 ชมงก็ดูปกติแต่ถ้าวันเนี้ยเฮ้ยนอนมากเลย
00:29:40 → 00:29:43 นอนทั้งวันทั้งคืนเลยครับไม่ปกติแปลว่า
00:29:43 → 00:29:45 สมองมันน่าจะมีความรวนอย่างเช่นมีน้ำตาล
00:29:45 → 00:29:48 ในเลือดต่ำอีกเคสนึงที่ผมเจอนะครับเป็น
00:29:48 → 00:29:50 คุณยายคนนึงก็นอนมา 3 วันเหมือนกันครับ
00:29:50 → 00:29:53 แล้วก็วันคือช่วงบางทีผู้สูงอายุเราอยู่
00:29:53 → 00:29:55 บ้านคนเดียวแล้วก็ช่วงเทศกาลนะครับลูก
00:29:55 → 00:29:57 หลานก็จะกลับมามาเยี่ยมใช่มั้ยครับแล้วก็
00:29:57 → 00:30:01 เจอว่าทำไมนอนนานจังเลยนะดูซึมพอพามาที่
00:30:01 → 00:30:03 โรงพยาบาลคุณยายก็ซึมอ่ะครับผมเรียกก็ไม่
00:30:03 → 00:30:05 ค่อยตื่นแต่ยังหายใจนะแล้วก็ผมสังเกตอยู่
00:30:05 → 00:30:08 สิ่งนึงอครับมีรอยช้ำตรงเนี้ยนิดเดียวนะ
00:30:08 → 00:30:11 ครับเป็นแบบสีม่วงอ่ะผมก็ถามว่าเค้าล้ม
00:30:11 → 00:30:14 เหรอค่ะไม่รู้ครับเพราะว่าอยู่บ้านคน
00:30:14 → 00:30:16 เดียวแล้วก็พอไปเrayคอมพิวเตอร์สมองก็เจอ
00:30:16 → 00:30:19 ว่ามีมีเลือดออกในสมองเกิดขึ้นนะครับคือ
00:30:19 → 00:30:21 สมองของคู่สูจะฝ่อเล็กอ่ะครับเวลาที่ล้ม
00:30:21 → 00:30:23 เนี่ยมันกระแทกกระชากมันก็จะมีเลือดออก
00:30:23 → 00:30:26 ได้พอเลือดออกพออยู่บ้านคนไข้ก็เลยซึม
00:30:26 → 00:30:28 แล้วก็ไม่ค่อยจะพูดนะครับอันเนี้ยจะจะ
00:30:28 → 00:30:31 ย้อนกลับมาว่าการที่ผู้สูงอายุหลับนาน
00:30:31 → 00:30:34 หรือซึมนานในบ้านเนี่ยไม่ปกตินะครับต้อง
00:30:34 → 00:30:36 พามาโรงพยาบาลไม่ใช่ว่าเรารอไปเรื่อยจน
00:30:36 → 00:30:39 กว่าคุณแม่จะตื่นนะครับอาจจะช้าไปครับไม่
00:30:39 → 00:30:41 ใช่เป็นอาการปกติของผู้สูงอายุที่บางทีจะ
00:30:41 → 00:30:44 นอนนานกว่าปกติอันนี้ไม่ใช่ถ้านอนมากกว่า
00:30:44 → 00:30:47 ปกติอันนี้จะต้องตั้งข้อสังเกตใช่ครับ
00:30:47 → 00:30:49 แล้วก็ต้องพาไปค่ะคุณหมอมีงานวิจัยนึงน่า
00:30:50 → 00:30:51 สนใจมากครับเาบอกว่าอยากจะรู้ว่าผู้สูง
00:30:52 → 00:30:55 อายุเนี่ยมีภาวะสับสนหรือว่ามีการซึมที่
00:30:55 → 00:30:57 ผิดปกติหรือเปล่าเราไม่ต้องไปทำแบบ
00:30:57 → 00:30:59 ประเมินอะไรมากมายนะครับงั้นจากว่าคำถาม
00:30:59 → 00:31:02 เดียวครับถามว่าเค้าดูผิดปกติจากเมื่อวาน
00:31:02 → 00:31:04 มั้ยคำถามแค่นี้ครับถ้าเกิดว่าลูกหลานบอก
00:31:04 → 00:31:07 ว่าเออมันไม่เหมือนเดิมอันนี้แหละครับ
00:31:07 → 00:31:10 ประมาณเกือบ 90% ของคำถามเนี้ยบอกได้เลย
00:31:11 → 00:31:13 ว่าผู้สูงอายุเนี่ยไม่ปกตินะเนี่ยคำถาม
00:31:13 → 00:31:15 สั้นๆเลยว่ารู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม
00:31:15 → 00:31:18 มั้ยถ้าเขาตอบว่าใช่ไปโรงพยาบาลครับก็คือ
00:31:18 → 00:31:21 ถ้าเราเอ๊ะนิดนึงอ่ะนั่นก็คือใช่แล้วเน
00:31:21 → 00:31:23 โอเคเอ๊ะโอเคค่ะคราวนี้เรามาพูดถึงเรื่อง
00:31:23 → 00:31:25 ของภาวะฉุกเฉินในผู้สูงอายุบ้างเมื่อสัก
00:31:25 → 00:31:27 ครู่คุณหมอได้ยกไปแล้วว่าส่วนใหญ่แล้วก็
00:31:27 → 00:31:30 จะเกิดขึ้นที่สมองหัวใจแล้วยังมีอย่าง
00:31:30 → 00:31:32 อื่นอีกมั้คะที่จะเป็นภาวะฉุกเฉินที่มัก
00:31:32 → 00:31:35 จะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุบ่อยๆอ่ะค่ะใน
00:31:35 → 00:31:36 เรื่องฉุกเฉินอย่างอื่นในผู้สูงอายุนะ
00:31:36 → 00:31:38 ครับก็ยังมีอีก 3 อันผมว่าที่พบบ่อยมาก
00:31:38 → 00:31:41 คือ 1 เรื่องของการสำลักครับอย่างที่ 2
00:31:41 → 00:31:43 คือภาวะน้ำตาลต่ำแล้วก็หมดสติหรือว่าซึม
00:31:43 → 00:31:46 นะครับอย่างที่ 3 คือการที่มีกระดูกหัก
00:31:46 → 00:31:48 อย่างแรกคือ 1 สำลักษณ์โหโอหเจอบ่อยมากใน
00:31:48 → 00:31:50 ช่วงนึงครับไอ้เาเรียกช่วงศาสตร์จีนใช่
00:31:50 → 00:31:52 มั้ครับบ่อยมากเลยช่วงศาสตร์จีนตุดจีน
00:31:52 → 00:31:55 เนี่ยผู้สูงอายุจะมีไก่ติดคอบ้างขนมเข่ง
00:31:55 → 00:31:57 ติดคอเยอะมากจริงๆแล้วเนี่ยอาหารนะครับ
00:31:57 → 00:32:00 ผู้สูงจะไม่มีฟันนะฟันปลอมบางทีแบบป้อน
00:32:00 → 00:32:02 ขนมเข่งติดคออีกเหตุนึงผมเพิ่งเจอเร็วๆ
00:32:02 → 00:32:05 เนี้ยครับเป็นหมูหมูชิ้นเลยครับคือคนไข้
00:32:05 → 00:32:08 เขากินอาหารที่บ้านไงแล้วก็แบบรีบออกไป
00:32:08 → 00:32:10 ข้างนอกจะลูกหลานจะพาไปเที่ยวแบบคุณคุณ
00:32:10 → 00:32:12 แม่ไปเที่ยวเร็วคุณแม่ก็เดี๋ยวก่อนดิยัง
00:32:12 → 00:32:14 กินไม่หมดเลยคุณแม่ก็ซวยอีกทีเดียวครับ
00:32:14 → 00:32:17 ปรากฏว่าติดคอครับพอติดเสร็จปุ๊บเนี่ยคุณ
00:32:17 → 00:32:19 แม่ก็เอามือกุมคอนะแล้วก็หมดสติไม่หายใจ
00:32:20 → 00:32:21 แต่ว่าตอนนั้นเนี่ยคนที่บ้านเขาไม่เรียน
00:32:21 → 00:32:23 รู้วิธีเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงอ่ะครับมัน
00:32:23 → 00:32:26 จะมีวิธีที่เรียกว่าเrixครับก็คือการที่
00:32:26 → 00:32:29 จะทำเอามือไว้ที่ทองแล้วกระทุ้งครับปรากฏ
00:32:29 → 00:32:31 ว่าเา้าทำไม่ได้ไม่รู้จะทำยังไงอ่ะปรากฏ
00:32:31 → 00:32:34 ว่าแป๊บเดียวครับ 4 นาทีครับสมองคนเราขา
00:32:34 → 00:32:37 เรือได้แค่ 4 นาทีครับพอมันอุดปึ้งเนี่ย
00:32:37 → 00:32:40 เ่าก็จะหายใจไม่ได้ 4 นาทีก็หมดสติแล้วก็
00:32:40 → 00:32:42 ไม่หายใจแต่โชคดีครับลูกหลานปั๊มหัวใจ
00:32:42 → 00:32:45 ครับปั๊มหัวใจแล้วก็โทรขอความช่วยเหลือ
00:32:45 → 00:32:47 ตอนนั้นคุณหมอก็ไปดูเสร็จปุ๊บปุ๊บพอเราไป
00:32:47 → 00:32:49 เจอครับเราก็ไปรับช่วงต่อจากคนไข้ใช่มั้ย
00:32:49 → 00:32:52 จากที่ญาติดูแลคนไข้แล้วก็นั้นก็มีการใส่
00:32:52 → 00:32:54 ท่อช่วงหายใจแล้วก็ครีบเอาชิ้นหมูออกมา
00:32:54 → 00:32:57 เลยครับนี้การสำรักเป็นสิ่งที่น่ากลัว
00:32:57 → 00:32:59 แล้วก็พบได้บ่อยในผู้สูงอายุถ้าเราเรียน
00:32:59 → 00:33:01 รู้เรื่องการปฐมพยาบาลเรื่องการสำลักอ่ะ
00:33:01 → 00:33:04 ครับ 4 นาทีทองเนี่ยเราช่วยคุณพ่อคุณแม่
00:33:04 → 00:33:06 ได้แล้วก็ในเรื่องการสำลักษณ์นะครับถ้า
00:33:06 → 00:33:09 เราขยายไปมันไม่ใช่เฉพาะผู้สูงอายุนะผม
00:33:09 → 00:33:12 ยังเจอเด็กก็มีนะครับเด็กประมาณสัก 5 ขวบ
00:33:12 → 00:33:15 อ่ะผมเคยเจอเด็กมาด้วยชักคุณพ่อพามาปรากฏ
00:33:15 → 00:33:18 ว่าเราถ่ายทอดเฉวยใจองุ่นเบ้อเลิ่มเลย
00:33:18 → 00:33:20 ครับองุ่นของออสเตรเลียใหญ่มากเลยครับติด
00:33:20 → 00:33:23 เข้าไปในคอดังนั้นเนี่ยอาหารที่ให้สำหรับ
00:33:23 → 00:33:26 ผู้สูงอายุหรือว่าเด็กเล็กๆต้องมีการซอย
00:33:26 → 00:33:28 ให้มันเล็กๆชิ้นเล็กๆครับเพื่อให้มีความ
00:33:28 → 00:33:30 ปลอดภัยด้วยครับเล็กค่ะแล้วในกรณีที่มี
00:33:30 → 00:33:32 อาหารติดคอแบบนี้เราควรจะต้องจัดการกับ
00:33:32 → 00:33:34 อาหารในที่ที่มันค้างอยู่ในปากก่อนที่เรา
00:33:34 → 00:33:37 จะต้องปั๊มหัวใจต้องอะไรมั้ยคะถ้าไม่เห็น
00:33:37 → 00:33:39 อย่าล้วงครับถ้าเราเห็นว่ามีอาหารหรือว่า
00:33:39 → 00:33:41 ติดคอเนี่ยเราเอามือล้วงได้นะครับแต่ถ้า
00:33:41 → 00:33:43 ไม่เห็นอย่าล้วงนะครับเพราะถ้าไม่เห็น
00:33:43 → 00:33:45 เนี่ยการที่ใช้นิ้วกวาดล้วงด้วยความตื่น
00:33:45 → 00:33:47 เต้นเนี่ยมันจะดันให้มันลงไปมากขึ้นมี
00:33:47 → 00:33:49 อยู่เคสนึงเป็นเคสเด็กอ่ะครับเอ่อคุณน้อง
00:33:49 → 00:33:51 เคยเห็นมั้ยเจะมีโรงงานที่ผลิตแต่ปลอก
00:33:51 → 00:33:54 นิ้วอ่ะครับคุณพ่อเ้าทำงานผลิตถุงมือที่
00:33:54 → 00:33:56 เป็นปลอกนิ้วอย่างเดียวแล้วก็เอากลับบ้าน
00:33:56 → 00:33:58 ปรากฏว่าลูกอ่ะประมาณสัก 5 ขวบอ่ะครับลูก
00:33:58 → 00:34:01 ก็กินน่ะกินไอ้เเข้าไปแล้วตัวปลอกนิ้วมัน
00:34:01 → 00:34:03 พอดีกับหลอดลมเลยครับมันติดเข้าไปอ่ะแล้ว
00:34:03 → 00:34:07 ก็เด็กก็หมดสติสำลักไม่หายใจคุณพ่อไม่
00:34:07 → 00:34:09 เห็นแล้วก็ล้วงอ่ะครับล้วงแบบอยากจะเอา
00:34:09 → 00:34:11 มันออกมาไม่ได้ทำวิธีที่เรียกว่าเฮrixนะ
00:34:11 → 00:34:13 เค้าทำไม่ถูกต้องอ่ะล้วงอ่ะครับปรากฏแค่
00:34:13 → 00:34:16 นี้ก็เสียชีวิตอ่ะครับแล้วก็ตอนที่ผมไป
00:34:16 → 00:34:19 ชันสูตรผ่าศพก็เห็นเลยว่าเนี่ยถุงมือครับ
00:34:19 → 00:34:21 มันอยู่คาหลอดลมเลยอ่ะมันเกิดจากการที่
00:34:21 → 00:34:24 ดันเข้าไปสรุปว่าถ้าไม่เห็นอย่าล้วงครับ
00:34:24 → 00:34:26 เราจะรู้ด้วยไงว่าเค้าสำลักสมบูรณ์แล้ว
00:34:26 → 00:34:28 หรือเปล่าอย่างแรกคือมันจะมีท่าเฉพาะครับ
00:34:28 → 00:34:31 มนุษย์เราเนี่ยเวลาที่สำลักจะทำท่าเนี่ย
00:34:31 → 00:34:34 ครับเอามือกุมคอไว้ชัดเจนแล้วก็พูดไม่มี
00:34:34 → 00:34:36 เสียงถ้าหากว่าเราสมมุติว่าเราไปร้าน
00:34:36 → 00:34:38 อาหารร้านอาหารเราเราสมมุติคุณน้องไปกับ
00:34:38 → 00:34:40 ผมเนี่ยไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันแล้วปรากฏ
00:34:40 → 00:34:43 ว่าเรากินข้าวเที่ยงก็เห็นโต๊ะข้างๆ
00:34:43 → 00:34:45 ทำท่าครับคนเราจะเอาใหญ่ทำท่านี้มันเป็น
00:34:45 → 00:34:47 ท่าเฉพาะของมนุษย์มันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์
00:34:47 → 00:34:49 อ่ะครับว่าแบบมันเหมือนมีอะไรมารัดคอทุก
00:34:49 → 00:34:52 คนจะทำท่านี้หมดเมื่อเมก่อนที่เขาจะเสีย
00:34:52 → 00:34:54 ชีวิตนะจะเอามือกุมคอไว้แล้วก็จะอ้าปาก
00:34:54 → 00:34:56 พูดมันจะไม่มีเสียงอ่ะครับอันนี้เรารู้
00:34:56 → 00:34:59 ว่าเาสำลักแน่นอนเราเดินเข้าไปแล้วก็
00:34:59 → 00:35:01 เดี๋ยวผมจะช่วยนะครับเราก็ทำการโอบไปที่
00:35:01 → 00:35:03 ด้านหลังคนไข้แล้วทำการกระทุ้งอ่ะครับ
00:35:03 → 00:35:06 เพื่อดันให้เศษอาหารมันหลุดออกมาถ้าไม่ทำ
00:35:06 → 00:35:08 4 นาทีตายแน่นอนครับแต่ถ้าหากว่าไม่
00:35:08 → 00:35:10 สำเร็จนะครับก็ให้ทำการปั๊มหัวใจนะไม่
00:35:10 → 00:35:12 สำเร็จหมายถึงคนไข้เริ่มหมดสติแล้วก็ไม่
00:35:12 → 00:35:14 หายใจอันนี้เราขอความช่วยเหลือแล้วก็ปั๊ม
00:35:14 → 00:35:17 หัวใจการที่กดหน้าอกปั๊มหัวใจเนี่ยแรงที่
00:35:17 → 00:35:19 กระแทกตัวหน้าอกนะครับมันก็สามารถทำให้
00:35:19 → 00:35:21 อาหารหลุดออกมาได้เหมือนกันหลังจากเรื่อง
00:35:21 → 00:35:23 ของสำลักเรื่องอะไรอีกนะฮะที่คุณบอกว่า
00:35:23 → 00:35:25 น้ำตาลในเลือดต่ำหรอคะที่มักจะเกิดขึ้น
00:35:25 → 00:35:27 บ่อยๆในผู้สูงอายุครับเพราะว่าโรคเบาหวาน
00:35:27 → 00:35:30 เนี่ยพบได้มากในคนไทยมากขึ้นเดี๋ยวนี้เรา
00:35:30 → 00:35:32 รับประทานอาหารที่มีความหวานมากขึ้นผู้
00:35:32 → 00:35:34 สูงยุก็เป็นเบาหวานเยอะมากเลยครับเพราะ
00:35:34 → 00:35:36 ว่าเบาหวานเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะมีการใช้ยา
00:35:36 → 00:35:39 เบาหวานอย่างเช่นยาพวกยาฉีดอินซูลินหรือ
00:35:39 → 00:35:42 ว่ายากินรสน้ำตาลในเลือดบางครั้งก็ยาอาจ
00:35:42 → 00:35:44 จะเกินหรือว่าผู้สูงไม่ได้ทานข้าวก็จะหมด
00:35:44 → 00:35:46 สติซึมได้มีอยู่เหตุการณ์นึงครับผมเล่า
00:35:46 → 00:35:49 ให้ฟังเอ่อตอนนั้นเป็นผู้สูงอายุขับรถ
00:35:49 → 00:35:51 เดี๋ยวนี้ผู้สูงอายุยังทำงานนะครับ 60-65
00:35:51 → 00:35:54 ปีไม่ได้นอนอยู่บ้านนะเทำงานขับรถครับก็
00:35:54 → 00:35:58 คือมีนายจ้างเป็นคนต่างชาติขับรถคุณผู้
00:35:58 → 00:36:00 ชายก็คุณผู้สูงอายุก็แบบตื่นเช้าไงเป็นคน
00:36:00 → 00:36:03 ขับรถตอนประมาณสัก 8:00 น.ครับก็กินยาเบา
00:36:04 → 00:36:05 หวานแต่ไม่ได้กินข้าวเพราะว่ากลัวว่าจะไป
00:36:06 → 00:36:08 รับนายจ้างไม่ทันปรากฏว่าขับรถอ่ะครับ
00:36:08 → 00:36:10 แป๊บนึงอ่ะมันวูบอ่ะครับพอวูบเสร็จปุ๊บ
00:36:10 → 00:36:13 เนี่ยรถก็ไถลลงทะเลเลยครับแต่โชคดีมากที่
00:36:13 → 00:36:16 ทะเลเขามีตัวกั้นน่ะครับแล้วก็นายจ้างผู้
00:36:16 → 00:36:19 หญิงอ่ะอยู่ข้างหลังไงตกใจเกิดอะไรขึ้นคน
00:36:19 → 00:36:21 ขับรถหมดสติคุณผู้หญิงอ่ะเอื้อมมือขึ้นมา
00:36:21 → 00:36:24 ดึงเบรกมือกระทันหันคือถ้าไม่ดึงเบรกมือ
00:36:24 → 00:36:26 ลงทะเลไปทั้งคู่แล้วครับแล้วก็พอมาถึง
00:36:26 → 00:36:29 ปุ๊บเนี่ยผมก็ไปดูคนไข้ก็ทำการเจาะน้ำตาล
00:36:29 → 00:36:31 ปรากฏว่าน้ำตาลต่ำมากเลยอันเนี้ยจะย้อน
00:36:31 → 00:36:33 กลับมาว่าเนี่ยมันเลยมีคามความสำคัญว่ายา
00:36:33 → 00:36:36 เบาหวานเนี่ยบางตัวกินก่อนอาหารแต่กิน
00:36:36 → 00:36:38 เสร็จแล้วต้องกินอาหารนะครับเพราะว่าถ้า
00:36:38 → 00:36:41 กินแล้วไม่กินอาหารภายใน 30 นาทีมีโอกาส
00:36:41 → 00:36:44 น้ำตามันจะลงวบแล้วก็วูบได้ครับออืค่ะอัน
00:36:44 → 00:36:47 นี้ก็คือเรื่องของโรคประจำตัวที่การรับ
00:36:47 → 00:36:51 ประทานยาจะต้องรับประทานตามที่เอ่อมีคำ
00:36:51 → 00:36:53 สั่งนะคะเค้าเรียกว่าอะไรเป็นคำแนะนำใน
00:36:53 → 00:36:55 การรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่าง
00:36:55 → 00:36:57 เคร่งครัดเพราะเรื่องของน้ำตาลต่ำนี่
00:36:57 → 00:36:59 อันตรายมากแล้วในกรณีที่คนไม่เป็นเบาหวาน
00:37:00 → 00:37:01 กรณีน้ำตาลต่ำนี้มันจะเกิดขึ้นได้มั้ยคะ
00:37:02 → 00:37:04 โอกาสเกิดขึ้นได้ครับในคนปกติที่น้ำตาล
00:37:04 → 00:37:06 ต่ำแต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยนะครับเพราะว่า
00:37:06 → 00:37:08 เราจะมีการรู้ตัวอย่างเช่นถ้าเกิดว่าผู้
00:37:08 → 00:37:11 เอ่อผมว่าหลายท่านคงเคยทำงานหนักๆประชุม
00:37:11 → 00:37:13 แล้วมันเครียดใช่มั้ยพอเครียดเสร็จมันหิว
00:37:13 → 00:37:15 ครับมันจะวูบอ่ะครับเราจะมีอาการเมื่อกี้
00:37:15 → 00:37:17 ไงมันหิวมันจะวูบมันจะแบบหงุดหงิดน้ำตาล
00:37:18 → 00:37:20 ต่ำหงุดหงิดเริ่มโมโหมันมีอาการเตือนเรา
00:37:20 → 00:37:22 จะทำยังไงอ่ะเดี๋ยวก่อนนะแป๊บนึงกินน้ำ
00:37:22 → 00:37:25 หวานด้วยครับกุดกิมากเกินเราจะแสวงหาน้ำ
00:37:25 → 00:37:27 ตาลหาอะไรกินอยู่แล้วอาการมันจะมาครับแต่
00:37:27 → 00:37:30 ผู้สูงอายุเนี่ยจะไม่มีอครับสิ่งนี้จะหาย
00:37:30 → 00:37:32 ไปเพราะว่าเมื่อสมองเสื่อมการกระตุรุ่น
00:37:32 → 00:37:34 อยากจะไปกินข้าวกินน้ำหรือว่ากินของหวาน
00:37:34 → 00:37:37 ก็จะน้อยลงเาก็จะวูบไปเลยครับโดยเฉพาะ
00:37:37 → 00:37:39 เมื่อกี้ไงเคสขับรถอ่ะครับการกระตุ้น
00:37:39 → 00:37:41 เนี่ยสัญญาณเตือนมันหายไปอ่ะขับปุ๊บวูบ
00:37:41 → 00:37:44 หลับไปเลยครับอือเพราะฉะนั้นในผู้สูงอายุ
00:37:44 → 00:37:47 คนที่เป็นเบาหวานอันนี้มันก็จะมีลักษณะ
00:37:47 → 00:37:49 ของอาการที่เราจะรู้อยู่แล้วมียาที่จะ
00:37:49 → 00:37:51 ต้องรับประทานอยู่แล้วแต่ถ้าเกิดว่าผู้
00:37:51 → 00:37:54 สูงอายุที่ไม่ได้เป็นเบาหวานมันอาจจะมี
00:37:54 → 00:37:55 อาการน้ำตาลตกได้แต่มันจะป้องกันได้ด้วย
00:37:56 → 00:37:58 การรับประทานอาหารให้ตรงเวลาถูกมั้ยคะก็
00:37:58 → 00:38:01 คือต้องไม่สกิปมื้อต้องต้องไม่มีการข้าม
00:38:01 → 00:38:03 มื้อไปเพราะว่าบางคนอย่างที่คุณหมอบอกว่า
00:38:04 → 00:38:06 อาจจะมีเรื่องของภาวะสมองเสื่อมที่ทำให้
00:38:06 → 00:38:08 บางทีการรับรู้มันไม่สามารถเตือนล่วงหน้า
00:38:08 → 00:38:10 ได้ว่ามันจะไม่รู้ตัวคนอื่นจะไม่รู้คนดู
00:38:10 → 00:38:13 แลจะไม่รู้ใช่มั้คะค่ะแล้วในกรณีที่ผู้
00:38:13 → 00:38:17 สูงอายุน้ำตาลต่ำเราจะปฐมพยาบาลยังไงคะ
00:38:17 → 00:38:19 หลักการคือให้ดื่มน้ำหวานนะครับก็คือหลัก
00:38:19 → 00:38:22 การเขาจะให้กินประมาณ 15 กรัม 15 กรัมคือ
00:38:22 → 00:38:25 อะไรนะมันก็จะเท่ากับอ่าพวกลูกอม 3 เม็ด
00:38:25 → 00:38:27 เป็นต้นนะครับหรือไม่ก็เป็นน้ำส้มอ่ะน้ำ
00:38:27 → 00:38:29 ส้มที่เป็นน้ำส้มแท้นะครับประมาณครึ่ง
00:38:29 → 00:38:31 แก้วหรือว่านมจืดประมาณครึ่งครึ่งแก้วมัน
00:38:31 → 00:38:34 ก็จะเท่ากับน้ำตาลประมาณ 15 กรัมยกตัว
00:38:34 → 00:38:35 อย่างเช่นถ้าหากว่าผู้สูงยุเป็นเบาหวาน
00:38:35 → 00:38:37 อย่างเช่นขับรถใช่มั้ขับรถเสร็จปุ๊บโอ้
00:38:37 → 00:38:40 นายจ้างผมไม่ไหวแล้วผมเริ่มวูบเอ้นี่ตอน
00:38:40 → 00:38:42 เช้ากินยาเบาหวานแล้วไม่กินข้าวใช่มั้ย
00:38:42 → 00:38:45 ไม่เป็นไรนายจ้างก็เทน้ำส้ม 15 กรัมครึ่ง
00:38:45 → 00:38:47 แก้วแล้วให้ดื่มอันนี้ก็เป็นการปฐมพยาบาล
00:38:47 → 00:38:49 เบื้องต้นนะครับเราใช้กับกรณีที่เขายังมี
00:38:49 → 00:38:52 สติอยู่นะแต่ถ้าเาหมดสติไปแล้วอ่ะครับเรา
00:38:52 → 00:38:54 ไม่ไปเปิดป่าคนไข้เราก็กรอกน้ำหวานนะอัน
00:38:54 → 00:38:56 นี้จะสำลักครับก็ให้โทรขอความช่วยเหลือ
00:38:56 → 00:38:59 ที่เบอร์ 1669 ซึ่งเวลาที่คุณหมอมาเจาะ
00:38:59 → 00:39:01 ปุ๊บอ้อน้ำตาลเลือดต่ำนี่น่ะก็จะมีการฉีด
00:39:02 → 00:39:04 น้ำตาลทางเส้นเลือดนะครับถ้าหาน้ำซมไม่
00:39:04 → 00:39:06 ได้หานมไม่ได้เป็นน้ำตาลอะไรก็ได้ใช่มั้
00:39:06 → 00:39:09 คะครับถ้าเป็นน้ำตาลทรายนะครับน้ำตาลทราย
00:39:09 → 00:39:11 จะใช้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะหรือไม่ก็เป็นน้ำ
00:39:11 → 00:39:13 หวานน้ำแดงอ่ะครับน้ำหวานน้ำแดงอะไรก็ได้
00:39:13 → 00:39:15 อันเนี้ยผมคิดว่าถ้าเกิดว่าเรามีผู้สูง
00:39:15 → 00:39:17 อายุที่เป็นเบาหวานอยู่ที่บ้านก็ควรจะ
00:39:17 → 00:39:20 ต้องมีเป็นกิฟเซตเฉพาะเลยว่าเมื่อไหร่ก็
00:39:20 → 00:39:22 ตามที่คุณพ่อคุณแม่เราน้ำตาลต่ำเนี่ยอเรา
00:39:22 → 00:39:25 มีน้ำแดงเตรียมเตรียมน้ำหวานเอาไว้ใช่
00:39:25 → 00:39:27 ครับแต่อย่าลืมว่าเราจะไม่ให้กรณีที่เ้า
00:39:27 → 00:39:30 หมดสติไปแล้วนะครับการกรอกปากเข้าไปเนี่ย
00:39:30 → 00:39:32 มีโอกาสสำลักแล้วก็มีผลเสียตามมาได้ครับ
00:39:32 → 00:39:35 อันนี้ในกรณีน้ำตาลต่ำใช่มั้คะแต่มีกรณี
00:39:35 → 00:39:38 น้ำตาลสูงด้วยใช่มั้คะคุณหมออ๋อนี่คำถาม
00:39:38 → 00:39:40 ที่ดีมากครับเพราะว่าเบาหวานเนี่ยบาง
00:39:40 → 00:39:43 ครั้งเนี่ยอาจจะแบบช่วงเทศกาลไงก็กินนิด
00:39:43 → 00:39:45 นึงอ่ะครับน้ำตาลมันขึ้นนะแบบของหงหวาน
00:39:45 → 00:39:48 ลูกหลานมาเยี่ยมน้ำตาลสูงขึ้นได้นะบางที
00:39:48 → 00:39:51 ขึ้นไปต้อง 500-600 หน่วยปกติคนเราน้ำตาล
00:39:51 → 00:39:53 ประมาณซัก 100 ต้นๆนะครับบางทีมันขึ้น
00:39:53 → 00:39:55 เยอะมากครับประมาณ 500-600 หน่วยอ่ะครับ
00:39:55 → 00:39:57 คนไข้ก็จะมาด้วยเลือดมันหนืดก็จะมาด้วย
00:39:57 → 00:39:59 การซึมสับสนได้เหมือนกันนะครับแล้วลักษณะ
00:39:59 → 00:40:03 ลักษณะของน้ำตาลต่ำกับน้ำตาลสูงที่เขาจะ
00:40:03 → 00:40:05 หมดสติอ่ะมันเหมือนกันมั้คะคุณหมอจริง
00:40:05 → 00:40:07 แล้วแยกได้ยากมากนะครับสำหรับประชาชนที่
00:40:07 → 00:40:10 จะบอกว่าเอ๊ะพ่อแม่เราเนี่ยหมดสติไปที่มี
00:40:10 → 00:40:12 ประวัติเบาหวานเนี่ยน้ำตาลต่ำหรือน้ำตาล
00:40:12 → 00:40:14 สูงอย่างเดียวคือถ้าเราเจาะเลือดได้บางที
00:40:14 → 00:40:16 ที่บ้านเรามีเครื่องเจาะเลือดใช่มั้ยครับ
00:40:16 → 00:40:18 ซึ่งประชาชนสามารถใช้ได้เจาะน้ำตาลแล้ว
00:40:18 → 00:40:20 เป็นยังไงบ้างเราก็จะบอกได้ว่าเนี่ยภาวะ
00:40:20 → 00:40:22 เนี้ยเกิดน้ำตาลต่ำหรือน้ำตาลสูงเป็นต้น
00:40:22 → 00:40:25 แต่ถ้าหากว่าไม่มีนะครับคำแนะนำของเอ่อ
00:40:25 → 00:40:27 การปฐมพยาบาลคือว่าถ้ามีประวัติเป็นเบา
00:40:27 → 00:40:30 หวานแล้วซึมเริ่มซึมแต่ยังมีสติอยู่นะ
00:40:30 → 00:40:32 ครับเริ่มซึมเริ่มหวิวๆอันเนี้ยควรจะให้
00:40:32 → 00:40:34 บริโภคน้ำหวานได้เลยอ่ะครับโดยที่ไม่ต้อง
00:40:34 → 00:40:37 กังวลว่าจะสูงหรือต่ำแล้วก็ให้พามาโรง
00:40:37 → 00:40:40 พยาบาลด้วยเหตุว่าภาวะน้ำตาลต่ำเป็นสิ่ง
00:40:40 → 00:40:42 ที่รุนแรงมากกว่าเพราะเมื่อน้ำตาลต่ำปุ๊บ
00:40:42 → 00:40:45 เนี่ยก็จะหมดสติแล้วก็ไม่หายใจซึ่งมันปฐม
00:40:45 → 00:40:48 พยาบาลได้ด้วยที่บ้านสมมุติว่าผมแบบหวิว
00:40:48 → 00:40:50 จะเป็นลมแล้วครับแต่ยังไม่หมดสติไงพอดื่ม
00:40:50 → 00:40:53 น้ำหวานปุ๊บเขาตื่นก็หมดปัญหาใช่มั้ยครับ
00:40:53 → 00:40:55 ส่วนน้ำตาลสูงเนี่ยมันต้องไปแก้โดยการให้
00:40:55 → 00:40:57 ยาหรือให้สารน้ำที่เหลือดังนั้นเนี่ยสรุป
00:40:57 → 00:40:59 ว่าถ้ามีประวัติเบาหวานหวานแล้วเริ่มมี
00:41:00 → 00:41:06 อาการหวิวให้ดื่มน้ำตาลได้เลยครับ
00:41:06 → 00:41:08 อีกเคสนะครับเป็นเคสที่แปลกมากผมเคยเจอ
00:41:08 → 00:41:11 คุณยายเนี่ยเ้าทำสวนกุหลาบไงที่บ้านมี
00:41:11 → 00:41:13 กุหลาบเยอะแล้วก็ตัดกุหลาบปรากฏว่าหนาม
00:41:13 → 00:41:15 กุหลาบมันทิ่มมืออ่ะครับส่วนใหญ่ก็ไม่น่า
00:41:15 → 00:41:17 จะมีอะไรใช่มั้ยหนามกุหลาบก็ล้างมือทายา
00:41:17 → 00:41:19 เหลืองอะไรตามเรื่องตามราวปรากฏว่าผ่านไป
00:41:19 → 00:41:22 2 สัปดาห์คุณยายมีไข้แล้วก็มาหาผมที่
00:41:22 → 00:41:24 ห้องฉุกเฉินครับคุณยายยิ้มมาเลยครับเค้า
00:41:24 → 00:41:26 ไม่ได้ประทับใจเรานะคือเค้ายิ้มเพราะกา
00:41:26 → 00:41:28 มันแข็งอ่ะครับ
00:41:28 → 00:41:31 หลายท่านก็เวลาที่มาหาผมนะที่ที่โรง
00:41:31 → 00:41:33 พยาบาลแบบโดนตะปูตำใช่มั้ยเราจะเข้าใจ
00:41:33 → 00:41:35 ฝั่งหัวว่าไอ้ตะปูมีสนิมสนิมทำให้เกิด
00:41:35 → 00:41:37 ปัทยัก์แต่เราจะคิดไม่ถึงว่าเอ้ยน้ำร้อน
00:41:37 → 00:41:40 ลวกเป็นทยัฆ์ได้ด้วยเหรอแบคทีเรียมันก็
00:41:40 → 00:41:42 ควรจะโดนความร้อนแล้วมันก็ตายสิแล้วทำไม
00:41:42 → 00:41:45 มันถึงจะติดเชื้อบาฆบุพการีที่เคารพคู่
00:41:45 → 00:41:47 มือการดูแลพ่อแม่ของคนเจ็นลูกถ้าชอบเนื้อ
00:41:47 → 00:41:50 หาแบบนี้ก็อย่าลืมกด subscribe ไว้ด้วยนะ
00:41:50 → 00:41:53 ครับ